หยกวาดตะวัน
"ฉันชื่อวาดตะวัน มาจากในนิยาย นิยายบนโลกมนุษย์นี่แหละ!"


เสียงเล็กแหลมของสาวน้อยที่แฝงไว้ด้วยความมาดมั่นร่ำร้องซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่อย่างนั้น
ทำเอาชานนอยากจะเป็นบ้าตาย


ตอนนี้ชีวิตเขาวุ่นวายมากพออยู่แล้ว ไม่ว่าจะหน้าที่การงานหรือว่าคนรัก
เขาเพิ่งถูกแฟนสาวสลัดทิ้งมาหมาดๆ

แต่แล้วจู่ๆ วันดีคืนดีก็มีผู้หญิงร่างเล็กบอบบางแทบปลิวได้ตกลงมาในบ้านเขา
ซ้ำร้ายยังเอาแต่พร่ำเพ้อว่าตัวเองหลุดมาจากโลกในนิยาย

งานนี้ไม่รู้ว่าหล่อนหรือเขากันแน่ที่บ้า

...ทางเดียวที่ทำได้คือเขาต้องไล่หล่อนกลับไปในโลกนิยายอย่างนั้นเหรอ ?

Tags: นักเขียน แฟนตาซี ปาฎิหารย์ ใสซื่อ เวทย์มนตร์

ตอน: บทที่ 5 (ครึ่งแรก)

บทที่ 5



ภาพสวีทหวานของชานนกับรินรดาที่ฉายผ่านเงาสะท้อนบนบานกระจกเรียกรอยยิ้มแสยะจากหญิงสาวผู้หนึ่ง โบกไล่ภาพคู่รักหวานชื่นชวนสะอิดสะเอียนนั้นให้เลือนหายไปจากบานกระจก กลับมาสนใจเสื้อผ้าชุดใหม่บนเรือนร่างตัวเองตามเดิม ด้วยความที่วาโยเพิ่งหยิบฉวยเสื้อผ้าในร้านมาลองใส่ เป็นเสื้อเอวลอยเผยให้เห็นหน้าท้องแบนราบกับกางเกงขายาวสีดำรัดรูปเน้นสัดส่วนอวบอิ่มของหล่อนชัดแจ้ง

วาโยพอใจในลุคสุดเปรี้ยวจี๊ดนั้น เดินอย่างมาดมั่นออกมาจากห้องลองเสื้อผ้า คนขายเห็นก็จะเข้ามารั้งตัวไว้เพราะเจ้าหล่อนเล่นทำท่าจะเดินออกจากร้านไปทั้งที่ยังไม่ได้จ่ายค่าชุด เลยถูกวาโยร่ายมนต์ใส่ให้หลับไหลล้มลงไปนอนกองกับพื้น ขณะที่เจ้าหล่อนเดินออกจากร้านไปอย่างไม่แยแส

ชายหนุ่มที่ยืนพิงรถอยู่ริมฟุตปาธหน้าร้านลักษณะเหมือนกำลังรอใครบางคนเป็นเป้าหมายถัดไป วาโยเดาได้ไม่ยากว่าเขาคงกำลังรอแฟนสาว แต่พอเห็นวาโยก็อ้าปากค้าง หญิงสาวเลยส่งสายตาเย้ายวนพลางเดินย้วยระยาดเข้ามาหาชายหนุ่มแปลกหน้าผู้นั้น หล่อนก็แค่ลองใช้มารยาเล็กๆ น้อยๆ สะกดอีกฝ่ายให้ตะลึงงันในความสวยสุดเซกซี่ของหล่อน เพียงชั่ววินาทีกุญแจรถเขาก็มาอยู่ในมือหล่อนอย่างง่ายดาย

"เฮ้ย รถผม!"

ฝ่ายชายตื่นตระหนกตกใจได้แต่ทุบกระจกรถเรียก เพราะกว่าจะรู้ตัวสาวแปลกหน้าก็อยู่ในรถเขาแล้ว ไม่วายเจ้าหล่อนยังหันมาส่งยิ้มให้อย่างดูแคลน ก่อนที่จะขโมยรถเขาขับพุ่งทะยานออกสู่ถนนใหญ่ไปต่อหน้าต่อตา

เหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นหน้าร้านขายเสื้อผ้าแหล่งช้อปปิ้งย่านดังกลางกรุงเป็นข่าวลงหนังสือพิมพ์ทุกฉบับในเช้าวันรุ่ง เนื่องจากชายหนุ่มผู้เคราะห์ร้ายผู้นั้นเป็นถึงลูกหลานตระกูลไฮโซ !

"ผมไม่รู้ว่าเธอเป็นใคร มาจากไหน อยู่ดีๆ ก็เดินเข้ามายั่วผมแล้วก็ฉกกุญแจรถไปเลย มันเกิดขึ้นรวดเร็วมากลักษณะต้องเป็นพวกวิฉาชีพแน่ๆ"

"ผู้หญิงคนนั้นไม่เคยเข้าร้านดิฉันมาก่อนค่ะ" สาวเจ้าของร้านให้สัมภาษณ์กับนักข่าวในรายการโทรทัศน์เช่นกัน

"แต่ดิฉันจำได้แม่นเพราะเธอผิวขาววอก แถมยังแต่งตัวประหลาด ตัดผมบ๊อบสั้น แต่งหน้าจัด ดูเป็นสาวหวานซ่อนเปรี้ยว แต่แววตาของเธอครั้งสุดท้ายก่อนที่ดิฉันจะสลบไปมันน่ากลัวมากค่ะ พูดแล้วดิฉันยังสยองไม่หาย โจรเดี๋ยวนี้...."

เสียงคนในโทรทัศน์ขาดหายไป เพราะชานนกดเปลี่ยนช่อง เขาเห็นรายการข่าวทั้งหลายเล่นแต่ข่าวนี้มาทั้งวันจนเอือมแล้ว

“อ้าว กลับมาถึงบ้านเร็วจังค่ะพี่นน”

มนชนกร้องทัก เมื่อก้าวเข้ามาในบ้านเห็นพี่ชายนั่งดูโทรทัศน์อยู่บริเวณโซฟาห้องนั่งเล่นแล้ว

วาดตะวันนั้นกำลังช่วยมนชนกหอบของพะรุงพะรังลงจากรถตามหลังเข้ามา ชานนตวัดสายตาขุ่นมองมาทางสาวอีกคนอย่างเอาเรื่อง ร้อนถึงน้องสาวต้องออกโรงปกป้อง เพราะดูออกอยู่เหมือนกันว่าพี่ชายกำลังนั่งอารมณ์บูดมากกว่าจะอารมณ์สุนทรีย์ไปกับรายการโทรทัศน์ตรงหน้า

“พี่นนอย่าเพิ่งโมโหสิ ออมผิดเองที่ชวนพี่วาดตะวันออกไปข้างนอกโดยไม่บอกพี่ แต่ออมแก้ตัวด้วยการหาซื้อของอร่อยๆ กลับมาฝากเป็นมื้อเย็นแล้วนะ จะได้ไม่ต้องเสียเวลารอพี่วาดตะวันทำอาหารไง”

“พี่ก็ยังไม่ทันว่าอะไรเราสองคนเสียหน่อย”

คนหน้าบูดปฏิเสธหน้าตาเฉย ก่อนลุกจากโซฟาตามสองสาวมาที่โต๊ะอาหาร

“ซื้ออะไรมาเยอะแยะมีกันอยู่แค่สามคน”

“ส่วนใหญ่เป็นเสื้อผ้าของพี่วาดตะวันค่ะ ชุดที่ออมยกให้น่าจะน้อยไปหน่อย ก็พี่วาดตะวันน่ะสิเล่นบอกว่าจะเอาผ้าเก่าๆ ในบ้านเราไปตัดชุดเองเสียอย่างนั้น ท่าจะยังไม่คุ้นกับเสื้อผ้าแบบที่พวกเราใส่ออมเลยต้องบังคับให้ซื้อ กว่าจะหาชุดให้ได้เล่นเอาออมหมดแรง”

“ถ้าเรื่องมากนัก วันหลังก็เอาผ้าขี้ริ้วบ้านเราให้เธอไปตัดชุดแล้วกัน...โอ๊ย” ชานนสะดุ้งร้องเสียงหลงออกมา เพราะถูกน้องสาวฟาดเข้าให้ที่แขนโทษฐานปากเสีย

“ไม่กัดพี่วาดตะวันสักวัน กลัวคืนนี้จะนอนไม่หลับรึไงพี่นน...ไปเอาจานมาเลย เดี๋ยวออมกับพี่วาดตะวันช่วยกันเทกับข้าวใส่จานเอง แล้วก็ขอน้ำแก้วโตๆ เย็นเจี๊ยบถึงใจให้เราสองคนด้วยนะคะ พวกเราเพิ่งกลับมาจากช้อปปิ้งเหนื่อยๆ พี่นี่ไม่รู้หน้าที่เลย”

ชานนมองน้องสาวมาอย่างคาดโทษ แต่ก็ยอมเข้าครัวไปหยิบจานให้สองสาวแต่โดยดี

พ้นสายตาพี่ชายไปแล้วนั่นแหละมนชนกกับวาดตะวันก็ต่างยิ้มขันออกมา ถูกอกถูกใจที่ปราบชายหนุ่มหนึ่งเดียวในบ้านได้ กระทั่งชานนกลับมาที่โต๊ะตามเดิม สองสาวจึงทำเป็นหันไปหยิบถุงกับข้าวทั้งหลายแกะใส่จานเหมือนกับเมื่อครู่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“เรานี่จริงๆ ตั้งแต่ที่บ้านทำบัตรเครดิตให้ก็เที่ยวใช้เงินตามอำเภอใจตลอด แถมยังอาจหาญออกไปกันตามลำพังถ้าเกิดเป็นอะไรขึ้นมาจะทำยังไง”

“แหม...พี่นนก็ บ่นเป็นคุณลุงเชียว” น้องสาวยัดหมูทอดใส่ปากคนบ่นจะได้เงียบๆ

“วันนี้ออมพาพี่วาดตะวันไปหาซื้อนิยายตัวเองมาด้วย แต่แปลกจังค่ะ คนขายเขาบอกว่านิยายซีรีส์ชุดฟลาวเวอรี่ทาวน์มีอยู่แค่สี่เล่มก็ที่ออมมีอยู่แล้ว ไม่เห็นมีเล่มของพี่วาดตะวันเลย เข้าไปถามคุณจีโนบีในแฟนเพจก็ไม่เห็นมาตอบ สงสัยคงยังไม่ออกมาวางขายมั้งคะ”

มนชนกเหมือนระบายให้พี่ชายฟังเสียมากกว่าแล้วเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าก่อนลงจากรถแท็กซี่เข้ามาในบ้าน คุยกับวาดตะวันเรื่องเครื่องรางประจำตัวค้างไว้

“จริงด้วยพี่วาดตะวัน เครื่องรางประจำตัวของพี่หน้าตาเหมือนกำไลหยกของพี่นนเลยค่ะ...พี่เอาไปเก็บไว้ไหน” ประโยคท้ายมนชนกกระตือรือร้นขึ้นมาทันทีหันมาถามพี่ชาย

ชานนนั้นยังคงงงๆ ต้องครุ่นคิดอยู่ครู่ถึงค่อยตามทันว่าน้องสาวหมายถึงกำไลหยกที่แม่หมอจันทรนิมิตให้ไว้ จึงหายขึ้นไปบนห้องนอนสักพักก็กลับลงมาพร้อมกำไลหยกสีเขียวอ่อน สภาพเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลงเนื่องจากตั้งแต่ได้มาชานนไม่ได้แตะต้องมันอีกเลย เรียกว่าเก็บจนขังลืมอยู่ในลิ้นชักโต๊ะข้างหัวเตียงเขาไปแล้วด้วยซ้ำ

วาดตะวันเห็นเท่านั้นก็ตาโตขึ้นมา ดึงกำไลวงนั้นจากมือชานนไปเฉย

“นี่มันเครื่องรางของฉันนี่คะ มาอยู่ที่พวกคุณได้ยังไง”

อาการประหลาดใจของวาดตะวันทำให้มนชนกรีบเข้ามาดูกำไลหยกวงนั้นด้วยอีกคน

“เห็นมั้ยออมบอกแล้วว่าจำที่จีโนบีบรรยายไว้ในนิยายได้ พอได้มาคุยกับพี่วาดตะวันเลยยิ่งมั่นใจ”

“มั่นใจอะไรของเรา” เป็นชานนที่ยังคงสงสัย ก็สองสาวเล่นเอาแต่คุยรู้เรื่องกันอยู่สองคน

“คืนก่อนออมอ่านเจอในนิยายว่ารินธารามีเครื่องรางประจำตัวน่ะค่ะ พอมาคุยกับพี่วาดตะวันเลยรู้ว่าเธอเองก็มีเหมือนกัน ออมถึงพาพี่วาดตะวันออกไปหาซื้อนิยายด้วยกันไง ไม่แน่ถ้าออมได้อ่านเรื่องของพี่วาดตะวันจบอาจรู้วิธีพาพี่วาดตะวันกลับโลกนิยายก็ได้”

“ฉันว่าฉันจำรอยตำหนิบนหยกได้ค่ะ” วาดตะวันพูดขึ้นมาบ้าง

“เครื่องรางนี้คุณพ่อเป็นคนให้ฉันกับมือ ท่านทำไว้เพื่อเป็นตัวแทนคำมั่นสัญญาในมิตรภาพระหว่างท่านกับเพื่อน คุณพ่อฉันกับคุณพ่อของรินธาราเป็นเพื่อนรักกันค่ะ ฉันกับรินธาราเลยต่างมีเครื่องรางนี้เก็บไว้กับตัวทั้งคู่”

ชานนพยายามจับต้นชนปลายเรื่องราวที่สองสาวเล่ามา แล้วต้องเลิกคิ้วสูงอย่างไม่เชื่อหู

ใจเขาอดคิดไม่ได้ว่าวาดตะวันโมเมกุเรื่องขึ้นมาเองรึเปล่า ทว่าอีกใจหนึ่งเขาก็แอบหลงเคลิ้มไปกับคำพูดหล่อนเหมือนกัน ยิ่งพอเห็นวาดตะวันสวมกำไลหยกวงนั้นแล้ว สีของหยกเข้มขึ้นกว่าเดิมมากราวกับหล่อนมีพลังพิเศษบางอย่างในตัวที่สามารถสัมผัสกับหยกนั้นได้ บวกกับผิวของวาดตะวันที่ขาวผ่องยิ่งขับสีหยกให้ดูเด่นสะดุดตาขึ้นมาทันใด

“ถ้ากำไลหยกวงนี้เป็นของพี่วาดตะวันจริงๆ แสดงว่าแม่หมอจันทรนิมิตต้องรู้ล่วงหน้าแน่ๆ เลยพี่นนว่าพี่วาดตะวันต้องมาอยู่ที่บ้านเรา ถึงได้ให้กำไลวงนี้ไว้”

“เหลวไหลน่ะเรา” ชานนโบกปัดเมื่อได้ยินน้องสาวบอกเช่นนั้น

“แม่หมอแกก็เป็นคนเหมือนเราๆ เนี่ยแหละ พูดอย่างกับแกมีตาทิพย์รู้เห็นเหตุการณ์ล่วงหน้าอย่างนั้น”

“ก็ใช่น่ะสิคะ ที่แม่หมอแกดูแม่นเพราะแกมีตาทิพย์จริงๆ ไม่อย่างนั้นวันก่อนแกจะรู้เรื่องพี่นนได้ไง”

“มันไม่เหมือนกัน” ชานนยังคงค้าน “เรื่องพี่มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว แต่กับวาดตะวันไม่ใช่...ไม่ต้องมาทำเสียงฮึดฮัดใส่พี่นะเจ้าออม ยังไงพี่ก็ยังคิดว่าเราเป็นคนเอาเรื่องพี่ไปบอกแม่หมอจงทงจันทาอะไรนั่นอยู่ดี อีกอย่าง ถ้ากำไลวงนี้เป็นของวาดตะวันจริง แล้วแม่หมอแกจะเอามาได้ยังไง เผลอๆ ใช่ของวาดตะวันจริงรึเปล่าเราเอาอะไรมาพิสูจน์”



*************************************


รถขับเคลื่อนสีดำค่อยๆ ชะลอความเร็วเทียบจอดหน้าบ้านหลังหนึ่งซึ่งอยู่แถบชานเมือง

ด้วยถนนที่แคบไม่ต่างจากซอยเปลี่ยวในป่าลึก สองข้างทางเงียบเชียบไร้ซึ่งเงาของผู้คนหรือละแวกเพื่อนบ้านใกล้เคียงทำให้ชานนลังเลอยู่ครู่ ก่อนตัดสินใจก้าวลงจากรถ ตามด้วยวาดตะวันมาหยุดยืนข้างกาย สองหนุ่มสาวต่างจับจ้องไปยังบ้านตรงหน้าที่เห็นเพียงแค่ประตูรั้วกับทางรถยนต์ลักษณะถนนลูกรังแคบๆ ด้านใน ยาวสุดลูกหูลูกตา

บริเวณโดยรอบที่รายล้อมด้วยต้นไม้สูงใหญ่ ยังไม่เห็นแม้แต่ตัวบ้านของแม่หมอจันทรนิมิตสร้างความฉงนแก่ชานน จำต้องกดกริ่งเรียกคนในบ้านทั้งที่ไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่ว่ายังใช้การได้ ก็สภาพกริ่งดูเก่าจนสนิมเกาะเสียขนาดนั้น

ระหว่างรอคอยอย่างใจจดใจจ่อ เขาไม่ลืมเหลือบมองสาวข้างกายตัวต้นเหตุของเรื่อง

หลังจากที่ถกเถียงกับน้องสาวอยู่นานสองนานวันนั้น น้องสาวก็ไล่ให้เขามาพิสูจน์ถามหาความจริงเอาจากแม่หมอจันทรนิมิตเองโดยอ้างว่ารำคาญไม่อยากพูดกับเขาอีก ไม่วายจัดการโทรศัพท์ไปถามพี่สาวของเพื่อนให้เสร็จสรรพ แต่ทางนั้นกลับบอกว่าแม่หมอจันทรนิมิตติดธุระงดเข้าร้าน ชานนเลยตัดสินใจลางานให้รู้แล้วรู้รอดเพื่อพาวาดตะวันมาพิสูจน์หาความจริงที่บ้านแม่หมอจันทรนิมิตแทน ขณะเดียวกันเขาไม่ลืมหยิบกำไลหยกวงนั้นมาด้วย บางทีการได้พูดคุยกับแม่หมอวันนี้อาจช่วยให้เรื่องแปลกประหลาดพิลึกกึกกือที่เกิดขึ้นกับชีวิตเขากระจ่างขึ้นก็ได้ ผู้หญิงหน้าตาใสซื่ออย่างวาดตะวันอาจเป็นนางนกต่อที่แม่หมอจันทรนิมิตส่งมาเพื่อสร้างเรื่องให้แกดูน่าเชื่อถือ ประเภทพวกต้มตุ๋นหลอกลวง ร่วมมือกันวางแผนเรียกค่าดูหมอแพงๆ จากลูกค้า และเผลอๆ น้องสาวเขาอาจเป็นหนึ่งในนั้นที่กำลังตกเป็นเหยื่อโดยไม่รู้ตัว

ความคิดต้องหยุดกึก เมื่อเห็นเด็กสาวในบ้าน รูปร่างผอมบาง ผิวคล้ำ กำลังเมียงๆ มองๆ มาทางเขากับวาดตะวัน สายตาคู่นั้นที่มองมาทำนองสงสัยชานนจึงเป็นฝ่ายเอ่ยถามขึ้นก่อน

“ขอโทษนะครับ พวกเรามาหาแม่หมอจันทรนิมิต ไม่ทราบว่า...”

“อย่าเสียเวลารอเลยจ้ะ แม่หมอแกไม่รับดูดวงนอกเวลา”

เด็กคนนั้นเล่นตอบสวนกลับมาเหมือนปัดรำคาญไม่อยากเสียเวลาด้วย ร้อนถึงชานนต้องอธิบาย

“เปล่าๆ พวกเราไม่ได้จะมาดูดวง เผอิญวันก่อนแม่หมอให้ของบางอย่างกับเราไว้ เป็นของสำคัญ พวกเราเลยแค่อยากมาคุยกับแม่หมอให้รู้เรื่องเท่านั้น...ขอแค่สิบนาทีก็ยังดี”

“แต่ตอนนี้แม่หมอไม่อยู่ ออกไปนั่งสมาธิช่วยชาวบ้านตามหาคนหายกว่าจะกลับคงค่ำๆ”

เหตุผลนั้นทำให้ชานนหนักใจอยู่ในที ขณะที่วาดตะวันยังคงชะเง้อมองผ่านประตูรั้วเข้าไป

ความอึมครึมรอบกายบวกกับเมฆหนาที่ปกคลุมทั่วฟ้าทำให้วาดตะวันรู้สึกหวั่นใจแปลกๆ จำได้ว่าเมื่อครู่นี้ฟ้ายังสว่างอยู่เลย

“เจ้าออกัส!” วาดตะวันยิ้มร่าร้องทัก ทั้งดีใจทั้งประหลาดใจในเวลาเดียวกันที่อยู่ดีๆ ก็เห็นกระรอกตัวน้อยของหล่อนกระโดดข้ามรั้วบ้านแม่หมอจันทรนิมิตออกมา

“เจ้ามาโผล่ที่นี่ได้ยังไง อย่าบอกนะว่าแอบตามเรามา”

ออกัสเอาแต่กระโดดไปมาอยู่บนพื้น ร้องชี้เข้าไปในบ้านแม่หมอจันทรนิมิต คราเดียวกับที่ชานนหันมองวาดตะวันขอความเห็น เขาไม่อยากขับรถกลับตอนนี้นักหรอกตราบใดที่ยังไม่ได้คุยกับแม่หมอให้รู้เรื่อง

แต่แล้วภาพสาวข้างกายที่มัวแต่เล่นกับกระรอกอยู่นั่นเองชวนให้ชานนหงุดหงิด

“เลิกทำตัวไร้สาระเสียทีได้มั้ยวาดตะวัน คุณก็เห็นอยู่ว่าเด็กนั่นไม่ยอมให้เราเข้าบ้าน”

“ก็ฉันเห็นนายคุยกับเด็กคนนั้นอยู่เลยไม่อยากกวน”

วาดตะวันให้เหตุผลมาเช่นนั้นชานนเลยถอนใจออกมาอย่างเซ็งๆ “เจ็บใจจริง วันอื่นมีตั้งเยอะตั้งแยะ ดันเจาะจงต้องออกไปทำธุระข้างนอกเอาตอนวันที่เรามา คุณก็รู้ใช่มั้ยว่าผมอุตส่าห์ขับรถมาตั้งไกลแล้ว ไม่อยากเสียเวลาขับกลับมาอีก”

วาดตะวันเพียงยิ้มๆ ยื่อมือมาให้ออกัสกระโดดเข้ามาอยู่ในอุ้งมือ ก่อนเป็นฝ่ายเดินนำกลับไปยังหน้าบ้านแม่หมอจันทรนิมิตอีกครั้ง

เด็กสาวในบ้านทำท่าจะหันหลังให้แล้วถ้าไม่มีเสียงวาดตะวันขอร้อง

“ถ้าไม่เป็นการรบกวนจนเกินไป พวกเราขอเข้าไปนั่งรอแม่หมอจันทรนิมิตในบ้านได้มั้ยคะ”

“แต่แม่หมอ...”

“ฉันรู้ค่ะว่าแม่หมอคงไม่ชอบให้ใครเข้าไปยุ่มย่าม แต่ที่พวกเราเดินทางมาตั้งไกลก็เพราะต้องการที่จะเจอแม่หมอจริงๆ เวลานี้มีเพียงแม่หมอจันทรนิมิตเท่านั้นที่พอจะให้คำตอบกับพวกเราได้ นะคะ...ขอแค่เข้าไปนั่งรอในบริเวณบ้านก็ยังดี ให้โอกาสพวกเราได้อยู่รอแม่หมอสักชั่วโมง พวกเราสัญญาค่ะว่าถ้าครบเวลาแล้วแม่หมอยังไม่มา พวกเราจะยอมกลับแต่โดยดี”

ได้ยินวาดตะวันขอร้องมาเช่นนั้นเด็กสาวในบ้านจึงเกิดอาการลังเล

ครุ่นคิดอยู่ครู่อีกฝ่ายก็พยักหน้าอนุญาต ยอมเปิดประตูรั้วให้ วาดตะวันดีใจยกใหญ่ หันมายิ้มหน้าบานกับชานน รายหลังนั้นมัวแต่ยืนหัวเสียอยู่หน้ารถ พอได้ยินเสียงประตูรั้วเท่านั้นถึงหันมาเห็นว่าวาดตะวันเกลี้ยกล่อมสำเร็จ ยิ้มกว้างออกมาดีใจไม่แพ้กัน


**************************

มาแล้วจ้า ถึงไรเตอร์จะมาช้า แต่ก็มานะคะ >////<



สรัน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 7 พ.ค. 2558, 11:46:34 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 7 พ.ค. 2558, 11:46:34 น.

จำนวนการเข้าชม : 1027





<< บทที่ 4 (ครึ่งหลัง)   บทที่ 5 (ครึ่งหลัง) >>
Zephyr 7 พ.ค. 2558, 13:29:14 น.
ออกัสต้องเป็นคีย์อะไรสักอย่าง
แต่วาโยคือใคร


สรัน 7 พ.ค. 2558, 16:53:27 น.
วาโยเป็นลูกสาวของแม่เลี้ยงวาดตะวันค่ะ^^ รู้สึกวาดตะวันน่าจะเคยเล่าให้ฟังในบทที่4 ที่ชานนนัดเมธัสมาคุยเรื่องวาดตะวัน


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account