รักแท้...เคียงใจ
รักแท้...เคียงใจ
โดย ต้นเรื่อง(ภูเพชร)
อารัมภบท
ณหทัย ‘ฉันจะเชื่อเขาได้ไหม ผู้ชายที่เพียบพร้อมอย่างเขา จะมาสนใจใยดีอะไรกับฉัน ผู้หญิงธรรมดา ๆ คนหนึ่งที่ไม่มีค่าพอให้ใครต้องจดจำ ขนาดแฟนหนุ่มที่คิดว่าดี คบกันมา กว่า 4 ปี ยังใช้เวลาแค่สิบนาที มาบอกเลิกได้อย่างไม่สะทกสะท้านอะไรเลย’
นราภพ ‘อย่าถามผมได้ไหม ว่ารักคุณเพราะอะไร ผมรู้แค่ว่าอยากมีคุณอยู่ใกล้ ๆ อยากมีคุณอยู่เคียงข้างใจ ไม่รู้เหมือนกันว่าความรู้สึกเหล่านี้มันเกิดขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้ตัวอีกทีผมก็สามารถบอกกับคุณได้อย่างมั่นใจ ว่าผู้ชายอย่างผมคนนี้ จะรักคุณคนเดียวตลอดไป’
มาพิสูจน์ รักแท้ ที่ไม่จำกัดนิยาม ของ ผู้ชายที่ชีวิตนี้มีเพียง หนึ่งใจ
-------------------------------------------------------------
ข้อความเล็ก ๆ ของคนต้นเรื่อง/ภูเพชร/ปีบเพชร
ก่อนอื่นต้องขออภัยท่านผู้อ่านทุกท่านเป็นอย่างสูงเลยนะคะ ที่หายไปนานแสนนานมาก
ตอนนี้พร้อมแล้วสำหรับการสร้างสรรค์ผลงานชิ้นนี้ให้จบ ไม่พูดพร่ำทำเพลงจ้า ไปอ่านตอนที่หนึ่งกันเลยเนอะ
อ่านแล้วรู้สึกอย่างไร ติชมวิพากษ์วิจารณ์กันได้นะคะ หรือจะต่อว่าต้นเรื่อง(ภูเพชร)ที่หายไปก็จัดมาได้เลยจ้า จังหวะนี้ยอมทู้กอย่าง :)
--------------------------------------------------
นิยายเรื่องนี้เขียนขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียนเป็นสำคัญ ทั้งพล็อตเรื่อง ชื่อตัวละครและคาแร็คเตอร์ตัวละครล้วนแล้วแต่ดำเนินไปตามเนื้อเรื่อง มิได้มีเจตนาจะกล่าวอ้างถึงบุคคลหนึ่งบุคคลใด และเนื่องจากเป็นนิยายเรื่องแรกในชีวิต หากมีจุดบกพร่อมประการใด ต้นเรื่องใคร่ขอคำชี้แนะจากทุกท่านมา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ :)
โดย ต้นเรื่อง(ภูเพชร)
อารัมภบท
ณหทัย ‘ฉันจะเชื่อเขาได้ไหม ผู้ชายที่เพียบพร้อมอย่างเขา จะมาสนใจใยดีอะไรกับฉัน ผู้หญิงธรรมดา ๆ คนหนึ่งที่ไม่มีค่าพอให้ใครต้องจดจำ ขนาดแฟนหนุ่มที่คิดว่าดี คบกันมา กว่า 4 ปี ยังใช้เวลาแค่สิบนาที มาบอกเลิกได้อย่างไม่สะทกสะท้านอะไรเลย’
นราภพ ‘อย่าถามผมได้ไหม ว่ารักคุณเพราะอะไร ผมรู้แค่ว่าอยากมีคุณอยู่ใกล้ ๆ อยากมีคุณอยู่เคียงข้างใจ ไม่รู้เหมือนกันว่าความรู้สึกเหล่านี้มันเกิดขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้ตัวอีกทีผมก็สามารถบอกกับคุณได้อย่างมั่นใจ ว่าผู้ชายอย่างผมคนนี้ จะรักคุณคนเดียวตลอดไป’
มาพิสูจน์ รักแท้ ที่ไม่จำกัดนิยาม ของ ผู้ชายที่ชีวิตนี้มีเพียง หนึ่งใจ
-------------------------------------------------------------
ข้อความเล็ก ๆ ของคนต้นเรื่อง/ภูเพชร/ปีบเพชร
ก่อนอื่นต้องขออภัยท่านผู้อ่านทุกท่านเป็นอย่างสูงเลยนะคะ ที่หายไปนานแสนนานมาก
ตอนนี้พร้อมแล้วสำหรับการสร้างสรรค์ผลงานชิ้นนี้ให้จบ ไม่พูดพร่ำทำเพลงจ้า ไปอ่านตอนที่หนึ่งกันเลยเนอะ
อ่านแล้วรู้สึกอย่างไร ติชมวิพากษ์วิจารณ์กันได้นะคะ หรือจะต่อว่าต้นเรื่อง(ภูเพชร)ที่หายไปก็จัดมาได้เลยจ้า จังหวะนี้ยอมทู้กอย่าง :)
--------------------------------------------------
นิยายเรื่องนี้เขียนขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียนเป็นสำคัญ ทั้งพล็อตเรื่อง ชื่อตัวละครและคาแร็คเตอร์ตัวละครล้วนแล้วแต่ดำเนินไปตามเนื้อเรื่อง มิได้มีเจตนาจะกล่าวอ้างถึงบุคคลหนึ่งบุคคลใด และเนื่องจากเป็นนิยายเรื่องแรกในชีวิต หากมีจุดบกพร่อมประการใด ต้นเรื่องใคร่ขอคำชี้แนะจากทุกท่านมา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ :)
Tags: หวานซึ้ง อบอุ่นใจ
ตอน: ตอนที่ 14 เรื่องของใจจะให้ได้ดั่งใจอย่างธุรกิจคงไม่ใช่
รักแท้...เคียงใจ ตอนที่ 14 เรื่องของใจจะให้ได้ดั่งใจอย่างธุรกิจก็คงไม่ใช่ โดยต้นเรื่อง
ศาลาหกเหลี่ยมริมน้ำบ้านอัศวเดชา หญิงชราท่าทางเหมือนคนเจ้ายศเจ้าอย่างกำลังทอดตัวตามสบายปล่อยแขนซ้ายวางพาดพิงอิงหมอนหนุนทรงสามเหลี่ยม สายตามองผ่านแว่นตาหนาเตอะจับจ้องไปยังตัวหนังสือที่เรียงรายอยู่ตรงหน้าอย่างเพลิดเพลินใจ
“ชาใบเตยค่ะคุณท่าน” ป้าน้อมคนสนิทเสน่หารินน้ำชาให้หญิงชราอย่างรู้จิตรู้ใจ คุณหญิงนภาส่งยิ้มน้อย ๆ ให้คุณแม่บ้านเป็นการขอบใจ
“เธอนี่รู้ใจฉันเสมอนะแม่น้อม” คุณน้อมยิ้มแป้นกับคำชมที่ได้รับ
“เจ้าค่ะคุณท่าน”
“อ้อ...คุณหญิงย่าเจ้าคะ นายน้อยเดินมานั่นแล้วค่ะ” หญิงชราละสายตาจากหนังสือเล่มโปรดแล้วหันไปมองตามการพยักพเยิดของคุณแม่บ้านใหญ่ ก็ได้เห็นร่างสูงใหญ่ของหลานชายก้าวเท้ามาตามทางเดินที่เชื่อมระหว่างตัวบ้านเรือนไทยหลังใหญ่กับศาลาริมน้ำพอดิบพอดี คนเป็นย่านั่งมองอยู่ชั่วอึดใจร่างสูงใหญ่ก็มาประนมก้มกราบตักอยู่ตรงหน้า
“กราบครับคุณย่า”
“ไหว้พระเถอะลูก” คุณนภากล่าวทั้งลูบหัวลูบไหล่หลานชายไปด้วย
ท่ามกลางบรรยากาศสบาย ๆ ริมน้ำยามสาย สองย่าหลานนั่งดื่มน้ำชาและทานของว่างกันอย่างตั้งอกตั้งใจจนผู้เป็นย่าอดใจไม่ได้ที่จะเปิดประเด็นสำคัญ
“เจ้าตัวดี คนของย่าโทรมาบอกว่าหนูตรีมารอเข้ารับสัมภาษณ์แล้วนะ เราไม่ไปเป็นกำลังใจให้เขารึไง ฮึ” ทักไปแล้วคุณนภาก็ต้องอมยิ้มกับท่าทางกลืนไม่เข้าคายไม่ออกของหลานชาย “ไม่อยากเห็นหน้าเขารึไง” คุณหญิงยังถามต่อ
“อยากครับ แต่เค้าคงไม่อยากเห็นหน้าผมเท่าไหร่” คนพูดตีหน้าเศร้าเล่าเสียงอ่อย
“อ้อ อย่างนี้นี่เอง ถึงได้มาขลุกอยู่กับคนแก่ได้เป็นนาน”
“โธ่ คุณย่าครับ” นราภพโอดครวญกับน้ำเสียงประชดประชันทีเล่นทีจริงจากผู้เป็นย่า
“ไม่ต้องมาธงมาโธ่ แล้วนี่เมื่อไหร่จะพามาแนะนำให้ย่ารู้จักล่ะ”
“ใช่เจ้าค่ะ น้อมก็อยากเห็น เมื่อไหร่จะพามาคะ” คุณน้อมพูดขึ้นบ้าง หลังจากนั่งมองภาพอันน่าประทับใจของสองย่าหลานอยู่เป็นนาน
“เห็นไหมตาภพ มีแต่คนเค้าอยากเห็น รีบ ๆ พามาได้แล้วนะ”
“อยากพามาอยู่ครับแต่ความสัมพันธ์ของผมกับเขายังสามวันดีสี่วันไข้อยู่เลยครับ”
“ไปทำอะไรเข้าล่ะ ถึงได้สามวันดีสี่วันไข้แบบนั้น” ผู้เป็นย่ามองหลานชายด้วยสายตารู้เท่าทัน
“โธ่คุณย่าครับ ย่ามองผมด้วยสายตาแบบนั้นสิครับ”
“เฮอะ !...ว่าได้เรอะ หลานย่า ย่าเลี้ยงมากับมือ ย่าจะไม่รู้จักหลานย่าเลยหรือยังไง”
“ก็...จริง ๆ ผมก็ไม่ได้ทำอะไรเลยนะ แค่แสดงออกทางความรักมากเกินไปหน่อยเท่านั้นเอง”
“มากเกินไปจนกลายเป็นไม่ให้เกียรติใช่หรือเปล่าตาภพ” นราภพเสหลบตาผู้เป็นย่า
“เอ่อ...”
“ระวังเถอะ นกน้อยจะบินหนีตั้งแต่ยังไม่ทันได้จับเข้ากรงทอง แล้วจะหาว่าย่าไม่เตือน หึ ๆ ๆ” คุณหญิงนภาเอ่ยเตือนสีหน้า
จริงจัง เธอไม่เห็นด้วยกับความคิดพิเรนทร์ ๆ ของหลานชายเลยสักนิดที่ปิดบังความจริงเกี่ยวกับตัวตนของตัวเองเอาไว้ไม่ให้อีกฝ่ายรู้ ความรักมันควรจะงอกงามบนความซื่อสัตย์จริงใจไว้เนื้อเชื่อใจและไม่ปิดบังกัน
“ไม่มีทางครับ ผมจะไม่มีวันให้เป็นแบบนั้นเด็ดขาด ไม่เชื่อคุณย่าคอยดูต่อไปครับ” นราภพบอกกับบุพการีหนึ่งเดียวที่ตนเคารพรักอย่างหมายมาด ความเครียดปรากฏขึ้นมาทันทีกับการจู่โจมตรงจุดของผู้เป็นย่า คุณหญิงย่ามองท่าทางหลานชายตนเองอย่างขำ ๆ ‘มันเป็นเอามากแฮะ พ่อคนนี้ ถึงขนาดลงทุนป่วนบริษัทตัวเอง เฮ้อ...นี่แหละน้า ที่เค้าว่า ความรักทำให้คนตาบอด’
“อ้าว แล้วทำไมต้องเอาแต่มองโทรศัพท์ล่ะนั่น รอสายใครอยู่รึ” คำถามของคุณหญิงนั้นได้รับคำตอบกลับมาเป็นรอยยิ้มพิมพ์ใจของเจ้าหลานชาย ที่เอาแต่อมยิ้ม จ้องมองโทรศัพท์อย่างเป็นวรรคเป็นเวรอยู่ตรงหน้าเธอแทน
“เอ้า...คนอะไรพูดด้วยก็ไม่พูดกับเรา แบบนี้คนแก่งง...เอ้อ นั่งมานานแล้ว ย่าชักเมื่อย เดี๋ยวย่าขอตัวไปเอนหลังสักหน่อยล่ะ”
“จะไปพักผ่อนแล้วหรอครับ ผมไปส่งไหมครับคุณย่า” นราภพส่งเสียงเย้าแหย่กับคุณย่าของตน
“ไม่ต้องหรอกย่ะ...ไอ้เราก็นึกว่าจะไม่สนใจคนแก่ซะแล้ว เห็นเอาแต่สนใจกับเจ้าโทรศัพท์ ก็ยังดีที่ยังสนใจเราอยู่” คุณหญิงก็เหน็บกลับหลานชายได้รวดเร็วทันใจจริง ๆ
“โธ่ คุณย่าก็”
“ไม่ต้องมาธงมาโธ่...ย่าไปเอนหลังล่ะ ถึงเวลาของมันแล้ว ไปกันแม่น้อม”
“เจ้าค่ะ” คุณน้อมรับคำ พลางจะเข้ามาพยุงคุณหญิง แต่มีเสียงของนราภพ ขัดขึ้นก่อน
“ไม่ต้องหรอกครับป้าน้อม เดี๋ยวผมไปส่งคุณย่าขึ้นเรือนเอง”
“เอางั้นหรอ เอางั้นก็ไป” คุณหญิงณปภาไม่ขัดใจหลานชาย นราภพประคองคุณย่ามาส่งถึงมุมโปรดของท่านบนเรือนใหญ่ พร้อมก้มลงกอดและหอมแก้มคุณย่าตน
“คุณย่าครับ เดี๋ยวผมลงไปนั่งเล่นที่ศาลาต่อนะครับ”
“ไปเถอะพ่อคุณ ขอบใจมากนะที่มีมานะมาส่ง”
“ไม่เป็นไรครับผม เพื่อคุณย่า” ชายหนุ่มกล่าวยิ้ม ๆ เจอแบบนี้คนแก่ก็ปลื้มจนยิ้มไม่หุบ นราภพผละออกมา มุ่งหน้าไปยังศาลาที่จากมาเมื่อครู่ แต่ยังไม่ทันพ้นบริเวณที่คุณหญิงย่าเอนหลังอยู่ นราภพก็ต้องชะงักเท้าหยุดฟังคำพูดของท่านที่เปรยออกมากับป้าน้อมอย่างตั้งใจ
“จะทำอะไรก็ทำน้าแม่น้อม อย่ามัวแต่เล่น ๆ เป็นเกม เดี๋ยวเค้าจะคิดว่าเราไม่จริงใจ พอจับได้และไล่ทันขึ้นมา...ถึงเวลานั้นจะมานั่งแก้ตัวทีหลังก็คงฟังไม่ขึ้นแล้วแหละ”
พอพูดจบคุณหญิงก็ชำเลืองหางตาไปมองหลานชายที่หยุดฟังคำพูดของตนอยู่ไม่ไกล นางพูดเพื่อเตือนสติ อยากให้หลานชายเข้าไปหาเขาตรง ๆ ไม่ต้องปิดบังฐานะที่แท้จริงกับเธอคนนั้น แต่ถึงอย่างไรนางก็เชื่อเสมอว่าเมื่อตาภพบอกว่า ‘ใช่’ เขาก็จะหาทางคว้าเธอมาเคียงข้างใจจนได้นั่นแหละ และเจ้าหลานชายก็จะสามารถแก้ปัญหาที่เกิดจากการเรียนผูกให้ยุ่งเหยิงของตนได้อย่างแน่นอน เพียงแต่จะช้าหรือจะเร็วเท่านั้นเอง
‘ผมขอทำตามวิธีของผมนะครับคุณย่า’ นราภพบอกตัวเองในใจ แล้วเดินห่างออกไป
-------------------------------------------
การเข้ารับการสัมภาษณ์งานในครั้งนี้ของณหทัยเป็นไปอย่างเรียบร้อย ไม่ได้กดดันมากอย่างที่คิด แม้ขณะตอบคำถามหญิงสาวจะตื่นเต้นมากก็ตามที แต่สิ่งที่ทำให้หญิงสาวหนักใจที่สุดตอนนี้ก็คือคำขอร้องจากเขาคนนั้น ‘สัมภาษณ์เสร็จ โทรหาผมนะครับ...ผมขอร้อง’ ใบหน้าคมคายและน้ำเสียงอ้อนวอนของนราภพวาบเข้ามาในความคิดของณหทัยทันทีที่ออกมาจากห้องสัมภาษณ์
‘โทรหาเขาดีไหม?’ ณหทัยถามคำถามนี้กับตัวเองหลายครั้งตั้งแต่เมื่อคืนจนกระทั่งถึงตอนนี้ และสุดท้ายจิตใจที่อ่อนไหวก็เป็นฝ่ายชนะไปเพราะหญิงสาวหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเบอร์โทรของนราภพที่จำได้อย่างขึ้นใจแม้จะไม่ปลื้มใจในบางอย่างที่เขาแสดงออกในช่วงนี้ก็ตาม เพียงแค่ยกโทรศัพท์แนบหูณหทัยก็ต้องตกใจจนเกือบทำโทรศัพท์หลุดมือเนื่องจากยังไม่ทันได้คิดคำพูด ปลายสายอีกฝ่ายก็กดรับและกล่าวทักทายมาตามสายราวกับว่าใจจดใจจ่อรออยู่ก่อนแล้ว
“ผมนึกว่าคุณจะไม่โทรมาซะแล้ว” น้ำเสียงร้อนรนที่ดังลอดมาตามสายทำเอาณหทัยอดยิ้มไม่ได้แม้จะพยายามฝืนเอาไว้อย่างเต็มที่
“กำลังคิดอยู่ว่าอาจจะโทรผิด ถ้างั้นวางสายก่อนนะคะ”
“อย่าครับอย่า อย่าวาง”
ณหทัยหลุดหัวเราะคิกมาตามสายจนได้ นราภพผ่อนลมหายใจออกมาอย่างโล่งอกเมื่อได้ยินเสียงนั้น
“เป็นไงบ้างครับ การสัมภาษณ์”
“ก็ดีค่ะ ตื่นเต้นมากเลย” ‘ก็ลองไม่ดีสิ ผมจะได้จัดการให้หมดทุกคน’ นราภพคิดในใจ
“ดีแล้วครับ...ถ้างั้นผมขออนุญาตไปรับณหทัยนะ รอผมอยู่ที่หน้าห้องสัมภาษณ์นะ แล้วเจอกันครับ” พูดจบนราภพก็ตัดสายไปทันที
“เดี๋ยวค่ะเดี๋ยว...อ้าว วางไปซะละ” ณหทัยยิ้มกับตัวเองขันกับความเผด็จการของชายหนุ่มที่นับวันจะยิ่งแสดงออกมามากขึ้นทุกที แปลกที่ตัวเองก็ชักจะชิน ๆ ที่เขาเป็นแบบนี้แล้วสิ คงไม่ผิดอะไรที่เราจะลองเปิดใจให้คุณภพมาเป็นเพื่อนรุ่นพี่ เพราะไหน ๆ เขาก็เป็นผู้ชายเพียงคนเดียวที่สนิทด้วย ณ ตอนนี้ ณหทัยบอกกับตัวเองในใจอย่างพยายามปลดปลงพันธะในใจ
----------------------------------------------
ภาพของบุรุษหนุ่มร่างสูงใหญ่ แต่งกายด้วยเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีฟ้าอ่อน ชายเสื้อสอดเข้าไปในกางเกงสแลคเนื้อดีอย่าง
เรียบร้อย บุคลิกน่าเกรงขาม ดูมีอำนาจในตัวเอง ใบหน้าเรียบเฉย หนวดเคราที่ขึ้นไม่สามารถบดบังรูปหน้าคมเข้มของเขาได้แถมยังส่งให้ใบหน้านั้นดูหล่อเหลามากขึ้นไปอีกกำลังก้าวท้าวยาว ๆ เข้ามาในบริษัท เรียกความสนใจจากทุกคนที่พบเห็นได้เป็นอย่างดี ชายหนุ่มยังก้าวต่อไปอย่างมั่นคง จิตใจจดจ่ออยู่กับร่างบางของหญิงสาวหนึ่งเดียวที่อยู่ในห้วงความคิดคำนึง ไม่มีพนักงานคนใดกล้าเข้าไปสอบถามถึงเหตุแห่งการมาเยือน ได้แต่ปล่อยให้ชายหนุ่มเดินผ่านไปอย่างงุนงงและตกตะลึง
นราภพเดินมาหยุดมองแผ่นหลังของคนที่นั่งอยู่ตรงหน้า ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะแสดงตัวให้หญิงสาวได้รับรู้
“ณหทัยครับ”
“อุ่ย...คุณภพ มาถึงตั้งแต่เมื่อไหร่คะ” หญิงสาวอุทานขึ้น ความตกใจมีเล็กน้อยเมื่ออยู่ ๆ ชายที่อยู่ในภวังค์ความคิดหลังจากที่คุยโทรศัพท์เสร็จเมื่อไม่นานนี้มาปรากฏกายอยู่เบื้องหลังตนเร็วนัก
“นานพอที่จะเห็นผู้หญิงคนหนึ่งเอาแต่นั่งถอนหายใจล่ะครับ” คำตอบที่ได้กลับมาทำให้ณหทัยต้องยิ้มออกมาอย่างอาย ๆ
“เป็นอะไรรึเปล่าครับ บอกผมได้ไหม” นราภพยังถามต่อไป แววตาเริ่มฉายชัดถึงความกังวล
“เอ่อ...ไม่มีอะไรหรอกค่ะ ไปกันเถอะค่ะ นี่ก็ใกล้เที่ยงแล้วตรีจะได้ถือโอกาสชวนคุณภพทานอาหารที่บ้าน เพื่อเป็นการตอบแทนที่คุณภพมีส่วนทำให้ตรีได้งานทำ”
“จริงหรอครับ” นราภพลืมความกังวลเกี่ยวกับตัวหญิงสาวแทบจะทันที แทนที่ด้วยความดีใจอย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มอยากจะโห่ร้องให้ก้อง ไม่ได้ดีใจที่เธอได้งาน แต่ดีใจที่เธอยอมให้เค้าเข้าบ้านอีกครั้งต่างหาก
“ค่ะ”
“ด้วยความยินดีครับ” รอยยิ้มที่ไม่มีลูกน้องคนไหนเห็นได้บ่อยนัก กำลังปรากฏออกมาให้ณหทัยได้เห็นอย่างพร่ำเพรื่อขึ้นทุกวัน พอกล่าวเสร็จนราภพก็ถือวิสาสะจูงมือณหทัยไปขึ้นรถ ท่ามกลางสายตาของพนักงานทุกคนที่มองตามด้วยความสงสัยกึ่งไม่แน่ใจ
“คุณวินิจ คุณวินิจ คุณช่วยบอกผมทีว่าผมตาฝาดใช่ไหม คุณเห็นเหมือนผมรึเปล่า” เสียงคุณทรงวิทย์ผู้บริหารฝ่ายบัญชีเอ่ยถามกับคุณวินิจผู้บริหารฝ่ายทรัพยากรมนุษย์บ่งบอกความสงสัยระคนแปลกใจอย่างที่สุด ตนเปิดประตูออกมากำลังจะออกจากห้องที่ใช้สัมภาษณ์พนักงานคนพิเศษ แต่มาเจอเหตุการณ์เมื่อครู่เสียก่อนจึงหยุดฟังบทสนทนาที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้อย่างไม่ได้ตั้งใจ
“ถ้าคุณตาฝาด ผมก็คงต้องไปตัดแว่นใหม่ล่ะครับ เพราะผมก็เห็นเหมือนคุณเต็มสองลูกกะตาเลย” คุณวินิจตอบกลับมาอย่างมีอารมณ์ขัน แต่ในสมองก็ยังจัดลำดับความคิดของตนได้ไม่ดีนัก ท่านประธานที่หาตัวได้ยากเหลือเกิน ทำงานผ่านเลขาคนสนิทตลอด พนักงานระดับล่าง ๆ ยังแทบไม่เคยได้เห็นตัวจริงด้วยซ้ำไป งานสังคมท่านยังไม่ค่อยจะไปเลย แถมยังไม่เคยมีข่าวว่าจะสนใจผู้หญิงคนไหนเลยสักครั้งเดียว กลับมาเป็นสารถีขับรถรับส่งให้กับผู้หญิงธรรมดา ๆ คนนี้ และที่น่าตกใจคือรอยยิ้ม ที่ท่านประธานไม่ค่อยจะมีให้ใคร จนบางครั้งสื่อมวลยังต้องตั้งฉายาให้ว่าราชสีห์ยิ้มยากบ้าง เทพบุตรผู้ลึกลับบ้าง กลับมีให้เธอคนนี้อย่างสนิทใจเสียด้วย หรือเขาจะตกข่าวอะไรไป
วินิจขยับกรอบแว่นอย่างที่ทำประจำเวลามีเรื่องครุ่นคิด
“เห็นทีเราจะมีนายหญิงกันก็คราวนี้ล่ะคุณทรงวิทย์” คุณทรงวิทย์พยักหน้ารับทั้งเสียงหัวเราะ
“ผมก็ว่างั้นล่ะ…มันแปลกตั้งแต่ให้นักการตลาดมาทำงานในแผนกบัญชีแล้วครับผม”
สองผู้บริหารประสานเสียงหัวเราะกันอย่างครื้นเครงเมื่อนึกถึงความเป็นไปได้ที่จะเกิดงานมงคลที่ไม่ได้มีมานาน ก่อนที่ต่างฝ่ายจะต่างแยกย้ายกันไปทำงาน โดยที่ไม่มีใครคิดจะบอกต่อในเรื่องที่พบเจอให้คนอื่นทราบ
----------------------------------------
‘เธอถอนหายใจอีกแล้ว’ นราภพเหลือบมองคนข้าง ๆ อย่างไม่ค่อยสบายใจ เพราะตั้งแต่ขึ้นรถมาเธอถอนหายใจไปไม่ต่ำกว่าสิบรอบ เธอคงจะคิดว่าเขาไม่ทันสังเกตเห็นกระมัง แต่เขาจับได้ตั้งแต่เธอถอนหายใจครั้งแรกแม้มันจะแผ่วเบามากก็ตามที ณหทัยมีอะไรให้หนักใจกัน
“ไม่คิดจะระบายเรื่องไม่สบายใจในใจให้ผมรู้จริง ๆ หรอ” นราภพเอ่ยถามน้ำเสียงอ่อนโยน มือหนายังคงควบคุมพวงมาลัยอย่างมั่นคง
“คือ...คุณภพรู้ด้วย” ณหทัยส่งยิ้มแหย
“เก็บไว้ก็เครียดเปล่า ๆ นะ แล้วผมก็คิดว่าผมเป็นผู้ฟังที่ดีได้” นราภพหันไปส่งยิ้มให้ณหทัยแว่บหนึ่งก่อนที่จะมุ่งมั่นกับการขับรถต่อ พร้อม ๆ กับรอฟังคนข้างกายไปด้วย รหทัยเห็นว่าไม่มีประโยชน์อะไรที่จะเก็บไว้ให้หนักอกหนักใจ จึงค่อย ๆ บอกเล่าออกมาให้อีกฝ่ายได้รับทราบ
“คืองานใหม่ที่ตรีสัมภาษณ์มาเมื่อครู่มันค่อนข้างจะยากน่ะค่ะในความคิดของตรี เพราะมันไม่ตรงสายที่เรียนมา ตอนนี้มีว่างตำแหน่งเดียวแล้วทางบริษัทก็อยากให้ตรีเข้าไปทำในตำแหน่งนี้ มองมุมแรกมันก็เป็นโอกาสสำคัญอันดีที่ตรีจะได้งานโดยไม่ต้องไปย่ำต็อกหาที่อื่น แต่มองอีกมุมมันก็เป็นความกดดันที่เกิดขึ้นมาโดยไม่รู้ตัวเพราะตรีไม่รู้ว่าจะเจออะไรบ้างกับเนื้องานที่ตนไม่คุ้นเคย”
นราภพถึงบางอ้อในทันที
“ผ่านตลาด...ซื้ออะไรเข้าไปไหมครับ” แทนที่จะแสดงความคิดเห็นแต่นราภพเลือกที่จะถามในสิ่งที่ไม่เกี่ยวกันแม้แต่นิดเดียว
“คุณภพ! ไหนบอกว่าจะฟังไงคะ”
อีกฝ่ายหันมายิ้มเผล่ให้
“กองทัพต้องเดินด้วยท้องครับ ปล่อยวางเรื่องนี้ไปก่อน กินข้าวเสร็จเราจะคุยเรื่องนี้กันต่อ”
ณหทัยหน้ามุ่ยพลางบ่นงึมงำ “โธ่มาหลอกให้พูด แล้วก็วางเฉย เดี๋ยวก็แกล้งทำรถเหลือคว่ำในอาหารกลางวันเลยนิ”
“อะไรนะ ว่าไงนะครับ ผมได้ยินไม่ชัดเลย”
“อ้อ เปล่าค่ะเปล่า”
นราภพอมยิ้ม ขับรถต่อไปอย่างอารมณ์ดี
-------------------------------------
บ้านสวนกลางเมืองเปิดประตูต้อนรับนราภพอีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่ครั้งล่าสุดเมื่อวันก่อนชายหนุ่มได้แต่มองผ่านประตูรั้วตามหลังร่างบางเพราะสาวเจ้าไม่อนุญาตให้เข้าบ้าน
ณหทัยวางกระเป๋าและตรงเข้าครัวไปจัดเตรียมอาหารอย่างคล่องแคล่ว โดยมีคนตัวโตขอตามเข้าไปเป็นผู้ช่วยในครัว เวลาผ่านไปพักใหญ่เสียงหวาน ๆ จากแม่ครัวก็ดังขึ้น
“คุณภพคะ ไปนั่งรอเถอะค่ะ เดี๋ยวตรีทำให้ทานนะคะ” ณหทัยหยิบผักหยิบหญ้าที่อยู่ในมือของชายหนุ่มมาใส่ไว้ในถาดตามเดิม แล้วเชิญอีกฝ่ายออกนอกครัวไปนั่งรอเพราะคุณภพเหมือนจะเข้ามาป่วนเธอเสียมากกว่าไม่ได้เข้ามาช่วย อาหารก็ทำท่าว่าจะเสร็จช้าไปอีก แทนที่จะได้ตั้งโต๊ะกินกันตั้งแต่เมื่อสิบนาทีที่แล้ว
“ให้ผมช่วยไม่ได้หรอครับ” นราภพออดอ้อนเพราะไม่อยากจะออกไปแกร่วที่โต๊ะอาหาร สู้ยืนหยิบนั่นหยิบนี่อยู่ตรงนี้จะดีกว่า ไม่รู้เขาเป็นอะไรไม่ค่อยอยากจะห่างหญิงสาวเอาเสียเลย
“ไม่เป็นไรค่ะเดี๋ยวตรีทำเอง คุณภพไปนั่งรอที่โต๊ะอาหารดีกว่านะคะอีกเดี๋ยวก็เสร็จแล้ว”
“แต่...”
“ไม่มีแต่ค่ะ ไปนั่งรอที่โต๊ะอาหาร เดี๋ยวนี้ค่ะ” ณหทัยชูตะหลิวในมือพลางเอ่ยย้ำอย่างชัดถ้อยชัดคำ เมื่อชายหนุ่มทำท่าอิดออดไม่ยอมไป
“ก็ได้ ๆ ไปแล้วครับ ไปแล้ว” นราภพบอกอย่างอารมณ์ดี ยอมตามใจคำขอปนข่มขู่ของเธออย่างไม่มีข้อแม้ ‘นี่ถ้าเพชรกับภัคค์มาเห็น มีหวังได้อายพวกมันแหงเลย มันคงล้อสามวันเจ็ดวันแบบไม่มีพักเบรคชัวร์’ นราภพพาดพิงไปถึงคนสนิทในใจ ‘ก็ไม่ได้กลัวซะหน่อย แค่ไม่อยากขัดใจแค่นั้นเอง’ ชายหนุ่มยังไม่วายหาข้อแก้ตัวให้ตัวเอง
“ดีมากค่ะ” หญิงสาวส่งยิ้มหวาน ๆ ไปให้ชายหนุ่มได้ชื่นใจอีกคราหนึ่ง ณหทัยไม่ได้สังเกตตัวเองเลยว่า ณ เวลานี้ตัวเองไม่มีความเศร้าติดอยู่ในใจแม้แต่นิดเดียว ตั้งแต่ที่มีผู้ชายที่ชื่อนราภพมาตอแยอยู่ใกล้ ๆ
ไม่ช้าไม่นานอาหารหน้าตาน่ารับประทานก็มาปรากฏอยู่ตรงหน้าชายหนุ่ม ณหทัยมองผลงานของตนด้วยสายตาพึงพอใจ นราภพลุกขึ้นขยับเก้าอี้ให้หญิงสาวนั่งด้วยท่าทางกระตือรือร้น
“ขอบคุณค่ะ” หญิงสาวเอ่ยขอบคุณเบา ๆ เลือดฝาดกระจายเต็มหน้ากับกิริยาที่อีกฝ่ายปฏิบัติต่อตน
“เป็นไงคะฝีมือตรี รอบนี้เมนูใหม่ ๆ ทั้งนั้นเลย พอจะสู้เชฟโรงแรมที่กระบี่ได้ไหมคะ” ณหทัยถามขึ้น หลังจากที่เห็นนราภพตักอาหารทานไปหลายอย่าง
“ไม่เหมาะหรอกครับ” คำตอบที่ได้รับ ทำเอาแม่ครัวถึงกับหน้าเสีย ‘อีตาบ้า จะชมสักคำก็ไม่มี’ ณหทัยค่อนขอดผู้ชายตรงหน้าในใจ
“ว้า รอบนี้รสชาติมันคงใช้ไม่ได้เลยใช่ไหมคะ” หญิงสาวพูดออกมาแล้วก้มหน้าก้มตาทานอาหารไปเรื่อย ๆ นราภพนั่งลอบยิ้ม ดูก็รู้ว่าแม่ครัวของเขางอนไปแล้ว
“เปล่าครับ ฝีมือคุณตรีไม่เหมาะที่จะเป็นเชฟหรอกครับ แต่เหมาะที่จะเป็นแม่บ้านให้ผมมากกว่า” ณหทัยถึงกับสำลักกับคำชี้แจงของชายหนุ่มที่ปล่อยมาแบบไม่ทันได้ตั้งตัว หญิงสาวหน้าแดงด้วยความเขินอาย ไม่เคยคิดเลยว่าผู้ชายท่าทางสุภาพ ๆ นิ่ง ๆ ติดจะขรึมอย่างคุณภพจะคารมคมคายมากขนาดนี้
“คุณภพอารมณ์ขันเยอะจังนะคะ” หญิงสาวเอ่ยขึ้น แต่สายตากลับมองแต่จานข้าวตัวเอง ถ้าเพียงณหทัยเงยหน้าขึ้นสบตากับอีกฝ่ายก็จะได้เห็นสายตาคมกล้าของที่ส่งประกายแววหวานมาให้เธอแบบที่ไม่มีแววล้อเล่นเลยแม้แต่นิดเดียว
การรับประทานอาหารเป็นไปอย่างราบรื่น แม้จะไม่มีเสียงพูดคุยมากนัก แต่ทั้งสองก็สัมผัสได้ถึงความอบอุ่นและความสุขใจที่แผ่กระจายไปรอบ ๆ โต๊ะอาหารตัวเล็ก ๆ
“เมื่อไหร่ที่อยู่ใกล้เธอ..ฉันรู้สึก ราวกับเคลิ้มไป...ไม่เป็นตัวเอง ไม่เหมือนเคย
แต่พอเธอห่างหายไป คิดจะลืม ยังไม่ได้เลย...ทำไมต้องเธอ ไม่เข้าใจ”
‘เสียงโทรศัพท์ของณหทัย’ เสียงที่ได้ยินทำให้คนที่กำลังเพลิดเพลินกับการดูทีวีต้องหยุดดูอย่างรวดเร็วแล้วสอดส่ายสายตาหาวัตถุต้นกำเนิดเสียง ก่อนที่เจ้าของเครื่องซึ่งกำลังล้างจานอยู่ในครัวจะได้ยินเสียง หลังจากรับประทานอาหารกันเสร็จ เจ้าของบ้านสาวก็ดุนหลังให้เขามานั่งรอที่มุมรับแขกตรงนี้ ส่วนตัวเธอก็ไปจัดการกับสำรับกับข้าวกับปลาอย่างคล่องแคล่ว
‘อยู่นี่นี่เอง รับแทนคงไม่เป็นไร’ นราภพสรุปเองเสร็จสสรรพพลางเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์มากดรับสายอย่างถือวิสาสะ แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไรเสียงปลายสายที่ดังเข้ามาก็ทำให้ชายหนุ่มชะงัก
“สวัสดีครับน้องตรี นี่พี่นนท์เองนะครับ เป็นไงบ้างครับสบายดีไหม คิดถึงพี่บ้างรึเปล่าเอ่ย พี่ คุณพ่อ แล้วก็ยายนินกลับมากันแล้วนะ ซื้อของมาฝากน้องตรีเต็มเลย ตอนนี้น้องตรีพักอยู่แถวไหนพรุ่งนี้พี่ว่าจะไปหะ...”
ตู๊ด ๆ ๆ ๆ
นราภพกดตัดสายด้วยความรู้สึกหงุดหงิดที่เริ่มคุกรุ่นอยู่ในใจ เขาจำได้ดีชายหนุ่มนามว่านนท์เพื่อนบ้านที่แสนสนิทชิดเชื้อกันของณหทัย วันงานศพเขาก็ว่าท่าทางมันแปลก ๆ ดูจะให้ความสำคัญกับณหทัยมากกว่าคำว่าน้องสาวหรือเพื่อนน้องสาว ไม่คิดว่าจะรุกหนักขนาดนี้
‘ฝันไปเถอะไอ้หน้าอ่อนว่าณหทัยจะคิดถึง’
เมื่อไหร่ ที่อยู่ใกล้เธอ..ฉันรู้สึก ราวกับเคลิ้มไป...
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้นราภพกดตัดสายทิ้งทันทีโดยไม่ต้องเสียเวลาคิดแม้แต่นิดเดียว พอดีกับที่รหทัยเดินออกมาจากในครัว
“เสียงโทรศัพท์ตรีนี่คะคุณภพ” หญิงสาวจำได้ว่าเมื่อครู่ที่จะเดินออกมาได้ยินเสียงโทรศัพท์แว่ว ๆ
“อ๋อ ผมรับให้แล้วครับ เค้าว่าโทรผิดน่ะ ไม่มีไรหรอก..แต่ต้องขอโทษด้วยนะครับที่ละลาบละล้วง พอดีเห็นว่าณหทัยน่าจะไม่สะดวก เลยถือวิสาสะรับแทน” นราภพเอ่ยแก้สถานการณ์ ทั้งพยายามปรับสีหน้าและน้ำเสียงของตนให้เป็นปกติเมื่อเห็นร่างบางกำลังเดินตรงมาหา
“อ๋อ ไม่เป็นไรหรอกค่ะ” ณหทัยกล่าวยิ้มๆ อย่างไม่ได้คิดมากอะไร มือบางหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู แล้วก็ยิ้มอย่างยินดีเมื่อเห็นเบอร์ที่โทรเข้ามา กิริยาของหญิงสาวยิ่งทำให้นราภพชักจะเก็บอารมณ์คุกรุ่นของตนไว้ไม่อยู่ อยากจะจับร่างบางมาเขย่าให้หัวสั่นหัวคลอนคาดคั้นเอาคำตอบว่าทำไมจะต้องดีใจอะไรขนาดนั้นที่ไอ้หมอนั่นโทรมา แล้วแอบไปให้เบอร์กันตอนไหนทำไมเขาไม่รู้เรื่อง แต่ด้วยความที่กลัวจะทำให้เธออึดอัดใจจนกระทั่งปิดกั้นตัวเองอีกครั้ง ทำให้นราภพต้องพยายามระงับอารมณ์เอาไว้
“ผมขอตัวกลับก่อนนะ พรุ่งนี้ผมจะมารับไปทำงานนะครับ” ตะกอนอารมณ์ที่กำลังคุกรุ่นอยู่ในใจ ทำให้นราภพกล่าวลาสาวเจ้าบ้านอย่างกะทันหันด้วยน้ำเสียงราบเรียบ เพราะกลัวจะเผลอทำไรไม่ดีเข้า แต่แล้วความพยายามของชายหนุ่มก็ไม่ประสบผลเมื่อหญิงสาวไม่มีแม้แต่เสียงทัดทานเอาแต่ให้ความสนใจกับโทรศัพท์เครื่องเล็กนั่น
โทรศัพท์มือถือเครื่องเล็กในมือหญิงสาวจึงลอยหวือไปหล่นแหมะเอาตรงเก้าอี้หน้าทีวี เคราะห์ดีที่เก้าอี้ตัวนั้นไม่ได้ทำด้วยไม้หรือวัสดุอะไรที่มันแข็งโทรศัพท์จึงอยู่ดี ไม่กระจายออกเป็นเสี่ยง ๆ ณหทัยหันมาจะแหวใส่คนที่กระทำการอุกอาจ แต่ก็ถูกคนตัวโตกระชากเข้ามาในอ้อมกอดเสียก่อน นราภพประทับริมฝีปากมอบจุมพิตเร่าร้อนเรียกร้องเอาแต่ใจให้กับหญิงสาวอย่างต้องการจะลงโทษที่เธอทำให้เขาหงุดหงิดใจได้มากขนาดนี้
ณหทัยตกใจกับจุมพิตที่ได้มาแบบไม่ทันตั้งตัวอีกแล้ว ร่างบางดิ้นขลุกขลักอยู่ในอ้อมแขนของชายหนุ่มแต่ดูเหมือนยิ่งดิ้นนราภพก็ยิ่งแกล้ง กอดหญิงสาวแน่นขึ้นไปอีกหาความสำราญกับริมฝีปากนุ่ม ๆ หอมหวานอย่างตามอำเภอใจ ไม่สนใจว่าหญิงสาวจะดิ้นรนยังไง ในที่สุดร่างบางก็เปลี่ยนจากการดิ้นเป็นยืนนิ่งอย่างยอมรับชะตากรรม
“พอใจแล้วใช่มั้ยคะ?” ณหทัยถามขึ้นทันทีเมื่อชายหนุ่มถอดริมฝีปากออก พร้อมทั้งดันตัวถอยออกห่างจากชายหนุ่มหลายช่วงตัว
“ณหทัย...ผม...” จุมพิตแสนหวานช่วยลบโทสะในใจออกได้เป็นอย่างดี สติกลับคืนมาพร้อมกับความรู้สึกผิด เขาพึ่งรู้วันนี้ว่าหึงจนหน้ามืดมันเป็นยังไง แล้วลมเพชรหึงของเขาก็รุนแรงมากเสยด้วย นราภพพยายามเอื้อมมือจะคว้าตัวหญิงสาวเข้ามาใกล้ด้วยความรู้สึกผิด แต่ณหทัยก็ยิ่งขยับหนี ดวงตาคู่งามฉายแววโกรธและหวาดระแวงอย่างเห็นได้ชัด จนทำให้ชายหนุ่มถึงกับชะงัก นราภพรู้ทันทีว่าตนเองทำเรื่องผิดพลาดอย่างไม่น่าให้อภัย
“ถ้าพอใจแล้ว ก็เชิญกลับไปได้แล้วค่ะ แล้วไม่ต้องมาที่นี่อีก” เสียงกล่าวอันแสนห่างเหินกับหยาดน้ำตาที่เอ่อคลอจวนเจียนจะหยดในดวงตาคู่งาม ยิ่งทำให้นราภพรู้สึกผิดมากขึ้นจนไม่อาจทัดทานเมื่อหญิงสาวกำลังดันตัวเขาออกจากบ้าน
ณหทัยปิดประตูลงกลอนอย่างรวดเร็ว ร่างบางยืนพิงประตูร้องไห้ด้วยความเสียใจ ทำไมคุณภพจะต้องโมโหจนแสดงกริยาอย่างนั้น ลงท้ายก็หาเรื่องเอาเปรียบเธอ ‘ผู้ชายก็เหมือนกันหมด หวังแต่ผลกำไร คนฉวยโอกาส คนบ้า’ ณหทัยต่อว่าทั้งน้ำตา
นราภพยืนนิ่งอยู่หน้าประตู ยกมือขึ้นลูบหน้าอย่างหัวเสีย สถานการณ์กำลังจะกลับมาดีอยู่แล้วเชียวพระเอกดันมาตกม้าตายเอาดื้อ ๆ ในเกมธุรกิจเขาไม่เคยพลาดแบบนี้ แต่เกมความรักทำไมเขาถึงควบคุมอารมณ์ไม่ได้ ปล่อยให้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผลจนวางหมากพลาดแล้วพลาดอีกแบบนี้
‘หรือจะเป็นอีกวันที่เขาต้องกลับไปตั้งหลักใหม่’
-----------------------------------------------------------------------
แล้วพบกันใหม่ตอนที่ 15 ค่ะ :)
ศาลาหกเหลี่ยมริมน้ำบ้านอัศวเดชา หญิงชราท่าทางเหมือนคนเจ้ายศเจ้าอย่างกำลังทอดตัวตามสบายปล่อยแขนซ้ายวางพาดพิงอิงหมอนหนุนทรงสามเหลี่ยม สายตามองผ่านแว่นตาหนาเตอะจับจ้องไปยังตัวหนังสือที่เรียงรายอยู่ตรงหน้าอย่างเพลิดเพลินใจ
“ชาใบเตยค่ะคุณท่าน” ป้าน้อมคนสนิทเสน่หารินน้ำชาให้หญิงชราอย่างรู้จิตรู้ใจ คุณหญิงนภาส่งยิ้มน้อย ๆ ให้คุณแม่บ้านเป็นการขอบใจ
“เธอนี่รู้ใจฉันเสมอนะแม่น้อม” คุณน้อมยิ้มแป้นกับคำชมที่ได้รับ
“เจ้าค่ะคุณท่าน”
“อ้อ...คุณหญิงย่าเจ้าคะ นายน้อยเดินมานั่นแล้วค่ะ” หญิงชราละสายตาจากหนังสือเล่มโปรดแล้วหันไปมองตามการพยักพเยิดของคุณแม่บ้านใหญ่ ก็ได้เห็นร่างสูงใหญ่ของหลานชายก้าวเท้ามาตามทางเดินที่เชื่อมระหว่างตัวบ้านเรือนไทยหลังใหญ่กับศาลาริมน้ำพอดิบพอดี คนเป็นย่านั่งมองอยู่ชั่วอึดใจร่างสูงใหญ่ก็มาประนมก้มกราบตักอยู่ตรงหน้า
“กราบครับคุณย่า”
“ไหว้พระเถอะลูก” คุณนภากล่าวทั้งลูบหัวลูบไหล่หลานชายไปด้วย
ท่ามกลางบรรยากาศสบาย ๆ ริมน้ำยามสาย สองย่าหลานนั่งดื่มน้ำชาและทานของว่างกันอย่างตั้งอกตั้งใจจนผู้เป็นย่าอดใจไม่ได้ที่จะเปิดประเด็นสำคัญ
“เจ้าตัวดี คนของย่าโทรมาบอกว่าหนูตรีมารอเข้ารับสัมภาษณ์แล้วนะ เราไม่ไปเป็นกำลังใจให้เขารึไง ฮึ” ทักไปแล้วคุณนภาก็ต้องอมยิ้มกับท่าทางกลืนไม่เข้าคายไม่ออกของหลานชาย “ไม่อยากเห็นหน้าเขารึไง” คุณหญิงยังถามต่อ
“อยากครับ แต่เค้าคงไม่อยากเห็นหน้าผมเท่าไหร่” คนพูดตีหน้าเศร้าเล่าเสียงอ่อย
“อ้อ อย่างนี้นี่เอง ถึงได้มาขลุกอยู่กับคนแก่ได้เป็นนาน”
“โธ่ คุณย่าครับ” นราภพโอดครวญกับน้ำเสียงประชดประชันทีเล่นทีจริงจากผู้เป็นย่า
“ไม่ต้องมาธงมาโธ่ แล้วนี่เมื่อไหร่จะพามาแนะนำให้ย่ารู้จักล่ะ”
“ใช่เจ้าค่ะ น้อมก็อยากเห็น เมื่อไหร่จะพามาคะ” คุณน้อมพูดขึ้นบ้าง หลังจากนั่งมองภาพอันน่าประทับใจของสองย่าหลานอยู่เป็นนาน
“เห็นไหมตาภพ มีแต่คนเค้าอยากเห็น รีบ ๆ พามาได้แล้วนะ”
“อยากพามาอยู่ครับแต่ความสัมพันธ์ของผมกับเขายังสามวันดีสี่วันไข้อยู่เลยครับ”
“ไปทำอะไรเข้าล่ะ ถึงได้สามวันดีสี่วันไข้แบบนั้น” ผู้เป็นย่ามองหลานชายด้วยสายตารู้เท่าทัน
“โธ่คุณย่าครับ ย่ามองผมด้วยสายตาแบบนั้นสิครับ”
“เฮอะ !...ว่าได้เรอะ หลานย่า ย่าเลี้ยงมากับมือ ย่าจะไม่รู้จักหลานย่าเลยหรือยังไง”
“ก็...จริง ๆ ผมก็ไม่ได้ทำอะไรเลยนะ แค่แสดงออกทางความรักมากเกินไปหน่อยเท่านั้นเอง”
“มากเกินไปจนกลายเป็นไม่ให้เกียรติใช่หรือเปล่าตาภพ” นราภพเสหลบตาผู้เป็นย่า
“เอ่อ...”
“ระวังเถอะ นกน้อยจะบินหนีตั้งแต่ยังไม่ทันได้จับเข้ากรงทอง แล้วจะหาว่าย่าไม่เตือน หึ ๆ ๆ” คุณหญิงนภาเอ่ยเตือนสีหน้า
จริงจัง เธอไม่เห็นด้วยกับความคิดพิเรนทร์ ๆ ของหลานชายเลยสักนิดที่ปิดบังความจริงเกี่ยวกับตัวตนของตัวเองเอาไว้ไม่ให้อีกฝ่ายรู้ ความรักมันควรจะงอกงามบนความซื่อสัตย์จริงใจไว้เนื้อเชื่อใจและไม่ปิดบังกัน
“ไม่มีทางครับ ผมจะไม่มีวันให้เป็นแบบนั้นเด็ดขาด ไม่เชื่อคุณย่าคอยดูต่อไปครับ” นราภพบอกกับบุพการีหนึ่งเดียวที่ตนเคารพรักอย่างหมายมาด ความเครียดปรากฏขึ้นมาทันทีกับการจู่โจมตรงจุดของผู้เป็นย่า คุณหญิงย่ามองท่าทางหลานชายตนเองอย่างขำ ๆ ‘มันเป็นเอามากแฮะ พ่อคนนี้ ถึงขนาดลงทุนป่วนบริษัทตัวเอง เฮ้อ...นี่แหละน้า ที่เค้าว่า ความรักทำให้คนตาบอด’
“อ้าว แล้วทำไมต้องเอาแต่มองโทรศัพท์ล่ะนั่น รอสายใครอยู่รึ” คำถามของคุณหญิงนั้นได้รับคำตอบกลับมาเป็นรอยยิ้มพิมพ์ใจของเจ้าหลานชาย ที่เอาแต่อมยิ้ม จ้องมองโทรศัพท์อย่างเป็นวรรคเป็นเวรอยู่ตรงหน้าเธอแทน
“เอ้า...คนอะไรพูดด้วยก็ไม่พูดกับเรา แบบนี้คนแก่งง...เอ้อ นั่งมานานแล้ว ย่าชักเมื่อย เดี๋ยวย่าขอตัวไปเอนหลังสักหน่อยล่ะ”
“จะไปพักผ่อนแล้วหรอครับ ผมไปส่งไหมครับคุณย่า” นราภพส่งเสียงเย้าแหย่กับคุณย่าของตน
“ไม่ต้องหรอกย่ะ...ไอ้เราก็นึกว่าจะไม่สนใจคนแก่ซะแล้ว เห็นเอาแต่สนใจกับเจ้าโทรศัพท์ ก็ยังดีที่ยังสนใจเราอยู่” คุณหญิงก็เหน็บกลับหลานชายได้รวดเร็วทันใจจริง ๆ
“โธ่ คุณย่าก็”
“ไม่ต้องมาธงมาโธ่...ย่าไปเอนหลังล่ะ ถึงเวลาของมันแล้ว ไปกันแม่น้อม”
“เจ้าค่ะ” คุณน้อมรับคำ พลางจะเข้ามาพยุงคุณหญิง แต่มีเสียงของนราภพ ขัดขึ้นก่อน
“ไม่ต้องหรอกครับป้าน้อม เดี๋ยวผมไปส่งคุณย่าขึ้นเรือนเอง”
“เอางั้นหรอ เอางั้นก็ไป” คุณหญิงณปภาไม่ขัดใจหลานชาย นราภพประคองคุณย่ามาส่งถึงมุมโปรดของท่านบนเรือนใหญ่ พร้อมก้มลงกอดและหอมแก้มคุณย่าตน
“คุณย่าครับ เดี๋ยวผมลงไปนั่งเล่นที่ศาลาต่อนะครับ”
“ไปเถอะพ่อคุณ ขอบใจมากนะที่มีมานะมาส่ง”
“ไม่เป็นไรครับผม เพื่อคุณย่า” ชายหนุ่มกล่าวยิ้ม ๆ เจอแบบนี้คนแก่ก็ปลื้มจนยิ้มไม่หุบ นราภพผละออกมา มุ่งหน้าไปยังศาลาที่จากมาเมื่อครู่ แต่ยังไม่ทันพ้นบริเวณที่คุณหญิงย่าเอนหลังอยู่ นราภพก็ต้องชะงักเท้าหยุดฟังคำพูดของท่านที่เปรยออกมากับป้าน้อมอย่างตั้งใจ
“จะทำอะไรก็ทำน้าแม่น้อม อย่ามัวแต่เล่น ๆ เป็นเกม เดี๋ยวเค้าจะคิดว่าเราไม่จริงใจ พอจับได้และไล่ทันขึ้นมา...ถึงเวลานั้นจะมานั่งแก้ตัวทีหลังก็คงฟังไม่ขึ้นแล้วแหละ”
พอพูดจบคุณหญิงก็ชำเลืองหางตาไปมองหลานชายที่หยุดฟังคำพูดของตนอยู่ไม่ไกล นางพูดเพื่อเตือนสติ อยากให้หลานชายเข้าไปหาเขาตรง ๆ ไม่ต้องปิดบังฐานะที่แท้จริงกับเธอคนนั้น แต่ถึงอย่างไรนางก็เชื่อเสมอว่าเมื่อตาภพบอกว่า ‘ใช่’ เขาก็จะหาทางคว้าเธอมาเคียงข้างใจจนได้นั่นแหละ และเจ้าหลานชายก็จะสามารถแก้ปัญหาที่เกิดจากการเรียนผูกให้ยุ่งเหยิงของตนได้อย่างแน่นอน เพียงแต่จะช้าหรือจะเร็วเท่านั้นเอง
‘ผมขอทำตามวิธีของผมนะครับคุณย่า’ นราภพบอกตัวเองในใจ แล้วเดินห่างออกไป
-------------------------------------------
การเข้ารับการสัมภาษณ์งานในครั้งนี้ของณหทัยเป็นไปอย่างเรียบร้อย ไม่ได้กดดันมากอย่างที่คิด แม้ขณะตอบคำถามหญิงสาวจะตื่นเต้นมากก็ตามที แต่สิ่งที่ทำให้หญิงสาวหนักใจที่สุดตอนนี้ก็คือคำขอร้องจากเขาคนนั้น ‘สัมภาษณ์เสร็จ โทรหาผมนะครับ...ผมขอร้อง’ ใบหน้าคมคายและน้ำเสียงอ้อนวอนของนราภพวาบเข้ามาในความคิดของณหทัยทันทีที่ออกมาจากห้องสัมภาษณ์
‘โทรหาเขาดีไหม?’ ณหทัยถามคำถามนี้กับตัวเองหลายครั้งตั้งแต่เมื่อคืนจนกระทั่งถึงตอนนี้ และสุดท้ายจิตใจที่อ่อนไหวก็เป็นฝ่ายชนะไปเพราะหญิงสาวหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเบอร์โทรของนราภพที่จำได้อย่างขึ้นใจแม้จะไม่ปลื้มใจในบางอย่างที่เขาแสดงออกในช่วงนี้ก็ตาม เพียงแค่ยกโทรศัพท์แนบหูณหทัยก็ต้องตกใจจนเกือบทำโทรศัพท์หลุดมือเนื่องจากยังไม่ทันได้คิดคำพูด ปลายสายอีกฝ่ายก็กดรับและกล่าวทักทายมาตามสายราวกับว่าใจจดใจจ่อรออยู่ก่อนแล้ว
“ผมนึกว่าคุณจะไม่โทรมาซะแล้ว” น้ำเสียงร้อนรนที่ดังลอดมาตามสายทำเอาณหทัยอดยิ้มไม่ได้แม้จะพยายามฝืนเอาไว้อย่างเต็มที่
“กำลังคิดอยู่ว่าอาจจะโทรผิด ถ้างั้นวางสายก่อนนะคะ”
“อย่าครับอย่า อย่าวาง”
ณหทัยหลุดหัวเราะคิกมาตามสายจนได้ นราภพผ่อนลมหายใจออกมาอย่างโล่งอกเมื่อได้ยินเสียงนั้น
“เป็นไงบ้างครับ การสัมภาษณ์”
“ก็ดีค่ะ ตื่นเต้นมากเลย” ‘ก็ลองไม่ดีสิ ผมจะได้จัดการให้หมดทุกคน’ นราภพคิดในใจ
“ดีแล้วครับ...ถ้างั้นผมขออนุญาตไปรับณหทัยนะ รอผมอยู่ที่หน้าห้องสัมภาษณ์นะ แล้วเจอกันครับ” พูดจบนราภพก็ตัดสายไปทันที
“เดี๋ยวค่ะเดี๋ยว...อ้าว วางไปซะละ” ณหทัยยิ้มกับตัวเองขันกับความเผด็จการของชายหนุ่มที่นับวันจะยิ่งแสดงออกมามากขึ้นทุกที แปลกที่ตัวเองก็ชักจะชิน ๆ ที่เขาเป็นแบบนี้แล้วสิ คงไม่ผิดอะไรที่เราจะลองเปิดใจให้คุณภพมาเป็นเพื่อนรุ่นพี่ เพราะไหน ๆ เขาก็เป็นผู้ชายเพียงคนเดียวที่สนิทด้วย ณ ตอนนี้ ณหทัยบอกกับตัวเองในใจอย่างพยายามปลดปลงพันธะในใจ
----------------------------------------------
ภาพของบุรุษหนุ่มร่างสูงใหญ่ แต่งกายด้วยเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีฟ้าอ่อน ชายเสื้อสอดเข้าไปในกางเกงสแลคเนื้อดีอย่าง
เรียบร้อย บุคลิกน่าเกรงขาม ดูมีอำนาจในตัวเอง ใบหน้าเรียบเฉย หนวดเคราที่ขึ้นไม่สามารถบดบังรูปหน้าคมเข้มของเขาได้แถมยังส่งให้ใบหน้านั้นดูหล่อเหลามากขึ้นไปอีกกำลังก้าวท้าวยาว ๆ เข้ามาในบริษัท เรียกความสนใจจากทุกคนที่พบเห็นได้เป็นอย่างดี ชายหนุ่มยังก้าวต่อไปอย่างมั่นคง จิตใจจดจ่ออยู่กับร่างบางของหญิงสาวหนึ่งเดียวที่อยู่ในห้วงความคิดคำนึง ไม่มีพนักงานคนใดกล้าเข้าไปสอบถามถึงเหตุแห่งการมาเยือน ได้แต่ปล่อยให้ชายหนุ่มเดินผ่านไปอย่างงุนงงและตกตะลึง
นราภพเดินมาหยุดมองแผ่นหลังของคนที่นั่งอยู่ตรงหน้า ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะแสดงตัวให้หญิงสาวได้รับรู้
“ณหทัยครับ”
“อุ่ย...คุณภพ มาถึงตั้งแต่เมื่อไหร่คะ” หญิงสาวอุทานขึ้น ความตกใจมีเล็กน้อยเมื่ออยู่ ๆ ชายที่อยู่ในภวังค์ความคิดหลังจากที่คุยโทรศัพท์เสร็จเมื่อไม่นานนี้มาปรากฏกายอยู่เบื้องหลังตนเร็วนัก
“นานพอที่จะเห็นผู้หญิงคนหนึ่งเอาแต่นั่งถอนหายใจล่ะครับ” คำตอบที่ได้กลับมาทำให้ณหทัยต้องยิ้มออกมาอย่างอาย ๆ
“เป็นอะไรรึเปล่าครับ บอกผมได้ไหม” นราภพยังถามต่อไป แววตาเริ่มฉายชัดถึงความกังวล
“เอ่อ...ไม่มีอะไรหรอกค่ะ ไปกันเถอะค่ะ นี่ก็ใกล้เที่ยงแล้วตรีจะได้ถือโอกาสชวนคุณภพทานอาหารที่บ้าน เพื่อเป็นการตอบแทนที่คุณภพมีส่วนทำให้ตรีได้งานทำ”
“จริงหรอครับ” นราภพลืมความกังวลเกี่ยวกับตัวหญิงสาวแทบจะทันที แทนที่ด้วยความดีใจอย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มอยากจะโห่ร้องให้ก้อง ไม่ได้ดีใจที่เธอได้งาน แต่ดีใจที่เธอยอมให้เค้าเข้าบ้านอีกครั้งต่างหาก
“ค่ะ”
“ด้วยความยินดีครับ” รอยยิ้มที่ไม่มีลูกน้องคนไหนเห็นได้บ่อยนัก กำลังปรากฏออกมาให้ณหทัยได้เห็นอย่างพร่ำเพรื่อขึ้นทุกวัน พอกล่าวเสร็จนราภพก็ถือวิสาสะจูงมือณหทัยไปขึ้นรถ ท่ามกลางสายตาของพนักงานทุกคนที่มองตามด้วยความสงสัยกึ่งไม่แน่ใจ
“คุณวินิจ คุณวินิจ คุณช่วยบอกผมทีว่าผมตาฝาดใช่ไหม คุณเห็นเหมือนผมรึเปล่า” เสียงคุณทรงวิทย์ผู้บริหารฝ่ายบัญชีเอ่ยถามกับคุณวินิจผู้บริหารฝ่ายทรัพยากรมนุษย์บ่งบอกความสงสัยระคนแปลกใจอย่างที่สุด ตนเปิดประตูออกมากำลังจะออกจากห้องที่ใช้สัมภาษณ์พนักงานคนพิเศษ แต่มาเจอเหตุการณ์เมื่อครู่เสียก่อนจึงหยุดฟังบทสนทนาที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้อย่างไม่ได้ตั้งใจ
“ถ้าคุณตาฝาด ผมก็คงต้องไปตัดแว่นใหม่ล่ะครับ เพราะผมก็เห็นเหมือนคุณเต็มสองลูกกะตาเลย” คุณวินิจตอบกลับมาอย่างมีอารมณ์ขัน แต่ในสมองก็ยังจัดลำดับความคิดของตนได้ไม่ดีนัก ท่านประธานที่หาตัวได้ยากเหลือเกิน ทำงานผ่านเลขาคนสนิทตลอด พนักงานระดับล่าง ๆ ยังแทบไม่เคยได้เห็นตัวจริงด้วยซ้ำไป งานสังคมท่านยังไม่ค่อยจะไปเลย แถมยังไม่เคยมีข่าวว่าจะสนใจผู้หญิงคนไหนเลยสักครั้งเดียว กลับมาเป็นสารถีขับรถรับส่งให้กับผู้หญิงธรรมดา ๆ คนนี้ และที่น่าตกใจคือรอยยิ้ม ที่ท่านประธานไม่ค่อยจะมีให้ใคร จนบางครั้งสื่อมวลยังต้องตั้งฉายาให้ว่าราชสีห์ยิ้มยากบ้าง เทพบุตรผู้ลึกลับบ้าง กลับมีให้เธอคนนี้อย่างสนิทใจเสียด้วย หรือเขาจะตกข่าวอะไรไป
วินิจขยับกรอบแว่นอย่างที่ทำประจำเวลามีเรื่องครุ่นคิด
“เห็นทีเราจะมีนายหญิงกันก็คราวนี้ล่ะคุณทรงวิทย์” คุณทรงวิทย์พยักหน้ารับทั้งเสียงหัวเราะ
“ผมก็ว่างั้นล่ะ…มันแปลกตั้งแต่ให้นักการตลาดมาทำงานในแผนกบัญชีแล้วครับผม”
สองผู้บริหารประสานเสียงหัวเราะกันอย่างครื้นเครงเมื่อนึกถึงความเป็นไปได้ที่จะเกิดงานมงคลที่ไม่ได้มีมานาน ก่อนที่ต่างฝ่ายจะต่างแยกย้ายกันไปทำงาน โดยที่ไม่มีใครคิดจะบอกต่อในเรื่องที่พบเจอให้คนอื่นทราบ
----------------------------------------
‘เธอถอนหายใจอีกแล้ว’ นราภพเหลือบมองคนข้าง ๆ อย่างไม่ค่อยสบายใจ เพราะตั้งแต่ขึ้นรถมาเธอถอนหายใจไปไม่ต่ำกว่าสิบรอบ เธอคงจะคิดว่าเขาไม่ทันสังเกตเห็นกระมัง แต่เขาจับได้ตั้งแต่เธอถอนหายใจครั้งแรกแม้มันจะแผ่วเบามากก็ตามที ณหทัยมีอะไรให้หนักใจกัน
“ไม่คิดจะระบายเรื่องไม่สบายใจในใจให้ผมรู้จริง ๆ หรอ” นราภพเอ่ยถามน้ำเสียงอ่อนโยน มือหนายังคงควบคุมพวงมาลัยอย่างมั่นคง
“คือ...คุณภพรู้ด้วย” ณหทัยส่งยิ้มแหย
“เก็บไว้ก็เครียดเปล่า ๆ นะ แล้วผมก็คิดว่าผมเป็นผู้ฟังที่ดีได้” นราภพหันไปส่งยิ้มให้ณหทัยแว่บหนึ่งก่อนที่จะมุ่งมั่นกับการขับรถต่อ พร้อม ๆ กับรอฟังคนข้างกายไปด้วย รหทัยเห็นว่าไม่มีประโยชน์อะไรที่จะเก็บไว้ให้หนักอกหนักใจ จึงค่อย ๆ บอกเล่าออกมาให้อีกฝ่ายได้รับทราบ
“คืองานใหม่ที่ตรีสัมภาษณ์มาเมื่อครู่มันค่อนข้างจะยากน่ะค่ะในความคิดของตรี เพราะมันไม่ตรงสายที่เรียนมา ตอนนี้มีว่างตำแหน่งเดียวแล้วทางบริษัทก็อยากให้ตรีเข้าไปทำในตำแหน่งนี้ มองมุมแรกมันก็เป็นโอกาสสำคัญอันดีที่ตรีจะได้งานโดยไม่ต้องไปย่ำต็อกหาที่อื่น แต่มองอีกมุมมันก็เป็นความกดดันที่เกิดขึ้นมาโดยไม่รู้ตัวเพราะตรีไม่รู้ว่าจะเจออะไรบ้างกับเนื้องานที่ตนไม่คุ้นเคย”
นราภพถึงบางอ้อในทันที
“ผ่านตลาด...ซื้ออะไรเข้าไปไหมครับ” แทนที่จะแสดงความคิดเห็นแต่นราภพเลือกที่จะถามในสิ่งที่ไม่เกี่ยวกันแม้แต่นิดเดียว
“คุณภพ! ไหนบอกว่าจะฟังไงคะ”
อีกฝ่ายหันมายิ้มเผล่ให้
“กองทัพต้องเดินด้วยท้องครับ ปล่อยวางเรื่องนี้ไปก่อน กินข้าวเสร็จเราจะคุยเรื่องนี้กันต่อ”
ณหทัยหน้ามุ่ยพลางบ่นงึมงำ “โธ่มาหลอกให้พูด แล้วก็วางเฉย เดี๋ยวก็แกล้งทำรถเหลือคว่ำในอาหารกลางวันเลยนิ”
“อะไรนะ ว่าไงนะครับ ผมได้ยินไม่ชัดเลย”
“อ้อ เปล่าค่ะเปล่า”
นราภพอมยิ้ม ขับรถต่อไปอย่างอารมณ์ดี
-------------------------------------
บ้านสวนกลางเมืองเปิดประตูต้อนรับนราภพอีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่ครั้งล่าสุดเมื่อวันก่อนชายหนุ่มได้แต่มองผ่านประตูรั้วตามหลังร่างบางเพราะสาวเจ้าไม่อนุญาตให้เข้าบ้าน
ณหทัยวางกระเป๋าและตรงเข้าครัวไปจัดเตรียมอาหารอย่างคล่องแคล่ว โดยมีคนตัวโตขอตามเข้าไปเป็นผู้ช่วยในครัว เวลาผ่านไปพักใหญ่เสียงหวาน ๆ จากแม่ครัวก็ดังขึ้น
“คุณภพคะ ไปนั่งรอเถอะค่ะ เดี๋ยวตรีทำให้ทานนะคะ” ณหทัยหยิบผักหยิบหญ้าที่อยู่ในมือของชายหนุ่มมาใส่ไว้ในถาดตามเดิม แล้วเชิญอีกฝ่ายออกนอกครัวไปนั่งรอเพราะคุณภพเหมือนจะเข้ามาป่วนเธอเสียมากกว่าไม่ได้เข้ามาช่วย อาหารก็ทำท่าว่าจะเสร็จช้าไปอีก แทนที่จะได้ตั้งโต๊ะกินกันตั้งแต่เมื่อสิบนาทีที่แล้ว
“ให้ผมช่วยไม่ได้หรอครับ” นราภพออดอ้อนเพราะไม่อยากจะออกไปแกร่วที่โต๊ะอาหาร สู้ยืนหยิบนั่นหยิบนี่อยู่ตรงนี้จะดีกว่า ไม่รู้เขาเป็นอะไรไม่ค่อยอยากจะห่างหญิงสาวเอาเสียเลย
“ไม่เป็นไรค่ะเดี๋ยวตรีทำเอง คุณภพไปนั่งรอที่โต๊ะอาหารดีกว่านะคะอีกเดี๋ยวก็เสร็จแล้ว”
“แต่...”
“ไม่มีแต่ค่ะ ไปนั่งรอที่โต๊ะอาหาร เดี๋ยวนี้ค่ะ” ณหทัยชูตะหลิวในมือพลางเอ่ยย้ำอย่างชัดถ้อยชัดคำ เมื่อชายหนุ่มทำท่าอิดออดไม่ยอมไป
“ก็ได้ ๆ ไปแล้วครับ ไปแล้ว” นราภพบอกอย่างอารมณ์ดี ยอมตามใจคำขอปนข่มขู่ของเธออย่างไม่มีข้อแม้ ‘นี่ถ้าเพชรกับภัคค์มาเห็น มีหวังได้อายพวกมันแหงเลย มันคงล้อสามวันเจ็ดวันแบบไม่มีพักเบรคชัวร์’ นราภพพาดพิงไปถึงคนสนิทในใจ ‘ก็ไม่ได้กลัวซะหน่อย แค่ไม่อยากขัดใจแค่นั้นเอง’ ชายหนุ่มยังไม่วายหาข้อแก้ตัวให้ตัวเอง
“ดีมากค่ะ” หญิงสาวส่งยิ้มหวาน ๆ ไปให้ชายหนุ่มได้ชื่นใจอีกคราหนึ่ง ณหทัยไม่ได้สังเกตตัวเองเลยว่า ณ เวลานี้ตัวเองไม่มีความเศร้าติดอยู่ในใจแม้แต่นิดเดียว ตั้งแต่ที่มีผู้ชายที่ชื่อนราภพมาตอแยอยู่ใกล้ ๆ
ไม่ช้าไม่นานอาหารหน้าตาน่ารับประทานก็มาปรากฏอยู่ตรงหน้าชายหนุ่ม ณหทัยมองผลงานของตนด้วยสายตาพึงพอใจ นราภพลุกขึ้นขยับเก้าอี้ให้หญิงสาวนั่งด้วยท่าทางกระตือรือร้น
“ขอบคุณค่ะ” หญิงสาวเอ่ยขอบคุณเบา ๆ เลือดฝาดกระจายเต็มหน้ากับกิริยาที่อีกฝ่ายปฏิบัติต่อตน
“เป็นไงคะฝีมือตรี รอบนี้เมนูใหม่ ๆ ทั้งนั้นเลย พอจะสู้เชฟโรงแรมที่กระบี่ได้ไหมคะ” ณหทัยถามขึ้น หลังจากที่เห็นนราภพตักอาหารทานไปหลายอย่าง
“ไม่เหมาะหรอกครับ” คำตอบที่ได้รับ ทำเอาแม่ครัวถึงกับหน้าเสีย ‘อีตาบ้า จะชมสักคำก็ไม่มี’ ณหทัยค่อนขอดผู้ชายตรงหน้าในใจ
“ว้า รอบนี้รสชาติมันคงใช้ไม่ได้เลยใช่ไหมคะ” หญิงสาวพูดออกมาแล้วก้มหน้าก้มตาทานอาหารไปเรื่อย ๆ นราภพนั่งลอบยิ้ม ดูก็รู้ว่าแม่ครัวของเขางอนไปแล้ว
“เปล่าครับ ฝีมือคุณตรีไม่เหมาะที่จะเป็นเชฟหรอกครับ แต่เหมาะที่จะเป็นแม่บ้านให้ผมมากกว่า” ณหทัยถึงกับสำลักกับคำชี้แจงของชายหนุ่มที่ปล่อยมาแบบไม่ทันได้ตั้งตัว หญิงสาวหน้าแดงด้วยความเขินอาย ไม่เคยคิดเลยว่าผู้ชายท่าทางสุภาพ ๆ นิ่ง ๆ ติดจะขรึมอย่างคุณภพจะคารมคมคายมากขนาดนี้
“คุณภพอารมณ์ขันเยอะจังนะคะ” หญิงสาวเอ่ยขึ้น แต่สายตากลับมองแต่จานข้าวตัวเอง ถ้าเพียงณหทัยเงยหน้าขึ้นสบตากับอีกฝ่ายก็จะได้เห็นสายตาคมกล้าของที่ส่งประกายแววหวานมาให้เธอแบบที่ไม่มีแววล้อเล่นเลยแม้แต่นิดเดียว
การรับประทานอาหารเป็นไปอย่างราบรื่น แม้จะไม่มีเสียงพูดคุยมากนัก แต่ทั้งสองก็สัมผัสได้ถึงความอบอุ่นและความสุขใจที่แผ่กระจายไปรอบ ๆ โต๊ะอาหารตัวเล็ก ๆ
“เมื่อไหร่ที่อยู่ใกล้เธอ..ฉันรู้สึก ราวกับเคลิ้มไป...ไม่เป็นตัวเอง ไม่เหมือนเคย
แต่พอเธอห่างหายไป คิดจะลืม ยังไม่ได้เลย...ทำไมต้องเธอ ไม่เข้าใจ”
‘เสียงโทรศัพท์ของณหทัย’ เสียงที่ได้ยินทำให้คนที่กำลังเพลิดเพลินกับการดูทีวีต้องหยุดดูอย่างรวดเร็วแล้วสอดส่ายสายตาหาวัตถุต้นกำเนิดเสียง ก่อนที่เจ้าของเครื่องซึ่งกำลังล้างจานอยู่ในครัวจะได้ยินเสียง หลังจากรับประทานอาหารกันเสร็จ เจ้าของบ้านสาวก็ดุนหลังให้เขามานั่งรอที่มุมรับแขกตรงนี้ ส่วนตัวเธอก็ไปจัดการกับสำรับกับข้าวกับปลาอย่างคล่องแคล่ว
‘อยู่นี่นี่เอง รับแทนคงไม่เป็นไร’ นราภพสรุปเองเสร็จสสรรพพลางเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์มากดรับสายอย่างถือวิสาสะ แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไรเสียงปลายสายที่ดังเข้ามาก็ทำให้ชายหนุ่มชะงัก
“สวัสดีครับน้องตรี นี่พี่นนท์เองนะครับ เป็นไงบ้างครับสบายดีไหม คิดถึงพี่บ้างรึเปล่าเอ่ย พี่ คุณพ่อ แล้วก็ยายนินกลับมากันแล้วนะ ซื้อของมาฝากน้องตรีเต็มเลย ตอนนี้น้องตรีพักอยู่แถวไหนพรุ่งนี้พี่ว่าจะไปหะ...”
ตู๊ด ๆ ๆ ๆ
นราภพกดตัดสายด้วยความรู้สึกหงุดหงิดที่เริ่มคุกรุ่นอยู่ในใจ เขาจำได้ดีชายหนุ่มนามว่านนท์เพื่อนบ้านที่แสนสนิทชิดเชื้อกันของณหทัย วันงานศพเขาก็ว่าท่าทางมันแปลก ๆ ดูจะให้ความสำคัญกับณหทัยมากกว่าคำว่าน้องสาวหรือเพื่อนน้องสาว ไม่คิดว่าจะรุกหนักขนาดนี้
‘ฝันไปเถอะไอ้หน้าอ่อนว่าณหทัยจะคิดถึง’
เมื่อไหร่ ที่อยู่ใกล้เธอ..ฉันรู้สึก ราวกับเคลิ้มไป...
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้นราภพกดตัดสายทิ้งทันทีโดยไม่ต้องเสียเวลาคิดแม้แต่นิดเดียว พอดีกับที่รหทัยเดินออกมาจากในครัว
“เสียงโทรศัพท์ตรีนี่คะคุณภพ” หญิงสาวจำได้ว่าเมื่อครู่ที่จะเดินออกมาได้ยินเสียงโทรศัพท์แว่ว ๆ
“อ๋อ ผมรับให้แล้วครับ เค้าว่าโทรผิดน่ะ ไม่มีไรหรอก..แต่ต้องขอโทษด้วยนะครับที่ละลาบละล้วง พอดีเห็นว่าณหทัยน่าจะไม่สะดวก เลยถือวิสาสะรับแทน” นราภพเอ่ยแก้สถานการณ์ ทั้งพยายามปรับสีหน้าและน้ำเสียงของตนให้เป็นปกติเมื่อเห็นร่างบางกำลังเดินตรงมาหา
“อ๋อ ไม่เป็นไรหรอกค่ะ” ณหทัยกล่าวยิ้มๆ อย่างไม่ได้คิดมากอะไร มือบางหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู แล้วก็ยิ้มอย่างยินดีเมื่อเห็นเบอร์ที่โทรเข้ามา กิริยาของหญิงสาวยิ่งทำให้นราภพชักจะเก็บอารมณ์คุกรุ่นของตนไว้ไม่อยู่ อยากจะจับร่างบางมาเขย่าให้หัวสั่นหัวคลอนคาดคั้นเอาคำตอบว่าทำไมจะต้องดีใจอะไรขนาดนั้นที่ไอ้หมอนั่นโทรมา แล้วแอบไปให้เบอร์กันตอนไหนทำไมเขาไม่รู้เรื่อง แต่ด้วยความที่กลัวจะทำให้เธออึดอัดใจจนกระทั่งปิดกั้นตัวเองอีกครั้ง ทำให้นราภพต้องพยายามระงับอารมณ์เอาไว้
“ผมขอตัวกลับก่อนนะ พรุ่งนี้ผมจะมารับไปทำงานนะครับ” ตะกอนอารมณ์ที่กำลังคุกรุ่นอยู่ในใจ ทำให้นราภพกล่าวลาสาวเจ้าบ้านอย่างกะทันหันด้วยน้ำเสียงราบเรียบ เพราะกลัวจะเผลอทำไรไม่ดีเข้า แต่แล้วความพยายามของชายหนุ่มก็ไม่ประสบผลเมื่อหญิงสาวไม่มีแม้แต่เสียงทัดทานเอาแต่ให้ความสนใจกับโทรศัพท์เครื่องเล็กนั่น
โทรศัพท์มือถือเครื่องเล็กในมือหญิงสาวจึงลอยหวือไปหล่นแหมะเอาตรงเก้าอี้หน้าทีวี เคราะห์ดีที่เก้าอี้ตัวนั้นไม่ได้ทำด้วยไม้หรือวัสดุอะไรที่มันแข็งโทรศัพท์จึงอยู่ดี ไม่กระจายออกเป็นเสี่ยง ๆ ณหทัยหันมาจะแหวใส่คนที่กระทำการอุกอาจ แต่ก็ถูกคนตัวโตกระชากเข้ามาในอ้อมกอดเสียก่อน นราภพประทับริมฝีปากมอบจุมพิตเร่าร้อนเรียกร้องเอาแต่ใจให้กับหญิงสาวอย่างต้องการจะลงโทษที่เธอทำให้เขาหงุดหงิดใจได้มากขนาดนี้
ณหทัยตกใจกับจุมพิตที่ได้มาแบบไม่ทันตั้งตัวอีกแล้ว ร่างบางดิ้นขลุกขลักอยู่ในอ้อมแขนของชายหนุ่มแต่ดูเหมือนยิ่งดิ้นนราภพก็ยิ่งแกล้ง กอดหญิงสาวแน่นขึ้นไปอีกหาความสำราญกับริมฝีปากนุ่ม ๆ หอมหวานอย่างตามอำเภอใจ ไม่สนใจว่าหญิงสาวจะดิ้นรนยังไง ในที่สุดร่างบางก็เปลี่ยนจากการดิ้นเป็นยืนนิ่งอย่างยอมรับชะตากรรม
“พอใจแล้วใช่มั้ยคะ?” ณหทัยถามขึ้นทันทีเมื่อชายหนุ่มถอดริมฝีปากออก พร้อมทั้งดันตัวถอยออกห่างจากชายหนุ่มหลายช่วงตัว
“ณหทัย...ผม...” จุมพิตแสนหวานช่วยลบโทสะในใจออกได้เป็นอย่างดี สติกลับคืนมาพร้อมกับความรู้สึกผิด เขาพึ่งรู้วันนี้ว่าหึงจนหน้ามืดมันเป็นยังไง แล้วลมเพชรหึงของเขาก็รุนแรงมากเสยด้วย นราภพพยายามเอื้อมมือจะคว้าตัวหญิงสาวเข้ามาใกล้ด้วยความรู้สึกผิด แต่ณหทัยก็ยิ่งขยับหนี ดวงตาคู่งามฉายแววโกรธและหวาดระแวงอย่างเห็นได้ชัด จนทำให้ชายหนุ่มถึงกับชะงัก นราภพรู้ทันทีว่าตนเองทำเรื่องผิดพลาดอย่างไม่น่าให้อภัย
“ถ้าพอใจแล้ว ก็เชิญกลับไปได้แล้วค่ะ แล้วไม่ต้องมาที่นี่อีก” เสียงกล่าวอันแสนห่างเหินกับหยาดน้ำตาที่เอ่อคลอจวนเจียนจะหยดในดวงตาคู่งาม ยิ่งทำให้นราภพรู้สึกผิดมากขึ้นจนไม่อาจทัดทานเมื่อหญิงสาวกำลังดันตัวเขาออกจากบ้าน
ณหทัยปิดประตูลงกลอนอย่างรวดเร็ว ร่างบางยืนพิงประตูร้องไห้ด้วยความเสียใจ ทำไมคุณภพจะต้องโมโหจนแสดงกริยาอย่างนั้น ลงท้ายก็หาเรื่องเอาเปรียบเธอ ‘ผู้ชายก็เหมือนกันหมด หวังแต่ผลกำไร คนฉวยโอกาส คนบ้า’ ณหทัยต่อว่าทั้งน้ำตา
นราภพยืนนิ่งอยู่หน้าประตู ยกมือขึ้นลูบหน้าอย่างหัวเสีย สถานการณ์กำลังจะกลับมาดีอยู่แล้วเชียวพระเอกดันมาตกม้าตายเอาดื้อ ๆ ในเกมธุรกิจเขาไม่เคยพลาดแบบนี้ แต่เกมความรักทำไมเขาถึงควบคุมอารมณ์ไม่ได้ ปล่อยให้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผลจนวางหมากพลาดแล้วพลาดอีกแบบนี้
‘หรือจะเป็นอีกวันที่เขาต้องกลับไปตั้งหลักใหม่’
-----------------------------------------------------------------------
แล้วพบกันใหม่ตอนที่ 15 ค่ะ :)
ปีบเพชร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 2 พ.ค. 2558, 13:28:30 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 2 พ.ค. 2558, 13:28:30 น.
จำนวนการเข้าชม : 1238
<< ตอนที่ 13 เรื่องที่ต้องตามต่อ | ตอนที่ 15 อันธพาล >> |