บ้านต้นรักษ์ (จบแล้วจ้า) รีไรท์
ก้อ...กอมารุน...ราชาแห่งท้องทะเลทราย

ปะทะกับ

นีล...นัจมุน...ราชินีแห่งท้องทุ่ง


เมื่อดวงจันทร์กับดวงดาวบนฟ้าต่างแข่งกันประจันแสง...
โดยมีต้นไม้ สายน้ำ และท้องทุ่ง เป็นตัวประกัน...

หมู่บ้านอันแสนสงบร่มเย็นอย่าง 'บ้านต้นรักษ์'
กำลังจะลุกเป็นไฟ

เมื่อสิ่งที่นักลงทุนอย่างเขาต้องการ
คือสิ่งเดียวกันกับที่หญิงสาวหวงแหนยิ่งชีพ
ทั้งๆที่เธอไม่มีสิทธิ์อะไรที่จะมาหวงแหนในสิ่งที่ไม่ใช่
กรรมสิทธิ์ของตน!

การเชือดเฉือนจึงก่อกำเนิดในยุคแห่งวัตถุนิยม
ที่นายทุนเป็นใหญ่

ท่ามกลางสงครามอันร้อนระอุ

ระหว่าง

ราชาแห่งท้องทะเลทราย กับ ราชินีแห่งท้องทุ่ง

ที่อยู่ห่างกันราวคนละโลก ในชีวิตกันคนละแบบ
คิดอ่านกันคนละอย่าง...

เสียงเพรียกจากวันวาน จะกลับมาขับขาน
สะพานไม้หมากที่พาดข้ามฟากเชื่อมสองฝั่งคลอง
กำลังสั่นสะเทือน...เมื่อสะพานคอนกรีตจะเข้ามาแทนที่

สายสัมพันธ์ระหว่างคนกับต้นไม้กำลังจะพัดหวนคืน

...น้ำในลำธารใสสะอาดกับน้ำมันสีดำไม่อาจเข้ากันได้ฉันใด
เธอกับเขาก็ไม่อาจเข้ากันได้ฉันนั้น...

ไม่มีใครรู้ว่าระหว่าง ดวงจันทร์ดวงใหญ่แค่ดวงเดียวที่ลอยเด่น
อยู่บนฟ้ากับดวงดาวจำนวนมากมายนับล้าน
มีความเป็นมาอย่างไร...
เว้นแต่ต้นไม้ที่ผ่านกาลเวลาโดยไม่เคยหนีหายไปไหนเท่านั้น
ที่จะไขปริศนานี้...

ต้นไม้ที่ยืนผงาดอย่างอดทนผ่านร้อนหนาว
ผ่านฤดูกาลมาครั้งแล้วครั้งเล่าโดยไม่มีใครเคยได้ยินเสียงบ่น
ต้นไม้ที่เหมือนจะไม่รับรู้สิ่งใด...

หากทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้นและเป็นไปกลับกลายเป็นส่วนหนึ่ง
ความรักความประทับใจและความผูกพันธ์ถูกบันทึกไว้ใต้ต้นไม้
หยั่งรากลึกลงในดิน หยั่งลึกลงในจิตใจ...
มีค่า มีความหมาย...นานเท่านาน...


Tags: ดราม่า รัก ต้นไม้ กอมารุน นัจมุน ก้อ นีล เชือดเฉือน แนวอนุรักษ์

ตอน: ต้นที่ 5 บ้านผู้ดีเก่า



สุดท้าย…นัจมุนก็สามารถกลับมายืนที่เดิมที่ที่ใจเฝ้าคิดถึงและคอยเรียกหา
ที่ที่เคยมีเงาของวันวานทิ้งรอยเอาไว้ในทุกซอกทุกหลีบ
มีความทรงจำดีๆมากมายในวัยเยาว์ พร้อมๆกับน้องชายที่จะมาอยู่เป็นเพื่อนเธอ
ในช่วงปิดเทอมใหญ่

ซึ่งกว่าจะขอร้องออดอ้อนรำพันให้บิดามารดาของเจ้าน้องชายเห็นใจได้
ก็แทบถอดใจไปหลายต่อหลายรอบ…แต่เพราะฝีปากของน้องชาย
จึงทำให้ทุกอย่างง่ายขึ้น…

จนทำให้เธอกับน้องชายมายืนอยู่ตรงนี้ ยังบ้านหลังเดิมที่เธอจากไปนานแสนนาน…

“นี่หรือพี่นีล…บ้านทรายทองของพจมานที่พี่ว่าน่ะ…”

คนที่ถือกระเป๋าเดินทางในมือหันมามองเจ้าน้องชายฝีปากกล้า
แล้วก็ได้รอยยิ้มกวนประสาทกลับมา

“หมอกเกิดไม่ทันพจมานรุ่นพี่ก็จริงนะ แต่หมอกก็ได้ดูพจมานเวอร์ชั่นล่าสุด…
เลยพอจะเข้าใจว่า…บางครั้ง…บ้านทรายทองยุคพี่นีลกับยุคของหมอกมันคงจะต่างกัน…”

“อืม…น่าจะอย่างนั้น”

“งั้นเราเข้าไปดูบ้านทรายทองกันเถอะ อยากรู้ว่าจะมีสมาชิก
และเหล่าข้าทาสบริวารจะดาหน้ามาต้อนรับเราสักกี่ตัว…”

นัจมุนตบไหล่น้องชายพร้อมกับโอบไว้แล้วพามายืนอยู่ตรงหน้าบันได
ซึ่งเป็นหนทางที่จะนำพาไปสู่บ้านทรายทองหลังดังกล่าว

“พี่แน่ใจนะว่า…มันจะยังรับน้ำหนักเราได้…”

คนถามมองขั้นบันไดอย่างไม่ไว้วางใจนัก

“เอาน่า…มันทำจากไม้มะหาดอย่างดีไม่มีหักหรอก…”

“ถ้าเป็นไม้สัก บันไดบ้านนี้คงโดนเขาขโมยไปแล้วอ่ะเนอะ…
และเราคงต้องปีนขึ้นไปแทน…”

นัจมุนชักเริ่มหมั่นไส้เด็กกรุงขึ้นมาตะหงิดๆซะแล้วสิ…ดูหน้ามันสิ…

“ถ้าไม่อยากขึ้นบ้านทางบันได จะปีนขึ้นทางต้นชมพู่ต้นนั้นก็ได้นะ...
เชิญตามสบาย…” ว่าพลางบุ้ยใบให้น้องชายมองไปทางต้นชมพู่ที่อยู่ติดกับตัวเรือน
แล้วยังมีก่ิงทอดมาถึงหน้าต่างของเรือน

“ชมพู่ต้นนั้นอายุคงมากกว่าพี่นีลใช่มั้ยล่ะ…”

“ก็ใช่น่ะสิ…”

“งั้นไม่เอาหรอก…เพราะกิ่งมันอาจจะพรุนก็ได้…เกิดปีนไปแล้วกิ่งหักขึ้นมาทำไงล่ะ…”


“ก็ไม่เห็นต้องทำไง…ก็แค่ลงไปนอนวัดพื้นเฉยๆ เดี๋ยวพี่ลงไปเก็บให้เอง”

คนเป็นน้องเอียงคอมองพี่สาวทำมุมสี่สิบห้าองศา เพราะรู้สึกว่า
นับวันพี่สาวของเขาจะมองคนเป็นผลไม้อยู่บ่อยๆ บ้างก็มองเป็นต้นไม้
ส่วนต้นไม้ก็กลับมองให้เป็นคน…คาดว่าพี่สาวของเขาต้องสับสน
เรื่องชาติกำเนิดของแต่ละสรรพสิ่งอยู่แน่ๆ ความคิดถึงได้เพี้ยนกว่าคนปกติ

“เพราะถ้ากิ่งหัก รับรองว่าพี่ได้กินชมพู่โดยไม่ต้องเหนื่อยปีนขึ้นไปเก็บ
หรือสอยมันลงมาไงล่ะ…” คนเป็นน้องหน้ามุ่ย

นี่ก็เป็นอีกความคิดนึงที่คนส่วนใหญ่และปกติดีจะคิดไม่ถึงหรืออาจจะไม่คิดเลย

“สรุปว่าที่จะลงไปเก็บคือชมพู่ ไม่ใช่หมอก?”

“อ่ะแน่นอน…ใครล้มคนนั้นต้องลุกเอง…จำไว้…”

“หมอกจะจำไว้…” คนเป็นน้องตอกกลับด้วยสีหน้ายียวน

“พี่นีลอย่าล้มก็แล้วกานนนน…”

ได้ฟังคำนั้นคนที่กำลังจะก้าวขาขึ้นบันไดชักเริ่มหวั่นใจขึ้นมา
จากที่มั่นใจว่ามันรับน้ำหนักเธอไหวแน่ๆ

แต่มานึกขึ้นได้ว่าตอนล่าสุดที่เพิ่งใช้งานขั้นบันไดนี้เธอแค่แปดขวบ
ยังเป็นเด็กที่คุณครูบอกว่าขาดสารอาหารอยู่เลย
กับตอนนี้ที่อายุสามสิบขวบซึ่งก็ยังคงเก็บสถิติเดิมในเรื่องการขาดสารอาหาร
เอาไว้ได้ไม่มีตกขอบตาชั่ง...

ซึ่งแน่นอนว่าตอนนั้นกับตอนนี้สัดส่วนทางกายภาพมันย่อมไม่เท่ากัน…

อย่างน้อยเธอในตอนนี้ก็มีหน้าอกที่หญิงใดได้เห็นย่อมต้องอิจฉา
เข้ามามีบทบาททำให้น้ำหนักเพิ่ม…มีสะโพกที่ใหญ่ขึ้นและก็ผายออกด้านข้าง
อย่างน่าเกลียดในความรู้สึกยิ่งนัก ซึ่งมันก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ตาช่างเดินไปข้างหน้้า
อย่างกู่เท่าไหร่ก็ไม่ยอมกลับมา

โชคยังดีหน่อยก็ตรงที่ยังไม่มีห่วงรอบเอวให้ต้องห่วงกังวล
แล้วไหนจะกระดูกที่ไม่ได้พรุนอย่างที่โดนน้องชายกระแนะกระแหนเป็นประจำอีก…
ซึ่งมันก็น่าจะหนักอยู่ไม่น้อย…

ส่วนขนาดของสมองเธอคิดว่าช่างมัน เพราะถึงช่างไปคงไม่ได้เพิ่มขึ้นมานักหรอก
ใครๆก็มักจะบอกกันอย่างนี้

ว่าแต่ตอนนั้นเธอหนักเท่าไหร่แล้วนะ อ่า นึกได้แล้ว…

“สิบสี่กิโลกรัมกับสี่สิบสี่กิโลกรัมมันต่างกันเท่าไหร่นะหมอก…”
คนเป็นพี่หันไปถามน้องชายที่เก่งคณิตคิดไวทันที

“สามสิบกิโลกรัมเท่ากับอายุพี่นีลเลย…” คนเก่งคณิตตอบได้ภายในสามวินาที
ช่างเป็นค่าความเร็วของพวกหัวอัจฉริยะได้เลยนะเนี่ย

“หมอกว่าเรามาหาวิธีขึ้นบ้านทรายทองของพี่อย่างปลอดภัย
กันดีกว่านะ…พ่อบอกว่า…คนเราต้องคิดก่อนทำ…” วลีนี่ก็คุ้นๆนะ
รู้สึกว่าคุ้นมานานแล้ว แต่แน่ใจว่าไม่ได้มาจากปากของบิดาแน่

“เช่น?” คนเป็นน้องเริ่มทำท่าคิด มองตัวบ้านที่ยกตัวสูงซึ่งยากแก่การ
จะเหาะขึ้นไปหรือกระโดดลงมา เพราะคิดจะขึ้นก็ต้องคิดถึงตอนลงด้วย

“ต้องหาบันไดอันใหม่…”

“โหย…ไอ้แบบนี้ใครๆก็คิดได้…แต่ตอนนี้ใครจะทำได้ล่ะจ๊ะน้องรัก”

“หมอกว่าลุงคนนั้นช่วยเราได้…”

เด็กชายบุ้ยใบ้ไปยังชายที่อยู่ในชุดทำสวนซึ่งกำลังใช้บันไดพาดสองตอนปรับกางได้
พาดไปบนลำต้นของต้นมะม่วงที่กำลังออกลูกดกได้ใจ
ดูจากไกลๆก็รู้ว่ามันเป็นพันธุ์น้ำดอกไม้ พันธุ์ที่นัจมุนโปรดปรานที่สุดเสียด้วย

“เห็นรั้วนั่นมั้ย…” นัจมุนชี้ไปยังรั้วไม้สีขาวที่แบ่งกั้นดินแดนเอาไว้อย่างชัดเจน

“รั้วนั่นมันบอกอะไรเราได้หลายอย่างนะ…”

“เช่น?” คนเป็นน้องถามกลับในลักษณะเดียวกับคนเป็นพี่แบบก๊อปปี้กันมาเลยทีเดียว

“เช่นว่า นี่ถิ่นฉันนะ อย่าเข้ามายุ่ง…หรือไม่ก็…รู้มั้ยว่านี่คือที่ของใคร
ทั้งหมดนี้คือที่ของฉันอย่าได้คิดจะมาล้ำเส้นเด็ดขาด…ไม่งั้นไส้แตก ม้ามละลาย…
ไตวาย หัวใจหยุดเต้น หรือไม่อีกทีก็…เป็นตัวแบ่งชนชั้นวรรณะทางสังคมไปเลย”

“แค่รั้วเนี่ยนะพี่…โห…มันบอกอะไรเราได้ขนาดนั้นเลยหรือ”

“แน่นอน…เพราะมันเป็นยิ่งกว่ารั้ว…”

“แล้วทำไมบ้านทรายทองของพี่ถึงไม่มีรั้ว…”

“เพราะบ้านหลังนี้เป็นบ้านของผู้ดีเก่า…”

“ที่ไม่มีอะไรให้โจรปล้นอีกแล้วใช่มั้ย…”

นัจมุนแทบอยากจะโขกหัวน้องชายกับบันไดขึ้นเรือนเอาเลือดออกมาดูว่า
มันมีเลือดผู้ดีเก่าอยู่กี่ลิตร

“บ้านเขาใหญ่ดี…เราควรจะติดต่อเจริญสัมพันธไมตรีกันไว้นะพี่นีล
แม่หมอกบอกว่าอย่างนั้น…”

โธ่...แม่นายก็ชอบแต่เจริญสัมพันธ์กับคนบ้านหลังใหญ่ๆทุกหลังนั่นแหล่ะน่า
ลองมาเจอผู้ดีเก่าที่อยู่ในบ้านทรายทองหลังนี้เข้าไปสิ อยากรู้นักว่าจะกล้าเข้ามา
ทักทายทำความรู้จักมั้ย

“อยากจะเจริญก็ไปเจริญกันเอาเองนะ พี่ไม่ขอเจริญด้วยคน…
เหม็นขี้หน้าพวกบ้านผู้ดีใหม่…”

“ก็แค่อยากได้บันไดขึ้นเรือน…” คนเป็นน้องบอก

เพราะถ้าไม่ได้บันไดมา แล้ววันนี้จะหาทางขึ้นบ้านผู้ดีเก่าได้อย่างไร
ไม่ต้องนอนตบยุงกันที่ใต้ถุนเรือนหรือ คราวนี้ผู้ดีเก่าได้บริจาคเลือดเป็นทานกุศล
ให้เหล่าบรรดายุงอดอยากปากแห้งมาแรมปีแน่ๆ

“เราก็ไปขอเขาเอาเองสิ…” คนเป็นน้องเงยหน้ามองพี่สาว

“อย่ามามองพี่ด้วยสายตาแบบนี้นะ…”

“ทู้กที…อะไรๆก็หมอก…”

“ก็เรามันอัจฉริยบุคคลของโลกคนต่อไปนี่นา…คิดอ่านทำการใดเป็นสำเร็จทุกสิ่งไป…”

“งั้นหมอกจะลองไปขอยืมบันไดลุงเขาดู…พี่นีลอยู่นิ่งๆนะ
เพราะถ้าให้หมอกลุย หมอกขอลุยเดี่ยว…”

มีการกีดกันตัวปัญหาออกจากภารกิจทันที…

“เชิญเถอะย่ะ…”

แล้วเจ้าน้องชายก็ทิ้งกระเป๋าเดินทางอย่างหรูเอาไว้ตรงหน้าบันได
แล้วเดินไปยืนเกาะรั้วเรียกลุงคนสวน ก่อนจะพูดอะไรกันอยู่ครู่ใหญ่

เพียงไม่นาน เจ้าน้องชายก็ได้บันไดมาครอบครอง แถมยังมีคนหนุ่ม
ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นลูกของคุณลุงคนนั้นแบกเอาบันไดมาให้ถึงที่เสียด้วย

นับว่าลูกน้องของบ้านผู้ดีใหม่นิสัยดีใช้ได้ทีเดียว…

“ปากเก่งดีนะเนี่ย…”

“มันใช่คำชมหรือพี่นีล…”

“มีคำว่าเก่งและคำว่าดีอยู่ด้วยกันแบบนี้ก็ต้องเป็นคำชมซี…”

คนเป็นพี่ยิ้มให้น้องชายเมื่อได้บันไดมาวางตรงหน้าสมใจแล้ว

“ยิ้มใหญ่เลยพี่เรา…ไหนว่าบันไดไม้มะหาดของพี่ทนทานรับน้ำหนักได้
ไมไม่ลองย่างขึ้นไปดูล่ะ…จะได้รู้แจ้งเห็นชัด” เหมือนโดนท้าทายนะเนี่ย

“อย่า อย่าได้ท้า…” คนโดนท้าย่างเท้าขึ้นไปบนบันไดของน้องชายทันที
ไม่มีเฉียดกรายบันไดไม้มะหาดอย่างที่พูด

ทำเอาคนเป็นน้องได้แต่ส่ายหน้าให้กับพี่สาวที่ขึ้นยืนบนชานหน้าเรือน
แล้วบอกให้เขาส่งกระเป๋าไปให้

“เราคงไม่ต้องโดนรับน้องหรอกใช่มั้ยพี่นีล…”

แค่เห็นพี่สาวหยิบลูกกุญแจออกมาไขประตูทางเข้าบ้านทรายทองของผู้ดีเก่า
แล้วได้แต่ยืนลุ้นว่าจะเจอกับอะไร

“น่า…มันก็ยังดีกว่าไม่ได้รับการต้อนรับนะน้องรัก…”

พอประตูบ้านเปิดออก เจ้าปีเตอร์แพนก็ยกพวกตีปีกผับๆออกมาต้อนรับ
เป็นด่านแรก ไม่อยากจะคิดว่าด่านต่อไป น้องใหม่อย่างเขาจะต้องเจอกับตัวอะไรอีก

“สมาชิกบ้านผู้ดีเก่าทำไมมันยั๊วเยี๊ยแบบนี้ล่ะพี่นีล…”

คนเป็นน้องเกาะชายเสื้อพี่สาวเอาไว้แน่นเมื่อปะทะเข้ากับแมงมุม

"เขาเรียกว่าข้าทาสบริวารแวดล้อม..." นัจมุนแก้ให้

“เห็นมั้ยว่ามันยินดีต้อนรับเราแค่ไหน มาปุ๊บมันก็ร้องทักปั๊บ…”

นัจมุนยิ้มยั่วน้องชายที่ยืนตัวสั่นเมื่อได้ยินเสียงจิ้งจกกับตุ๊กแกร้องทัก

“ความจริงพี่นีลก็มีเพื่อนเยอะแล้ว หมอกคงไม่ต้องอยู่เป็นเพื่อนพี่
ที่บ้านหลังนี้แล้วก็ได้มั้ง…”

“พี่อยากมีเพื่อนสองขาอย่างหมอกด้วย…พวกสี่ขาพวกนี้ปากสู้หมอกไม่ได้สักตัว…
พี่กลัวเหงาปาก…”

“ไก่กับเป็ดก็สองขานะพี่นีล เลี้ยงไว้ใต้ถุนเลย…มันขันได้ขันดีไม่มีเหงาหรอก”

คนที่แทบอยากจะเผ่นหนีกลับบ้านเกิดที่เมืองหลวง
ถึงกับพยายามหาตัวเลือกอื่นๆมาให้พี่สาว

“ไหนบอกว่า…หมอกจะได้เจอสวรรค์บนดิน…ยิ่งกว่าบินไปเที่ยวโตเกียวดิสนีย์แลนด์ล่ะ…”

คนที่อุตส่าห์ยอมทิ้งตั๋วไปทัวร์โลกการ์ตูนเพื่อมาท่องแดนสวรรค์กับพี่สาว
ได้แต่มองสวรรค์ที่ว่าอย่างเศร้าๆ

“ก็นี่แหล่ะสวรรค์บนดินของเรา…สองพี่น้อง…” นัจมุนหันมายิ้ม
ให้น้องชายแล้วจูงมือไปยังห้องนอน…

“เราอยากแยกห้องนอนกับพี่หรือว่าจะนอนห้องเดียวกันล่ะ…”

คนเป็นน้องมองสภาพห้องนอนที่มีแต่ห้องเปล่าๆ ไม่มีอะไรเลย
นอกจากพื้นกับฝาผนัง…เทียบกับห้องนอนที่บ้านเกิดแล้ว
ขนาดของห้องนอนตรงหน้ายังเล็กกว่าขนาดห้องน้ำที่บ้านเขาด้วยซ้ำ

“ให้นอนบนพื้นเนี่ยนะพี่นีล…”

“หรือเราจะขึ้นไปนอนบนฝาผนังหรือบนเพดานเหมือนจิ้งจกมันก็ได้นะพี่อนุญาต…”

คนเป็นน้องมองพี่สาวจอมกวนแล้วหน้ามุ่ย

“เป็นเด็กเป็นเล็กไม่ควรทำหน้าเครียด เดี๋ยวตีนกาถามหา จะหาว่าพี่ไม่เตือน…”

คนเป็นพี่ว่าพลางเดินไปเปิดหน้าต่างห้องเพื่อระบายความอับชื้น

“แต่หมอกไม่ชอบเพื่อนๆของพี่เลย…”

“พี่จะบอกมันให้ว่าหมอกไม่ชอบมัน…”

“แต่หมอกไม่อยากเห็นหน้ามัน…”

“งั้นพี่จะบอกให้ว่าหมอกไม่อยากเห็นหน้ามัน…เวลาเจอหมอก
ก็อย่าได้หันหน้ามาให้เห็น…”

“พี่นีล!” คนเป็นน้องร้องแหวใส่พี่สาวทันทีหลังจากชักจนทนกับ
ถ้อยคำยียวนกวนไม่เลิกได้อีกต่อไป ตอนนี้เขากำลังซีเรียสสุดๆ

“หน่า…หมอกไม่เห็นหรือว่าท้ายรถกระบะของพี่มันมีอะไรบ้าง…”

คนเป็นน้องส่ายหน้า แม้จะนั่งรถกระบะที่พี่สาวเพิ่งถอยออกจากโชว์รูม
เมื่อไม่กี่วันก่อนมาร่วมหลายชั่วโมง แต่เขาก็ยังไม่ได้สังเกตดูว่าตรงด้านหลังนั้น
มีอะไรบ้าง เพราะมันมีฝาปิดเอาไว้มิดชิด

“มันมีอุปกรณ์สำหรับคุณหญิงแจ๋ว…กับคุณชายไฮโซ…”

คนเป็นน้องกลอกตาไปมา ด้วยไม่รู้ว่าพี่สาวจะนึกเพี้ยนอะไรขึ้นมาอีก

เพียงไม่นานก็ได้รู้เมื่ออุปกรณ์ทำความสะอาดบ้านถูกยักย้ายถ่ายเทจากรถกระบะ
มาไว้บนเรือนเรียบร้อยด้วยความอนุเคราะห์จากบันไดที่ไปยืมเขามาใช้งาน...

“เรามีเวลาปฏิบัตภารกิจนี้ก่อนตะวันตกดิน…”

คนเป็นพี่บอกพร้อมกับเอาหมวกสีขาวมาครอบหัวน้องชายก่อนจะใช้ผ้าปิดจมูก
กันไรฝุ่นแล้วยื่นไม้กวาดให้

“กวาดบ้านได้มั้ยคุณชาย…” คนไม่เคยกวาดบ้านมองไม้กวาดอย่างงงๆ

“ไม่เคย มันไม่ใช่หน้าที่ผู้ชายสักหน่อย…”

“ใครว่า…ผู้ชายกวาดถนนจนสะอาด ไม่เคยเห็นหรือ…”

“เคย…แต่พ่อไม่เคยกวาดให้เห็น…”

“พ่อไม่ใช่ผู้ชายคนเดียวในโลก…ดังนั้น…คนกวาดถนนเขากวาดถนนจนสะอาดได้
หมอกก็ต้องทำได้สิน่า…ไหนว่าอยากเป็นประธานาธิบดี”

“มันเกี่ยวกันหรือ…”

“เกี่ยวสิ...เพราะผู้นำคือผู้ขจัดความไม่ดีออกจากสังคม…ถ้าหมอก
ไม่สามารถจัดการบ้านหลังนี้ให้น่าอยู่ได้ อย่าหวังว่าต่อไปหมอกจะ
ไปจัดการให้บ้านเมืองน่าอยู่เลย…เพราะคำว่าบ้านเมืองก็คือการที่
บ้านหลายๆหลังมารวมกัน ”

ที่พี่สาวพูดก็ดูมีหลักการอยู่ไม่น้อย คนเป็นน้องเลยคล้อยตาม

สองพี่น้องเลยช่วยกันจัดการกวาดบ้านถูบ้านกันอย่างขมีขมัน
จนเหงื่อโทรมไปตามๆกัน

“เฮ้อ…ผู้หญิงทำงานบ้านพวกนี้ไปได้ยังไงกัน…”

ผู้ชายคนเดียวเอ่ยขึ้นอย่างเหนื่อยล้า พร้อมกับนอนแผ่ในท่าอ้างว้างอยู่
บนพื้นห้องกลางบ้านที่เพิ่งถูเสร็จไป

“นั่นน่ะสิ…พวกผู้ชายควรจะคิดให้ได้แบบนี้…จะได้รู้ว่าสตรีคือผู้กอบกู้โลกใบนี้
ให้สวยงามและน่าอยู่...”

“ขนาดนั้นเลยหรือพี่นีล…” คนเป็นน้องที่นอนอยู่หันมาทางพี่สาว
ที่ยังคงหยิบจับพวกข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นซึ่งขนมาจากกรุงเทพฯมาจัดวาง

“ประเดี๋ยวจะมีคนเอาเครื่องนอนมาส่ง พร้อมทั้งตู้เสื้อผ้าและตู้ใส่ข้าวของพวกนี้ด้วย
พวกหนูเพื่อนยากของพี่จะได้ไม่มากวน…และเราก็จะมีไฟฟ้าให้ใช้ด้วยนะ”

“โห…นี่พี่นีลเตรียมไว้หมดแล้วหรือเนี่ย…”

“สตรีมีสมองเอาไว้วางแผนบริหารสินทรัพย์บ้านเมืองเหมือนกันนะยะ
มิใช่เพียงแค่ทำให้โลกใบนี้สวยงามได้เท่านั้น...”

“แล้วตู้เย็นล่ะพี่นีล ทีวี พัดลมน่ะจะมีตามมาด้วยมั้ย…”

ไอ้ที่คิดว่าจะให้บ้านผู้ดีเก่าหลังนี้ติดแอร์ เขาคงไม่คิดหรอก…
เอาแค่พัดลมตั้งโต๊ะก็คงจะพอไหว…แต่เรื่องไม่มีทีวีให้ดูแล้วเขาจะทำยังไง…

“วันนี้ยังหรอกย่ะ…”

“ว้า…แล้วคืนนี้หมอกจะนอนดูอะไรล่ะ…”

“นอนดูจิ้งจกจีบกันบนเพดานไปพลางๆก็แล้วกัน…” คนเป็นน้องส่ายหน้าไหวๆ

“พี่นีลเอาโน้ตบุ๊คมามั้ย…” นัจมุนยิ้มบางเมื่อรู้ว่าน้องชายกำลังคิดอะไร

“เอามาสิ…”

“ง้ันดี…ถึงไม่มีทีวี มีคอมก็ให้ดูถือเป็นใช้ได้…”

“แต่เสียใจ…ที่นี่ไม่มีสายอินเตอร์เนตเข้ามาถึง…”

“เค้ามีมือถือ…ต่อวายฟาย (Wi-Fi) เอาก็ได้…”

“เสียใจ…ที่นี่สัญญาณ 3G ก็ยังมาไม่ถึง…”

“โอ้…นี่มันโลกพระจันทร์หรือไร…ทำไมถึงปล่อยให้ชาวบ้านเขาล้ำหน้าไป
โดยไม่รู้สึกอะไรแบบนี้ได้…”

นัจมุนมองว่าที่ประธานาธิบดีคนต่อไปแล้วได้แต่ยิ้มบางพลางคิดไปว่า
ถ้าได้คนแบบนี้ไปเป็นประธานาธิบดี โลกจะหมุนไปทางไหน
มันคงไม่หมุนกลับทิศหรือสลับหัวสลับหางขึ้นมาหรอกนะ

“ขอพิสูจน์หน่อยก็แล้วกัน…” ว่าแล้วก็หยิบเจ้ามือถือออกมาจัดการ
ค้นหาสัญญาณอินเตอร์เนต ปรากฎว่าไม่เจอเลยไม่ว่าจะทำยังไง…

“หมอกคงต้องลงแดงตายถ้าไม่ได้เล่นเฟสบุ๊ค…ไหนเขาโฆษณาว่า
สัญญาณ 3Gครอบคลุมทุกพื้นที่ของประเทศไทยไง…แล้วที่นี่มัน
ไม่ใช่พื้นที่ของประเทศไทยหรือพี่นีล…”

“ถ้าตามโฆษณาว่ามา…เราก็ไม่น่าจะอยู่ในเขตประเทศไทยนะ…”

“ไม่เป็นไร หมอกมีวิธีของหมอก อีกไม่นานหมอกต้องได้เล่นเฟสบุ๊ค”

คุณชายไฮโซดูจะมุ่งมั่นกับการหาทางเล่นเฟสบุ๊คด้วยสีหน้ายุ่งยาก
ปาดมือถือไปทางซ้ายที ปาดมาทางขวาทีอยู่ในท่าเดิมๆ
แล้วก็เดินไปเดินมารอบบ้าน ก่อนจะลงไปยังด้านล่าง ยกมือถือไปมา
อย่างกับคิดว่าจะหาสัญญาณอินเตอร์เนตใต้ต้นฝรั่งเจองั้นแหล่ะ

ฝรั่งมันไม่ได้ออกลูกเป็นแอปเปิ้ลหรอกนะ ถึงจะมีอินเตอร์เนตให้เล่นได้

นัจมุนเห็นสภาพคนใกล้ลงแดงตายเพราะไม่ได้เล่นเนตแล้วอดส่ายหน้าไม่ได้

และเมื่อรถนำส่งเครื่องเรือนและโต๊ะตู้เตียงมาถึง
บ้านที่มีปัญหาเรื่องบันได เลยดูลำบากในการขนย้ายสิ่งดังกล่าวอยู่ไม่น้อย

กว่าจะจัดการเอามันขึ้นมาได้ ทั้งเจ้าของบ้านทั้งผู้นำส่งถึงกับปาดเหงื่อ…

“เฮ้อ…เสร็จซักที…หิวจะแย่แล้วพี่นีล…มีไรกินมั่งเนี่ย…” คนที่ว่าเสร็จสักทีหาได้
ช่วยประการใดให้แล้วเสร็จไม่

“ตอนนี้มีแต่โอ-วัน-ตีน…จะกินมั้ย…”

นัจมุนมองน้องชายที่นอนชันอยู่บนพื้นกลางห้องแล้วกระดิกเท้าไปมาอย่างสบายๆ
ไม่คิดช่วยงานการพี่สาว แล้วชักจะหมั่นไส้ขึ้นมาติดหมัด…

“ผู้หญิงอะไร…หยาบคายที่สุด…คุณชายฟังไม่ได้นะเนี่ย…ระคายระเคือง”

“หือ…ถ้าจะกินต้องช่วยกันทำมาหากินก่อน…ลุกมาเดี๋ยวนี้เลยนะ”

“จะให้ลุกไปทำไม…ทุกอย่างก็ดีอยู่แล้ว หมอกน่ะนอนได้กินง่าย”
คนเป็นพี่มองคนนอนได้กินง่ายแล้วส่ายหน้า

“วางไอ้มือถือนั่นลงสักทีนะหมอก…” คนเป็นพี่เริ่มรำคาญไอ้ท่านอนปาดมือถือ
จนสุดจะทนได้แล้ว

“ก็หมอกบอกแล้วว่ายังไงๆวันนี้ต้องได้เล่นเฟส…พี่นีลไม่เข้าใจหรือ
สาวๆรออ่านถ้อยคำแถลงของหมอกทุกวัน…หมอกไม่อยากทำร้าย
จิตใจสาวๆเหล่านั้นหรอกนะ…เพราะการรอคอยใครบางคน...มันแสนจะทรมาน”

ได้ยินแบบนี้แล้วพาลให้นึกไปถึงไอ้พี่ชายต่างพ่อของคุณชายไฮโซจอมขี้เกียจขึ้นมา
รายน้ันเจ้าชู้ไก่แจ้เป็นที่หนึ่ง…จนเธอถึงกับไม่กล้ากลับไปนอนพักบ้านหลังนั้น
ร่วมหลังคาเดียวกันกับเขา เลยต้องระเห็ดระเหเร่รอนพเนจรไปอยู่ในแดนไกล…

“งั้นก็รอกินโอ-วัน-ตีนไปก็แล้วกัน…”

“งั้นหมอกขอกินมะม่วงนี้ก่อนนะ…ลูกใหญ่ได้ใจมาก…”

ว่าพลางหยิบมะม่วงซึ่งได้รับอภินันทนาการมาจากคนข้างรั้ว

“นี่ไปเอาอะไรของใครเขามาอีก…”

งานเข้าแล้ว อุตส่าห์ซ่อนไม่ให้เห็นแล้วแท้ๆ ดันหลุดปากบอกไปได้เสียนี่

“พี่เขาให้มาสองลูก…” ตอนนั้นเขารับมาใส่เป้ไว้ เพราะรู้ว่าพี่สาวต้องโวย
ที่เขาใจง่ายไปรับของจากคนแปลกหน้า แต่ถ้าใครได้เห็นของท่ีเขาให้มา
คงปฏิเสธไม่ไหวหรอก...

"พี่ที่ไหนอีก...เพิ่งมาถึงแท้ๆ ไปนับญาติกับใครเขาตอนไหน...
ไวไฟจริงๆนะเรา..."

“ก็ลุงคนนั้นแหล่ะ…เสียงเขาไม่ได้แก่…เลยไม่น่าจะใช่ลุง...”

“แล้วหน้าตาล่ะแก่มั้ย…”

“ไม่เห็น เขาเอาผ้าปิดหน้ากันแดดกันฝุ่นไว้…แต่สีตาแปลกประหลาดดี
ไม่น่าจะใช่คนแถวนี้โดยกำเนิด…”

“แล้วรู้หรือว่าคนแถวนี้โดยกำเนิดมันเป็นยังไง…”

“ก็หน้าตาเหมือนพี่นีลไง…เหอๆ”

“หน้าตาเหมือนพี่มันยังไง…”

“ก็ผิวดำๆไม่ขาวเท่าหมอก…แม่บอกว่า พี่นีลน่ะเป็นเมฆสีดำเวลาฝนใกล้จะตก
หรือพายุจะเข้า…ส่วนหมอกเป็นหมอกสีขาวในยามเช้าตรู่…”

นัจมุนแอบเคืองมารดาเลี้ยงที่แอบนินทาชื่อเล่นเธอลับหลัง
ชื่อนั้นแม่เธออุตส่าห์ตั้งให้นะ แม่บอกว่า ‘นีล’ แปลว่า เมฆ

“ถ้างั้นวันนี้งดข้าวงดน้ำ…ไม่ต้องกินมันแล้ว…”

คนเป็นพี่เริ่มเคือง ก่อนจะเดินผ่านหน้าน้องชายไป
แต่ไม่วายเห็นมะม่วงในมือน้อง คนที่กำลังโมโหและหิวถึงกับน้ำลายสอ
ถ้าขอมันกินมันจะยอมให้กินแต่โดยดีมั้ยนะ

“งั้นมะม่วงสองลูกนี้พี่นีลก็อดเหมือนกัน…” ว่าพลางเดินไปเปิดตู้
เก็บอุปกรณ์ในครัวแล้วคว้ามีดกับจานออกมาไว้ในมือ

“น้ำดอกไม้ซะด้วย…” คนเป็นน้องเริ่มยั่วด้วยการนั่งลงบนพื้นห้อง
แล้วค่อยๆลงมือปอกมะม่วงด้วยสีหน้าท่าทางสบายๆ…

“ระวังมีดบาดนะ…เดี๋ยวพี่ปอกให้ก็ได้”

...ถ้าได้ปอกรับรองว่าต้องได้กิน...

“ไม่เป็นไร หมอกเป็นเซียนด้านการปอกผลไม้…แม่ใช้ให้ปอกให้กินออกบ่อย…”

แม่เจ้าคุณชายไฮโซเนี่ยนะใช้ให้ลูกชายปอกผลไม้ให้กิน...จ้างให้ก็ไม่เชื่อ

“ต้องไปล้างมือก่อน…เชื้อโรคทั้งนั้น…”

คนที่กำลังปอกมะม่วงนึกขึ้นมาได้ จึงเดินไปยังถังน้ำที่ช่วยกันตักมาจากลำธาร
ที่อยู่ไม่ไกลกับผู้เป็นพี่สาวเพื่อใช้ถูบ้านก่อนหน้านี้

พอกลับมาอีกที มะม่วงโดนฉกไปซะแล้ว…สุดยอดจริงๆพี่สาวเรา

“นั่งลงสิ…จะได้ปอกให้กินง่ายๆ…” พี่สาวเราใจดีผิดเวลาไปหรือเปล่า

“นั่นมันมะม่วงหมอกนะ…พี่เขาให้หมอกมา…”

“แล้วทำไมถึงให้มาสองลูก…นั่นก็หมายความว่าเขาต้องการเผื่อแผ่มาถึงพี่ด้วย…
เรายังเด็กไม่เข้าใจความคิดของผู้ใหญ่หรอก…”

ผู้ใหญ่คนอื่นเขาอาจจะไม่เข้าใจความคิดนัก แต่กับผู้ใหญ่ตรงหน้า
ไม่เห็นยากที่จะเข้าใจ อ้าปากก็เห็นลิ้นไก่แล้ว

“แต่พี่เขาไม่ได้ระบุตัวบุคคลเอาไว้…”

“เขาก็แค่คิดว่าหมอกน่าจะรักพี่สาวมากๆน่ะสิ…ถึงขนาดยอมเสียสละหน้าตา
และชื่อเสียงอันเกรียงไกรเพื่อบากหน้าไปขอยืมบันไดเขามาน่ะ…
ผู้ใหญ่เขาไม่ได้คิดตื้นๆ เราต้องหัดรู้จักตีความให้ลึกซึ้งเข้าไว้…เข้าใจมั้ย…”

ว่าพลางก็ปาดน้ำดอกไม้แล้วหั่นเป็นชิ้นลงไปบนจาน ก่อนจะหยิบชิ้นแรกเอาเข้าปาก

“หวานฉ่ำซ้ำยังหอม…ไม่สุกจนเกินไป เคี้ยวกรุบๆหน่อยๆแบบนี้แหล่ะที่พี่ชอบ”

กินไปก็ออกปากชมไปด้วย คนเป็นน้องเลยหยิบขึ้นมากินบ้าง

“ไหนว่าเหม็นขี้หน้าพวกบ้านผู้ดีใหม่ไง…”

“มะม่วงมันไม่ได้เหม็นนี่…ก็บอกอยู่ว่าหอม…”

“ไม่ชอบเขาแล้วไปกินของเขาเนี่ยนะ…” นัจมุนยักไหล่
หยิบมะม่วงเข้าปากไปสองชิ้นติดๆกัน ก่อนจะหยิบมะม่วงอีกลูกขึ้นมาปอกต่อ
เพราะรอไม่ไหวแล้ว…หวานฉ่ำอะไรอย่างนี้…

“ไม่ชอบเขา แต่ชอบมะม่วงเขา มันผิดตรงไหน พี่น่ะเป็นคนแยกแยะ
ได้ว่าอะไรเป็นอะไรนะ…ไม่ใช่คนพาลสันดานหยาบซักหน่อย…
มะม่วงมันไม่ได้ผิดอะไร เราจะไปลงกับมันก็ใช่ที่…ดูสิมันออกจะน่าเอ็นดู”
คนเป็นน้องส่ายหน้า

“น่ากินมากกว่าล่ะมั้ง…” คนเป็นพี่เงยหน้าขึ้นมายิ้มหวานให้น้องชาย

“รู้ใจอย่างนี้…แสดงว่าจะยกมะม่วงลูกนี้ให้พี่ทั้งใบเลยใช่มั้ย…”

“โห…มีอย่างนี้ด้วย…”

“เอาน่า…เดี๋ยวพ่ีพาไปเลี้ยงข้าวหมกไก่…เคยกินมั้ยข้าวหมกไก่น่ะ…”
คนเป็นน้องส่ายหน้า

“รับรองว่าอร่อยจนลืมมะม่วงไปเลย…” ว่าพลางหั่นมะม่วงเป็นชิ้นๆ
ลงไปในจานอีกครั้ง…คราวนี้เกิดศึกแย่งชิงมะม่วงชิ้นสุดท้ายกันยกใหญ่
คนเป็นน้องคว้าจานไปไว้ในมือแล้ววิ่งไปรอบบ้าน

“พี่นีลเป็นพ่ีต้องเสียสละให้น้องสิ…” คนเป็นน้องพาจานหนีกะจะ
หยิบชิ้นสุดท้ายมากินก็โดนพี่สาวเข้ามาขัดขวาง

“แต่เราต้องคิดสิว่า ใครได้กินชิ้นสุดท้ายจะได้แฟนหล่อ…
พี่อยากได้แฟนหล่อ ขอชิ้นสุดท้ายให้พี่น้าาาา…”

เสียงนั้นออดอ้อนรำพันเหลือแสน

“ถ้าอยากได้แฟนหล่อๆ ก็ไปขอพี่บากี้เป็นแฟนเอาสิ…
มาขอมะม่วงชิ้นสุดท้ายของหมอกทำไม…”

เจ้าของมะม่วงชิ้นสุดท้ายในจานวิ่งไปหยุดอยู่ตรงหน้าต่างห้อง
แล้วคว้ามากินจนได้ในที่สุด

ทำเอาผู้เป็นพี่สาวถึงกับมองมันด้วยความเสียดาย…

“คอยดูนะ…ถ้าพี่ไปเจอเขาขายในตลาดจะฟาดมาสามกิโล…ไม่แบ่งใครกินด้วย…”

“จ้างให้ก็ไม่อร่อยเท่านี้หรอก…หมอกกินมาหลายที่แล้ว…”

คนที่ชอบกินมะม่วงเป็นชีวิตจิตใจเหมือนพี่สาวว่าอย่างเยาะเย้ย…
แกล้งใครก็หาสนุกเท่ากับแกล้งพี่สาวไม่…

“จำไว้เลย…จงจำไว้…ทำอะไรใครไว้จงจำไว้…”
นัจมุนคาดโทษน้องชายก่อนจะกระตุกคิ้วมุ่นเมื่อเหลือบไปเห็นอิตาลุงคนนั้น
ผ่านทางช่องหน้าต่าง…เขายืนอยู่ใต้ต้นมะม่วงที่ให้ผลดกต้นนั้น
และเหมือนกำลังจ้องมาทางนี้…

...แหม…ทำมาปิดหน้า กลัวผิวหน้าหยาบกร้านเพราะรังสียูวี…
ผู้ชายอะไรสำอางเหลือเกิน…

“มีอะไรพี่นีล…” คนเป็นน้องที่ยืนหลังพิงกับขอบหน้าต่างถามพี่สาว
ก่อนจะหันหลังไปมองตามสายตาของคนเป็นพี่ เด็กชายยิ้มกว้างทันที
ก่อนจะตะโกนเสียงดังข้ามรั้วหวังให้อีกฝ่ายได้ยินว่า

“ขอบคุณครับพี่…มะม่วงพี่อะไรจริงๆ…พี่สาวผมเขาติดใจมาก”

คนที่ยืนอยู่ใต้ต้นไม้พยักหน้าให้เพื่อให้อีกฝ่ายรู้ว่าเขาได้ยินแล้ว
ก่อนจะเดินไปยังบ้านหลังใหญ่ที่ทำจากไม้สักทอง…ซึ่งอยู่บนเนินสูง
ห่างจากตัวบ้านของเธอเยี้องไปทางด้านหลัง

“เชอะ สงสัยคงสร้างบ้านหนีน้ำท่วมล่ะสิท่า…ช่างไม่รู้อะไรบ้างเล้ย
ว่าหนีน้ำน่ะพอหนีได้ แต่จะหนีพายุและแผ่นดินไหวกับฟ้าผ่าน่ะ
มันหนีไม่ได้ดอกหนา…”

นัจมุนมองบ้านที่ปลูกบนเนื้อที่ที่ในอดีตเคยเป็นที่ราบ แต่ปัจจุบันถูกถมที่ให้สูง
จนกลายเป็นเนิน และมีการปรับพื้นที่โดยรอบทำเป็นสวนแบบไทยๆ
มีไม้ผลหลายชนิดและที่มากท่ีสุดเห็นจะเป็นมะม่วง…

“พี่นีลบ่นอะไร…”

“ก็บ่นบ้านผู้ดีใหม่ไง…ถมที่ซะสูงจนบ้านผู้ดีเก่าของเรากลายมาอยู่ที่ต่ำไปเลย…
เมื่อก่อนนะ…บ้านเราน่ะอยู่ที่สูงกว่าของใครๆ น้ำมาทีไรไหลลงไปข้างล่างหมด
แถมวิสัยทัศน์ดี มองเห็นได้รอบทิศ พอมีบ้านหลังนี้มามันก็บดบังทัศนียภาพ
อันงดงามของท้องทุ่งนาที่อยู่ด้านหลังตรงโน้นไปหมดเลย…
แล้วอย่างนี้จะไม่ให้เคืองได้ยังไง…”

“อ๋อ…พี่เสียดายที่ไม่ได้เห็นท้องทุ่งนาว่างั้น…”

“มันก็น่าเสียดายมั้ยล่ะ…คนพวกนั้นมันนายทุนหน้าเลือด…
คิดจะฮุบแผ่นดินชาวบ้าน แล้วเลือกที่ดินสวยๆไปเป็นของตนหมดเลย…”

นัจมุนอดเสียดายท่ีดินที่อยู่ติดกับที่ของตนเองไม่ได้ เมื่อก่อนเธอต้องการ
อยากจะได้ที่ตรงนั้นมาก เพราะว่ามันอยู่ใกล้กับท้องทุ่งนา
อุตส่าห์เก็บตังค์กะจะมาซื้อ ที่ไหนได้ โดนซื้อปาดหน้าไป น่าเจ็บใจจริงๆ

รู้อย่างนี้ ลดศักดิ์ศรีสักหน่อย แล้วขอยืมตังค์พ่อมาซื้อไว้แต่เนิ่นๆ
เมื่อสิบปีก่อนก็ดี…มันจะได้ไม่ตกไปเป็นของคนพวกนั้น

“พี่นีลรู้เหรอว่าเจ้าของบ้านหลังใหญ่นั่นเป็นใคร…”

“ทำไมจะไม่รู้…” นัจมุนลอบถอนใจ มองบ้านหลังนั้นด้วยความเจ็บลึก

“ก็…บ้านของศุภิกา ชลันธนาบริรักษ์ภักดีกุลไง…นามสกุลยาวๆแบบนี้
หวังว่าคงไม่มีใครลืมกันได้ง่ายๆหรอกนะ…เด็กกรุง…”

ว่าแล้วก็มองหน้า 'เด็กกรุง'

“เพื่อนหมอกก็นามสกุลนี้นะ…”

“หา…นี่เรามีเพื่อนนามสกุลนี้หรือ…งั้นเลิกคบไปเลย…พี่ไม่อนุญาต”

“อ้าว…ทำไมล่ะ…ก็เขาเป็นคนดีและน่ารักออก…”
คนเป็นพี่มองเจ้าน้องชายด้วยสายตาจับผิดทันที

“ผู้หญิงล่ะสิ…” คนเป็นน้องฉีกยิ้มกว้างเลยทีเดียว

“อ่ะแน่นอน…สวยและน่ารักกว่าพี่นีลล้านเท่าด้วยนะ…”

“อายุเท่าไหร่ถึงจะมาสวยเท่าฉันยะ…”

“หกขวบ…”

“แหมๆๆ…หกขวบ…ยังไม่โตเลยนะ…คิดจะมาวัดรอยตีนกากับนัจมุนน่ะ…
ตกขอบเวทีเจ็บฟรีนะจะบอกให้…”

“หมอกก็ว่างั้นแหล่ะ…เพราะจำนวนรอยตีนกาของพี่นีลมากกว่าของน้องเขาจริงๆ”

“ใครว่าตีนกา…นี่น่ะตีนไรรู้มั้ย…” คนเป็นน้องหัวเราะฮึๆ

“ตีนเป็ด…หมอกว่ามันน่าจะเรียกตีนเป็ดได้นะ…”

“เดี๋ยวเจ็บ…ว่าพี่แก่เหรอ…เจอเจ็บ…เจ็บแน่…” คนเป็นพี่ชี้หน้าคาดโทษ

“แล้วนี่คิดจะจีบเด็กอนุบาลรึ…แล้วทำมาบอกว่าเพื่อน เหมือนพวกดารา
เวลาโกหกชาวบ้าน…”

“ใครว่า…หมอกก็แค่รู้จักเพราะเรียนโรงเรียนเดียวกัน น้องเขาโดน
เด็กผู้ชายรุ่นพี่รังแก หมอกเลยกระโดดเข้าไปช่วย ก็เท่านั้น…”

แหม…ช่างเหมือนประวัติศาสตร์คู่รักจอมยุทธรุ่นจิ๋วของเราเมื่อยี่สิบสี่ปีก่อนเลยนะ…
ของเราเลย…นี่มันก๊อปกันมาใช่มั้ย
หรือว่านี่มันนิยายน้ำเน่ากันแน่…ทำไมถึงได้ส่งกลิ่นเน่ามาถึงยุคนี้ได้…

นี่มันยุคดิจิตอลแล้วนะ…มิใช่ยุคอะนะล็อกนะ

แล้วดูหน้าตาพ่อจอมยุทธรุ่นจิ๋วเวอร์ชั่นล่าสุดตรงหน้าซิ…
ทำไมมันดูหน้าหวานผิดจากหน้าตามาดเข้มและดุดันของพ่อจอมยุทธรุ่นจิ๋ว
ในยุคนั้นขนาดนี้หนอ…เฮ้อ…

“ให้มันเท่านั้นจริงๆเห๊อะ…กลัวน้ำตาจะเช็ดหัวเข่า…” เหมือนเรา!

“ทำไมต้องเช็ดหัวเข่า…”

“เฮ้อ…พูดไปก็เท่านั้น…ว่าแล้วก็เลิกจีบซะ…พี่ไม่ชอบพวกนามสกุลยาวๆนี่เลย…”

“ทำไมล่ะพี่นีล…พ่อสอนว่า…คนเราต้องมีเหตุผล”

“เอาไว้เราโตแล้วจะรู้ว่าเหตุผลมันใช้ไม่ได้กับเรื่องบางเรื่อง…”

“แล้วเรื่องอะไรบ้างล่ะพี่นีล…”

“ก็เรื่องรักและชังยังไงล่ะ…” คนเป็นน้องมองตาพี่สาวอย่างไม่เข้าใจ

“งั้นหมอกก็ต้องเลิกคบกับพี่รุสด้วยสิ…เพราะพี่รุสก็นามสกุลนี้นะ…”

เด็กชายอดนึกไปถึงพี่ชายต่างบิดาของตัวเองขึ้นมาไม่ได้…
นัจมุนเองก็อยากจะบอกเหมือนกันว่านั่นแหล่ะ…ตัวเหตุผลนึงละ…

“แล้วเราอยากให้พี่เป็นพี่สาวต่อไปหรือว่าอยากให้เป็นพี่สะใภ้ล่ะ…”
คนเป็นน้องถึงกับกลอกตาไปมาอย่างไม่เข้าใจ

“เอาน่า…ก็บอกแล้วไง…เรื่องบางเรื่องน่ะ…มันใช้เหตุผลอย่างเดียวไม่ค่อยจะได้…”

“อย่างเรื่องที่พี่นีลไม่กินเส้นกับพี่รุสใช่มั้ยล่ะ…”

“แสนรู้…” คนเป็นพี่ยิ้มให้น้องชาย…

“งั้น…”

“ไม่ต้องพูดแล้ว เราไปอาบน้ำกันดีกว่า…พี่เหนียวตัวจะแย่แล้ว
พออาบน้ำเสร็จก็ไปหาอะไรกินกัน…” คนเป็นน้องตาโตทันทีเมื่อได้ยินเรื่องของกิน
เลิกสนใจเรื่องอื่นทันที

“เราจะลองปั่นจักรยานสำรวจพื้นที่ด้วยกัน…”

“จักรยาน?”

“ใช่…จักรยานลดโลกร้อน…พ่ีเอามาสองคันสำหรับเราสองคน…”

ว่าแล้วก็ชี้ไปทางท้ายรถกระบะของตนให้น้องชายได้เห็นว่า
มันมีจักรยานสำหรับพับเก็บได้มาด้วยจริงๆ…

“สุดยอดไปเลย…”

“แน่นอน…เพราะแทนที่จะใช้พลังงานด้านอื่น เราหันมาใช้พลังงานในตัวเรา
ด้วยการปั่นจักรยาน…นี่แหล่ะ…จักรยานลดโลกร้อนของพี่…
ไม่ต้องเสียตังค์ค่าน้ำมัน แถมยังลดไขมันส่วนเกินได้ด้วย…”

“แล้วจะอาบน้ำกันที่ไหน…”

“ในลำธารนั่นไง…ไปกัน…” ว่าแล้วก็เดินไปหยิบอุปกรณ์อาบน้ำ
แล้วจูงมืิอกันเดินไปยังลำธารที่จะอยู่ติดกับบ้านหลังใหญ่หลังนั้น
ซึ่่งจะไหลผ่านหลังสวนส้มโอของเธอจนเรื่อยมาถึงด้านข้างของบ้าน

และแน่นอนว่า สองพี่น้องเลือกที่จะลงเล่นยังฝั่งของตนตรงข้างบ้าน
แทนที่จะเป็นส่วนที่อยู่หลังสวนส้มโอ…






......โปรดติดตามตอนต่อไป........


วันเสาร์จะพยายามเอาเงามารมาเสริฟนะคะ...
ส่วนวันนี้เอาพี่นีลกับน้องหมอกไปก่อนนะเคอะ...อิอิ


ใครอยากอยู่บ้านผู้ดีเก่า บอกเต่าได้นะคะ...เหอๆ

ขอบคุณนักอ่านทุกท่านที่เข้ามาติดตามอ่านเรื่องนี้นะคะ
อย่าลืมแวะกดไลค์ให้กันด้วยน้าาา...
แล้วอย่าลืมเข้ามาแปะยิ้มให้กันบ้างเน้อ
คุยกันวันละนิดจิตแจ่มใส...อิอิ




.....ตอบเมนท์จ่ะ.......

1.คุณตุ๊งแช่... 24 ปีก่อน คือ บรรทัดแรกของเรื่องเลยหนา...เฮะๆ
วันนี้เต่าโดนจิ้งจกปลุก...เหวออออออ...เลยได้เวลาอัพนิยาย


ว่าแต่...อย่าบอกน้าาว่าไก่โต้งที่จับได้น่ะคือคำว่า "เชค"
สำหรับคำนี้ เต่าไม่ได้ปล่อยไก่น้า(มันมีเบื้องลึกเบื้องหลัง)...

คือจริงๆแล้ว มุสลิมนิยมหรือเรียกคำว่า "เชค" น่ะค่ะ
ไม่ใคร่จะมีใครใช้คำว่า "ชีค" มันเป็นเรื่องของเสียงและการสะกดคำนะโยว่า...
เพราะ "เชค" หรือ "ชีค" นั้น หมายถึง ผู้นำ หัวหน้า ผู้ทรงความรู้ ผู้อาวุโส

ในโลกอิสลามจะยกย่องผู้ทรงความรู้ที่มีความรู้มากๆว่า "เชค" ค่ะ

ตำแหน่งเชค จึงมิใช่ตำแหน่งของกษัตริย์ผู้ครองเมืองเท่านั้น
แต่ถ้าเป็นตำแหน่งของสุลต่านนั่นใช่เลย...เพราะสุลต่านคือนายผู้ครองเมือง
จะเมืองเล็กเมืองใหญ่ไม่ว่ากัน แต่เป็นผู้ครองเมือง

ส่วน "เชค" นั้นเป็นได้ด้วยกับทั้งอำนาจบารมี และเนื่องมาจากความรู้ความสามารถ
ในเรื่องเกี่ยวกับศาสนาอิสลามค่ะ...โยเลยเลือกใช้คำว่า "เชค"
เพราะเสียงมันฟังเป็นเสียงสากลมากกว่าคำว่า "ชีค"

จริงๆโยพบคำว่า "ชีค" เฉพาะแต่ในนิยายแนวทะเลทราย
หรือในโลกของนิยายนะคะ...กับในข่าวบนหน้าสิ่งพิมพ์บางฉบับ
หรือสื่อออนไลน์ที่เอ่ยถึงลูกหลานกษัตริย์ทางแถบตะวันออกกลาง..

แต่ในบอร์ดอิสลามหรือในโลกมุสลิม จะนิยมเขียนทับศัพท์ว่า "เชค" ในภาษาไทย
และใช้สำเนียงในการออกเสียงว่า "เชค" กันน่ะค่ะ...
เลยขอใช้คำนี้เรียกคำนำหน้าตำแหน่งพระเอกเต่าว่า "เชคกอมารุน"
ที่ดูจะเป็นเสียงสากลกว่า...จริงๆเต่าตั้งใจจะอธิบายเกี่ยวกับตำแหน่งนี้ในเรื่องนี้อยู่ด้วยค่ะ...

ส่วนเรื่องเสียงหรือการสะกดคำ ใครถนัดอะไรก็ว่าไปตามนั้นค่ะ...
เพราะสื่อไปถึงสิ่งเดียวกัน

ถ้าอยากลองดูเพื่อให้แน่ชัด...ลองคีย์คำว่า "เชค_มุสลิม" ลงไปใน Google
รับรองผุดเหมือนดอกเห็ดเลย มีรายนามท่านเชคผู้ยิ่งใหญ่ทั้งในอดีตและปัจจุบัน
ทั้งที่เป็นคนไทยและคนจากทั่วทุกมุมโลก มันเป็นคำในภาษาอาหรับก็จริง
แต่ก็ไม่ได้ใช้เฉพาะแต่กับชาวอาหรับเท่านั้นค่ะ แต่ใช้กันในโลกมุสลิมเลยก็ว่าได้
เพราะปัจจุบัน คนไทยท่ีมีคำนำหน้าว่าเชคก็มีอยู่หลายท่านค่ะ
(แต่เชคคนไทยที่ว่าก็ไม่ได้ชื่อไทยๆซะด้วยสิ ส่วนใหญ่จะชื่ออาหรับ
หรือตั้งชื่อแบบมุสลิมกัน)

ยังเคยมีการเขียนสะกดตำแหน่งนี้ว่า "เฉก"
อย่าง "ท่านเฉกอะหะหมัด" ซึ่งก็คือ "ท่านเจ้าพระยาบวรราชนายก"

แต่จริงแล้วในประวัติของท่านจะเรียกท่านด้วยการสะกดคำว่า "เชคอะหมัด"
ซึ่งเป็นปฐมจุฬาราชมนตรีของไทย...(อันนี้เสริมความรู้นิดนึงตามที่โยรู้มา) ^^

ปล.ชอบอ่านที่คุณตุ๊งแช่เขียนเกี่ยวกับสัตว์มากๆเลยค่ะ อันนี้พูดจริงๆ
แบบว่าอ่านไปจินตนาการไปด้วย แล้วก็ขำดี...เพราะบ้านเกิดเต่าก็แบบว่า
มีสัตว์นาๆเข้ามาขอพึ่งใบบุญบ่อย ไม่รวมสัตว์ที่เลี้ยง...สงสัยเพราะมีปัจจัย
ให้มัน คือ ไม้ผลเพียบ...มันเลยแอบมาฟาดไปกินบ่อยๆ...
คนปลูกไม่ทันกิน คนกินไม่ต้องปลูก(นี่คือคำพูดของพ่อของเต่า)...เหอๆ


2.คุณแว่นใส...รอบนี้ก็ยังผลุบๆโผล่ๆค่ะ...ต้องมาดูว่าเฮียแกทำไรของเฮียแก
เหอๆ...


3.คุณปรางขวัญ...งั้นเต่ายกให้เลยฟรีๆค่ะ...ยกให้เลย...
เอาไปปลอบให้ด้วยนะคะ...อิอิ ส่วนพ่ีก้อคงได้ลับฝีปากกับเจ้นีลแน่ๆ
ไม่วันใดก็วันนึง...เหอๆ


4.คุณcoonX3...ดีใจจังที่เข้ามาติดตามและเป็นกำลังใจให้เต่าในเรื่องนี้ด้วย
งานนี้ไม่แน่ใจว่าระหว่างพี่ก้อกับน้องนีลใครจะเข้าถึงยากกว่ากัน อิอิ
บางคนดูเหมือนจะเข้าถึงได้ง่าย แต่เอาเข้าจริง เข้าถึงยากก็ได้นะคะ เฮะๆ


5.คุณsunflower...พระเอกเต่ามันไม่เพอร์เฟคเหมือนพี่บากี้แสนดีอ่ะจิ...
คุณซันเลยชิงชังรังเกียจ ฮ่าๆๆๆ เรื่องอื่นๆพระเอกเต่าก็โดนแย่งซีนแทบทุกเรื่อง

ว่าแต่...ขอป้ายไฟเป็นชื่อเต่านะ เพราะเท่าที่เห็นพี่บากี้แกมีแฟนคลับ
เยอะกว่าเต่าแล้วอ่ะ...ขอให้เต่าบ้างเหอะ...ให้เต่าได้มีที่ยืนให้หายใจได้ อิอิ


6.คุณyapapaya...จริงๆมันก็ไวยิ่งกว่าโกหกนะคะ...ฮ่าาาาา
พี่ก้ออาจไม่ต้องเสียแรงแกะน้องนีลออกจากคานทองก็ได้ เพราะแค่เอาไฟ
ไปลน ทองก็หลอมละลายแว้วววว...แม้เนื้อทองยังสวยเท่่าเดิม
แต่เชื่อสิ รูปร่างของทองที่โดนหลอมละลายอาจกลายสภาพเป็นอย่างอื่น
ที่ไม่ใช่คานไปแล้วก็ด้ายยยยยย...เหอๆ



....ขอให้สุขภาพแข็งแรงกันถ้วนหน้านะคะ......


"เต่าโย"





yoraya
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 8 พ.ค. 2558, 06:25:05 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 10 พ.ค. 2558, 18:30:39 น.

จำนวนการเข้าชม : 2532





<< ต้นที่ 4 ใช่เธอหรือเปล่า   ต้นที่ 6 คนแปลกหน้า >>
yapapaya 8 พ.ค. 2558, 07:04:44 น.
กะเปิดมาดูเงามารเพราะคุณโยชอบอัพหลังเที่ยงคืนมาเจอนัจมุนกับน้องหมอก เลยได้อ่านวีรกรรมของสองพี่น้องแทน ลุ้นบ้านผู้ดีเก่า กับบ้านผู้ดีใหม่ วาจะลับฝีปากกันขนาดไหนกันต่อไป กลิ่นมะม่วงน้ำดอกไม้โชยมาหน้าจอแล้วค้า


ปรางขวัญ 8 พ.ค. 2558, 07:59:08 น.
บ้านผู้ดีเก่าอยู่แถวไหนน๊าาา รู้จักข้าวหมกไก่ด้วย.
สงสัยว่าลุงคนสวนคือพี่ก้อรึเปล่า


ตุ๊งแช่ 8 พ.ค. 2558, 13:38:18 น.
ตอนแรกก็ไม่แน่ใจ ความรู้ใหม่นะนี่

บรรทัดสุดท้าย ใช่เลยยยย

ว่าแล้วเจ้าโต้งก็หายหัวไปอีกแระ





แว่นใส 9 พ.ค. 2558, 10:29:24 น.
นายหมอกน่ารักจริง ๆ


จ๊ะจ๋า 9 พ.ค. 2558, 14:13:54 น.
แม่นีลตาย พ่อเลยแต่งงานใหม่ ย้ายไปอยู่กรุงเทพ มีลูกอีกคนคือหมอก แม่หมอกเคยมีลูกมาก่อนชื่อรุส ใช่มั๊ยคะ อ่านแล้วเข้าใจแบบนี้


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account