เมียบำเรอเจ้าพ่อ
ไม่มีสักครั้งที่ ‘คังเจียลี่’ เจ้าพ่อวงการธุรกิจก่อสร้างแห่งเกาะฮ่องกง

จะยกระดับความสัมพันธ์ระหว่างตัวเองกับบรรดาคู่ขาให้ขึ้นมาอยู่ในฐานะคนรัก 

หากเมื่อได้พบกับ ‘พิมพ์ชนก’ น้องสาวภรรยาของเพื่อนสนิท คนที่เขาเคยหมายตาไว้เข้าอีกครั้ง 

เจ้าพ่อหนุ่มก็ไม่รีรอที่จะกระชากเอาตัวหญิงสาวสุดเฮี้ยวมาไว้ใกล้ๆในฐานะเลขานุการส่วนตัว

แล้วเอ่ยปากขอแกมบังคับให้เธอยอมรับตำแหน่งคนรักเจ้าพ่อโดยไม่ต้องพูดพร่ำทำเพลง

แต่ถึงจะรู้ทั้งรู้ว่าผู้ชายอย่างคังเจียลี่คือแบดบอยตัวร้ายที่ผู้หญิงทุกคนไม่ควรอยู่ใกล้ชิด... 

มิหนำซ้ำรอบตัวเขายังมีแต่ปมปริศนาฆาตกรรมที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งและอันตราย

หากพิมพ์ชนกก็ปฏิเสธไม่ได้เช่นกันว่าเขาเป็นผู้ชายที่น่าหวั่นไหวที่สุดในโลก 

และการได้อยู่ใกล้ชิดกับชายหนุ่มก็ทำให้หัวใจของสาวน้อยสั่นสะเทือน ไร้แรงต้านทาน 

ทว่าความลับสุดยอดที่พิมพ์ชนกได้ล่วงรู้เป็นสาเหตุให้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่เกิดความคลางแคลง 

และเมื่อมีเหตุการณ์ชวนให้หัวหมุนเข้ามาแทรก ‘เมียบำเรอเจ้าพ่อ’ อย่างเธอจึงเลือกที่จะหนีไปให้ไกล

และการจะหนีจากเจ้าพ่อผู้ทรงอิทธิพลอย่างเขาให้รอดพ้นได้นั้น 

ก็ต้องไปในยามที่เขาบาดเจ็บดังเช่นตอนนี้ และต้องไปเดี๋ยวนี้!
Tags: คังเจียลี่ - พิมพ์ชนก

ตอน: ตอนที่ 10 100%

รุ่งเช้าคังเจียลี่และพิมพ์ชนกเดินทางมาเซฟเฮ้าส์ที่คนของเจ้าพ่อคอนสตรักชั่นหนุ่มพาอาเล่อมาอยู่เพื่อรอพบเจ้านาย พิมพ์ชนกมองบ้านปูนสองชั้นขนาดกลางแต่ยังดูทันสมัย รั้วสูงจนเห็นแค่เพียงหลังคาของบ้าน ด้านหน้ามีบอดี้การ์ดยืนอยู่สองคน ประตูรั้วอัลลอยด์เปิดออกแบบอัตโนมัติเมื่อเห็นรถคันยาวแล่นเข้ามา

“นี่เหรอคะเซฟเฮ้าส์ ก็บ้านดีๆ นี่เอง”

คังเจียลี่ขบขันกับความคิดที่บางครั้งก็เหมือนเด็กของแฟนสาว “หึๆ แพมดูหนังสายลับมากไปรึเปล่าจ๊ะ??”

พิมพ์ชนกหันมามองค้อนวิบๆ ให้คนที่หัวเราะเธอ ใช่สิ! ก็เรียกว่าเซฟเฮ้าส์นี่ “ก็แพมเพิ่งเกิดมาได้ไม่กี่ปีนี่คะ ไหนเลยจะเหมือนผ่านโลกมามากเหมือนคุณ”

“แพมว่าผมแก่งั้นเถอะ??” คังเจียลี่ถามพร้อมขยับเข้าไปใกล้ร่างบางจนชิด กักเธอไว้ด้วยแขนแกร่งเพียงข้างเดียวทั้งที่ประตูรถเปิดออกแล้ว “ถึงจะแก่ก็เร้าใจนะที่รัก ผมยังมีพลังเหลือเฟือจนแพมต้องขอความเมตตาเชียวล่ะ ลองดูมั้ย??

พิมพ์ชนกขนสันหลังลุกชันวาบไม่ตอบว่าอย่างไรแต่รีบผละออกมายืนรอคนที่ทำเสียงกระเส่าได้เซ็กซี่ หน้าตายังหื่นได้สุดๆ อีกด้วย มองรอยยิ้มพรายอย่างผู้ที่ถือไพ่เหนือกว่าออกมายืนเต็มความสูงอย่างหมั่นไส้

“เข้าไปข้างในเร็วเด็กน้อย เดี๋ยวจะพาไปดูวิธีง้างปากเชลย มันจะเหมือนที่แพมคิดไว้รึเปล่า?” คังเจียลี่พูดล้อๆ พลางเกี่ยวเอวคอดเดินเข้าไปในเซฟเฮ้าส์ ตาคมยังมองปากอิ่มที่เขารู้ว่าหวานเพียงใดขยับมุบมิบว่าเขาอยู่อย่างเอ็นดู
ด้านในก็เหมือนบ้านอยู่อาศัยปกติเริ่มจากห้องรับแขกแล้วก็มีโต๊ะกินข้าววางอยู่ถัดไป มีชายร่างสูงยืนโค้งคำนับให้เจ้านายอยู่เป็นระยะ “อยู่ชั้นบนครับคุณเดร็ก”

คังเจียลี่พยักหน้าพร้อมก้าวขึ้นบันไดมือหนายังไม่ปล่อยหญิงสาวออกจากข้างกายเหมือนเคย “เขาเป็นยังไงบ้าง กินข้าวรึยัง?”
“เรียบร้อยครับท่าน ตอนแรกขัดขืนอยู่บ้าง แต่หลังจากที่ทราบว่าท่านต้องการพบก็ไม่มีปัญหาอะไร ยังเจริญอาหารด้วยซ้ำครับ” บอดี้การ์ดร่างสูงรายงานเจ้านายพร้อมเดินตามอยู่ด้านหลัง ประตูห้องถูกเปิดออกกว้าง ด้านในมีชายอายุราวหกสิบปี ตัวเล็กๆ ผมหงอกขาวสลับดำจนมองเห็นเป็นสีเทา นั่งอยู่บนเตียงหันหลังให้ประตูมองออกไปด้านนอกหน้าต่าง

“ลุงเล่อ คุณเดร็กมาแล้ว” บอดี้การ์ดคนเดียวกับที่รายงานเมื่อครู่เรียกชายผู้นั้นให้หันกลับเข้ามา

คนที่ถูกเรียกว่าลุงเล่อหันกลับมา มองคังเจียลี่ใบหน้าคร้ามคม ทว่าหมดจด ดูคล้ายหวังเหม่ยเฟิ่งผู้เป็นมารดา คุณชายเจียลี่ผู้ซุกซน ดื้อรั้น บัดนี้มีรูปร่างสูงใหญ่เป็นชายชาตรีเต็มตัว

พิมพ์ชนกมองชายจีนตัวผอมเตี้ย ที่มองคังเจียลี่อย่างพินิจพิจารณา นี่คงเป็นอาเล่อที่ใครๆ ต่างก็อยากได้ตัวเขา!

คังเจียลี่มองผู้ชายตรงหน้าอยู่นาน ความทรงจำของเขากับผู้ชายคนนนี้ลางเลือนเหลือเกินเพราะตอนเด็กเขาใช้ชีวิตอยู่ที่ฮ่องกงปีละประมาณเดือนเดียวเท่านั้น

“สวัสดีครับคุณชาย ผมอาเล่อที่เอารองเท้าของคุณท่านให้กับคุณชายครับ” อาเล่อยิ้มอย่างภูมิใจเมื่อเห็นเด็กหนุ่มผู้เป็นความหวังของตระกูลเติบโตขึ้นมาอย่างแข็งแกร่ง

“ครับ... ไม่เจอกันเสียนาน??” คังเจียลี่ถามพลางเดินไปนั่งลงตรงมุมห้องที่มีโต๊ะกลมขนาดสี่ที่นั่งวางอยู่ พร้อมกับรั้งให้หญิงสาวนั่งลงข้างๆ “อาเล่อมานั่งตรงนี้ด้วยกันซิ” ชายหนุ่มบอกเมื่อเห็นอาเล่อทรุดตัวนั่งลงกับพื้น

“มิได้ครับคุณชาย” อาเล่อบอกอย่างเจียมเนื้อเจียมตัว เจฟเป็นคนพยุงให้อาเล่อลุกขึ้นแล้วไปนั่งตามที่เจ้านายบอก

อาเล่อมองหน้าของคังเจียลี่แล้วยิ้มอย่างมีความสุข เหมือนเห็นเงาของคุณหนูเหม่ยเฟิ่งอยู่ในตัวของชายหนุ่ม “คุณชายยิ่งโตยิ่งเหมือนคุณหนูเหม่ยเฟิ่งนะครับ เป็นหนุ่มใหญ่เต็มตัว หล่อเหลา เข้มแข็ง”

“แล้วอาเล่อเป็นยังไงบ้าง สบายดีไหม?? ฉันให้คนตามหาอยู่ตั้งนาน”

“สบายดีตามอัตภาพครับ ผมรู้ว่ามีคนตามหาผม แต่ไม่นึกว่าจะเป็นคุณชายที่หาผมเจอก่อนคนอื่น” อาเล่อบอกทั้งยังมองหน้าชายหนุ่มอย่างยินดี

“ฉันเพิ่งให้คนตามสืบหาที่อยู่ของอาเล่อได้ไม่นาน ฉันมีบางอย่างอยากถามอาเล่อ” คังเจียลี่เริ่มเข้าเรื่อง

อาเล่อก้มหัวลงอย่างสุภาพ “ครับคุณชาย”

“การตายของป๋ากับแม่ไม่ใช่อุบัติเหตุแต่มันเป็นฆาตกรรมอำพราง!!”

อาเล่อสบตาลูกชายของอดีตเจ้านายแว๊บเดียวแล้วก้มหน้าลงดังเดิม “ตอนนั้นตำรวจสรุปว่าเป็นอุบัติเหตุที่เกิดจากระบบการทำงานของเบรกนี่ครับคุณชาย”

“อาเล่อก็รู้ว่ามันไม่ใช่!!” คังเจียลี่แย้ง แต่ไม่ได้รับคำตอบใดๆ จากชายตรงหน้า เขายังนั่งนิ่งก้มหน้าเหมือนเดิม

“อาเล่อไม่คิดบ้างหรือไง รถที่ป๋ากับแม่ใช้วันนั้นเป็นรถยุโรปคันใหม่ที่ใช้ได้ยังไม่ถึงเดือนด้วยซ้ำ โอกาสที่น้ำมันเบรกจะรั่วออกจนทำให้เบรกไม่ทำงานมันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย!!” คังเจียลี่พูดข้อเท็จจริงนี้ซ้ำขึ้นมาอีก

“ผมเป็นคนการศึกษาน้อย ไม่รู้เรื่องที่คุณชายว่ามาหรอกครับ”

“มันไม่ได้เกี่ยวกันหรอกอาเล่อ ที่ฉันตามหาอาเล่อแทบพลิกแผ่นดินก็เพื่ออยากจะถามอาเล่อว่า อาเล่อรู้เรื่องอะไร? เก็บความลับอะไรไว้ถึงต้องออกจากสกุลคังแล้วเปลี่ยนชื่อเปลี่ยนแซ่ย้ายไปอยู่ไต้หวันแบบนั้น!!??”

“คุณชายครับผมรับใช้คุณหนูเหม่ยเฟิ่งมาตั้งแต่เด็กแล้ว โตมาด้วยกันก็ว่าได้ เธอเป็นคนจิตใจดีไม่เคยแบ่งชนชั้นเห็นผมเป็นคนรับใช้เลย เมื่อเจ้านายที่เคารพจากโลกไปแล้วผมก็ไม่รู้ว่าจะอยู่รับใช้ใคร คุณชายก็เรียนอยู่ที่ต่างประเทศ ผมเลยตัดสินใจออกจากสกุลคัง” อาเล่อค่อยๆ พูดด้วยน้ำเสียงประนีประนอม

“เขาว่าคนจีนเรายืนไม่เปลี่ยนชื่อ นั่งไม่เปลี่ยนแซ่ อยู่ๆ อาเล่อคงไม่นึกสนุกลุกขึ้นมาเปลี่ยนชื่อแซ่ตัวเองเล่นหรอกนะ??”

อาเล่อมองคุณชายคังผู้เปี่ยมไปด้วยความฉลาด สติปัญญาระดับเขาคงไม่มีปัญญาไปโต้วาทะกับคุณชายเป็นแน่ ถ้ายังเป็นอยู่อย่างนี้ไม่นานต้องหลุดปากเปิดเผยความลับที่คิดว่าจะฝังมันลงไปกับตัวเองให้คุณชายรู้แน่ “ผมไม่มีอะไรจะพูดหรอกครับคุณชาย ผมไม่รู้อะไรที่คุณชายอยากรู้สักนิด”

“แล้วอาเล่อเอารองเท้าของป๋ามาให้ฉันทำไม ถ้าไม่คิดว่าจะสื่ออะไรบางอย่างให้ฉันรู้!!?”

“ผมเพียงแค่เห็นว่ารองเท้าของคุณท่านจะเป็นสิ่งของที่คุณชายควรเก็บรักษาเอาไว้ให้ดีเท่านั้นครับ ไม่ได้ต้องการจะสื่ออะไรเลย” อาเล่อยังยืนยังเสียงราบเรียบ

“อาเล่อรู้ไหมว่าตอนนี้ฉันเองก็ยังตกเป็นเป้าของคนพวกนั้นอยู่นะ ถึงแม้ฉันไม่เคยรู้หรอกว่าคนพวกนั้นเป็นใคร แต่เหมือนป๋ากับแม่คอยเตือนฉันอยู่ตลอดเวลาว่า ฉันไม่ควรไว้ใจใครนอกจากตัวเอง และฉันก็โตมาด้วยความรู้สึกที่ไม่เคยไว้ใจใครเลย” ประโยคที่น้ำเสียงเย็นยะเยือกออกมาจากขั้วหัวใจของคังเจียลี่ทำให้พิมพ์ชนกต้องเอื้อมมือจากตักตัวเองไปบีบมือหนาที่มาอยู่บนต้นขาแกร่ง บีบแล้วคลายอย่างให้กำลังใจ

คำพูดของคุณชายทำให้อาเล่ออึ้งเงียบไปพักครู่ใหญ่ อาเล่อมองเด็กชายที่เคยเล่นซนตามประสาเด็กๆ ตอนที่คุณชายยังเรียนอยู่ที่ฮ่องกงชอบแกล้งปิดวาล์วน้ำแกล้งเขาตอนรดน้ำต้นไม้ ชอบใช้หนังสติกยิงนกที่เกาะอยู่ตามต้นไม่อย่างแม่นยำ แต่บัดนี้โตขึ้นเป็นผู้ชายที่เปี่ยมไปด้วยความมั่งคั่ง มั่นคง จะเป็นอะไรไปถ้าหากจะรอให้ทุกสรรพสิ่งรอบตัวของเขาเดินไปตามที่สวรรค์กำหนด
คังเจียลี่รู้ว่าวันนี้คงไม่ใช่วันของเขา ขืนยังดื้อดึงซักถามอีกต่อไปคงไม่พ้นต้องอารมณ์เสียขึ้นมาอีกเป็นแน่!

อาเล่อก้มหน้าอยู่แต่ยังได้ยินเสียงถอนหายใจหนักๆ ของคุณชาย ไม่นานเขาก็ลุกขึ้นเต็มความสูงทั้งยังกุมมือของสาวน้อยที่นั่งอยู่ไม่ห่างกาย อาเล่อเดาได้ง่ายดายว่าเธอคงต้องเป็นว่าที่มาดามคังเป็นแน่

“ฉันไม่รู้ว่าอาเล่อคิดอะไรอยู่นะ เอาเป็นว่าถ้าพร้อมเมื่อไหร่ก็บอกคนของฉันก็แล้วกัน ระหว่างนี้อาเล่อก็อยู่ที่นี่ให้สบายใจ” จบคำก็ก้าวเดินอย่างมั่นคงออกจากห้องไป

“คุณชายครับ! ทำไมไม่ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามที่ฟ้าลิขิต คนที่คิดร้ายกับคนอื่นอยู่ตลอดเวลาไม่มีทางจะได้ดีไปกว่าคนที่มีจิตใจบริสุทธิ์หรอกครับ เห็นได้จากคุณชายในตอนนี้”

เสียงที่เอ่ยขึ้นทำให้คังเจียลี่และพิมพ์ชนกหันกลับมาเห็นว่าอาเล่อนั่งคุกเข่าอยู่หน้าประตูห้อง ราวกับเป็นการขอร้องเพื่อจะปกป้องอีกหลายชีวิต!!

“ฉันปล่อยพวกเขามานานเกินไปแล้วอาเล่อ ฉันรอฟ้ารอสวรรค์อย่างที่อาเล่อขอไม่ได้หรอก เพราะต่อจากนี้ไปถ้าฉันยังไม่จัดการเรื่องนี้ให้จบไปยังไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้เห็นสวรรค์ลงโทษคนพวกนั้นรึเปล่า” คังเจียลี่พูดแล้วหันหลังกลับ “ฉันยังยืนยันคำเดิม ฉันจะปล่อยอาเล่อไปเมื่อรู้ในสิ่งที่อาเล่อสมควรพูดเท่านั้น!!”

อาเล่อเงยหน้าขึ้นมองคุณชายคังเจียลี่เดินลงบันไดไป มีเพียงสาวน้อยที่ถูกดึงไปเท่านั้นหันกลับมามองตัวเองจนลับตา อาเล่อค่อยพยุงตัวเองลุกขึ้นปิดประตูห้องพร้อมกับรำพึงรำพันในใจว่า เขาจะทำอย่างไรดี? เขาให้รองเท้าของคุณท่านเอาไว้เพราะเผื่อว่าวันหนึ่งคุณชายตกอับ หมดซึ่งหนทางเขาจะกลับมาเพื่อทวงความยุติธรรมให้เอง จากนั้นก็เฝ้าติดตามข่าวสารของบ้านสกุลคังมาตลอดเพียงเพราะอยากรู้ว่าคุณชายหนุ่มน้อย ของตนจะเป็นอย่างไร??

ความกังวลหมดไปสิ้นเมื่อข่าวสารที่ได้รับล้วนแล้วแต่เป็นความเจริญรุ่งเรืองจากการบริหารงานของคุณชายคังเจียลี่ทั้งนั้น จนคิดว่าสวรรค์เข้าข้างคนดีให้ได้ดีเสมอ และคิดจะกลบฝังความลับนั้นไว้ให้ตายไปกับตนเอง แล้ววันหนึ่งคุณชายกลับบอกเขาว่าต้องการเร่งฟ้าเร่งสวรรค์ให้ลงทัณฑ์กับคนพวกนั้น!!!

หลายชั่วโมงผ่านไปอาเล่อยังขังตัวเองอยู่ในห้องมองท้องฟ้า เอ่ยความในใจออกมาเหมือนกับขอคำปรึกษากับเจ้านายที่อยู่บนฟากฟ้าว่าตนเองควรทำอย่างไรดี???


พิมพ์ชนกมองผู้ชายที่นั่งนิ่ง สีหน้าราบเรียบไม่แสดงความรู้สึกอยู่ข้างๆ ตั้งแต่รถเคลื่อนออกมาจากเซฟเฮ้าส์ได้ไกลพอสมควรแล้ว จึงค่อยๆ เอื้อมมือไปดึงมือหนาของเขามาคลึงเหมือนอยากให้ผ่อนคลายอารมณ์ลงบ้าง “โกรธอาเล่อเหรอคะ??”

เจ้าพ่อคอนสตรักชั่นหนุ่มส่ายหน้าเบาๆ “เปล่า ไม่ได้โกรธเขาเลย เพียงแค่ไม่เข้าใจว่าคนอย่างอาเล่อที่จงรักภักดีกับสกุลหวังมาตลอด คิดอะไรอยู่ถึงไม่ยอมพูดมันออกมา เหมือนเขาต้องการปกป้องใครเอาไว้อยู่?!” พูดจบก็หลับตาลงพิงศีรษะกับพนักพิง ภักดีกับสกุลหวังก็ต้องอยากปกป้องสกุลหวัง! คนสกุลหวังมีอยู่เพียงคนเดียวเท่านั้นคือป้าแท้ๆ ของตัวเองอย่าให้เป็นอย่างนั้นเลย มันสิ่งสิ่งที่เขาไม่อยากให้เกิดขึ้นที่สุด!!


เค ไพรเวทคอเปอร์เรชั่น

ก๊อก... ก๊อก...

แมรี่ก้าวเข้ามาในตอนบ่ายของวันเมื่อได้ยินเสียงอนุญาตของเจ้านายดังขึ้น

“คุณเดร็กคะ ผู้อำนวยการฝ่ายบุคคลขอเข้าพบค่ะ” แมรี่เลขาสาวใหญ่หน้าห้องเข้ามารายงาน และถอยหลังหลีกทางให้ผู้อำนวยการฝ่ายบุคคลได้เดินเข้ามาเมื่อท่านประธานพยักหน้าอนุญาติ

ชายวัยกลางคนร่างท้วมเดินเข้ามาโค้งคำนับและวางเอกสารแผ่นหนึ่งลงบนโต๊ะของท่านประธานหนุ่ม “ใบลาออกของคุณเจสสิก้าครับ”

คังเจียลี่ขมวดคิ้วแปลกใจ มือเรียวแข็งแรงหยิบกระดาษขึ้นมาอ่านข้อความพร้อมฟังผู้อำนวยการฝ่ายบุคคลรายงาน

“คุณเจสสิก้าเพิ่งเข้ามายื่นเอกสารเมื่อบ่ายที่ผ่านมานี่เองครับ เธอให้เหตุผลว่าจะไปเรียนต่อที่อังกฤษ ผมไม่กล้าตัดสินใจจึงเรียนปรึกษาท่านก่อนครับ”

มือหนากดอินเตอร์คอมสั่งงาน “แมรี่ ตามเจสสิก้ามาพบฉันที” พูดจบจึงเงยหน้าขึ้นพูดกับชายร่างท้วมตรงหน้า “เดี๋ยวฉันจัดการเอง ไปทำงานของคุณต่อเถอะ”

พิมพ์ชนกสบตากับแฟนหนุ่มของตัวเองเมื่อผู้อำนวยการฝ่ายบุคคลเดินออกไป “ให้แพมออกไปรอข้างนอกก่อนไหมคะ ถ้าแพมอยู่มันคงไม่เหมาะ!?” หญิงสาวบอกเพราะครั้งหนึ่งเจสสิก้าเคยเป็นเจ้านายของเธอ แต่ตอนนี้ตำแหน่งของเจสสิก้าเล็กกว่าตัวเองจึงเกรงว่าเธอจะไม่สะดวกใจที่จะคุยโดยมีเธอนั่งฟังอยู่ด้วย

“แพมไม่ต้องหรอกจ๊ะ คุณนั่งลงเถอะ” เสียงห้าวของคังเจียลี่บอกเลขากิตติมศักดิ์


ก๊อก... ก๊อก... เสียงประตูห้องดังขึ้นก่อนที่ประธานหนุ่มจะตอบคำถาม พร้อมกับร่างของเจสสิก้าก็เดินเข้ามา พิมพ์ชนกจึงลุกขึ้นเพราะจะออกไปรอด้านนอก

เจสสิก้ามองหน้าพิมพ์ชนกที่เธอกำลังยิ้มแหยๆ เกรงใจจึงเอ่ยขึ้นบ้าง “คุณอยู่ฟังก็ได้ค่ะ ไม่มีอะไรเป็นความลับหรอก”

พิมพ์ชนกจึงต้องกลับมานั่งลงที่เก้าอี้ทำงานของตัวเองเหมือนเดิม

“ทำไมถึงจะลาออกซะล่ะเจสซี่? มีอะไรอึดอัดใจรึเปล่า??” คังเจียลี่ถามญาติผู้น้องที่อายุห่างกันเพียงแค่ปีเดียว ด้วยน้ำเสียงห่วงใย

“สบายใจดีค่ะ แค่อยากไปเรียนต่อเพิ่มความรู้ให้กับตัวเองเท่านั้น” เจสสิก้าตอบน้ำเสียงสดชื่น

คังเจียลี่มองพลางถามต่อ “แล้วแม่เรารู้รึยัง? ทำไมตัดสินใจไปกระทันหัน?”

“กะว่าจะบอกตอนเย็นนี้ล่ะค่ะ เคยดูที่เรียนเอาไว้มาก่อนแล้ว พอทุกอย่างลงตัวก็เลยอยากทำอะไรที่ตัวเองอยากทำบ้างค่ะ คุณเดร็กไม่ว่าอะไรใช่ไหมคะ??” เจสสิก้าถามเหมือนตัดบท

“จะว่าอะไรได้ ถ้าเราอยากไปก็ไปเถอะ แค่อยากรู้เท่านั้นเองว่าเราตัดสินใจดีแล้วใช้ไหม แล้วจะไปเมื่อไหร่??” คังเจียลี่ถามแสดงถึงความเป็นห่วงอยู่ไม่น้อย...

“ขอบคุณคุณเดร็กนะคะ กะว่าจองตั๋วเครื่องบินได้แล้วก็จะไปเลยค่ะ ไปเที่ยวเปิดสมองก่อนสักพักแล้วค่อยเริ่มเรียน” เจสสิก้าบอกพร้อมมองใบลาออกของตัวเองที่ยังอยู่บนโต๊ะอยู่

“สบายใจแล้วค่อยกลับมาทำงานก็แล้วกัน เธอยังเป็นพนักงานของที่นี่อยู่เหมือนเดิม” คังเจียลี่ส่งใบลาออกคืนให้หญิงสาว “เที่ยวให้สนุกแล้วกัน เจสซี่”

เจสสิก้ามองรอยยิ้มน้อยๆ ที่มุมปากของคังเจียลี่คนที่แม่ของตัวเองปลูกฝังให้เกลียดและทำร้ายเขามาตลอดเวลา แต่เขากลับดูสุขุม มีความสุขกว่าพวกเธอที่จ้องทำร้ายเขา ตอนนี้เขายังเผื่อแผ่ความเมตตามาให้เธออีกด้วย หญิงสาวหยิบกระดาษแผ่นนั้นขึ้นไว้ในมือ “ขอบคุณค่ะที่เข้าใจ รักษาตัวด้วยนะคะ อะ...เอ่อ หมายถึงว่าช่วงนี้คุณเดร็กงานยุ่งรักษาสุขภาพด้วยนะคะ”

คังเจียลี่ยังสะดุดหูกับคำบอกลาของเจสสิก้าอยู่ แม้ว่าเธอเดินออกจากห้องไปสักพักแล้ว เขาและเธอถ้าถูกเลี้ยงมาเหมือนครอบครัวอื่นๆ ทั่วไป ก็เปรียบเสมือนพี่น้องกันดีๆ นี่เองแต่ครอบครัวเขาไม่เหมือนใคร พี่น้องที่ควรปรองดองกันช่วยกันสร้างอาณาธุรกิจให้ยิ่งใหญ่ก้าวไกล กลับเป็นเหมือนคนแปลกหน้ากันไปเพราะขาดความรักใคร่ สามัคคีกัน


ร้านสเต็กชื่อดัง ในห้างสรรพสินค้าหรูแห่งหนึ่ง

“นึกยังไงคะ? วันนี้ถึงอยากกินสเต็ก” เจสสิก้าถามแปลกใจเมื่อสารวัตรแฟนหนุ่มนัดเธอมาทานอาหารเย็นที่นี่

“ก็เจสซี่ชอบไม่ใช่เหรอวันนี้เงินเดือนเพิ่งออก ก็เลยอยากจะเลี้ยงคุณ” นอร์แมนเฉินหันมาบอกแฟนสาวยิ้มๆ “ผมเป็นแค่นายตำรวจเล็กๆ จะเลี้ยงสเต็กคุณหนูหวังได้เดือนละครั้งสองครั้งเท่านั้นนะ ถ้าเราใช้ชีวิตด้วยกันแล้วคุณจะว่าอะไรไหม??”

เจสสิก้าอึ้งไปพักหนึ่ง เมื่อเห็นสายตารักใคร่ของแฟนหนุ่มเหมือนกำลังพูดถึงอนาคตของเราทั้งคู่ แต่เธอไม่สามารถที่จะเลือกทำตามใจของตัวเองได้ จึงยิ้มเศร้าๆ ให้เขา “แค่คุณมีใจนึกถึงว่าฉันชอบอะไรก็ดีใจมากแล้วล่ะค่ะ”

“โธ่!! เจสซี่เห็นคุณยิ้มแบบนั้นแล้วผมเศร้าใจเป็นบ้าเลย คุณไม่ต้องห่วงหรอกน่า เอาไว้ผมจะไปเข้าคอร์สเรียนทำอาหารจะได้ทำให้คุณกินเองได้ ประหยัดไปได้เยอะ” นายตำรวจหนุ่มผู้ตรงฉินพูดติดตลกเรียกเสียงหัวเราะครื้นเครงจากแฟนสาวได้ แต่เขาไม่รู้หรอกว่าในใจของเธอกำลังจะหาวิธีบอกลาเขายังไงไม่ให้ต้องจากกันอย่างเศร้าใจ!!

“สั่งเลยนะคะ วันนี้ถือโอกาสเลี้ยงส่งฉันด้วยเลย”

คำพูดของเธอเล่นเอาสารวัตรหนุ่มชะงักหัวเราะกึก “คุณจะไปไหน ทำไมผมต้องเลี้ยงส่ง!!?” พร้อมเหลือบเห็นสีหน้าเศร้าใจของเธอแว๊บเดียว แว๊บเดียวเท่านั้น จนสารวัตรหนุ่มไม่ได้คิดอะไรเพราะสีหน้าของเธอเปลี่ยนเป็นสดใสเหมือนเดิม

“ฉันทำโปรเจ็คโฆษณาตัวใหม่ของบริษัทแล้วยอดขายทะลุเป้า เขาก็เลยส่งให้ไปดูงานที่อังกฤษหนึ่งเดือน จะบินวันมะรืนนี้ค่ะ” เจสสิก้าปดออกไปคำโต เพราะไม่กลัวจะเสียเรื่อง

“จริงเหรอ!?? เก่งจัง” นอร์แมนหน้าระรื่นชมแฟนสาวแต่ก็แปลกใจว่าทำไมต้องรีบร้อนและไปนานขนาดนั้น! “แต่ทำไมมันกระทันหันแบบนี้ล่ะ”

“ไม่รู้สิคะ เพิ่งได้รับคำสั่งเมื่อเช้านี้เอง ฉันว่าเราสั่งอาหารเถอะ หิวแล้วล่ะค่ะ” เจสสิก้าเปลี่ยนเรื่องเพราะไม่อยากให้เขาซักไซร้เธอต่ออีก

นอร์แมนมองแฟนสาวสั่งอาหารสำหรับตัวเองและเธอแล้วหันมาถามเรื่องการไปต่างประเทศของเธอต่อแต่ไม่ได้ความมากนักรู้สึกว่าเธอไม่ค่อยอยากจะพูดถึงมันเท่าไหร่ แต่หญิงสาวชวนคุยเรื่องสัพเพเหระ หลังจากทานอาหารค่ำเสร็จทั้งคู่ไปฟังเพลงและเต้นรำต่อจากนั้นจึงค่อยแยกย้ายกันกลับบ้าน


รุ่งเช้าระหว่างที่หวังเหม่ยฉีกำลังแต่งตัวเตรียมออกไปทำงานอยู่นั้น เจสสิก้าได้เปิดประตูเข้ามาและขอคุยอะไรบางอย่างกับเธอ หญิงสาวทรุดนั่งลงที่โซฟาปลายเตียงพลางมองแม่ของตัวเองกำลังแต่งหน้าอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง
“หนูมีเรื่องจะบอกแม่” เจสสิก้าเอ่ยขึ้นหลังจากนั่งเงียบอยู่สักพัก

หวังเหม่ยฉีมองหน้าลูกสาวผ่านกระจกโต๊ะเครื่องแป้งพลางแต่งหน้าไปด้วย “มีอะไรก็ว่ามาสิ”

“หนูจะไปอยู่อังกฤษสักพัก ถ้าหนูอยู่ที่นี่ยังไม่แน่ใจว่าจะจัดการยังไงกับเรื่องที่เพิ่งได้รู้ และไม่รู้ว่าจะบอกเลิกกับเขายังไง หนูเลยบอกเขาว่าจะไปดูงานที่อังกฤษสักเดือน มันคงเป็นวิธีจากกันที่ดีที่สุดแล้วสำหรับหนูกับเขา”

“คิดดีแล้วเหรอ อยู่ที่โน่นตัวคนเดียว จะอยู่ยังไง??” หวังเหม่ยฉีหันกลับมาถามลูกสาว แปลกใจอยู่ไม่น้อยเมื่อได้ยินการตัดสินใจของเธอ

“มันก็คงดีกว่าให้หนูอยู่ที่นี่ต้องเจอหน้าแม่ ต้องเจอเอ่อ... เขาทุกวัน หนูยังทำตัวไม่ถูก กลัวว่าแดนนี่จะจับได้ขึ้นมาแล้วเป็นเรื่องอีก” เจสสิก้าคิด

“อืม... แล้วเรื่องงานที่บริษัทล่ะ?”

“หนูยื่นใบลาออกแล้ว แต่คุณเดร็กเขาไม่ยอมอนุมัติ บอกว่าเที่ยวให้สบายแล้วค่อยกลับมาทำงานเมื่อไหร่ก็ได้”

“หึ... มันใจดีกับลูกอย่างงั้นเชียว!??” หวังเหม่ยฉีถามด้วยน้ำเสียงประชดประชัน

“แม่คะ? เราจะเลิกล้มเรื่องที่... ที่จะทำร้ายเขาได้ไหม เราอยู่แบบนี้ก็ดีอยู่แล้ว หนูยอมที่จะไม่อยากได้หุ้นที่แดนนี่ขโมยของหนูไปก็ได้ แต่แม่กับเขาหยุดได้ไหมคะ??” เจสสิก้าขอร้องอ้อนวอน ไม่อยากให้ครอบครัวของตัวเองต้องเสี่ยงคุกเสี่ยงตารางและที่สำคัญคือมันบาป!!

“ไม่เอาน่าเจสซี่ แม่บอกเคยแล้วว่าหลังจากนี้ไปลูกจะตัดสินใจยังไงแม่จะไม่ห้ามเลย และแม่ก็ไม่อยากรู้ด้วยว่าลูกจะเข้าใจในสิ่งที่แม่ทำรึเปล่า? แต่ลูกก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะมาห้ามแม่ด้วย” หวังเหม่ยฉีบอกพร้อมกับใส่ต่างหูไปด้วย

“แม่ก็รู้ว่าหนูไม่มีวันเห็นคนอื่นดีกว่าครอบครัวของตัวเองอยู่แล้ว หนูรู้ว่าแม่คิดว่าหนูคงไม่กล้าที่บอกเรื่องนี้กับใครเหมือนกัน หนูก็แค่อยากเตือนแม่ ว่าสิ่งที่เราทำมันลงไป สักวันมันจะส่งผลย้อนเข้าหาตัวเราเอง แล้วพอถึงวันนั้นแม่ต้องเสียใจมากกว่าที่เคยถูกกระทำมาซะอีก หนูพูดได้แค่นี้ล่ะค่ะ หวังว่าสักวันหนึ่งมันจะเตือนสติแม่ได้บ้าง” เจสสิก้าเดินออกจากห้องไป

“หึ!! ฉันอายุห้าสิบห้าปีแล้วนะเจสสิก้า! มีเหรอจะแยกไม่ออกว่าอะไรถูกอะไรผิด แต่เงินและความมั่งคั่งเท่านั้นแหละที่จะช่วยเยียวยาแผลในใจของฉัน ต่อให้ฉันต้องเสียเค แลนด์แอนด์เฮาส์ไปสักกี่ร้อยกี่พันครั้ง พวกมันก็ต้องคืนให้ฉันมาฟรีๆ เหมือนกันทุกครั้งเพราะนังน้องสารเลวมันเป็นคนแย่งชิงทุกอย่างไปจากฉัน มันจะต้องติดหนี้ฉันจนชั่วลูกชั่วหลานของมันเหมือนกัน!!!” หวังเหม่ยเฟิ่งคิดอย่างแค้นใจ


“อ้าว! วันนี้ไม่ไปทำงานหรือไง?? หรือว่ามีนัดกับไอ้สารวัตรกระเป๋าแบนนั่น” แดนนี่หวังเดินออกมาจากห้องส่วนตัวเพื่อจะไปทำงาน แต่มาเจอกับเจสสิก้าที่ยังอยู่ในชุดนอนและเดินออกมาจากห้องนอนของแม่ตนเอง

“ปากเสียเหมือนเดิมไม่มีวันเปลี่ยนเลยนะแดนนี่ นายมันก็เป็นได้แค่หมาบ้าโง่ๆ กัดคนนั้นทีคนนี้ที”
“นอนกับมันมาแล้วหรือไง พูดให้แค่นี้ถึงได้โกรธเป็นฟืนเป็นไฟขนาดนี้” แดนนี่มองพี่สาวอย่างเหยียดๆ “ระวังท้องไม่มีพ่อขึ้นมาแล้วกัน ฉันคงได้เดินเอาปิ๊บคลุมหัวแน่”

“ก็คงเหมือนกับตอนนี้ที่ฉันต้องเดินเอาปิ๊บคลุมหัวอยู่แล้วทุกวันเพราะมีน้องติดพนันม้าแข่งงอมแงม ถึงขั้นต้องยืมเงินกู้นอกระบบให้วุ่น แต่แกไม่ต้องมาห่วงลูกฉันหรอกนะ เพราะถ้าเขาเกิดมาแล้วมันชั่วแบบแกนี่ ฉันจะเป็นคนฆ่ามันกับมือเองไม่ปล่อยให้มันเดินลอยหน้าลอยตาทำให้คนอื่นเดือดร้อนอยู่เหมือนแกหรอก” เจสสิก้าด่าน้องชายได้อย่างเจ็บแสบ

“แดนนี่ เจสซี่ หยุดเถียงกันเดี่ยวนี้นะ” หวังเหม่ยฉีบอกเมื่อเดินออกมาแล้วได้ยินสองพี่น้องกำลังวิวาทกัน

“แม่ดูสิ เจสซี่มันด่าผม!!” แดนนี่หันมาฟ้องมารดา

“แกนั่นแหละหยุด! ไปหาเรื่องเขาก่อนทำไม” หวังเหม่ยฉีส่ายหน้าระอาใจเมื่อเห็นเจสสิก้าเล่นหูเล่นตาใส่แดนนี่เหมือนเธอเป็นฝ่ายชนะ แล้วเดินกลับห้องของตัวเองไป “หยุดหาเรื่องแต่เช้าดีกว่าน่าแดนนี่ แม่ว่าแกไปหาชุด เข้าร้านทำผมเตรียมตัวไปงานเปิดตัวประธานคนใหม่ของซุนฮ่องกงแบงค์ดีกว่า งานนี้นักธุรกิจ นักข่าวต้องขนกันมาเยอะแน่นอน มันเป็นโอกาสดีที่เราจะสร้างกระแสเรื่องของแกกับคริสตัลขึ้นมา”

“แม่ไม่ต้องห่วงหรอกน่า ระดับผมแล้วไม่ทำให้แม่ต้องขายหน้าใครเขาหรอก” แดนนี่หวังบอกมารดาพร้อมก้าวลงบันไดตามไปติดๆ

“เพลาลงบ้างก็ดีนะแดนนี่ ไอ้เรื่องม้าแข่งนี่ แกคิดจะใช้ชีวิตอยู่สนามม้าตอนกลางคืนอาศัยนอนสองสามชั่วโมงตามผับตามบาร์อย่างนั้นเหรอ?” หวังเหม่ยฉีเหนื่อยหน่ายใจกับพฤติกรรมของลูกชายคนเดียว หลังจากที่เค แลนด์แอนด์เฮาส์ถูกเทคโอเวอร์ไป กลางวันแดนนี่จะขลุกอยู่ในสนามม้า กลางคืนก็ออกดื่มเที่ยวหิ้วผู้หญิงไปค้างแต่ละวันไม่ซ้ำหน้ากัน จนเธอไม่รู้จะทำอย่างไรแล้ว!! “เย็นนี้แม่จะออกจากบ้านห้าโมงครึ่ง แกต้องเข้างานพร้อมแม่ ห้ามเลตแม้แต่นาทีเดียวเชียว!!” พูดจบก็ก้าวขึ้นรถที่จอดรออยู่หน้าตึกปล่อยให้ลูกชายยืนเซ็งอยู่คนเดียว


พิมพ์ชนกเปลือกตาขึ้นมองตัวเองในกระจกเงา หลังจากที่ช่างแต่งหน้าบอกด้วยเสียงสดใสว่าเรียบร้อยแล้ว การเตรียมตัวสำหรับออกงานเลี้ยงอย่างเป็นทางการกับคังเจียลี่ครั้งแรกต้องใช้ช่างแต่งหน้า ช่างทำผม และแม่บ้านช่วยแต่งตัวราวสี่คน แน่นอนว่ามันเป็นคำสั่งของแฟนหนุ่มใหญ่ของเธอเอง เด็กเฮี้ยวถอนหายใจเฮือกๆ ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาต้องเยอะแยะขนาดนี้!! แต่เมื่อมองตัวเองแล้วถึงกับอมยิ้มน่ารัก สวยจัง!? เด็กเฮี้ยวชมตัวเองเหมือนไม่แน่ใจว่านี่ใช่เธอรึเปล่า มันไม่เสียแรงที่ต้องสิ้นเปลืองเวลาไปครึ่งค่อนวันจริงๆ

“คุณแพมอย่าเพิ่งลุกขึ้นนะคะ” เจ๊สองบอกพร้อมกับเปิดกล่องหนังสีแดงเลือดนกออก หยิบสร้อยเพรชขึ้นมาทาบลำคอระหง สร้อยเพชรน้ำงามบริสุทธิ์ส่งประกายแวววับเมื่อออกมากระทบแสงไฟ ทั้งส่วนปลายสุดที่ทิ้งตัวอยู่ร่องอกอิ่มเป็นทับทิมสีแดงเลือดนกแก้วรูปหยดน้ำเม็ดมโหราฬ กับต่างหูเข้าชุด สร้อยข้อมือเพรชที่ออกแบบมาให้เหมาะกับผู้สวมใส่โดยเป็นเพรชเรียงตัวกันอย่างเป็นระเบียบไขว้กันไปมาหลายเส้นอย่างสวยงาม ที่ทำให้พิมพ์ชนกถึงกับยิ้มกริ่มกับความงามของมันคือแหวนทับทิมเม็ดใหญ่ล้อมเพชรที่เรียงตัวกันเป็นชั้นลงมาราวชายกระโปรงของเจ้าหญิง เหมาะที่จะสวมไว้ในนิ้วชี้

พิมพ์ชนกลุกขึ้นยืนเต็มความสูงที่เพิ่มขึ้นเพราะรองเท้าส้นสูงสามนิ้วที่สวมอยู่ ส่งผลให้ชุดจากห้องเสื้อดังระดับโลก สีขาวคอแหลมแขนกุด ทิ้งชายยาวลงมาตามรูปร่าง เน้นสรีระที่ดูเป็นเป็นผู้หญิงมากๆ ให้ดูเด่นเป็นสง่าทว่ากับน่าทะนุทถนอมอยู่ในที สมกับตำแหน่งว่าที่มาดามคังเป็นอย่างยิ่ง

“เจ๊สอง มีเครื่องประดับที่มันชุดเล็กกว่านี้ไหมคะ แพมกลัวว่าจะโดนอุ้มซะก่อน!?” คำพูดของเธอทำให้หลายคนในห้องหัวเราะกับอารมณ์ขันของเธอ

“สวยแล้วค่ะคุณแพม ทับทิมล้อมเพรชชุดนี้คุณเดร็กเธออุตส่าห์เอามาให้ด้วยตัวเองใส่ให้เธอภูมิใจหน่อยนะคะ” เจ๊สองบอกพร้อมกับเดินรอบตัวหญิงสาวอีกครั้งหนึ่งเพื่อสำรวจความเรียบร้อย

“โอ๊ะ!! เดี๋ยวนะคะ! เดี๊ยนเพิ่งสังเกตุว่าคุณน้องเจาะหูข้างซ้ายถึงสามรูใช่ไหมคะ?” กระเทยช่างแต่งหน้าถวหน้าของฮ่องกงถามพร้อมมองหญิงสาวที่พยักหน้ารับ “มีต่างหูเพชรเม็ดเล็กๆ ที่ใส่อยู่ประจำไหมคะ คุณน้องใส่เข้าไป แล้วก็ถอดสร้อยข้อมือออกได้เลยค่ะ”

พิมพ์ชนกยิ้มร่า เห็นด้วยกับความคิดของช่างแต่งหน้า “จริงสิคะ แพมมีแต่ไม่ค่อยได้ใส่ จะเอาออกมาใส่ก็ตอนไปเที่ยวเท่านั้นเอง” หญิงสาวว่าพลางเปิดลิ้นชักเอาต่างหูเพชรเม็ดขนาดกลาง และเม็ดเล็กจิ๋วออกมาใส่เรียงกันไปตามลำดับ แล้วถอดสร้อยข้อมือออก

“โอออ... เริ่ดได้อีกนะคะ ฮ่าๆๆ” ชายใจหญิงหัวเราะพึงพอใจกับความคิดของตนเอง ตอนนี้เธอเหมือนผู้หญิงสวย ทรงเสน่ห์ แต่แฝงไว้ด้วยความขี้เล่น ซุกซนน่าค้นหาแล้ว “เริ่ดเว่อร์... มากค่ะ แค่นี้คนอื่นก็ไม่ได้เกิดแล้วค่ะ อีกอย่างแค่แหวนของคุณน้องวงเดียวมันก็เปล่งประกายไปไกลเป็นไมล์แล้ว ไม่ต้องเพิ่มอะไรอีกแล้วนะคะ ไปเถอะค่ะ”

หญิงสาวมองแฟนหนุ่มของเธอที่อยู่ในสูทแบล็กไทสีดำ เซ็ทผมตั้งเปิกหน้าผากกว้าง หน้าตาหล่อเหลาริมฝีปากบึกบึนยิ้มกว้างเป็นเส้นตรงเหมือนเพลย์บอยตัวฉกาจค่อยๆ ก้าวเข้ารับที่บันไดราวตกอยู่ในภวังค์

“เหมือนคำว่าสวยมันไม่ยังพอสำหรับแพมเลย สวีตฮาร์ท”

พิมพ์ชนกส่งมือตัวเองให้มือที่ยื่นมารออยู่พร้อมคิดในใจ หล่อ รวย เอาใจเก่ง ปากหวาน ครบสูตรผู้ชายเจ้าชู้เป๊ะเลย!! “แพมบอกคุณรึยังคะ คุณน่ะมันจอมกะล่อนครบสูตร!!”

คังเจียลี่เบ้ปากใส่แฟนสาวพร้อมพาเธอเดินลงจากบันได “อา...!!!”

พิมพ์ชนกแหนหน้าขึ้นมองคนที่ครางออกมาเหมือนเจ็บปวดเหลือคณา แล้วเลิกคิ้วโก่งถามเมื่อเขาทำหน้าเหมือนจุกเสียดท้องขึ้นมา

“อา... ใครให้แพมใส่ต่างหูเรียงกันแบบนี้!!???”

“ไม่ชอบเหรอคะ?”

มันไม่ใช่ไม่ชอบแต่มันจี้โดนกลางใจแดงๆ ต่างหาก รู้ไหมว่าเขาเคยจิตนาการว่าผู้หญิงเฮี้ยว ซุกซนกล้าเจาะหูหลายๆ รูแบบนี้เวลาเธอทอดตัวให้เขาเชยชมอยู่บนเตียงแล้วเธอจะเซ็กซี่ ขี้เล่นขนาดไหน!!! แค่คิดเขาก็สุดๆ แล้วแม่คุณเอ๊ย ปากบึกบึนกระซิบบางอย่างที่กำลังคิดอยู่ข้างหูบาง และมันยังทำให้เขาได้เห็นแก้มที่แดงระเรื่อขึ้นอีก

“อย่ามาห่ามใส่แพมนะ!” พิมพ์ชนกว่าไม่จริงจังนักพร้อมก้าวขึ้นรถหรูที่วันนี้เปลี่ยนเป็นสีขาวจอดรออยู่

“จริงๆ นะ” เจ้าพ่อหนุ่มยืนยันยังไม่ยอมจบเรื่องง่ายๆ ขนาดว่ารถเคลื่อนออกมาแล้ว “ผมเห็นแล้วเหมือน... เหมือนกำลังฟังเพลงเฮฟวี่ฮาร์ดร็อคปนป๊อบแจ๊สเลยที่รัก มันเคลิบเคลิ้มนุ่มหูแต่ชวนให้คึกเป็นบ้า!!”

“ถ้ายังไม่หยุดก็ไปคนเดียวเลยดีไหมคะ??” หญิงสาวเริ่มไม่ไหวขึ้นมาบ้างแล้ว

มือหนาสองข้างยกขึ้นเหมือนยอมสงบศึก “แพมเจาะหูตั้งแต่เมื่อไหร่? ทำไมผมไม่เคยเห็นแพมใส่ต่างหูแบบนี้เลย เซ็กซี่ดีออก” พอถามด้วยน้ำเสียงอยากรู้ขึ้นมาจึงทำให้คนข้างๆ ตอบดีๆ

“แพมแอบแม่เจาะตั้งแต่เรียนอยู่ปีหนึ่ง พอแม่เห็นแม่บิดไส้แพมแทบขาด!! ท่านบอกว่าอนุญาตให้ใส่ได้แค่ตอนไปเที่ยวเล่นกับเพื่อนเท่านั้น แพมรู้ว่ามันไม่ค่อยสุภาพเท่าไหร่ก็เลยไม่ได้ใส่ไว้ตลอด แต่บางคนก็ไม่ถือนะคะแพมเห็นสาวๆ เจาะหูเหมือนแพมตั้งหลายคน” หญิงสาวบอกเพราะคุณอาภาแม่ของเธอนั้น เป็นผู้หญิงสุภาพ อ่อนหวาน หัวโบราณมากอยู่เหมือนกัน

คังเจียลี่พยักหน้ารับ “แพมใส่ทุกวันเลยนะผมชอบ อืม... ถ้าให้เดาพายคงเหมือนแม่ แล้วแพมคงเหมือนพ่อใช่ไหม??”

“ค่ะ แม่พูดอยู่บ่อยๆ ว่าคิดถูกที่ตั้งชื่อพี่พายว่าพิมพ์มาดา ที่แปลว่าเหมือนแม่ แล้วตั้งชื่อแพมว่าพิมพ์ชนกเพราะแพมไม่เรียบร้อยเท่าไหร่”
“ชื่อของแพมแปลว่าเหมือนพ่อเหรอจ๊ะ??” คังเจียลี่ถามอย่างสนใจ เมื่อเพิ่งได้มีโอกาสรู้ความหมายของชื่อแฟนของตัวเอง

“ค่ะ แพมแปลเอาแบบตรงตัวเข้าใจง่ายดี ชนกในภาษาไทยเป็นคำราชาศัพท์แปลว่าพ่อ ส่วนมาดาไม่ใช่คำราชาศัพท์แต่ก็มีความหมายว่าแม่” หญิงสาวอธิบายให้หนุ่มที่นั่งฟังอย่างตั้งใจ “แล้วทำไมคนส่วนมากเรียกคุณว่าเดร็กล่ะคะ เจียลี่นี่ก็ด้วย ทำไมต้องแบ่งกันเรียกให้สับสน?”

คำถามตรงๆ ที่ไม่เคยมีใครกล้าถามแต่เขากลับได้ยินเธอถามเป็นคนแรกอีกตามเคย “ใครๆ ก็เรียกผมว่าเจียลี่ทั้งนั้นแหละ แต่พอไปเรียนที่อเมริกาพวกเขาบอกว่าชื่อผมออกเสียงยาก ส่วนมากจะเรียกเจอร์รี่แต่ผมไม่อยากเป็นหนูให้ทอมจับเลยตั้งชื่อตัวเองว่าเดร็กสั้นๆ ง่ายๆ จากนั้นคนส่วนใหญ่ก็จะเรียกผมว่าเดร็กกันทั้งนั้น จะมีแค่คนในครอบครัวที่สนิทจริงๆ ที่เรียกชื่อผม”

“แล้วทำไมครอบครัวคุณนายหวังถึงไม่เรียกคุณว่าเจียลี่ล่ะคะ??”

“อืม... ไม่รู้สิ! เขาคงไม่เห็นผมเป็นคนในครอบครัวมั้ง อย่าไปใส่ใจเลยน่า... ที่รัก” คังเจียลี่ลากเสียงยาวเหมือนไม่อยากให้เธออย่าไปคิดเรื่องหยุมหยิมพวกนี้เลย

“แสดงว่าคุณอาหย่งเหอ ท่านคงจะไม่มีทางคิดร้ายกับคุณแน่ เพราะท่านเรียกคุณว่าเจียลี่ได้สนิทใจ” พูดออกไปก็อยากจะโขกหัวตัวเองกับประตูรถนัก!! โอ๊ย... ยัยแพมเอ๊ย จะลากมาให้เข้าเรื่องแต่ทำได้ยอดแย่มากๆ

คังเจียลี่หัวเราะหึๆ ในลำคอหนา ทั้งยังงงกับคำพูดของเธอ “มันไม่เกี่ยวกันหรอกนะสวีตฮาร์ท ผมคงไม่อาจจะตัดสินใจไว้ใจคนๆ หนึ่งได้จากเรื่องการเรียกขานชื่อ”

“แต่อาหย่งเหอไม่มีวันคิดร้ายกับคุณแน่นะคะ เจียลี่!!” พิมพ์ชนกหลุดปากแย้งออกไปเสียงหลงหวังจะแก้ต่างให้คังหย่งเหอที่เป็นพ่อแท้ๆ ของเขาเอง

“ผมไม่เคยเห็นแพมมั่นใจอะไรขนาดนี้มาก่อน??!” คังเจียลี่จับสายตาสีน้ำตาลสดใสแสดงความมั่นใจออกมาอย่างเห็นได้ชัดจนเขาอดแปลกใจไม่ได้ ทำไมอยู่ๆ เธอถึงได้ไว้ใจคังหย่งเหอขึ้นมาในทันใด ทั้งที่โดยอุปนิสัยส่วนตัวของเธอแล้วเป็นคนช่างสังเกตุ ช่างสงสัย เธอคงจะไม่ฟันธงอะไรง่ายๆ แบบนี้หากไม่มั่นใจจริงๆ

“เอ่อ ปะ...เปล่า แพมก็แค่คิดว่าอย่างนั้น ถ้าท่านจะคิดไม่ดีกับคุณก็น่าจะทำไปตั้งแต่ตอนที่คุณเรียนอยู่ที่อเมริกาแล้ว คงไม่รอมาถึงตอนนี้หรอก ไม่จริงเหรอคะ??” พิมพ์ชนกตั้งใจถามตอนท้ายประโยคเพราะอยากจะโน้มน้าวใจของเขาให้เชื่อในสิ่งที่เธอพูด

“ไม่รู้สิ ที่แพมพูดมันก็ถูกเหมือนกัน แต่มันเหมือนได้คำตอบที่ยังไม่ตรงกับคำถามเท่าไหร่?? อย่างที่แพมรู้ ผมยังมีอีกหลายข้อข้องใจที่สงสัยมานาน และถ้าจะตัดสินใจเชื่อใครสักคนก็คงต้องตอบเรื่องทั้งหมดนี้ให้ได้ก่อน” คังเจียลี่คิดถึงเรื่องของอาเล่อขึ้นมาอีกครั้งเมื่อพูดขึ้นมาพลางเหลือบไปเห็นสีหน้าที่ดูสลดลงของสาวสวยที่อยู่ข้างๆ ก็พลอยคิดหนักไปกับตัวเองด้วย จึงหันมาถามเปลี่ยนเรื่องเพื่อทำให้บรรยากาศดีขึ้นบ้าง “แพมก็เรียกผมว่าเจียลี่ แสดงว่าแพมก็ต้องเห็นผมเป็นคนในครอบครัวแล้วสิ???”

“ไม่เกี่ยวกันสักหน่อย!” หญิงสาวโต้ทันควัน

“นั่นไง! เห็นไหมล่ะ?” ตาสองคู่หันมามองกันอย่างไม่มีใครยอมลงให้ใครอยู่เป็นนาน จนรถเคลื่อนตัวเข้ามาจอดในโรงแรมหรูใจกลางย่านธุรกิจในฮ่องกง ที่ถูกกำหนดให้เป็นสถานที่จัดงานเลี้ยงเปิดตัวประธานคนใหม่ในครั้งนี้ “ลงมาได้แล้ว ยัยตัวร้าย”
พิมพ์ชนกก้าวลงจากรถพร้อมกับวางมือตัวเองลงบนมือหนาใหญ่ที่ยื่นไว้รออยู่ด้านนอก แสงแฟลชพึ่บพั่บที่เห็นมันทำให้หน้ามืดแทบมึนล้มลงไปตรงนั้น! ถ้าไม่ได้ความอบอุ่นจากมือที่บีบอย่างให้กำลังใจและรอยยิ้มอบอุ่นเอ็นดูที่ผู้ชายข้างๆ นี้มีให้ เพียงเท่านี้พิมพ์ชนกก็ไม่หวั่นกลัวอะไรอีกแล้ว

เหลือเย็นนี้อีก 1 ตอนนะคะ (แถมๆ) นักอ่านที่รักสามารถพาเจียลี่ – น้องแพม ไปครอบครองได้ที่ร้านซีเอ็ดบุ๊ก ร้านนายอินทร์ ร้านบีทูเอส เว็บสำนักพิมพ์อินเลิฟ เว็บบุ๊กสไมล์ และสามารถพูดคุยกับศิริพาราได้ตามช่องทางดังนี้

1. e-mail siripara2writer@gmail.com

2. fanpage https://www.facebook.com/siripara.raya

3.facebook https://www.facebook.com/siripara.looktan

ติชมหรือแสดงความคิดเห็นได้ตามสบายค่า เม้ามอยหอยขมกันได้ไม่เฉพาะเรื่องนิยาย ศิริพารายังมีเกมกติกาแสนง่ายดาย แจกของรางวัลเล็กน้อยเพื่อตอบแทนนักอ่านที่รัก อย่าลืมกดlikefanpage ศิริพารา รายาฤดีนะคะ

จบเรื่องนี้แล้ว ศิริพาราจะเอานิยายทั้งหมดมาอัพให้นักอ่านที่รักได้อ่านกันทุกเรื่อง ขอบคุณที่ติดตามและแสดงความคิดเห็นค่ะ

จุ๊บๆๆ
ศิริพารา



ศิริพารา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 6 พ.ค. 2558, 12:02:50 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 6 พ.ค. 2558, 12:02:50 น.

จำนวนการเข้าชม : 1072





<< ตอนที่ 9 100%   ตอนที่ 11 100% >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account