ความลับ (ที่) ซ่อนเร้น .. หรือจะเป็น ความรัก!(?)
คำถาม .. ที่มีคำตอบ
แต่คำตอบ .. กลับยังคงมากมายด้วยคำถาม

เพราะนิยามในคำหนึ่งคำนั้น
แฝงเร้นซุกซ่อนไว้ซึ่งความลึกลับ
ความซับซ้อนชวนสับสน รอยยิ้มปนเปื้อนคราบน้ำตา
เล่ห์เสน่หาหวานล้ำ และพร้อมจะนำความเจ็บปวดมาให้ .. ได้ทุกเวลา

.. หากว่ามันคือ ความรักที่มากล้น จนกลายเป็น .. ความลับ ! ..
Tags: ความรัก ความลับ

ตอน: บทที่ ๒ .. ยังมีเรื่องราว




จังหวัดอันเป็นที่ตั้งโรงเรียนอนุบาลท่องนทีของเภตรานั้น ไม่ได้อยู่สุดเขตเหนือแดนใต้ประเทศไทยหรือไกลสุดกู่จากกรุงเทพฯเลย เพราะที่นี่คือจังหวัดชายขอบปริมณฑลของเมืองหลวงแค่นี้เอง


แต่เนื่องจากต้องเดินทางจากฝั่งชานเมืองหนึ่งข้ามไปอีกชานเมือง จึงประสบปัญหาการจราจรในวันศุกร์ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของการทำงานในรอบสัปดาห์ ทำให้องก์อัมพุทจำต้องผจญกับปริมาณยวดยานมากมายหลายหลาก


แม้ระยะทางคำนวณออกมาไม่ถึง ๑๐๐ กิโลเมตร แต่การต้องขับรถราวกับอ้อมโลกเพื่อหลบเลี่ยงการจราจรอันแสนสาหัส ด้วยมีรถยนต์จำนวนไม่น้อยที่ต้องการออกไปใช้วันหยุดพักผ่อนร่วมเส้นทางล่องใต้เช่นเดียวกัน


องก์อัมพุทจึงอยู่บนถนนที่มีเพื่อนร่วมทางขับเคลื่อนตามกันมาเกือบสองชั่วโมง บรรยากาศก็เริ่มสลัวรางเย็นย่ำสนธยา หลังผ่านตัวเมืองไปไม่เท่าไรเธอก็เห็นป้ายบอกทางเป็นชื่อโรงเรียนอนุบาลท่องนที ที่มีลูกศรกำกับทิศทางกันหลง


หญิงสาวถึงกับยิ้มกว้างเมื่อคิดได้ว่า กิจการของเพื่อนท่าทางคงไปได้สวย ไม่เช่นนั้นคงไม่มีป้ายอลังการงานสร้างบอกทางเป็นระยะแบบนี้


แต่สิ่งที่เพิ่งนึกขึ้นได้คือ เธอลืมถามเพื่อนว่า จะให้ไปเจอกันที่ใดแน่ .. บ้านหรือโรงเรียน


“เภา .. ฉันจะถึงโรงเรียนอนุบาลแกแล้วนะ จะให้ฉันนอนที่ไหนเนี่ย”


องก์อัมพุทต่อสายถึงเภตราทันที และถามออกไปอย่างรวดเร็วเมื่อปลายทางส่งสัญญาณมาว่ากดรับแล้ว


“แกขับรถเลยโรงเรียนมาก่อนนะ จะเจอหมู่บ้านจัดสรรชื่อตระการจิต เดี๋ยวฉันปั่นจักรยานไปรับแกหน้าหมู่บ้าน”


“ได้ๆ .. เลยอนุบาลไปนะ หมู่บ้านตระการจิต .. ”


คนขับประคองพวงมาลัยรถมือเดียวไปเรื่อยๆ เพราะอีกข้างสาละวนอยู่กับโทรศัพท์มือถือพลางทวนย้ำคำ จนเกือบไม่ทันเห็นว่า กำลังขับรถผ่านแทบจะเลยก้อนหินอ่อนสลักอักษรสีทอง ‘ตระการจิต’ บริเวณหน้าทางเข้าหมู่บ้านที่เพื่อนบอกเมื่อครู่นี้ ทำเอาคนต่างถิ่นถึงกับเหยียบเบรกกะทันหัน


เจ้าของรถคันที่ขับตามมาถึงกับตกใจ ที่จู่ๆไฟแดงท้ายยานพาหนะคันหน้าก็สว่างโร่ขึ้นมา ดีว่าห้ามล้อได้เฉียดฉิว จึงไม่ได้เสยเข้าที่ท้ายรถยนต์สีครามมืดๆหม่นๆนั่น แต่ก็บีบแตรดังลั่นเหมือนจะประณามอีกฝ่ายว่า ขับรถไม่รู้จักระมัดระวังอะไรเลย ก่อนจะตีไฟกะพริบด้านขวา บ่ายหัวรถแล้วขับแซงไป


องก์อัมพุทเองก็ตกใจ และยอมรับโดยดุษฎีว่าตนเสียมารยาทในการขับขี่ ด้วยการผงกศีรษะขอโทษขอโพยอยู่อย่างนั้น แล้วค่อยๆขับเลียบชิดขอบทางขอนั่งทำใจระหว่างรอเภตรา


หญิงสาวละมือข้างหนึ่งจากการเกาะกุมพวงมาลัยรถแล้วบิดกุญแจดับเครื่องยนต์ ยังใจหายใจคว่ำที่เมื่อครู่เธอเกือบจะก่อให้เกิดอุบัติเหตุ ซึ่งก็สมควรแก่การถูกตำหนิ และคิดว่าโชคดีที่เจ้าของรถคันนั้นมีสติมากกว่าเธอ


แต่แล้วขณะที่องก์อัมพุทนั่งอยู่เงียบๆ ก็ต้องสะดุ้งเมื่อมีเสียงเคาะกระจกรถด้านข้างตัวเธอ


หญิงสาวมองบรรยากาศโดยรอบที่ความมืดโรยตัวมาได้สักพัก เวลาราวๆทุ่มครึ่งแม้จะไม่น่ากลัว แต่พอตรองดูก็คิดว่า ไม่ควรลงไปจากรถ จึงทำเพียงเลื่อนเปิดกระจกลงแค่ครึ่งเพื่อถามไถ่ให้รู้เรื่อง


“มีอะไรคะ”


“คุณ .. เป็นอะไรหรือเปล่าครับ เมื่อกี้ผมเห็นเหมือนรถจะเฉี่ยวกัน”


แสงไฟที่สาดมาจากเบื้องหลังทำให้มองเห็นใบหน้าของผู้ชายเจ้าของเสียงทุ้มลึกแต่นุ่มนวลไม่ถนัด หญิงสาวคิดในใจว่า อย่างน้อยเขาก็มีมารยาทที่เคาะกระจกแล้วไม่ชะโงกหน้าเข้ามา แต่ถอยออกไปในระยะที่พอจะมองเห็นตัวกัน


แล้วความรู้สึกหนึ่งก็วูบขึ้นมาในอก จนหัวใจขององก์อัมพุทถึงกับกระตุกเต้นผิดจังหวะ



ทว่า หญิงสาวไม่ทันจะได้เอ่ยคำใด นอกจากอากัปกิริยาที่นัยน์ตาโตรายล้อมด้วยแพขนตางอนยาวกำลังเบิกกว้าง เสียงแจ่มใสคุ้นเคยก็แว่วดังมากระทบโสต


“อ้าว .. คุณวิชชุ์ ยืนทำอะไรตรงนี้คะ มีอะไรรึเปล่า”


“ผมไม่มีหรอกคุณเภา แต่คุณคนนี้สิ ..”


เภตรามองหน้าชายหนุ่มที่บุ้ยใบ้ไปอีกทาง ก่อนเบือนสายตาตามกิริยาประกอบการบอกเล่ามายัง ‘คุณคนนี้’ แล้วก็ต้องอุทานอย่างดีใจระคนตระหนก


“เฮ้ย .. พุด แกเองเหรอเนี่ย แล้วเกิดอะไรขึ้น ทำไมหน้าซีดหน้าเซียวเหมือนคนกำลังช็อกแบบนี้”


“ผมว่า คงช็อกล่ะครับ เมื่อกี้เหมือนมีรถเฉี่ยวชนท้าย แต่รถคันนั้นขับหนีไปแล้ว”


‘คุณวิชชุ์’ เล่าเหตุการณ์กับหญิงสาวผู้มาใหม่ตามที่เห็น จึงเข้าใจคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง ซึ่งองก์อัมพุทก็ได้แต่มองและฟังเงียบๆ อย่างไม่สามารถจะพูดอะไรออกมาได้ในนาทีนี้


“อ้าว ยังไงกันล่ะนี่ คุณวิชชุ์พอจะจำเลขทะเบียนได้มั้ยคะ เภาจะได้แจ้งตำรวจ ..”


“เภา .. ไม่ .. ไม่ใช่ ..”


องก์อัมพุทพยายามเรียกเสียงของตัวเองแล้วบอกออกไป แต่ก็ทำได้ทีละคำแถมยังจับความแทบไม่ได้ ปากขยับหากดวงตายังเบิกกว้างจับจ้องใบหน้าในชายหนุ่มท่ามกลางแสงสลัว


ทั้งสองคนได้แต่มองกันไปมา ไม่เข้าใจสิ่งที่อีกคนกำลังสื่อสาร ชายหนุ่มจึงปล่อยให้หญิงสาวที่เขารู้จักซักถามเอาความจากคนตรงหน้าแทน


“ไม่ใช่? .. ไม่ใช่อะไร .. งั้น เข้าบ้านก่อน คุยกันแบบนี้คงไม่รู้เรื่อง ให้แกหายตกใจค่อยว่ากัน”


เภตราสรุปเอาตามนั้น แล้วหันไปทางชายหนุ่มที่ยืนรอเผื่อว่า จะมีอะไรที่เขาพอช่วยได้อีก


“ขอบคุณคุณวิชชุ์นะคะ .. คงไม่มีอะไร อาจจะแค่ตกใจเท่านั้น .. ถ้ายังไง เภาจะพาเพื่อนไปแนะนำทีหลังแล้วกัน บ้านใกล้เรือนเคียง รู้จักกันไว้คงไม่เสียหลาย”


“ครับ .. ดีแล้วที่ไม่เป็นอะไร ถ้าอย่างนั้น ผมขอตัว ..”


ชายหนุ่มค้อมศีรษะเล็กน้อยให้หญิงสาวทั้งสอง ก่อนหันหลังกลับไปยังรถของตนที่จอดต่อท้าย ไม่นานเขาก็ขับผ่านแล้วเลี้ยวเข้าหมู่บ้านไป


“แหม .. น่ารักทั้งคนพ่อทั้งคนลูกเลย .. นี่ถ้าไม่ติดว่าฉันรักเดียวใจเดียวนะ คงจีบคุณวิชชุ์ละ”


เภตราพูดติดตลกหวังให้เพื่อนที่นั่งเงียบเป็นหุ่นปั้นได้ผ่อนคลาย แต่องก์อัมพุทกลับทำได้เพียงมองตามคนที่เพิ่งขับรถผ่านไปจนสุดสายตา


“พุด .. แกเป็นอะไร ทำไมไม่พูดไม่จา”


“เภา .. แกรู้จัก .. เขา .. จริงๆเหรอ”


คำถามพึมพำแปลกๆของเพื่อนที่ผ่านริมฝีปากราวเสียงกระซิบ ทำให้อีกฝ่ายต้องชะโงกหน้ามาหา และยื่นมือมาอังหน้าผากบนดวงหน้าซีดเซียวเพื่อวัดอุณหภูมิ


“ไปๆ .. เดี๋ยวฉันขับรถแกเข้าบ้านเอง สติสตังไม่อยู่กับตัวแล้ว ..”


เภตราไม่สนใจอื่นใดนอกจากเป็นห่วงอาการขององก์อัมพุท เธอรีบกระตุ้นเตือนจนในที่สุดก็สามารถยึดรถและขับมันออกจากข้างทางเลี้ยวเข้าหมู่บ้าน แต่ครู่หนึ่งเธอชะลอรถตรงป้อมเพื่อฝากจักรยานกับเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของที่นี่ไว้ชั่วคราว โดยบอกว่าจะมารับคืนทีหลัง แล้วจึงเคลื่อนรถยนต์มุ่งสู่บ้านของตนเอง





ภายใต้ชายคาบ้านหลังใหญ่รูปทรงทันสมัย เภตราจัดสรรห้องพักสำหรับเพื่อนสนิทไว้เรียบร้อย และปล่อยให้องก์อัมพุทอาบน้ำอาบท่าเสียก่อน แล้วค่อยสอบถามถึงเหตุการณ์หน้าหมู่บ้านโดยละเอียดหลังอาหารมื้อค่ำในห้องนั่งเล่น


“ไหน .. เล่ามาซิว่าเกิดอะไรขึ้น”


“ไม่มีอะไรหรอก แค่ฉันประมาทไปหน่อย”


คนถามคล้ายยังไม่พึงพอใจกับคำตอบ จ้องหน้าคาดคั้นเอาจริงเอาจัง จนองก์อัมพุทยกสองมือประกบแนบข้างแก้มของเภตราแล้วโยกตามคำพูดทีละคำ


“ไม่-มี-อะไร-จริงๆ”


“ฮึ่ย .. จะไม่มีได้ไง ก็คุณวิชชุ์บอกว่าเห็นรถคันอื่นเฉี่ยวท้ายรถแก”


เภตราดึงใบหน้าออกจนพ้นมือองก์อัมพุทไม่ยอมจบเรื่องง่ายๆ ทั้งยังยกคำบอกเล่าของชายหนุ่มขึ้นมา เรียกความสนใจของอีกฝ่ายได้ชะงัด แม้จะอยากรู้อะไรบางอย่างเกี่ยวกับ ‘คุณวิชชุ์’ เหลือเกิน แต่เธอก็ยังสงวนท่าทีไว้อย่างมิดชิด


“แค่เบรกกะทันหัน แต่ไม่ได้ชนกัน ไม่มีอะไรนอกจากตกใจ .. คุณ .. วิชชุ์ คนนั้นก็มาเคาะกระจกถาม แล้วแกก็มาพอดี”


“อืม .. ถ้าแค่นั้นก็แล้วไป”


องก์อัมพุทรอฟังใจจดใจจ่อว่าเภตราจะเอ่ยถึงผู้ชายคนนั่นอีกหรือไม่ ความคิดประหวัดไปถึงคำพูดของเพื่อนก่อนหน้านี้ที่ว่า น่ารักทั้งพ่อทั้งลูกเลย


เขา .. แต่งงาน .. มีครอบครัวแล้วอย่างนั้นหรือ?


แต่ก็นั่นล่ะ เมื่อเวลาผ่านมาเนิ่นนาน มันจะแปลกอะไร ถ้าใครบางคน .. จะเปลี่ยนไปจากวันวานที่ล่วงเลย


เภตราสังเกตได้ว่าเพื่อนของตนเอาแต่นิ่งเงียบ หันมามองให้ถนัดจึงเห็นอาการเหม่อลอยพร้อมกับดวงตาฉายแววอ่อนล้า ก็ทำให้คิดได้ว่าองก์อัมพุทรีบแล่นมาหาเธอทันทีหลังเลิกงาน คงเพราะเจ้าตัวเหน็ดเหนื่อยและร่างกายอ่อนเพลียสะสม ซึ่งอาจเป็นบ่อเกิดแห่งความประมาทก็เป็นได้


“ฉันว่าแกพักผ่อนก่อนดีกว่า พรุ่งนี้ตื่นแล้วค่อยมาคุยกันอีกที”


นั่นเอง .. สติขององก์อัมพุทจึงกลับมาอยู่กับตัว และเห็นดีกับข้อเสนอของเพื่อน เพราะตอนนี้เธอมีสิ่งที่ต้องคิดมากมาย .. กับเรื่องราวที่ยังคงจดจำ


“ก็ดีเหมือนกัน แล้วแกล่ะ .. จะนอนเลยมั้ย”


“แกนอนเถอะ .. เดี๋ยวฉันจะดูงานเอกสารนิดหน่อย .. เจอกันพรุ่งนี้เช้านะ”


สองสาวอำลาค่ำคืนนี้แก่กัน ซึ่งนับจากคืนนี้ทั้งคู่จะได้ใช้ช่วงเวลาเกือบ ๑ สัปดาห์ร่วมกันอีกครั้ง หลังจากที่ต่างคนต่างแยกย้ายกันไปตามหน้าที่ที่ชีวิตนี้ได้เลือกแล้ว






งานในห้องสมุดไม่มีอะไรยุ่งยากหรือซับซ้อน หากแต่ก็ไม่ง่ายนักถ้าต้องมาจัดเรียงตามลำดับหมวดหมู่ แถมหนังสือบางเล่มบางประเภทก็มีน้ำหนักขึ้นอยู่กับความหน้าของจำนวนหน้า จนองก์อัมพุทแอบบ่นกับเพื่อนสนิทว่า ไม่ต้องเป็นนักกีฬาแบบเภตราก็สามารถมีกล้ามแขนที่แข็งแรงได้


แล้วก็อดยิ้มกริ่มกับตัวเองไม่ได้ เมื่อนึกย้อนไปช่วงเวลาเดียวกันนี้ของเมื่อปีก่อน คราวไปยืมหนังสือภูมิศาสตร์ประวัติศาสตร์


และจากการที่องก์อัมพุทมีโอกาสอาสาช่วยงานอาจารย์บรรณารักษ์ ทำให้เด็กสาวตัดสินใจว่า จะลองมาขอเป็นเจ้าหน้าที่ห้องสมุดดูบ้าง


แต่เพราะยังไม่แน่ใจนักว่าควรเริ่มต้นอย่างไร องก์อัมพุทจึงไปขอคำปรึกษาจากอาจารย์ฝ่ายแนะแนววิชาการประจำโรงเรียน ซึ่งอาจารย์ก็รับปากว่าจะเป็นธุระจัดการให้


“เธอแน่ใจนะองก์อัมพุทว่าทำได้ อาจารย์วิชชุ์วิธูแกค่อนข้างเข้มงวดและเจ้าระเบียบ จะไปทำเป็นเล่นแล้วเลิกนี่ไม่ได้นะ”


“โธ่ อาจารย์ขา .. หนูคิดดีแล้วค่ะ เคยไปช่วยอาจารย์บรรณารักษ์มาครั้งหนึ่ง เห็นว่าไม่ยุ่งยากแล้วก็ดูเหมือนว่า เจ้าหน้าที่จะน้อยไปถ้าต้องดูแลหนังสือในนั้นค่ะอาจารย์”


เมื่อเห็นความมุ่งมั่นของลูกศิษย์ อาจารย์ฝ่ายแนะแนวฯก็ช่วยให้องก์อัมพุทสมหวังได้ในที่สุด พร้อมกับแจ้งวันเวลาให้ไปพบกับอาจารย์บรรณารักษ์ประจำห้องสมุดของโรงเรียน


“ยิ้มอะไร ฮึ .. หนังสือยังมีอีกตั้งนะ องก์อัมพุท”


เสียงทุ้มนุ่มนวลแฝงความจริงจังและเข้มงวดเตือนมาที่เด็กสาวซึ่งกำลังยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ระหว่างการทำหน้าที่เจ้าหน้าที่ห้องสมุด ทำให้เธอถึงกับต้องหันหน้ามาทั้งที่รอยยิ้มยังฉายเกลื่อน เผื่อแผ่มาถึงอาจารย์บรรณารักษ์อย่างวิชชุ์วิธู


“กำลังนึกถึงตอนไปขอมาทำงานห้องสมุดเมื่อปีที่แล้วค่ะอาจารย์ แล้วหนูก็คิดไม่ผิดจริงๆ ที่ได้มาช่วยงานอาจารย์แบบนี้”


“ยังไง”


องก์อัมพุทยิ้มกว้างเพราะรู้แล้วว่า อาจารย์วิชชุ์วิธูชอบความสงบและรักสันโดษ ซึ่งมาจากการสังเกตของเธอตลอดระยะเวลาที่ทำงานร่วมกันได้ไม่กี่เดือน


แม้อาจารย์หนุ่มคนนี้จะเป็นคนที่เรียกได้ว่า มัธยัสถ์คำพูดในสิ่งไม่จำเป็น แต่ถ้านักเรียนเช่นเธอมีข้อสงสัยหรือไม่เข้าใจ เขาก็สามารถอธิบายได้เป็นฉากๆ แล้วยังให้คำแนะนำดีๆอีกมากมาย กระทั่งหมดคำถามตอบ เขาก็กลับไปสู่โลกแห่งความเงียบอีกครั้ง




องก์อัมพุทเองก็เพิ่งได้ทราบความจริงข้อนี้ หลังจากเธอพบปัญหาเรื่องคะแนนบางวิชาที่น่าเป็นห่วง ซึ่งจะใช้ในการสอบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัย จนอาจารย์มาเห็นว่าเด็กสาวที่เคยร่าเริงขณะทำงาน ดูมีท่าทางเคร่งเครียดและไม่สบายใจ ก็อดที่จะไต่ถามไม่ได้ และพอได้รู้สาเหตุเขาก็ช่วยแก้ไขให้ผ่านมาได้ด้วยดี


“ถ้าหนูไม่ได้มาทำงานที่นี่ หนูก็คงไม่รู้ว่ามีติวเตอร์ชั้นดีอยู่ไงคะ ขอบคุณอาจารย์มากๆเลยค่ะ สำหรับคำแนะนำเพื่ออนาคตของหนู”


วิชชุ์วิธูยกมุมปากเผยรอยยิ้มแต่น้อย แล้วก้มหน้าก้มตาทำงานต่อไปโดยไม่พูดอะไร และองก์อัมพุทก็ทำหน้าที่ของเธอต่อไป


“อาจารย์คะ หนูถามอะไรที่ไม่เกี่ยวกับเรื่องเรียนได้มั้ยคะ”


คราวนี้คนถูกถามย่นคิ้วเหนือแว่นใสสี่เหลี่ยม นัยน์ตาหรี่มองคล้ายไม่ไว้ใจในคำถามแต่ก็รอฟัง ก่อนตัดสินใจว่าควรจะตอบหรือไม่


เด็กสาวไม่ได้ยินคำทักท้วงห้ามปรามใดก็คิดไปว่า อาจารย์คงอนุญาตให้ถามได้ มือที่ทำงานอยู่จึงหยุดนิ่ง หันมามองดวงหน้าเรียบเฉยของเขาก่อนเอ่ยออกมาปนลังเลเล็กน้อย


“อาจารย์ .. อายุเท่าไรแล้วคะ”


“ทำไม .. สงสัยอะไร องก์อัมพุท”


เจ้าของชื่อขมวดคิ้วขบริมฝีปากล่างสายตาจริงจังจ้องมายังอาจารย์บรรณารักษ์ตรงๆ บรรยายความรู้สึกของตนไม่ปิดบัง


“หนูสงสัยว่า อาจารย์โกงอายุมาทำงานหรือเปล่าค่ะ มองยังไงก็ไม่น่าพ้นนักศึกษามหา’ลัยเลย ขนาดพี่ชายหนูที่เพิ่งเรียนจบมาไม่ถึง ๒ ปี ยังดูแก่กว่าอาจารย์อีก”


คนที่ได้ชื่อว่าเป็นอาจารย์กระแอมในลำคอเบาๆกลั้นความขบขันเอาไว้ ไม่อยากแสดงออกมาให้ลูกศิษย์ช่างสงสัยเห็น


“แล้วจะอยากรู้ไปทำไมล่ะ .. หืม”


เพราะหน้านิ่งๆคำถามกลับเรียบๆ ทำให้องก์อัมพุทเริ่มรู้สึกเกรงใจอาจารย์วิชชุ์วิธูขึ้นมาหน่อยๆ ว่าจะเป็นการละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัวเกินไป


“เอ่อ .. หนูขอโทษค่ะ อาจารย์ ..”


“๒๖”


ตัวเลขจำนวนหนึ่งที่ผ่านริมฝีปากบางเฉียบไม่ดังมาก แต่เด็กสาวก็ได้ยินถนัดจนต้องกลืนประโยคต่อมาที่กำลังจะพูดให้ขาดหายไป .. ไม่ต้องตอบก็ได้ค่ะ


“ .. คะ?”


“ครูตอบคำถามเธอแล้ว .. เอาล่ะ หมดหน้าที่สำหรับวันนี้ .. กลับบ้านได้”


องก์อัมพุทได้แต่กะพริบตาปริบๆกับความสงสัยที่ได้รับการไขให้กระจ่างอย่างไม่ทันตั้งตัว


เธอได้แต่มองตามแผ่นหลังกว้างที่ลุกขึ้นพร้อมหอบหนังสือ ๕-๖ เล่มเดินเข้าไปด้านใน หลังจากหมดเวลาทำการของห้องสมุด และอนุญาตให้กลับบ้านได้ โดยที่ไม่อาจรู้ได้ว่าอาจารย์กำลังคิดอะไรอยู่


เขาอาจจะเห็นเป็นเรื่องน่าขัน ที่เด็กนักเรียนมัธยมปลายคนหนึ่งช่างซอกแซกกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง


แต่เด็กสาวก็เห็นแล้วว่า ทุกคำถามมีคำตอบสำหรับเธอเสมอ






องก์อัมพุทลืมตาตื่นในความมืด ก่อนเรียงลำดับเหตุการ์ทบทวนเรื่องราวแต่วัยเยาว์ ที่หวนกลับมาหาเธออีกแล้ว


หญิงสาวใช้ฝ่ามือทั้งสองข้างลูบหน้าตัวเองเบาๆ แผ่นหลังยังคงตรึงอยู่บนเตียงนอนหนานุ่ม ไอเย็นจากเครื่องปรับอากาศยังหลงเหลือแม้มันจะหยุดทำงาน เพราะตั้งเวลาปิดอัตโนมัติเอาไว้


“อาจารย์ .. ใช่ อาจารย์ใช่มั้ยคะ”


องก์อัมพุทลดมือลงมาทาบไว้กับอกที่มันหวิวโหวงเหมือนจะรอนๆรำพึงแผ่วเบา เมื่อความคิดวนเวียนไปหา ‘คุณวิชชุ์’ ที่บังเอิญได้พบ จนนำพาให้เธอนึกถึงอาจารย์วิชชุ์วิธู .. ในความฝัน


ทว่า พอคำพูดของเภตราแว่วมาในห้วงคำนึง .. น่ารักทั้งพ่อทั้งลูกเลย


แล้วกระไอร้อนผะผ่าวก็แทรกซึมรายรอบขอบดวงตา ครั้นหญิงสาวค่อยเคลื่อนเปลือกตาบรรจบกันช้าๆหวังเข้าสู่นิทราอีกครั้ง เธอจึงรู้สึกถึงหยาดน้ำอุ่นๆที่ไหลร่วงจากหางตา .. ซึ่งมันคงต้องหยดลงบนหมอนที่กำลังหนุนอยู่ตอนนี้แน่นอน






ความที่เคยชินกับการตื่นเช้าเป็นกิจวัตรทำให้องก์อัมพุทลุกจากที่นอนอย่างง่ายดาย ทว่า ยังมีบางสิ่งเป็นเหตุผลนอกเหนือจากนี้ เพราะตั้งแต่ลืมตาเธอก็ไม่สามารถข่มตาให้หลับลงได้อีก และเมื่อดูนาฬิกาบอกเวลาตี ๕ เศษ จึงตัดสินใจอาบน้ำให้ร่างกายรู้สึกปลอดโปร่งแล้วลงมารับความสดชื่นของรุ่งอรุณ


หญิงสาวออกมาเดินเล่นหน้าบ้านจึงได้พิจารณาอาณาบริเวณโดยรอบ บ้านของเภตรามีพื้นที่กว้างขวางกว่าบ้านของเมฆพัดร่วม ๔ เท่าตัว


นอกจากลานจอดรถที่รองรับยานพาหนะได้ ๓-๔ คันแล้ว ก็สามารถจัดส่วนที่เหลือเป็นสวนและมุมพักผ่อนด้วยโต๊ะเก้าอี้ที่แปรรูปมาจากตอไม้ขนาดลดหลั่นกัน ถัดลึกไปยังมีชิงช้าไม้เนื้อแข็งให้ไกวเล่นได้อีกด้วย


ไม่น่าเชื่อว่าบ้านจัดสรรในโครงการของ ‘ตระการจิต’ จะโอ่โถงตระการตาสมชื่อไม่น้อยหน้าโครงการใหญ่ๆกลางกรุงเลย


องก์อัมพุทเดินเลาะริมรั้วที่กั้นบอกขอบเขต ซึ่งเป็นลักษณะไม้ระแนงเตี้ยๆเลียบมาใกล้บ้านอีกหลัง แถมยังมองผ่านเข้าไปถึงหน้าบ้านได้ไม่ต่างกัน


แต่แล้วหญิงสาวต้องชะงักเท้าหยุดอยู่ตรงนี้ กับภาพเด็กหญิงในชุดลำลองกางเกงขาสั้นเสื้อยืด ผมยาวผูกรวบเป็นหางม้าเดินจูงมือผู้หญิงอีกคนออกมาที่ลานจอดรถ


ผู้สังเกตการณ์แอบอมยิ้มเมื่อเด็กหญิงที่คะเนวัยด้วยสายตา น่าจะมีอายุไม่เกินชั้นประถมกำลังกอดเอวหญิงคนโตกว่าแน่น ก่อนเงยหน้ารับจุมพิตอ่อนโยนตรงกลางหน้าผาก แล้วจบด้วยการหอมแก้มซ้ายขวาคืนกลับไป


องก์อัมพุทเหม่อมองทุกอิริยาบถของสองหญิงต่างวัยตรงหน้าด้วยความประทับใจ เธอมั่นใจในสถานะความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่ว่าไม่แคล้วต้องเป็นคุณแม่กับลูกสาวที่รักกันมาก .. เหมือนความรักที่ตัวเธอมีต่อละอองชลผู้เป็นมารดา


แม้การแอบสังเกตจะเห็นได้ชัดว่า ผู้หญิงคนที่เธอเห็นมีวัยที่น่าจะใช้คำเรียกว่า ‘สาวใหญ่’ มานานปี แต่ดูจากการแต่งกายและดูแลตัวเองแล้ว กลับทำให้รู้สึกว่ามีเสน่ห์ชวนมอง


แล้วความสงสัยก็คลี่คลายเป็นไปอย่างที่คิด เมื่อเธอแว่วยินเสียงใสๆของเด็กหญิง กำลังออดอ้อนขอบางอย่างจากสตรีในวงแขนเล็กๆที่ยังสามารถโอบกระชับรอบเอวไว้ได้


“คุณแม่ขา .. ไม่ต้องห่วงคุณพ่อนะคะ เกรซจะดูแลให้อย่างดี .. แต่คุณแม่ต้องรีบกลับมาให้ทันปิดเทอมนะคะ ไม่งั้น เกรซจะพาคุณพ่อหนีคุณแม่ไปเที่ยว”


คำต่อรองน่าเอ็นดูของเด็กหญิงทำให้ ‘คุณแม่’ โน้มตัวลงมากอดแล้วกระซิบอะไรบางอย่างข้างหู ฉับพลันก็เรียกเสียงหัวเราะคิกคักให้เกิดขึ้นได้ แล้วสตรีคนนั้นก็บรรจงตระกองกอดลูกสาวอีกครั้ง ก่อนกดรีโมทคอนโทรลแล้วเปิดท้ายรถยนต์ซีดานสีแดงสด เพื่อยกกระเป๋าเดินทางใบย่อมใส่ในนั้น


ทว่า ความรู้สึกที่เหมือนกำลังถูกใครบางคนจ้องมอง ทำให้ ‘คุณแม่’ของลูกสาวตัวน้อย หันมายังทิศทางที่องก์อัมพุทยืนอยู่


อาจจะเพราะทันได้เห็นรอยยิ้มของหญิงสาวข้างบ้าน สาวใหญ่ที่กำลังเตรียมตัวเดินทางก็คลี่ยิ้มตอบกลับมาให้อย่างคนมีอัธยาศัย และผงกศีรษะเล็กน้อยเป็นการทักทาย แล้วจึงหันกลับไปจัดการเรื่องของตนให้เรียบร้อย


องก์อัมพุทได้แต่ตกตะลึง ทันทีที่เห็นหน้าค่าตาสตรีข้างบ้านชัดเจน


รวดเร็วเหลือเกินกับอาการชาหนึบที่จู่โจมเข้าเกาะกุมหัวใจ จากนั้นมันก็แล่นริ้วไปทั่วสรรพางค์กายอย่างไม่ให้ตั้งตัว


ถ้าตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา เขาคนนั้น .. ยังคงอยู่ในใจขององก์อัมพุท อย่างที่ไม่อาจลบลืมไปจากห้วงคำนึงได้


ผู้หญิงคนที่บังเอิญมาอยู่ตรงหน้านี้ .. ก็ไม่มีวันเลือนหายไปจากความทรงจำของเธอเช่นกัน!


กว่าอาการตื่นตะลึงไม่คาดฝันของเธอจะเข้าสู่ภาวะปกติ รถยนต์ซีดานสีแดงสดก็ขับเคลื่อนออกจากบ้านหลังนั้นไปแล้ว


นับตั้งแต่หญิงสาวตกปากรับคำช่วยเหลือเพื่อนสนิท ทำไมเรื่องราวไม่คาดคิดจึงย้อนรอยมาบังเกิดกับเธอ ในช่วงเวลาห่างกันไม่ถึง ๒๔ ชั่วโมง


องก์อัมพุทได้แต่หวังว่า หลังจากนี้เธอคงจะไม่ต้องพบเจอกับอะไร ที่สั่นคลอนความรู้สึกสงบนิ่งมานานให้กระเพื่อมไหว .. อย่างที่กำลังหวั่นในหัวใจอยู่เลย










*****************************************************





โปรดติดตามตอนต่อไป ...


ขอขอบคุณทุกท่านที่ติดตามฮะ



แรมรติ
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 6 พ.ค. 2558, 12:51:19 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 6 พ.ค. 2558, 12:51:19 น.

จำนวนการเข้าชม : 1311





<< บทที่ ๑ .. นานมาแล้ว   บทที่ ๓ .. ในความทรงจำ >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account