ความลับ (ที่) ซ่อนเร้น .. หรือจะเป็น ความรัก!(?)
คำถาม .. ที่มีคำตอบ
แต่คำตอบ .. กลับยังคงมากมายด้วยคำถาม

เพราะนิยามในคำหนึ่งคำนั้น
แฝงเร้นซุกซ่อนไว้ซึ่งความลึกลับ
ความซับซ้อนชวนสับสน รอยยิ้มปนเปื้อนคราบน้ำตา
เล่ห์เสน่หาหวานล้ำ และพร้อมจะนำความเจ็บปวดมาให้ .. ได้ทุกเวลา

.. หากว่ามันคือ ความรักที่มากล้น จนกลายเป็น .. ความลับ ! ..
Tags: ความรัก ความลับ

ตอน: บทที่ ๓ .. ในความทรงจำ




ชั่วโมงว่างในบ่ายวันหนึ่ง ขณะที่องก์อัมพุทกำลังทำหน้าที่ผู้ช่วยอาจารย์บรรณารักษ์ จัดการซ่อมแซมหนังสือของห้องสมุดที่ชำรุดอยู่ ก็ได้ยินประชาสัมพันธ์โรงเรียนกระจายเสียงประกาศชื่ออาจารย์วิชชุ์วิธูดังไปทั่ว


เด็กสาวเงยหน้าขึ้นจากหนังสือและอุปกรณ์ตรงหน้า เหลียวซ้ายแลขวามองหาตัวคนที่ถูกเรียกชื่อ เธอไม่แน่ใจว่า อาจารย์จะได้ยินหรือทันได้ฟังประกาศชัดเจนหรือไม่


“เดี๋ยวครูมา”


ประโยคสั้นๆแต่ได้ใจความลอยมาให้ได้รับรู้ ก่อนจะหายไปพร้อมกับร่างสูงโปร่งในชุดเสื้อเชื้ตสีฟ้าจางๆที่รอยรีดยังคงเรียบแทบไม่มีรอยยับ กับเกงเกงแสลคเนื้อดีซึ่งก็เนี้ยบพอกัน


ความอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับอาจารย์บรรณารักษ์ ทำให้องก์อัมพุทวางมือจากงานลุกขึ้นจากเก้าอี้รีบวิ่งไปยังหน้าประตู แต่ก็ไม่สามารถมองเห็นสิ่งใด จึงกลับไปนั่งทำงานที่เดิม ด้วยความรู้สึกเสียดายอย่างที่เด็กสาวเองก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน


องก์อัมพุทไม่รู้ตัวว่าเริ่มใส่ใจอาจารย์วิชชุ์วิธูตั้งแต่เมื่อใด แต่ที่รู้ๆทุกครั้งที่ได้ช่วยงาน ทุกครั้งที่ได้พูดคุยกับเขา เธอจะรู้สึกอิ่มเอมและอบอุ่นหัวใจเสมอ


ตามความเข้าใจของเด็กสาววัย ๑๘ เช่นเธอนั้นคิดว่า นั่นเป็นความชื่นชมที่มีต่ออาจารย์บรรณารักษ์ ซึ่งเธอคอยพร่ำบอกกับตัวเองมาตลอดตั้งแต่ได้เข้ามาเป็นเจ้าหน้าที่ห้องสมุด


และเพียงไม่นานหลังจากวิชชุ์วิธูออกไปจากห้องสมุด อาจารย์หนุ่มก็กลับมาพร้อมกับใครอีกคนที่เดินเคียงข้างไม่ห่างกัน


องก์อัมพุทไม่เคยคิดว่า ภาพของชายหนุ่มหญิงสาวคู่หนึ่งที่นัยน์ตาได้รับรู้ จะสร้างความรู้สึกชนิดใหม่ให้เกิดขึ้น ซึ่งมีผลกับจิตใจของเธอโดยไม่รู้ตัว


"องก์อัมพุท .. ขอบใจมากนะที่ช่วยครู วันนี้พอแค่นี้ล่ะ"


"แต่ว่า .."


เด็กสาวอ้าปากเตรียมค้านเพราะงานที่ทำยังค้างคา แต่ก็ต้องเงียบทันใดเมื่อเห็นสายตาหลังแว่นใสเข้มขรึมลง แสดงว่า อาจารย์คงมีเรื่องสำคัญและส่วนตัว กับบุคคลที่ได้รับเชิญให้มาถึงสถานที่ทำงานเช่นนี้


องก์อัมพุทจำต้องทำตามที่วิชชุ์วิธูบอกโดยปริยาย หลังจากเก็บอุปกรณ์เรียบร้อย จึงหันมาทำความเคารพอาจารย์บรรณารักษ์ และ 'หญิงสาว' คนที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ซึ่งดูเหมือนว่าวิชชุ์วิธูจะให้ความสำคัญอยู่ไม่น้อยทีเดียว


เด็กสาวไม่รู้ว่า 'เธอ' เป็นใคร แต่อะไรบางอย่างก็กระซิบแผ่วเบาในความรู้สึกว่า 'ผู้หญิงคนนี้' จะมีผลต่อจิตใจอันไร้เดียงสาของเธออย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนในชีวิต





องก์อัมพุทยืนนิ่งงันหน้าซีดเม็ดเหงื่อซึมเล็กน้อย รู้สึกได้ถึงความเย็นชืดที่ปลายนิ้ว และอาการเห่อชาทั่วใบหน้าเนียน ทั้งที่อากาศยามเช้านั้นแสนสบาย ทว่า ความร้อนรุ่มที่รุมๆอยู่ตอนนี้เธอไม่อยากคิดเลยว่า มันมีสาเหตุมาจากอะไร


"เป็นไปไม่ได้ .."


หญิงสาวเอ่ยเบาๆนึกว่ามันเป็นแค่ความคิดที่ผุดขึ้น แต่เพราะมีคำยืนยันจากเจ้าของบ้านดังเป็นคำถามด้านหลัง เธอจึงสำนึกได้ว่า เผลออุทานหลุดปากออกมา


"อะไรเหรอพุด .. ที่เป็นไปไม่ได้น่ะ"


เภตราสาวเท้ามายืนข้างๆ หันหน้าไปยังบ้านใกล้เรือนเคียง พลางเสยผมยาวๆแล้วสางมันด้วยนิ้วเรียว ก่อนขมวดรวบเป็นมวยต่ำๆด้วยปากกาที่ติดมือมา แต่คนถามกลับไม่รอคำตอบที่เพื่อนยังคงนึกไม่ทัน ตะโกนทักทายเด็กหญิงข้างบ้านที่กำลังเดินออกมาอีกครั้ง


"น้องเกรซ .. มาเมื่อไรจ๊ะ เมื่อวานพี่เภาไม่ยักเห็นเลย"


"พี่เภา .."


เด็กหญิงได้ยินที่เภตราส่งเสียงมาก็รีบสวมรองเท้า วิ่งมาหาถึงขอบรั้วข้างบ้านไม่ให้เสียเวลาพร้อมกับเรียกชื่อด้วยน้ำเสียงใสๆ


"สวัสดีค่ะ พี่เภา .. คุณแม่มาส่งเกรซเมื่อคืนค่ะ แล้วก็กลับไปแต่เช้า .. ตะกี้เองค่ะ"


"อ้าว .. เลยไม่ได้เจอกับพี่รตีเลย .. น้องเกรซปิดเทอมยังล่ะเนี่ย"


"ยังค่ะ วันจันทร์เกรซมีสอบ คุณแม่เลยส่งมาอยู่กับคุณพ่อ .. แล้วให้ติวเตอร์ที่เก่งที่สุดในโลกติวให้ค่ะ"


ตรีวธูในวัย ๑๐ ปีตอบอย่างฉาดฉาน และด้วยบุคลิกที่ร่าเริงของเธอ เภตราเองก็อดยิ้มตามไปด้วยไม่ได้


"นั่นสิ .. คุณวิชชุ์เก่งที่สุดในโลกอยู่แล้ว"


คำยกย่องของพี่สาวข้างบ้านทำให้เด็กหญิงหัวเราะออกมาได้ ก่อนเหลือบสายตามายังหญิงสาวแปลกหน้าที่ยืนฟังและมองการสนทนาระหว่างกันของคนข้างบ้านทั้งสอง


"เพื่อนพี่เภาเหรอคะ .. เกรซเห็นมองมาที่บ้านเกรซ แถมจ้องคุณแม่เกรซตั้งนาน"


"เอ่อ .."


องก์อัมพุทได้ยินน้ำเสียงใสพูดถึงเธอไม่ปิดบังความสงสัยชัดเจน ทั้งยังรู้สึกได้ถึงความไม่ไว้วางใจ ผิดจากตอนที่คุยกับเภตราเมื่อครู่สิ้นเชิง แต่หญิงสาวก็เข้าใจว่า คงจะเป็นเพราะเธอคือคนแปลกหน้า 'น้องเกรซ' จึงแสดงออกเช่นนั้น


"จ้ะ .. มาๆ รู้จักเพื่อนพี่ .. ชื่อพี่พุด .. พุด นี่น้องเกรซ .. ลูกสาวคนเดียวของเจ้าของหมู่บ้าน 'ตระการจิต' .."


"สวัสดีค่ะ น้องเกรซ"


หญิงสาวเอ่ยทักทายก่อนไม่รอให้อีกฝ่ายเป็นคนเริ่ม อย่างน้อยการฝึกผูกมิตรกับเด็กน่าจะช่วยให้เธอไม่เกร็งจนเกินไป หากว่าต้องเริ่มงานที่รับปากเภตราเอาไว้


"สวัสดีค่ะ .. พี่ .. พุด"


ตรีวธูเว้นจังหวะการเรียกชื่อเป็นคำๆมองคนเพิ่งรู้จักชนิดที่เรียกว่าจดจ้อง แต่ดวงตาคู่ใสแจ๋วที่ทอประกายเจิดจ้าราวลูกแก้วล้อแสง กลับก่อความอึดอัดแก่องก์อัมพุทได้อย่างไม่น่าเชื่อ


เภตราเข้าใจว่า ต่างฝ่ายยังเคอะเขินต่อกัน อิริยาบถจึงไม่เป็นไปตามธรรมชาติ เธอเลยจงใจตัดบทสนทนาง่ายๆ เพราะสังเกตเห็นได้ว่าเพื่อนดูเหมือนจะเครียดๆอย่างไรพิกล


"เอาล่ะ รู้จักกันแล้ว .. เดี๋ยวพี่คงต้องพาเพื่อนพี่ไปก่อนนะ น้องเกรซ .. ไว้สอบเสร็จ ค่อยมาเล่นกันเนอะ .."


"โอเคค่ะ .. พี่เภา"


องก์อัมพุทไม่ทันได้ฟังว่า ทั้งสองคนคุยอะไรกันกี่มากน้อย เนื่องจากว่าในห้วงความคิดขณะนี้ มีแต่คำว่า ติวเตอร์ที่เก่งที่สุดในโลก วนเวียนอยู่เต็มไปหมด


ไม่เคยคิด ก็ต้องคิด .. และพอได้คิด .. มันจึงไม่อาจหยุดอยู่เพียงเท่านี้


กระทั่ง .. หญิงสาวตระหนักได้ว่า ถ้าหากความคิดนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นความตั้งใจของใครบางคน .. ที่สามารถอ่านใจหยั่งรู้ความรู้สึกของเธอซึ่งถูกซ่อนเร้นมาแสนนาน .. คงถึงเวลาที่ต้องยอมรับความจริงเสียทีว่า


นับแต่ตั้งคำถามและตอบความรู้สึกของตนเองได้ ในความรัก .. ที่เฝ้ารออย่างคนคิดเพ้อฝันและวาดหวังอยู่ข้างเดียวดุจน้ำหล่อเลี้ยงหัวใจ


บัดนี้ .. เวลาของการมีสิทธิ์คิดเช่นนั้น .. ได้หมดลงแล้ว


เพราะเธอ 'ไม่ใช่' สำหรับเขามาตั้งแต่แรก


องก์อัมพุทเข้าใจลึกซึ้งทีเดียวว่า ความชอบธรรมที่จะคิดเกินเลย มันเดินมาถึงจุดสิ้นสุดนับจากนี้ .. ด้วยประการทั้งปวง





"เป็นไงบ้างพุด .. เมื่อคืนหลับสบายมั้ย"


เภตราชวนเพื่อนคุยหลังจากที่ต่างคนต่างจิบกาแฟมื้อเช้าอย่างเงียบๆ จนเจ้าของบ้านต้องเอ่ยถามออกมา เธอผิดสังเกตต่อพฤติกรรมของเพื่อนตั้งแต่เมื่อวาน แต่ก็คิดว่า คงเพราะองก์อัมพุทยังตกใจต่อเหตุการณ์ที่รถเกือบจะถูกเฉี่ยวชน


ทว่า เช้านี้มันแตกต่างออกไป ถ้าไม่เพราะต้องตื่นแต่เช้าเธอคงไม่ได้เห็นเพื่อนที่ตื่นเช้ากว่า ออกไปยืนมองข้างบ้านแล้วทำสีหน้าแปลกประหลาดที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา จนทำให้ตัดสินใจเดินตามไปสมทบ


"ก็ดี .. นอนเต็มที่เลยตื่นเช้า"


"แต่หน้าแก ไม่ได้เต็มที่เหมือนที่บอกเลยนะพุด .."


องก์อัมพุทได้แต่ยิ้มเฝื่อนๆเสยกถ้วยกาแฟขึ้นดื่มทั้งที่มันแทบจะไม่เหลือสักหยด เพราะไม่อยากให้เภตราเห็นอะไรที่เธออาจจะเผลอแสดงออกมาอีก หญิงสาวจึงหาทางเลี่ยงหลบไปสู่ประเด็นอื่นเท่าที่จะนึกออก


"อาจจะ .. เพราะเหนื่อย ใช่ เหนื่อยๆน่ะ .. ไม่มีอะไรหรอก ได้พักวันนี้กับพรุ่งนี้ รับรองวันจันทร์ฉันพร้อมยิ่งกว่าพร้อมแน่ๆ"


"นี่ฉันรบกวนแกมากไปหรือเปล่าพุด .. ถ้าไม่ไหวบอกมาตรงๆได้นะ เห็นแบบนี้ฉันยังมีหนังสือสมบัติผู้ดีเหลือพอจะต้มกินได้ ไม่ยากนักหรอกถ้าจะเพิ่มความเกรงใจแทนแคลเซี่ยมน่ะ"


เจ้าของบ้านควบตำแหน่งเจ้าของโรงเรียนอนุบาลท่องนทีกล่าวติดตลก หวังให้เพื่อนผ่อนคลายอารมณ์ลง ถึงแม้ว่าเธอจะยังไม่รู้ว่าอะไรเป็นสาเหตุให้เพื่อนดูอ่อนล้าขนาดนี้ ทว่า ถ้าหากทำให้เพื่อนยิ้มได้เธอก็จะสบายใจกว่าที่เป็นอยู่


"ฉันกะจะบอกแกว่าอย่าคิดมาก .. แต่ถ้าแกยังทำตลกใส่ฉันได้ ฉันว่าควรจะเรียกค่าเหนื่อยให้สมน้ำสมเนื้อท่าจะดี"


องก์อัมพุทดักคอกลั้วหัวเราะเบาๆ แม้ว่าในใจของคล้ายกำลังมีเงาทะมึนปกคลุมจนชวนให้รู้สึกหม่นมัว แต่เพราะมีเภตราอยู่เคียงข้างได้ถูกที่ถูกเวลา หญิงสาวจึงสามารถสกัดกั้นอารมณ์ที่ปั่นป่วนราวพยับเมฆก่อนพายุจะเข้า ไม่ให้มันก่อตัวเป็นความหดหู่ไปมากกว่านี้


เธอพยายามหักห้ามใจในสิ่งที่อยากรู้ .. และจู่ๆก็ได้รู้


หักห้ามใจอย่างที่สุดไม่ให้พลั้งปากถาม .. ในเรื่องราวที่สงสัย


องก์อัมพุทเชื่อว่า เภตราคงมีคำตอบตรงกับที่เธอเคยรับรู้ก่อนหน้า และได้เห็นมันชัดเจนจนกระจ่างใจด้วยตนเองแล้ว


หญิงสาวยอมรับอย่างซื่อสัตย์ว่า .. ถ้าหลีกเลี่ยงได้ เธอก็ไม่อยากพบกับความเจ็บปวด เพราะมันคงจะสร้างริ้วรอยภายในจนชอกช้ำกระทั่งลุกลามกลายเป็นบาดแผล


แล้วสิ่งที่เธอหวาดกลัวยิ่งกว่า .. คือ ความจริงที่จะมาตอกย้ำหัวใจ ราวน้ำกรดที่ราดรดแล้วกัดกร่อนความรักของเธอจนมันค่อยๆแหลกสลาย ทิ้งไว้แต่ความปวดแสบปวดร้อน .. เหมือนตายทั้งเป็น


องก์อัมพุทรู้แน่แก่ใจว่า ผลข้างเคียงของการยึดยื้อความรู้สึกอย่างไร้อนาคตเอาไว้ มันจะทำให้เธอต้องพบเจอกับอะไรบางอย่างที่หนักหนาสาหัส .. มากกว่าอาการน้ำตาตกในที่กำลังเป็นอยู่ในตอนนี้


"พุด .. พุด.. เหม่ออีกแล้ว"


"หืม .. อะไร เภา .."


"ฉันบอกว่า จะพาแกไปดูโรงเรียนก่อน แต่ท่าทางแกคงยังไม่พร้อมจริงๆน่ะล่ะ .. เอางี้ แกพักผ่อนไปก็แล้วกัน บ่ายๆกลับมาแล้วค่อยคุยงานเป็นเรื่องเป็นราวเสียที"


"อ้าว แกจะไปไหน .."


หญิงสาวกะพริบตาปริบทำหน้าไม่ถูกเมื่อเพื่อนทำราวกับอ่านความคิดเธอออก พอตั้งสติได้ก็ถามย้ำไปอีกครั้ง เพราะเชื่อแน่ว่า เภตราบอกรายละเอียดมาหมดแล้ว แต่เธอผิดเองที่ไม่ได้ฟัง .. ไม่ได้ตั้งใจฟังเพื่อนเลย


"เฮ้อ .. เจ้านายแกคงใช้งานหัวไม่วาง หางไม่เว้น เล่นไม่ได้ งานสบายไม่เคยเจอสินะ .. ยัยพุด สติถึงได้หลุดลอยขนาดนี้"


"มีส่วนมั้ง .. ถ้าเจ้านายไม่ทำท่าว่าจะจีบฉัน .. ฉันก็คงไม่ต้องหาเรื่องทำงานให้หนักแบบนี้หรอก"


"อะไรนะ .. อีกแล้วเหรอพุด .. อุตส่าห์หนีจากไอ้เฒ่าหัวงูได้ ยังมาเจอคนหนุ่มหัดแผ่พังพานอีก"


เภตราร้องลั่นกับคำตอบเกินคาด ก่อนหน้าที่เพื่อนสาวจะเปลี่ยนงานมาอยู่ที่อาร์อาร์เอสค้าปลีก เธอรับรู้ถึงความอึดอัดคับข้องขององก์อัมพุท ในฐานะเลขานุการิณีของผู้บริหารระดับผู้จัดการทั่วไปของอาร์อาร์เอสสำนักงานใหญ่มาบ้าง แต่เมื่อทุกอย่างจบลงด้วยดีก็คิดว่า เพื่อนของเธอคงจะไม่ต้องปวดหัวกับเรื่องแย่ๆอีก


ก่อนที่เจ้าตัวจะพูดเสียงอ่อย คิดในใจว่าไม่น่าเบี่ยงเบนความสนใจเพื่อนด้วยเรื่องที่ไม่น่าจดจำในอดีตเลย ถึงมันจะได้ผลก็เถอะ


"แต่ฉันอาจจะคิดไปเองก็ได้เภา .. อาจจะระแวงว่ามันจะเป็นแบบนั้น"


"ไม่หรอก .. ลองแกกล้าพูด ฉันว่าไอ้เจ้านายหนุ่มคงไม่ต่างจากเจ้านายแก่เท่าไรหรอก"


องก์อัมพุทหลุดหัวเราะอย่างช่วยไม่ได้กับคำเรียก 'เจ้านาย' อย่างดุเดือดของเภตรา หญิงสาวซาบซึ้งใจเสมอมาว่า เพื่อนยังคอยเป็นห่วงเป็นใย และพลอยเป็นเดือดเป็นแค้นยามเธอมีปัญหาแล้วต้องมาระบายให้ฟัง แถมยังช่วยหาทางออกแบบบัวไม่ให้ช้ำ น้ำไม่ให้ขุ่น ทั้งที่ในความเป็นจริง เภตราแทบจะแล่นไปเอาเรื่องเจ้านายคนเก่าถึงที่


'เชื่อสิ ถ้าพี่พัดรู้ .. เหมือนที่ฉันรู้ ไอ้เฒ่านั่น ไม่ตายดีแน่'


และเพราะองก์อัมพุทก็เชื่อเช่นนั้น เธอจึงเลือกที่จะมาปรึกษาเพื่อนมากกว่าพี่ชาย อย่างน้อยมันก็ยังไม่ได้ร้ายแรงอะไร เพียงแต่รู้สึกตะขิดตะขวงใจที่จะทำงานใกล้ชิดกันต่อไป จนเป็นช่องทางที่อาจเกิดเรื่องอื้อฉาวขึ้นถ้าไม่ทันได้ระมัดระวังตัว


"คุณรุจน์แค่ทำตัวน่าสงสัย ยังไม่มีอะไรมาก อีกอย่างทำงานมา ๓ ปีกว่าฉันก็ชักจะเบื่อๆ .. ไม่แน่ ถ้าทำงานกับแกแล้วสนุก สบายใจ อาจจะขอมาเป็นลูกจ้างแกก็ได้"


"ให้มันจริงเหอะ"


"เรื่องไหน"


"ทั้งหมดล่ะ .. แล้วถ้าแกจะมาช่วยฉันจริง ตำแหน่งรอง ผอ. ฉันก็ประเคนให้แกได้ รึจะเลื่อยเก้าอี้ฉัน ฉันก็เต็มใจนะ .. บอกเลย"


เภตราทำใจป้ำสุดฤทธิ์ชนิดที่องก์อัมพุทอยากจะทำอะไรสักอย่างเพราะหมั่นไส้เพื่อนเหลือกำลัง แต่แววตาจริงจังเกลื่อนความจริงใจที่สะท้อนออกมา ก็ทำให้หญิงสาวได้แต่ตื้นตันพูดราวกระซิบซ้ำไปซ้ำมา


"ขอบใจเภา .. ขอบใจจริงๆ .. ขอบใจที่ให้กำลังใจจนถึงตอนนี้"


"พอเลย .. ไม่ต้องมาทำซึ้ง .. ขี้เกียจตักน้ำใส่ลังถึงล้างตา"


ผู้อำนวยการโรงเรียนอนุบาลเมินหลบไม่กล้าสบสายตา เพราะเกรงว่าอารมณ์ในขณะนี้จะพาให้น้ำตาแตกกันทั้งคู่ เลยแกล้งเฉไฉยกภาชนะนึ่งลักษณะเป็นชั้นๆมีฝาปิดมาเป็นข้ออ้างกลบเกลื่อนความกระดากเก้อเขินของตน




เภตราขับรถออกจากบ้านช่วงสายๆ หลังจากเห็นว่าเพื่อนดูเหนื่อยๆเนือยๆไป จึงปล่อยให้องก์อัมพุทพักผ่อนอยู่กับบ้าน บอกเพียงว่าเสร็จธุระแล้วจะรีบกลับ ให้เพื่อนคิดรายการอาหารไว้รอแล้วจะให้แม่บ้านสรรหามา เป็นการชดเชยที่ทิ้งให้เฝ้าบ้านตามลำพัง


ก่อนไปเภตรายังฝากให้องก์อัมพุทช่วยดูแม่บ้านที่จะมาทำความสะอาดให้ด้วย พอดีช่วงเช้าแกติดธุระอาจจะเข้ามาดูแลบ้านให้ตอนบ่ายๆ ซึ่งเพื่อนสาวก็รับปากอย่างดี


องก์อัมพุทจัดการมื้อกลางวันจากวัตถุดิบที่หาได้ในตู้เย็น หญิงสาวไม่ใช่คนมากเรื่องหรือทำเรื่องให้มาก จึงไม่เป็นการยากลำบากอะไร หากจะมีเพียงไข่เจียวฟูน่ากินโปะลงบนข้าวสวยร้อนๆ กับน้ำปลาพริกบีบมะนาวอีกนิด เท่านี้ก็สุดแสนจะอร่อยแล้ว


แม่บ้านที่เภตราบอกไว้มาถึงตอนบ่ายโมงตรงพอดี หญิงสาวไม่แปลกใจเลยที่แม่บ้านคนนี้ดูจะรับทราบแล้วว่า มีเพื่อนของเจ้าของบ้านมาพักอยู่ด้วยระยะหนึ่ง


เพื่อไม่ให้เกะกะการทำงาน องก์อัมพุทจึงออกมาเดินเล่นนอกบ้าน เธอเดินเรื่อยเปื่อยมองไปรอบตัวก่อนจะมาหยุดนั่งบนเก้าอี้ตัวหนึ่งของชุดนั่งเล่นในสวน


แล้วสายตาก็ไปสะดุดกับบางสิ่งกำลังผลุบๆโผล่ๆอยู่ข้างๆแนวรั้วไม้ระแนงเตี้ยที่เคยไปหยุดยืนอยู่ตรงนั้น


ความสนใจดึงดูดให้หญิงสาวละจากที่นั่ง ก้าวเท้าพาตัวเองมาจนถึงจุดที่กำลังสงสัย จนร่างๆนั้นเงยหน้ายืดลำตัวยืนขึ้นเต็มความสูง พร้อมกับเสียงร้องบอกอาการตกใจของเธอที่ดังขึ้น


“ว้าย ..”


“โอ๊ะ .. ขอโทษทีหนูเภา .. อ้าว เอ๊ะ .. ไม่ใช่หนูเภานี่”


ชายสูงวัยผมสีดอกเลาดูนุ่มนวลเอ่ยด้วยท่าทางคุ้นเคย ก่อนแปรเป็นฉงนใจกับหญิงสาวแปลกหน้าที่อยู่ในบริเวณบ้านของเภตรา เพื่อนบ้านต่างวัยที่รู้จักกันมานานพอสมควร


“ค่ะ .. หนู เอ่อ พุด .. ดิฉันเป็นเพื่อนกับเภาค่ะ คุณ..”


องก์อัมพุทไม่รู้ว่าจะแทนตัวบุรุษที่คาดว่าน่าจะเลยวัยเกษียณตรงหน้าอย่างไร จึงเลือกใช้คำแทนตัวแบบเป็นทางการไปก่อน อย่างน้อยที่สมองคิดทันในตอนนี้คือ เขาต้องเป็นใครสักคนที่เกี่ยวข้องกับ ‘ผู้หญิงของอาจารย์’ ซึ่งเป็นถึงเจ้าของหมู่บ้าน ‘ตระการจิต’ แห่งนี้


“โธ่เอ๊ย .. คนกันเอง อย่าเรียกดิฉัน เรียกคุณเลย .. เรียกลุงดีกว่า ลุงชื่อพฤหัส .. พฤหัส นภมณฑล .. แล้วเพื่อนหนูเภาล่ะลูก .. ชื่ออะไร ตะกี้ลุงฟังไม่ทัน”


คุณลุงใจดีที่ชื่อพฤหัสเกือบทำให้องก์อัมพุทยิ้มรับมิตรภาพทันที ถ้าไม่เพราะนามสกุลของชายสูงวัยที่ได้ยิน .. นามสกุลของคนในความทรงจำทั้งเมื่ออดีตกว่า ๑๐ ปี จนถึงทุกวันนี้


.. อาจารย์วิชชุ์วิธู นภมณฑล ..


ไม่ผิดแน่ .. เพื่อนบ้านของเภตราคือ ครอบครัวของอาจารย์วิชชุ์วิธู และตอนนี้หญิงสาวก็บังเอิญได้รู้จักคนที่อาจจะเกี่ยวข้องกับเขาที่สุด .. คุณพ่อของอาจารย์!


“พ่อครับ .. ยัยเกรซจอมดื้อของพ่ออยากกินไอศกรีม เดี๋ยวผมจะพาแกไปข้างนอกก่อนนะครับ”


องก์อัมพุทยังไม่ทันได้เตรียมตัวเตรียมใจเผชิญหน้ากับคนที่คะนึงหาในช่วงหลายปีที่ผ่านมา รวมถึงตอนนี้ที่กำลังนึกถึงอยู่ แต่แล้วจู่ๆเขาก็เข้ามาปรากฏกาย พร้อมบ่งบอกชัดเจนถึงสถานภาพและความสัมพันธ์ระหว่างคนในครอบครัวตรงหน้าเธอนี่เอง


“เจ้าวิชชุ์ก็อย่าตามใจเจ้าเกรซนักสิ .. เจ้าเกรซจะเสียเด็กก็เพราะแกนั่นล่ะ”


วิชชุ์วิธูยิ้มๆกับคำกล่าวหาของพฤหัสที่เกี่ยวโยงไปถึงตรีวธู ชายหนุ่มเองก็ยอมรับในข้อที่ว่า เขามักจะตามใจเด็กหญิงอย่างนั้นจริงๆเสียด้วย ก่อนจะรู้ตัวว่าบริเวณนี้ยังมีบุคคลที่สามยืนมองอยู่อีกคน


“นั่น .. คุณ พ่อรู้จักเธอด้วยหรือครับ”


“แล้วแกรู้จักเพื่อนหนูเภาคนนี้รึไง”


พฤหัสถามวิชชุ์วิธูกลับอย่างข้องใจ พลางเบี่ยงหน้าไปมองทางบุตรชายที่เงียบไปอึดใจ เพราะตอนนี้ ‘เพื่อนหนูเภา’ ก็มีอาการไม่ต่างกันเท่าใด


องก์อัมพุทที่ยืนอยู่อีกฝั่งรั้วระแนงเตี้ยก็นิ่งงันไม่พูดไม่จา คล้ายตกอยู่ในภวังค์ หญิงสาวรู้สึกว่า บรรยากาศรอบตัวของชายหนุ่มคนนี้ ต่างจากอาจารย์ที่เธอเคยรู้จักเหลือเกิน นั่นอาจจะเป็นเพราะเขาไม่ได้สวมแว่นตาและมักทำสีหน้าเคร่งขรึมเป็นนิจอีกแล้ว


วิชชุ์วิธูหรี่ตาเล็กน้อยเพ่งมองหญิงสาวด้วยดวงตาคมกริบในเสี้ยววินาที แล้วหันไปตอบคำถามพฤหัสพอให้ได้ยินกันทุกคน


“เพิ่งพบกันเมื่อวาน รู้แค่ว่าเป็นเพื่อนคุณเภาครับพ่อ .. แต่ไม่ได้รู้จักเธอ .. มากไปกว่านั้น”


น้ำเสียงทุ้มนุ่มนวลเอ่ยประโยคธรรมดาๆ แต่องก์อัมพุทกลับรู้สึกว่ามันคือมีดคมๆ ที่ค่อยๆกรีดลงบนความรู้สึกของเธอ .. จนหญิงสาวถามตัวเองดังๆในใจว่า


วิชชุ์วิธูกำลังกระทำฆาตกรรมหัวใจขององก์อัมพุทซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างเลือดเย็นอยู่ใช่ไหม





องก์อัมพุทไม่แน่ใจว่า เธอได้ตอบคำถามหรือคุยอะไรไปบ้างระหว่างที่ยืนคุยกับคุณลุงพฤหัส หลังจากวิชชุ์วิธูบอกออกมาว่า .. ไม่ได้รู้จักเธอ .. มากไปกว่านั้น


หญิงสาวรู้สึกโชคดีที่ยังควบคุมตัวเองไว้ได้ ทั้งตอนที่เห็นเขาเดินเข้ามา ตอนที่เขาพูดจาเหมือนทำร้าย .. ทำลายความรู้สึกกัน โดยที่ชายหนุ่มอดีตอาจารย์ของเธอไม่มีทางรู้ว่ามันเป็นเช่นนั้น กระทั่งหันหลังเดินเข้าบ้านไป


เท่าที่จำได้คุณลุงพฤหัสบอกว่า ต้องขอตัวไปดู ‘เจ้าเกรซ’ เสียหน่อย จากนั้นทั้งสองจึงต่างคนต่างก้าวเท้าไปยังหน้าประตูบ้านของตน


องก์อัมพุทก้าวมาตามทางเดินจนถึงห้องนอน เมื่อปิดประตูเรียบร้อย หญิงสาวก็ค่อยๆทรุดกายลงนั่งกับพื้น แล้วยกสองเข่าตั้งชันก่อนก้มหน้าคู้ตัวลงไปกอดไว้แน่น


ในอกอัดอั้นจนแทบจะระเบิดออกมา ความเจ็บปวดที่ไม่เคยรู้จักค่อยๆทยอยมาเป็นระลอกคลื่น


ความทรงจำประเดประดังหลั่งไหลวนเวียนในหัว


ตอนนั้น .. ที่อาจารย์ของเธอกล่าวอำลานักเรียนในห้องประชุม .. มันแค่ใจหาย ไม่ใช่เจ็บแบบนี้


ตอนนั้น .. ที่เจ้าหน้าที่ห้องสมุดรวมตัวเลี้ยงส่งอาจารย์ด้วยเงินของอาจารย์เอง .. รู้ว่ามันเสียใจที่เขาและเธอต้องจากกันเพราะหน้าที่ .. แต่มันก็แฝงด้วยความซาบซึ้ง ไม่ได้เจ็บอะไรแบบนี้


ตอนนั้น .. ที่เห็นอาจารย์ของเธอพาผู้หญิงคนนั้นมาที่ห้องสมุด .. มันยังไม่ทันได้รู้สึกเจ็บแบบนี้


ตอนนั้น .. ที่เห็นอาจารย์ของเธอออกไปกับผู้หญิงคนนั้น .. มันก็ไม่ใช่ความเจ็บแบบนี้


แต่ตอนนี้ .. แค่เขาพูดว่า ไม่ได้รู้จักเธอ .. มากไปกว่านั้น ทำไมมันถึงได้เจ็บปวดจะเป็นจะตายขนาดนี้


องก์อัมพุทกล้ำกลืนความรู้สึกเอาไว้ ไม่คิดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับเธอ จะรวดเร็วและรุนแรงจนเกินจะรับไหว


ขอแค่วันนี้ .. เวลานี้ .. ที่จะหวนรำลึกถึงความทรงจำเหล่านั้น แล้วองก์อัมพุทจะจดจำไว้ว่า ไม่มีอาจารย์วิชชุ์วิธูของเธออีกต่อไปแล้ว


ทันทีที่คิดว่า วินาทีข้างหน้าจะไม่มีเขาอีกแล้วในหัวใจ ..


ความอัดอั้นภายในก็บีบคั้นจนปริแตกพังทลายลง พร้อมกับน้ำตาหลั่งรินไร้ซึ่งเสียงสะอื้นไห้ นอกเหนือจากความรวดร้าวที่กำลังรานความรู้สึก อย่างยากจะบอกกับใครให้เข้าใจ







**************************************************





โปรดติดตามตอนต่อไป ...



ขอบคุณทุกท่านที่ติดตาม .. และไลค์ให้นะฮะ



แรมรติ
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 13 พ.ค. 2558, 13:20:33 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 13 พ.ค. 2558, 13:20:33 น.

จำนวนการเข้าชม : 1310





<< บทที่ ๒ .. ยังมีเรื่องราว   บทที่ ๔ .. หากสิ้นเยื่อขาดใย >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account