พันธะรักจอมเถื่อน
ความทรงจำที่หายไปหลังจากประสบอุบัติเหตุพลัดตกจากเรือ

ทำให้ ‘อรอาภา’ นักออกแบบเครื่องประดับสาวที่กำลังประสบความสำเร็จอย่างสูง

ลืมเลือนไปหมดทุกสิ่งทุกอย่าง แม้แต่เรื่องที่ว่าตน ‘แต่งงาน’ และมี ‘สามี’ แล้ว

มิหนำซ้ำ ผู้ชายคนนั้นยังรักใคร่และดูแลเอาใจใส่เธอเป็นอย่างดี

จนกระทั่งหญิงสาวตายใจ ยอม ‘ทำหน้าที่เมีย’ ให้แก่เขาอย่างเต็มที่ ทุกวันและทุกคืน

แม้จะแปลกใจที่ ‘ร่างกายเธอ’...

ดูจะไม่คุ้นเคยกับการกอดรัดฟัดเหวี่ยงอันเร่าร้อนของเขาแม้แต่น้อย

หากไม่นานความจริงก็เริ่มปรากฏ...

ว่าคนที่เธอได้ ‘ทำความรู้จัก’ กันมาแล้วอย่างลึกซึ้งและถึงพริกถึงขิง 

แท้ที่จริงเป็นซาตานจอมขี้โกง เชื่อใจไม่ได้ ที่หวังล่อลวง 

และใช้ความโชคร้ายของเธอเป็นเครื่องมือบำเรอความสุขเพียงเท่านั้น!

ไม่มีใครล่วงรู้ว่าทำไม... ผู้ชายระดับ ‘ฟาเบียโน่ ลูอิส โดส ซานโตส โอลีเวย์ร่า’ 

นักธุรกิจมหาเศรษฐี เจ้าของเหมืองเพชรและทองแหล่งใหญ่ของประเทศบราซิล

จึงไม่รีรอที่จะสอนจังหวะร่างกายอันกระแทกกระทั้นเร้าใจอย่างหนุ่มละตินให้แก่เธอ

ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้...  ถ้าคิดจะให้เขาชายตามองผู้หญิงแพศยา

ให้กินเศษเดนความสาวที่ผ่านมือชายมาเป็นร้อยน่ะหรือ... อย่าฝันไปเลย!

แต่เพราะอะไร ‘ความลับนั้น’ คงมีแต่เขาคนเดียวที่รู้...

และฟาเบียโน่ก็จะเก็บมันเอาไว้ ‘อย่างมิดชิด’ ให้เป็นปริศนา 

เช่นเดียวกับที่เขาตั้งใจจะหน่วงเหนี่ยวเธอเอาไว้เป็นทาสบำเรอบนเตียงตลอดกาล

“ตายจริงเฟลิกซ์!! คุณได้แผลกลับมาด้วย ขอฉันดูหน่อยสิคะ”

อรอาภาตกใจพลางดึงใบหน้าที่ซบลงตรงหว่างอกของตัวเองออกมาอย่างยากลำบาก

หากแต่ไม่ได้รับความร่วมมือจากเจ้าตัวแม้แต่น้อย

ปากและจมูกของฟาเบียโน่ระดมจูบไปทั่วอกอวบทั้งสองข้าง

สูดกลิ่นหอมยวนใจที่ฝันหามาแสนนานเข้าเต็มปอด

“อื้อ... ดะ...เดี๋ยว เฟลิกซ์! ฉันอยากดูแผลให้คุณก่อน อื้อ...”

“แผลแค่นี้ไม่ทำให้ผมตายหรอกเมียจ๋า... 

ถ้าจะตายก็คงตายเพราะไม่ได้รักคุณมากกว่า”

ฟาเบียโน่พูดอู้อี้กับอกอิ่มพร้อมออกแรงรัดเอวคอด

ลอยขึ้นด้วยแขนทรงพลังเพียงข้างเดียว
Tags: ฟาเบียโน่ - อรอาภา

ตอน: ตอนที่ 2 100%

สัปดาห์ต่อมาอรอาภาและนัดดากำลังช่วยกันจัดกระเป๋าเดินทางเพื่อเตรียมตัวเดินทางไปบราซิลในกลางดึกของคืนวันนี้

“เอาไปตัวเดียวก็พอ ที่โน่นไม่หนาวหรอก” นัดดาบอกเพื่อนสาว เมื่อเห็นเธอพับเสื้อกันหนาวใส่กระเป๋าเดินทางสองสามตัว พร้อมกับหยิบออกจากกระเป๋าให้เสร็จสรรพ

“รู้ได้ยังไงว่าที่โน่นไม่หนาว?” อรอาภาถามพร้อมมองใบหน้าบึ้งๆของนัดดา เพราะรู้ว่านัดดานั้นอยากจะไปด้วยแต่คุณนงนุชอนุญาตให้พนักงานในบริษัทเดินทางไปด้วยแค่สามคนเท่านั้น หนึ่งในนั้นคือเธอและผู้จัดการฝ่ายการผลิตอีกสองคนเท่านั้น

“ถามพี่กู” พี่กูที่นัดดาว่าคือพี่กูเกิ้ลแหล่งหาความรู้ยอมนิยมในโลกไซเบอร์ “คุณนงนุชนี่ขี้เหนียวชะมัด แทนที่จะออกตังค์ให้พนักงานได้ไปดูงานหาประสบการณ์ เอามาปรับปรุงผลงานออกแบบของบริษัทตัวเองกลับไม่ทำ แล้วตัวเองไปนี่ก็ไม่เห็นจะมีประโยชน์อะไร จะไปเที่ยวล่ะไม่ว่า”

“ฉันทำเป็นเจ็บท้องเข้าโรงพยาบาลแล้วส่งเธอไปแทนดีไหมนัด?” อรอาภาล้อเพื่อสาวขำๆ

“ชิ! ไม่เห็นจะง้อ เดี๋ยวฉันทำงานเก็บเงินไปเที่ยวกับพี่พีก็ได้” นัดดากำลังพูดถึงพีระแฟนหนุ่มของตัวเองที่ทำงานเป็นวิศวกรอยู่ที่เชียงใหม่

“จริงๆนะ ความจริงฉันไม่อยากไปเหยียบที่นั่นด้วยซ้ำไป!”

นัดดาได้ยินน้ำเสียงที่เจือไว้ด้วยความเจ็บปวดของเพื่อนสาวแล้วก็ต้องรีบปรี่เข้าไปปลอบ “ไม่เอาน่า! เป็นโอกาสดีของเธอต่างหาก รับรองว่าถ้าทุกคนเห็นเครื่องเพชรที่เธอออกแบบแล้วเธอต้องดังระเบิดระเบ้อแน่ ไปที่บราซิลก็ใช่ว่าจะได้เจอเขาสักหน่อย ดีไม่ดีเดินชนกันก็ยังจะไม่รู้จักกันด้วยซ้ำ!”

อรอาภาถอนหายใจออกมาหนักๆ จริงสิ! เธอเกลียดคนที่กินเหล้าเมามายแล้วขับรถชนคุณตาของตัวเองจนไม่สามารถที่จะมองหน้าเขาได้ “ไม่รู้สิ มันอดคิดไม่ได้พอได้ยินว่าจะได้พบปะกับคนเชื้อชาตินี้แล้วมันใจหวิวๆ ทั้งเกลียดทั้งกลัวยังไงบอกไม่ถูก”

“แล้วเธอเคยเล่าเรื่องนี้ให้คุณต่อฟังไหม?” นัดดาถาม

อรอาภาส่ายหน้า “ไม่ได้เล่าละเอียดลึกขนาดว่าเขาเป็นใครมาจากไหน พี่ต่อรู้แค่ว่าฉันอยู่กับตา แล้วตาโดนรถชนเลยต้องเข้าไปอยู่ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าโตมาด้วยเงินของคุณพ่อบุญธรรมชาวโปรตุกีส”

“แล้วนี่... เธอโอเครึเปล่า??”

“ก็ไม่โอเคเท่าไหร่ ไม่รู้ทำไมว่าเวลาฉันได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับบราซิลฉันถึงได้มีทัศนคติที่เป็นลบ ทั้งที่เคยพยายามทำใจให้เป็นกลางมาแล้วหลายครั้ง แต่ภาพที่ฉันเห็นตานอนแน่นิ่งเลือดไหลแข่งกับสายฝนจนพื้นถนนนองไปด้วยเลือดสีแดง แล้วผู้ชายตัวโตๆ คนนั้นก็เดินโซซัดโซเซลงมาดูแค่เพียงเสี้ยววินาทีก็กลับขึ้นไปนั่งบนรถเหมือนเดิม ไม่ถามหรือช่วยเรียกรถพยาบาลสักคำ!
พอมีเจ้าหน้าที่ตำรวจมาแยกฉันกับตาออก พวกเขาส่งตาไปโรงพยาบาล มีเจ้าหน้าที่สังคมสงเคราะห์บอกกับฉันว่าตาตายแล้ว คนที่ขับรถชนตาเป็นชาวบราซิล เขาแจ้งว่าจะเป็นคนส่งเสียเลี้ยงดูฉันเอง แต่ตอนนั้นฉันไม่ยอมท่าเดียว ฉันยังจำได้ว่าเขามางานศพของตาครั้งหนึ่งแล้วบอกว่าจะรับฉันไปอยู่ที่บราซิลด้วย ฉันตะโกนประนามเขาว่าเป็นไอ้ฆาตกร ดิ้นพล่านราวกับคนบ้า หลับหูหลับตาไม่มองเพราะเกลียดเขาจนไม่อยากจะเห็นหน้าเขา ถ้าตอนนั้นเขาไม่เมาแล้วขับรถ เขาคงจะมีสติเรียกรถพยาบาลมา บางทีตอนนี้ตายังอาจจะอยู่กับฉันก็ได้ พอได้ยินฉันด่าเขาสารพัดสักพักเขาก็เดินออกไปจากงานศพ ฉันหันกลับไปมองเห็นแค่ด้านหลังของเขา เขาตัวสูงใหญ่ยังกับตึกเดินตึงๆ ออกไป ฉันตะโกนด่าว่าเขาไม่หยุด แต่สักพักเขาก็เอาเงินสดใส่ซองมาให้กับพี่เลี้ยงที่ดูแลฉันในสถานสงเคราะห์แล้วก็ขึ้นรถกลับไปเลย”

นัดดาลูบหลังเพื่อนปลอบโยนเมื่อน้ำเสียงของอรอาภาเริ่มสั่นเครือนิดๆ พอจะรู้เรื่องเกี่ยวกับเพื่อนของตัวเองมาบ้างแต่ยังไม่เคยได้รู้เรื่องราวละเอียดแบบนี้มาก่อน “ไม่รู้จักชื่อเขาเขาเหรอ?”

อรอาภาส่ายหน้า “ไม่! แค่นี้ฉันก็เกลียดเขามากพอแล้ว ถ้าต้องรู้ชื่อเสียงเรียงนามก็คงไม่พ้นต้องตามไปฆ่าเขาให้ตายกับมือแน่! พอฉันเข้าไปอยู่รวมกับเด็กกำพร้าที่สถานสงเคราะห์ เขาก็มาหาฉันอีกแต่ฉันไม่ออกไปเจอเขา คุณครูมาบอกว่าเขาจะรับอุปการะฉัน ส่งเสียให้เรียนสูงๆ โดยที่ไม่ต้องทำงาน ชีวิตต่อจากนี้ของฉันเขาจะไม่ให้ลำบากเลยแม้แต่น้อย”

“แต่เธอก็ไม่ยอมรับเขานี่ แล้วเขาว่ายังไงบ้างล่ะ??” นัดดาถามต่อ

“สองสามวันแรกเขาก็มาหาฉันทุกวัน ใครๆ ในสถานสงเคราะห์ก็หาว่าฉันเรื่องมาก บอกว่าคนใจบุญสมัยนี้หายาก ฉันน่าจะรับความช่วยเหลือของเขาไว้ แต่ยังไงฉันก็ไม่ยอม! ฉันประท้วงด้วยการนอนนิ่งๆ ไม่กินข้าวไม่ดื่มน้ำ ไม่พูดกับใครทั้งนั้นอยู่สามวัน จนคุณครูที่ดูแลมาบอกว่าเขากลับไปบราซิลแล้วและจะไม่มายุ่งกับชีวิตของฉันอีก ให้ฉันกลับมาใช้ชีวิตตามปกติ ไปโรงเรียนแล้วเวลาว่างก็มาช่วยดูแลน้องๆ ที่ยังเล็กอยู่ในบ้าน” อรอาภามักจะเรียกสถานสงเคราะห์ที่ได้อยู่อาศัยมาตั้งแต่เสียคุณตาไปว่า ‘บ้าน’ เหมือนกับเด็กกำพร้าคนอื่นๆ เสมอ

“แล้วทำยังไงถึงได้มาเจอกับคุณพ่อบุญธรรมของเธอ?” นัดดาถาม

“คุณครูบอกว่าหลังจากเจอเรื่องร้ายๆ หนักๆ มาแล้วเราก็จะพบสิ่งดีๆ เข้ามาในชีวิตเสมออาจจะเรียกว่าท้องฟ้าหลังฝนมันสดใสและร่มเย็นกว่าตอนไหนๆ ก็เป็นได้ ประมาณไม่ถึงเดือนดีด้วยซ้ำ ฉันกับเด็กในบ้านอีกสองคนก็ได้รับจดหมายตอบรับจากคุณพ่อบุญธรรมชาวโปรตุกีสว่าจะรับอุปการะพวกเราจนเรียนจบปริญญาตรี”

“อ๋อ... ที่หัดเรียนภาษาโปรตุเกสก็เพราะอย่างนี้หรอกเหรอ?”

“อื้อ... ตอนแรกๆฉันใช้ภาษาอังกฤษเพื่อเขียนจดหมายติดต่อกับท่านทุกเดือน รายงานผลการเรียนบ้าง เล่าเรื่องราวที่ฉันไปพบเจอแต่ละวันบ้าง แต่ท่านจะตอบจดหมายฉันแค่ปีละไม่กี่ฉบับ พอฉันเข้ามหาวิทยาลัยท่านส่งจดหมายตอบกลับมาว่าน่าจะหัดเรียนอีกสักภาษาไว้เป็นความรู้แถมยังโอนเงินค่าเรียนภาษามาให้อีกต่างหาก นอกเหนือจากเงินประจำทุกเดือนด้วย ฉันก็เลยลงเรียนภาษาโปรตุเกสกะว่าทำงานเก็บเงินได้สักก้อนจะบินไปกราบขอบพระคุณท่านที่ให้ความเมตตาด้วยตัวเอง”

“แล้วคุณพ่อบุญธรรมของเธอท่านชื่ออะไร? อายุเท่าไหร่แล้ว?” นัดดาถามพลางปิดกระเป๋าเดินทางใบขนาดย่อมกว่าอีกใบลง

“เคยถามท่านเหมือนกันนะ แต่ท่านก็ไม่ตอบกลับมาว่าไงก็เลยไม่กล้าเซ้าซี้ท่านมากว่าท่านอายุเท่าไหร่ แต่ชื่อของท่านน่ะฉันจำได้ขึ้นใจตั้งแต่รู้ว่าท่านจะอุปการะแล้ว ท่านชื่อหลุย โอลีเวย์ร่า”

“ว้าว! ชื่อเท่ห์เป็นบ้าเลยโปรตุกีสสุดๆ แต่ดูจากชื่อแล้วก็อยากรับเลี้ยงลูกบุญธรรมนี่ อายุน่าจะห้าสิบหกสิบเป็นพ่อเราเลยมั้ง!” นัดดาสันนิษฐาน “เอ๊ะ!! ฟาเบียโน่ โอลีเวย์ร่า กับหลุย โอลีเวย์ร่า ทำไมนามสกุลเหมือนกันล่ะ คงไม่ได้เป็นญาติกันหรอกนะ”

“เหลวไหลใหญ่แล้ว เขาอยู่กันคนละประเทศ ขนาดในประเทศไทยนี่คนที่มีชื่อ นามสกุลเหมือนกันยังมีออกเยอะแยะ” อรอาภาบอก

“ก็คงจริงอย่างเธอว่า” นัดดาคิดตามพลางเดินออกจากห้องก่อนพร้อมกับเร่งเพื่อนสาว “เอ้านี่!! เร็วๆ สิแม่คุณ จนจบเรื่องแล้วยังจัดกระเป๋าไม่เสร็จอีก ฉันหิวแล้วนะ”

อรอาภาหัวเราะ เร่งมือจัดกระเป๋าของตนเองให้เสร็จพลางสั่งเพื่อนสาวยาวเหยียดเหมือนจะไปนานเป็นปี! “นี่นัด! อย่าลืมแวะมาดูห้องให้ฉันด้วยนะ หรือจะมาค้างที่นี่ก็ได้ แล้วงานที่ฉันทำค้างไว้น่ะเหลือแค่ลงสีอย่างเดียวอย่าลืมทำให้เสร็จนะ” พลางปิดกระเป๋าเดินทางและเดินออกจากห้องตามนัดดาไป

“โอ๊ย! แค่ลงสีชั่วโมงเดียวก็เสร็จแล้ว ไปแค่อาทิตย์เดียวสั่งยังกับจะไปเป็นปี” นัดดาบ่นอุบอิบพร้อมทั้งเร่งอีกคนที่ยังล็อกประตูห้องอยู่ยิกๆ เพราะความหิว “วันนี้ไปกินจิ้มจุ่มร้านประจำกันนะ เดี๋ยวเธอไปเมืองนอกหลายวันจะลืมรสชาติ”

สนามบินสุวรรณภูมิ

อรอาภายิ้มอย่างเสียมิได้เมื่อเดินทางมาถึงจุดนัดพบของเพื่อนร่วมเดินทางในครั้งนี้แล้ว ต่อพงษ์กระซิบกระซาบบอกกับเธอว่า

“ขิงคงไม่ว่าอะไรนะครับ พอดีคุณดาวเขาอยากไปดูเพชรกับเราด้วย อีกอย่างเราต้องเอาใจเขาหน่อยเพราะตอนนี้พี่ยังเจรจาเช่าพื้นที่ในห้างของเธออยู่”

“ขิงจะว่าอะไรได้ล่ะคะ” อรอาภาพูดได้เท่านั้นเพราะเสียงแหลมของคุณนงนุชผู้เป็นแม่ดังขึ้นมาเสียก่อน!

“ตาต่อ! แม่ว่าเราเข้าไปข้างในกันเถอะเหลือเวลาอีกไม่ถึงชั่วโมงแล้วนะ” คุณนงนุชบอกพร้อมกับจับมือแววดาวเดินผ่านเข้าไปในประตูผู้โดยสารขาออกนอกประเทศ ต่อพงษ์ อรอาภาและพนักงานชายของพงศกรเจมส์อีกสองจึงเดินตามเข้าไปด้านในด้วยเช่นกัน

ทั้งหมดผ่านการขั้นตอนของตรวจเอ็กซ์เรย์ร่างกายและสัมภาระติดตัว กรอกแบบฟอร์มตรวจคนเข้าเมืองและผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองจนทุกคนเข้าไปเดินร้านแบรนด์ดังหลายร้านแต่ไม่มีเวลาเดินดูเท่าไหร่เพราะต้องรีบไปยังประตูทางออกขึ้นเครื่องตามBoarding Pass ในมือของตัวเอง สิบห้านาทีต่อมาทุกคนก็กำลังเดินเรียงแถวกันอยู่ระหว่างที่นั่งบนเครื่องบิน รอให้แอร์โฮสเตสสาวสวย ผายมือเชิญให้นั่งตามเลขที่นั่งประจำตัวของแต่ละคน

“ท่านประธานใจดีให้เรานั่งชั้นธุรกิจด้วยเหรอเนี่ย!” จักรินหัวหน้าฝ่ายผลิตเดินต่อหลังอรอาภา กระซิบกระซาบกับมานะรองหัวหน้าฝ่ายผลิตที่เดินทางมาด้วยกัน

“ใจดีน่ะสิ ก็คุณขิงทำเงินให้ท่านมากโขจนยิ้มแก้มแทบปริอยู่นั่นไง เห็นไหม” มานะบอก ทั้งสองเป็นเพื่อนกันนอกเวลางานจึงพูดคุยเล่นหัวกันตามปกติ ทั้งสองหันมายิ้มแหยๆ ให้อรอาภา เมื่อหญิงสาวหันหลังกลับมาเล็กน้อยและยกนิ้วชี้ขึ้นตรงปากอิ่มของตนเองให้ทั้งคู่เบาเสียงลง เพราะกลัวว่านงนุชจะได้ยิน

“อรอาภา เธอมานั่งกับฉัน!” นงนุชบอกแต่ตาของเธอกลับเห็นลูกชายกำลังจะขยับปากขัด จึงชิงพูดเสียงนิ่มขึ้นบอก “ฉันอยากจะคุยเรื่องแบบสเก็ตซ์กับเธออีกนิดหน่อยน่ะ”

อรอาภารับคำพร้อมทรุดตัวลงข้างๆ นงนุช แถวถัดไปจึงเป็นแววดาวนั่งคู่กับต่อพงษ์ และจักรินนั่งคู่กับมานะ เมื่อนั่งลงเรียบร้อยแล้วหญิงสาวจึงหันไปถามนงนุชที่กำลังหาหมอนเล็กมารองคอ “ท่านประธานมีอะไรถามดิฉันเหรอคะ?”

“เอาไว้พรุ่งนี้ก็ได้ ตอนนี้ฉันง่วงนอนมาก สมองไม่แล่นหรอก เธอเองก็ควรพักผ่อนเหมือนกันนะ” นงนุชพูดเท่านั้นก็หลับตาลงไปเลย

เพียงเท่านี้อรอาภาก็รู้แก่ใจว่านงนุชแค่อยากให้แววดาวและต่อพงษ์ได้นั่งคู่กันเท่านั้น เธอก็ชักรู้สึกหวั่นใจกับอคติของนงนุชเสียแล้ว เพราะนับวันมันยิ่งมากขึ้นจนหญิงสาวรู้สึกได้ว่ามันจะทำให้เกิดปัญหาระหว่างความสัมพันธ์ของตนเองและต่อพงษ์ทั้งตอนนี้ยังมีแววดาว ผู้หญิงสวยเพียบพร้อมทั้งรูปสมบัติ คุณสมบัติเข้ามาทำให้ช่องว่างระหว่างเธอและนงนุชมากขึ้นไปอีก!!

หลังเครื่องบินลอยอยู่บนท้องฟ้าได้ไม่นาน อรอาภาได้ยินเสียงคุยกัน หัวเราะต่อกระซิกเบาของคนที่นั่งอยู่ข้างหลังจึงต้องปิดเปลือกตาลงทำคิดถึงคำมั่นสัญญาที่ต่อพงษ์เคยให้ไว้กับตนเอง ท่องคาถาใจเย็นคือการนับถึงสิบวนไปวนมาเพื่อช่วยให้อารมณ์สงบขึ้น มีสมาธิขึ้น แบบที่คุณตาเคยสอนเอาไว้ตั้งแต่เล็ก ไม่นานโลกของอรอาภาก็มืดสนิทลงจริงๆ ในเวลาไม่ถึงสามสิบนาทีดี


ท่าอากาศยานนานาชาติดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์

ทั้งหมดเดินทางถึงดูไบเวลาตีห้าครึ่งของวันเดียวกัน และต้องรอขึ้นเครื่องเดินทางต่อไปบราซิลอีกครั้งในเวลาสิบโมงครึ่ง อรอาภามองดูเวลาบนนาฬิกาข้อมือของตนเองซึ่งตอนนี้เป็นเวลาแปดนาฬิกาครึ่ง แต่เวลาที่ดูไบจะช้ากว่าเวลาประเทศไทยอยู่สามชั่วโมง หญิงสาวจึงปรับเวลาของตัวเองตามเวลาท้องถิ่นคือห้านาฬิกาครึ่ง

แววดาวและนงนุชแยกตัวออกไปเดินซื้อของในร้านขายสินค้าปลอดภาษีของสนามบินแห่งนี้เพราะเป็นที่เลื่องลือว่าราคาถูกยิ่งนัก ส่วนจักรินและมานะก็ขอแยกตัวไปก่อนจะกลับมาพบกันอีกครั้งก่อนขึ้นเครื่อง

“ปรับเวลาเหรอครับ?” ต่อพงษ์ถาม หลังจากนัดแนะทุกคนให้มาพบกันที่จุดนัดพบนี้

“ค่ะ นั่งเครื่องจากสุวรรณภูมิมาหกชั่วโมงนี่ก็ยังพอทำใจได้ แล้วยังหลับมาตลอดแต่จากดูไบไปบราซิลนี่สิคะ แค่คิดขิงก็ขยาดแล้ว” คนเคยนั่งเครื่องบินเป็นครั้งแรกโอดครวญเล็กๆ

“ไม่เคยมาต่างประเทศแต่ข้อมูลแน่นเหมือนกันนะเนี่ย” ต่อพงษ์แซวแฟนสาวพร้อมยิ้มให้กับความน่ารักของเธอ วันนี้หญิงสาวแต่งตัวทะมัดทแมง ผมดัดหยิกเป็นลอนคลายๆ มัดรวมเป็นจุกอยู่กลางกระหม่อมโชว์กรอบหน้ารูปหัวใจ สวมเสื้อยืดสีครีมด้านในทับด้วยเสื้อคาร์ดิแกนสีเทายาวเท่าสะโพก กับกางเกงยีนส์สีเข้มรองเท้าบูตหัวแหลมส้นไม่สูงมากเหมือนเด็กสาวมากกว่ามัณฑนากรหรือจีเวลรีดีไซเนอร์ที่จะออกแบบเครื่องประดับราคาหลายร้อยล้านได้!

“ต้องยกเครดิตให้นัดดาค่ะ รายนั้นไปหาข้อมูลให้ขิงแล้วร่ายยาวให้ฟังตอนทานข้าวเมื่อคืนนี้ นี่ขิงก็จำได้บ้างไม่ได้บ้างเหมือนกันค่ะ” อรอาภาพูดแล้วคลี่ยิ้มน่ารักให้กับแฟนหนุ่มพลางสอดสายตามองสิ่งของที่วางเรียงรายอยู่สองข้างทางเดินอย่างสนใจ

“หิวรึยังครับหรือว่าจะเดินดูของก่อน?”

“รู้สึกจะหิวแล้วเหมือนกันนะคะ สงสัยคงจะถึงเวลาแล้ว” อรอาภาเงยหน้าขึ้นบอกต่อพงษ์ ซึ่งเขาก็เห็นด้วยกับเธอเหมือนกัน มันไม่ใช่ถึงเวลาแต่มันเลยเวลาอาหารเช้ามาแล้วต่างหาก ทั้งคู่จึงเดินไปหาอาหารเช้าแล้วจากนั้นจึงเดินดูของในสนามบินที่ใหญ่โตและมีคนมากมายที่สุดแห่งหนึ่งของโลก

เมื่อถึงเวลานัดหมายทุกคนก็มาพร้อมกันที่จุดนัดพบตามที่ต่อพงษ์บอกเอาไว้ แล้วก็ขึ้นเครื่องบินเดินทางไปยังจุดหมายปลายทาง โดยระหว่างนี้ต่อพงษ์ได้เปลี่ยนที่นั่งมานั่งกับอรอาภา คุยกันตามประสาคนรักกัน โดยสร้างความอิจฉาให้กับแววดาวอย่างมาก แต่แววดาวไม่ได้ใส่ใจอะไรนัก เพราะนงนุชคุยกับเธอเป็นอันเข้าใจกันดีแล้วว่า คนที่จะมาเป็นสะใภ้ของพงศกรนั้น ต้องเป็นแววดาวเท่านั้นและไม่อยากให้เธอถือสาเรื่องของอรอาภา

แววดาวเองก็ไม่เคยคิดจะใส่ใจกับอดีตของต่อพงษ์อยู่แล้ว เพราะเธอเองก็ไม่ใช่สาวพรหมจรรย์อะไรการไปเรียนอยู่อังกฤษสี่ปีเธอเองก็ใช้ชีวิตอย่างที่ใจอยากมาตลอด เพียงแต่การพบหน้าต่อพงษ์นั้น เขาไม่ได้เข้ามาจีบเธออย่างโจ่งแจ้งเหมือนผู้ชายคนอื่น แต่เข้ามาทำเหมือนว่าต้องอ่านใจกันไปราวกับกับเล่นเกมส์สนุกๆ และยังออกตัวว่ามีคนรักอยู่แล้ว การที่ได้สิ่งของรวมถึงคนมาอย่างไม่ง่ายนัก มันจึงเป็นสิ่งท้าทายเสมอสำหรับแววดาว


รีโอเดอจาเนโร ประเทศบราซิล

สองทุ่มครึ่งตามเวลาท้องถิ่น ทุกคนออกจากสนามบินมาถึงโรงแรมโดยรถตู้ของโรงแรมที่ต่อพงษ์ติดต่อให้มารับที่สนามบิน จากสนามบินรีโอเดอจาเนโรถึงโรงแรมที่พักกลางเมืองใช้เวลาประมาณยี่สิบนาที ทุกคนมีท่าทางอิดโรย เพราะการเดินทางที่ยาวนาน ต้องนั่งอยู่บนเครื่องบินจากดูไบมาถึงที่นี่เป็นเวลาถึงสิบห้าชั่วโมง เวลาที่แตกต่างกันกับประเทศไทยถึงเก้าชั่วโมงทำให้เกิดอาการเจ็ตแล็กกันทุกคน ต่อพงษ์ส่งกุญแจห้องพักให้กับจักรินและมานะที่พักห้องเดียวกัน ส่วนนงนุช แววดาว ต่อพงษ์และอรอาภาต่างก็พักคนละห้องกันแต่ทุกห้องล้วนอยู่ชั้นเดียวกันทั้งสิ้น

“ขิงง่วงหรือว่าหิวไหมครับ?” ต่อพงษ์หันกลับมาถาม เมื่อกำลังเปิดประตูห้องพักของตนเองที่อยู่ตรงกันข้ามกับห้องของหญิงสาว

“ไม่ง่วงไม่หิวค่ะแต่เหนื่อยมากกว่า ถ้าได้อาบน้ำคงจะสดชื่นขึ้น พี่ต่อหิวเหรอคะ?” อรอาภาถามกลับ เธอเองไม่รู้สึกหิวนักเพราะทานอาหารบนเครื่องบินจนอิ่มแปล้

“เปล่าครับ พี่ถามดูเผื่อขิงจะหิว งั้นก็พักเถอะนะ พรุ่งนี้เช้าเจอกันที่ห้องอาหารชั้นล่างนะครับ” ต่อพงษ์ยิ้มให้แฟนสาวอย่างเอ็นดู นึกสงสารที่เห็นใบหน้าของเธอดูเซียวๆ ไปอย่างเห็นได้ชัด เธอคงเหนื่อยมากและเพิ่งจะเคยเดินทางออกนอกประเทศเป็นครั้งแรก ก็ต้องนั่งเครื่องบินนานเป็นวันเลยทีเดียว ชายหนุ่มปิดประตูห้องของตัวเองลงบ้างเมื่อเห็นแฟนสาวหายตัวเข้าไปหลังประตูบานใหญ่แล้ว


รุ่งเช้าอรอาภาต้องสวมเสื้อกันหนาวที่เตรียมมาอีกชั้นหนึ่งเพราะอากาศในช่วงเดือนมิถุนายนในรีโอเดอจาเนโรนี้ประมาณสิบแปดองศาตามนาฬิกาในห้องพักที่บอกทั้งวันเวลาและอุณหภูมิด้วย สำหรับคนขี้หนาวทั้งอยู่กรุงเทพยังไม่เคยได้สัมผัสอากาศหนาวอย่างอรอาภา อุณหภูมิประมาณนี้หญิงสาวจึงรู้สึกว่ามันเย็นๆ แต่นัดดาบอกว่าที่รีโอเดอจาเนโรนี้อากาศมักผันผวน เพราะเป็นเมืองชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติก จึงมีภูมิอากาศแบบร้อนชื้น ฤดูร้อนกับฤดูหนาวในตอนกลางวันหรือตอนบ่ายบริเวณชายฝั่งจึงแทบจะไม่แตกต่างกัน

“ขิงๆ ทางนี้ครับ” ต่อพงษ์ยกมือตนเองขึ้นให้อรอาภาได้เห็น เมื่อหญิงสาวเดินเข้ามาในห้องอาหาร

อรอาภายิ้มให้เพื่อนร่วมงานรุ่นพี่ทั้งสองและต่อพงษ์ที่นั่งอยู่ในห้องอาหารของโรงแรม “รอนานรึเปล่าคะ ขอโทษที่มาช้าค่ะ”

“พี่ไม่ได้นอนมากกว่าเลยลงมาเดินเล่นกับมานะ จะเจ็ตแล็กแบบนี้อีกกี่วันก็ไม่รู้ คุณขิงนอนหลับรึเปล่า?” จักรินถามไปบ่นไปด้วยตอนกลางคืนนอนไม่หลับ แต่ตอนนี้กลับง่วงเหงาหาวนอนจนน้ำตาไหล

“เพิ่งหลับตอนตีสองนี่เองค่ะ ถ้าไม่ตั้งนาฬิกาปลุกก็คงไม่ตื่นเหมือนกันค่ะ” อรอาภาตอบพร้อมมองดูสีหน้าซีดเซียวของจักริน

“เดี๋ยวผมจะไปชงกาแฟดำมาให้ รอเดี๋ยวนะครับ” มานะอาสาพร้อมลุกออกไปจากโต๊ะอาหาร กาแฟดำขมๆ คงช่วยให้หายวิงเวียนได้บ้าง

“ขิงยังเพลียอยู่ไหม?” ต่อพงษ์ถามอรอาภา

“ก็นิดหน่อยค่ะ” หญิงสาวตอบยิ้มๆ พลางบุ้ยปากไปที่จักรินที่อาการน่าเป็นห่วงกว่าเธออยู่มาก

ไม่นานนักมานะก็วางถาดที่มีแก้วกาแฟมาสี่ใบลงบนโต๊ะพร้อมกับยกแก้วกาแฟให้อรอาภาก่อนเป็นการให้เกียรติสุภาพสตรี

“ขอบคุณค่ะ” อรอาภากล่าวขอบคุณมานะพลางหันมาถามต่อพงษ์ “แล้ววันนี้เราจะไปที่ไหนก่อนคะ?”

“วันนี้เราคงต้องไปกันสี่คนเพราะคุณแม่กับคุณดาวบอกว่าไปด้วยไม่ไหวขอพักสักวัน พี่นัดกับมิสเตอร์ดีเกาไว้ที่ คิงส์ ออฟ เจมส์ ตอนสิบโมงเช้าเดี๋ยวเรากินอาหารเช้าเสร็จแล้วรถโรงแรมจะไปส่ง” ต่อพงษ์กำลังพูดถึงโชว์รูมเพชรที่มาจากเหมืองเพชรของตระกูลโอลีเวย์ล่า พวกเขาจะเจียระไนแร่คาร์บอนที่คนทั่วไปเรียกว่าเพชรเข้ามาขายให้กับคนทั่วโลกในนามเพชรของ คิงส์ ออฟ เจมส์ ราชาแห่งอัญมณีที่โด่งดังไปทั่วโลก

“ไกลจากที่นี่ไหมคะ?” อรอาภาถามเพราะมองเวลาจากนาฬิกาบนข้อมือของตนเองก็เกือบจะแปดโมงครึ่งแล้ว

“เห็นเขาบอกว่าไม่เกินสามสิบนาทีก็ถึงนะ พี่เองก็จับใจความได้เท่านี้เพราะคนขับรถพูดอังกฤษสำเนียงโปรตุกีสนี่ฟังยากมาก” ต่อพงษ์บอก ที่เป็นเช่นนี้เพราะชาวบราซิลใช้ภาษาโปรตุเกสเป็นภาษาทางราชการ นอกจากนั้นก็ยังมีภาษาสเปน อิตาเลียน ฝรั่งเศสลดหลั่นกันไป แต่ตามเมืองใหญ่ๆ ผู้คนก็มีความรู้ภาษาอังกฤษอยู่พอสมควร “พี่ก็ลืมให้ขิงมาคุยกับเขาจะได้เข้าใจมากขึ้น”

“นี่คุณขิงพูดโปรตุเกสได้ด้วยเหรอครับ? เก่งจังเลย!” มานะอุทานทึ่งในความสามารถของผู้หญิงตัวเล็กตรงหน้า

“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกค่ะ แค่รู้คำศัพท์ไม่กี่คำเท่านั้นเอง” อรอาภาบอก “ไปกันเลยไหมคะ” อรอาภาเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นทุกคนลามือจากอาหารของตนได้สักพักแล้ว พร้อมกันทยอยเดินออกมาจากห้องอาหารมาที่หน้าฟร้อนท์ของโรงแรม

“ขิง พี่ว่าเราน่าจะให้เขาหาไกด์นำเที่ยวให้สักคนนะ จ้างเป็นวันๆไป ไหนๆก็มาถึงที่นี่แล้วดีกว่าจะนั่งมองถนนหนทางแบบที่ไม่รู้เรื่องอะไร” ต่อพงษ์ว่าและทุกคนก็เห็นด้วย อรอาภาจึงเดินเข้าไปบอกความต้องการของตนเองกับพนักงานของโรงแรม
ต่อพงษ์ จักรินและมานะ มองท่าทางยิ้มแย้มพร้อมฟังภาษาโปรตุกีสสำเนียงน่าฟังของอรอาภาอย่างชื่นชม สำเนียงที่ไม่แข็งกระด้างเหมือนเจ้าของภาษา แล้วยังทำให้คู่สนทนาเต็มใจให้บริการมากขึ้น เมื่อนักท่องเที่ยวพูดภาษาท้องถิ่นของตนเองได้ ไม่นานนักทั้งหมดก็ได้ไกด์นำเที่ยวเป็นหญิงชาวบราซิลผิวสีเข้มเล็กน้อยวัยสามสิบห้าปี มานั่งอธิบายเส้นทางอยู่บนรถตู้ที่นั่งจากโรงแรมมุ่งหน้าสู่ คิงส์ ออฟ เจมส์


“Bom dia (บ๊อง เซีย) หรือสวัสดีตอนเช้านะคะ ขออนุญาตทักทายแบบชาวบราซิลที่ใช้ภาษาโปรตุกีสเป็นภาษาทางการ ดิฉันเอย่าทำหน้าที่เป็นไกด์นำทุกท่านเที่ยวค่ะ” เอย่าสาวบราซิลเลี่ยนแนะนำตัวทันทีที่รถค่อยๆ เคลื่อนตัวออกจากโรงแรมสู่ท้องถนน

“เราอยู่ที่รีโอเดอจาเนโร หรือจะเรียกสั้นๆ ว่ารีโอก็ได้ค่ะหรือส่วนใหญ่ชาวบราซิลจะออกเสียงว่าฮีโอ เป็นเมืองชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติกใต้ ที่มีชายหาดเป็นรูปเสี้ยวจันทร์ ชาวโปรตุเกสเดินทางมาถึงดินแดนแห่งนี้คิดว่ารีโอคือปากแม่น้ำ จึงตั้งชื่อให้ว่า รีโอเดอจาเนโรหรือแม่น้ำมกราคมแต่ความจริงแล้วปากแม่น้ำขนาดใหญ่ที่พวกเขาเข้าใจนั้นมันคือปากอ่าวมหาสมุทรที่ชนพื้นเมืองเรียกว่า ‘กวานาบารา’ แปลว่าอ่าวแห่งท้องทะเล แต่ก่อนรีโอเคยเป็นเมืองหลวงของบราซิลแต่ตอนนี้เมืองหลวงของบราซิลคือบราซิลเลียนะคะ จึงไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมแต่ละปีถึงมีนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกหลั่งไหลเข้ามาในรีโอ เพราะรีโอคือศูนย์กลางเศรษฐกิจ ศูนย์กลางบัญชาการของสาธารณรัฐ เทศกาลคานิวัลอันสนุกสนาน อาหารอร่อย ชายหาดและเมืองแห่งบิกินี่”

คำพูดสุดท้ายของเอย่าเรียกเสียงหัวเราะให้หนุ่มๆ ที่ฟังอย่างตั้งใจทุกคน

“จริงๆ นะคะ อย่างเซญอริน่า2อรอาภานี่ เป็นสาวในฝันของหนุ่มบราซิลก็ว่าได้ เพราะหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวกระจ่าง สาวๆ บราซิลส่วนมากอยากมีผิวขาวสวยหุ่นดีเหมือนจีเซล บุนเซนด์นางแบบดังระดับโลกกันทั้งนั้นล่ะค่ะ”

“อย่าเปรียบดิฉันขนาดนั้นเลยค่ะ อายแย่เลย” อรอาภาว่า

ไกด์สาวยิ้มพร้อมพูดต่อ “และอีกสถานที่หนึ่งที่ทำชื่อเสียงและรายได้ให้บราซิลอย่างมหาศาลคงจะหนีไม่พ้น คิงส์ ออฟ เจมส์ ศูนย์กลางแสดงอัญมณีที่ใหญ่มีค่ามากที่สุดในโลกที่พวกเรากำลังจะไป เจ้าของคือเซญอร์ฟาเบียโน่เป็นหนุ่มโสดในฝันของสาวๆ ทั่วโลกเลยค่ะ แต่บอกไว้ก่อนว่าเขาเป็นตัวอันตราย ผู้หญิงสวยมักจะแพ้เสน่ห์ของเขาแต่ยังไม่เคยมีใครมัดใจเซญอร์ฟาเบียโน่ไว้ได้สักคนค่ะ”

“ก็คงหล่อ รวย เอาแต่ใจ นิสัยไม่ดี อันตรายตามนิยามของคนรวยนั่นแหละ ผู้หญิงน่ะไม่เคยชอบผู้ชายดีๆ อย่างฉันหรอก!” จักรินหันมาพูดกับมานะ

“พูดเหมือนอิจฉา!!” มานะว่าให้เพื่อน แล้วต้องหันกลับมาฟังเอย่าต่อ

“ข้างหน้าเป็นศูนย์แสดงเครื่องเพชรและทองคำของ คิงส์ ออฟ เจมส์ นะคะ ทุกท่านต้องมีรายชื่อที่จะเข้าชมที่ติดต่อไว้ก่อนล่วงหน้าถึงจะเข้าชมได้ และดิฉันซึ่งไม่ได้ติดต่อไว้จึงต้องรอพวกคุณอยู่ด้านนอกนะคะ ถ้าเสร็จแล้วก็โทรหาดิฉันได้ ดิฉันจะมารอรับที่นี่นะคะ” เอย่าบอกพร้อมกับแจกนามบัตรใบเล็กๆ ของตนเองไว้กับทุกคน

สามหนุ่มกับหนึ่งสาวถึงกับอ้าปากค้าง!! เมื่อมองเห็นสถาปัตยกรรมอันน่าพิศวงตรงหน้า อาคารที่ใช้กระจกมาหักมุมตามองศาการเจียระไนของเพชร ทั้งยังเลียนแบบรูปร่างเพรชร่วงสองเม็ดมหึมาตั้งซ้อนกันเด่นเป็นสง่าอยู่ท่ามกลางสนามหญ้าสีเขียวขจี ตัวหนังสือภาษาอังกฤษว่า ‘KING OF GEMS’ ที่วางเรียงอยู่ด้านหน้าแต่ละตัวอักษรสูงประมาณสองเมตรได้ เมื่อชื่นชมกับความแปลกตาด้านนอกเต็มอิ่มแล้วก็พากันเดินเข้าไปด้านใน ที่มีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยร่างยักษ์ยืนดูแลให้ผู้ที่ประสงค์เข้าชมด้านในเดินผ่านจุดเอกซ์เรย์ราวกับกำลังจะขึ้นเครื่องบิน

ต่อพงษ์ อรอาภา จักรินและมานะผ่านขั้นตอนตรวจอย่างเข้มงวดนั้นอย่างไม่ยากนัก ไม่นานสาวผิวสีน้ำผึ้งเข้มคนหนึ่งเดินนำพวกเขาเดินผ่านตู้โชว์เพชรแทบจะทุกเฉดสีที่มีอยู่บนโลกใบนี้ วางเรียงรายตามทางเดินราวกับเป็นของธรรมดา ทั้งที่ราคาของมันรวมกันแล้วแทบจะประเมินค่าไม่ได้

“นั่งรอสักครู่นะคะ ตอนนี้เหลืออีกสิบห้านาทีจะถึงเวลาที่นัดหมายเอาไว้ ระหว่างนี้ทุกท่านเดินชมของที่แสดงโชว์ได้ตามสบาย ยกเว้นโซนด้านหลังนี้นะคะ” สาวสวยบอกอย่างยิ้มแย้มอัธยาศัยดีตามนิสัยของชาวบราซิลแล้วเดินจากไป


ห้องทำงานของฟาเบียโน่ ลูอิส โดส ซานโตส โอลีเวย์ร่า

ฟาเบียโน่กำลังมองชายสามคนและหญิงหนึ่งคน ตั้งแต่เดินเข้ามาในอาณาจักรของเขาเมื่อสิบห้านาทีที่ผ่านมาทางจอสมาร์ททีวีที่ต่อพ่วงกับกล้องวงจรปิดอย่างสังเกตพฤติกรรมของทุกคน

“พวกเขามากันแล้วครับท่าน” ดีเกาเลขามือขวารายงานเจ้านาย และต้องเงียบเสียงแทบทันทีเมื่อเห็นสายตาเฉียบคมของท่านมองสิ่งที่ตัวเองรายงานอยู่ ถือเป็นเรื่องซ้ำซากแบบที่ไม่น่าเกิดขึ้น

“ให้ใครไปคุยกับพวกเขาก็แล้วกัน อีกครึ่งชั่วโมงฉันต้องออกไปพบลูกค้าที่มาจากตะวันออกกลาง” ฟาเบียโน่บอก เขาจะพบลูกค้าที่สั่งซื้อเพชรจากเขาล็อตใหญ่ๆ เท่านั้น

“ครับท่าน” ดีเการับคำเจ้านายพร้อมถอยหลังออกจากห้องทำงาน

เมื่อชั่วโมงที่แล้วมิสซิสนงนุช พงศกรต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการที่จะได้คุยโทรศัพท์กับเขา โดยอาศัยลูกค้าประจำของเขารายหนึ่งซึ่งอยู่ในอังกฤษต่อสายให้ และฟาเบียโน่ต้องทนฟังเรื่องบ้าๆ ของเธออยู่เกือบสิบห้านาทีกว่าจะวางสายลงได้ และยิ่งงงงวยไปกันใหญ่เมื่อได้เห็นผู้หญิงตัวเล็กๆ หุ่นอ้อนแอ้นอย่างนี้น่ะเหรอ? ที่จะหาเลี้ยงชีพโดยการเอาตัวเองเป็นเครื่องระบายอารมณ์ให้กับผู้ชาย!? ใบหน้ารูปหัวใจ อายุไม่น่าจะเกินยี่สิบปีด้วยซ้ำ ท่าทางเธอดูไร้เดียงสามากกว่าที่จะคิดออกว่าเธอเร่าร้อนจริงหรือเมื่ออยู่บนเตียง!!?

‘ดิฉันอยากให้คุณรับผู้หญิงคนนี้ไว้ เธอสวยใช่เล่นคงทำให้สนุกได้หลายเดือนเลยทีเดียวหรือบางทีหล่อนอาจจะช่วยคุณ

ออกแบบเครื่องประดับด้วยก็ได้ ฝีมือก็อยู่ในขั้นเยี่ยมเชียวล่ะ’ นงนุชส่งเสียงมาตามสายโทรศัพท์

‘ผมเข้าใจว่าคุณกำลังพูดถึงอะไรอยู่ แต่ไม่เข้าใจว่าคุณคิดอะไรอยู่ถึงเอาผู้หญิงเหลือๆ ของลูกชายมาเสนอให้คนแบบผมกัน คนอย่างผมไม่เคยขาดแคลนผู้หญิงสวยหรือถ้าจะเป็นเหตุผลอย่างหลัง ผมก็ไม่เคยจ้างดีไซเนอร์ไม่มีชื่อ’ ฟาเบียโน่ผู้ชายโอหังบอกเสียงเรียบ

‘ดิฉันเข้าใจดีค่ะ แต่อยากขอความเห็นใจจากคุณ ลูกชายของฉันตามมารยาผู้หญิงคนนั้นไม่ทัน เราไม่มีเงินมากพอให้ผู้หญิงกำพร้าไร้ญาติขาดมิตร มีแต่ตัวมาปลอกลอกอะไรอีก เท่าที่ลูกชายของฉันส่งเสียให้เธอได้เล่าเรียนจนจบมีงานการทำอย่างดีก็มากพอแล้ว’

‘ถ้าเพียงแค่ผู้หญิงคนเดียวพวกคุณไม่มีปัญญาเลี้ยง แล้วจะมีเงินที่ไหนมาทำธุรกิจกับผม ผมรับเฉพาะเงินสดเท่านั้นนะ’ ฟาเบียโน่บอกเสียงเหยียดๆ

‘เรามีเงินพอที่จะซื้อของๆ คุณแน่ค่ะ แต่เราคงรวยไม่เท่าคุณที่จะให้ผู้หญิงมีแต่ตัวมาร่วมวงศ์ตระกูล ลูกชายของฉันมีคนที่เหมาะสมรอเขาอยู่แล้ว แต่ติดอยู่ที่หล่อนเท่านั้น ดิฉันอยากให้คุณคิดดูอีกทีก่อน เห็นหน้าหล่อนแล้วค่อยตัดสินใจก็ได้ค่ะ ดิฉันยังอยู่ที่รีโออีกหลายวัน’

ฟาเบียโน่หัวเราะหึๆ ในลำคอ ไม่เคยคิดว่าจะได้ยินเรื่องงี่เง่าแบบนี้ตั้งแต่ตอนเช้า! ‘ทำไมต้องเป็นผมล่ะ!?’

‘ยังไงเสียหล่อนก็เคยทำประโยชน์ให้ฉันอยู่บ้าง ดิฉันรู้ว่าคุณร่ำรวยพอที่จะไม่ปล่อยให้ผู้หญิงที่เคยรับใช้คุณลำบาก ถ้าวันไหนที่คุณมีเซญอร่าตัวจริง’

ฟาเบียโน่ไม่รู้ว่าถ้าผู้หญิงคนนั้นได้ยินจะดีใจหรือเสียใจดี!!? ‘ถ้าธุระของคุณมีเท่านี้ ผมขอวางสายก็แล้วกัน’

ฟาเบียโน่แค่นยิ้มออกมา เมื่อผู้หญิงคนที่กำลังเป็นประเด็นกำลังชื่นชมเพชรหายากที่จัดแสดงไว้ด้วยสายตาเทิดทูนอย่างไม่ปิดบัง! เธอยังชี้ไปที่ตู้นั้นตู้นี้ให้ผู้ชายอีกคนดูอย่างกระตือรือร้น มีความสุขจริงแม่คุ๊ณ!! ไม่รู้หรืออย่างไรว่ามีคนรังเกียจตัวเองขนาดนี้

ฟาเบียโน่เกลียดที่สุดคือพวกเหยียดสีผิวและแบ่งชนชั้น! อย่างมิสซิสนงนุช พงศกร ซึ่งมีอยู่มากในบราซิลเพราะเป็นประเทศที่มีชนพื้นเมืองมากที่สุดในโลกก็ว่าได้ ทั้งยังมีชาวยุโรปอพยพมาอยู่หลายชาติด้วยกัน การรวมผสมระหว่างชนพื้นเมืองและชาวยุโรปจึงเกิดขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้ ความแตกต่างระหว่างฐานะของคนในสังคมก็เป็นปัญหาที่เขาต้องแก้ไขมาเป็นรุ่นที่สามต่อจากรุ่นของบิดาให้มันลดน้อยลงและหวังว่ามันจะหมดสิ้นไปสักวัน!

สิ่งที่เกลียดที่สุดคือคนที่ถูกเหยียดหยามแล้วยังไม่รู้จักรักษาเกียรติ รักษาศักดิ์ศรีของตน ปล่อยให้คนอื่นย่ำยีได้ง่ายๆ พ่อค้าเพชรหนุ่มใหญ่สลัดความคิดทั้งหลายออกจากสมองของตนเอง เมื่อใกล้ถึงเวลาที่เขาต้องออกไปพบกับคู้ค้าชาวตะวันออกกลาง


หนุ่มสาวทั้งสี่คนจากเมืองไทยต้องหันหลังกลับไปเมื่อพนักงานที่อยู่ในชุดสูทสีดำทั้งชายหญิงหยุดชะงักการปฏิบัติงานของตนเอง แล้วหันมาโค้งคำนับให้กับใครคนหนึ่งราวกับแสดงความเคารพต่อประธานาธิบดี!!

อรอาภาอ้าปากค้าง! แล้วก็ต้องขบฟันกับริมฝีปากล่างของตัวเองอย่างเจ็บใจ เมื่อเห็นสายตาของผู้ชายร่างสูงใหญ่ที่อยู่ในสูทสีเทาทั้งชุดเดินออกมาอย่างสง่าผ่าเผย ทั้งยังมีผู้ชายร่างยักษ์ที่เดาได้ง่ายว่าคงเป็นบอดี้การ์ดเดินตามหลังอยู่สองสามคน สายตาที่ทำให้อรอาภาต้องมองกลับตาเขียวปั๊ด! อย่างไม่ยอมเช่นกันคือสายตาคมกริบที่มองเธอเหยียดๆ ราวกับโกรธกันมาสักร้อยชาติ!!! เหมือนกับเธอกำลังเสนอตัวเองให้เขาโดยที่เขาไม่อยากแม้แต่จะชายตามอง เขายังเหยียดยิ้มที่มุมปากอย่างดูแคลนสุดๆให้อีก ก่อนที่จะเดินผ่านหน้าไป แล้วตามด้วยเสียงของพนักงานทั้งหมดที่เรียกเขาว่า “เซญอร์ฟาเบียโน่” แล้วทุกคนก็หันกลับมาทำงานของตัวเองที่ค้างอยู่ต่อทันที

อรอาภาเหมือนโดนตบหน้าจนชาไปเลย เมื่อเจอกับสายตาเหยียดหยามแบบเปิดเผยนั่นเข้า! จนเขาเดินหายตัวไปแล้วสักครู่ ความรู้สึกแย่ๆ นั่นยังหลงเหลือรายล้อมอยู่รอบตัว ขนาดต่อพงษ์ที่ยืนอยู่ข้างๆ หญิงสาวเองก็ยังรู้สึกได้จนต้องกล่าวปลอบใจไม่ให้หญิงสาวคิดมาก

“เขาคงมองคนอื่นด้วยสายตาแบบนี้จนชินแล้ว ขิงก็อย่าไปถือสาเขาเลยนะ” ต่อพงษ์ลูบแขนบางอย่างเห็นใจ

“ไม่น่าเชื่อนะคะ ว่าคนที่ใช้สายตาดูถูกมองคนอื่นแบบนี้จะทำธุรกิจจนร่ำรวยมหาศาลแบบนี้ได้! ไม่ยุติธรรมจริงๆ” อรอาภาเปรยขึ้นมาแล้วหันไปสนใจกับความงามของอัญมณีต่อ แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าของทุกชิ้น และที่ที่เธอเหยียบอยู่นี่มันเป็นของๆ ผู้ชายคนนั้นก็พลอยหมดอารมณ์ไปทันที อคติที่คิดว่าฝังกลบไว้ในใจเป็นอย่างดีก็ผุดโผล่ขึ้นมารวดเร็วจนต้องนั่งลงหลับตาทำใจอยู่เป็นนาน



ศิริพารา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 7 พ.ค. 2558, 20:23:23 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 7 พ.ค. 2558, 20:23:23 น.

จำนวนการเข้าชม : 1122





<< ตอนที่ 1 100%   ตอนที่ 3 100% >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account