คิวปิด...ตัวกวนป่วนรัก
เมื่อเทพคิวปิดถูกลดหน้าที่ให้เป็นแค่ ‘เทพเบ๊’ คิวปิดสาวจึงเร่งปฎิบัติกอบกู้ศักดิ์ศรี แต่ดันแผลงศรพลาด ทำให้ว่าที่เจ้าบ่าวตกหลุมรัก ‘พี่ชาย’ ของสาวคนรัก เรื่องป่วนๆ จึงเริ่มขึ้น !
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: ตอน 7
“ที่นี่ที่ไหนคะ แล้วคุณพี่รักพาฉันมาที่นี่ทำไม” เซเลน่าถามขณะสาวเท้าตามชายหนุ่ม หลังจากลงจากรถในลานจอดของตึกสูงใหญ่ซึ่งตั้งอยู่ใจกลางกรุงเทพมหานคร
เซเลน่าไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น หล่อนเล่นอยู่กับเจ้าลักกี้ดีๆ เขาก็เดินมาเรียกหล่อนขึ้นยานพาหนะ แล้วขับพามาที่นี่ โดยไม่พูดอะไรสักคำมาตลอดทาง แต่จากวงหน้าคมที่เครียดตึง กรามขบเป็นนูนสูงตลอดเวลา บ่งบอกว่าชายหนุ่มกำลังโมโหอะไรสักอย่างสุดขีด เซเลน่าอยากรู้ว่าคือเรื่องอะไรที่ทำให้เขาโมโหได้มากเช่นนี้ เพราะขนาดหล่อนทำจานกินข้าวแตก เขายังไม่โมโหเลย
“ผมมีธุระ” เขาตอบเสียงนิ่ง
“ธุระของคุณ มันไม่เกี่ยวกับฉันสักหน่อย คุณจะพาฉันมาด้วยทำไม”
รักษิตไม่ตอบคำถามนั้น หากก้าวฉับๆ นำเข้าไปในตัวตึกสูงระฟ้า...สิ่งประดิษฐ์อันน่าทึ่งอีกหนึ่งอย่างของมนุษย์
ถึงจะสงสัยใน ‘ธุระ’ ของชายหนุ่ม หากก็ยังไม่มากไปกว่าความตื่นเต้นที่ได้เข้ามาภายใน ‘วิหารทรงสูง’ของมนุษย์ เซเลน่ากวาดสายตาสำรองมองไปรอบบริเวณขณะก้าวตามรักษิต จนกระทั่งมาถึงลิฟต์โดยสารที่ประตูเพิ่งเปิด ด้วยกังวลเรื่องธุระ และความเคยชินที่เคยไปไหนมาไหนคนเดียว ทำให้รักษิตเดินเกาะกลุ่มตามพนักงานออฟฟิศชายหญิงหลายคนทยอยเข้าไปยืนเบียดเสียดอยู่ภายในจนแทบจะไม่มีที่ให้ยืน หลงลืมเซเลน่าที่กำลังก้าวขา ถอยหน้าถอยหลังอย่างละล้าละลัง ไม่แน่ใจว่าควรจะเข้าไปอีกไหม
“คุณพี่รัก ฉันเข้าไปได้ไหม”
รักษิตถึงนึกขึ้นได้ว่าเขาไม่ได้มาคนเดียว
“เอแคร์ !” เขาแทรกตัวออกจากกลุ่มคน แล้วฉุดมือหญิงสาวให้เข้าไปยืนเคียงข้างเขา ก่อนประตูลิฟต์จะปิดลง
“กรี๊ดดด !” เซเลน่าร้องเสียงดังลั่น ยกแขนโอบรอบตัวรักษิต สีหน้าตื่นตระหนกสุดขีด
“เกิดอะไรขึ้น ! ทำไมมันสั่นๆ โอ๊ยๆ”
“ไม่เป็นไรหรอก” รักษิตปลอบเสียงเบาด้วยความเกรงใจผู้อื่น
แต่อีกฝ่ายกลับเสียงดังเพราะความตื่นกลัว “ไม่เป็นไรได้ยังไง เนี่ย มันสั่นไม่หยุดเลย พวกคุณรู้สึกเหมือนฉันไหมคะ” เซเลน่าหันไปถามความเห็นของมนุษย์อื่นที่กำลังมองหล่อนพร้อมรอยยิ้มบางๆ ตลกท่าทางดู ‘เปิ่น’ ของหญิงสาวสวย
“เอแคร์ ผมบอกไม่เป็นไรก็ไม่เป็นไรสิ” รักษิตกระซิบบอกหญิงสาว และโอบกอดร่างบางกลับ หวังช่วยปลอบประโลมหญิงสาวความจำเสื่อม หากมันทำให้เขารู้ว่าการได้กอดใครสักคน แม้เป็นแค่เวลาสั้นๆ ก็สามารถช่วยให้อารมณ์โมโห เดือดดาลในใจ เบาบางลงได้อย่างน่าประหลาด
‘เมื่อสติมา ปัญญาก็เกิด’...รักษิตนึกขอบคุณหญิงสาวที่ช่วยให้สติเขากลับคืนมาอีกครั้ง แม้อีกฝ่ายจะไม่ได้ตั้งใจก็ตาม เขาจึงทันได้คิด...ว่าการจะต่อกรกับเจ้าของบริษัทผลิตการ์ตูนเอนิเมชั่นรายใหญ่ของเมืองไทยอย่างนายเก่งฉกาจที่ ‘เก่ง’ เรื่องก๊อปปี้งานคนอื่นนั้นจะใช้อารมณ์ไม่ได้
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ทันทีที่ประตูลิฟต์เปิดออกอีกครั้ง รักษิตก็จูงมือหญิงสาวก้าวออกไป เดินผ่านประตูกระจกใสที่มีป้ายบริษัทเขียนว่า “กู๊ดฟิวคอมมิค” ติดเอาไว้ด้านหน้า
เข้าไปด้านในรักษิตก็พาเซเลน่าเดินผ่านกลุ่มพนักงานของบริษัทจำนวนกว่ายี่สิบคนที่นั่งก้มหน้าวาดการ์ตูนอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ แทบจะไม่มีใครสนใจการมาแบบกะทันหันของรักษิต
“ยืนรอผมตรงนี้นะ อย่าไปไหนเด็ดขาด” รักษิตสั่งเสียงเข้ม เมื่อมาถึงหน้าประตูไม้ขนาดใหญ่
“แล้วคุณพี่รักจะไปไหนล่ะคะ” อีกฝ่ายถามกลับ
“ผมจะเข้าไปทำธุระ รับปากผมนะว่าจะไม่ไปไหน”
“ค่ะ” พอฝ่ายหญิงรับคำ เขาก็ผลักประตูเข้าไปด้านในทันที
“อ้าว...คุณรัก ลมอะไรพัดมาถึงนี่ครับเนี่ย” ชายหนุ่มรูปร่างท้วมซึ่งนั่งอยู่หลังโต๊ะไม้ขนาดใหญ่เอ่ยทัก ทว่าสีหน้าของเขาไม่ได้แสดงออกว่าประหลาดใจต่อการมาของอีกฝ่ายอย่างคำพูด ราวกับรู้อยู่แล้วว่าสักวันรักษิตจะต้องมาปรากฏตัวที่นี่
“คุณเก่งก็รู้ดีว่าผมมาที่นี่ทำไม” รักษิตเอ่ยเสียงราบเรียบทว่าทรงพลัง
“ผมไม่รู้จริงๆ เอ๊...หรือว่าคุณรักเปลี่ยนใจอยากกลับมาร่วมงานกับผม” เก่งฉกาจเอนหลังพิงกับพนักเก้าอี้เบาะหนัง หมุนปากกาลูกลื่นในมือ สีหน้ายียวนอย่างที่รักษิตนึกภาพไม่ออกเลย ว่าถ้าความโมโหของเขาไม่มอดลงก่อนจะเข้ามาในนี้...อะไรจะเกิดขึ้น
“อย่าดีกว่า คุณเก่งก็รู้ว่าทัศนคติเรื่องงานเราไม่เคยตรงกัน” รักษิตเคยทำงานให้บริษัทนี้ที่มาจ้างเขาวาดการ์ตูนประกอบหนังสืออยู่ช่วงหนึ่ง แต่ก็ต้องเลิกรากันไป เพราะรักษิตรับไม่ได้ที่มักจะมี ‘ใบสั่ง’ จากเจ้าของบริษัทว่าให้ลอกเลียนงานของหนังสือเล่มที่กำลังได้รับความนิยมอยู่ในขณะนั้น
“นั่นสินะ ผมลืมไป แต่ถ้าวันหนึ่ง คุณรักนึกอยากเปลี่ยนใจขึ้นมา ที่นี่ต้อนรับคุณเสมอนะครับ มาเข้าเรื่องของเราดีกว่า ตกลงว่าคุณรักมาที่นี่ทำไม” แม้จะรู้อยู่แก่ใจ แต่คนอย่างนายเก่งฉกาจจะไม่มีวันเป็นฝ่ายเริ่มพูดสิ่งไม่ดีที่ตัวเองทำ
“มีคนบอกว่าบริษัทของคุณก๊อปปี้งานที่ผมเอาไปเสนอให้ช่อง”
รักษิตรู้เรื่องนี้จากพลอยชมพูที่โทรศัพท์มาบอกว่าบริษัทของนายเก่งฉกาจเพิ่งจะใช้เส้นสายขอแทรกคิวมาพรีเซนต์การ์ตูนเกี่ยวกับแมวยอดคุณธรรมเหมือนเรื่องของเขาทุกประการ เว้นเพียงแต่ว่าแมวของรักษิตเป็นสีดำชื่อ ‘นิล’ ส่วนแมวของบริษัทนายเก่งฉกาจมีสีขาวล้วน ชื่อว่า ‘ขาวปลอด’ และทางผู้ใหญ่ของช่องก็มีท่าทางสนใจมากๆ ด้วย เรียกได้ว่าเป็นตัวเก็งที่จะได้รับอนุมัติเลยทีเดียว
“และมันคงไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่ๆ ที่การ์ตูนเรื่องที่คุณเอาไปเสนอช่อง มันเหมือนเรื่องนิลที่ผมกำลังจะเข้าไปพรีเซนต์...เป๊ะ” ชายหนุ่มจงใจเน้นคำสุดท้าย
“คุณรักษิต...” เขาลากเสียงยาว “ให้ความยุติธรรมกับผมหน่อยสิ ผมจะไปก๊อปปี้งานคุณได้ยังไง ผมยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าคุณเสนอเรื่องอะไร”
ใครๆ ก็รู้ว่านายเก่งฉกาจมีเส้นสายอยู่ทุกหนทุกแห่ง ฉะนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่เขาจะรู้ความลับของคู่แข่งได้อย่างง่ายดาย แต่คงไม่ใช่เรื่องแปลกเช่นกันที่คนอย่างนายเก่งฉกาจจะไม่ยอมรับ ฉะนั้นจึงป่วยกายที่จะคาดคั้นความจริงจากปากของเขา
“คุณรู้แก่ใจดีว่าคุณทำอะไร คุณไม่เคยรู้สึกอายตัวเองบ้างหรือไง”
ใบหน้าอูมตึง ดวงตาเล็กหยีพราวระยับ หากพริบตาเขาก็สามารถซ่อนความรู้สึกไม่พอใจเอาไว้ได้ภายใน ก่อนลุกขึ้น เดินอ้อมโต๊ะตัวใหญ่มายืนตรงหน้าชายหนุ่ม
“คุณรักษิต คุณต้องเข้าใจอย่างหนึ่งนะ สมัยนี้พล็อตเรื่องทั้งนิยาย ละคร หนังหรืออะไรก็แล้วแต่ มันไม่มีอะไรใหม่แล้ว เรื่องมันก็วนๆ กันอยู่ เพราะฉะนั้นมันก็มีโอกาสเป็นไปได้ที่เราจะบังเอิญใจตรงกัน” เก่งฉกาจยิ้มยียวน วางมือบนไหล่ของหนุ่มร่างสูง
ทันใดนั้นก็รู้สึกเหมือนโดนตีมืออย่างแรง “โอ๊ย !”
เก่งฉกาจชักมือออกจากบ่ากว้าง สะบัดมืออวบเร่าๆ สายตาจ้องไปที่หัวไหล่ของรักษิตหาต้นเหตุของอาการเจ็บมือ หากไม่เห็นสิ่งใดนอกจากสายตาคมกริบของอีกฝ่ายที่กำลังมองมาอย่างแปลกใจ เก่งฉกาจจึงต้องรีบวางมาดเหมือนเดิม
“เอาเป็นว่าผมยืนยันก็ว่าผมไม่ได้ก๊อปปี้งานคุณ แต่ถ้าคุณไม่พอใจก็หาหลักฐานไปฟ้องเอาก็แล้วกัน”
“คุณนี่ไม่มีความเป็นลูกผู้ชายเลยสักนิด”
“คุณต่างหากที่ไม่มี ! คุณคงรู้ตัวว่าจะชวดงานนี้สินะ ถึงพาลหาเรื่องคนอื่น ผมเคยบอกคุณแล้ว ว่าถึงคุณจะมีชื่อเสียงในวงการการ์ตูน แต่ถ้าเป็นเรื่องระดับผลิตการ์ตูนแบบมืออาชีพล่ะก็ คุณอย่าแข่งกับผมให้เสียเวลาเลย เพราะยังไงคุณก็ไม่มีวันชนะผมหรอก” เก่งฉกาจหวังจะได้เห็นอีกฝ่ายโกรธ หากผิดคาด เพราะสีหน้าของรักษิตยังคงราบเรียบ
“ผมไม่เคยคิดแข่งงานกับใคร โดยเฉพาะกับคนอื่นที่บัญญัติคำว่า ก๊อปปี้งานคนอื่น เอาไว้ในคำว่ามืออาชีพ”
“คุณรัก !”
“ถ้าคุณยืนยันว่าไม่ได้ก๊อปปี้งานผม ผมก็จะถือซะว่าผมโชคร้ายที่บังเอิญใจตรงกับคุณก็แล้วกัน แ แล้วคนอย่างคุณที่ยังไม่รู้จักคำว่าผิดชอบชั่วดี แต่จะไปทำการ์ตูนสอนคุณธรรมให้เด็กๆ ดู แค่คิดผมก็ตลกแล้ว” พูดจบรักษิตก็หันหลังเปิดประตูออกไป
เก่งฉกาจขบกรามแน่น หน้าแดงอย่างโกรธจัด
“ปากดีไปเถอะไอ้เด็กเมื่อวานซืน ถ้าแกไปเสนองานที่ไหน ฉันจะตามราวีไปทุกที่เลย คอยดู โอ๊ย !” ร้องและหันหน้าขวับไปด้านหนึ่งคล้ายถูกตบปาก ทำเอาบริเวณปากชาไปหมด
“อะไรวะเนี่ย”
เขาคลำปากป้อยๆ พลางกวาดสายตาหาสาเหตุของอาการประหลาด แล้วจู่ๆ ตุ๊กตาเซเลอร์มูนตัวสูงขนาดเท่าแท่งปากกาซึ่งตั้งอยู่ข้างคอมพิวเตอร์ ค่อยๆ ขยับ สะบัดกระโปรงไปมาราวกับมันมีชีวิต แล้วลอยขึ้นในอากาศและร้องเพลง
“ลั่นล้าๆๆ”
ดวงตาเล็กหยีของเก่งฉกาจเบิกโพลง ขาสั่นแหง่กๆ ไม่สามารถขยับไปไหนได้ เส้นผมบนศีรษะพร้อมใจกันตั้งอย่างพร้อมเพียง พลันใบหน้าของตุ๊กตาหญิงสาวก็หันขวับมาทางเขา แขนข้างหนึ่งเท้าสะเอว ส่วนอีกข้างชี้หน้าคนผมตั้ง ก่อนตะโกนด้วยเสียงเล็กแหลมปรี๊ด
“ไอ้อ้วน ขี้โกงคนอื่นไม่ดี รู้ไหม !”
สิ้นคำ ตุ๊กตาสาวก็พุ่งหมัดเข้ากระแทกหน้าอูม พลังจากหมัดเล็กทรงพลัง ยังผลให้เก่งฉกาจหงายผึงลงไปนอนสลบอยู่กับพื้น
“ฮ่าๆๆ สมน้ำหน้า” ตุ๊กตาสาวหัวเราะก่อนจะลอยกลับไปตั้งอยู่ในตำแหน่งเดิม
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
“หายไปไหนมา ผมบอกให้ยืนรอตรงนี้ไง” รักษิตโพล่งถามทันทีที่เห็นเซเลน่าวิ่งมาจากทางห้องน้ำ เขาออกมาจากห้องนายเก่งฉกาจก็ไม่พบหล่อน จึงร้อนใจมาก
“ไปเข้าห้องน้ำมา” เซเลน่ายิ้มกว้าง พลางจับสร้อยปีกนกที่ลำคอให้เข้าที่เข้าทาง
“แล้วทำไมไม่รอผมก่อน เดี๋ยวก็เดินหลงจนได้”
“ไม่หลงหรอก ฉันถามมนุษย์...เอ่อ คนแถวนี้เอาน่ะว่าไปฉี่ได้ที่ไหน”
รักษิตอึ้ง “คุณถามอย่างงั้นจริงๆ เหรอ” พอหญิงสาวพยักหน้ารับ เขาก็รู้ว่าควรสอนหล่อนโดยด่วน
“เอแคร์ วันหลังถ้าอยากเข้าห้องน้ำก็ถามว่าห้องน้ำอยู่ไหน ไม่ใช่ว่าไปฉี่ได้ที่ไหน เป็นผู้หญิงพูดแบบนี้มันไม่สุภาพ เข้าใจไหม”
“ค่ะ”
เซเลน่าพยักหน้ารับแต่โดยดี ทั้งที่สงสัยอยากถามว่าอะไรคือสุภาพไม่สุภาพ แต่หล่อนไม่มีอารมณ์จะถามอะไรทั้งนั้น เพราะตอนนี้ยังเจ็บมือที่เพิ่งชกหน้าคนนิสัยไม่ดีมาไม่หายเลย
“คุณพี่รักทำธุระเสร็จหรือยังคะ”
“เสร็จแล้ว”
“งั้นเรากลับบ้านกันเถอะค่ะ ฉันหิว”
รักษิตพยักหน้าแล้วคว้ามือหล่อนพาจูงกลับไปทางเดิมที่เดินมา ส่วนหญิงสาวเหลียวหลังกลับไปที่ประตูห้องซึ่งมีชายหนุ่มนอนชักกระตุกๆ อยู่ข้างใน และกระตุกยิ้มอย่างพึงพอใจ
‘สม ! อยากนิสัยไม่ดีกับคุณพี่รักดีนัก’
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ยานพาหนะของมนุษย์บนท้องถนนมีจำนวนมากจนน่าตกใจ มองไปทางไหนก็เห็นมันจอดติดเต็มไปหมด รถโดยส่วนใหญ่ก็มีมนุษย์โดยสารมากันแค่ไม่กี่คน ถ้าพวกเขามานั่งคันเดียวกันหลายๆ คนเหมือนอย่างรถคันใหญ่ที่มีหน้าต่างหลายสิบบานที่คนขับมีน้ำใจให้คนอื่นโดยสารมาด้วย จำนวนรถก็คงจะลดน้อยลง รถจะได้ไม่ติดแหง่กขยับไปไหนไม่ได้อย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้
หรือนี่เป็นหนึ่งในงานอดิเรกของมนุษย์ เพราะมนุษย์ผู้ที่นั่งอยู่ในรถแต่ละคันไม่เห็นจะดูเดือดร้อนกับสภาวะที่เป็นอยู่ บ้างก็คุยโทรศัพท์ บ้างก็สนทนากับเพื่อนที่นั่งมาด้วยกัน บ้างก็นั่งเฉยๆ ทอดสายตามองออกไปเบื้องหน้าอย่างยากเกินจะคาดเดาว่าพวกเขาเหล่านั้นคิดสิ่งใดอยู่ ดังเช่น ชายหนุ่มที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัยข้างหล่อน
ตั้งแต่ขับรถออกมาจากตึกสูงของมนุษย์อ้วนนิสัยไม่ดี รักษิตก็นั่งนิ่งเงียบมาตลอดทาง ถึงเซเลน่าจะได้ยินบนสนทนาทุกถ้อยคำของเขากับนายอ้วน แต่หล่อนก็ไม่ได้เข้าใจมากนัก รู้แต่ว่าสิ่งที่นายอ้วนทำคงจะสร้างความไม่สบายใจให้กับชายหนุ่มเป็นอย่างมาก คิ้วเข้มหนาได้รูปถึงได้ขมวดมุ่นอยู่ตลอดเวลา
เซเลน่าอดรนทนไม่ได้จึงตัดสินใจถาม “ก๊อปปี้แปลว่าอะไร”
ใบหน้าคมหันมามองผู้ถาม คิ้วเข้มขยับเล็กน้อยก่อนขมวดมุ่นดังเดิม “ถามทำไม”
“ก็ฉันได้ยินคุณคุยกับมนุษย์...เอ่อ คนผู้ชายที่อยู่ในห้อง ว่าเขาก๊อปปี้อะไรคุณสักอย่างนี่แหละ แล้วผู้ชายคนนั้นก็หัวเราะแบบน่าเกลียดๆ ใส่คุณด้วย ฉันจำได้” ...’และฉันก็จัดการสั่งสอนเขาให้คุณแล้วด้วย’ ประโยคหลังเซเลน่าต่อท้ายในใจ
“แอบฟังคนอื่นคุยอีกแล้วนะ”
คิวปิดสาวย่นจมูกอย่างขัดใจ อุตส่าห์เป็นห่วงยังจะมาว่ากันอีก
“ถ้าคุณไม่อยากให้ฉันฟัง วันหลังคุณก็คุยกับนายคนนั้นเสียงเบาๆ สิ ฉันจะได้ไม่ต้องได้ยิน” ว่าแล้วก็ค้อนวงโต ก่อนกอดอก เมินหน้าไปทางหน้าต่าง
“ก๊อปปี้แปลว่าลอก” ชายหนุ่มตอบสิ่งที่หญิงสาวถามราวกับรู้สึกต้องการให้หล่อนหายงอน ซึ่งมันก็ได้ผล เพราะอาการงอนหายเป็นปลิดทิ้ง แปรเปลี่ยนเป็นความสนใจขึ้นมาทันที
“แล้วเขาลอกอะไรคุณล่ะ”
“ลอกงานการ์ตูนที่ผมจะเอากำลังจะเอาไปขาย แต่เขาดันขโมยงานผมไปขายก่อน ผมก็เลยขายงานที่ผมทุ่มเททำมานานไม่ได้” รักษิตใช้คำพูดที่ฟังเข้าใจง่ายที่สุด ดวงตาคมพราวระยับบ่งบอกถึงอารมณ์ความโมโหที่คุกรุ่นอยู่ในใจ
“ก็เท่ากับว่าเขาเป็นขโมยน่ะสิ” พอชายหนุ่มพยักหน้ารับ หญิงสาวก็สำทับต่ออย่างลืมตัว “งั้นคุณก็ต้องไปฟ้องท่านซี... เอ่อ...หรือใครก็ได้ที่จะช่วยจัดการกับคนที่ขโมยงานคุณไป”
ใบหน้าคมส่ายหน้า “ผมยังทำอะไรไม่ได้หรอก ผมยังไม่มีหลักฐานว่าเขาขโมยงานผม เขาเป็นเจ้าของบริษัทใหญ่ มีเส้นสายเยอะ แต่ผมเป็นคนธรรมดา ไปทำอะไรเขาก็ลำบาก” รักษิตเปรยออกมาคล้ายจะพูดกับตัวเองมากกว่าจะเป็นการบอกกล่าวให้หญิงสาวฟัง
ทว่ามันกลับสร้างความเดือดดาลให้ผู้ที่เคยถูกดูถูกมานาน
“แย่มาก ! แย่ที่สุด !” คิวปิดสาวสบถ ก่อนสำทับ “คุณรู้ไหมว่าฉันเกลียดอะไรมากที่สุด ฉันเกลียดพวกที่ชอบเอาเปรียบ ดูถูกผู้อื่น”
“คุณพูดเหมือนกับว่าคุณเคยถูกใครดูถูกมา หรือว่าคุณพอจะจำอะไรได้บ้างแล้ว” รักษิตตื่นเต้น
“ฉันยังจำไม่ได้หรอก มันแค่รู้สึกโกรธขึ้นมาเฉยๆ แต่ฉันไม่รู้หรอกว่าทำไมฉันต้องโกรธด้วย” คิวปิดสาวแก้ตัวไปเรื่อย แล้วเปลี่ยนเรื่อง “ว่าแต่คุณจะทำยังไงต่อไป”
“ผมก็ยังไม่รู้เหมือนกัน” รักษิตยอมรับเสียงอ่อน ใบหน้าคมเคร่งเครียดจนคิวปิดสาวใจหาย โดนนายอ้วนก๊อปปี้งานครั้งนี้คงรุนแรงสำหรับเขามากจริงๆ
“งั้นคุณก็ต้องสู้ ! สู้ให้ขาดใจเลยนะ เทพรบชนะพวกยักษ์อสูรทุกครั้งแหละ”
“แล้วอย่างผมเป็นเทพหรือเป็นอสูรล่ะ”
“ถามได้ อย่างคุณพี่รักก็ต้องเป็นยักษ์อยู่แล้ว”
“อ้าว...”
เซเลน่าหัวเราะ “ฉันล้อเล่น ! อย่างคุณพี่รักต้องเป็นเทพอยู่แล้ว เพราะคุณพี่รักทั้งเก่งทั้งฉลาดกว่านายคนนั้นเป็นไหนๆ”
“คุณแน่ใจได้ยังไงว่าผมเก่งกว่าเขา”
“ไม่มีคนเก่งที่ไหนต้องลอกงานคนอื่นหรอก จริงไหมล่ะ” เซเลน่าวางมือเล็กบางไว้บนมือใหญ่หนา “คุณพี่รักสู้ให้สุดใจเลยนะ ฉันจะคอยเชียร์คุณเอง”
พลังที่ส่งผ่านมือเล็กบางจากหญิงสาวสร้างพลังให้เขาได้อย่างประหลาด ตลอดสิบปีที่ผ่านมา ยามเหนื่อยหรือท้อแท้ เขาจะนึกถึงน้องๆ เพื่อสร้างกำลังใจให้ตัวเอง หากตอนนี้เวลานี้ เขากำลังได้รับกำลังใจจากผู้หญิงคนหนึ่งที่เขาแทบไม่รู้จักหล่อนเลย
“ขอบคุณมาก”
“ไม่เป็นไร ฉันเต็มใจ”
รักษิตยิ้ม พลันนึกขึ้นได้จึงถาม “ว่าแต่คุณรู้จักพวกเทพหรือว่าอสูรได้ยังไง”
“อ๋อ...เอ่อ ฉันดูจากโทรศัพท์น่ะ” เซเลน่าโกหก แต่ไม่เนียน
“โทรทัศน์หรือเปล่า” ชายหนุ่มแก้พลางยิ้มขำ หญิงสาวพลอยหัวเราะขำกับการใช้คำผิดของตัวเอง บรรยากาศรถติดจึงไม่น่าเบื่ออีกต่อไป
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
จนกระทั่งถึงบ้านตอนใกล้ค่ำ รักษิตเลี้ยวรถเข้าไปจอดด้านในคู่กับรถของรักษิยา ทันทีที่ชายหนุ่มลงจากรถ พลอยชมพูก็วิ่งนำหน้ารักษิยาออกมาจากในบ้านแล้วโผเข้าไปสวมกอดเขาทันที
“คุณรักขา พลอยเสียใจด้วยจริงๆ ค่ะ” ความสูงเพียงร้อยหกสิบทำให้หญิงสาวต้อง
แหงนหน้าคุยกับชายหนุ่มที่สูงถึงร้อยแปดสิบ
“ไม่เป็นไรหรอกครับคุณพลอย” รักษิตรู้ดีว่าหญิงสาวหมายถึงเรื่องใด
“ไม่เป็นไร ไม่ได้ค่ะคุณรัก พลอยรู้สึกผิด ผิดเหลือเกินที่ไม่สามารถเก็บงานคุณรักไว้เป็นความลับ ไอ้ ! เอ่อ...คุณเก่งฉกาจถึงก๊อปปี้เอาไปได้”
พลอยชมพูคร่ำครวญ น้ำตาไหลอาบแก้มราวกับสั่งได้ สมแล้วที่พลอยชมพูฝึกฝนมานานหลังจากรู้ว่าชายหนุ่มที่หมายปองเป็นโรคแพ้น้ำตา แต่หญิงสาวคงหลงลืมไป...ว่าสิ่งใดที่เกิดขึ้นบ่อยเกินไป มันก็จะกลายเป็นความเคยชินจนทำลายความรู้สึกสงสารหรือเห็นใจไปโดยปริยาย
และรักษิตก็รู้สึกเช่นนั้นกับน้ำตาของพลอยชมพู
“ฮือๆๆ” พลอยชมพูสะอึกสะอื้น หวังจะให้ชายหนุ่มใช้ปลายนิ้วปาดน้ำตาบนแก้มให้หล่อน ทว่าเขากลับทำเพียงแค่จับตัวหล่อนออกจากร่างของเขา
“อย่าโทษตัวเองเลยครับ มันไม่ใช่ความผิดของคุณสักหน่อย”
ใบหน้าทรงสี่เหลี่ยม และอวัยวะทุกส่วนบนใบหน้าใหญ่หมดเก้อไปนิดที่ชายหนุ่มไม่สนองตอบความต้องการ หากแค่แว่บเดียวเท่านั้น ยังไม่ทันที่ใครจะทันเห็นหญิงสาวก็ปรับสีหน้าเป็นนางเอกได้ดังเดิม
มีเพียงเจ้าสี่ขาที่ยืนอยู่ข้างรักษิยาเท่านั้นที่ทันเห็นสีหน้าผิดหวังนั้น จึงหัวเราะคิกคัก
“ฮ่าๆๆ ป้าพลอยดำรับประทานแห้วอีกแว้ว..” ลักกี้ตั้งชื่อใหม่ให้พลอยชมพูตามสีผิวดำ ‘ขำ’ ของหล่อน “ไอ้คติตื๊อเท่านั้นที่ครองโลก ใช้ไม่ได้กับนายรักของกระผมหรอกนะขอรับคุณป้าพลอยดำ”
ถึงกระนั้น ‘ป้าเฉาก๊วย’ ก็ไม่ยอมแพ้
“คุณรักอย่าพยายามปลอบใจพลอยเลยค่ะ พลอยรู้ดีว่าพลอยผิด...พลอยมันเลว ! คุณรักด่าพลอยให้สาแก่ใจเถอะค่ะ” พลอยชมพูถือวิสาสะซบหน้ากับอกกว้าง...สถานที่ที่หล่อนใฝ่ฝันว่าจะใช้หนุนนอนแทนหมอนไปตลอดชีวิต
ส่วน ‘เจ้าของอกกว้าง’ หันไปสบตากับรักษิยาอย่างขอความช่วยเหลือ ผู้เป็นน้องสาวก็เข้าใจความหมายนั้นดีจึงดึงแขนของพลอยชมพูให้ออกห่างจากพี่ชาย แนะนำว่า
“พี่พลอยคะ คนนี้ไงคะน้องเอแคร์ที่ยาเล่าให้ฟัง”
พลอยชมพูค้อนเล็กๆ ขัดใจที่รักษิยาทำอะไรไม่ดูกาลเทศะ แต่ก็ไม่กล้าเอ็ดว่าที่น้องสามี “ไหนคะ”
พลันหันไปเห็นหญิงสาวที่ยืนอยู่ประตูอีกฝั่งของรถ พลอยชมพูอึ้งไปเล็กน้อย ไม่คาดคิดว่าหญิงสาวที่รักษิยาขับรถชนจนความจำเสื่อมจะมีหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูมากเช่นนี้
ถ้าว่ากันตามเนื้อผ้า พลอยชมพูไม่มีเสี้ยวไหนของร่างกายจะเทียบเซเลน่าได้เลย แต่หล่อนเป็นคนที่มีความมั่นใจในตัวเองสูง ดูได้จากการแต่งงานสไตล์เฉี่ยวเก๋แม้บางครั้งจะไม่เข้ากับรูปร่าง ประกอบกับพลอยชมพูมั่นใจว่าผู้ชายอย่างรักษิตจะเลือกผู้หญิงที่สมองไม่ใช่รูปร่างหน้าตา ซึ่งหญิงสาวที่เป็นถึงเลขาฯ ของเจ้าของสถานีโทรทัศน์อย่างหล่อนจะมีหรือที่รักษิตจะไม่อยากได้เป็นไปแม่ของลูก พลอยชมพูจึงไม่มีความจำเป็นอะไรเลยที่จะต้องไม่ชอบหน้าสาวน้อยหน้าแฉล้ม ถ้าเพียงแต่เซเลน่าไม่ยกมือไหว้และทักทายพลอยชมพูว่า
“สวัสดีค่ะพี่พลอยดำ”
มือที่กำลังรับไหว้ และรอยยิ้มจากริมฝีปากหนาซึ่งทาปากสีแดงสดชะงักกึก
“เอแคร์ ทำไมไปเรียกพี่พลอยอย่างงั้นล่ะ” รักษิยาเตือน
“อ้าว...” เซเลน่าร้องแล้วหันไปมองทางเจ้าลักกี้ที่กำลังภายนอกดูเหมือนมันกำลังอ้าปาก ทั้งที่ความจริงมันกำลังหัวเราะขำอย่างสะใจ
“ถ้ามีนิ้วโป้งจะชูให้แล้ว ได้ใจกระผมมากขอรับคุณคิวปิด”
“ขอโทษค่ะ ฉันคิดว่าคุณชื่อคุณป้าพลอยดำ”
ทั้งรักษิตและรักษิยาต่างหันหน้าไปทางอื่นเพื่อกลั้นหัวเราะ
ใบหน้าสีดำเข้มขึ้นด้วยความโกรธ ยิ่งเห็นว่าวงหน้าแฉล้มกำลังยิ้มเจื่อน หน้าบ็องแบ๊วแทนคำแก้ตัวว่า...ฉันไม่ได้ตั้งใจ ฉันอินโนเซ้นส์ ก็ยิ่งหมั่นไส้
แล้วหันไปสบตากับคุณรักของฉันด้วย !
‘ท่าทางแม่นี่คงไม่ได้ ‘ใส’ อย่างหน้าแน่ๆ ฮึม...ยายชะนีหน้าวอก อ๊ายๆๆ ยังมีหน้าทำตาหวานใส่คุณรักของฉันอีกเรอะ’ พลอยชมพูกำมือแน่น ดวงตาคมเฉี่ยวด้วยเส้นอายลายเนอร์ค้อนขวาง ริมฝีปากหน้าขยับไปมาราวกิริยาของนางร้ายในละคร
‘ฮึ ! นังเอ๋อ แล้วหล่อนจะได้รู้ว่าคนอย่างพลอยชมพู ฆ่าไม่ได้ หยามไม่ได้ และแย่งคุณรักไม่ได้ด้วย !’
********************************************
เซเลน่าไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น หล่อนเล่นอยู่กับเจ้าลักกี้ดีๆ เขาก็เดินมาเรียกหล่อนขึ้นยานพาหนะ แล้วขับพามาที่นี่ โดยไม่พูดอะไรสักคำมาตลอดทาง แต่จากวงหน้าคมที่เครียดตึง กรามขบเป็นนูนสูงตลอดเวลา บ่งบอกว่าชายหนุ่มกำลังโมโหอะไรสักอย่างสุดขีด เซเลน่าอยากรู้ว่าคือเรื่องอะไรที่ทำให้เขาโมโหได้มากเช่นนี้ เพราะขนาดหล่อนทำจานกินข้าวแตก เขายังไม่โมโหเลย
“ผมมีธุระ” เขาตอบเสียงนิ่ง
“ธุระของคุณ มันไม่เกี่ยวกับฉันสักหน่อย คุณจะพาฉันมาด้วยทำไม”
รักษิตไม่ตอบคำถามนั้น หากก้าวฉับๆ นำเข้าไปในตัวตึกสูงระฟ้า...สิ่งประดิษฐ์อันน่าทึ่งอีกหนึ่งอย่างของมนุษย์
ถึงจะสงสัยใน ‘ธุระ’ ของชายหนุ่ม หากก็ยังไม่มากไปกว่าความตื่นเต้นที่ได้เข้ามาภายใน ‘วิหารทรงสูง’ของมนุษย์ เซเลน่ากวาดสายตาสำรองมองไปรอบบริเวณขณะก้าวตามรักษิต จนกระทั่งมาถึงลิฟต์โดยสารที่ประตูเพิ่งเปิด ด้วยกังวลเรื่องธุระ และความเคยชินที่เคยไปไหนมาไหนคนเดียว ทำให้รักษิตเดินเกาะกลุ่มตามพนักงานออฟฟิศชายหญิงหลายคนทยอยเข้าไปยืนเบียดเสียดอยู่ภายในจนแทบจะไม่มีที่ให้ยืน หลงลืมเซเลน่าที่กำลังก้าวขา ถอยหน้าถอยหลังอย่างละล้าละลัง ไม่แน่ใจว่าควรจะเข้าไปอีกไหม
“คุณพี่รัก ฉันเข้าไปได้ไหม”
รักษิตถึงนึกขึ้นได้ว่าเขาไม่ได้มาคนเดียว
“เอแคร์ !” เขาแทรกตัวออกจากกลุ่มคน แล้วฉุดมือหญิงสาวให้เข้าไปยืนเคียงข้างเขา ก่อนประตูลิฟต์จะปิดลง
“กรี๊ดดด !” เซเลน่าร้องเสียงดังลั่น ยกแขนโอบรอบตัวรักษิต สีหน้าตื่นตระหนกสุดขีด
“เกิดอะไรขึ้น ! ทำไมมันสั่นๆ โอ๊ยๆ”
“ไม่เป็นไรหรอก” รักษิตปลอบเสียงเบาด้วยความเกรงใจผู้อื่น
แต่อีกฝ่ายกลับเสียงดังเพราะความตื่นกลัว “ไม่เป็นไรได้ยังไง เนี่ย มันสั่นไม่หยุดเลย พวกคุณรู้สึกเหมือนฉันไหมคะ” เซเลน่าหันไปถามความเห็นของมนุษย์อื่นที่กำลังมองหล่อนพร้อมรอยยิ้มบางๆ ตลกท่าทางดู ‘เปิ่น’ ของหญิงสาวสวย
“เอแคร์ ผมบอกไม่เป็นไรก็ไม่เป็นไรสิ” รักษิตกระซิบบอกหญิงสาว และโอบกอดร่างบางกลับ หวังช่วยปลอบประโลมหญิงสาวความจำเสื่อม หากมันทำให้เขารู้ว่าการได้กอดใครสักคน แม้เป็นแค่เวลาสั้นๆ ก็สามารถช่วยให้อารมณ์โมโห เดือดดาลในใจ เบาบางลงได้อย่างน่าประหลาด
‘เมื่อสติมา ปัญญาก็เกิด’...รักษิตนึกขอบคุณหญิงสาวที่ช่วยให้สติเขากลับคืนมาอีกครั้ง แม้อีกฝ่ายจะไม่ได้ตั้งใจก็ตาม เขาจึงทันได้คิด...ว่าการจะต่อกรกับเจ้าของบริษัทผลิตการ์ตูนเอนิเมชั่นรายใหญ่ของเมืองไทยอย่างนายเก่งฉกาจที่ ‘เก่ง’ เรื่องก๊อปปี้งานคนอื่นนั้นจะใช้อารมณ์ไม่ได้
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ทันทีที่ประตูลิฟต์เปิดออกอีกครั้ง รักษิตก็จูงมือหญิงสาวก้าวออกไป เดินผ่านประตูกระจกใสที่มีป้ายบริษัทเขียนว่า “กู๊ดฟิวคอมมิค” ติดเอาไว้ด้านหน้า
เข้าไปด้านในรักษิตก็พาเซเลน่าเดินผ่านกลุ่มพนักงานของบริษัทจำนวนกว่ายี่สิบคนที่นั่งก้มหน้าวาดการ์ตูนอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ แทบจะไม่มีใครสนใจการมาแบบกะทันหันของรักษิต
“ยืนรอผมตรงนี้นะ อย่าไปไหนเด็ดขาด” รักษิตสั่งเสียงเข้ม เมื่อมาถึงหน้าประตูไม้ขนาดใหญ่
“แล้วคุณพี่รักจะไปไหนล่ะคะ” อีกฝ่ายถามกลับ
“ผมจะเข้าไปทำธุระ รับปากผมนะว่าจะไม่ไปไหน”
“ค่ะ” พอฝ่ายหญิงรับคำ เขาก็ผลักประตูเข้าไปด้านในทันที
“อ้าว...คุณรัก ลมอะไรพัดมาถึงนี่ครับเนี่ย” ชายหนุ่มรูปร่างท้วมซึ่งนั่งอยู่หลังโต๊ะไม้ขนาดใหญ่เอ่ยทัก ทว่าสีหน้าของเขาไม่ได้แสดงออกว่าประหลาดใจต่อการมาของอีกฝ่ายอย่างคำพูด ราวกับรู้อยู่แล้วว่าสักวันรักษิตจะต้องมาปรากฏตัวที่นี่
“คุณเก่งก็รู้ดีว่าผมมาที่นี่ทำไม” รักษิตเอ่ยเสียงราบเรียบทว่าทรงพลัง
“ผมไม่รู้จริงๆ เอ๊...หรือว่าคุณรักเปลี่ยนใจอยากกลับมาร่วมงานกับผม” เก่งฉกาจเอนหลังพิงกับพนักเก้าอี้เบาะหนัง หมุนปากกาลูกลื่นในมือ สีหน้ายียวนอย่างที่รักษิตนึกภาพไม่ออกเลย ว่าถ้าความโมโหของเขาไม่มอดลงก่อนจะเข้ามาในนี้...อะไรจะเกิดขึ้น
“อย่าดีกว่า คุณเก่งก็รู้ว่าทัศนคติเรื่องงานเราไม่เคยตรงกัน” รักษิตเคยทำงานให้บริษัทนี้ที่มาจ้างเขาวาดการ์ตูนประกอบหนังสืออยู่ช่วงหนึ่ง แต่ก็ต้องเลิกรากันไป เพราะรักษิตรับไม่ได้ที่มักจะมี ‘ใบสั่ง’ จากเจ้าของบริษัทว่าให้ลอกเลียนงานของหนังสือเล่มที่กำลังได้รับความนิยมอยู่ในขณะนั้น
“นั่นสินะ ผมลืมไป แต่ถ้าวันหนึ่ง คุณรักนึกอยากเปลี่ยนใจขึ้นมา ที่นี่ต้อนรับคุณเสมอนะครับ มาเข้าเรื่องของเราดีกว่า ตกลงว่าคุณรักมาที่นี่ทำไม” แม้จะรู้อยู่แก่ใจ แต่คนอย่างนายเก่งฉกาจจะไม่มีวันเป็นฝ่ายเริ่มพูดสิ่งไม่ดีที่ตัวเองทำ
“มีคนบอกว่าบริษัทของคุณก๊อปปี้งานที่ผมเอาไปเสนอให้ช่อง”
รักษิตรู้เรื่องนี้จากพลอยชมพูที่โทรศัพท์มาบอกว่าบริษัทของนายเก่งฉกาจเพิ่งจะใช้เส้นสายขอแทรกคิวมาพรีเซนต์การ์ตูนเกี่ยวกับแมวยอดคุณธรรมเหมือนเรื่องของเขาทุกประการ เว้นเพียงแต่ว่าแมวของรักษิตเป็นสีดำชื่อ ‘นิล’ ส่วนแมวของบริษัทนายเก่งฉกาจมีสีขาวล้วน ชื่อว่า ‘ขาวปลอด’ และทางผู้ใหญ่ของช่องก็มีท่าทางสนใจมากๆ ด้วย เรียกได้ว่าเป็นตัวเก็งที่จะได้รับอนุมัติเลยทีเดียว
“และมันคงไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่ๆ ที่การ์ตูนเรื่องที่คุณเอาไปเสนอช่อง มันเหมือนเรื่องนิลที่ผมกำลังจะเข้าไปพรีเซนต์...เป๊ะ” ชายหนุ่มจงใจเน้นคำสุดท้าย
“คุณรักษิต...” เขาลากเสียงยาว “ให้ความยุติธรรมกับผมหน่อยสิ ผมจะไปก๊อปปี้งานคุณได้ยังไง ผมยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าคุณเสนอเรื่องอะไร”
ใครๆ ก็รู้ว่านายเก่งฉกาจมีเส้นสายอยู่ทุกหนทุกแห่ง ฉะนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่เขาจะรู้ความลับของคู่แข่งได้อย่างง่ายดาย แต่คงไม่ใช่เรื่องแปลกเช่นกันที่คนอย่างนายเก่งฉกาจจะไม่ยอมรับ ฉะนั้นจึงป่วยกายที่จะคาดคั้นความจริงจากปากของเขา
“คุณรู้แก่ใจดีว่าคุณทำอะไร คุณไม่เคยรู้สึกอายตัวเองบ้างหรือไง”
ใบหน้าอูมตึง ดวงตาเล็กหยีพราวระยับ หากพริบตาเขาก็สามารถซ่อนความรู้สึกไม่พอใจเอาไว้ได้ภายใน ก่อนลุกขึ้น เดินอ้อมโต๊ะตัวใหญ่มายืนตรงหน้าชายหนุ่ม
“คุณรักษิต คุณต้องเข้าใจอย่างหนึ่งนะ สมัยนี้พล็อตเรื่องทั้งนิยาย ละคร หนังหรืออะไรก็แล้วแต่ มันไม่มีอะไรใหม่แล้ว เรื่องมันก็วนๆ กันอยู่ เพราะฉะนั้นมันก็มีโอกาสเป็นไปได้ที่เราจะบังเอิญใจตรงกัน” เก่งฉกาจยิ้มยียวน วางมือบนไหล่ของหนุ่มร่างสูง
ทันใดนั้นก็รู้สึกเหมือนโดนตีมืออย่างแรง “โอ๊ย !”
เก่งฉกาจชักมือออกจากบ่ากว้าง สะบัดมืออวบเร่าๆ สายตาจ้องไปที่หัวไหล่ของรักษิตหาต้นเหตุของอาการเจ็บมือ หากไม่เห็นสิ่งใดนอกจากสายตาคมกริบของอีกฝ่ายที่กำลังมองมาอย่างแปลกใจ เก่งฉกาจจึงต้องรีบวางมาดเหมือนเดิม
“เอาเป็นว่าผมยืนยันก็ว่าผมไม่ได้ก๊อปปี้งานคุณ แต่ถ้าคุณไม่พอใจก็หาหลักฐานไปฟ้องเอาก็แล้วกัน”
“คุณนี่ไม่มีความเป็นลูกผู้ชายเลยสักนิด”
“คุณต่างหากที่ไม่มี ! คุณคงรู้ตัวว่าจะชวดงานนี้สินะ ถึงพาลหาเรื่องคนอื่น ผมเคยบอกคุณแล้ว ว่าถึงคุณจะมีชื่อเสียงในวงการการ์ตูน แต่ถ้าเป็นเรื่องระดับผลิตการ์ตูนแบบมืออาชีพล่ะก็ คุณอย่าแข่งกับผมให้เสียเวลาเลย เพราะยังไงคุณก็ไม่มีวันชนะผมหรอก” เก่งฉกาจหวังจะได้เห็นอีกฝ่ายโกรธ หากผิดคาด เพราะสีหน้าของรักษิตยังคงราบเรียบ
“ผมไม่เคยคิดแข่งงานกับใคร โดยเฉพาะกับคนอื่นที่บัญญัติคำว่า ก๊อปปี้งานคนอื่น เอาไว้ในคำว่ามืออาชีพ”
“คุณรัก !”
“ถ้าคุณยืนยันว่าไม่ได้ก๊อปปี้งานผม ผมก็จะถือซะว่าผมโชคร้ายที่บังเอิญใจตรงกับคุณก็แล้วกัน แ แล้วคนอย่างคุณที่ยังไม่รู้จักคำว่าผิดชอบชั่วดี แต่จะไปทำการ์ตูนสอนคุณธรรมให้เด็กๆ ดู แค่คิดผมก็ตลกแล้ว” พูดจบรักษิตก็หันหลังเปิดประตูออกไป
เก่งฉกาจขบกรามแน่น หน้าแดงอย่างโกรธจัด
“ปากดีไปเถอะไอ้เด็กเมื่อวานซืน ถ้าแกไปเสนองานที่ไหน ฉันจะตามราวีไปทุกที่เลย คอยดู โอ๊ย !” ร้องและหันหน้าขวับไปด้านหนึ่งคล้ายถูกตบปาก ทำเอาบริเวณปากชาไปหมด
“อะไรวะเนี่ย”
เขาคลำปากป้อยๆ พลางกวาดสายตาหาสาเหตุของอาการประหลาด แล้วจู่ๆ ตุ๊กตาเซเลอร์มูนตัวสูงขนาดเท่าแท่งปากกาซึ่งตั้งอยู่ข้างคอมพิวเตอร์ ค่อยๆ ขยับ สะบัดกระโปรงไปมาราวกับมันมีชีวิต แล้วลอยขึ้นในอากาศและร้องเพลง
“ลั่นล้าๆๆ”
ดวงตาเล็กหยีของเก่งฉกาจเบิกโพลง ขาสั่นแหง่กๆ ไม่สามารถขยับไปไหนได้ เส้นผมบนศีรษะพร้อมใจกันตั้งอย่างพร้อมเพียง พลันใบหน้าของตุ๊กตาหญิงสาวก็หันขวับมาทางเขา แขนข้างหนึ่งเท้าสะเอว ส่วนอีกข้างชี้หน้าคนผมตั้ง ก่อนตะโกนด้วยเสียงเล็กแหลมปรี๊ด
“ไอ้อ้วน ขี้โกงคนอื่นไม่ดี รู้ไหม !”
สิ้นคำ ตุ๊กตาสาวก็พุ่งหมัดเข้ากระแทกหน้าอูม พลังจากหมัดเล็กทรงพลัง ยังผลให้เก่งฉกาจหงายผึงลงไปนอนสลบอยู่กับพื้น
“ฮ่าๆๆ สมน้ำหน้า” ตุ๊กตาสาวหัวเราะก่อนจะลอยกลับไปตั้งอยู่ในตำแหน่งเดิม
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
“หายไปไหนมา ผมบอกให้ยืนรอตรงนี้ไง” รักษิตโพล่งถามทันทีที่เห็นเซเลน่าวิ่งมาจากทางห้องน้ำ เขาออกมาจากห้องนายเก่งฉกาจก็ไม่พบหล่อน จึงร้อนใจมาก
“ไปเข้าห้องน้ำมา” เซเลน่ายิ้มกว้าง พลางจับสร้อยปีกนกที่ลำคอให้เข้าที่เข้าทาง
“แล้วทำไมไม่รอผมก่อน เดี๋ยวก็เดินหลงจนได้”
“ไม่หลงหรอก ฉันถามมนุษย์...เอ่อ คนแถวนี้เอาน่ะว่าไปฉี่ได้ที่ไหน”
รักษิตอึ้ง “คุณถามอย่างงั้นจริงๆ เหรอ” พอหญิงสาวพยักหน้ารับ เขาก็รู้ว่าควรสอนหล่อนโดยด่วน
“เอแคร์ วันหลังถ้าอยากเข้าห้องน้ำก็ถามว่าห้องน้ำอยู่ไหน ไม่ใช่ว่าไปฉี่ได้ที่ไหน เป็นผู้หญิงพูดแบบนี้มันไม่สุภาพ เข้าใจไหม”
“ค่ะ”
เซเลน่าพยักหน้ารับแต่โดยดี ทั้งที่สงสัยอยากถามว่าอะไรคือสุภาพไม่สุภาพ แต่หล่อนไม่มีอารมณ์จะถามอะไรทั้งนั้น เพราะตอนนี้ยังเจ็บมือที่เพิ่งชกหน้าคนนิสัยไม่ดีมาไม่หายเลย
“คุณพี่รักทำธุระเสร็จหรือยังคะ”
“เสร็จแล้ว”
“งั้นเรากลับบ้านกันเถอะค่ะ ฉันหิว”
รักษิตพยักหน้าแล้วคว้ามือหล่อนพาจูงกลับไปทางเดิมที่เดินมา ส่วนหญิงสาวเหลียวหลังกลับไปที่ประตูห้องซึ่งมีชายหนุ่มนอนชักกระตุกๆ อยู่ข้างใน และกระตุกยิ้มอย่างพึงพอใจ
‘สม ! อยากนิสัยไม่ดีกับคุณพี่รักดีนัก’
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ยานพาหนะของมนุษย์บนท้องถนนมีจำนวนมากจนน่าตกใจ มองไปทางไหนก็เห็นมันจอดติดเต็มไปหมด รถโดยส่วนใหญ่ก็มีมนุษย์โดยสารมากันแค่ไม่กี่คน ถ้าพวกเขามานั่งคันเดียวกันหลายๆ คนเหมือนอย่างรถคันใหญ่ที่มีหน้าต่างหลายสิบบานที่คนขับมีน้ำใจให้คนอื่นโดยสารมาด้วย จำนวนรถก็คงจะลดน้อยลง รถจะได้ไม่ติดแหง่กขยับไปไหนไม่ได้อย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้
หรือนี่เป็นหนึ่งในงานอดิเรกของมนุษย์ เพราะมนุษย์ผู้ที่นั่งอยู่ในรถแต่ละคันไม่เห็นจะดูเดือดร้อนกับสภาวะที่เป็นอยู่ บ้างก็คุยโทรศัพท์ บ้างก็สนทนากับเพื่อนที่นั่งมาด้วยกัน บ้างก็นั่งเฉยๆ ทอดสายตามองออกไปเบื้องหน้าอย่างยากเกินจะคาดเดาว่าพวกเขาเหล่านั้นคิดสิ่งใดอยู่ ดังเช่น ชายหนุ่มที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัยข้างหล่อน
ตั้งแต่ขับรถออกมาจากตึกสูงของมนุษย์อ้วนนิสัยไม่ดี รักษิตก็นั่งนิ่งเงียบมาตลอดทาง ถึงเซเลน่าจะได้ยินบนสนทนาทุกถ้อยคำของเขากับนายอ้วน แต่หล่อนก็ไม่ได้เข้าใจมากนัก รู้แต่ว่าสิ่งที่นายอ้วนทำคงจะสร้างความไม่สบายใจให้กับชายหนุ่มเป็นอย่างมาก คิ้วเข้มหนาได้รูปถึงได้ขมวดมุ่นอยู่ตลอดเวลา
เซเลน่าอดรนทนไม่ได้จึงตัดสินใจถาม “ก๊อปปี้แปลว่าอะไร”
ใบหน้าคมหันมามองผู้ถาม คิ้วเข้มขยับเล็กน้อยก่อนขมวดมุ่นดังเดิม “ถามทำไม”
“ก็ฉันได้ยินคุณคุยกับมนุษย์...เอ่อ คนผู้ชายที่อยู่ในห้อง ว่าเขาก๊อปปี้อะไรคุณสักอย่างนี่แหละ แล้วผู้ชายคนนั้นก็หัวเราะแบบน่าเกลียดๆ ใส่คุณด้วย ฉันจำได้” ...’และฉันก็จัดการสั่งสอนเขาให้คุณแล้วด้วย’ ประโยคหลังเซเลน่าต่อท้ายในใจ
“แอบฟังคนอื่นคุยอีกแล้วนะ”
คิวปิดสาวย่นจมูกอย่างขัดใจ อุตส่าห์เป็นห่วงยังจะมาว่ากันอีก
“ถ้าคุณไม่อยากให้ฉันฟัง วันหลังคุณก็คุยกับนายคนนั้นเสียงเบาๆ สิ ฉันจะได้ไม่ต้องได้ยิน” ว่าแล้วก็ค้อนวงโต ก่อนกอดอก เมินหน้าไปทางหน้าต่าง
“ก๊อปปี้แปลว่าลอก” ชายหนุ่มตอบสิ่งที่หญิงสาวถามราวกับรู้สึกต้องการให้หล่อนหายงอน ซึ่งมันก็ได้ผล เพราะอาการงอนหายเป็นปลิดทิ้ง แปรเปลี่ยนเป็นความสนใจขึ้นมาทันที
“แล้วเขาลอกอะไรคุณล่ะ”
“ลอกงานการ์ตูนที่ผมจะเอากำลังจะเอาไปขาย แต่เขาดันขโมยงานผมไปขายก่อน ผมก็เลยขายงานที่ผมทุ่มเททำมานานไม่ได้” รักษิตใช้คำพูดที่ฟังเข้าใจง่ายที่สุด ดวงตาคมพราวระยับบ่งบอกถึงอารมณ์ความโมโหที่คุกรุ่นอยู่ในใจ
“ก็เท่ากับว่าเขาเป็นขโมยน่ะสิ” พอชายหนุ่มพยักหน้ารับ หญิงสาวก็สำทับต่ออย่างลืมตัว “งั้นคุณก็ต้องไปฟ้องท่านซี... เอ่อ...หรือใครก็ได้ที่จะช่วยจัดการกับคนที่ขโมยงานคุณไป”
ใบหน้าคมส่ายหน้า “ผมยังทำอะไรไม่ได้หรอก ผมยังไม่มีหลักฐานว่าเขาขโมยงานผม เขาเป็นเจ้าของบริษัทใหญ่ มีเส้นสายเยอะ แต่ผมเป็นคนธรรมดา ไปทำอะไรเขาก็ลำบาก” รักษิตเปรยออกมาคล้ายจะพูดกับตัวเองมากกว่าจะเป็นการบอกกล่าวให้หญิงสาวฟัง
ทว่ามันกลับสร้างความเดือดดาลให้ผู้ที่เคยถูกดูถูกมานาน
“แย่มาก ! แย่ที่สุด !” คิวปิดสาวสบถ ก่อนสำทับ “คุณรู้ไหมว่าฉันเกลียดอะไรมากที่สุด ฉันเกลียดพวกที่ชอบเอาเปรียบ ดูถูกผู้อื่น”
“คุณพูดเหมือนกับว่าคุณเคยถูกใครดูถูกมา หรือว่าคุณพอจะจำอะไรได้บ้างแล้ว” รักษิตตื่นเต้น
“ฉันยังจำไม่ได้หรอก มันแค่รู้สึกโกรธขึ้นมาเฉยๆ แต่ฉันไม่รู้หรอกว่าทำไมฉันต้องโกรธด้วย” คิวปิดสาวแก้ตัวไปเรื่อย แล้วเปลี่ยนเรื่อง “ว่าแต่คุณจะทำยังไงต่อไป”
“ผมก็ยังไม่รู้เหมือนกัน” รักษิตยอมรับเสียงอ่อน ใบหน้าคมเคร่งเครียดจนคิวปิดสาวใจหาย โดนนายอ้วนก๊อปปี้งานครั้งนี้คงรุนแรงสำหรับเขามากจริงๆ
“งั้นคุณก็ต้องสู้ ! สู้ให้ขาดใจเลยนะ เทพรบชนะพวกยักษ์อสูรทุกครั้งแหละ”
“แล้วอย่างผมเป็นเทพหรือเป็นอสูรล่ะ”
“ถามได้ อย่างคุณพี่รักก็ต้องเป็นยักษ์อยู่แล้ว”
“อ้าว...”
เซเลน่าหัวเราะ “ฉันล้อเล่น ! อย่างคุณพี่รักต้องเป็นเทพอยู่แล้ว เพราะคุณพี่รักทั้งเก่งทั้งฉลาดกว่านายคนนั้นเป็นไหนๆ”
“คุณแน่ใจได้ยังไงว่าผมเก่งกว่าเขา”
“ไม่มีคนเก่งที่ไหนต้องลอกงานคนอื่นหรอก จริงไหมล่ะ” เซเลน่าวางมือเล็กบางไว้บนมือใหญ่หนา “คุณพี่รักสู้ให้สุดใจเลยนะ ฉันจะคอยเชียร์คุณเอง”
พลังที่ส่งผ่านมือเล็กบางจากหญิงสาวสร้างพลังให้เขาได้อย่างประหลาด ตลอดสิบปีที่ผ่านมา ยามเหนื่อยหรือท้อแท้ เขาจะนึกถึงน้องๆ เพื่อสร้างกำลังใจให้ตัวเอง หากตอนนี้เวลานี้ เขากำลังได้รับกำลังใจจากผู้หญิงคนหนึ่งที่เขาแทบไม่รู้จักหล่อนเลย
“ขอบคุณมาก”
“ไม่เป็นไร ฉันเต็มใจ”
รักษิตยิ้ม พลันนึกขึ้นได้จึงถาม “ว่าแต่คุณรู้จักพวกเทพหรือว่าอสูรได้ยังไง”
“อ๋อ...เอ่อ ฉันดูจากโทรศัพท์น่ะ” เซเลน่าโกหก แต่ไม่เนียน
“โทรทัศน์หรือเปล่า” ชายหนุ่มแก้พลางยิ้มขำ หญิงสาวพลอยหัวเราะขำกับการใช้คำผิดของตัวเอง บรรยากาศรถติดจึงไม่น่าเบื่ออีกต่อไป
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
จนกระทั่งถึงบ้านตอนใกล้ค่ำ รักษิตเลี้ยวรถเข้าไปจอดด้านในคู่กับรถของรักษิยา ทันทีที่ชายหนุ่มลงจากรถ พลอยชมพูก็วิ่งนำหน้ารักษิยาออกมาจากในบ้านแล้วโผเข้าไปสวมกอดเขาทันที
“คุณรักขา พลอยเสียใจด้วยจริงๆ ค่ะ” ความสูงเพียงร้อยหกสิบทำให้หญิงสาวต้อง
แหงนหน้าคุยกับชายหนุ่มที่สูงถึงร้อยแปดสิบ
“ไม่เป็นไรหรอกครับคุณพลอย” รักษิตรู้ดีว่าหญิงสาวหมายถึงเรื่องใด
“ไม่เป็นไร ไม่ได้ค่ะคุณรัก พลอยรู้สึกผิด ผิดเหลือเกินที่ไม่สามารถเก็บงานคุณรักไว้เป็นความลับ ไอ้ ! เอ่อ...คุณเก่งฉกาจถึงก๊อปปี้เอาไปได้”
พลอยชมพูคร่ำครวญ น้ำตาไหลอาบแก้มราวกับสั่งได้ สมแล้วที่พลอยชมพูฝึกฝนมานานหลังจากรู้ว่าชายหนุ่มที่หมายปองเป็นโรคแพ้น้ำตา แต่หญิงสาวคงหลงลืมไป...ว่าสิ่งใดที่เกิดขึ้นบ่อยเกินไป มันก็จะกลายเป็นความเคยชินจนทำลายความรู้สึกสงสารหรือเห็นใจไปโดยปริยาย
และรักษิตก็รู้สึกเช่นนั้นกับน้ำตาของพลอยชมพู
“ฮือๆๆ” พลอยชมพูสะอึกสะอื้น หวังจะให้ชายหนุ่มใช้ปลายนิ้วปาดน้ำตาบนแก้มให้หล่อน ทว่าเขากลับทำเพียงแค่จับตัวหล่อนออกจากร่างของเขา
“อย่าโทษตัวเองเลยครับ มันไม่ใช่ความผิดของคุณสักหน่อย”
ใบหน้าทรงสี่เหลี่ยม และอวัยวะทุกส่วนบนใบหน้าใหญ่หมดเก้อไปนิดที่ชายหนุ่มไม่สนองตอบความต้องการ หากแค่แว่บเดียวเท่านั้น ยังไม่ทันที่ใครจะทันเห็นหญิงสาวก็ปรับสีหน้าเป็นนางเอกได้ดังเดิม
มีเพียงเจ้าสี่ขาที่ยืนอยู่ข้างรักษิยาเท่านั้นที่ทันเห็นสีหน้าผิดหวังนั้น จึงหัวเราะคิกคัก
“ฮ่าๆๆ ป้าพลอยดำรับประทานแห้วอีกแว้ว..” ลักกี้ตั้งชื่อใหม่ให้พลอยชมพูตามสีผิวดำ ‘ขำ’ ของหล่อน “ไอ้คติตื๊อเท่านั้นที่ครองโลก ใช้ไม่ได้กับนายรักของกระผมหรอกนะขอรับคุณป้าพลอยดำ”
ถึงกระนั้น ‘ป้าเฉาก๊วย’ ก็ไม่ยอมแพ้
“คุณรักอย่าพยายามปลอบใจพลอยเลยค่ะ พลอยรู้ดีว่าพลอยผิด...พลอยมันเลว ! คุณรักด่าพลอยให้สาแก่ใจเถอะค่ะ” พลอยชมพูถือวิสาสะซบหน้ากับอกกว้าง...สถานที่ที่หล่อนใฝ่ฝันว่าจะใช้หนุนนอนแทนหมอนไปตลอดชีวิต
ส่วน ‘เจ้าของอกกว้าง’ หันไปสบตากับรักษิยาอย่างขอความช่วยเหลือ ผู้เป็นน้องสาวก็เข้าใจความหมายนั้นดีจึงดึงแขนของพลอยชมพูให้ออกห่างจากพี่ชาย แนะนำว่า
“พี่พลอยคะ คนนี้ไงคะน้องเอแคร์ที่ยาเล่าให้ฟัง”
พลอยชมพูค้อนเล็กๆ ขัดใจที่รักษิยาทำอะไรไม่ดูกาลเทศะ แต่ก็ไม่กล้าเอ็ดว่าที่น้องสามี “ไหนคะ”
พลันหันไปเห็นหญิงสาวที่ยืนอยู่ประตูอีกฝั่งของรถ พลอยชมพูอึ้งไปเล็กน้อย ไม่คาดคิดว่าหญิงสาวที่รักษิยาขับรถชนจนความจำเสื่อมจะมีหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูมากเช่นนี้
ถ้าว่ากันตามเนื้อผ้า พลอยชมพูไม่มีเสี้ยวไหนของร่างกายจะเทียบเซเลน่าได้เลย แต่หล่อนเป็นคนที่มีความมั่นใจในตัวเองสูง ดูได้จากการแต่งงานสไตล์เฉี่ยวเก๋แม้บางครั้งจะไม่เข้ากับรูปร่าง ประกอบกับพลอยชมพูมั่นใจว่าผู้ชายอย่างรักษิตจะเลือกผู้หญิงที่สมองไม่ใช่รูปร่างหน้าตา ซึ่งหญิงสาวที่เป็นถึงเลขาฯ ของเจ้าของสถานีโทรทัศน์อย่างหล่อนจะมีหรือที่รักษิตจะไม่อยากได้เป็นไปแม่ของลูก พลอยชมพูจึงไม่มีความจำเป็นอะไรเลยที่จะต้องไม่ชอบหน้าสาวน้อยหน้าแฉล้ม ถ้าเพียงแต่เซเลน่าไม่ยกมือไหว้และทักทายพลอยชมพูว่า
“สวัสดีค่ะพี่พลอยดำ”
มือที่กำลังรับไหว้ และรอยยิ้มจากริมฝีปากหนาซึ่งทาปากสีแดงสดชะงักกึก
“เอแคร์ ทำไมไปเรียกพี่พลอยอย่างงั้นล่ะ” รักษิยาเตือน
“อ้าว...” เซเลน่าร้องแล้วหันไปมองทางเจ้าลักกี้ที่กำลังภายนอกดูเหมือนมันกำลังอ้าปาก ทั้งที่ความจริงมันกำลังหัวเราะขำอย่างสะใจ
“ถ้ามีนิ้วโป้งจะชูให้แล้ว ได้ใจกระผมมากขอรับคุณคิวปิด”
“ขอโทษค่ะ ฉันคิดว่าคุณชื่อคุณป้าพลอยดำ”
ทั้งรักษิตและรักษิยาต่างหันหน้าไปทางอื่นเพื่อกลั้นหัวเราะ
ใบหน้าสีดำเข้มขึ้นด้วยความโกรธ ยิ่งเห็นว่าวงหน้าแฉล้มกำลังยิ้มเจื่อน หน้าบ็องแบ๊วแทนคำแก้ตัวว่า...ฉันไม่ได้ตั้งใจ ฉันอินโนเซ้นส์ ก็ยิ่งหมั่นไส้
แล้วหันไปสบตากับคุณรักของฉันด้วย !
‘ท่าทางแม่นี่คงไม่ได้ ‘ใส’ อย่างหน้าแน่ๆ ฮึม...ยายชะนีหน้าวอก อ๊ายๆๆ ยังมีหน้าทำตาหวานใส่คุณรักของฉันอีกเรอะ’ พลอยชมพูกำมือแน่น ดวงตาคมเฉี่ยวด้วยเส้นอายลายเนอร์ค้อนขวาง ริมฝีปากหน้าขยับไปมาราวกิริยาของนางร้ายในละคร
‘ฮึ ! นังเอ๋อ แล้วหล่อนจะได้รู้ว่าคนอย่างพลอยชมพู ฆ่าไม่ได้ หยามไม่ได้ และแย่งคุณรักไม่ได้ด้วย !’
********************************************
สาธิตา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 13 ก.ค. 2554, 22:24:02 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 13 ก.ค. 2554, 22:24:02 น.
จำนวนการเข้าชม : 1512
<< ตอน 6 | ตอน 8 >> |
วิรัตต์ยา 14 ก.ค. 2554, 22:57:23 น.
ถ้าเราเป็นเซเลน่า เราจะเอานายอ้วนนิสัยไม่ดีให้หนักกว่านี้ อิอิ
๕๕๕๕ แอบลุ้นชะตาชีวิตเซเลน่าเมื่อต้องเจอคุณพลอย
ถ้าเราเป็นเซเลน่า เราจะเอานายอ้วนนิสัยไม่ดีให้หนักกว่านี้ อิอิ
๕๕๕๕ แอบลุ้นชะตาชีวิตเซเลน่าเมื่อต้องเจอคุณพลอย
เบญจามินทร์ 15 ก.ค. 2554, 19:22:13 น.
ฆ่าไม่ได้ หยามก็ไม่ได้ แถมแย่งคุณรักไม่ได้ด้วย -> สรุป ใครทำอะไรชี ไม่ได้เลยสิเนี่ย 555
ฆ่าไม่ได้ หยามก็ไม่ได้ แถมแย่งคุณรักไม่ได้ด้วย -> สรุป ใครทำอะไรชี ไม่ได้เลยสิเนี่ย 555