ฤดูกาลรักที่กลางใจ ตอน พรรษกับวันวิสาข์
เพราะเจ็บปวดจากความรัก...เขาจึงลืม

เพราะเป็นรักแรกและรักเดียว...เธอจึงจำ

Tags: พรรษ วันวิสาข์ เจ้าขา ความทรงจำที่ถูกลืม

ตอน: ตอนที่ 25 - ตอนจบบริบูรณ์

บทที่ 25


อาจด้วยความสะเทือนใจที่ทนเก็บเอาไว้มาตลอดบวกกับสภาวะของร่างกายที่ไม่ปกติทำให้คนที่ฝืนทำเป็นเข้มแข็งมาตลอดไม่อาจประคองตัวไปได้ตลอดรอดฝั่ง เพราะแค่ออกก้าวเดินไปไม่ถึงสามก้าวหลังทิ้งคำตัดรอนไว้ให้คนที่กำลังนิ่งงันเหมือนถูกสาป ร่างเล็กก็ทรุดฮวบลงไปกองบนพื้นท่ามกลางความตกใจจนขวัญกระเจิงของคนที่เฝ้ามอง

“เจ้าขา!!!”

ราวสิบนาทีหลังจากนั้นด้วยความพยายามอย่างเก้ ๆ กัง ๆ บวกกับความตื่นตกใจของพรรษ วันวิสาข์ก็เริ่มได้สติขึ้นมาอีกครั้ง

แวบแรกที่รู้สึกตัวขึ้นมาท่ามกลางสติสัมปชัญญะที่ยังไม่กลับคืนเต็มที่ ภาพใบหน้ารางเลือนของผู้ชายคนหนึ่งที่กำลังโน้มเข้ามาใกล้ให้ความรู้สึกเหมือนเธอกำลังถูกคุกคาม ทำให้วินาทีนั้นวันวิสาข์ไม่หยุดคิดใด ๆ เมื่อปัดมือออกไปด้วยเรี่ยวแรงที่มี หากผลที่ได้คือแรงปะทะที่ฝ่ามือเล็ก ๆ กระทบเข้ากับใบหน้าของใครคนหนึ่ง

พรรษชาที่ข้างแก้มเมื่อผลของความพยายามช่วยคนเป็นลมคือแรงฟาดจากฝ่ามือของอีกฝ่าย ชายหนุ่มไม่พูดอะไรยามยื่นมือไปหยิบผ้าขนหนูผืนเล็กที่ตกไปอยู่ข้างหมอนซึ่งก่อนหน้านั้นเขานำไปชุบน้ำเพื่อนำมาเช็ดหน้าเช็ดตัวให้กับวันวิสาข์

วันวิสาข์อึ้งไปเมื่อรู้ว่าเงารางเลือนที่เธอเห็นก่อนหน้าคือพรรษ ยังไม่ทันทบทวนว่าเกิดอะไรขึ้นก็ได้ยินคำบอก

“เดี๋ยวผมจะพาคุณไปหาหมอ”

“ฉันไม่ไป!”

ไม่เสียเวลาสักนิดยามวันวิสาข์ปฏิเสธกลับไปอย่างไม่ใยดี แต่เพราะเตรียมใจไว้ว่าคงถูกพรรษโต้กลับมาอย่างไม่ยอมแพ้ ดังนั้นเธอจึงงันไปกับคำพูดที่ชายหนุ่มตอบกลับมา

“ได้”

ราวกับพรรษจงใจให้วันวิสาข์เข้าใจว่าเขาไม่กล้าขัดใจเธอ เพราะหลังจากปล่อยเวลาผ่านไปครู่หนึ่งชายหนุ่มจึงเอ่ยต่อด้วยสุ้มเสียงเรียบสนิทต่างจากแววตาที่แฝงความเอาจริง

“ถ้าอย่างนั้น ผมจะโทร. เรียกรถพยาบาลมารับก็แล้วกัน”

“อย่านะ!”

วันวิสาข์แทบโผตัวขึ้นมาคว้าโทรศัพท์ในมือของพรรษเมื่อเห็นชายหนุ่มหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วทำท่าจะกดหมายเลขโทร. ออก แต่พรรษก็ไวพอเมื่อเบี่ยงตัวหลบแล้วยื่นข้อเสนอกลับมาด้วยสีหน้าแววตาบอกถึงความมุ่งมั่นและไม่ผ่อนปรน

“เลือกมา จะให้ผมพาไปหรือจะให้รถพยาบาลมารับ”

ราวครึ่งชั่วโมงหลังจากนั้น พรรษก็ขับรถพาวันวิสาข์มายังโรงพยาบาลแห่งหนึ่งตามที่หญิงสาวจำใจเลือกเพราะไม่อยากให้ตัวเองกลายเป็นที่สนใจของบ้านใกล้เรือนเคียงหากมีรถพยาบาลแล่นมารับถึงหน้าประตูบ้าน

พรรษค่อยผ่อนลมหายใจออกอย่างโล่งอกและเป็นวินาทีที่เขาเพิ่งรู้ตัวว่ากลั้นหายใจเอาไว้ตลอดเวลาที่ตามวันวิสาข์เข้าไปฟังผลตรวจร่างกาย แวบหนึ่งชายหนุ่มนึกเสียดายที่หญิงสาวไม่ได้ตั้งครรภ์เหมือนอย่างที่เขาแอบคิดและหวังว่าความเห็นแก่ตัวของเขาในคืนแต่งงานจะก่อกำเนิดสายใยรักตัวน้อย ๆ

แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ร่างกายที่อ่อนแอจากการขาดสารอาหารจนทำให้วันวิสาข์เบื่ออาหารกระทั่งส่งผลให้เกิดอาการมึนงงวิงเวียนและปวดศีรษะ รวมถึงร่างกายที่ได้รับการพักผ่อนอย่างไม่เพียงพอ ทั้งหมดนั้นทำให้พรรษยิ่งมุ่งมั่น

จากนี้เขาจะดูแลเธอให้เธอดีที่สุด

ทว่า วินาทีถัดมาภาพจากความทรงจำยามที่หัวใจของเขาได้รับความกระทบกระเทือนจากคำพูดของวันวิสาข์ก็พลันผุดมาเหมือนจะแย้ง

“อย่ามาให้ฉันเห็นหน้าอีก”

เมื่อนึกถึงคำพูดนั้นคราใดหัวใจของพรรษก็ปวดแปลบเสมอ แม้รู้ว่าความตั้งใจของเขาที่สวนทางกับความต้องการของวันวิสาข์อย่างสิ้นเชิงจะทำให้เธอไม่พอใจ แต่เขาก็ยอมไม่ได้เหมือนกัน

ต่อให้ต้องตายเขาก็ไม่มีวันปล่อยมือจากเธอ

ดังนั้น วันวิสาข์จึงทั้งโกรธทั้งขัดใจเมื่อถูกพรรษปฏิเสธอย่างไม่ใยดีในตอนที่เธอยืนกรานความต้องการของตัวเองออกไปอีกครั้งเมื่อทั้งคู่เดินออกมาจากห้องตรวจแล้ว

“คุณกลับไปเถอะ แล้วจากนี้ก็ไม่ต้องมายุ่งกับฉันอีก”

“ไม่! คุณอยู่ที่ไหนผมก็อยู่ที่นั่นด้วย”

“เอ๊ะ!”

หญิงสาวทำเสียงดุเข้าใส่ทั้งที่หัวใจเต้นระรัวกับประกายวิบวับในดวงตาสีน้ำตาลไหม้ รู้สึกราวกับว่าผู้ชายตรงหน้ากำลังจะกลับไปเป็นพรรษ สุวรรณอังกูร คนที่ช่างยั่วแหย่และกวนประสาทเธอในช่วงแรก ๆ ที่เจอกัน จนทำให้วันวิสาข์เริ่มสงสัย

ตัวตนที่แท้จริงของพรรษเป็นคนแบบไหนกันแน่

วินาทีนั้น วันวิสาข์เริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าหัวใจของเธอจะต้านรับกับการเตรียมรับมือในมาดนี้ของพรรษได้หรือเปล่า พอเห็นรอยยิ้มกระจ่างและแววตาอบอุ่นที่แฝงแววขี้เล่นอยู่หน่อย ๆ หัวใจเจ้ากรรมก็คอยกระตุกหรือไม่ก็เต้นแรงราวกับจะเริงร่ายินดีไปด้วย

ไม่! คนที่สามารถทำให้เธอใจอ่อนได้ด้วยรอยยิ้มและแววตาอบอุ่นมีเพียงคนเดียว แต่คนคนนั้นก็หายไปจากชีวิตของเธอแล้ว

และ ‘สูญ’ ก็คือคนคนนั้น

พรรษยิ้มเมื่อเห็นแววสับสนในดวงตาของวันวิสาข์ เข้าใจดีว่าการปรับเปลี่ยนบุคลิกของเขาในตอนนี้คงทำให้เธองุนงงและตั้งรับไม่ทัน และนั่นก็เป็นสิ่งที่เขาต้องการ

เขารู้ วันวิสาข์เข้มแข็งพอสมควรซึ่งอาจเป็นเพราะหญิงสาวเติบโตขึ้นมามาท่ามกลางสภาพแวดล้อมและคนใกล้ชิดที่คอยทำร้ายหัวใจของเธอ ทำให้หัวใจของเธอจำต้องแข็งแกร่งกว่าคนอื่นแต่พลอยเป็นเรื่องยากสำหรับเขาเท่าตัวเมื่อต้องพยายามงอนง้อขอไถ่โทษกับผู้หญิงตัวเล็ก ๆ แต่หัวดื้อและใจเด็ดคนนี้

พรรษถอนหายใจเมื่อนึกถึงวิธีการงอนง้อขอคืนดีกับวันวิสาข์ที่เขาเพิ่งตัดสินใจเมื่อไม่นานมานี้

เอาเถอะ เขาจะลองใช้วิธีหน้าด้านหน้าทนดูสักตั้ง ใครจะรู้ไม่แน่ว่าวิธีนี้อาจทำให้เขาง้อเมียตัวเองสำเร็จก็เป็นได้!

เมื่อออกจากโรงพยาบาล พรรษก็เริ่มต้นทำสิ่งที่เขามุ่งมั่นด้วยการขับรถพาคนขาดสารอาหารเข้าไปในร้านอาหารแห่งหนึ่งที่เคยออกสื่อจากการติดอันดับร้านอาหารชื่อดัง

“คุณพาฉันมาที่นี่ทำไม”

คำถามของวันวิสาข์ได้รับเสียงจี๊จ๊ะในลำคอจากพรรษ ก่อนที่เขาจะทำให้เธอนึกอยากปรี๊ดกับคำตอบที่ได้

“จะพาไปสมัครเป็นสาวเสิร์ฟมั้ง”

พูดจบคนที่ทำหน้าที่ขับรถมาเงียบ ๆ ก็เดินลอยชายลงไปจากรถแล้วทำท่าจะเดินเข้าไปในร้าน แต่เหมือนนึกอะไรได้เมื่อหยุดชะงักก่อนเดินกลับมาเปิดประตูด้านข้างคนขับแล้วออกแรงดึงคนที่ทำหน้าคว่ำหน้างอออกมาจากตัวรถ

วันวิสาข์ยิ่งหัวเสียเมื่อพรรษเหมือนรู้ทันว่าเธอกำลังคิดจะลงจากรถแล้วเรียกรถแท็กซี่กลับไปเอง กำลังจะสะบัดมือออกจากการเกาะกุมชายหนุ่มก็ก้มลงมากระซิบข้างหูด้วยสุ้มเสียงเหมือนจะข่มขู่

“ถ้าคุณยังไม่เลิกดื้อนะเจ้าขา ผมจะปล้ำจูบคุณตรงนี้จริง ๆ”

พรรษลอบยิ้มเมื่อคนหัวดื้อเหมือนจะเชื่อต่อคำขู่ของเขาจริง ๆ จัง ๆ จนทำตัวแข็งเหมือนหุ่นและปล่อยให้เขาจูงมือไปอย่างว่าง่าย หากเมื่อดูจากแววตาของวันวิสาข์แล้วเขาเชื่อว่ายังไงคนหัวดื้อก็ยังคงดื้ออยู่วันยังค่ำ

เอาเถอะ ถึงยังไงในยกนี้เขาก็เป็นผู้ชนะ

นั่นคือสิ่งที่ชายหนุ่มบอกกับตัวเองด้วยกำลังใจที่เริ่มกลับมาเต็มเปี่ยม พร้อมกับการยอมรับเป็นครั้งแรก

เพิ่งรู้! การง้อเมียแบบนี้ก็สนุกไปอีกแบบเหมือนกัน

แล้วก็เป็นอย่างที่พรรษเชื่อ...คนหัวดื้อยังไงก็หัวดื้ออยู่วันยังค่ำ

ตลอดเวลานับตั้งแต่เข้ามาในร้านอาหาร ไม่ว่าพรรษจะถามอะไรวันวิสาข์ก็ไม่ยอมตอบ แต่ชายหนุ่มก็ไม่ว่าไม่คาดคั้นเมื่อรับหน้าที่เป็นคนสั่งอาหารเอง

พรรษยิ้มอย่างนึกขำเมื่อเห็นวันวิสาข์เอาแต่เม้มปากแน่นในขณะที่แววตาก็เริ่มขุ่นขวางเต็มทีหลังจากถูกเขาจ้องเอาจ้องเอาได้สักพักแล้ว ชายหนุ่มเริ่มนับถอยหลังในใจตั้งแต่สิบ...เก้า...แปดพลางคะเนว่าอีกฝ่ายจะหมดความอดทนลงตอนไหน แล้วก็ต้องหัวเราะออกมาเบา ๆ หลังจากนับได้ถึงห้าเสียงแหวของคนนั่งตรงกันข้ามก็ดังขึ้น

“จะมองอีกนานไหม!”

วันวิสาข์ใจเต้นระรัวเมื่อการหัวเราะของพรรษทำให้แววตาของเขาระยิบระยับชวนมอง กำลังบังคับหัวใจตัวเองให้กลับมาเต้นเป็นปกติ คำตอบของอีกฝ่ายก็ส่งผลให้หัวใจเต้นแรงอีกครั้ง

“ก็...จนกว่าเจ้าขาจะยิ้มให้ผม”

“อย่ามาเรียกฉันแบบนั้น”

“ทำไมล่ะ”

“เพราะชื่อนั้นให้เรียกได้แค่คนที่สนิทกันและเป็นคนสำคัญของฉันเท่านั้น”

พรรษสะอึก ทั้งเจ็บทั้งน้อยใจกับคำพูดไม่แยแสของวันวิสาข์ ต้องใช้เวลาครู่หนึ่งกว่าเจ้าตัวจะสามารถฝืนยิ้มออกมาแล้วเค้นเสียงแปร่งถาม

“แล้วผมล่ะ...ไม่สำคัญสำหรับคุณเลยเหรอ”

วันวิสาข์อึ้งเมื่อเจอกับคำถามตรง ๆ หากกระแทกที่หัวใจเข้าอย่างจัง แวบแรกอารมณ์ขุ่นมัวทำให้เกือบตอบออกไปว่าใช่ แต่โชคร้ายของหญิงสาวที่เหลือบไปเห็นแววตาของพรรษเข้าเสียก่อน

วันวิสาข์อึ้งเป็นรอบสองเมื่อเจอกับร่องรอยความสะเทือนใจในดวงตาสีน้ำตาลไหม้ที่กำลังสานสบ รู้ได้โดยไม่ต้องใช้คำพูดว่าเธอทำให้เขาสะเทือนใจ ความใจอ่อนที่ซุกซ่อนอยู่ภายใต้ความเข้มแข็งเริ่มสำแดงตัวตนจนทำให้หญิงสาวพูดไม่ออกเพราะเกรงว่าจะยิ่งทำให้คนฟังเจ็บปวด

หากความหงุดหงิดขัดใจที่ผู้ชายคนนี้ยังคงมีอิทธิพลต่อตัวเองทำให้วันวิสาข์ออกอาการฮึดฮัดอีกครู่ ก่อนบอกเสียงสะบัดพลางเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อยยามเอ่ยออกไปราวกับเสียไม่ได้

“ตามใจ! อยากเรียกยังไงก็เชิญ!”

ปิ๊งป่อง!

เสียงนั้นดังขึ้นในสมองของพรรษหลังจากวินาทีที่ได้ยินคำอนุญาตอย่างไม่เต็มใจนักของวันวิสาข์ ชายหนุ่มลอบยิ้มเมื่อคำบอกของเธอทำให้เขาค่อนข้างมั่นใจ

ที่แท้ นางฟ้าของเขาก็เป็นพวกแข็งนอกอ่อนใน

พรรษซ่อนยิ้มอีกครั้งเมื่อในสมองเหมือนแว่วเสียงระฆังลั่นตอนหมดยก ก่อนให้ข้อสรุปกับตัวเองอย่างอิ่มอกอิ่มใจ

ดูเหมือนว่ายกนี้ เขาก็ยังคงชนะอีกตามเคย


บทที่ 26


วันวิสาข์ไม่รู้ว่าพรรษทำได้ยังไง เพราะเมื่อกลับไปถึงบ้านเช่าของเธอหญิงสาวก็พบว่าที่หน้าประตูมีผู้ชายคนหนึ่งยืนรออยู่ก่อนแล้วพร้อมกับกระเป๋าเสื้อผ้าที่เธอเพิ่งรู้ในภายหลังว่าเป็นของเขา

พรรษยิ้มให้กับลูกน้องคนสนิทของคิมหันต์ราวกับจะขอโทษอยู่ในทีที่ทำให้อีกฝ่ายต้องมาทำงานในส่วนที่ไม่ใช่หน้าที่ของตัวเอง แต่ทำยังไงได้ในเมื่อเขาก็กลัวเหลือเกินว่าหากขับรถกลับไปเก็บกระเป๋าเสื้อผ้าที่โรงแรมด้วยตัวเอง วันวิสาข์อาจอาศัยจังหวะนั้นหนีไปอีกครั้ง ด้วยไม่อยากนึกเสียใจภายหลังพรรษจึงโทรศัพท์ไปขอความช่วยเหลือจากคิมหันต์ถึงแม้ถูกอีกฝ่ายทั้งบ่นและต่อว่าจนหูชาแต่เขาก็ต้องทนเพราะรู้ว่าในที่สุดแล้วพี่ชายคนโตก็เป็นที่พึ่งให้กับน้องชายคนเล็กอย่างเขาได้เสมอ

ชายหนุ่มยิ้มมากขึ้นเมื่อนึกในใจว่าครั้งนี้คิมหันต์ก็คงควักเงินแทนเขาไปอีกตามเคยสำหรับการเช็คเอาท์โรงแรมและใช้เงินติดสินบนพนักงานสำหรับการเคลื่อนย้ายสัมภาระข้าวของของเขาออกมาจากห้องพักกระทั่งส่งตรงมาถึงที่นี่ภายในเวลาอันรวดเร็ว

ลับหลังชายหนุ่มแปลกหน้าที่ขับรถแล่นออกไปแล้ว วันวิสาข์ก็หันไปตั้งคำถามกับคนที่ยังคงยิ้มเต็มหน้าด้วยสีหน้าแววตาวาววับอย่างเอาเรื่อง

“กระเป๋าเสื้อผ้าพวกนี้มันแปลว่าอะไร”

นอกจากคำถามของเธอไม่ได้รับคำตอบแล้ว อีกฝ่ายยังแบมือมาข้างหน้าด้วยท่าทางราวกับจะขอบางอย่างจนทำให้วันวิสาข์ต้องตั้งคำถามอย่างข้องใจ

“อะไรของคุณ”

“กุญแจบ้าน ขอกุญแจด้วยผมง่วงจนตาจะปิดอยู่แล้ว”

ฟังแล้ววันวิสาข์ก็คันไม้คันมือจนอยากซัดคนที่บอกว่าง่วงเต็มที เพราะดวงตาสีน้ำตาลไหม้ที่เธอกำลังสานสบอยู่ในขณะนี้ดูใสแจ๋วราวกับคนที่นอนเต็มอิ่มมาแล้วอย่างไรอย่างนั้น

วันวิสาข์ไม่พูดอะไรยามหยิบพวงกุญแจออกมาจากกระเป๋าหากเจ้าตัวก็ตั้งใจไว้ว่าจะไม่ยอมให้แขกไม่ได้รับเชิญเข้าไปในบ้านอย่างเด็ดขาด แต่แขกที่เชิญตัวเองเหมือนรู้เท่าทันเพราะเพียงแค่เห็นพวงกุญแจเท่านั้น พรรษก็อาศัยความว่องไวฉกชิงมาจากมือของฝ่ายเจ้าบ้านท่ามกลางความอึ้งงันอย่างไม่อยากเชื่อของวันวิสาข์

“คุณ!”

ถึงตอนนี้วันวิสาข์เริ่มโกรธขึ้นมาจริง ๆ กับความหน้ามึนดึงดันของพรรษ เพิ่งรู้และประจักษ์กับตาถึงฤทธิ์เดชลูกชายคนเล็กของบ้านสุวรรณอังกูรก็ในตอนนี้

พรรษเพียงยักคิ้วราวกับจะล้อเลียนท่าทีหัวฟัดหัวเหวี่ยงของวันวิสาข์ ก่อนเดินหิ้วกระเป๋าเสื้อผ้าของตัวเองเดินนำเข้าไปราวกับว่านี่เป็นบ้านของเขาก็ไม่ปาน

แวบหนึ่ง วันวิสาข์นึกอยากหันหลังแล้วหนีไปจากที่ตรงนี้ หากเพียงแค่ขยับตัวน้ำเสียงเข้มจัดก็ลอยลมมาจากคนที่ยังคงสาวเท้าเดินหน้าต่อไปไม่หยุด

“อย่าคิดหนีเชียวนะเจ้าขา เพราะถ้าครั้งนี้หากผมจับคุณได้ล่ะก็ ที่ที่คุณจะอยู่...มีแค่ห้องนอนเท่านั้น!”

คำพูดประโยคสุดท้ายเกือบทำให้วันวิสาข์กรีดร้องออกมาอย่างขุ่นเคืองและคับแค้นใจ

เกิดอะไรขึ้น! ผู้ชายคนที่กำลังตามตอแยเธอตอนนี้เป็นใคร ใช่พรรษ สุวรรณอังกูรคนนั้นแน่เหรอ

วูบนั้นวันวิสาข์นึกอยากถาม แต่คนที่สามารถตอบเธอได้ไม่อยู่ในสายตาเสียแล้วเมื่อเดินลับหายเข้าไปในตัวบ้านในขณะที่เจ้าของบ้านได้แต่ยืนตาปริบ ๆ อยู่นอกประตูรั้วเพราะยังตั้งตัวไม่ติด

ใครนะที่บอกว่าง่วงจนตาจะปิด

วันวิสาข์ได้แต่กัดฟันแน่นยามตั้งคำถามกับตัวเองอย่างหงุดหงิด เมื่อตามชายหนุ่มเข้ามาในบ้านแล้วพบว่าพรรษถือวิสาสะหอบกระเป๋าเสื้อผ้าเข้าไปวางในห้องนอนของเธอหน้าตาเฉยพร้อมกับคำบอกง่าย ๆ

“ฝากไว้หน่อยนะ”

ราวกับรู้ว่าวันวิสาข์คิดอะไรเมื่อพรรษทำราวกับจะยืนยันคำพูดก่อนหน้านั้นของเขาด้วยการทำท่าจะลงไปนอนบนเตียง

“อย่าเชียวนะ!”

พรรษชะงักเมื่อวันวิสาข์ตวัดเสียงเขียวเข้าใส่ไม่ต่างจากแววตาที่กำลังมองมาอย่างขุ่นคลั่ก อดนึกในใจไม่ได้ว่าเขาตีมึนทำเนียนเกินไปหรือเปล่า ถ้าคนที่เขาคิดว่าแข็งนอกอ่อนในกลับกลายเป็นแข็งนอกแข็งในขึ้นมาด้วยการขับไล่ไสส่งเขาออกไปจากบ้านจริง ๆ ถึงตอนนั้นเขาควรใช้วิธีไหนมาตามง้อผู้หญิงหัวดื้อคนนี้ดี

“นั่นเตียงของฉัน”

พรรษทำหน้าม่อยคอตกอย่างให้รู้ว่ากำลังผิดหวัง แต่ครั้งนี้ดูเหมือนใช้ไม่ได้อีกแล้วกับวันวิสาข์เมื่อเธอยังคงมองมาอย่างเอาเรื่อง จนในที่สุดชายหนุ่มก็ต้องถอยให้อย่างยอมแพ้

“แล้วนี่ก็บ้านฉัน และฉันไม่อนุญาตให้คุณมาอยู่ที่นี่!”

พรรษแปลบปลาบในหัวใจ กำลังใจหดหายไปกว่าครึ่งยามเผชิญกับสีหน้าแววตาเอาจริงของวันวิสาข์ เศษเสี้ยวลึก ๆ ในหัวใจที่หวาดกลัวทำให้อดนึกขมขื่นไม่ได้

หรือในหัวใจของเธอไม่เหลือความรักให้กับเขาอีกแล้ว

วินาทีนั้นพรรษจำต้องยอมรับอย่างเจ็บปวด เมื่อนึกย้อนกลับไปถึงการกระทำที่ผ่านมาของตัวเอง

ถ้าเธอจะชิงชังเขาก็สมควรแล้ว

กระนั้นชายหนุ่มก็ไม่อาจห้ามความขมปร่าในหัวใจยามตั้งคำถามที่คงไม่มีใครสามารถให้คำตอบ

แต่เขาล่ะจะทำยังไง ในเมื่อความรักในหัวใจคอยแต่จะเพิ่มขึ้นทุกวินาที

“กลับไปเถอะคุณพรรษ ถือเสียว่าเรื่องระหว่างเราจบสิ้นกันแค่นี้ ไม่มีอะไรติดค้างกันอีกแล้ว”

พรรษยิ่งปวดใจกับถ้อยคำตัดเยื่อขาดใยของวันวิสาข์ ก็พอรู้อยู่ว่าผู้หญิงคนนี้ใจแข็งแต่เขาก็คิดไม่ถึงว่าเธอจะใจแข็งกับเขาได้ถึงเพียงนี้

วูบนั้นความใจแข็งของวันวิสาข์ยิ่งทำให้พรรษปวดแปลบใจเมื่อเกิดคำถามขึ้นมา

ที่ผ่านมาเธอเคยรักเขาแน่เหรอ

อาจด้วยความสับสนที่กำลังคุกคามความรู้สึกเปราะบางจนทำให้พรรษเริ่มไม่แน่ใจ กระทั่งต้องตั้งคำถามออกไปด้วยความปวดใจปนไหวหวั่น

“บอกผมหน่อย...คุณเคยรักผมบ้างหรือเปล่า”

วันวิสาข์น้ำตารื้นเมื่อคำถามของพรรษสร้างความเจ็บปวดให้กับหัวใจ ทิฐิภายในใจทำให้นึกอยากตอบออกไปว่าไม่รัก แต่เพราะรู้ว่าคำตอบนั้นไม่เพียงทำให้คนฟังเจ็บปวดแต่ขณะเดียวกันก็ทำให้คนที่พูดออกไปปวดร้าวด้วยเช่นกัน ดังนั้นวันวิสาข์จึงตัดสินใจใช้การกระทำแทน ด้วยหวังว่าภาษากายของเธออาจทำให้เขายอมตัดใจแล้วหันหลังเดินออกไปจากชีวิตของเธอเสียที

วินาทีที่เห็นวันวิสาข์ส่ายหน้า หัวใจของพรรษก็เจ็บหนึบราวกับถูกกระหน่ำยิงจากลูกธนูนับร้อยที่พุ่งเข้าใส่ ชายหนุ่มกำฝ่ามือที่เริ่มออกอาการสั่นน้อย ๆ จากความสะเทือนใจที่ได้รับ ก่อนเปล่งเสียงพูดออกไปราวกับต้องการจะทดสอบว่าหัวใจสามารถทานทนต่อความเจ็บปวดได้มากแค่ไหน

“พูดออกมาได้ไหม ผมอยากให้แน่ใจว่าที่ผ่านมา...ผมเข้าใจผิดไปเอง”

ถึงตอนนี้วันวิสาข์ก็แทบกลั้นน้ำตาไว้ไม่ได้จนต้องปล่อยให้เป็นเงารื้นสะท้อนความรู้สึกของเธอ กระนั้นเมื่อพรรษเดินเข้ามาราวกับตั้งใจจะมาซับน้ำตาที่จวนเจียนหยาดหยด หญิงสาวก็หยุดเขาเอาไว้ด้วยคำตอบเสียงพร่าสั่นจากความเจ็บปวดในหัวใจ

“ไม่รัก...ฉันไม่เคยรักคุณ”

คนได้คำตอบพยักหน้ารับด้วยสีหน้าหม่นหมอง ก่อนบอกด้วยน้ำเสียงแปร่งปร่าอย่างยอมรับโดยดุษฎี

“ใช่สินะ ที่ผ่านมาคุณไม่เคยรักผม เพราะคนที่คุณรักมาตลอดมีแค่ ‘สูญ’ เท่านั้น”

ราวกับชื่อ ‘สูญ’ ที่หลุดจากปากของพรรษไปกระทบถูกมุมอ่อนไหวในซอกลึกสุดของหัวใจกระทั่งส่งผลให้คนฝืนใจแข็งทนแข็งใจอีกต่อไปไม่ไหวต้องปล่อยให้เม็ดน้ำตากลิ้งลงมาตามข้างแก้ม

พรรษเสียดร้าวไปทั้งหัวใจเมื่อน้ำตาของวันวิสาข์ให้ความรู้สึกไม่ต่างจากหนามแหลมที่กำลังทิ่มแทงเข้ามาในเนื้อใจ หากเมื่อนิ่งมองผู้หญิงหัวดื้อที่กำลังยืนสะอื้นอยู่ตรงหน้าได้ครู่ใหญ่ ชายหนุ่มจึงประกาศความตั้งใจของตัวเองออกมา

“แต่เมื่อ ‘สูญ’ คือส่วนหนึ่งในตัวผม เพราะฉะนั้นไม่ว่าต้องใช้เวลานานแค่ไหนแต่ผมจะพยายามทำให้คุณรักผมที่เป็นตัวผมให้ได้ ถึงแม้คุณจะยังเก็บ ‘สูญ’ เอาไว้ในหัวใจด้วยก็ตาม”

วันวิสาข์แทบไม่อยากเชื่อกับคำประกาศของพรรษ แต่ความมุ่งมั่นเอาจริงในแววตาของเขาทำให้เธอจำต้องเชื่ออย่างหาเหตุผลมารองรับไม่ได้ ทั้งที่บอกตัวเองว่าอย่าเชื่อ ผู้ชายคนนี้เคยโกหกเธอมาแล้ว บางทีครั้งนี้เขาอาจโกหกเธออีกก็ได้ แต่จนแล้วจนรอดหญิงสาวก็ไม่อาจทนต่อเสียงเรียกร้องของหัวใจ

เพราะเสียงหัวใจมันบอกว่าให้เชื่อเขา

ก็เหลือแค่ว่าเธอจะยอมเชื่อเขาและยอมฟังเสียงหัวใจตัวเองหรือเปล่า

คืนนั้น โซฟาตัวยาวในโถงกลางซึ่งใช้เป็นห้องรับแขกด้วยคือที่นอนสำหรับลูกชายคนเล็กของบ้านสุวรรณอังกูร

พรรษยอมทำตัวว่าง่ายเมื่อวันวิสาข์บอกแกมสั่งให้เขาไปนอนตรงนั้น แต่เมื่อหญิงสาวยืนกรานให้ชายหนุ่มใช้บ้านของเธอเป็นที่นอนเพียงคืนเดียวแล้วต้องย้ายออกไปในเช้าวันรุ่งขึ้น พรรษกลับแข็งข้อด้วยการปฏิเสธ

“ผมบอกไปแล้วไง คุณอยู่ที่ไหนผมก็อยู่ที่นั่น”

วันวิสาข์เริ่มตื้อในอกเมื่อเจอพรรษในมาดดื้อดึงเอาแต่ใจ

“จะทรมานตัวเองแบบนี้ไปเพื่ออะไร อยากขอโทษหรืออยากชดใช้ให้กับฉัน ถ้าเป็นอย่างนั้นคุณก็กลับไปเถอะ เพราะฉันยกโทษให้แล้วสำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง แล้วหลังจากนี้...เราสองคนไปมีชีวิตของตัวเองได้แล้ว”

พรรษใจหายกับคำพูดของวันวิสาข์ที่เหมือนเธอไร้เยื่อใยต่อเขาอย่างแท้จริง หลังจากกลืนความขมขื่นกลับเข้าไปในอกตามเดิมชายหนุ่มจึงเค้นเสียงแปร่งปร่าบอก

“ถึงคุณจะยกโทษให้ผมแต่ผมคงไม่มีวันยกโทษให้ตัวเองจนกว่า...จะได้ดูแลคุณไปจนถึงวันสุดท้ายของชีวิต”

วันวิสาข์น้ำตารื้นเมื่อคำพูดตอนท้ายของพรรษกระทบเข้ากับความอ่อนไหวที่เหมือนเป็นปมด้อยของเธอ

นับตั้งแต่จำความได้ เธอต้องคอยดูแลมารดามาตลอดไม่เคยเข้าใจและไม่เคยสัมผัสถึงการฟูมฟักดูแลจากพ่อและแม่ว่าเป็นอย่างไร ถึงแม้มียายอยู่อีกคนแต่ท่านก็ไม่เคยทำให้เธอเฉียดใกล้คำว่าดูแลในฐานะของยายแท้ ๆ เลยสักครั้ง แต่เมื่อได้ยินพรรษบอกว่าเขาจะดูแลเธอ วูบหนึ่งวันวิสาข์ปรารถนาสุดใจที่จะโถมเข้าไปกอดแล้วขอให้เขายืนยันอีกครั้งว่าจะทำเช่นนั้นจริง ๆ

อยากรู้เหลือเกิน การมีคนที่เรารักและรักเราคอยดูแลเอาใจใส่ มันจะให้ความรู้สึกดีแค่ไหน

“ถ้าแค่รู้สึกผิดรู้สึกเสียใจ ไม่จำเป็นหรอก...ฉันไม่ต้องการ”

ยากไม่น้อยกับการฝืนพูดในสิ่งที่ตรงกันข้ามกับความปรารถนา แต่เธอก็จำต้องทำเพราะไม่อยากพบกับความเจ็บปวดและสิ้นหวังในตอนท้ายเมื่อเขาตัดสินใจทิ้งเธอไปอีกครั้ง

พรรษถอนหายใจให้กับความดื้อรั้นของวันวิสาข์ แต่ขณะเดียวกันก็ไม่โทษเธอเพราะรู้ตัวดีว่าที่ผ่านมาเขาทำร้ายความรู้สึกของเธอมากแค่ไหน ทุกอย่างที่ผ่านมาคงทำลายความไว้เนื้อเชื่อใจในตัวเขาไปหมดสิ้น

แต่นั่นไม่ได้ทำให้เขาถอดใจและยอมแพ้!

“ผมยอมรับนะ...ว่ารู้สึกผิดและเสียใจกับสิ่งเลวร้ายที่เคยทำไว้กับคุณ แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลที่ทำให้ผมอยากดูแลคุณไปจนถึงวันสุดท้ายของเราหรอกนะเจ้าขา ที่ผมยังอยู่ตรงนี้ไม่ยอมไปไหนทั้งที่รู้ว่าคุณชังน้ำหน้า มีเพียงเหตุผลเดียวและเป็นเหตุผลเดียวที่อยู่ในหัวใจเสมอมานับตั้งแต่วันที่เจอคุณ...ผมรักคุณเจ้าขา...อย่าไล่ผมไปไหนเลยนะ”

วันวิสาข์ไม่อาจห้ามน้ำตาได้อีกแล้วเมื่อพรรษจบคำพูดของเขาด้วยคำอ้อนวอนขอร้อง หากเขาใช้วิธีบีบบังคับอย่างเอาแต่ใจเหมือนที่ผ่านมา เธอรู้ว่าตัวเองยังสามารถรับมือได้ง่ายกว่า

พรรษแน่นไปทั้งอกเมื่อรู้ว่าตัวเองเป็นต้นเหตุให้วันวิสาข์เสียน้ำตาอีกครั้ง แวบหนึ่งชายหนุ่มนึกถึงคำบอกเล่าของมารดาในตอนที่โทรศัพท์ไปหา ท่านเล่าให้ฟังว่าคิมหันต์ถึงกับหมดท่าเมื่อสารภาพว่าน้ำตาของปัญชิกาทำให้พี่ชายคนโตของเขาถึงกับหายใจไม่ออก จำได้ดีว่าตอนนั้นเขาขำจนหัวเราะไม่หยุดพร้อมกับคิดว่าพี่ชายคนโตพูดเกินจริงไปหรือเปล่า แต่เมื่อมาถึงตอนนี้ในวินาทีที่เห็นน้ำตาของวันวิสาข์ พรรษจึงเพิ่งประจักษ์และเข้าใจว่าคิมหันต์ไม่ได้พูดเกินจริงแม้แต่น้อย

ตอนนี้เขาเองก็กำลังจะขาดใจตายเพราะความรู้สึกแน่นอกและหายใจไม่ออก!

พรรษฝืนยิ้มเมื่อเบือนสายตาหนีภาพบีบคั้นหัวใจ ก่อนบอกเสียงอ่อนราวกับคนที่กำลังจะหมดแรง

“ไปนอนเถอะ...” ครั้นหันกลับมาแล้วเห็นว่าร่างเล็ก ๆ ยังคงยืนอยู่ที่เดิมโดยมีอาการสะอื้นน้อย ๆ พรรษก็ปวดใจจนต้องก้าวเข้าไปหา ก่อนทำตามความปรารถนาด้วยการดึงวันวิสาข์เข้ามาใกล้แล้วกดจุมพิตแผ่วกลางหน้าผาก

“หลับฝันดีนะเจ้าขา ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น ขอให้รู้ไว้ว่าผมจะอยู่ตรงนี้เสมอ...ถึงแม้คุณไม่ต้องการ”


ตอนจบ


คืนนั้นเป็นคืนแรกที่วันวิสาข์นอนหลับสนิทจนถึงเช้านับตั้งแต่วันที่ออกมาใช้ชีวิตเพียงลำพัง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะที่ผ่านมาเธอหวาดระแวงกับอันตรายรอบข้างและกังวลกับชีวิตในวันข้างหน้าหรือเปล่า จนมีผลทำให้ไม่อาจข่มตาหลับหรือไม่ก็มักตื่นขึ้นมากลางดึกเสมอ

“หลับฝันดีนะเจ้าขา ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น ขอให้รู้ไว้ว่าผมจะอยู่ตรงนี้เสมอ...ถึงแม้คุณไม่ต้องการ”

หรือเพราะเมื่อคืนนี้เธอมั่นใจว่าตัวเองจะได้รับการปกป้องจากใครสักคน

หลังจากถอนหายใจออกมาวันวิสาข์ก็สลัดความคิดทั้งปวงแล้วลุกออกจากเตียงเพื่อเตรียมไปอาบน้ำแต่งตัว แต่เมื่อเปิดประตูห้องออกมาหญิงสาวก็ต้องตกใจเมื่อพบว่ามีใครคนหนึ่งกำลังยืนอยู่หน้าประตูราวกับรอเธอตื่นมานานแล้ว

“ตื่นแล้วเหรอ”

พรรษเป็นฝ่ายทักก่อนพลางยิ้มออกมาอย่างนึกเอ็นดูกับใบหน้าเพิ่งตื่นนอนของวันวิสาข์ที่ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นเด็กหญิงซน ๆ คนหนึ่งมากกว่าเป็นหญิงสาวที่ทั้งสวยและน่ารักในสายตาของเขา

ในขณะที่วันวิสาข์ยังตะลึงกับรอยยิ้มเจิดจ้าของพรรษ ชายหนุ่มก็ชิงพูดต่อราวกับจะไม่ให้เธอตั้งตัว

“ไปอาบน้ำแล้วเดี๋ยวมาทานข้าวเช้ากัน ผมทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว”

หลังจากใช้เวลาเกือบชั่วโมงไปกับการอาบน้ำและจัดการธุระส่วนตัวกระทั่งพร้อมสำหรับการเผชิญหน้า วันวิสาข์ก็เข้าไปในห้องครัวที่ก่อนหน้านั้นเธอจัดการแบ่งส่วนเล็ก ๆ เอาไว้สำหรับเป็นที่นั่งทานอาหาร แต่เมื่อมีผู้ชายตัวใหญ่เพิ่มเข้ามาอีกคนเข้ามาทำให้มุมเล็ก ๆ ที่เธอกั้นไว้สำหรับตัวเองดูแคบไปถนัดตา กระนั้นหญิงสาวก็ไม่พูดอะไรเมื่อก้าวเข้าไปนั่งบนเก้าอี้อีกตัวที่พรรษเตรียมไว้ให้ ในขณะที่เขานั่งบนเก้าอี้อีกตัวที่อยู่ตรงกันข้าม

“ผมเปิดตู้เย็นแล้วเห็นมีผักคะน้านิดหน่อยกับไข่ไก่อีกสองฟองก็เลยคิดว่าเอามาผัดข้าวน่าจะดี แต่ผมใช้หมูไปหมดแล้ว เอาไว้สาย ๆ เราออกไปห้างฯ กันนะจะได้ซื้อพวกของสดมาเก็บไว้”

ถึงข้าวผัดฝีมือของพรรษจะหน้าตาชวนรับประทาน แต่วันวิสาข์ก็รู้สึกตื้อในอกจนไม่นึกอยากหลังจากได้ยินคำชักชวนของอีกฝ่าย

วูบนั้น หญิงสาวอดคิดไม่ได้ว่าทั้งเธอและเขาเหมือนเป็นคู่รักที่เพิ่งแต่งงานที่กำลังเริ่มต้นชีวิตคู่ด้วยกัน และความคิดนั้นก็ทำให้ขมขื่นอย่างบอกไม่ถูกเพราะรู้ดีว่าสิ่งที่เธอกำลังคิดไม่มีวันเป็นจริง

เขาไม่มีวันเป็นของเธอ...ไม่มีวัน!

เมื่อเห็นวันวิสาข์นั่งนิ่งเฉยไม่มีทีท่าว่าจะตักข้าวผัดในจาน พรรษก็ยิ้มก่อนเอ่ยออกไปจากความคิดของตัวเอง

“อยากให้ผมป้อนงั้นเหรอ ได้สิ...” พูดจบชายหนุ่มก็ทำท่าจะเอื้อมมือไปตักข้าวผัดในจานของหญิงสาว หากยังไม่ทันได้แตะถูกช้อนก็ต้องชะงักกับน้ำเสียงแข็ง ๆ ที่ได้ยิน

“ไม่ต้อง!”

พรรษยังคงนิ่งงันอยู่กับที่ราวกับจะใช้ความสงบสยบความเคลื่อนไหว ในขณะที่วันวิสาข์ลุกขึ้นยืนหากยังคงเกาะพนักเก้าอี้แน่นราวกับจะใช้มันเป็นหลักยึด

“กลับไปซะ! ที่นี่ไม่ใช่ที่ของคุณ”

คนถูกไล่สูดลมหายใจเข้าลึกราวกับจะให้ไปบรรเทาความเจ็บเสียดที่กลางอก ก่อนเปล่งเสียงบอก...ไม่แข็งแต่ก็แฝงถึงความไม่ยอมแพ้

“ที่นี่เป็นที่ของผม”

“ไม่ใช่! บ้านสุวรรณอังกูรต่างหากที่เป็นที่ของคุณ เป็นโลกของคุณ ไม่ใช่ที่นี่ ไม่ใช่ที่บ้านเช่าหลังเล็ก ๆ แบบนี้”

“คุณเข้าใจผิดแล้วเจ้าขา บ้านสุวรรณอังกูรไม่ใช่ที่ของผม ที่ที่มีคุณอยู่ต่างหากถึงเรียกว่าเป็นที่ของผมอย่างแท้จริง”

พรรษยังคงยืนกรานอีกครั้งอย่างอดทน ก่อนชี้แจงเพิ่มจากความรู้สึกที่อัดแน่นอยู่ในหัวใจ

“คุณต่างหากเจ้าขาคือโลกของผม คือชีวิตของผม”

“ไม่...”

วันวิสาข์ยังคงปฏิเสธทั้งที่ในหัวใจพ่ายแพ้ให้แก่เขาแล้วตั้งแต่เมื่อคืน แต่อาจด้วยทิฐิ ด้วยความหวาดหวั่นที่ซ่อนอยู่ส่วนลึกสุดของหัวใจทำให้เธอยังกลัว...กลัวว่าสักวันพรรษจะทิ้งเธอไปเหมือนอย่างตอนที่ ‘สูญ’ หายไปจากชีวิตของเธอ

เธอไม่อยากเจ็บปวดแบบตอนนั้นอีกแล้ว

ราวกับพรรษล่วงรู้ถึงความรู้สึกของวันวิสาข์ เพราะหลังจากนิ่งมองเธอครู่หนึ่งชายหนุ่มก็เริ่มเปลือยความในใจ

“เจ้าขา ผมไม่มีวันจากคุณไปไหนอีกแล้ว เพราะคุณเป็นชีวิตเป็นหัวใจเป็นโลกทั้งใบของผม ถ้าไม่มีคุณผมก็อยู่ไม่ได้...”

“แต่ฉันไม่ต้องการ!”

คำปฏิเสธที่แทรกขึ้นมาด้วยน้ำเสียงไม่ต่างจากกรีดร้องของวันวิสาข์ส่งผลให้พรรษชะงักงัน แต่นั่นเป็นเพราะเม็ดน้ำตาของเธอที่ร่วงหล่นลงมาพร้อมกันด้วยต่างหาก พรรษปวดไปทั้งใจเมื่อคิดว่าเขาทำให้วันวิสาข์ต้องเสียน้ำตาอีกครั้งแล้ว แต่คำพูดของเธอก็ทำให้เขาสะเทือนใจและขมขื่นกับการได้รู้ว่าตัวเองไม่เป็นที่ต้องการ

“แล้วคุณต้องการอะไรล่ะเจ้าขา บอกผมมาสิ ถ้าทำได้ผมยินดีทำให้ทุกอย่าง แต่...อย่าบอกว่าไม่ต้องการผม อย่าไล่ผมไปจากชีวิตของคุณ เพราะนั่น...เป็นเรื่องเดียวที่ผมทำให้คุณไม่ได้จริง ๆ”

วันวิสาข์ยิ่งร้องไห้หนัก ถ้อยคำของพรรษทำให้เธอแทบต้านทานไม่ไหว ยิ่งมองผ่านม่านหมอกน้ำตาแล้วเห็นว่าในดวงตาของเขาสะท้อนความร้าวรานอย่างเห็นได้ชัด น้ำตาก็ยิ่งทะลักทะลายโดยที่เธอไม่สามารถกลั้นเอาไว้ได้

ทำไมต้องเป็นแบบนี้

คำถามนั้นดังขึ้นท่ามกลางน้ำตาที่ร่วงหล่น ตอนถูกเขาทำร้ายจิตใจเธอก็เสียใจและร้องไห้มามากแล้ว ตอนที่ตัดสินใจหนีจากมาเธอก็มักฝันร้ายจนต้องตื่นขึ้นมากลางดึกพร้อมกับความคิดถึงใครบางคน แล้วทำไม...ทั้งที่ตัดสินใจจะใช้ชีวิตใหม่ที่ไม่ต้องอยู่ภายใต้การบังคับของใคร ไม่ต้องยอมให้ใครมาทำร้ายหัวใจอีก แล้วทำไมเขายังต้องตามมาปั่นป่วนทำให้หัวใจของเธอไม่สงบสุข

แต่อะไรก็ไม่แย่เท่ากับการขับไล่เขาออกไปจากชีวิต ทั้งที่การทำเช่นนั้นเธอเองก็เจ็บปวด แต่การได้รู้และได้เห็นว่าเขาเองก็ปวดร้าวไม่แพ้กัน นั่นกลับยิ่งทำให้เธอปวดใจทบทวีคูณ

พรรษกำมือแน่นเมื่อเห็นวันวิสาข์ค่อย ๆ ทรุดตัวลงไปนั่งกองบนพื้นราวกับหมดสิ้นทั้งแรงกายและแรงใจ ยิ่งเห็นน้ำตาของเธอที่พร่างพรูลงมาราวกับว่าจะไม่มีวันหยุดไหล หัวใจก็เจ็บหนึบจนไม่อาจฝืนทนอยู่ตรงนั้นได้อีก

ตอนที่ร่างสูงผลุนผันจากไปวันวิสาข์รู้สึกเหมือนหัวใจตัวเองถูกพรรษกระชากไปด้วย วินาทีนั้นเธอรู้แล้วว่าต่อให้ ‘พรรษ’ ต่างจาก ‘สูญ’ สักเพียงใดก็ไม่สำคัญอีกแล้ว เพราะสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าและหัวใจเธอยอมรับมานานแล้วก็คือ...เธอรักเขาไม่ว่าเขาจะเป็นใคร

ถึง ‘พรรษ’ จะร้ายและเอาแต่ใจหรือเคยพูดจาทำร้ายจิตใจเธอมากแค่ไหน และถึงเขาไม่อบอุ่น ไม่อ่อนโยน ไม่เป็นที่พึ่งในหัวใจให้กับเธอเหมือน ‘สูญ’ แต่เขาก็เป็นหนึ่งเดียวกัน เป็นหนึ่งเดียวที่อยู่ในหัวใจของเธอเสมอมา

วันวิสาข์ยิ่งน้ำตาร่วงพรูยามโทษตัวเองว่าทำไมถึงเพิ่งมาคิดได้ในตอนนี้ ความโหยหาและไม่อยากสูญเสียความรักที่เธอเฝ้าไขว่คว้ามาตลอดชีวิตทำให้หญิงสาวตัดสินใจลุกขึ้นแล้วรีบวิ่งออกไปข้างนอกพลางหวังว่าอาจทันรั้งใครบางคนที่มีความสำคัญต่อชีวิตและหัวใจของตัวเอง

ทว่า เมื่อวิ่งมาถึงหน้าประตูรั้วแล้วมองออกไปด้านนอกตรงใต้ต้นไม้ที่ห่างออกไปเพียงไม่กี่ก้าว วันวิสาข์ก็ต้องร้องไห้แข่งกับสายฝนที่กำลังพร่างพรมลงมาอย่างหนัก เมื่อเห็นเพียงความว่างเปล่าปราศจากรถยนต์ของพรรษที่เคยจอดอยู่

เขาไปแล้ว เขาทิ้งเธอไปแล้ว

วินาทีนั้น วันวิสาข์หมดสิ้นเรี่ยวแรงที่จะประคองตัวเองได้อีกจนต้องทรุดลงไปบนพื้น ไม่มีกะจิตกะใจรับรู้ใด ๆ กระทั่งว่าตอนนี้ตัวเองกำลังเปียกปอนจากเม็ดฝนที่กำลังกระหน่ำลงมาอย่างหนัก ไม่สนใจหากจะมีใครผ่านไปผ่านมาแล้วเห็นว่าเธอกำลังทำตัวราวกับคนบ้าด้วยการนั่งร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่อย่างนั้น

เหมือนทุกอย่างรอบตัวเธอหยุดนิ่ง เหมือนทุกสิ่งบนโลกใบนี้ไม่มีความหมาย เพราะสิ่งเดียวที่วันวิสาข์ต้องการมีเพียงการร้องไห้...ร้องไห้ให้กับความรักที่เธอไขว่คว้ามาตลอดชีวิต แต่กลับเป็นคนทำลายทิ้งไปด้วยมือของตัวเอง

พรรษ

หญิงสาวได้แต่ร้องเรียกชื่อคนที่จากเธอไปอยู่อย่างนั้นราวกับหวังว่าสวรรค์เบื้องบนอาจเมตตายอมให้เขากลับมาหาเธออีกครั้ง

“กลับมา...กลับมา อย่าทิ้งเจ้าขาไป...”

ท้ายสุดร่างเล็กก็สะอึกสะอื้นออกมาและเอาแต่จมอยู่กับทะเลน้ำตาที่ตัวเองสร้างขึ้น โดยไม่สนใจ ไม่รับรู้ทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัว จนกระทั่ง...

“เจ้าขา มานั่งทำอะไรตรงนี้!”

พรรษทั้งโกรธทั้งห่วงทั้งไม่เข้าใจเมื่อกลับมาพบว่าวันวิสาข์กำลังนั่งร้องไห้ท่ามกลางสายฝน ทั้งที่ตอนแรกเขาแค่อยากไปให้พ้น ๆ จากน้ำตามากมายของเธอเพราะมันทำให้เขาเจ็บที่หัวใจ แต่กลายเป็นว่าเมื่อเขาตัดสินใจขับรถกลับมาเพราะสายฝนที่ตกกระหน่ำลงมาอย่างหนักบวกกับความเป็นห่วงวันวิสาข์ เขากลับได้พบภาพที่ทำให้เขาเจ็บยิ่งกว่าเดิม

วันวิสาข์ผวาทั้งตัวกับเสียงเรียกที่เธอคิดว่าคงไม่มีวันได้ยินอีก กระนั้นเจ้าตัวก็ค่อย ๆ แหงนหน้าขึ้นมองราวกับเกรงว่าสิ่งที่ได้ยินก่อนหน้าจะมาจากการคิดเอาเองของเธอ

“พรรษ!”

เมื่อรู้ว่าสิ่งที่เห็นตรงหน้าไม่ใช่ภาพฝัน ไม่ใช่สิ่งที่เธอคิดขึ้นมาเอง แต่พรรษกลับมาหาเธอจริง ๆ แล้วเขาก็กำลังมองมาที่เธอด้วยแววตาขุ่นเคืองแกมร้อนใจ วันวิสาข์ก็ทำในสิ่งที่เธอปรารถนามาตลอดด้วยการยื่นมือออกไปโอบรัดรอบคอชายหนุ่มเอาไว้

“เจ้าขาขอโทษ เจ้าขาขอโทษ...”

พรรษปวดไปทั้งใจยามวันวิสาข์ผวาเข้ามากอดเขาพลางพร่ำขอโทษทั้งน้ำตา เนื้อตัวสั่นสะท้านของเธอทำให้เขาต้องขบฟันแน่นยามเค้นเสียงบอก

“ผมควรจับคุณมาตีก้นสักทีใช่ไหม ทำไมถึงไม่รู้จักดูแลตัวเองให้ดี”

พูดจบชายหนุ่มก็ตวัดร่างเล็กเข้ามาในอ้อมกอดก่อนเดินแกมวิ่งเข้าไปในตัวบ้าน โดยมีจุดหมายคือห้องน้ำก่อนจะปล่อยเธอลงบนพื้นแล้วทำท่าจะผละตัวออกเพื่อไปหาเสื้อผ้ามาเปลี่ยนให้เธอ

“ไม่! อย่าทิ้งเจ้าขาไป...”

ยามนี้ราวกับวันวิสาข์กลับกลายไปเป็นเด็กตัวเล็ก ๆ ที่ไม่อาจอยู่เพียงลำพังหากปราศจากผู้ใหญ่คอยดูแล และนั่นทำให้พรรษทั้งอ่อนใจและปวดใจในคราเดียวกับท่าทางราวกับเด็กเสียขวัญของเธอ จนต้องก้มลงบอกอย่างอ่อนโยนเหมือนจะปลอบประโลม

“ผมไม่มีวันทิ้งเจ้าขาไปไหน เพราะงั้นไม่ต้องห่วงนะ”

เหมือนคำพูดของพรรษจะซึมซับเข้าไปในส่วนของการรับรู้ในที่สุดกระทั่งวันวิสาข์ยอมคลายมือออก กระนั้นแววตาอ้างว้างของเธอก็ยังคอยเฝ้ามองตามหลังพรรษไป และยืนนิ่งอยู่อย่างนั้นกระทั่งชายหนุ่มกลับเข้ามาอีกครั้งพร้อมกับเสื้อผ้าแห้ง ๆ ในมือ

“เปลี่ยนซะ”

พูดจบชายหนุ่มก็ปิดประตูห้องน้ำ ก่อนจัดการผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเปียก ๆ ของตัวเองตรงหน้าประตู กระทั่งเวลาผ่านไปครู่หนึ่งร่างเล็กในเสื้อผ้าชุดใหม่ก็เปิดประตูห้องน้ำออกมา

พรรษไม่พูดอะไรเมื่ออุ้มวันวิสาข์ขึ้นมาแนบอกก่อนพากลับเข้าไปในห้องนอนแล้วปล่อยให้เธอนั่งลงบนปลายเตียง จากนั้นจึงหาผ้าขนหนูผืนเล็กมาจัดการเช็ดผมเปียก ๆ ให้กับหญิงสาว

วันวิสาข์น้ำตารื้น หัวใจอุ่นขึ้นจากการกระทำของพรรษ เพิ่งเข้าใจในยามนี้ว่านี่ต่างหากคือสิ่งที่เธอต้องการ ไม่ใช่การผลักไสเขาออกไปจากชีวิต แต่ต้องการให้เขาเข้ามาเติมเต็มสิ่งที่ขาดหายไป

“เจ้าขา...รักพรรษ”

หัวใจคนฟังเหมือนจะหยุดเต้นในวินาทีที่ได้ยินคำพูดติดสะอื้นของคนที่เขากำลังตั้งหน้าตั้งตาเช็ดผมให้เธออย่างอ่อนโยน ไม่อยากเชื่อหูจนต้องตั้งคำถามออกไปด้วยหัวใจที่เต้นแรง

“เมื่อกี้ เจ้าขาพูดว่าอะไรนะ”

“เจ้าขารักพรรษ พรรษ...อย่าโกรธอย่าเกลียดเจ้าขาเลยนะ อย่าทิ้งเจ้าขาไป...”

พรรษแทบพูดไม่ออก ไม่ต้องให้ใครบอกเขาก็รู้ว่าหัวใจของวันวิสาข์กำลังถูกกระทบจากเรื่องในอดีตบวกกับความคิดว่าเขาทิ้งเธอไปแล้ว ทำให้ยามนี้หญิงสาวแลดูอ่อนแอและเปราะบางเสียจนเขาแทบไม่กล้าแตะต้องเพราะเกรงเธอจะแตกหักไปต่อหน้าต่อตา

“ไม่...”

เพราะห่วงสภาพจิตใจของวันวิสาข์มากกว่าทำให้พรรษพยายามฝืนเค้นเสียงพูดออกไปทั้งที่ขมปร่าในลำคอจากความตื้นตันที่รู้ว่าเธอก็รักเขาหากขณะเดียวกันเขาก็นึกสงสารเธอจับหัวใจ

“ผมไม่มีวันทิ้งเจ้าขา เจ้าขาเป็นหัวใจ ผมจะอยู่ได้ยังไงถ้าไม่มีหัวใจ เพราะฉะนั้น...เจ้าขาไม่ต้องกลัวนะ ผมไม่มีทางไปจากเจ้าขา ไม่มีทาง!”

“พรรษ...”

คำบอกนั้นเหมือนปัดเป่าความหวาดกลัวที่ซุกซ่อนอยู่ก้นบึ้งของหัวใจไปได้กระทั่งหญิงสาวได้แต่ซุกตัวร้องไห้อยู่ในอ้อมกอดอบอุ่นของคนที่โอบกอดเธอไว้แน่นราวกับจะยืนยันคำพูดที่บอกไปก่อนหน้านี้

เมื่อจิตใจเริ่มปลดปล่อยจากความทุกข์กังวล ร่างกายก็พลอยผ่อนคลายไปด้วย ดังนั้นจึงไม่แปลกที่พรรษจะพบว่าคนหัวดื้อของเขาเข้าสู่ภาวะหลับใหลไปในท่าซุกตัวเข้ากับอ้อมกอด และพรรษก็ใจไม่แข็งพอจะปลุกเธอขึ้นมาดังนั้นชายหนุ่มจึงค่อย ๆ ช้อนคนตัวเล็กเข้ามาอย่างระมัดระวังไม่ให้รบกวนการนิทราของอีกฝ่าย ก่อนวางศีรษะหญิงสาวลงบนหมอนนุ่ม ๆ จากนั้นจึงกดริมฝีปากลงไปบนหน้าผากของอีกฝ่ายด้วยสัมผัสบางเบาราวกับขนนก ก่อนกระซิบถ้อยคำของหัวใจราวกับหวังว่าจะช่วยให้เธอพบกับฝันดี

“ผมรักคุณ”

พรรษยังคงนิ่งมองคนที่เป็นหัวใจของเขานิ่งนาน ก่อนลุกขึ้นไปยืนมองท้องฟ้าผ่านบานหน้าต่างหลังรู้ว่าฝนหยุดไปนานแล้วและตอนนี้ตรงเส้นขอบฟ้าก็มีสายรุ้งพาดผ่านอยู่

เมื่อฝนหยุดตก ท้องฟ้าก็มักปลอดโปร่ง และหากโชคดีก็มีสายรุ้งมาให้เห็นเหมือนอย่างในตอนนี้ ก็เปรียบได้กับชีวิตของคนเรา หลังเผชิญกับเรื่องเลวร้ายต่างต่างนานาที่ถาโถมเข้ามาไม่หยุดยั้งราวกับพายุฝนที่พัดกระหน่ำ แต่ขอเพียงมีกำลังใจและมุ่งมั่นที่จะฝ่าฟันอุปสรรคนานัปการไปได้ เราก็จะพบกับความสำเร็จที่รออยู่เบื้องหน้า

ชายหนุ่มยิ้มเมื่อแสงสีหลากหลายของรุ้งงามชวนให้นึกถึงคำพูดที่ใครหลายคนมักชอบกล่าวขาน

ฟ้าหลังฝนย่อมงดงามเสมอ

พรรษยิ้มกว้างขึ้นอย่างเห็นด้วย ยิ่งในยามนี้เมื่อชีวิตของเขาผ่านพ้นอุปสรรคจนได้หัวใจของตัวเองกลับคืนมา สายรุ้งที่กำลังแตะแต้มเส้นขอบฟ้าเบื้องหน้าก็ดูเหมือนงดงามกว่าที่เคยเห็นมา


จบบริบูรณ์

------------------------------------------------------------------------------------------------


สวัสดีค่ะ เอาบทสรุปของพรรษกับวันวิสาข์มาให้แบบรวดเดียวจบ...คิดว่าอาจทำให้บางคนตั้งตัวไม่ทันกันเลยทีเดียว ฮ่า ๆๆๆๆๆ


ในที่สุด ซี่รี่ย์สามหนุ่มสามฤดูของพันวลีก็เสร็จสิ้นสมบูรณ์ลงจนได้ อดดีใจไม่ได้จริง ๆ ที่ตัดสินใจมุ่งมั่นปั่นต่อไม่ยอมถอดใจไปจริง ๆ เหมือนที่เคยเกือบ ๆ จะทำมาแล้ว แต่ก็ใจหายที่ต้องจากสามพี่น้องตระกูลสุวรรณอังกูรไป รู้สึกเหมือนอยู่กับสามพี่น้องนี้มานานค่ะ จากนี้ก็คงต้องเสาะหาหนุ่ม ๆ คนอื่นต่อไป ^^


แล้วก็...ขออนุญาตแจ้งข่าวล่วงหน้าค่ะ สามหนุ่มสามฤดูของพันวลีผ่านการพิจารณาจากสำนักพิมพ์แล้ว ถ้ามีความคืบหน้ายังไงพันวลีจะทยอยมารายงานกับเพื่อน ๆ นะคะ


สุดท้ายนี้..ขอขอบคุณจริง ๆ ค่ะสำหรับรอยยิ้มและเสียงหัวเราะที่แบ่งปันให้กันจากคอมเม้นท์น่ารัก ๆ ตอนที่ร่วมด้วยช่วยกันจิก ๆ กัด ๆ พระเอกงี่เง่าคนนี้ (ฮ่า ๆๆๆ แต่จริง ๆ แล้วพระเอกของพันวลีส่วนมากก็งี่เง่าทุกราย เน๊อะ)


ปล. แหะ..แหะ.. ขอติดป้ายเอาไว้ก่อนค่ะ ว่าไม่มีตอนพิเศษนะคร้า กันไว้ก่อนเผื่อมีคนขอ แต่คิดว่าไม่น่าจะมีหรอก ^^


ปลล. ถ้าพันวลีขอตั้งคำถามจะได้มั้ยคะ คืออยากรู้ว่าในสามหนุ่มสามฤดูเนี่ย ฤดูหนาว ฤดูร้อน ฤดูฝน...ฤดูไหนแย่ที่สุด ฮ่า ๆๆ
หรืออีกนัยคือ ในสามคนนี้นายคนไหนงี่เง่าสุดและแย่สุดในความรู้สึกของคนอ่่านน่ะค่ะ ส่วนตัวของคนแต่งเอง..แน่นอนว่าเป็นฤดูร้อนค่ะ เพราะเกลียดหน้าร้อนมาก (โฮะ ๆๆๆ มันเกี่ยวกันตรงไหนเนี่ย)



ขอบคุณสำหรับทุกคอมเม้นท์และทุก LIKE ที่กดมอบเป็นกำลังใจให้กันเสมอมาค่ะ



konhin : ขอบคุณสำหรับเสียงหัวเราะแรกที่มอบให้กันค่ะ อ่านคอมเม้นท์ไปพร้อมรอยยิ้มและขำมาก ๆ ทำเอาไขว้เขวไปเหมือนกันว่าหรือจะไปแก้ตอนจบเรื่องนี้ใหม่ดีนะ ฮ่า ๆๆๆ จบแบบเกาหลีก็เข้าท่าดีนะคะ แต่ถ้าให้เจ้าขาตีหัวนายพรรษจนสลบแล้วค่อยหนีไปก็น่าสน แล้วก็ดูเหมาะกับเจ้าขาและสาสมกับนายพรรษมาก ๆ (เอ๊ะ! นี่แสดงว่าพันวลีก็ซาดิสใช่มั้ยคะ)
ส่วนที่บอกว่าคนกระทำกับคนถูกกระทำเจ็บไม่เท่ากันเนี่ย เห็นด้วยร้อยเปอร์เซนต์เลยค่ะ ต้องให้คนกระทำกลายเป็นคนถูกกระทำนั่นล่ะ ความเจ็บจึงจะทัดเทียมกัน..
ปล. ขอบคุณจริง ๆ ค่ะสำหรับการคืนความสุขและเสียงหัวเราะ พันวลีขำจริง ๆ มีความสุขมาก ๆ ด้วย..ขอบคุณอีกครั้งค่ะสำหรับคอมเม้นท์ที่มอบให้กันมาตั้งแต่ต้นจนจบ ^^



ปิ่นนลิน : ตอนที่แล้วสงสารนายพรรษ แล้วตอนนี้ล่ะคะยังสงสารอยู่รึเปล่าคะหลังจากเห็นวิธีการง้อเจ้าขาแบบใหม่ของนายคนนี้ ฮ่า ๆๆๆๆ ส่วนเรื่องของสูญเนี่ย อาจจะเป็นปัญหาอีกอย่างของเจ้าขาจริง ๆ ล่ะค่ะ เพราะจะว่า สูญ คนที่ไม่มีอะไร กับ พรรษ ที่มีพร้อมทุกอย่าง ก็ทำให้เจ้าขาทำใจลำบากเหมือนกัน..ขอบคุณนะคะสำหรับกำลังใจที่ให้กัน ^^



กาซะลองพลัดถิ่น : หลายครั้งที่คนเรามักปล่อยให้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผล บางทีรู้ทั้งรู้ว่าทำลงไปมันไม่ดี ไม่ถูกต้อง แต่ก็ยังขอให้ได้ทำเพื่อแลกกับความสะใจหรือความชอบใจของตัวเอง ซึ่งตอนนี้เจ้าขาก็น่าจะเข้าข่ายนี้ ยิ่งคิดว่าตัวเองเป็นฝ่ายถูกทำร้าย ความเสียใจ ความน้อยใจก็อยู่เหนือเหตุผล ไม่ทันได้นึกถึงเรื่องอื่น คงต้องให้เวลาหรือไม่..ก็ต้องดูว่านายพรรษจะทำให้เจ้าขาหายโกรธได้รึเปล่า..อืม ส่วนเรื่องที่ว่าผิดกันทั้งหมด พันวลีก็เห็นด้วยค่ะ แต่ขอยกมือค้านนิดนึงนะคะเพราะคิดว่านายพรรษผิดมากกว่าใครเพื่อนค่ะ ^^ (โฮะ ๆๆๆ งานนี้พันวลีขอเข้าข้างนางเอกค่ะ ไม่เอนเอียงไปหาพระเอกเหมือนที่ผ่านมา)..ขอบคุณมากค่ะสำหรับการให้ความรู้ในเรื่องที่พันวลีไม่เคยรู้ ^^



Zephyr : บางทีการเอาคืนของเจ้าขาที่ทำให้พรรษเจ็บปวดมากที่สุด ก็อาจเป็นการที่รัก สูญ มากกว่าก็ได้ ฮ่า ๆๆๆๆ แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นพันวลีว่าก็ไม่แปลกนะ เพราะจะว่าไป สูญ เป็นรักแรกของเจ้าขา เพราะฉะนั้นถ้าเจ้าขาจะยึดติดกับ สูญ มากกว่าเพราะเธอยึดเขาเป็นที่พักพิงหัวใจในขณะที่ พรรษ กลับเข้ามาพร้อมกับการทำร้ายจิตใจ เจ้าขาก็ย่อมรักและยึดติดกับ สูญ มากกว่า พอสรุปแบบนี้แล้วพี่เรนก็น่าสงสารอย่างที่คุณ Zephyr ว่าล่ะค่ะ...แต่ยังไงซะก็คนเดียวกันแล้วถึงยังไงเจ้าขาก็รัก เพียงแต่อาจไม่เท่ากันเท่านั้นเอง..ขอบคุณสำหรับคอมเม้นท์ที่หลายครั้งทำให้พันวลีหัวเราะได้เสมอค่ะ ^^



นักอ่านเหนียวหนึบ : แหม ๆๆๆๆ ตอนที่แล้วมีการตัดพ้อต่อว่า ? (พันวลีเข้าใจว่าอย่างนั้นอ่ะ) ก็คิดว่าเศร้านิด ๆ หน่อย ๆ จริง ๆ นี่นา ^^ งั้นตอนนี้คงพอจะลดความขมในคอไปได้บ้างใช่มั้ยคะ ฮ่า ๆๆๆๆ ถ้าไม่ได้ก็ไม่รู้แล้วอ่ะ ก็มันจบแล้วนี่นา โฮะ ๆๆๆๆ




พันวลี
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 11 พ.ค. 2558, 00:02:24 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 11 พ.ค. 2558, 00:02:24 น.

จำนวนการเข้าชม : 1873





<< ตอนที่ 24   ตอนพิเศษของชุดฤดูกาลรักที่กลางใจ-สามฤดูในหนึ่งวัน (รวมมิตร) >>
Zephyr 11 พ.ค. 2558, 00:51:55 น.
ฮะ บอกก่อนว่าตกใจ
อัลลัยฟระ ตอนจบ!!!!
จะจบเร็วไปไหน ฮือออออ
ยังๆๆๆๆ ยังจบไม่ได้น้า
พี่คนโต น้องคนเล็กเข้าหอหมดละ
พี่คนกลางละคะ พี่ไอซ์อ่ะ นางยังไม่ได้แต่งกันเลยนะ
ให้พี่ไอซ์ ฝึกเป็นนักบวชรึคะ อดๆๆๆๆ
เดี๋ยวเฮีย ตบะแตก นะคะ
แต่ละเรื่องนี่ซิกเนเจอร์ สุวรรณอังกูรมากค่า
เอาแต่ใจ คิดเอง เออเอง น่าถีบทุกคนเลย
พระเอกทุกคนชอบตบหัวนางที่รัก ขับไล่ แล้วไปตามตะครุบกลับเข้ากรงทองนะคะ 5555
แถม นิสัยตรงชื่อสุดๆๆๆๆๆ
พี่ไอซ์ก็นิ่งซะ นิ่ง นิ้ง นิ่ง จะนิ่งไปไหน
พี่ซันก็เดือดๆๆๆๆๆ ร้อนๆๆๆๆองค์ลงตลอดๆๆๆๆ
พี่เรนเหรอ หดหู่ เศร้า อารมณ์เหมือนคนอกหัก ฝนตก 555 เกี่ยวกันมั้ย เกี่ยว แต่ทุกคน หื่นๆๆๆๆ
หื่นออกนอกหน้ากะหื่นหลบใน คริคริ
สรุป นิสัยเสียตามเลเวลค่ะ


กาซะลองพลัดถิ่น 11 พ.ค. 2558, 03:05:49 น.
จบแล้ว...จบได้น่ารักจัง... และขอแสดงความยินดีด้วยนะคะ ที่สามหนุ่มได้ผ่านการพิจารณาให้เป็นหนุ่มในฝัน เอ้ย...ไม่ใช่คะ
แหม ผ่านการพิจารณาจากสำนักพิมพ์แล้ว รูปเล่มอะไร ยังไง เมื่อไหร่ แจ้งบอกกันด้วยนะคะ
และจะขอรอเรื่องต่อ ๆ ไป คาดว่าคงจะไม่นานใช่ไหมคะ........


ปิ่นนลิน 11 พ.ค. 2558, 03:19:37 น.
จบแล้วว ดีใจจัง อบอุ่นดีจังเลยตอนจบ จริงๆอยากเห็นฉากพรรษพาเจ้าขาไปเจอแม่และพี่ๆจัง น่าจะน่ารักนะคะ ฮ่าาา

ยินดีกับเรื่องหนังสือด้วยค่ะ ^^


konhin 11 พ.ค. 2558, 05:35:00 น.
จบแล้ว กรี๊ดดดดดดดด
แบบว่า มีดักขอ กะจะขอตอนพิเศษเลย งั้นขอตอนที่แบบ รวมสามหนุ่มได้มั้ยอ่ะ ไม่ใช่พิเศษของเรื่องนี้แต่เป็นของseries (เลี่ยงใบบัวชัดๆ)


LAM 11 พ.ค. 2558, 13:46:58 น.
ที่คนอ่านว่าร้ายที่สุดนี่น่าจะเป็นฤดูฝนของนายพรรษนี่ละเล่นมาแบบพายุ จนคนอ่านน้พตาจะท่วมอยู่ล่่ะ ยินดีด้วยนะคะกับเรื่องหนังสือ

ว่าแต่นายพรรษไม่พาหนูเจ้าขาไปพบแม่และบรรดาพี่ ๆ บ้างหรอค่ะ คนอ่านอยากรู้ และอยากรู้จุดจบของคุณยายของเจ้าขาด้วยว่าจะเป็นไง

ปล. พันวลีไม่คิดแต่งเรื่องของพี่ชลบ้างเหรอคะ คนอ่านอยากอ่านน่ะ
เป็นกำลังใจให้พันวลีเสมอนะคะ


หมูบูลิน 12 พ.ค. 2558, 04:22:56 น.
หายไปตอนนึง มาอ่านจนจบแล้วนะค่ะ ไว้ออกเป็นหนังสือแล้วจะตามไปซื้อเก็บไว้นะค่ะ เ
จอกันเรื่องหน้าค่ะ ถ้าคนเขียนจะอัพให้อ่าน


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account