พันธะรักจอมเถื่อน
ความทรงจำที่หายไปหลังจากประสบอุบัติเหตุพลัดตกจากเรือ
ทำให้ ‘อรอาภา’ นักออกแบบเครื่องประดับสาวที่กำลังประสบความสำเร็จอย่างสูง
ลืมเลือนไปหมดทุกสิ่งทุกอย่าง แม้แต่เรื่องที่ว่าตน ‘แต่งงาน’ และมี ‘สามี’ แล้ว
มิหนำซ้ำ ผู้ชายคนนั้นยังรักใคร่และดูแลเอาใจใส่เธอเป็นอย่างดี
จนกระทั่งหญิงสาวตายใจ ยอม ‘ทำหน้าที่เมีย’ ให้แก่เขาอย่างเต็มที่ ทุกวันและทุกคืน
แม้จะแปลกใจที่ ‘ร่างกายเธอ’...
ดูจะไม่คุ้นเคยกับการกอดรัดฟัดเหวี่ยงอันเร่าร้อนของเขาแม้แต่น้อย
หากไม่นานความจริงก็เริ่มปรากฏ...
ว่าคนที่เธอได้ ‘ทำความรู้จัก’ กันมาแล้วอย่างลึกซึ้งและถึงพริกถึงขิง
แท้ที่จริงเป็นซาตานจอมขี้โกง เชื่อใจไม่ได้ ที่หวังล่อลวง
และใช้ความโชคร้ายของเธอเป็นเครื่องมือบำเรอความสุขเพียงเท่านั้น!
ไม่มีใครล่วงรู้ว่าทำไม... ผู้ชายระดับ ‘ฟาเบียโน่ ลูอิส โดส ซานโตส โอลีเวย์ร่า’
นักธุรกิจมหาเศรษฐี เจ้าของเหมืองเพชรและทองแหล่งใหญ่ของประเทศบราซิล
จึงไม่รีรอที่จะสอนจังหวะร่างกายอันกระแทกกระทั้นเร้าใจอย่างหนุ่มละตินให้แก่เธอ
ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้... ถ้าคิดจะให้เขาชายตามองผู้หญิงแพศยา
ให้กินเศษเดนความสาวที่ผ่านมือชายมาเป็นร้อยน่ะหรือ... อย่าฝันไปเลย!
แต่เพราะอะไร ‘ความลับนั้น’ คงมีแต่เขาคนเดียวที่รู้...
และฟาเบียโน่ก็จะเก็บมันเอาไว้ ‘อย่างมิดชิด’ ให้เป็นปริศนา
เช่นเดียวกับที่เขาตั้งใจจะหน่วงเหนี่ยวเธอเอาไว้เป็นทาสบำเรอบนเตียงตลอดกาล
“ตายจริงเฟลิกซ์!! คุณได้แผลกลับมาด้วย ขอฉันดูหน่อยสิคะ”
อรอาภาตกใจพลางดึงใบหน้าที่ซบลงตรงหว่างอกของตัวเองออกมาอย่างยากลำบาก
หากแต่ไม่ได้รับความร่วมมือจากเจ้าตัวแม้แต่น้อย
ปากและจมูกของฟาเบียโน่ระดมจูบไปทั่วอกอวบทั้งสองข้าง
สูดกลิ่นหอมยวนใจที่ฝันหามาแสนนานเข้าเต็มปอด
“อื้อ... ดะ...เดี๋ยว เฟลิกซ์! ฉันอยากดูแผลให้คุณก่อน อื้อ...”
“แผลแค่นี้ไม่ทำให้ผมตายหรอกเมียจ๋า...
ถ้าจะตายก็คงตายเพราะไม่ได้รักคุณมากกว่า”
ฟาเบียโน่พูดอู้อี้กับอกอิ่มพร้อมออกแรงรัดเอวคอด
ลอยขึ้นด้วยแขนทรงพลังเพียงข้างเดียว
ทำให้ ‘อรอาภา’ นักออกแบบเครื่องประดับสาวที่กำลังประสบความสำเร็จอย่างสูง
ลืมเลือนไปหมดทุกสิ่งทุกอย่าง แม้แต่เรื่องที่ว่าตน ‘แต่งงาน’ และมี ‘สามี’ แล้ว
มิหนำซ้ำ ผู้ชายคนนั้นยังรักใคร่และดูแลเอาใจใส่เธอเป็นอย่างดี
จนกระทั่งหญิงสาวตายใจ ยอม ‘ทำหน้าที่เมีย’ ให้แก่เขาอย่างเต็มที่ ทุกวันและทุกคืน
แม้จะแปลกใจที่ ‘ร่างกายเธอ’...
ดูจะไม่คุ้นเคยกับการกอดรัดฟัดเหวี่ยงอันเร่าร้อนของเขาแม้แต่น้อย
หากไม่นานความจริงก็เริ่มปรากฏ...
ว่าคนที่เธอได้ ‘ทำความรู้จัก’ กันมาแล้วอย่างลึกซึ้งและถึงพริกถึงขิง
แท้ที่จริงเป็นซาตานจอมขี้โกง เชื่อใจไม่ได้ ที่หวังล่อลวง
และใช้ความโชคร้ายของเธอเป็นเครื่องมือบำเรอความสุขเพียงเท่านั้น!
ไม่มีใครล่วงรู้ว่าทำไม... ผู้ชายระดับ ‘ฟาเบียโน่ ลูอิส โดส ซานโตส โอลีเวย์ร่า’
นักธุรกิจมหาเศรษฐี เจ้าของเหมืองเพชรและทองแหล่งใหญ่ของประเทศบราซิล
จึงไม่รีรอที่จะสอนจังหวะร่างกายอันกระแทกกระทั้นเร้าใจอย่างหนุ่มละตินให้แก่เธอ
ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้... ถ้าคิดจะให้เขาชายตามองผู้หญิงแพศยา
ให้กินเศษเดนความสาวที่ผ่านมือชายมาเป็นร้อยน่ะหรือ... อย่าฝันไปเลย!
แต่เพราะอะไร ‘ความลับนั้น’ คงมีแต่เขาคนเดียวที่รู้...
และฟาเบียโน่ก็จะเก็บมันเอาไว้ ‘อย่างมิดชิด’ ให้เป็นปริศนา
เช่นเดียวกับที่เขาตั้งใจจะหน่วงเหนี่ยวเธอเอาไว้เป็นทาสบำเรอบนเตียงตลอดกาล
“ตายจริงเฟลิกซ์!! คุณได้แผลกลับมาด้วย ขอฉันดูหน่อยสิคะ”
อรอาภาตกใจพลางดึงใบหน้าที่ซบลงตรงหว่างอกของตัวเองออกมาอย่างยากลำบาก
หากแต่ไม่ได้รับความร่วมมือจากเจ้าตัวแม้แต่น้อย
ปากและจมูกของฟาเบียโน่ระดมจูบไปทั่วอกอวบทั้งสองข้าง
สูดกลิ่นหอมยวนใจที่ฝันหามาแสนนานเข้าเต็มปอด
“อื้อ... ดะ...เดี๋ยว เฟลิกซ์! ฉันอยากดูแผลให้คุณก่อน อื้อ...”
“แผลแค่นี้ไม่ทำให้ผมตายหรอกเมียจ๋า...
ถ้าจะตายก็คงตายเพราะไม่ได้รักคุณมากกว่า”
ฟาเบียโน่พูดอู้อี้กับอกอิ่มพร้อมออกแรงรัดเอวคอด
ลอยขึ้นด้วยแขนทรงพลังเพียงข้างเดียว
Tags: ฟาเบียโน่ - อรอาภา
ตอน: ตอนที่ 8 100%
หลังจากที่ดีเอโก้ เปไรย์ร่า ได้สั่งซื้อทองคำแท่งล็อตแรกจาก ฟาเบียโน่และได้รับทองคำแท่งเหล่านั้นครบตามที่สั่งซื้อแล้ว หลายวันต่อมาเขาก็ได้เดินทางมาพบบุคคลหนึ่งซึ่งเป็นเจ้าของเงินทุนทั้งหมดที่ดีเอโก้ นำไปซื้อทองคำแท่ง อัลเฟไลย์ เอลาโน่ นักธุรกิจหนุ่มผู้ที่เบื้องหน้าคร่ำหวอดในวงการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ เบื้องหลังนั้นเขาเป็นคนกลางในการฟอกเงินให้กับเงินผิดกฏหมายทุกอย่าง ส่วนแบ่งที่มากโขทำให้ผู้ชายที่เติบโตจากสลัมก้าวขึ้นมาเป็นมหาเศรษฐีในวัยเพียงแค่สามสิบหกปีเท่านั้น
“ทองคำแท่งล็อตแรกหมดไปแล้ว พรุ่งนี้จัดการสั่งทองคำล็อตต่อไปกับคิงส์ ออฟ เจมส์ด้วย” อัลเฟไลย์สั่งเสียงเข้มทันทีที่ดีเอโก้เดินเข้ามาหยุดตรงหน้า
ดีเอโก้ปั้นหน้ายากและเงียบกริบ ไม่รับคำหรือปฏิเสธแต่อย่างใด จึงทำให้อัลเฟไลย์ละสายตาจากเอกสารตรงหน้าเหลือบตาขึ้นมองชายร่างท้วมที่เขาใช้เป็นแค่หมากตัวหนึ่งในการสั่งซื้อของจากฟาเบียโน่เท่านั้น!
“มีปัญหาอะไรอย่างนั้นเหรอ??” อัลเฟไลย์ถามเสียงเย็น!
“อะ...เอ่อ คือผมเกรงว่าเซญอร์ฟาเบียโน่จะสงสัยว่าทำไมถึงได้สั่งของเพิ่มเร็วนัก เพราะจากเหตุผลที่ผมให้ไว้กับเขาตามที่เซญอร์อัลเฟไลย์บอกนั้น เขาต้องสงสัยแน่ครับ” ดีเอโก้บอกอย่างลำบากใจ
อัลเฟไลย์มองหน้าดีเอโก้เงียบ จริงสินะ! คนอย่างฟาเบียโน่ไม่ใช่ว่าจะขายของให้ใครก็ได้ที่มีเงินมาซื้อ แต่คนๆ นี้สืบประวัติของลูกค้าทุกคนและรู้ถึงที่ไปที่มาของสินค้าของตัวเองเสมอ ไอ้หมอนี่มันยอมหักแต่ไม่ยอมงอ! แม้กระทั่งกับเขาที่เป็นเพื่อนรักกันมา เมื่อมันรู้ความจริงว่าเขาทำธุรกิจผิดกฏหมายยังตัดเพื่อนกับเขาได้ในทันใด
“เปิดบริษัทอินเวสเมนต์ขึ้นมาอีก เปิดในอาร์เจนติน่าบ้าง บราซิลบ้าง เอามาสักสองสามบริษัทก่อน เน้นลงทุนในทองคำนี่แหละ ฉันจะเอามาใช้ประโยชน์เหมือนกับแอลอินเวสเมนต์” อัลเฟไลย์พูดพร้อมยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์
“แต่มันไม่ง่ายอย่างนั้นน่ะสิครับ เซญอร์ฟาเบียโน่ต้องสืบประวัติของลูกค้าทุกคนอย่างละเอียดอยู่แล้ว”
“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงหรอก ทำตามคำสั่งเท่านั้น ส่วนเรื่องประวัติความเป็นมาของบริษัทที่ตั้งขึ้นมาใหม่พวกนี้ ฉันจะให้คนของฉันจัดการเอง” อัลเฟไลย์บอกแล้วหันมาสั่งกับคนสนิทที่ยืนอยู่ข้างๆ “ลุยเซา แกจัดการจ่ายเงินส่วนแบ่งให้เซญอร์ดีเอโก้ แล้วก็ไปจัดการตามที่ฉันสั่งให้เรียบร้อยด้วย”
“ครับเซญอร์” ลุยเซารับคำเจ้านายและเดินนำดีเอโก้ออกไปจากห้องทำงานทันที
อัลเฟไลย์นั่งคิดถึงเพื่อนรักที่เปลี่ยนมาเป็นศัตรูกันมาได้ถึงแปดปีแล้ว ความจริงหากจะเรียกว่าเป็นศัตรูก็คงจะไม่ใช่อย่างนั้นซะทีเดียว มันเป็นเหมือนต่างคนต่างเลือกเดินบนทางคนละเส้นแล้วมันก็เป็นทางเส้นขนานที่ไม่สามารถจะมาบรรจบกันได้ ต่างคนต่างไม่ยุ่งเกี่ยวเรื่องของกันและกันมานานแล้ว
ก่อนที่จะตัดขาดกันฟาเบียโน่มันยังบอกว่าเห็นแก่ที่โตมาด้วยกัน เป็นเพื่อนกันมาถึงสิบเจ็ดปี แต่ถ้าเขายังเข้าไปยุ่งเกี่ยวหรือตอแยกับธุรกิจของมันอีก มันบอกว่ามันจะฆ่าเขาด้วยมือของมันเอง!!
อัลเฟไลย์เติบโตมาจากครอบครัวยากจนที่เป็นชนพื้นเมือง อาศัยอยู่สลัมในเมืองใหญ่อย่างรีโอ พ่อแม่ของเขาทำงานเป็นคนส่งยาให้กับหัวหน้าที่อยู่ในสลัมด้วยกัน พ่อแม่ติดยางอมแงม เขาเองก็เคยเป็นเด็กส่งยาเพื่อหาเงินเอามาซื้อข้าวกินไปวันๆเหมือนกัน วันหนึ่งอัเฟไลย์ไปเดินเล่นที่ชายหาด เห็นเด็กวัยใกล้เคียงกับตัวเองกำลังเล่นฟุตบอลอยู่อย่างสนุกสนาน มันเป็นกีฬาที่ผู้คนทุกวัยตั้งแต่เด็กเล็กจนถึงคนชราต่างก็คลั่งไคล้กีฬาประเภทนี้กันทุกคน อัลเฟไลย์เองก็เช่นกัน เขามองเด็กกลุ่มนั้นอย่างอยากเข้าไปร่วมวงเล่นด้วยแต่ก็ไม่กล้าเพราะไม่รู้จัก และดูจากการแต่งตัวแล้วคงเป็นลูกคนรวย จึงได้แต่ยืนมองห่างๆด้วยสายตาความอิจฉาและน้อยใจที่ตัวเองไม่มีโอกาสจะได้สัมผัวลูกฟุตบอลใหม่ๆอย่างนั้น ไม่นานนักก็มีเด็กชายสองคนเดินเข้ามาหาและชวนไปร่วมวงด้วย ซึ่งอัลเฟไลย์เองไม่ได้รีรอเลย เขาเข้าไปเล่นสนุกกับเพื่อนวัยเดียวกันทันที และเด็กชายที่เดินเข้ามาหาตนเองคนนั้นก็คือฟาเบียโน่และอเตต้าร์น้องชายของฟาเบียโน่นั่นเอง
ฟุตบอลกับผู้ชายเป็นกิจกรรมกระชับความสัมพันธ์ได้อย่างดีเยี่ยม หลังจากนั้นในตอนบ่ายจัดของทุกวันอัลเฟไลย์จะไปรอเพื่อนใหม่ที่ชายหาดเป็นประจำ ฟาเบียโน่และอัลเฟไลย์นั้นมีอายุไล่เลี่ยกันจึงเล่นสนุก คุยกันถูกคอ เงียบขรึม ไม่ชอบแสดงความรู้สึกผ่านทางสีหน้าและแววตา จากนั้นทั้งฟาเบียโน่และอัลเฟไลย์ก็กลายเป็นเพื่อนนอกห้องเรียนกัน
หลายวันต่อมาฟาเบียโน่ไม่เห็นอัลเฟไลย์มารอเล่นฟุตบอลอย่างเคย เขาแปลกใจมากจึงออกเดินตามหาอัลเฟไลย์ไปเรื่อยๆตามชายหาดด้วยความหวังว่าอาจจะเจออัลเฟไลย์บ้าง ไม่นานนักฟาเบียโน่ก็ได้เห็นอัลเฟไลย์นั่งก้มหน้าร้องไห้คนเดียวที่ริมชายหาด เขาซุกตัวราวกับหลบซ่อนใครบางคนที่ซอกเหลือบถังขยะหลายๆถังที่วางเรียงกันอยู่ด้วยสภาพมอมแมมไม่ได้อาบน้ำมาหลายวัน
ฟาเบียโน่จึงพาอัลเฟไลย์กลับมาที่บ้านของตนเองด้วย คุณปู่การันก้าเป็นคนตะล่อมถามเรื่องราวความเป็นมาของเขา จึงได้รู้ว่าพ่อของเขาเสพยาเกินขนาดทำให้หัวใจวายตายเมื่อสามวันที่แล้ว ส่วนแม่ก็ถูกตำรวจจับได้ในระหว่างที่กำลังส่งยาให้วัยรุ่นกลุ่มหนึ่ง พอแม่โดนจับก็ถูกศาลพิพากษาให้จำคุกถึงยี่สิบปี อัลเฟไลย์จึงเป็นเป้าหมายต่อไปที่จำทำงานหน้าที่ส่งยาแทนพ่อแม่ของตัวเอง เขากลัวมากเพราะรู้ว่าทุกคนที่ทำงานส่งยาให้พวกมันต้องถูกพวกมันมอมยา เมื่อติดยาแล้วก็จะง่ายต่อการควบคุมและทำทุกอย่างตามที่พวกมันสั่ง อัลเฟไลย์ไม่อยากจะมีชีวิตเหมือนเพื่อนวัยเดียวกันอีกหลายคนที่อยู่ในสลัม เขาจึงหนีมาหนีมานั่งร้องไห้อยู่ตรงที่ฟาเบียโน่ไปพบมาได้สองคืนแล้วเพราะไม่รู้ว่าจะไปที่ไหนดี!!
คุณปู่การันก้าเข้าใจในปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างไม่ยาก เพราะมันเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นกลาดเกลื่อนในชุมชนแออัดทุกชุมชนในบราซิลซึ่งเป็นประเทศที่ได้ชื่อว่ามีการผลิตยาเสพติดมากที่สุดประเทศหนึ่งของโลกก็ว่าได้ ท่านจึงให้อัลเฟไลย์ได้พักอยู่ที่บ้านริมหาดอีปาเนมาก่อน เพื่อให้หนุ่มน้อยตั้งตัวและคิดหาวิถีทางแก้ไขปัญหาต่อไป
แต่ระยะเวลาเพียงแค่ห้าวันของการที่อัลเฟไลย์ก้าวเข้าไปพักอาศัยในบ้านตระกูลโอลีเวย์ร่า ในตอนเย็นของวันหนึ่งทีวีช่องท้องถิ่นของรีโอก็ได้รายงานข่าวว่ามีนักโทษหญิงถูกฆาตกรรมในเรือนจำอย่างโหดเหี้ยม! และสันนิษฐานว่าน่าจะเป็นการฆ่าปิดปากเพื่อไม่ให้นักโทษหญิงคนดังกล่าวซักทอดถึงแหล่งที่มาของยาเสพติดและผู้อยู่เบื้องหลังที่บงการให้เธอส่งยา! เมื่ออัลเฟไลย์ได้เห็นภาพของนักโทษหญิงคนนั้นเด็กหนุ่มถึงกับทรุดลงไปกองอยู่ที่พื้น!! ร้องไห้โฮ... ปากพร่ำบอกว่านักโทษหญิงคนนั้นคือแม่ของตน และเขาจะกลับไปสลัมเพื่อแก้แค้นให้พ่อและแม่ของเขาต้องตาย!!
คุณปู่การันก้าได้ฟังแล้วก็ตกใจอยู่ไม่น้อย นึกเวทนาในชะตากรรมของเด็กหนุ่มอายุเพียงสิบขวบ จึงได้พูดปลอบใจและห้ามไม่ให้เขาออกจากบ้านเพื่อไปแก้แค้นอย่างที่เขาตั้งใจเพราะหากปล่อยให้อัลเฟไลย์กลับไปตอนนั้นมันก็เท่ากับว่าส่งเขาให้ตายไปพร้อมกับพ่อและแม่ของเขาที่เพิ่งจากไปนั่นเอง
คุณปู่การันก้าได้พาอัลเฟไลย์ไปแสดงตัวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อรับศพของแม่ไปประกอบพิธีทางศาสนา หลังจากนั้นจึงได้ทำเรื่องเพื่อรับอุปการะอัลเฟไลย์ให้ถูกต้องตามกฏหมาย อัลเฟไลย์ใช้ชีวิตในช่วงแรกในบ้านตระกูลโอลีเวย์ร่าอย่างเด็กที่มีปมในใจ เขากลายเป็นคนเก็บตัวเงียบ ไม่ค่อยพูดจากับใครแม้แต่กับฟาเบียโน่ที่คอยหาเรื่องชวนออกไปเที่ยวเล่นตามประสาเด็กวัยเดียวกัน จนคุณปู่การันก้าคิดว่าต้องพูดกับเด็กหนุ่มให้เข้าใจเพราะหากปล่อยไว้อย่างนี้แล้วก็รังแต่จะทำให้เขากลายเป็นเด็กเก็บกด ฝังตัวเองจมอยู่กับความแค้นและการคิดหาวิธีที่จะแก้แค้น วันหนึ่งคุณปู่การันก้าจึงเข้าไปพูดกับอัลเฟไลย์ในห้องส่วนตัวของเขา หากแต่สถานะการณ์ตรงหน้าที่คุณปู่เจอมันกลับยากกว่าที่คิดไว้ เพราะอัลเฟไลย์นั้นเติบโตขึ้นมาอย่างเข้มแข็งดิ้นรนเพื่อให้ตัวเองได้มีชีวิตรอดก็จริง แต่ขาดความรักความอบอุ่นในครอบครัว ขาดการดูแลเอาใจใส่ของคนเป็นแม่จึงทำให้อัลเฟไลย์เป็นเด็กที่ฝังใจกับการแก้แค้น รักแรงเกลียดแรง การันก้านั้นผ่านร้อนผ่านหนาวมามากทำไมเขาจะไม่รู้ว่าหากตัวเองเผลอเรอเมื่อไหร่ อัลเฟไลย์ต้องกลับไปสลัมนั่นอีกครั้งแน่!!
อัลเฟไลย์ยังจำคำพูดของคุณปู่การันก้าได้ขึ้นใจจนถึงทุกวันนี้ ‘ฉันจะบอกอะไรให้นะเจ้าหนุ่ม ลูกผู้ชายอย่างเราน่ะ อีกสิบปีแก้แค้นก็ยังไม่สาย แต่ก่อนจะถึงวันนั้นต้องไม่ลืมที่จะหาความมั่นคงในทุกด้านให้กับตัวเองเสียก่อน ถึงวันนั้นแล้วอยากจะทำอะไร ก็ไม่มีใครว่าอะไรได้’
มันได้ผล! คำพูดที่เหมือนไม่ได้ห้ามให้แก้แค้นนั่น ทำให้อัลเฟไลย์เงยหน้าจากการนั่งจดจ้องที่ฝ่ามือว่างเปล่าของตัวเองขึ้นมามองคุณปู่การันก้าได้ ‘ฉันพูดจริงๆนะ ความมั่นคงที่ว่าคือการศึกษา แกต้องเรียนให้จบหาความรู้ให้กับตัวเอง เมื่อคนเรามีความรู้ก็สามารถสร้างรายได้เพื่อเลี้ยงตัว เงินตราจะนำมาซึ่งเกีรยติยศ ชื่อเสียง อำนาจ สิ่งเหล่านี้มันจะทำให้แกสามารถกลับไปจัดการกับคนพวกนั้นได้ จริงอยู่ว่าพวกในสลัมนั่มมันก็แค่ลูกกะจ๊อก แต่อย่าลืมว่าพวกที่บงการมันอยู่คือตัวที่มีทั้งอำนาจ อิทธิพลอย่างที่ฉันว่ามา แล้วดูแกตอนนี้ซิ!! จะเอาอะไรไปแก้แค้นให้พ่อแม่ได้’
นับจากวันนั้นอัลเฟไลย์กลายเป็นอีกคนที่มีความมุมานะ ตั้งใจเรียน ใช้ชีวิตตามที่เด็กปกติทั่วไป เรียนจบปริญญาตรีในมหาวิทยาลัยชื่อดังก้องโลกในประเทศอังกฤษเหมือนกันกับฟาเบียโน่ทุกประการโดยใช้เงินทุกเฮอัลของตระกูลโอลีเวย์ร่า การันก้านั้นหวังให้อัลเฟไลย์เติบโตขึ้นเป็นคนที่ฟาเบียโน่สามารถวางใจได้ เป็นมือเป็นเท้าช่วยกันทำให้ธุรกิจของโอลีเวย์ร่าเจริญรุ่งเรือง และมันก็เป็นอย่างที่คุณปู่การันก้าหวังไว้แค่เพียงไม่นานนัก อัลเฟไลย์ก็เกิดเรื่องผิดใจกับฟาเบียโน่อย่างรุนแรง จนต้องประกาศตัดขาดมิตรภาพความสัมพันธ์ฉันท์เพื่อนพี่น้องที่มีให้กันมายาวนานนับจากวันนั้นจนถึงตอนนี้
ก๊อก... ก๊อก...
เสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นทำให้อัลเฟไลย์หลุดจากห้วงความคิดของตนเองในครั้งอดีต พร้อมๆกับร่างของลุยเซาคนสนิทเดินเข้ามาในห้อง
“ดีเอโก้กลับไปรึยัง” อัลเฟไลย์เป็นฝ่ายถามขึ้นก่อน
“ครับเซญอร์ แต่ดูเหมือนดีเอโก้จะกังวลเรื่องเซญอร์ฟาเบียโน่เอามากๆ ผมสังเกตได้จากสีหน้าและแววตาเขา อ้อ... ดีเอโก้ยังเล่าให้ผมฟังด้วยนะครับว่าวันที่เขาได้นัดทานข้าวกับเซญอร์ฟาเบียโน่นั้น ท่านมากับภรรยา”
อัลเฟไลย์ขมวดคิ้วแปลกใจอย่างหนัก เขารู้จักฟาเบียโน่ดีพอๆกับรู้จักตัวเอง และมั่นใจว่าข่าวของฟาเบียโน่ที่ให้สายสืบติดตามมาตลอดตั้งแต่หมางใจกันนั้นไม่เคยพลาดแน่ แต่ทำไมเขาถึงไม่เคยรู้ว่าฟาเบียโน่มีเมียแล้วเลย?!! “แค่คู่ขาชั่วคราวรึเปล่า?”
“ตอนแรกผมก็คิดว่าอย่างนั้นแหละครับ แต่ดีเอโก้ว่าเซญอร์ฟาเบียโน่แนะนำว่าเธอคือภรรยาครับ ชื่อจำยากมาก...” ลุยเซามองหน้าของเจ้านายที่ทำหน้าแปลกใจพลางเล่าสิ่งที่รู้มาต่ออีก “ดีเอโก้เองก็บอกว่าจำชื่อเธอไม่ค่อยได้เพราะว่าเป็นผู้หญิงเอเชียตัวเล็กๆ น่าทะนุทถนอมไม่ใช่ผู้หญิงหุ่นยั่วน้ำลายทั่วไปอย่างที่เซญอร์ฟาเบียโน่เคยควงด้วย เห็นว่ามาจากประเทศไทยครับ ดูทะนุทถนอมเป็นพิเศษยังกับไข่ในหินเลยครับ”
“งั้นแกไปสืบมาสิว่าผู้หญิงคนนี้มีที่ไปที่มายังไง หล่อนจะเป็นเมียฟาเบียโน่จริงๆน่ะเหรอ?!” อัลเฟไลย์สั่งคนสนิทแต่ท้ายประโยคเหมือนถามตัวเองเพราะยังไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยินมาเท่าไหร่นัก
ลุยเซาจึงออกไปทำตามคำสั่งของเจ้านายทันที
อัลเฟไลย์จึงได้คิดถึงเรื่องของฟาเบียโน่ที่เพิ่งได้ข่าวว่าเขามีเมียแล้ว ตั้งแต่ที่รู้จักกันมาฟาเบียโน่คบกับผู้หญิงมากหน้าหลายตาก็จริง แต่เขาก็คบทีละคน และไม่เคยเห็นฟาเบียโน่จะถูกใจผู้หญิงหน้าไหนพอที่จะออกปากแนะนำกับใครว่าเป็นเมียของตนเองสักครั้ง!! นี่เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่เขาและฟาเบียโน่มีความคิดเห็นที่ตรงกันว่าผู้หญิงคือบ่อเกิดของปัญหาและความยุ่งยากทั้งปวงในโลกใบนี้!! หากยกฐานะพวกเธอขึ้นมาเกินกว่าคู่นอนแล้วนั่นก็หมายถึงว่าจะต้องมีการเพิ่มฐานะของพวกเธอให้สูงขึ้นเรื่อยๆจนไปจบลงที่ทะเบียนสมรส!!
นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทั้งคู่ไม่เคยคิดจะยกผู้หญิงหน้าไหนให้เกินกว่าคู่นอนชั่วคราวที่มีความพึงพอใจกันในความสัมพันธ์ทางกายเท่านั้น หรือไม่ก็แค่จ่ายค่าตอบแทนเล็กๆน้อยๆเพื่อให้พวกเธอเลือกซื้อของฟุ่มเฟือยตามใจอยากบ้างแล้วก็จบเรื่องกันไป... แล้วใครกันนะที่ทำให้ฟาเบียโน่ถึงกับยอมรับว่าเธอคือภรรยา อัลเฟไลย์อยากรู้ขึ้นมาในทันใด!??
พงศกรเจมส์ กรุงเทพมหานคร
หลังจากที่นงนุชวางใจว่าฟาเบียโน่จัดการเรื่องเกี่ยวกับอรอาภาได้เรียบร้อยแล้ว นัดดาก็ยังมีท่าทีเงียบไปและเธอก็ยังได้รู้ว่ามาอรอาภานั้นติดต่อกลับมาแล้ว แต่ก็ไม่ได้เรียกนัดดามาซักถามแต่อย่างใดเพราะไม่ต้องการที่จะเกี่ยวข้องกับผู้หญิงคนนั้นอีก
เครื่องเพชรชุดใหญ่ที่อรอาภาได้ออกแบบไว้เรียบร้อยแล้ว ก็ได้ทำการขึ้นตัวเรือนจนออกมาเป็นชุดเครื่องเพชรที่สวยงามที่สุด และยังถูกใจคุณหญิงเลอลักษณ์หนักหนา ลูกค้าในแวดวงสังคมชั้นสูงจำนวนมากจึงเป็นลูกค้าประจำของพงศกรเจมส์ไปโดยปริยาย หากแต่มีเรื่องหนึ่งที่ทำให้นงนุชและต่อพงษ์ต้องปวดหัวก็คือ ยอดขายของพงศกรเจมส์ที่โฆษณาว่าได้ใช้เพชรทั้งหมดจากคิงส์ ออฟ เจมส์ มันขายดีจนแทบจะผลิตไม่ทัน ต่องพงษ์สั่งซื้อเพชรจำนวนมากขึ้นจากครั้งแรกอีกครั้งในช่วงเวลาหนึ่งเดือนที่ผ่านมา นงนุชและต่อพงษ์พอใจอย่างมากกับยอดขายที่เพิ่มมากขึ้นแม้จะต้องตอบคำถามเรื่องการทวงสินค้าจากลูกค้าอยู่บ่อยครั้งก็ตามที
นงนุชนั้นเรียกได้ว่าสมหวังดังความปราถนาของตนเองทุกประการทั้งในเรื่องธุรกิจ และครอบครัวของลูกชายที่ได้เข้าพิธีแต่งงานกับแววดาว ลูกสาวเจ้าของห้างหรูที่เธอหมายตาไว้แต่แรกนั่นเอง
หลังจากที่กลับจากบราซิลในคราวนั้นต่อพงษ์และแววดาวก็ประกาศที่จะแต่งงานกันทันที ข่าวนี้สร้างเป็นที่โด่งดังในแวววงสังคมไปทั่วเพราะรวดเร็ว กระชั้นชิด จนมีข่าวซุบซิบออกมาว่าแววดาวนั้นตั้งครรภ์จึงต้องรีบแต่งงานกันแบบสายฟ้าฟาด
ต่อพงษ์เองก็ไม่ได้ขัดข้องแต่อย่างใดเพราะเห็นท่าทางอาเจียนราวกับคนแพ้ท้องของแววดาว และเชื่อฟังคำสั่งของแม่ตนเองว่าต้องเห็นความเจริญก้าวหน้าของธุรกิจมาก่อนสิ่งอื่นใด หลังจากที่ทั้งคู่เข้าพิธีแต่งงานกันมาได้ราวสองเดือน แววดาวจึงเพิ่งจะบอกกับสามีว่าตนเองไม่ได้ตั้งท้องอย่างที่เข้าใจ แต่อาการคลื่นไส้ วิงเวียนศรีษะ ประจำเดือนคลาดเคลื่อนไปหลายสัปดาห์นั้นคงจะเป็นเพราะความเครียดเท่านั้น โดยหารู้ไม่ว่าแววดาวนั้นรู้จักป้องกันตนเองเป็นอย่างดี ผลพวงแห่งความปราถนาอันเร่าร้อนจึงไม่ได้เกิดขึ้นตามที่แววดาวนั้นตั้งใจไว้แต่แรกแล้ว ต่อพงษ์เพียงแค่พยักหน้ารับพร้อมลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก ในใจลึกๆเขาเองก็ยังไม่ได้อยากจะมีลูกในตอนนี้นักเพราะยังไม่อยากจะหาห่วงมาผูกคอตัวเอง เพียงแค่การใช้ชีวิตร่วมกันได้ไม่ถึงเดือนดี ต่อพงษ์ก็ไม่มีเวลากระดิกตัวไปไหนมาไหนเหมือนเมื่อก่อนได้แล้ว
แววดาวยังเข้ามาทำงานที่พงศกรเจมส์ด้วยดูแลเรื่องดีไซน์เครื่องประดับทั้งหมด ส่วนมากจะตำหนิให้ดีไซเนอร์ไปแก้ไขมากใหม่ทั้งหมด แต่แววดาวกลับไม่เคยบอกว่าให้แก้ไขในรายละเอียดปลีกย่อยตรงจุดไหนเลย ทำให้ดีไซเนอร์ในบริษัทหลายคนบ่น เกิดความไม่พอใจขึ้น!!
ต่อพงษ์ได้ยินเสียงบ่นเหล่านี้มาเกือบสองสัปดาห์แล้ว และไมอาจปล่อยให้เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นต่อไปได้อีกเพราะหลังๆมานี่ พงศกรเจมส์ แทบจะไม่มีเครื่องประดับดีไซน์แปลกตาเหมือนอย่างเมื่อก่อนเลยจนมีเสียงเรียกร้องจากลูกค้าให้ต่อพงษ์รีบทำการค้ากับคิงส์ ออฟ เจมส์ อย่างเต็มตัวสักทีเพราะอยากจะเลือกซื้อเครื่องประดับในแบบที่คนดังทั่วโลกได้ซื้อกัน ไม่ใช่งานดีไซน์เก่าๆอย่างพงศกรเจมส์กำลังทำอยู่ในตอนนี้ มันเป็นเหตุผลที่ทำให้ต่อพงษ์ตัดสินใจที่จะคุยกับแววดาวให้รู้เรื่อง ชายหนุ่มเดินเข้ามาในห้องทำงานส่วนตัวของแววดาวโดยไม่เคาะประตูก่อน พร้อมโยนแบบสเก็ตเครื่องประดับลงบนโต๊ะทำงานของภรรยาสาวไม่เบานัก!
“ทำไมทำอย่างนี้คุณดาว??”
“ทำอะไรคะ?” แววดาวละสายตาจากจอคอมพิวเตอร์มามองหน้าสามี
“ก็แก้งานของดีไซเนอร์แบบนี้น่ะสิ! ผมไม่ว่านะ ถ้าคุณจะให้พวกเขาแก้ไขบางจุดแต่ก็ควรจะเรียกเขามาดูจุดที่ต้องแก้ทีละจุดไป ไม่ใช่ใช้ปากกาแก้งานพวกเขาแบบนี้ มันไม่ถูกต้อง” ต่อพงษ์ใช้นิ้วชี้ของตนเองชี้ลงไปในแบบสเก็ตซ์ตรงหน้าแววดาว “อย่างตรงนี้ ถ้าคุณจะให้เขาแก้ คุณก็ต้องใช้ดินสอวงกลมไว้แล้วก็เขียนรายละเอียดลงในกระดาษโน๊ตต่างหาก ไม่ใช่ใช้ปากกาเขียนลงไปแบบนี้ จากที่ต้องแก้ไขหน่อยเดียว กลับกลายเป็นว่าต้องวาดขึ้นมาใหม่ทั้งหมด! ทำแบบนี้มันเสียเวลารู้ไหม!?”
“แต่ฉันคิดว่าฉันทำถูกแล้ว คุณก็รู้ว่าลูกค้าของเรามีแต่ระดับวีวีไอพีทั้งนั้นจะทำงานง่ายๆไม่ได้ แม้จะแก้จุดเล็กๆนิดเดียวก็สมควรต้องวาดขึ้นมาใหม่ ถ้าแบบสเก็ตซ์ถึงมือของฝ่ายผลิตแบบลวกๆงานที่ออกมามันก็ไม่มีทางที่จะเพอร์เฟคไปได้หรอกค่ะ” แววดาวบอกสามีที่ยืนหน้าตึงอยู่ที่เดิม
“พงศกรไม่เคยทำงานลวกๆ ทำไมผมจะไม่รู้ว่าพนักงานของบริษัทตัวเองทำงานอย่างตั้งใจกันทุกคน แต่การที่คุณทำแบบนี้มันไม่ถูก คุณน่าจะรู้ว่าตั้งแต่ที่คุณหญิงเลอลักษณ์ไว้วางใจเรา เป็นลูกค้าเรา ฐานลูกค้าระดับสูงของเราก็เพิ่มมากขึ้นจนแทบจะออกแบบใหม่ๆมาไม่ทันอยู่แล้ว แต่กลับต้องมาเสียเวลาเพราะสิ่งที่คุณทำลงไป แล้วคุณเองก็น่าจะรู้ดีว่าการวาดรูปเครื่องประดับที่สวยๆออกมาสักภาพมันก็ไม่ใช่เรื่องง่าย พวกงานศิลป์ต่อให้เก่งแค่ไหนถ้าอารมณ์ไม่ดีหรือได้เห็นว่าคนอื่นมาทำลายผลงานของตัวเอง ก็ไม่มีทางที่จะวาดมันออกมาได้สวยงามเท่าภาพแรกที่ตั้งใจหรอก!”
แววดาวเหยียดยิ้มใส่ตาสามีอย่างไม่เกรงกลัว “แหม! ดูสามีของฉันนี่จะเข้าอกเข้าใจพวกอารมณ์ศิลปินดีเหลือเกิน สงสัยจะเป็นพวกวัวเคยขาม้าเคยขี่!!”
“แววดาว!!” ต่อพงษ์ปรามภรรยาเสียงแข็งแต่แววดาวก็หาได้ใส่ใจ
“ก็หรือไม่จริง ฉันแก้งานของยัยนัดดา เพื่อนของแฟนเก่าคุณหน่อยเดียว คุณถึงกับต้องมาต่อว่าฉันเสียงดัง หรือคุณจะรวบทั้งยัยนัดดาด้วยอีกคน?”
ต่อพงษ์ข่มอารมณ์ไว้อย่างสุดกลั้น เขากำหมัดแน่นที่ได้ยินคำดูถูกและความไม่มีเหตุผลของแววดาว “คุณจะคิดไปแบบไหนก็ตามใจ แต่ต่อไปนี้ผมขอสั่งห้ามให้แก้งานแบบนี้อีก ถ้ายังไม่เชื่อกันดื้อรั้นที่จะทำอย่างนี้อีกต่อไป อย่างหาว่าผมไม่เตือนก็แล้วกัน!! อ้อ... แล้วที่นี่ที่ทำงาน อย่ากรีดร้องโวยวายให้ได้อายพนักงานก็แล้วกัน!!” ต่อพงษ์พูดดักหน้าไว้พร้อมเดินออกจากห้องทำงานของแววดาว ใจจริงก็อยากบอกถึงเหตุผลที่แท้จริงว่าหากเธอยังมัวแต่ทำงานโดยเอานิสัยความเอาแต่ใจของตัวเองเป็นที่ตั้งตัดสินงาน มันจะทำให้พงศกรเจมส์ตกที่นั่งลำบาก เพราะยอดสั่งซื้อเพชรจากคิงส์ ออฟ เจมส์ นี้มากพอที่จะทำให้เปิดร้านคิงส์ ออฟ เจมส์ สาขาประเทศไทยได้โดยง่าย แต่นั่นไม่ใช่จุดประสงค์ที่แท้จริงของต่อพงษ์ เขาเพียงแค่อยากยืมชื่อของคิงส์ ออฟ เจมส์ มาเป็นใบเบิกทางสู่กลุ่มลูกค้ากระเป๋าหนัก โดยตนเองก็สามารถขายเครื่องประดับแบรนด์พงศกรเจมส์ได้เช่นกัน แต่หากพงศกรเจมส์ยังไม่มีดีไซน์ใหม่ๆ เก๋ๆ ออกมาให้ลูกค้าได้เลือกอยู่แบบนี้ ก็คงต้องรับสภาพคนนั่งขายของให้คิงส์ ออฟ เจมส์ แล้วมีกำไรจากส่วนแบ่งเพียงไม่กี่เปอร์เซ็นต์และมันก็เป็นสิ่งที่ต่อพงษ์กลัวว่าจะเกิดขึ้นในอีกไม่ช้านี้!!
แต่หากจะพูดเรื่องการทำธุรกิจอันซับซ้อนนี้กับคนอย่างแววดาว ก็คงไม่มีทางเข้าใจกันได้โดยง่าย เผลอๆจะได้เป็นขี้ปากให้พนักงานในบริษัทนินทาได้สนุกปากอีก!! เพราะตั้งแต่ใช้ชีวิตคู่อยู่ร่วมกันมาสองเดือนนี้ มันทำให้เขาได้รู้ว่าแววดาวจะกรีดร้องทำลายข้าวของที่อยู่ใกล้มือเสมอเมื่อมีคนขัดใจหรือไม่ได้อะไรในสิ่งที่ตนเองตั้งความหวังเอาไว้ ซึ่งมันทำให้เขาเคยเอาเรื่องนี่ปรึกษากับนงนุชมาครั้งหนึ่งแล้ว แต่นงนุชบอกกับเขาว่าให้อดทนเอาไว้ก่อนเพราะยังไงก็คงต้องอาศัยบารมีพ่อของแววดาวซึ่งเป็นผู้ทรงอิทธิพล ร่ำรวย ดีไม่ดีอีกไม่นานนี้ยังต้องขอความช่วยเหลือในเรื่องเงินๆทองๆอีกด้วย และการที่แววดาวเอาแต่ใจตัวเองแบบนี้ก็เพราะว่าเธอเป็นลูกสาวคนเดียวในบรรดาพี่น้องทั้งสามคนนั่นเอง
ต่อพงษ์เดินออกมาจากห้องทำงานของแววดาว มาหยุดอยู่ที่โต๊ะทำงานของนัดดาและพนักงานอีกหลายคน
“ต่อไปนี้ก็ทำงานของพวกคุณเหมือนเดิมที่เคยทำมา แบบสเก็ตซ์ทุกชิ้นไม่ต้องผ่านห้องของคุณแววดาว เดี๋ยวผมจะให้เลขาของผมมารับงานของพวกคุณไปให้ผมเอง คราวนี้ก็ทำงานกันให้สบายใจได้” ต่อพงษ์ที่พูดได้เพียงเท่านี้ก็เดินกลับเข้าห้องทำงานของตนเองไป ทิ้งให้พนักงานหลายคนหันมามองหน้ากันตาปริบๆ และแน่นอนว่าเรื่องนี้มันคือเรื่องเม้าท์ในช่วงพักกลางวันเป็นแน่แท้ นัดดาคิดในใจ
กริ๊ง... กริ๊ง... กริ๊ง...
เสียงโทรศัพท์ของนัดดากรีดดังขึ้น เบอร์โทรยาวเหยียดที่โชว์หราอยู่หน้าจอทำให้นัดดายิ้มกว้างออกมารู้ในทันทีว่าอรอาภาเพื่อนรักโทรฯมาหาจากแดนไกลนั่นเอง
“ฮัลโหล เธอนี่สมกับเป็นเพื่อนรักฉันเลยนะขิง โทรมาตอนที่ฉันกำลังอยากจะคุยด้วยพอดี” นัดดากรอกเสียงลงไปในโทรศัพท์เครื่องบางทันที
เสียงหัวเราะของอรอาภาตัวปลอมดังมาตามสาย สาวบราซิลที่มีอาชีพเป็นล่ามภาษาไทย พูดไทยได้ชัดเจนราวกับเจ้าของภาษาถูกว่าจ้างให้เล่นตามบทที่อิบันบอก ด้วยค่าจ้างจำนวนที่ไม่อาจจะเอ่ยคำปฏิเสธได้ เสียงของเธอถูกส่งผ่านไปยังเครื่องมือทันสมัยราวกับเป็นสายลับ เปลี่ยนเสียงของตนเองให้อยู่ในเสียงโทนหวานเช่นเดียวกันกับหญิงผู้ที่สวมรอยเป็นเธอได้สองเดือนแล้ว
“มีอะไรเหรอ?”
“ก็เมื่อเช้านี้คุณต่อพงษ์เข้าไปโวยคุณแววดาวใหญ่เลย เสียงเอะอะลอดออกมาจากห้องทำงานคุณแววดาวอยู่ตั้งนานแต่เสียดายฉันจับใจความไม่ได้ แต่พอคุณต่อพงษ์เดินออกมานี่หน้ายังกับยักษ์! ใครเข้าหน้าก็ไม่ติด แถมยังสั่งว่าต่อไปนี้งานออกแบบทั้งหมดไม่ต้องส่งคุณแววดาว คุณต่อพงษ์จะเป็นคนเลือกดีไซน์เองทั้งหมด” นัดดาร่ายยาวเป็นชุดให้เพื่อนสาวของตนเองฟัง
“ก็ดีแล้วนี่ เธอเองก็จะได้ไม่ต้องมาบ่นว่าต้องมานั่งแก้งานอีก” อรอาภาตัวปลอมว่า
“ดีน่ะสิ แต่ยังไม่รู้เลยว่าจะได้กี่วัน ถ้าคุณแววดาวเอาเรื่องนี้ไปบอกคุณนงนุชล่ะก็ ยังไงซะคุณต่อพงษ์ก็ไม่มีทางที่จะขัดได้อยู่แล้ว เธอก็รู้ว่าคุณนงนุชเกรงใจลูกสะใภ้เทวดาจะตายไป” นัดดาว่า หญิงสาวเล่าความเกรงใจที่แม่ผัวมีต่อลูกสะใภ้ให้เพื่อนสาวฟังอยู่เป็นประจำ “อีกอย่างนะ ฉันดูคุณต่อพงษ์ปราดเดียวก็รู้แล้วว่าไม่มีความสุขในชีวิตแต่งงาน ยังเคยถามถึงเธออยู่บ่อยๆแต่หลังจากที่ฉันเล่าให้ฟังว่าเธอกำลังรักอยู่กับเจ้าของคิงส์ ออฟ เจมส์ เขาก็ไม่เคยถามถึงเธออีกเลย!”
“สมน้ำหน้า นี่แหละผลของการตัดสินใจเลือกคนจากฐานะ ฉันยังคิดว่าตัวเองโชคดีด้วยซ้ำไปที่หลุดพ้นจากคนพวกนี้”
“ว้าว!! ขิงคนเดิมหายไปจนไม่เหลือแล้วนี่ ฉันดีใจจริงๆที่เธออยู่ที่โน่นอย่างมีความสุข” นัดดาชมอรอาภา “เอ่อนี่... แล้วงานดีไซน์แหวนของคิงส์ ออฟ เจมส์ ล่าสุดที่ใช้ชื่อว่า ‘เซญอร่าจิงเจอร์’ เป็นคนออกแบบน่ะเป็นเธอเองใช่ไหม?? ฉันไม่แน่ใจเพราะแต่ก่อนเธอจะใช้ชื่อจริงเซ็นกำกับ”
“จ้ะ... คือฉันอยากเปลี่ยนน่ะ อยู่ที่นี่ออกเสียงชื่อฉันยากมาก เรียกว่าจิงเจอร์จะง่ายกว่า”
“ดังใหญ่แล้วเพื่อนฉัน... ในออฟฟิศของเราคุยกันเรื่องดีไซน์ของเธอให้ระงม สงสัยเมื่อเช้าคุณแววดาวจะเข้ามาได้ยินเลยอารมณ์เสียไปกันใหญ่” นัดดาเอาโทรศัพท์ที่กำลังแนบหูอยู่ออกมาดู เมื่อได้ยินเสียงสัญญาณสายเรียกเข้าซ้อนเข้ามา “ขิง พอดีฉันมีสายซ้อน แม่โทรมาน่ะ แค่นี้ก่อนนะ เดี๋ยวว่างๆ จะอีเมล์ไปหา”
“จ้า... ฝากความคิดถึงถึงคุณป้าด้วยนะ บาย”
“จ้า บาย...” นัดดาขมวดคิ้วมุ่น ปกติอรอาภาจะเรียกแม่ของเธอว่าแม่จนติดปาก แต่ทำไมคราวนี้เรียกว่าป้า! ด้วยความที่รีบร้อนรับสายจึงไม่ได้คิดอะไรต่ออีก ส่วนอรอาภาตัวปลอมถอนหายใจโล่งอก เมื่อภาระกิจในครั้งนี้จบลงด้วยดีทั้งยังรวดเร็วกว่าที่คิดไว้หลายนาทีด้วย
อิบันส่งเงินสดก้อนโตให้ล่ามสาวชาวบราซิลอย่างที่เคยทำมาตลอดสองเดือน “ทำดีมาก... นี่ค่าตอบแทนของคุณ”
“ขอบคุณค่ะ แล้วฉันต้องทำแบบนี้ไปอีกนานไหมคะ?” ล่ามสาวรับเงินพร้อมถามชายคนที่ว่าจ้างเธอให้มาทำงานนี้ ทั้งยังส่งอีเมล์ที่เขาเป็นคนตอบโต้กับนัดดาสาวไทยให้เธอได้อ่านเสมอ จึงจะคุยประติดประต่อกับนัดดาได้
“ไม่ต้องถามอะไรทั้งนั้น คุณมีหน้าที่ทำตามที่ผมสั่ง แล้วอย่าลืมข้อตกลงว่าห้ามแพร่งพรายเรื่องนี้ให้ใครได้รู้เป็นอันขาด!!” อิบันย้ำเสียงหนักแน่น จ้องตาสาวตรงหน้าดุๆ
“ค่ะๆ ฉันไม่ลืมแน่! ขอตัวก่อนนะคะ” ล่ามสาวละล่ำละลักบอกพร้อมกับรีบออกไปทันที ปล่อยให้อิบันถอนหายใจออกมาอย่างโล่งใจไปอีกเปราะหนึ่ง เขาเองที่เป็นคนตอบอีเมล์คุยกับเพื่อนสาวชาวไทยของเซญอร่าอรอาภาอยู่เสมอ แล้วจึงจัดการปริ๊นข้อความทั้งหมดส่งให้ผู้หญิงคนที่จ้างเธอมาได้อ่านเรื่องราวที่คุยตอบโต้กัน อิบันอยากหยุดเวลาช่วงนี้ไว้นัก เขายินดีที่จะเป็นคนหลอกลวงไปจนตายเพียงเพื่อจะแลกกับรอยยิ้มที่รู้ว่าเกิดจากความสุขของเจ้านายอย่างแท้จริง
เสียงสูดหายใจเอาความหอมจากแก้มนวลนุ่ม ทำให้อรอาภาที่กำลังนั่งเอนตัวอยู่บนเก้าอี้ชายหาดลืมตาขึ้นมาดูคนที่ขโมยหอมแก้มตัวเอง
“มาตั้งแต่เมื่อไหร่คะ?” อรอาภาแย้มยิ้มหวานจับใจให้สามีที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวเดียวกันกับตัวเอง เมื่อวานนี้อรอาภาเดินทางมาวิลล่าในบูซิโอสก่อน เพราะฟาเบียโน่ติดงานสำคัญจึงจะตามมาทีหลัง และตอนนี้เขาก็นั่งอยู่ข้างๆ โดยใส่แค่กางเกงขาสั้นเพียงตัวเดียวเท่านั้น เผยหน้าอกแกร่งกว้างที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อเป็นมัดๆ อย่างคนออกกำลังกายสม่ำเสมอ ทั้งยังจ้องมองใบหน้าของเธออยู่ไม่วางตา
“มาตั้งนานแล้ว... แอบมองสาวใส่ชุดว่ายน้ำนอนอาบแดดอยู่ตั้งนาน สาวก็ยังไม่รู้ตัวอีก” ฟาเบียโน่ตอบยิ้มๆ อรอาภาอยู่ในชุดว่ายน้ำวันพีซสีขาวสะอาด ใช้ผ้าผืนใหญ่เนื้อพลิ้วพันหลวมๆ ไว้ที่เอวคอด อกอวบอิ่มที่ดันตัวอยู่ในชุดว่ายน้ำที่เห็นมันทำให้เขาไม่อยากละสายตาออกจากเธอแม้วินาทีเดียว เมื่อคืนนี้เป็นคืนที่เขานอนไม่หลับ ตาค้างทั้งคืนและไม่อยากคิดว่ามันเป็นเพราะไม่มีร่างนุ่มนิ่มที่นอนอยู่ข้างๆ กันมาตลอดระยะเวลาสองเดือน พอประชุมเสร็จเขาก็ใช้วิธีนั่งเฮลิคอปเตอร์มาเพื่อประหยัดเวลามากกว่าการนั่งรถยนต์จนทำให้มองเห็นสายตาขำๆของสองลูกน้องที่มองมาราวกับว่าเขาเป็นไอ้หนุ่มคะนองรัก!!
“งานเสร็จเร็วเหรอคะ ไหนบอกว่าจะตามมาตอนเย็น นี่ยังไม่เที่ยงวันเลย” อรอาภาเอียงหน้าถามได้อย่างน่ารัก เลยได้รับรางวัลเป็นหอมหนักๆ อีกทั้งสองแก้มก่อนที่จะได้คำตอบ
“อื้ม... รีบทำให้เสร็จ คิดถึงเมีย” ฟาเบียโน่ตอบตรงๆ แบบที่ถูกใจอรอาภายิ่งนัก นิ้วเรียวทำเลียนแบบก้ามปู หยิกเข้าที่แก้มของคนตัวโตที่นั่งคร่อมตัวเองอยู่อย่างอดใจไม่ไหว
“ปากหวาน! ปากหวานแบบนี้ใช่ไหมคะ ฉันถึงตกหลุมรักคุณจนยอมจดทะเบียนสมรสทั้งที่ยังไม่เข้าพิธีวิวาห์กัน”
“ไม่รู้สิ ผมไม่เคยชิมปากตัวเอง คุณต้องชิมเองแล้วจะรู้ว่ามันหวานไหม” เพียงเท่านั้น ใบหน้าคร้ามคมก็ก้มลงมาหาใกล้จนอรอาภาตาพร่า
เมื่อลิ้นหนาเป็นฝ่ายเริ่มสอดเข้ามาในโพรงปากหวานฉ่ำ อรอาภาก็เต็มใจเปิดรับลิ้นหนาทันที ทั้งยังส่งลิ้นของตนเองออกมาเกี่ยวกระหวัด หยอกเย้าเขาอย่างใจกล้า มือหนาสอดเข้ามาใต้แผ่นหลังบอบบางดึงให้เธอเข้ามาเบียดชิดกับอกแกร่งเปลือยเปล่าของตนเองอย่างเร้าอารมณ์ เพียงเท่านี้อรอาภาก็ตอบสนองกลับคืนอย่างที่เคยเรียนรู้มาตลอดสองเดือนที่อยู่ด้วยกัน ความหวานอ่อนละมุนแปรเปลี่ยนเป็นหวานแหลม ซ่านใจ ฟาเบียโน่จูบเอาๆ ราวกับคนที่ไม่ได้เจอกันมาเป็นแรมปีทั้งที่ห่างกันเพียงแค่คืนเดียวเท่านั้น!
“อืม...” เสียงครางประท้วงของอรอาภาดังขึ้นเมื่อเธอหายใจไม่ทัน ทำให้ฟาเบียโน่ถอนริมฝีปากของตัวเองออกแล้วคลอเคลียอยู่ที่โครงหน้างดงาม เรื่อยไปจนถึงใบหู ลำคอระหงที่ด้านหลังมีเพียงปมชุดว่ายน้ำที่ผูกรัดความอวบอิ่มของทรวงอกใหญ่เอาไว้อยู่
มือเรียวสองข้างสอดเข้าไปเล่นกับผมสั้นเส้นแข็งเล็กน้อยให้ได้จักจี้มือเล่น ความไว้เนื้อเชื่อใจที่ได้เคยให้สัญญาไว้ต่อกันว่าจะรอจนกว่าที่เธอจะจำทุกสิ่งอย่างได้ ถึงจะมอบความรักความผูกพันทางกายให้แก่กันและกัน ทำให้อรอาภาไม่ได้เกรงกลัวเมื่อใกล้ชิดกันเช่นนี้ เธอเชื่อใจเสมอว่าเขาเป็นคนรักษาคำพูด เพราะทุกครั้งจะไม่มีอะไรเกินเลยไปกว่าจูบเร่าร้อนและนอนกอดก่ายกันแนบชิดจนรุ่งเช้าเท่านั้น
“เล่นน้ำกันไหมคะ? คุณจะได้สบายตัวขึ้น” อรอาภาเอ่ยถามเพราะสัมผัสได้ถึงความร้อนผ่าวที่เกิดขึ้นหลังจากสัมผัสกันและกัน ตอนนี้ใบหน้าคร้ามคมยังซุกซบอยู่ร่องอกอวบอิ่มซึ่งเขาเองก็ไม่รู้ว่ามันทำให้เขาคลายความต้องการลงหรือเพิ่มความปราถนาให้มากขึ้นอีกกันแน่!!
“ไปสิ ถ้าขืนอยู่แบบนี้ต่อผมคงได้ลงแดงตายแน่ เมื่อไหร่จะยอมสักทีล่ะจิงเจอร์ ถ้าชาตินี้คุณยังจำอะไรไม่ได้ ผมไม่ต้องเป็นหมันไปจนตายเหรอที่รัก” ฟาเบียโน่พูดอย่างข่มอารมณ์ทั้งลุกขึ้นช้อนร่างอิ่มไว้ในวงแขน ก้าวเดินอย่างมั่นคงลงไปในทะเลสีครามเบื้องหน้า
“แค่นี้ก็บ่นแล้ว ไหนว่ารอได้ไงคะ?” อรอาภาเองก็เขินไม่แพ้กัน ทุกครั้งก็หลงเพริดไปกับสัมผัสพิศวาสที่เขาปลุกเร้าขึ้นมา จนบางทียังเป็นฝ่ายกลัวใจตนเองมากกว่าที่จะไม่หลงไปปล้ำหุ่นนายแบบยังอายแบบสามีของตัวเอง!! จากตอนแรกที่เธอเป็นฝ่ายยั่วยวนสามีเพราะไม่อยากให้เขาเย็นชา ทำตัวแข็งทื่อเหมือนหุ่นยนต์ แต่เมื่อได้ใกล้ชิดกันทุกคืนวัน อรอาภาก็ไม่เคยได้เห็นอาการเหล่านั้นที่เธอว่ามาเลยแต่เขาคือจอมทะลึ่ง ชอบพูดเรื่องน่าอายไม่เลือกที่ราวกับพูดถึงเรื่องดินฟ้าอากาศทั่วไป ที่สำคัญเขาเรียกร้องให้เธอมอบตัวเองให้เขาบ่อยจนบางครั้งตัวเองก็กลัวใจจะเผลอไผลไปกับเขานัก!! ก็เขาหล่อ แถมยังมีเสน่ห์ดึงดูดทางเพศที่ร้อนแรงอีกน่ะสิ
ฟาเบียโน่มองแก้มแดงจากความเขินอายของภรรยาอย่างถูกใจพร้อมหัวเราะหึๆ ในลำคอหนา “เมื่อไหร่ที่คุณเกิดจำได้ขึ้นมา... แล้วมันนานจนผมเกิดลืมไปแล้วว่าทำลูกเขาทำกันยังไงคุณนั่นแหละที่จะลำบาก! ต้องเป็นฝ่ายรุก ทำเองทุกอย่างนะปีศาจน้อย”
“ไม่เห็นเป็นไรนี่คะ เราก็เปิดหนังโป๊ดูแล้วทำตามเขาก็ได้” อรอาภาตอบหน้าตายแต่ความจริงแล้วเธออายจนแทบแทรกแผ่นดินหนี
ฟาเบียโน่ได้ยินที่ปีศาจตัวน้อยพูดแล้วต้องแหนหน้าขึ้นฟ้าระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังลั่น สักพักจึงวางร่างอิ่มลงเพราะระดับน้ำลึกเลยเอวสอบขึ้นมาแล้ว เบ้ปากมองใบหน้างดงามที่ยิ้มตามตนเอง “หวังว่าคุณจะไม่ทำให้ผมรอนานจนเราต้องทำแบบนั้นกันจริงๆนะจิงเจอร์ รู้ไหมว่าคุณยิ่งพูดแบบนี้ผมยิ่งคึกจนจะตายอยู่แล้ว คุณจะโลดโผนแบบในหนังโป๊ได้จริงๆน่ะเหรอที่รัก??” ไม่พูดเปล่าแต่คว้าข้อมือเรียวเข้ามาวางที่ความคึกของตนเองจนอรอาภากรีดร้องโวยวายแต่ก็ยังไม่สามารถดึงมือของตัวเองออกจากความคึกของเขาได้!!
“ปล่อยเดี๋ยวนี้นะ!! เฟลิกซ์!! ไอ้คนเหลือทนทำแบบนี้กับฉันได้ยังไง!?” เสียงแว๊ดๆของอรอาภาไม่ได้ทำให้ฟาเบียโน่ทำตามที่เธอบอกแต่อย่างใด
“ไหนว่าจะทำแบบในหนัง หนังโป๊เรื่องไหนก็ต้องมีฉากแบบนี้กันทั้งนั้น ซ้อมไว้ก่อนไงที่รัก เดี๋ยวพอเอาเข้าจริงคุณจะได้ไม่ตื่นสนาม” ฟาเบียโน่ยั่วเย้าภรรยาที่ทั้งตัวกลายเป็นสีชมพูจัดเพราะความเขินอายแล้ว
อรอาภาอายที่สุดในชีวิตเพราะสิ่งที่ดิ้นขยับยุกยิกอยู่ใต้ฝ่ามือของตนเอง ใบหน้าคร้ามคมยังบดกรามตัวเองแน่น หลับตาลงทำเสียงซี๊ดซ๊าดอย่างไม่อาย หญิงสาวต้องใช้ท่อนแขนข้างที่ว่างทุบที่อกกว้างแรงๆหลายที จนหลุดออกมาจากการกระทำอันหื่นห่ามของเขา! พลางหัวเราะออกมาเสียงร่าเริงเมื่อได้ยินฟาเบียโน่ทำเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอเหมือนโดนขัดใจ
ฟาเบียโน่ว่ายน้ำต้อนปีศาจน้อยของตัวเองที่เอาแต่วิ่งหนีในน้ำ การมาพักผ่อนทุกสุดสัปดาห์ที่บูซิโอสทำให้อรอาภาอารมณ์ดีและยังสามารถวาดรูปได้หลายรูป ที่สำคัญเธอสามารถออกแบบเครื่องประดับให้กับคิงส์ ออฟ เจมส์ แล้วถึงสองชุดด้วยกัน แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้ฟาเบียโน่เหนื่อยใจที่สุดคือการฝึกให้ปีศาจน้อยว่ายน้ำ เธอช่างไม่มีหัวและขี้เกียจสุดๆกับการหัดว่ายน้ำเหลือเกิน มันขัดกับความชื่นชอบในการเล่นทะเลเอามากๆในความคิดของฟาเบียโน่
“วันนี้เล่นสนุกพอแล้วจิงเจอร์ มาหัดว่ายน้ำซะดีๆ” ฟาเบียโน่บอก พร้อมใช้มือใหญ่จับเอวคอดที่กำลังจะหนีไปเมื่อได้ยินที่เขาพูด
“โธ่! เฟลิกซ์คะ ฉันเบื่อมากที่ต้องหัดว่ายน้ำ ให้ฉันทำอะไรก็ได้ยกเว้นว่ายน้ำ ฉันพยายามมาตั้งหลายทีหลายหนแล้วคุณก็รู้” อรอาภาบ่นกระปอดกระแปด
“ก็เพราะผมรู้น่ะสิ ถึงต้องเคี่ยวเข็ญคุณอยู่อย่างนี้ คุณชอบทะเล ชอบเล่นน้ำ ชอบมาที่นี่แล้วก็ต้องนั่งเรือมาแต่กลับว่ายน้ำไม่เป็นรู้มั้ยว่ามันอันตราย คราวที่แล้วนี้ถ้าไม่ได้อิบันช่วยไว้ป่านนี้คุณคงไม่ได้มาเถียงผมแบบนี้หรอกรู้ไหม??”
อรอาภาทำหน้าง้ำ ยอมทำตามที่ฟาเบียโน่บอกอย่างไม่เต็มใจ เมื่อท่อนแขนแกร่งรัดเอวคอดไว้จากนั้นเปลี่ยนเป็นใช้ฝ่ามือใหญ่เพียงข้างเดียวประคองที่หน้าท้องแบนราบ อรอาภาก็ต้องใช้ขาเรียวทั้งสองข้างตะกายน้ำอย่างที่คุณครูตัวโตเคยสอนมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน พอเธอตีขาในน้ำไปได้สักพักเขาก็ค่อยๆปล่อยมือที่ประคองไว้ตรงหน้าท้องออก ไม่นานอรอาภาก็จมน้ำลงเหมือนเดิม คุณครูตัวโตก็ต้องจับเธอมาเริ่มตีขาในน้ำใหม่ซ้ำไปซ้ำมา จนหญิงสาวหอบฮั่กๆสำลักน้ำทะเลไปหลายอึก
เหนื่อยมากเข้าอรอาภาก็ตัดสินใจโผเข้าไปกอดลำคอหนาเอาไว้แน่น ซุกหน้าลงกับบ่ากว้าง ขาเรียวสองข้างก็รัดสะโพกสอบราวกับลูกลิงก็ไม่ปาน ขนาดว่าเขาไม่ได้รัดตัวเธอไว้เธอยังไม่หลุดจากตัวของเขาแม้แต่น้อย การกระทำนั้นทำให้ฟาเบียโน่อดหัวเราะออกมาไม่ได้ เธอมักใช้เนื้อตัวนุ่มนิ่มของตนเองคลอเคลียออดอ้อนต่อรองกับเขาเสมอ เมื่อยามที่ไม่อยากฝึกว่ายน้ำหรืออยากให้เขาตามใจอะไรสักอย่าง!! ใช่ว่าฟาเบียโน่จะไม่รู้ความจริงในข้อนี้ หากแต่พ่อค้าเพชรนั้นเต็มใจที่จะทำตามความต้องการของเธออย่างยิ่งเพราะรอยยิ้มน่ารัก ในกรอบหน้ารูปหัวใจที่มัดเอาหัวใจแกร่งของชายชาตรีที่ไม่เคยมอบให้ใครอยู่ในกำมือของเธอเพียงคนเดียว
“จะขี้โกงอีกแล้วใช่ไหม พอทำไม่ได้ก็พาลไม่ทำเอาดื้อๆเลย” ฟาเบียโน่ว่าให้คนที่กอดตัวเองแน่นไม่จริงจังนัก
“หนาว!... เหนื่อย!... หิวข้าวแล้วด้วย คุณจะทรมานฉันไปถึงไหนคะเฟลิกซ์ คุณว่ายน้ำเก่งจะตายไปถึงฉันว่ายน้ำไม่เป็นคุณก็คงไม่ปล่อยให้ฉันเป็นอะไรไปแน่ จริงมั้ย?” อรอาภาพูดเสียงอู้อี้ ซบหน้าอยู่ที่ลำคอแกร่งดังเดิม
ก็จริงน่ะสิ ผมจะปล่อยให้คุณเป็นอันตรายได้ยังไงกันจิงเจอร์ ฟาเบียโน่ตอบในใจแต่ปากกลับตอบออกไปอีกอย่าง “คุณชอบเล่นน้ำทะเลแต่ว่ายน้ำไม่เป็นมันก็อันตรายมากแล้ว อีกอย่างเราไม่ได้อยู่ด้วยกันตลอดเวลา ถ้าผมไม่อยู่คุณจะทำยังไงฮึจิงเจอร์?”
“ฉันก็จะเล่นน้ำเฉพาะเวลาที่มีคุณอยู่ใกล้ๆ หรืออีกทีก็จะทำตัวติดคุณอย่างนี้เลย คุณจะได้เลิกเคี่ยวเข็ญให้ฉันว่ายน้ำซักที นะ... ที่รัก ฉันไม่ชอบจริงๆ นะคะ” อรอาภาลากเสียงออดอ้อน ปล่อยให้ฟาเบียโน่พาเดินขึ้นจากทะเลช้าๆ
“คนอย่างนี้ก็มีด้วย งั้นขอจูบหวานๆ แลกเปลี่ยนหน่อยซิ” ฟาเบียโน่ก้มหน้าลงถามพร้อมกดริมฝีปากลงทันที เมื่อคำตอบที่ได้คือการพยักหน้าหงึกๆ เผยอริมฝีปากอิ่มของตัวเองให้อย่างไม่เกี่ยงงอน สองขาแกร่งหยุดนิ่งเพราะมัวหลงเมาไปกับความหอมหวานที่อีกฝ่ายเต็มใจมอบให้ เป็นนานกว่าที่ฟาเบียโน่จะพอใจและยอมถอนริมฝีปากออกจากกัน ทั้งยังต้องรีบเดินกลับเข้ามาในวิลล่าเพราะเสียงท้องของปีศาจน้อยเริ่มประท้วงดังโครกครากขึ้นเรื่อยๆจนเขาหัวเราะออกมาได้อีกครั้ง
ก๊อก... ก๊อก...
ลุยเซาเดินเข้ามาในห้องทำงานของเจ้านายพร้อมกับวางซองเอกสารลงบนโต๊ะ “ข้อมูลที่เซญอร์ต้องการครับ” ลุยเซารายงานพร้อมกับเดินถอยหลังออกมาก้าวหนึ่งรอให้เจ้านายได้เปิดเอกสารด้านในดู
อัลเฟไลย์มองรูปถ่ายของผู้หญิงรูปร่างอ้อนแอ้น หน้าตาสะสวย ผิวพรรณผ่องใส ข้อมูลบอกว่าเธอคือเซญอร่าอรอาภา อัลเฟไลย์ ภรรยาของฟาเบียโน่ ในรูปเธอกำลังเดินลงเรือยอร์ชซึ่งอัลเฟไลย์เดาได้ว่าเธอคงจะไปที่วิลล่าในบูซิโอสแน่นอน และต้องเป็นผู้หญิงคนสำคัญของฟาเบียโน่จริงๆ ไม่อย่างนั้นคงจะไม่มีสิทธิ์เข้าออกวิลล่าได้เช่นนี้ ขนาดเรือยอร์ชราคาแพงนั่นยังเขียนชื่อเธอไว้ด้วยเช่นกัน อัลเฟไลย์อ่านประวัติที่อยู่ในมือของตน ผู้หญิงคนนี้เป็นชาวไทยชื่ออรอาภา เชาวกุล อายุเพียงยี่สิบสามปี คนเดียวกันกับที่ออกแบบเครื่องประดับให้คิงส์ ออฟ เจมส์ ที่ใครๆต่างก็พากันชื่นชมถึงความสวยงาม โดยใช้ชื่อในการออกแบบว่าเป็นผลงานของ ‘เซญอร่าจิงเจอร์’
อัลเฟไลย์ขมวดคิ้วมุ่น เมื่อข้อมูลที่ได้มาเป็นเพียงประวัติพื้นๆทั่วไปเท่านั้น และลุยเซาที่อยู่รับใช้กันมานานหลายปีก็รู้ทันทีว่าเจ้านายของตนคิดอะไรอยู่
“นักสืบที่ผมส่งไปบอกว่าประวัติของเซญอร่าอรอาภาที่มีในรีโอปรากฏเพียงเท่านี้ครับ” ลุยเซาตอบออกไปอย่างรู้ใจเจ้านาย
“ถ้าในรีโอมีเท่านี้ก็ส่งคนไปสืบที่เมืองไทย แกไม่คิดว่ามันแปลกหรือไงที่คนอย่างฟาเบียโน่จะมีเมียทั้งทีจะไม่เป็นข่าว อยู่ดีๆก็มีผู้หญิงคนนี้โผล่มาเป็นเมียเลย” อัลเฟไลย์ยังติดใจไม่หาย
“ครับท่านผมจะส่งคนไปสืบที่เมืองไทยโดยเร็วที่สุด หรือคิดอีกอย่างเซญอร์ฟาเบียโน่อาจจะตกหลุมรักผู้หญิงคนนี้ตั้งแต่แรกเห็นก็ได้นี่ครับ ก็เธอสวยซะขนาดนี้!” ลุยเซาออกความคิดเห็น
“ก็ไม่เถียงหรอกว่าเธอสวย แต่คนอย่างฟาเบียโน่ไม่ใช่หนุ่มน้อยริรักนะที่จะได้มีเลิฟ แอท เฟิร์ส ไซท์หรอกนะ!!” อัลเฟไลย์บอกพลางคิดว่าเขาคนหนึ่งล่ะที่ไม่คิดว่ารักแรกพบจะมีอยู่จริง ตั้งแต่โตเป็นหนุ่มด้วยกันมา เขายังไม่เคยมอบหัวใจของตัวเองให้ผู้หญิงคนไหน เขามีความสุขกับความสัมพันธ์ทางกายที่ไม่มีเงื่อนไขใดๆ ผูกมัดมากกว่า ทุกอย่างซื้อได้ด้วยเงิน
กริ๊ง... กริ๊ง... กริ๊ง...
เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นและเสียงของลุยเซาที่พูดภาษาอิตาเลียนทำให้อัลเฟไลย์รู้ดีว่าใครที่โทรเข้ามา
“เซญอร์ครับ ดอนคาร์โลต้องการเรียนสายด้วยครับ” ลุยเซาบอกพร้อมยื่นโทรศัพท์เครื่องบางให้เจ้านาย อัลเฟไลย์รับโทรศัพท์มาพร้อมกรอกเสียงของตัวเองลงไป ชายหนุ่มส่ายหน้าระอาใจเมื่อลูกค้ารายใหญ่ของตนรัวภาษาอิตาเลียนต่อว่ายกใหญ่ทันที!!
“เมื่อไหร่ของจะมา!? แกรู้ไหมถ้ายังขืนชักช้าอยู่อย่างนี้ มันจะล่มจมกันไปหมดเข้าใจไหม??”
“ผมทราบว่าดอนร้อนใจเรื่องนี้ แต่ผมอยากให้ใจเย็นอีกสักนิด ผมกำลังดำเนินการเปิดบริษัทขึ้นมาอีกสองสามบริษัท พอถึงตอนนั้นแล้วเราก็จะฟอกเงินได้คราวละมากขึ้น แต่ตอนนี้ดอนต้องรอไปก่อน” อัลเฟไลย์อธิบายให้ลูกค้ารายใหญ่ที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับการค้ายาเสพติดข้ามชาติ เขาคือคาร์โล อันเชย์รอตติ มาเฟียค้ายาเสพติดรายใหญ่แห่งอิตาลี
“ทำไมมันถึงมีปัญหาชักช้านัก เงินที่ฉันมีอยู่ในมือรอให้แกจัดการมันมากจนจะไม่มีที่เก็บอยู่แล้ว ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมฟาเบียโน่ ไอ้พ่อค้าเพชรระยำนั่น!! มันถึงได้เล่นตัวนักจะขายของแต่ละทีก็ต้องซักโน่นถามนี่ให้วุ่นวาย แล้วทำไมไม่ติดต่อซื้อของจากเจ้าของเหมืองทองจากที่อื่นดูบ้าง อย่างเพชรในแอฟริกาใต้ก็น่าสนใจดีเหมือนกัน” คาร์โลส่งเสียงหงุดหงิดมาตามสาย
“ดอนก็น่าจะรู้ว่าถ้าเราสามารถซื้อของจากฟาเบียโน่ได้ไม่ว่าจะเป็นเพชรหรือทองคำ นั่นหมายถึงว่าตำรวจเกือบทั้งโลกจะมั่นใจว่าเงินของเราเป็นเงินบริสุทธิ์ ลูกค้าทั้งร้อยเปอร์เซ็นต์ของฟาเบียโน่ล้วนแล้วแต่เป็นนักธุรกิจขาวสะอาดทั้งนั้น เรื่องนี้ตำรวจเศรษฐกิจทั่วโลกก็รู้ดีแก่ใจ ถ้าเราสามารถทำการค้ากับฟาเบียโน่ได้เงินที่เอามาใช้ก็จะไม่ได้สร้างปัญหาให้ตำรวจมาตรวจสอบทรัพย์สินภายหลัง”
“มันก็จริงอย่างที่แกว่า แต่ฉันก็ไม่อยากจะรอต่อไปอีกแล้วแกก็น่าจะรู้ว่าเงินพวกนี้ถือไว้นานไม่ได้ ไอ้พวกตำรวจเฮงซวยนั่นมันจมูกดีอย่างกับหมาล่าเนื้อ!! หรือว่าต้องสั่งสอนมันซักหน่อยเผื่อว่าจะว่าง่ายขึ้นกว่านี้??” คาร์โลมาเฟียเฒ่าเจ้าเล่ห์ เจ้าอารมณ์เปรยขึ้น
“อย่าเลยครับ!! ดอนก็น่าจะรู้ดีว่าฟาเบียโน่มีเส้นสายไม่ใช่น้อยๆ ความจริงตระกูลของเขาก็ไม่ต่างจากมาเฟียเท่าไหร่นัก แค่เพียงอยู่คนละโลกกับพวกเราเท่านั้นเอง ถ้าเราทำอะไรรุนแรงไป ผมกลัวว่าเรื่องจะบานปลาย แล้วท้ายที่สุดเราเองที่จะเป็นฝ่ายลำบาก” อัลเฟไลย์ที่อยู่กับตระกูลโอลีเวย์ร่ามาตั้งแต่เด็กรู้ดีว่าอิทธิพลของตระกูลนี้มีมากมายแค่ไหน พวกโอลีเวย์ร่าก็คือมาเฟียดีๆนี่เอง แต่เป็นมาเฟียที่ประกอบธุรกิจขาวสะอาด ส่วนไอ้เรื่องฆ่าคนที่มาขวางตนเองหรือตอบโต้กับคนที่มาระรานแล้วละก็ พวกเขาโหดไม่แพ้มาฟียเถื่อนเช่นกัน!!!
“ฉันจะให้เวลาอีกแค่สองอาทิตย์เท่านั้น ฉันต้องเห็นเงินในบัญชีของฉันเพิ่มขึ้นในจำนวนที่น่าพอใจ ไม่อย่างนั้นฉันจะจัดการตามวิธีของฉันเอง”
อัลเฟไลย์ยื่นโทรศัพท์ที่ถูกตัดสายไปแล้วให้ลูกน้องมือขวาพร้อมถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เวลาแค่สองอาทิตย์ที่บีบคั้นเขาในตอนนี้มันทำให้ไม่มั่นใจว่าจะสร้างข้อมูลเท็จให้กับบริษัทที่เปิดขึ้นมาเพื่อทำการค้ากับฟาเบียโน่เชื่อได้หรือไม่
“เรื่องที่ให้ดีเอโก้เปิดบริษัทขึ้นมาไปถึงไหนแล้ว??”
“ดีเอโก้ดำเนินการเรียบร้อยแล้วครับ ผมกำลังจัดการใช้เจ้าหน้าที่ของรัฐให้เปลี่ยนแปลงข้อมูลเกี่ยวกับเวลาของแต่ละบริษัทให้ดูเหมือนว่าประกอบธุรกิจนี้มานานแล้ว แล้วก็เรื่องรายละเอียดเล็กน้อยอื่นๆ เซญอร์ฟาเบียโน่จะได้ไม่สงสัยครับ” ลุยเซาตอบ เรื่องที่เจ้านายของเขาสั่งให้ทำนั้นต้องใช้เงินมากโขและเวลาอยู่ไม่น้อยทีเดียว
“เร่งให้เร็วขึ้นมากว่าเดิมอีกใช้เงินเท่าไหร่ก็ให้พวกมันไป เราไม่มีเวลามากนัก” อัลเฟไลย์สั่ง
“ครับเซญอร์ หวังว่าดอนคาร์โลคงไม่ใช้ความรุนแรงกับเซญอร์ฟาเบียโน่ก่อนนะครับ” ลุยเซาพูดทั้งคิดอย่างหวั่นๆ
“นั่นล่ะคือสิ่งที่ฉันเป็นห่วง ถ้าดอนคาร์โลตัดสินใจทำอะไรรุนแรงไป ฟาเบียโน่ต้องตอบโต้กลับอย่างไม่ยั้งมือแน่ แล้วเราเองก็จะลำบาก ฉันกับฟาเบียโน่เดินกันคนละทางนานแล้ว ต่างคนต่างไม่ยุ่งเกี่ยวกัน แต่ถ้าดอนคาร์โลยังอยากที่จะดึงฟาเบียโน่เข้ามายุ่งด้วยแล้ว ฉันยังไม่แน่ใจเลยว่าใครจะชนะ!!”
อัลเฟไลย์มองตามร่างของลุยเซาที่เดินออกไปจากห้องทำงาน ตาคมกริบของเขาวกกลับลงมามองรูปที่อยู่ในมือ ไม่แน่ว่าหากผู้หญิงคนนี้เป็นคนพิเศษของฟาเบียโน่จริง เขาอาจจะใช้ประโยชน์บางอย่างจากเธอได้บ้าง
“ทองคำแท่งล็อตแรกหมดไปแล้ว พรุ่งนี้จัดการสั่งทองคำล็อตต่อไปกับคิงส์ ออฟ เจมส์ด้วย” อัลเฟไลย์สั่งเสียงเข้มทันทีที่ดีเอโก้เดินเข้ามาหยุดตรงหน้า
ดีเอโก้ปั้นหน้ายากและเงียบกริบ ไม่รับคำหรือปฏิเสธแต่อย่างใด จึงทำให้อัลเฟไลย์ละสายตาจากเอกสารตรงหน้าเหลือบตาขึ้นมองชายร่างท้วมที่เขาใช้เป็นแค่หมากตัวหนึ่งในการสั่งซื้อของจากฟาเบียโน่เท่านั้น!
“มีปัญหาอะไรอย่างนั้นเหรอ??” อัลเฟไลย์ถามเสียงเย็น!
“อะ...เอ่อ คือผมเกรงว่าเซญอร์ฟาเบียโน่จะสงสัยว่าทำไมถึงได้สั่งของเพิ่มเร็วนัก เพราะจากเหตุผลที่ผมให้ไว้กับเขาตามที่เซญอร์อัลเฟไลย์บอกนั้น เขาต้องสงสัยแน่ครับ” ดีเอโก้บอกอย่างลำบากใจ
อัลเฟไลย์มองหน้าดีเอโก้เงียบ จริงสินะ! คนอย่างฟาเบียโน่ไม่ใช่ว่าจะขายของให้ใครก็ได้ที่มีเงินมาซื้อ แต่คนๆ นี้สืบประวัติของลูกค้าทุกคนและรู้ถึงที่ไปที่มาของสินค้าของตัวเองเสมอ ไอ้หมอนี่มันยอมหักแต่ไม่ยอมงอ! แม้กระทั่งกับเขาที่เป็นเพื่อนรักกันมา เมื่อมันรู้ความจริงว่าเขาทำธุรกิจผิดกฏหมายยังตัดเพื่อนกับเขาได้ในทันใด
“เปิดบริษัทอินเวสเมนต์ขึ้นมาอีก เปิดในอาร์เจนติน่าบ้าง บราซิลบ้าง เอามาสักสองสามบริษัทก่อน เน้นลงทุนในทองคำนี่แหละ ฉันจะเอามาใช้ประโยชน์เหมือนกับแอลอินเวสเมนต์” อัลเฟไลย์พูดพร้อมยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์
“แต่มันไม่ง่ายอย่างนั้นน่ะสิครับ เซญอร์ฟาเบียโน่ต้องสืบประวัติของลูกค้าทุกคนอย่างละเอียดอยู่แล้ว”
“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงหรอก ทำตามคำสั่งเท่านั้น ส่วนเรื่องประวัติความเป็นมาของบริษัทที่ตั้งขึ้นมาใหม่พวกนี้ ฉันจะให้คนของฉันจัดการเอง” อัลเฟไลย์บอกแล้วหันมาสั่งกับคนสนิทที่ยืนอยู่ข้างๆ “ลุยเซา แกจัดการจ่ายเงินส่วนแบ่งให้เซญอร์ดีเอโก้ แล้วก็ไปจัดการตามที่ฉันสั่งให้เรียบร้อยด้วย”
“ครับเซญอร์” ลุยเซารับคำเจ้านายและเดินนำดีเอโก้ออกไปจากห้องทำงานทันที
อัลเฟไลย์นั่งคิดถึงเพื่อนรักที่เปลี่ยนมาเป็นศัตรูกันมาได้ถึงแปดปีแล้ว ความจริงหากจะเรียกว่าเป็นศัตรูก็คงจะไม่ใช่อย่างนั้นซะทีเดียว มันเป็นเหมือนต่างคนต่างเลือกเดินบนทางคนละเส้นแล้วมันก็เป็นทางเส้นขนานที่ไม่สามารถจะมาบรรจบกันได้ ต่างคนต่างไม่ยุ่งเกี่ยวเรื่องของกันและกันมานานแล้ว
ก่อนที่จะตัดขาดกันฟาเบียโน่มันยังบอกว่าเห็นแก่ที่โตมาด้วยกัน เป็นเพื่อนกันมาถึงสิบเจ็ดปี แต่ถ้าเขายังเข้าไปยุ่งเกี่ยวหรือตอแยกับธุรกิจของมันอีก มันบอกว่ามันจะฆ่าเขาด้วยมือของมันเอง!!
อัลเฟไลย์เติบโตมาจากครอบครัวยากจนที่เป็นชนพื้นเมือง อาศัยอยู่สลัมในเมืองใหญ่อย่างรีโอ พ่อแม่ของเขาทำงานเป็นคนส่งยาให้กับหัวหน้าที่อยู่ในสลัมด้วยกัน พ่อแม่ติดยางอมแงม เขาเองก็เคยเป็นเด็กส่งยาเพื่อหาเงินเอามาซื้อข้าวกินไปวันๆเหมือนกัน วันหนึ่งอัเฟไลย์ไปเดินเล่นที่ชายหาด เห็นเด็กวัยใกล้เคียงกับตัวเองกำลังเล่นฟุตบอลอยู่อย่างสนุกสนาน มันเป็นกีฬาที่ผู้คนทุกวัยตั้งแต่เด็กเล็กจนถึงคนชราต่างก็คลั่งไคล้กีฬาประเภทนี้กันทุกคน อัลเฟไลย์เองก็เช่นกัน เขามองเด็กกลุ่มนั้นอย่างอยากเข้าไปร่วมวงเล่นด้วยแต่ก็ไม่กล้าเพราะไม่รู้จัก และดูจากการแต่งตัวแล้วคงเป็นลูกคนรวย จึงได้แต่ยืนมองห่างๆด้วยสายตาความอิจฉาและน้อยใจที่ตัวเองไม่มีโอกาสจะได้สัมผัวลูกฟุตบอลใหม่ๆอย่างนั้น ไม่นานนักก็มีเด็กชายสองคนเดินเข้ามาหาและชวนไปร่วมวงด้วย ซึ่งอัลเฟไลย์เองไม่ได้รีรอเลย เขาเข้าไปเล่นสนุกกับเพื่อนวัยเดียวกันทันที และเด็กชายที่เดินเข้ามาหาตนเองคนนั้นก็คือฟาเบียโน่และอเตต้าร์น้องชายของฟาเบียโน่นั่นเอง
ฟุตบอลกับผู้ชายเป็นกิจกรรมกระชับความสัมพันธ์ได้อย่างดีเยี่ยม หลังจากนั้นในตอนบ่ายจัดของทุกวันอัลเฟไลย์จะไปรอเพื่อนใหม่ที่ชายหาดเป็นประจำ ฟาเบียโน่และอัลเฟไลย์นั้นมีอายุไล่เลี่ยกันจึงเล่นสนุก คุยกันถูกคอ เงียบขรึม ไม่ชอบแสดงความรู้สึกผ่านทางสีหน้าและแววตา จากนั้นทั้งฟาเบียโน่และอัลเฟไลย์ก็กลายเป็นเพื่อนนอกห้องเรียนกัน
หลายวันต่อมาฟาเบียโน่ไม่เห็นอัลเฟไลย์มารอเล่นฟุตบอลอย่างเคย เขาแปลกใจมากจึงออกเดินตามหาอัลเฟไลย์ไปเรื่อยๆตามชายหาดด้วยความหวังว่าอาจจะเจออัลเฟไลย์บ้าง ไม่นานนักฟาเบียโน่ก็ได้เห็นอัลเฟไลย์นั่งก้มหน้าร้องไห้คนเดียวที่ริมชายหาด เขาซุกตัวราวกับหลบซ่อนใครบางคนที่ซอกเหลือบถังขยะหลายๆถังที่วางเรียงกันอยู่ด้วยสภาพมอมแมมไม่ได้อาบน้ำมาหลายวัน
ฟาเบียโน่จึงพาอัลเฟไลย์กลับมาที่บ้านของตนเองด้วย คุณปู่การันก้าเป็นคนตะล่อมถามเรื่องราวความเป็นมาของเขา จึงได้รู้ว่าพ่อของเขาเสพยาเกินขนาดทำให้หัวใจวายตายเมื่อสามวันที่แล้ว ส่วนแม่ก็ถูกตำรวจจับได้ในระหว่างที่กำลังส่งยาให้วัยรุ่นกลุ่มหนึ่ง พอแม่โดนจับก็ถูกศาลพิพากษาให้จำคุกถึงยี่สิบปี อัลเฟไลย์จึงเป็นเป้าหมายต่อไปที่จำทำงานหน้าที่ส่งยาแทนพ่อแม่ของตัวเอง เขากลัวมากเพราะรู้ว่าทุกคนที่ทำงานส่งยาให้พวกมันต้องถูกพวกมันมอมยา เมื่อติดยาแล้วก็จะง่ายต่อการควบคุมและทำทุกอย่างตามที่พวกมันสั่ง อัลเฟไลย์ไม่อยากจะมีชีวิตเหมือนเพื่อนวัยเดียวกันอีกหลายคนที่อยู่ในสลัม เขาจึงหนีมาหนีมานั่งร้องไห้อยู่ตรงที่ฟาเบียโน่ไปพบมาได้สองคืนแล้วเพราะไม่รู้ว่าจะไปที่ไหนดี!!
คุณปู่การันก้าเข้าใจในปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างไม่ยาก เพราะมันเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นกลาดเกลื่อนในชุมชนแออัดทุกชุมชนในบราซิลซึ่งเป็นประเทศที่ได้ชื่อว่ามีการผลิตยาเสพติดมากที่สุดประเทศหนึ่งของโลกก็ว่าได้ ท่านจึงให้อัลเฟไลย์ได้พักอยู่ที่บ้านริมหาดอีปาเนมาก่อน เพื่อให้หนุ่มน้อยตั้งตัวและคิดหาวิถีทางแก้ไขปัญหาต่อไป
แต่ระยะเวลาเพียงแค่ห้าวันของการที่อัลเฟไลย์ก้าวเข้าไปพักอาศัยในบ้านตระกูลโอลีเวย์ร่า ในตอนเย็นของวันหนึ่งทีวีช่องท้องถิ่นของรีโอก็ได้รายงานข่าวว่ามีนักโทษหญิงถูกฆาตกรรมในเรือนจำอย่างโหดเหี้ยม! และสันนิษฐานว่าน่าจะเป็นการฆ่าปิดปากเพื่อไม่ให้นักโทษหญิงคนดังกล่าวซักทอดถึงแหล่งที่มาของยาเสพติดและผู้อยู่เบื้องหลังที่บงการให้เธอส่งยา! เมื่ออัลเฟไลย์ได้เห็นภาพของนักโทษหญิงคนนั้นเด็กหนุ่มถึงกับทรุดลงไปกองอยู่ที่พื้น!! ร้องไห้โฮ... ปากพร่ำบอกว่านักโทษหญิงคนนั้นคือแม่ของตน และเขาจะกลับไปสลัมเพื่อแก้แค้นให้พ่อและแม่ของเขาต้องตาย!!
คุณปู่การันก้าได้ฟังแล้วก็ตกใจอยู่ไม่น้อย นึกเวทนาในชะตากรรมของเด็กหนุ่มอายุเพียงสิบขวบ จึงได้พูดปลอบใจและห้ามไม่ให้เขาออกจากบ้านเพื่อไปแก้แค้นอย่างที่เขาตั้งใจเพราะหากปล่อยให้อัลเฟไลย์กลับไปตอนนั้นมันก็เท่ากับว่าส่งเขาให้ตายไปพร้อมกับพ่อและแม่ของเขาที่เพิ่งจากไปนั่นเอง
คุณปู่การันก้าได้พาอัลเฟไลย์ไปแสดงตัวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อรับศพของแม่ไปประกอบพิธีทางศาสนา หลังจากนั้นจึงได้ทำเรื่องเพื่อรับอุปการะอัลเฟไลย์ให้ถูกต้องตามกฏหมาย อัลเฟไลย์ใช้ชีวิตในช่วงแรกในบ้านตระกูลโอลีเวย์ร่าอย่างเด็กที่มีปมในใจ เขากลายเป็นคนเก็บตัวเงียบ ไม่ค่อยพูดจากับใครแม้แต่กับฟาเบียโน่ที่คอยหาเรื่องชวนออกไปเที่ยวเล่นตามประสาเด็กวัยเดียวกัน จนคุณปู่การันก้าคิดว่าต้องพูดกับเด็กหนุ่มให้เข้าใจเพราะหากปล่อยไว้อย่างนี้แล้วก็รังแต่จะทำให้เขากลายเป็นเด็กเก็บกด ฝังตัวเองจมอยู่กับความแค้นและการคิดหาวิธีที่จะแก้แค้น วันหนึ่งคุณปู่การันก้าจึงเข้าไปพูดกับอัลเฟไลย์ในห้องส่วนตัวของเขา หากแต่สถานะการณ์ตรงหน้าที่คุณปู่เจอมันกลับยากกว่าที่คิดไว้ เพราะอัลเฟไลย์นั้นเติบโตขึ้นมาอย่างเข้มแข็งดิ้นรนเพื่อให้ตัวเองได้มีชีวิตรอดก็จริง แต่ขาดความรักความอบอุ่นในครอบครัว ขาดการดูแลเอาใจใส่ของคนเป็นแม่จึงทำให้อัลเฟไลย์เป็นเด็กที่ฝังใจกับการแก้แค้น รักแรงเกลียดแรง การันก้านั้นผ่านร้อนผ่านหนาวมามากทำไมเขาจะไม่รู้ว่าหากตัวเองเผลอเรอเมื่อไหร่ อัลเฟไลย์ต้องกลับไปสลัมนั่นอีกครั้งแน่!!
อัลเฟไลย์ยังจำคำพูดของคุณปู่การันก้าได้ขึ้นใจจนถึงทุกวันนี้ ‘ฉันจะบอกอะไรให้นะเจ้าหนุ่ม ลูกผู้ชายอย่างเราน่ะ อีกสิบปีแก้แค้นก็ยังไม่สาย แต่ก่อนจะถึงวันนั้นต้องไม่ลืมที่จะหาความมั่นคงในทุกด้านให้กับตัวเองเสียก่อน ถึงวันนั้นแล้วอยากจะทำอะไร ก็ไม่มีใครว่าอะไรได้’
มันได้ผล! คำพูดที่เหมือนไม่ได้ห้ามให้แก้แค้นนั่น ทำให้อัลเฟไลย์เงยหน้าจากการนั่งจดจ้องที่ฝ่ามือว่างเปล่าของตัวเองขึ้นมามองคุณปู่การันก้าได้ ‘ฉันพูดจริงๆนะ ความมั่นคงที่ว่าคือการศึกษา แกต้องเรียนให้จบหาความรู้ให้กับตัวเอง เมื่อคนเรามีความรู้ก็สามารถสร้างรายได้เพื่อเลี้ยงตัว เงินตราจะนำมาซึ่งเกีรยติยศ ชื่อเสียง อำนาจ สิ่งเหล่านี้มันจะทำให้แกสามารถกลับไปจัดการกับคนพวกนั้นได้ จริงอยู่ว่าพวกในสลัมนั่มมันก็แค่ลูกกะจ๊อก แต่อย่าลืมว่าพวกที่บงการมันอยู่คือตัวที่มีทั้งอำนาจ อิทธิพลอย่างที่ฉันว่ามา แล้วดูแกตอนนี้ซิ!! จะเอาอะไรไปแก้แค้นให้พ่อแม่ได้’
นับจากวันนั้นอัลเฟไลย์กลายเป็นอีกคนที่มีความมุมานะ ตั้งใจเรียน ใช้ชีวิตตามที่เด็กปกติทั่วไป เรียนจบปริญญาตรีในมหาวิทยาลัยชื่อดังก้องโลกในประเทศอังกฤษเหมือนกันกับฟาเบียโน่ทุกประการโดยใช้เงินทุกเฮอัลของตระกูลโอลีเวย์ร่า การันก้านั้นหวังให้อัลเฟไลย์เติบโตขึ้นเป็นคนที่ฟาเบียโน่สามารถวางใจได้ เป็นมือเป็นเท้าช่วยกันทำให้ธุรกิจของโอลีเวย์ร่าเจริญรุ่งเรือง และมันก็เป็นอย่างที่คุณปู่การันก้าหวังไว้แค่เพียงไม่นานนัก อัลเฟไลย์ก็เกิดเรื่องผิดใจกับฟาเบียโน่อย่างรุนแรง จนต้องประกาศตัดขาดมิตรภาพความสัมพันธ์ฉันท์เพื่อนพี่น้องที่มีให้กันมายาวนานนับจากวันนั้นจนถึงตอนนี้
ก๊อก... ก๊อก...
เสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นทำให้อัลเฟไลย์หลุดจากห้วงความคิดของตนเองในครั้งอดีต พร้อมๆกับร่างของลุยเซาคนสนิทเดินเข้ามาในห้อง
“ดีเอโก้กลับไปรึยัง” อัลเฟไลย์เป็นฝ่ายถามขึ้นก่อน
“ครับเซญอร์ แต่ดูเหมือนดีเอโก้จะกังวลเรื่องเซญอร์ฟาเบียโน่เอามากๆ ผมสังเกตได้จากสีหน้าและแววตาเขา อ้อ... ดีเอโก้ยังเล่าให้ผมฟังด้วยนะครับว่าวันที่เขาได้นัดทานข้าวกับเซญอร์ฟาเบียโน่นั้น ท่านมากับภรรยา”
อัลเฟไลย์ขมวดคิ้วแปลกใจอย่างหนัก เขารู้จักฟาเบียโน่ดีพอๆกับรู้จักตัวเอง และมั่นใจว่าข่าวของฟาเบียโน่ที่ให้สายสืบติดตามมาตลอดตั้งแต่หมางใจกันนั้นไม่เคยพลาดแน่ แต่ทำไมเขาถึงไม่เคยรู้ว่าฟาเบียโน่มีเมียแล้วเลย?!! “แค่คู่ขาชั่วคราวรึเปล่า?”
“ตอนแรกผมก็คิดว่าอย่างนั้นแหละครับ แต่ดีเอโก้ว่าเซญอร์ฟาเบียโน่แนะนำว่าเธอคือภรรยาครับ ชื่อจำยากมาก...” ลุยเซามองหน้าของเจ้านายที่ทำหน้าแปลกใจพลางเล่าสิ่งที่รู้มาต่ออีก “ดีเอโก้เองก็บอกว่าจำชื่อเธอไม่ค่อยได้เพราะว่าเป็นผู้หญิงเอเชียตัวเล็กๆ น่าทะนุทถนอมไม่ใช่ผู้หญิงหุ่นยั่วน้ำลายทั่วไปอย่างที่เซญอร์ฟาเบียโน่เคยควงด้วย เห็นว่ามาจากประเทศไทยครับ ดูทะนุทถนอมเป็นพิเศษยังกับไข่ในหินเลยครับ”
“งั้นแกไปสืบมาสิว่าผู้หญิงคนนี้มีที่ไปที่มายังไง หล่อนจะเป็นเมียฟาเบียโน่จริงๆน่ะเหรอ?!” อัลเฟไลย์สั่งคนสนิทแต่ท้ายประโยคเหมือนถามตัวเองเพราะยังไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยินมาเท่าไหร่นัก
ลุยเซาจึงออกไปทำตามคำสั่งของเจ้านายทันที
อัลเฟไลย์จึงได้คิดถึงเรื่องของฟาเบียโน่ที่เพิ่งได้ข่าวว่าเขามีเมียแล้ว ตั้งแต่ที่รู้จักกันมาฟาเบียโน่คบกับผู้หญิงมากหน้าหลายตาก็จริง แต่เขาก็คบทีละคน และไม่เคยเห็นฟาเบียโน่จะถูกใจผู้หญิงหน้าไหนพอที่จะออกปากแนะนำกับใครว่าเป็นเมียของตนเองสักครั้ง!! นี่เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่เขาและฟาเบียโน่มีความคิดเห็นที่ตรงกันว่าผู้หญิงคือบ่อเกิดของปัญหาและความยุ่งยากทั้งปวงในโลกใบนี้!! หากยกฐานะพวกเธอขึ้นมาเกินกว่าคู่นอนแล้วนั่นก็หมายถึงว่าจะต้องมีการเพิ่มฐานะของพวกเธอให้สูงขึ้นเรื่อยๆจนไปจบลงที่ทะเบียนสมรส!!
นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทั้งคู่ไม่เคยคิดจะยกผู้หญิงหน้าไหนให้เกินกว่าคู่นอนชั่วคราวที่มีความพึงพอใจกันในความสัมพันธ์ทางกายเท่านั้น หรือไม่ก็แค่จ่ายค่าตอบแทนเล็กๆน้อยๆเพื่อให้พวกเธอเลือกซื้อของฟุ่มเฟือยตามใจอยากบ้างแล้วก็จบเรื่องกันไป... แล้วใครกันนะที่ทำให้ฟาเบียโน่ถึงกับยอมรับว่าเธอคือภรรยา อัลเฟไลย์อยากรู้ขึ้นมาในทันใด!??
พงศกรเจมส์ กรุงเทพมหานคร
หลังจากที่นงนุชวางใจว่าฟาเบียโน่จัดการเรื่องเกี่ยวกับอรอาภาได้เรียบร้อยแล้ว นัดดาก็ยังมีท่าทีเงียบไปและเธอก็ยังได้รู้ว่ามาอรอาภานั้นติดต่อกลับมาแล้ว แต่ก็ไม่ได้เรียกนัดดามาซักถามแต่อย่างใดเพราะไม่ต้องการที่จะเกี่ยวข้องกับผู้หญิงคนนั้นอีก
เครื่องเพชรชุดใหญ่ที่อรอาภาได้ออกแบบไว้เรียบร้อยแล้ว ก็ได้ทำการขึ้นตัวเรือนจนออกมาเป็นชุดเครื่องเพชรที่สวยงามที่สุด และยังถูกใจคุณหญิงเลอลักษณ์หนักหนา ลูกค้าในแวดวงสังคมชั้นสูงจำนวนมากจึงเป็นลูกค้าประจำของพงศกรเจมส์ไปโดยปริยาย หากแต่มีเรื่องหนึ่งที่ทำให้นงนุชและต่อพงษ์ต้องปวดหัวก็คือ ยอดขายของพงศกรเจมส์ที่โฆษณาว่าได้ใช้เพชรทั้งหมดจากคิงส์ ออฟ เจมส์ มันขายดีจนแทบจะผลิตไม่ทัน ต่องพงษ์สั่งซื้อเพชรจำนวนมากขึ้นจากครั้งแรกอีกครั้งในช่วงเวลาหนึ่งเดือนที่ผ่านมา นงนุชและต่อพงษ์พอใจอย่างมากกับยอดขายที่เพิ่มมากขึ้นแม้จะต้องตอบคำถามเรื่องการทวงสินค้าจากลูกค้าอยู่บ่อยครั้งก็ตามที
นงนุชนั้นเรียกได้ว่าสมหวังดังความปราถนาของตนเองทุกประการทั้งในเรื่องธุรกิจ และครอบครัวของลูกชายที่ได้เข้าพิธีแต่งงานกับแววดาว ลูกสาวเจ้าของห้างหรูที่เธอหมายตาไว้แต่แรกนั่นเอง
หลังจากที่กลับจากบราซิลในคราวนั้นต่อพงษ์และแววดาวก็ประกาศที่จะแต่งงานกันทันที ข่าวนี้สร้างเป็นที่โด่งดังในแวววงสังคมไปทั่วเพราะรวดเร็ว กระชั้นชิด จนมีข่าวซุบซิบออกมาว่าแววดาวนั้นตั้งครรภ์จึงต้องรีบแต่งงานกันแบบสายฟ้าฟาด
ต่อพงษ์เองก็ไม่ได้ขัดข้องแต่อย่างใดเพราะเห็นท่าทางอาเจียนราวกับคนแพ้ท้องของแววดาว และเชื่อฟังคำสั่งของแม่ตนเองว่าต้องเห็นความเจริญก้าวหน้าของธุรกิจมาก่อนสิ่งอื่นใด หลังจากที่ทั้งคู่เข้าพิธีแต่งงานกันมาได้ราวสองเดือน แววดาวจึงเพิ่งจะบอกกับสามีว่าตนเองไม่ได้ตั้งท้องอย่างที่เข้าใจ แต่อาการคลื่นไส้ วิงเวียนศรีษะ ประจำเดือนคลาดเคลื่อนไปหลายสัปดาห์นั้นคงจะเป็นเพราะความเครียดเท่านั้น โดยหารู้ไม่ว่าแววดาวนั้นรู้จักป้องกันตนเองเป็นอย่างดี ผลพวงแห่งความปราถนาอันเร่าร้อนจึงไม่ได้เกิดขึ้นตามที่แววดาวนั้นตั้งใจไว้แต่แรกแล้ว ต่อพงษ์เพียงแค่พยักหน้ารับพร้อมลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก ในใจลึกๆเขาเองก็ยังไม่ได้อยากจะมีลูกในตอนนี้นักเพราะยังไม่อยากจะหาห่วงมาผูกคอตัวเอง เพียงแค่การใช้ชีวิตร่วมกันได้ไม่ถึงเดือนดี ต่อพงษ์ก็ไม่มีเวลากระดิกตัวไปไหนมาไหนเหมือนเมื่อก่อนได้แล้ว
แววดาวยังเข้ามาทำงานที่พงศกรเจมส์ด้วยดูแลเรื่องดีไซน์เครื่องประดับทั้งหมด ส่วนมากจะตำหนิให้ดีไซเนอร์ไปแก้ไขมากใหม่ทั้งหมด แต่แววดาวกลับไม่เคยบอกว่าให้แก้ไขในรายละเอียดปลีกย่อยตรงจุดไหนเลย ทำให้ดีไซเนอร์ในบริษัทหลายคนบ่น เกิดความไม่พอใจขึ้น!!
ต่อพงษ์ได้ยินเสียงบ่นเหล่านี้มาเกือบสองสัปดาห์แล้ว และไมอาจปล่อยให้เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นต่อไปได้อีกเพราะหลังๆมานี่ พงศกรเจมส์ แทบจะไม่มีเครื่องประดับดีไซน์แปลกตาเหมือนอย่างเมื่อก่อนเลยจนมีเสียงเรียกร้องจากลูกค้าให้ต่อพงษ์รีบทำการค้ากับคิงส์ ออฟ เจมส์ อย่างเต็มตัวสักทีเพราะอยากจะเลือกซื้อเครื่องประดับในแบบที่คนดังทั่วโลกได้ซื้อกัน ไม่ใช่งานดีไซน์เก่าๆอย่างพงศกรเจมส์กำลังทำอยู่ในตอนนี้ มันเป็นเหตุผลที่ทำให้ต่อพงษ์ตัดสินใจที่จะคุยกับแววดาวให้รู้เรื่อง ชายหนุ่มเดินเข้ามาในห้องทำงานส่วนตัวของแววดาวโดยไม่เคาะประตูก่อน พร้อมโยนแบบสเก็ตเครื่องประดับลงบนโต๊ะทำงานของภรรยาสาวไม่เบานัก!
“ทำไมทำอย่างนี้คุณดาว??”
“ทำอะไรคะ?” แววดาวละสายตาจากจอคอมพิวเตอร์มามองหน้าสามี
“ก็แก้งานของดีไซเนอร์แบบนี้น่ะสิ! ผมไม่ว่านะ ถ้าคุณจะให้พวกเขาแก้ไขบางจุดแต่ก็ควรจะเรียกเขามาดูจุดที่ต้องแก้ทีละจุดไป ไม่ใช่ใช้ปากกาแก้งานพวกเขาแบบนี้ มันไม่ถูกต้อง” ต่อพงษ์ใช้นิ้วชี้ของตนเองชี้ลงไปในแบบสเก็ตซ์ตรงหน้าแววดาว “อย่างตรงนี้ ถ้าคุณจะให้เขาแก้ คุณก็ต้องใช้ดินสอวงกลมไว้แล้วก็เขียนรายละเอียดลงในกระดาษโน๊ตต่างหาก ไม่ใช่ใช้ปากกาเขียนลงไปแบบนี้ จากที่ต้องแก้ไขหน่อยเดียว กลับกลายเป็นว่าต้องวาดขึ้นมาใหม่ทั้งหมด! ทำแบบนี้มันเสียเวลารู้ไหม!?”
“แต่ฉันคิดว่าฉันทำถูกแล้ว คุณก็รู้ว่าลูกค้าของเรามีแต่ระดับวีวีไอพีทั้งนั้นจะทำงานง่ายๆไม่ได้ แม้จะแก้จุดเล็กๆนิดเดียวก็สมควรต้องวาดขึ้นมาใหม่ ถ้าแบบสเก็ตซ์ถึงมือของฝ่ายผลิตแบบลวกๆงานที่ออกมามันก็ไม่มีทางที่จะเพอร์เฟคไปได้หรอกค่ะ” แววดาวบอกสามีที่ยืนหน้าตึงอยู่ที่เดิม
“พงศกรไม่เคยทำงานลวกๆ ทำไมผมจะไม่รู้ว่าพนักงานของบริษัทตัวเองทำงานอย่างตั้งใจกันทุกคน แต่การที่คุณทำแบบนี้มันไม่ถูก คุณน่าจะรู้ว่าตั้งแต่ที่คุณหญิงเลอลักษณ์ไว้วางใจเรา เป็นลูกค้าเรา ฐานลูกค้าระดับสูงของเราก็เพิ่มมากขึ้นจนแทบจะออกแบบใหม่ๆมาไม่ทันอยู่แล้ว แต่กลับต้องมาเสียเวลาเพราะสิ่งที่คุณทำลงไป แล้วคุณเองก็น่าจะรู้ดีว่าการวาดรูปเครื่องประดับที่สวยๆออกมาสักภาพมันก็ไม่ใช่เรื่องง่าย พวกงานศิลป์ต่อให้เก่งแค่ไหนถ้าอารมณ์ไม่ดีหรือได้เห็นว่าคนอื่นมาทำลายผลงานของตัวเอง ก็ไม่มีทางที่จะวาดมันออกมาได้สวยงามเท่าภาพแรกที่ตั้งใจหรอก!”
แววดาวเหยียดยิ้มใส่ตาสามีอย่างไม่เกรงกลัว “แหม! ดูสามีของฉันนี่จะเข้าอกเข้าใจพวกอารมณ์ศิลปินดีเหลือเกิน สงสัยจะเป็นพวกวัวเคยขาม้าเคยขี่!!”
“แววดาว!!” ต่อพงษ์ปรามภรรยาเสียงแข็งแต่แววดาวก็หาได้ใส่ใจ
“ก็หรือไม่จริง ฉันแก้งานของยัยนัดดา เพื่อนของแฟนเก่าคุณหน่อยเดียว คุณถึงกับต้องมาต่อว่าฉันเสียงดัง หรือคุณจะรวบทั้งยัยนัดดาด้วยอีกคน?”
ต่อพงษ์ข่มอารมณ์ไว้อย่างสุดกลั้น เขากำหมัดแน่นที่ได้ยินคำดูถูกและความไม่มีเหตุผลของแววดาว “คุณจะคิดไปแบบไหนก็ตามใจ แต่ต่อไปนี้ผมขอสั่งห้ามให้แก้งานแบบนี้อีก ถ้ายังไม่เชื่อกันดื้อรั้นที่จะทำอย่างนี้อีกต่อไป อย่างหาว่าผมไม่เตือนก็แล้วกัน!! อ้อ... แล้วที่นี่ที่ทำงาน อย่ากรีดร้องโวยวายให้ได้อายพนักงานก็แล้วกัน!!” ต่อพงษ์พูดดักหน้าไว้พร้อมเดินออกจากห้องทำงานของแววดาว ใจจริงก็อยากบอกถึงเหตุผลที่แท้จริงว่าหากเธอยังมัวแต่ทำงานโดยเอานิสัยความเอาแต่ใจของตัวเองเป็นที่ตั้งตัดสินงาน มันจะทำให้พงศกรเจมส์ตกที่นั่งลำบาก เพราะยอดสั่งซื้อเพชรจากคิงส์ ออฟ เจมส์ นี้มากพอที่จะทำให้เปิดร้านคิงส์ ออฟ เจมส์ สาขาประเทศไทยได้โดยง่าย แต่นั่นไม่ใช่จุดประสงค์ที่แท้จริงของต่อพงษ์ เขาเพียงแค่อยากยืมชื่อของคิงส์ ออฟ เจมส์ มาเป็นใบเบิกทางสู่กลุ่มลูกค้ากระเป๋าหนัก โดยตนเองก็สามารถขายเครื่องประดับแบรนด์พงศกรเจมส์ได้เช่นกัน แต่หากพงศกรเจมส์ยังไม่มีดีไซน์ใหม่ๆ เก๋ๆ ออกมาให้ลูกค้าได้เลือกอยู่แบบนี้ ก็คงต้องรับสภาพคนนั่งขายของให้คิงส์ ออฟ เจมส์ แล้วมีกำไรจากส่วนแบ่งเพียงไม่กี่เปอร์เซ็นต์และมันก็เป็นสิ่งที่ต่อพงษ์กลัวว่าจะเกิดขึ้นในอีกไม่ช้านี้!!
แต่หากจะพูดเรื่องการทำธุรกิจอันซับซ้อนนี้กับคนอย่างแววดาว ก็คงไม่มีทางเข้าใจกันได้โดยง่าย เผลอๆจะได้เป็นขี้ปากให้พนักงานในบริษัทนินทาได้สนุกปากอีก!! เพราะตั้งแต่ใช้ชีวิตคู่อยู่ร่วมกันมาสองเดือนนี้ มันทำให้เขาได้รู้ว่าแววดาวจะกรีดร้องทำลายข้าวของที่อยู่ใกล้มือเสมอเมื่อมีคนขัดใจหรือไม่ได้อะไรในสิ่งที่ตนเองตั้งความหวังเอาไว้ ซึ่งมันทำให้เขาเคยเอาเรื่องนี่ปรึกษากับนงนุชมาครั้งหนึ่งแล้ว แต่นงนุชบอกกับเขาว่าให้อดทนเอาไว้ก่อนเพราะยังไงก็คงต้องอาศัยบารมีพ่อของแววดาวซึ่งเป็นผู้ทรงอิทธิพล ร่ำรวย ดีไม่ดีอีกไม่นานนี้ยังต้องขอความช่วยเหลือในเรื่องเงินๆทองๆอีกด้วย และการที่แววดาวเอาแต่ใจตัวเองแบบนี้ก็เพราะว่าเธอเป็นลูกสาวคนเดียวในบรรดาพี่น้องทั้งสามคนนั่นเอง
ต่อพงษ์เดินออกมาจากห้องทำงานของแววดาว มาหยุดอยู่ที่โต๊ะทำงานของนัดดาและพนักงานอีกหลายคน
“ต่อไปนี้ก็ทำงานของพวกคุณเหมือนเดิมที่เคยทำมา แบบสเก็ตซ์ทุกชิ้นไม่ต้องผ่านห้องของคุณแววดาว เดี๋ยวผมจะให้เลขาของผมมารับงานของพวกคุณไปให้ผมเอง คราวนี้ก็ทำงานกันให้สบายใจได้” ต่อพงษ์ที่พูดได้เพียงเท่านี้ก็เดินกลับเข้าห้องทำงานของตนเองไป ทิ้งให้พนักงานหลายคนหันมามองหน้ากันตาปริบๆ และแน่นอนว่าเรื่องนี้มันคือเรื่องเม้าท์ในช่วงพักกลางวันเป็นแน่แท้ นัดดาคิดในใจ
กริ๊ง... กริ๊ง... กริ๊ง...
เสียงโทรศัพท์ของนัดดากรีดดังขึ้น เบอร์โทรยาวเหยียดที่โชว์หราอยู่หน้าจอทำให้นัดดายิ้มกว้างออกมารู้ในทันทีว่าอรอาภาเพื่อนรักโทรฯมาหาจากแดนไกลนั่นเอง
“ฮัลโหล เธอนี่สมกับเป็นเพื่อนรักฉันเลยนะขิง โทรมาตอนที่ฉันกำลังอยากจะคุยด้วยพอดี” นัดดากรอกเสียงลงไปในโทรศัพท์เครื่องบางทันที
เสียงหัวเราะของอรอาภาตัวปลอมดังมาตามสาย สาวบราซิลที่มีอาชีพเป็นล่ามภาษาไทย พูดไทยได้ชัดเจนราวกับเจ้าของภาษาถูกว่าจ้างให้เล่นตามบทที่อิบันบอก ด้วยค่าจ้างจำนวนที่ไม่อาจจะเอ่ยคำปฏิเสธได้ เสียงของเธอถูกส่งผ่านไปยังเครื่องมือทันสมัยราวกับเป็นสายลับ เปลี่ยนเสียงของตนเองให้อยู่ในเสียงโทนหวานเช่นเดียวกันกับหญิงผู้ที่สวมรอยเป็นเธอได้สองเดือนแล้ว
“มีอะไรเหรอ?”
“ก็เมื่อเช้านี้คุณต่อพงษ์เข้าไปโวยคุณแววดาวใหญ่เลย เสียงเอะอะลอดออกมาจากห้องทำงานคุณแววดาวอยู่ตั้งนานแต่เสียดายฉันจับใจความไม่ได้ แต่พอคุณต่อพงษ์เดินออกมานี่หน้ายังกับยักษ์! ใครเข้าหน้าก็ไม่ติด แถมยังสั่งว่าต่อไปนี้งานออกแบบทั้งหมดไม่ต้องส่งคุณแววดาว คุณต่อพงษ์จะเป็นคนเลือกดีไซน์เองทั้งหมด” นัดดาร่ายยาวเป็นชุดให้เพื่อนสาวของตนเองฟัง
“ก็ดีแล้วนี่ เธอเองก็จะได้ไม่ต้องมาบ่นว่าต้องมานั่งแก้งานอีก” อรอาภาตัวปลอมว่า
“ดีน่ะสิ แต่ยังไม่รู้เลยว่าจะได้กี่วัน ถ้าคุณแววดาวเอาเรื่องนี้ไปบอกคุณนงนุชล่ะก็ ยังไงซะคุณต่อพงษ์ก็ไม่มีทางที่จะขัดได้อยู่แล้ว เธอก็รู้ว่าคุณนงนุชเกรงใจลูกสะใภ้เทวดาจะตายไป” นัดดาว่า หญิงสาวเล่าความเกรงใจที่แม่ผัวมีต่อลูกสะใภ้ให้เพื่อนสาวฟังอยู่เป็นประจำ “อีกอย่างนะ ฉันดูคุณต่อพงษ์ปราดเดียวก็รู้แล้วว่าไม่มีความสุขในชีวิตแต่งงาน ยังเคยถามถึงเธออยู่บ่อยๆแต่หลังจากที่ฉันเล่าให้ฟังว่าเธอกำลังรักอยู่กับเจ้าของคิงส์ ออฟ เจมส์ เขาก็ไม่เคยถามถึงเธออีกเลย!”
“สมน้ำหน้า นี่แหละผลของการตัดสินใจเลือกคนจากฐานะ ฉันยังคิดว่าตัวเองโชคดีด้วยซ้ำไปที่หลุดพ้นจากคนพวกนี้”
“ว้าว!! ขิงคนเดิมหายไปจนไม่เหลือแล้วนี่ ฉันดีใจจริงๆที่เธออยู่ที่โน่นอย่างมีความสุข” นัดดาชมอรอาภา “เอ่อนี่... แล้วงานดีไซน์แหวนของคิงส์ ออฟ เจมส์ ล่าสุดที่ใช้ชื่อว่า ‘เซญอร่าจิงเจอร์’ เป็นคนออกแบบน่ะเป็นเธอเองใช่ไหม?? ฉันไม่แน่ใจเพราะแต่ก่อนเธอจะใช้ชื่อจริงเซ็นกำกับ”
“จ้ะ... คือฉันอยากเปลี่ยนน่ะ อยู่ที่นี่ออกเสียงชื่อฉันยากมาก เรียกว่าจิงเจอร์จะง่ายกว่า”
“ดังใหญ่แล้วเพื่อนฉัน... ในออฟฟิศของเราคุยกันเรื่องดีไซน์ของเธอให้ระงม สงสัยเมื่อเช้าคุณแววดาวจะเข้ามาได้ยินเลยอารมณ์เสียไปกันใหญ่” นัดดาเอาโทรศัพท์ที่กำลังแนบหูอยู่ออกมาดู เมื่อได้ยินเสียงสัญญาณสายเรียกเข้าซ้อนเข้ามา “ขิง พอดีฉันมีสายซ้อน แม่โทรมาน่ะ แค่นี้ก่อนนะ เดี๋ยวว่างๆ จะอีเมล์ไปหา”
“จ้า... ฝากความคิดถึงถึงคุณป้าด้วยนะ บาย”
“จ้า บาย...” นัดดาขมวดคิ้วมุ่น ปกติอรอาภาจะเรียกแม่ของเธอว่าแม่จนติดปาก แต่ทำไมคราวนี้เรียกว่าป้า! ด้วยความที่รีบร้อนรับสายจึงไม่ได้คิดอะไรต่ออีก ส่วนอรอาภาตัวปลอมถอนหายใจโล่งอก เมื่อภาระกิจในครั้งนี้จบลงด้วยดีทั้งยังรวดเร็วกว่าที่คิดไว้หลายนาทีด้วย
อิบันส่งเงินสดก้อนโตให้ล่ามสาวชาวบราซิลอย่างที่เคยทำมาตลอดสองเดือน “ทำดีมาก... นี่ค่าตอบแทนของคุณ”
“ขอบคุณค่ะ แล้วฉันต้องทำแบบนี้ไปอีกนานไหมคะ?” ล่ามสาวรับเงินพร้อมถามชายคนที่ว่าจ้างเธอให้มาทำงานนี้ ทั้งยังส่งอีเมล์ที่เขาเป็นคนตอบโต้กับนัดดาสาวไทยให้เธอได้อ่านเสมอ จึงจะคุยประติดประต่อกับนัดดาได้
“ไม่ต้องถามอะไรทั้งนั้น คุณมีหน้าที่ทำตามที่ผมสั่ง แล้วอย่าลืมข้อตกลงว่าห้ามแพร่งพรายเรื่องนี้ให้ใครได้รู้เป็นอันขาด!!” อิบันย้ำเสียงหนักแน่น จ้องตาสาวตรงหน้าดุๆ
“ค่ะๆ ฉันไม่ลืมแน่! ขอตัวก่อนนะคะ” ล่ามสาวละล่ำละลักบอกพร้อมกับรีบออกไปทันที ปล่อยให้อิบันถอนหายใจออกมาอย่างโล่งใจไปอีกเปราะหนึ่ง เขาเองที่เป็นคนตอบอีเมล์คุยกับเพื่อนสาวชาวไทยของเซญอร่าอรอาภาอยู่เสมอ แล้วจึงจัดการปริ๊นข้อความทั้งหมดส่งให้ผู้หญิงคนที่จ้างเธอมาได้อ่านเรื่องราวที่คุยตอบโต้กัน อิบันอยากหยุดเวลาช่วงนี้ไว้นัก เขายินดีที่จะเป็นคนหลอกลวงไปจนตายเพียงเพื่อจะแลกกับรอยยิ้มที่รู้ว่าเกิดจากความสุขของเจ้านายอย่างแท้จริง
เสียงสูดหายใจเอาความหอมจากแก้มนวลนุ่ม ทำให้อรอาภาที่กำลังนั่งเอนตัวอยู่บนเก้าอี้ชายหาดลืมตาขึ้นมาดูคนที่ขโมยหอมแก้มตัวเอง
“มาตั้งแต่เมื่อไหร่คะ?” อรอาภาแย้มยิ้มหวานจับใจให้สามีที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวเดียวกันกับตัวเอง เมื่อวานนี้อรอาภาเดินทางมาวิลล่าในบูซิโอสก่อน เพราะฟาเบียโน่ติดงานสำคัญจึงจะตามมาทีหลัง และตอนนี้เขาก็นั่งอยู่ข้างๆ โดยใส่แค่กางเกงขาสั้นเพียงตัวเดียวเท่านั้น เผยหน้าอกแกร่งกว้างที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อเป็นมัดๆ อย่างคนออกกำลังกายสม่ำเสมอ ทั้งยังจ้องมองใบหน้าของเธออยู่ไม่วางตา
“มาตั้งนานแล้ว... แอบมองสาวใส่ชุดว่ายน้ำนอนอาบแดดอยู่ตั้งนาน สาวก็ยังไม่รู้ตัวอีก” ฟาเบียโน่ตอบยิ้มๆ อรอาภาอยู่ในชุดว่ายน้ำวันพีซสีขาวสะอาด ใช้ผ้าผืนใหญ่เนื้อพลิ้วพันหลวมๆ ไว้ที่เอวคอด อกอวบอิ่มที่ดันตัวอยู่ในชุดว่ายน้ำที่เห็นมันทำให้เขาไม่อยากละสายตาออกจากเธอแม้วินาทีเดียว เมื่อคืนนี้เป็นคืนที่เขานอนไม่หลับ ตาค้างทั้งคืนและไม่อยากคิดว่ามันเป็นเพราะไม่มีร่างนุ่มนิ่มที่นอนอยู่ข้างๆ กันมาตลอดระยะเวลาสองเดือน พอประชุมเสร็จเขาก็ใช้วิธีนั่งเฮลิคอปเตอร์มาเพื่อประหยัดเวลามากกว่าการนั่งรถยนต์จนทำให้มองเห็นสายตาขำๆของสองลูกน้องที่มองมาราวกับว่าเขาเป็นไอ้หนุ่มคะนองรัก!!
“งานเสร็จเร็วเหรอคะ ไหนบอกว่าจะตามมาตอนเย็น นี่ยังไม่เที่ยงวันเลย” อรอาภาเอียงหน้าถามได้อย่างน่ารัก เลยได้รับรางวัลเป็นหอมหนักๆ อีกทั้งสองแก้มก่อนที่จะได้คำตอบ
“อื้ม... รีบทำให้เสร็จ คิดถึงเมีย” ฟาเบียโน่ตอบตรงๆ แบบที่ถูกใจอรอาภายิ่งนัก นิ้วเรียวทำเลียนแบบก้ามปู หยิกเข้าที่แก้มของคนตัวโตที่นั่งคร่อมตัวเองอยู่อย่างอดใจไม่ไหว
“ปากหวาน! ปากหวานแบบนี้ใช่ไหมคะ ฉันถึงตกหลุมรักคุณจนยอมจดทะเบียนสมรสทั้งที่ยังไม่เข้าพิธีวิวาห์กัน”
“ไม่รู้สิ ผมไม่เคยชิมปากตัวเอง คุณต้องชิมเองแล้วจะรู้ว่ามันหวานไหม” เพียงเท่านั้น ใบหน้าคร้ามคมก็ก้มลงมาหาใกล้จนอรอาภาตาพร่า
เมื่อลิ้นหนาเป็นฝ่ายเริ่มสอดเข้ามาในโพรงปากหวานฉ่ำ อรอาภาก็เต็มใจเปิดรับลิ้นหนาทันที ทั้งยังส่งลิ้นของตนเองออกมาเกี่ยวกระหวัด หยอกเย้าเขาอย่างใจกล้า มือหนาสอดเข้ามาใต้แผ่นหลังบอบบางดึงให้เธอเข้ามาเบียดชิดกับอกแกร่งเปลือยเปล่าของตนเองอย่างเร้าอารมณ์ เพียงเท่านี้อรอาภาก็ตอบสนองกลับคืนอย่างที่เคยเรียนรู้มาตลอดสองเดือนที่อยู่ด้วยกัน ความหวานอ่อนละมุนแปรเปลี่ยนเป็นหวานแหลม ซ่านใจ ฟาเบียโน่จูบเอาๆ ราวกับคนที่ไม่ได้เจอกันมาเป็นแรมปีทั้งที่ห่างกันเพียงแค่คืนเดียวเท่านั้น!
“อืม...” เสียงครางประท้วงของอรอาภาดังขึ้นเมื่อเธอหายใจไม่ทัน ทำให้ฟาเบียโน่ถอนริมฝีปากของตัวเองออกแล้วคลอเคลียอยู่ที่โครงหน้างดงาม เรื่อยไปจนถึงใบหู ลำคอระหงที่ด้านหลังมีเพียงปมชุดว่ายน้ำที่ผูกรัดความอวบอิ่มของทรวงอกใหญ่เอาไว้อยู่
มือเรียวสองข้างสอดเข้าไปเล่นกับผมสั้นเส้นแข็งเล็กน้อยให้ได้จักจี้มือเล่น ความไว้เนื้อเชื่อใจที่ได้เคยให้สัญญาไว้ต่อกันว่าจะรอจนกว่าที่เธอจะจำทุกสิ่งอย่างได้ ถึงจะมอบความรักความผูกพันทางกายให้แก่กันและกัน ทำให้อรอาภาไม่ได้เกรงกลัวเมื่อใกล้ชิดกันเช่นนี้ เธอเชื่อใจเสมอว่าเขาเป็นคนรักษาคำพูด เพราะทุกครั้งจะไม่มีอะไรเกินเลยไปกว่าจูบเร่าร้อนและนอนกอดก่ายกันแนบชิดจนรุ่งเช้าเท่านั้น
“เล่นน้ำกันไหมคะ? คุณจะได้สบายตัวขึ้น” อรอาภาเอ่ยถามเพราะสัมผัสได้ถึงความร้อนผ่าวที่เกิดขึ้นหลังจากสัมผัสกันและกัน ตอนนี้ใบหน้าคร้ามคมยังซุกซบอยู่ร่องอกอวบอิ่มซึ่งเขาเองก็ไม่รู้ว่ามันทำให้เขาคลายความต้องการลงหรือเพิ่มความปราถนาให้มากขึ้นอีกกันแน่!!
“ไปสิ ถ้าขืนอยู่แบบนี้ต่อผมคงได้ลงแดงตายแน่ เมื่อไหร่จะยอมสักทีล่ะจิงเจอร์ ถ้าชาตินี้คุณยังจำอะไรไม่ได้ ผมไม่ต้องเป็นหมันไปจนตายเหรอที่รัก” ฟาเบียโน่พูดอย่างข่มอารมณ์ทั้งลุกขึ้นช้อนร่างอิ่มไว้ในวงแขน ก้าวเดินอย่างมั่นคงลงไปในทะเลสีครามเบื้องหน้า
“แค่นี้ก็บ่นแล้ว ไหนว่ารอได้ไงคะ?” อรอาภาเองก็เขินไม่แพ้กัน ทุกครั้งก็หลงเพริดไปกับสัมผัสพิศวาสที่เขาปลุกเร้าขึ้นมา จนบางทียังเป็นฝ่ายกลัวใจตนเองมากกว่าที่จะไม่หลงไปปล้ำหุ่นนายแบบยังอายแบบสามีของตัวเอง!! จากตอนแรกที่เธอเป็นฝ่ายยั่วยวนสามีเพราะไม่อยากให้เขาเย็นชา ทำตัวแข็งทื่อเหมือนหุ่นยนต์ แต่เมื่อได้ใกล้ชิดกันทุกคืนวัน อรอาภาก็ไม่เคยได้เห็นอาการเหล่านั้นที่เธอว่ามาเลยแต่เขาคือจอมทะลึ่ง ชอบพูดเรื่องน่าอายไม่เลือกที่ราวกับพูดถึงเรื่องดินฟ้าอากาศทั่วไป ที่สำคัญเขาเรียกร้องให้เธอมอบตัวเองให้เขาบ่อยจนบางครั้งตัวเองก็กลัวใจจะเผลอไผลไปกับเขานัก!! ก็เขาหล่อ แถมยังมีเสน่ห์ดึงดูดทางเพศที่ร้อนแรงอีกน่ะสิ
ฟาเบียโน่มองแก้มแดงจากความเขินอายของภรรยาอย่างถูกใจพร้อมหัวเราะหึๆ ในลำคอหนา “เมื่อไหร่ที่คุณเกิดจำได้ขึ้นมา... แล้วมันนานจนผมเกิดลืมไปแล้วว่าทำลูกเขาทำกันยังไงคุณนั่นแหละที่จะลำบาก! ต้องเป็นฝ่ายรุก ทำเองทุกอย่างนะปีศาจน้อย”
“ไม่เห็นเป็นไรนี่คะ เราก็เปิดหนังโป๊ดูแล้วทำตามเขาก็ได้” อรอาภาตอบหน้าตายแต่ความจริงแล้วเธออายจนแทบแทรกแผ่นดินหนี
ฟาเบียโน่ได้ยินที่ปีศาจตัวน้อยพูดแล้วต้องแหนหน้าขึ้นฟ้าระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังลั่น สักพักจึงวางร่างอิ่มลงเพราะระดับน้ำลึกเลยเอวสอบขึ้นมาแล้ว เบ้ปากมองใบหน้างดงามที่ยิ้มตามตนเอง “หวังว่าคุณจะไม่ทำให้ผมรอนานจนเราต้องทำแบบนั้นกันจริงๆนะจิงเจอร์ รู้ไหมว่าคุณยิ่งพูดแบบนี้ผมยิ่งคึกจนจะตายอยู่แล้ว คุณจะโลดโผนแบบในหนังโป๊ได้จริงๆน่ะเหรอที่รัก??” ไม่พูดเปล่าแต่คว้าข้อมือเรียวเข้ามาวางที่ความคึกของตนเองจนอรอาภากรีดร้องโวยวายแต่ก็ยังไม่สามารถดึงมือของตัวเองออกจากความคึกของเขาได้!!
“ปล่อยเดี๋ยวนี้นะ!! เฟลิกซ์!! ไอ้คนเหลือทนทำแบบนี้กับฉันได้ยังไง!?” เสียงแว๊ดๆของอรอาภาไม่ได้ทำให้ฟาเบียโน่ทำตามที่เธอบอกแต่อย่างใด
“ไหนว่าจะทำแบบในหนัง หนังโป๊เรื่องไหนก็ต้องมีฉากแบบนี้กันทั้งนั้น ซ้อมไว้ก่อนไงที่รัก เดี๋ยวพอเอาเข้าจริงคุณจะได้ไม่ตื่นสนาม” ฟาเบียโน่ยั่วเย้าภรรยาที่ทั้งตัวกลายเป็นสีชมพูจัดเพราะความเขินอายแล้ว
อรอาภาอายที่สุดในชีวิตเพราะสิ่งที่ดิ้นขยับยุกยิกอยู่ใต้ฝ่ามือของตนเอง ใบหน้าคร้ามคมยังบดกรามตัวเองแน่น หลับตาลงทำเสียงซี๊ดซ๊าดอย่างไม่อาย หญิงสาวต้องใช้ท่อนแขนข้างที่ว่างทุบที่อกกว้างแรงๆหลายที จนหลุดออกมาจากการกระทำอันหื่นห่ามของเขา! พลางหัวเราะออกมาเสียงร่าเริงเมื่อได้ยินฟาเบียโน่ทำเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอเหมือนโดนขัดใจ
ฟาเบียโน่ว่ายน้ำต้อนปีศาจน้อยของตัวเองที่เอาแต่วิ่งหนีในน้ำ การมาพักผ่อนทุกสุดสัปดาห์ที่บูซิโอสทำให้อรอาภาอารมณ์ดีและยังสามารถวาดรูปได้หลายรูป ที่สำคัญเธอสามารถออกแบบเครื่องประดับให้กับคิงส์ ออฟ เจมส์ แล้วถึงสองชุดด้วยกัน แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้ฟาเบียโน่เหนื่อยใจที่สุดคือการฝึกให้ปีศาจน้อยว่ายน้ำ เธอช่างไม่มีหัวและขี้เกียจสุดๆกับการหัดว่ายน้ำเหลือเกิน มันขัดกับความชื่นชอบในการเล่นทะเลเอามากๆในความคิดของฟาเบียโน่
“วันนี้เล่นสนุกพอแล้วจิงเจอร์ มาหัดว่ายน้ำซะดีๆ” ฟาเบียโน่บอก พร้อมใช้มือใหญ่จับเอวคอดที่กำลังจะหนีไปเมื่อได้ยินที่เขาพูด
“โธ่! เฟลิกซ์คะ ฉันเบื่อมากที่ต้องหัดว่ายน้ำ ให้ฉันทำอะไรก็ได้ยกเว้นว่ายน้ำ ฉันพยายามมาตั้งหลายทีหลายหนแล้วคุณก็รู้” อรอาภาบ่นกระปอดกระแปด
“ก็เพราะผมรู้น่ะสิ ถึงต้องเคี่ยวเข็ญคุณอยู่อย่างนี้ คุณชอบทะเล ชอบเล่นน้ำ ชอบมาที่นี่แล้วก็ต้องนั่งเรือมาแต่กลับว่ายน้ำไม่เป็นรู้มั้ยว่ามันอันตราย คราวที่แล้วนี้ถ้าไม่ได้อิบันช่วยไว้ป่านนี้คุณคงไม่ได้มาเถียงผมแบบนี้หรอกรู้ไหม??”
อรอาภาทำหน้าง้ำ ยอมทำตามที่ฟาเบียโน่บอกอย่างไม่เต็มใจ เมื่อท่อนแขนแกร่งรัดเอวคอดไว้จากนั้นเปลี่ยนเป็นใช้ฝ่ามือใหญ่เพียงข้างเดียวประคองที่หน้าท้องแบนราบ อรอาภาก็ต้องใช้ขาเรียวทั้งสองข้างตะกายน้ำอย่างที่คุณครูตัวโตเคยสอนมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน พอเธอตีขาในน้ำไปได้สักพักเขาก็ค่อยๆปล่อยมือที่ประคองไว้ตรงหน้าท้องออก ไม่นานอรอาภาก็จมน้ำลงเหมือนเดิม คุณครูตัวโตก็ต้องจับเธอมาเริ่มตีขาในน้ำใหม่ซ้ำไปซ้ำมา จนหญิงสาวหอบฮั่กๆสำลักน้ำทะเลไปหลายอึก
เหนื่อยมากเข้าอรอาภาก็ตัดสินใจโผเข้าไปกอดลำคอหนาเอาไว้แน่น ซุกหน้าลงกับบ่ากว้าง ขาเรียวสองข้างก็รัดสะโพกสอบราวกับลูกลิงก็ไม่ปาน ขนาดว่าเขาไม่ได้รัดตัวเธอไว้เธอยังไม่หลุดจากตัวของเขาแม้แต่น้อย การกระทำนั้นทำให้ฟาเบียโน่อดหัวเราะออกมาไม่ได้ เธอมักใช้เนื้อตัวนุ่มนิ่มของตนเองคลอเคลียออดอ้อนต่อรองกับเขาเสมอ เมื่อยามที่ไม่อยากฝึกว่ายน้ำหรืออยากให้เขาตามใจอะไรสักอย่าง!! ใช่ว่าฟาเบียโน่จะไม่รู้ความจริงในข้อนี้ หากแต่พ่อค้าเพชรนั้นเต็มใจที่จะทำตามความต้องการของเธออย่างยิ่งเพราะรอยยิ้มน่ารัก ในกรอบหน้ารูปหัวใจที่มัดเอาหัวใจแกร่งของชายชาตรีที่ไม่เคยมอบให้ใครอยู่ในกำมือของเธอเพียงคนเดียว
“จะขี้โกงอีกแล้วใช่ไหม พอทำไม่ได้ก็พาลไม่ทำเอาดื้อๆเลย” ฟาเบียโน่ว่าให้คนที่กอดตัวเองแน่นไม่จริงจังนัก
“หนาว!... เหนื่อย!... หิวข้าวแล้วด้วย คุณจะทรมานฉันไปถึงไหนคะเฟลิกซ์ คุณว่ายน้ำเก่งจะตายไปถึงฉันว่ายน้ำไม่เป็นคุณก็คงไม่ปล่อยให้ฉันเป็นอะไรไปแน่ จริงมั้ย?” อรอาภาพูดเสียงอู้อี้ ซบหน้าอยู่ที่ลำคอแกร่งดังเดิม
ก็จริงน่ะสิ ผมจะปล่อยให้คุณเป็นอันตรายได้ยังไงกันจิงเจอร์ ฟาเบียโน่ตอบในใจแต่ปากกลับตอบออกไปอีกอย่าง “คุณชอบเล่นน้ำทะเลแต่ว่ายน้ำไม่เป็นมันก็อันตรายมากแล้ว อีกอย่างเราไม่ได้อยู่ด้วยกันตลอดเวลา ถ้าผมไม่อยู่คุณจะทำยังไงฮึจิงเจอร์?”
“ฉันก็จะเล่นน้ำเฉพาะเวลาที่มีคุณอยู่ใกล้ๆ หรืออีกทีก็จะทำตัวติดคุณอย่างนี้เลย คุณจะได้เลิกเคี่ยวเข็ญให้ฉันว่ายน้ำซักที นะ... ที่รัก ฉันไม่ชอบจริงๆ นะคะ” อรอาภาลากเสียงออดอ้อน ปล่อยให้ฟาเบียโน่พาเดินขึ้นจากทะเลช้าๆ
“คนอย่างนี้ก็มีด้วย งั้นขอจูบหวานๆ แลกเปลี่ยนหน่อยซิ” ฟาเบียโน่ก้มหน้าลงถามพร้อมกดริมฝีปากลงทันที เมื่อคำตอบที่ได้คือการพยักหน้าหงึกๆ เผยอริมฝีปากอิ่มของตัวเองให้อย่างไม่เกี่ยงงอน สองขาแกร่งหยุดนิ่งเพราะมัวหลงเมาไปกับความหอมหวานที่อีกฝ่ายเต็มใจมอบให้ เป็นนานกว่าที่ฟาเบียโน่จะพอใจและยอมถอนริมฝีปากออกจากกัน ทั้งยังต้องรีบเดินกลับเข้ามาในวิลล่าเพราะเสียงท้องของปีศาจน้อยเริ่มประท้วงดังโครกครากขึ้นเรื่อยๆจนเขาหัวเราะออกมาได้อีกครั้ง
ก๊อก... ก๊อก...
ลุยเซาเดินเข้ามาในห้องทำงานของเจ้านายพร้อมกับวางซองเอกสารลงบนโต๊ะ “ข้อมูลที่เซญอร์ต้องการครับ” ลุยเซารายงานพร้อมกับเดินถอยหลังออกมาก้าวหนึ่งรอให้เจ้านายได้เปิดเอกสารด้านในดู
อัลเฟไลย์มองรูปถ่ายของผู้หญิงรูปร่างอ้อนแอ้น หน้าตาสะสวย ผิวพรรณผ่องใส ข้อมูลบอกว่าเธอคือเซญอร่าอรอาภา อัลเฟไลย์ ภรรยาของฟาเบียโน่ ในรูปเธอกำลังเดินลงเรือยอร์ชซึ่งอัลเฟไลย์เดาได้ว่าเธอคงจะไปที่วิลล่าในบูซิโอสแน่นอน และต้องเป็นผู้หญิงคนสำคัญของฟาเบียโน่จริงๆ ไม่อย่างนั้นคงจะไม่มีสิทธิ์เข้าออกวิลล่าได้เช่นนี้ ขนาดเรือยอร์ชราคาแพงนั่นยังเขียนชื่อเธอไว้ด้วยเช่นกัน อัลเฟไลย์อ่านประวัติที่อยู่ในมือของตน ผู้หญิงคนนี้เป็นชาวไทยชื่ออรอาภา เชาวกุล อายุเพียงยี่สิบสามปี คนเดียวกันกับที่ออกแบบเครื่องประดับให้คิงส์ ออฟ เจมส์ ที่ใครๆต่างก็พากันชื่นชมถึงความสวยงาม โดยใช้ชื่อในการออกแบบว่าเป็นผลงานของ ‘เซญอร่าจิงเจอร์’
อัลเฟไลย์ขมวดคิ้วมุ่น เมื่อข้อมูลที่ได้มาเป็นเพียงประวัติพื้นๆทั่วไปเท่านั้น และลุยเซาที่อยู่รับใช้กันมานานหลายปีก็รู้ทันทีว่าเจ้านายของตนคิดอะไรอยู่
“นักสืบที่ผมส่งไปบอกว่าประวัติของเซญอร่าอรอาภาที่มีในรีโอปรากฏเพียงเท่านี้ครับ” ลุยเซาตอบออกไปอย่างรู้ใจเจ้านาย
“ถ้าในรีโอมีเท่านี้ก็ส่งคนไปสืบที่เมืองไทย แกไม่คิดว่ามันแปลกหรือไงที่คนอย่างฟาเบียโน่จะมีเมียทั้งทีจะไม่เป็นข่าว อยู่ดีๆก็มีผู้หญิงคนนี้โผล่มาเป็นเมียเลย” อัลเฟไลย์ยังติดใจไม่หาย
“ครับท่านผมจะส่งคนไปสืบที่เมืองไทยโดยเร็วที่สุด หรือคิดอีกอย่างเซญอร์ฟาเบียโน่อาจจะตกหลุมรักผู้หญิงคนนี้ตั้งแต่แรกเห็นก็ได้นี่ครับ ก็เธอสวยซะขนาดนี้!” ลุยเซาออกความคิดเห็น
“ก็ไม่เถียงหรอกว่าเธอสวย แต่คนอย่างฟาเบียโน่ไม่ใช่หนุ่มน้อยริรักนะที่จะได้มีเลิฟ แอท เฟิร์ส ไซท์หรอกนะ!!” อัลเฟไลย์บอกพลางคิดว่าเขาคนหนึ่งล่ะที่ไม่คิดว่ารักแรกพบจะมีอยู่จริง ตั้งแต่โตเป็นหนุ่มด้วยกันมา เขายังไม่เคยมอบหัวใจของตัวเองให้ผู้หญิงคนไหน เขามีความสุขกับความสัมพันธ์ทางกายที่ไม่มีเงื่อนไขใดๆ ผูกมัดมากกว่า ทุกอย่างซื้อได้ด้วยเงิน
กริ๊ง... กริ๊ง... กริ๊ง...
เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นและเสียงของลุยเซาที่พูดภาษาอิตาเลียนทำให้อัลเฟไลย์รู้ดีว่าใครที่โทรเข้ามา
“เซญอร์ครับ ดอนคาร์โลต้องการเรียนสายด้วยครับ” ลุยเซาบอกพร้อมยื่นโทรศัพท์เครื่องบางให้เจ้านาย อัลเฟไลย์รับโทรศัพท์มาพร้อมกรอกเสียงของตัวเองลงไป ชายหนุ่มส่ายหน้าระอาใจเมื่อลูกค้ารายใหญ่ของตนรัวภาษาอิตาเลียนต่อว่ายกใหญ่ทันที!!
“เมื่อไหร่ของจะมา!? แกรู้ไหมถ้ายังขืนชักช้าอยู่อย่างนี้ มันจะล่มจมกันไปหมดเข้าใจไหม??”
“ผมทราบว่าดอนร้อนใจเรื่องนี้ แต่ผมอยากให้ใจเย็นอีกสักนิด ผมกำลังดำเนินการเปิดบริษัทขึ้นมาอีกสองสามบริษัท พอถึงตอนนั้นแล้วเราก็จะฟอกเงินได้คราวละมากขึ้น แต่ตอนนี้ดอนต้องรอไปก่อน” อัลเฟไลย์อธิบายให้ลูกค้ารายใหญ่ที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับการค้ายาเสพติดข้ามชาติ เขาคือคาร์โล อันเชย์รอตติ มาเฟียค้ายาเสพติดรายใหญ่แห่งอิตาลี
“ทำไมมันถึงมีปัญหาชักช้านัก เงินที่ฉันมีอยู่ในมือรอให้แกจัดการมันมากจนจะไม่มีที่เก็บอยู่แล้ว ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมฟาเบียโน่ ไอ้พ่อค้าเพชรระยำนั่น!! มันถึงได้เล่นตัวนักจะขายของแต่ละทีก็ต้องซักโน่นถามนี่ให้วุ่นวาย แล้วทำไมไม่ติดต่อซื้อของจากเจ้าของเหมืองทองจากที่อื่นดูบ้าง อย่างเพชรในแอฟริกาใต้ก็น่าสนใจดีเหมือนกัน” คาร์โลส่งเสียงหงุดหงิดมาตามสาย
“ดอนก็น่าจะรู้ว่าถ้าเราสามารถซื้อของจากฟาเบียโน่ได้ไม่ว่าจะเป็นเพชรหรือทองคำ นั่นหมายถึงว่าตำรวจเกือบทั้งโลกจะมั่นใจว่าเงินของเราเป็นเงินบริสุทธิ์ ลูกค้าทั้งร้อยเปอร์เซ็นต์ของฟาเบียโน่ล้วนแล้วแต่เป็นนักธุรกิจขาวสะอาดทั้งนั้น เรื่องนี้ตำรวจเศรษฐกิจทั่วโลกก็รู้ดีแก่ใจ ถ้าเราสามารถทำการค้ากับฟาเบียโน่ได้เงินที่เอามาใช้ก็จะไม่ได้สร้างปัญหาให้ตำรวจมาตรวจสอบทรัพย์สินภายหลัง”
“มันก็จริงอย่างที่แกว่า แต่ฉันก็ไม่อยากจะรอต่อไปอีกแล้วแกก็น่าจะรู้ว่าเงินพวกนี้ถือไว้นานไม่ได้ ไอ้พวกตำรวจเฮงซวยนั่นมันจมูกดีอย่างกับหมาล่าเนื้อ!! หรือว่าต้องสั่งสอนมันซักหน่อยเผื่อว่าจะว่าง่ายขึ้นกว่านี้??” คาร์โลมาเฟียเฒ่าเจ้าเล่ห์ เจ้าอารมณ์เปรยขึ้น
“อย่าเลยครับ!! ดอนก็น่าจะรู้ดีว่าฟาเบียโน่มีเส้นสายไม่ใช่น้อยๆ ความจริงตระกูลของเขาก็ไม่ต่างจากมาเฟียเท่าไหร่นัก แค่เพียงอยู่คนละโลกกับพวกเราเท่านั้นเอง ถ้าเราทำอะไรรุนแรงไป ผมกลัวว่าเรื่องจะบานปลาย แล้วท้ายที่สุดเราเองที่จะเป็นฝ่ายลำบาก” อัลเฟไลย์ที่อยู่กับตระกูลโอลีเวย์ร่ามาตั้งแต่เด็กรู้ดีว่าอิทธิพลของตระกูลนี้มีมากมายแค่ไหน พวกโอลีเวย์ร่าก็คือมาเฟียดีๆนี่เอง แต่เป็นมาเฟียที่ประกอบธุรกิจขาวสะอาด ส่วนไอ้เรื่องฆ่าคนที่มาขวางตนเองหรือตอบโต้กับคนที่มาระรานแล้วละก็ พวกเขาโหดไม่แพ้มาฟียเถื่อนเช่นกัน!!!
“ฉันจะให้เวลาอีกแค่สองอาทิตย์เท่านั้น ฉันต้องเห็นเงินในบัญชีของฉันเพิ่มขึ้นในจำนวนที่น่าพอใจ ไม่อย่างนั้นฉันจะจัดการตามวิธีของฉันเอง”
อัลเฟไลย์ยื่นโทรศัพท์ที่ถูกตัดสายไปแล้วให้ลูกน้องมือขวาพร้อมถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เวลาแค่สองอาทิตย์ที่บีบคั้นเขาในตอนนี้มันทำให้ไม่มั่นใจว่าจะสร้างข้อมูลเท็จให้กับบริษัทที่เปิดขึ้นมาเพื่อทำการค้ากับฟาเบียโน่เชื่อได้หรือไม่
“เรื่องที่ให้ดีเอโก้เปิดบริษัทขึ้นมาไปถึงไหนแล้ว??”
“ดีเอโก้ดำเนินการเรียบร้อยแล้วครับ ผมกำลังจัดการใช้เจ้าหน้าที่ของรัฐให้เปลี่ยนแปลงข้อมูลเกี่ยวกับเวลาของแต่ละบริษัทให้ดูเหมือนว่าประกอบธุรกิจนี้มานานแล้ว แล้วก็เรื่องรายละเอียดเล็กน้อยอื่นๆ เซญอร์ฟาเบียโน่จะได้ไม่สงสัยครับ” ลุยเซาตอบ เรื่องที่เจ้านายของเขาสั่งให้ทำนั้นต้องใช้เงินมากโขและเวลาอยู่ไม่น้อยทีเดียว
“เร่งให้เร็วขึ้นมากว่าเดิมอีกใช้เงินเท่าไหร่ก็ให้พวกมันไป เราไม่มีเวลามากนัก” อัลเฟไลย์สั่ง
“ครับเซญอร์ หวังว่าดอนคาร์โลคงไม่ใช้ความรุนแรงกับเซญอร์ฟาเบียโน่ก่อนนะครับ” ลุยเซาพูดทั้งคิดอย่างหวั่นๆ
“นั่นล่ะคือสิ่งที่ฉันเป็นห่วง ถ้าดอนคาร์โลตัดสินใจทำอะไรรุนแรงไป ฟาเบียโน่ต้องตอบโต้กลับอย่างไม่ยั้งมือแน่ แล้วเราเองก็จะลำบาก ฉันกับฟาเบียโน่เดินกันคนละทางนานแล้ว ต่างคนต่างไม่ยุ่งเกี่ยวกัน แต่ถ้าดอนคาร์โลยังอยากที่จะดึงฟาเบียโน่เข้ามายุ่งด้วยแล้ว ฉันยังไม่แน่ใจเลยว่าใครจะชนะ!!”
อัลเฟไลย์มองตามร่างของลุยเซาที่เดินออกไปจากห้องทำงาน ตาคมกริบของเขาวกกลับลงมามองรูปที่อยู่ในมือ ไม่แน่ว่าหากผู้หญิงคนนี้เป็นคนพิเศษของฟาเบียโน่จริง เขาอาจจะใช้ประโยชน์บางอย่างจากเธอได้บ้าง
ศิริพารา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 12 พ.ค. 2558, 11:54:50 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 12 พ.ค. 2558, 11:54:50 น.
จำนวนการเข้าชม : 1224
<< ตอนที่ 7 100% | ตอนที่ 9 100% >> |
Cheraga 12 พ.ค. 2558, 16:34:51 น.
รอน่ะคะ <3
รอน่ะคะ <3
pkka 12 พ.ค. 2558, 17:08:02 น.
มีตัวร้ายมาอีกคนล่ะ
มีตัวร้ายมาอีกคนล่ะ