เพลิงพญาล่ารัก (ปรับปรุง)
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: ตอน 8
ตอน 8
เพลิงขี่ม้านำคนของเขาไปบนเส้นทางที่สลับซับซ้อนเหมือนเขาวงกฎนั้น ถ้าใครไม่รู้เส้นทางก็จะหาทางออกไม่ได้ เพราะหันไปทางไหนก็มีแต่ป่าสลับกับก้อนหินเล็กบ้างใหญ่บ้างวางซ้อนกันไป แถมยังมีกับดักสำหรับคนคิดคดทรยศไว้ด้วย เส้นทางนี้จึงเป็นทางที่นายแห่งหุบเขามีไว้ซ่อนน้ำสีดำ และนำมันออกไปส่งให้คู่ค้า ที่ทำกันมานานตั้งแต่รุ่นพ่อ
เขาบังคับม้าให้ผ่อนฝีเท้าเดินเหยาะย่างจนมาถึงป่าทึบ ก็ยกมือให้สัญญาณทุกคน แล้วผิวปากเสียงสั้นสลับยาวสามจังหวะ ชายชุดดำปิดหน้าให้เห็นแต่ดวงตาสามคนออกมายืนตรงหน้า ก้มหน้าเคารพนายแห่งหุบเขา แล้วถอยออกไปยืนด้านข้าง จากนั้นเพลิงกับทุกคนก็ลงจากหลังม้าพากันเดินเข้าไปข้างใน ซึ่งก็คือถ้ำขนาดใหญ่นั่นเอง
ถ้ำแห่งนี้จะโปร่งโล่งและมีทางออกสี่ทาง ทางหนึ่งเชื่อมกับคุกทมิฬ ไว้สำหรับกรณีฉุกเฉิน แต่เขาไม่เคยใช้เส้นทางนี้ เพราะไม่ต้องการให้ใครรู้แต่อีกสามทางเขาจะใช้สลับสับเปลี่ยนกันไป ตลอดทางเดินเข้าไปด้านในจะมีคบเพลิงส่องสว่างเป็นระยะ กลิ่นน้ำสีดำคลุ้งไปทั่วบริเวณและแรงขึ้นเมื่อถึงบ่อพัก
คนจากทะเลทรายที่มีหน้าที่เป็นคนงานและดูแลถ้ำแห่งนี้โผล่ออกมาให้เขาเห็น ก่อนเดินนำออกไปหลังถ้ำ ที่เป็นที่โล่งมีรถบรรทุกน้ำมันสามคันจอดรอพร้อมคนขับจะออกเดินทาง
“ทุกอย่างเรียบร้อยใช่ไหม”
“ครับป๊ะเพลิง”
เพลิงพยักหน้าอย่างพอใจ แล้วเดินตรวจดูความเรียบร้อยพร้อมกับหิน จากนั้นก็ขึ้นไปนั่งบนรถขับเคลื่อนสี่ล้อ โดยมีหินขึ้นไปนั่งเป็นคนขับ ส่วนขวานกับดาบไปนั่งคันหลังสุด แล้วทั้งหมดก็ออกเดินทางตามดวงตะวันที่เคลื่อนไปตามการหมุนของโลก ทิวไม้เป็นร่มเงา ทิวเขาสลับซับซ้อนอยู่เบื้องหน้า พญาอินทรีบินเหินอยู่เบื้องบน ไม่มีสัญญาณอันตรายใดๆส่งมากระทั่งถึงจุดหมาย
รถทุกคันหยุดอยู่ที่ตีนเขา เพลิงกับหินตวัดสายตามองไปรอบบริเวณ เมื่อไม่เห็นสิ่งใดผิดปรกติ ก็เปิดประตูลงไปจากรถ หันไปมองขวานกับดาบที่ยืนอยู่ข้างรถ ซึ่งก็รู้หน้าที่ดีว่าต้องดูแลความปลอดภัยให้กับรถบรรทุกน้ำมันทั้งสามคัน นักล่าทะเลทรายที่เป็นคนขับก็เช่นกัน จากนั้นเพลิงกับหินก็เดินขึ้นไปบนเนินเขาที่ห่างจากรถที่จอดอยู่ไม่เท่าไร
สายตาของทั้งคู่กวาดมองไปรอบบริเวณ เช็กทุกตารางนิ้วแล้วเบี่ยงตัวหลบอาวุธที่พุ่งมาหา หินดึงปืนออกมายิงสวนทางอาวุธ เพื่อจัดการคนที่ปาออกมาอย่างรวดเร็ว มีดไปปักบนต้นไม้พร้อมๆกับนกกระพือปีกบินขึ้นฟ้าเพราะตื่นเสียงปืน แล้วเสียงปรบมือก็ดังแทรกขึ้นมา
“แปะ แปะ แปะ”
เพลิงกับศิลาหันไปมองคนปรบมือ ซึ่งอยู่ในชุดสีดำ เดินออกมาจากหลังพุ่มไม้พร้อมผู้ติดตามขนาบซ้ายขวาอีกสองคน เพลิงไม่สนใจใครนอกจากคนที่ต้องทำธุรกิจด้วยกัน ท่านพจน์หรือนายพจน์ อภิรัตน์ เศรษฐีใหญ่ติดทวีปเอเชีย ที่ทำธุรกิจกับพ่อเขามานาน รูปร่างหน้าตาของท่านแม้จะอยู่ในวัยกลางคนแต่ก็ยังคมคายงามสง่าเช่นเดิม และทันทีที่เดินมาเจอกันก็ยื่นมือไปทักทายกันทันที
“สวัสดีครับท่านพจน์”
“สวัสดีหลานชาย สบายดีนะ” ถามแล้วเขาก็หันไปทักทายหิน “ฝีมือยังดีเหมือนเดิมนะหิน สมกับเป็นผู้พิทักษ์ป๊ะเพลิง ถ้าลูกน้องฉันหลบไม่ทันคงได้เป็นผีเฝ้าป่านี้ไปแล้ว”
“ขอบคุณครับ ไม่ว่าจะกี่ปีท่านก็ยังดูดีเหมือนเดิม”
“ฮะๆๆ” เขาหัวเราะออกมาก่อนจะบอกว่า “นอกจากจะฝีมือดีแล้วปากก็ดีเหมือนกันนะหิน เสียดายที่ฉันไม่มีลูกสาว ไม่งั้นจะจับมาเป็นลูกเขย”
“เป็นบุญของผมแล้วครับที่ท่านไม่มี”
ท่านพจน์หันมายิ้มกับเพลิง “เลี้ยงคนได้ดีจริงๆนะเพลิง” ท่านบอกพลางมองหนุ่มฉกรรจ์สองคนที่เห็นมาตั้งแต่ได้ทำการค้ากับชีคอิมาอัลล์ จนก้าวขึ้นมาเป็นนายแห่งหุบเขา ทั้งวาทะลีลาความเฉียบคมรูปลักษณ์และฝีมือนั้นถอดแบบคนเป็นพ่อมาไม่มีผิด ความซื่อสัตย์ในตัวเองและศักดิ์ศรีน่ายกย่องสำหรับเขา “การเดินทางเรียบร้อยดีใช่ไหม”
“ครับ ของท่านก็คงไม่ต่างกัน ตอนนี้ของพร้อมส่งอยู่ข้างล่างแล้วครับ”
“ขอบใจ” ว่าแล้วท่านก็หันไปมองคนสนิท ซึ่งก็รู้ความต้องการทันที หินเองก็รู้หน้าที่ของตัวเอง จึงเดินนำไปที่รถขนน้ำมันเพื่อตรวจรับของ บนเนินเขาจึงเหลือแค่เพลิงกับท่านพจน์ ซึ่งก็เดินไปยืนชมทิวทัศน์ที่สวยงาม ผืนป่าที่เขียวชอุ่มพลิ้วไหวไปตามสายลมที่พัดพา เริงร่าหยอกเย้ากับนกน้อยที่บินผ่าน ความงดงามที่มนุษย์ใฝ่หาไขว่คว้าอยากมาเห็น แต่ไม่รักษา มุ่งแต่จะทำลายเพื่อประโยชน์ของตัวเอง สุดท้ายก็หายไป
“อากาศที่นี่ดีมากจริงๆ แล้วที่หุบเขาพญายังมีคนในอยากออกคนนอกอยากเข้ามาอีกหรือเปล่า”
“ท่านทราบด้วยเหรอครับ”
“ฉันไม่รู้อะไรนะ”
เพลิงยิ้มอย่างพอจะรู้ ด้วยนิสัยของท่านที่เขารู้จัก ตั้งแต่ได้ทำการค้ากันไม่เคยมีสักครั้งที่ท่านจะเอ่ยถึงหุบเขาพญา แต่ครั้งนี้ถามถึงอย่างมีนัยแสดงว่าท่านคงพอจะรู้อะไรมาบ้าง “ท่านรู้จักนายอธิปไหมครับ”
“รู้จัก แต่ไม่เคยติดต่อด้วย เพราะเซ้นไม่ตรงกันเท่าไร” เสียงพูดปนความขำอย่างไม่จริงจัง แล้วถามต่อ “หลานชายถึงทำไม”
“ผมอยากจะรู้จักไว้”
“เกี่ยวดองกันขนาดนั้นแล้วยังไม่พอหรือไง”
คำพูดนี้ทำให้เพลิงรู้ได้ทันทีว่าที่คิดไว้ไม่ผิดว่าท่านรู้จัก ถึงจะไม่ยอมรับออกมาตรงๆ แต่ก็บอกให้รู้เป็นนัยๆเช่นกัน “ผมอยากจะรู้อีกว่าทำธุรกิจกับใครอีกบ้าง”
“ถ้าอยากรู้ให้ลึกลงไปจากที่รู้อยู่ เดือนหน้าจะมีการเชิญนักธุรกิจทุกสาขาอาชีพมาร่วมประชุมเสวนากัน หลานชายอยากเจอใครหรืออยากรู้อะไร งานนี้ดีที่สุด”
“ขอบคุณครับ แต่ผมอาจจะต้องรบกวนท่าน”
ท่านพจน์เลิกคิ้วขึ้นอย่างสงสัยและเมื่อได้ฟังก็พยักหน้าอย่างยินดีที่จะช่วย ทั้งคู่คุยกันอีกไม่นาน การจากลาก็มาถึงแต่ความเป็นมิตรที่ดียังมีอยู่ และเมื่อหินเดินกลับขึ้นมาจึงเหลือแค่เพลิงคนเดียว ทั้งคู่ยืนมองรถขนน้ำมันที่วิ่งไปกลางพนากระทั่งถูกบดปังจนมองไม่เห็น ก็พากันเดินลงมาจากเนิน
“ต้นเดือนหน้า นายจะต้องไปเป็นชาวกรุงเตรียมตัวรอไว้ได้เลย”
หินพยักหน้ารับรู้ แต่ยังไม่ถามว่าเพลิงจะให้เขาทำอะไรบ้าง เพราะรู้ว่ากว่าจะถึงวันที่ต้องไป เพลิงจะบอกเขาแน่นอน ตอนนี้ที่ยังไม่บอกอาจจะยังมีบางอย่างที่ไม่แน่ใจ ทั้งคู่เดินมาถึงรถ แล้วหินก็เป็นฝ่ายขับกลับเหมือนเดิม คนอื่นๆก็โดดขึ้นรถของขวานกับดาบ แล้วรถก็พาทั้งหมดกลับหุบเขาพญา
เมฆสีขาวล่องลอยไปตามกระแสลม ปิดบังดวงอาทิตย์ที่คล้อยต่ำในยามบ่าย พิมพ์ลดาที่นอนพักมาหลายชั่วโมง เพราะฤทธิ์ยา ขยับตัวลุกขึ้นนั่งบนเตียง มองไปรอบห้องที่ว่างเปล่า เหมือนสมองของเธอที่ไม่มีความทรงจำใดๆ ก็ถอนหายใจออกมาอย่างเศร้าๆ แล้วลุกขึ้นจากเตียงจัดที่นอนให้เรียบตึง ก็เดินเข้าห้องน้ำ ยืนมองหน้าตัวเองในกระจก เงาสะท้อนนั้นคุ้นเคย แต่ทำไมเธอถึงจำอะไรไม่ได้
เธอปัดความเศร้าออกไปแล้วจัดการกับตัวเอง แต่ดูจะไม่ถนัดนักเพราะเจ็บมือที่แตกจากการตักน้ำ เธอเก็บกดไว้แล้วเดินออกมาจากห้องนอน กวาดตามองหน้าแม่นมทั้งสองคน ซึ่งก็เห็นนั่งหั่นสมุนไพรอยู่บนแคร่ตรงระเบียง ก็จะเดินตรงไปที่ห้องครัว แต่สองนมหันมาเห็นเธอเข้าพอดี จึงเรียกไว้
“ตื่นแล้วเหรอหนูพิมพ์ แล้วนั่นจะไปไหนคะ”
“ห้องครัวค่ะ จะไปทำอาหารเย็น เสร็จแล้วก็จะไปเพิงหมาแหงนถางหญ้าที่ทำค้างไว้ให้เสร็จ แล้วจะขุดดินเอาต้นไม้ลงด้วย”
“ว้ายตายแล้ว ไม่ต้องค่ะไม่ต้อง” นมสุกห้ามเสียงสั่น วางมีดในมือแล้วเดินมาหาเธอ “เดี๋ยวนมเรียกคนจากคุกทมิฬมาทำให้”
“นมลืมไปแล้วเหรอคะ ว่านี่เป็นคำสั่งของใคร และใครก็ห้ามช่วยพิมพ์ด้วย ที่สำคัญไม่ได้เหลือบ่ากว่าแรงหรอกค่ะ พิมพ์ทำไม่นานก็คงเสร็จ”
นมสุกจะห้ามอีก แต่เมื่อเช้าเปลืองน้ำลายไปหลายปี๊บแล้วเธอก็ยังไม่ฟัง จึงรำพึงออกมา “ดื้อจริงๆเลยค่ะ งั้นเดี๋ยวนมไปช่วย”
“ไม่ต้องหรอกค่ะ พิมพ์ทำเองได้”
“อย่ามาห้ามเสียให้ยาก นมก็ดื้อเหมือนหนูพิมพ์นั่นแหละค่ะ และที่สำคัญนมสองคนถูกสั่งให้ดูแลหนูพิมพ์ด้วย”
“แต่นมแก่แล้ว พิมพ์อยากให้พัก ไม่อยากให้เหนื่อย”
“คนแก่พักไม่พักก็เหนื่อยเหมือนกัน แต่เหนื่อยจากการได้ขยับแขนขาเล็กๆน้อยๆ จะทำให้ร่างกายแข็งแรงขึ้นไม่ใช่เหรอ”
“แนะรู้ด้วย”
“หมอกานต์เขาบอกมา”
บอกแล้วนมสุกก็หัวเราะออกมาเบาๆ พิมพ์ลดาจึงยิ้มด้วยความสุขไปด้วย แล้วเดินไปกอดขอบคุณทั้งคู่ที่ให้ความรักความเอ็นดูกับเธอ จึงโดนทั้งสองคนหอมแก้มไปคนละข้าง จากนั้นก็พากันเดินไปที่ห้องครัว เสียงพูดคุยเคล้าไปกับเสียงทำอาหาร ไม่นานก็เสร็จ นมสดเป็นคนตักใส่ปิ่นโต ส่วนนมสุกไปเอาต้นไม้ เรียบร้อยแล้วทั้งสามคนก็เดินไปที่เพิงหมาแหงน ทั้งสามไม่รู้ว่ามีสายตาของใครมองตามไป
คนที่แอบมองอยู่รีบเดินกลับมาที่เรือนของตัวเอง ซึ่งมีคนยืนชะเง้อรอคอยอยู่บนระเบียง สีหน้าชักจะบึ้งตึง เพราะรอนานแล้วยังไม่เห็นมาเสียที เดือนประดับเดินไปเดินมาด้วยท่าทางร้อนใจ กระทั่งเห็นสาวใช้เดินรีบๆขึ้นมาบนเรือน ก็ปรี่เข้าไปจับแขนลากมาซักถามทันที
“ฉันสั่งให้แกไปแอบดูนังพิมพ์ลดาที่เรือนเชิงผา แล้วแกไปเดินเออระเหยลอยชายอยู่ที่ไหนหึ ถึงได้ช้าขนาดนี้” ว่าพลางจิกเล็บลงบนแขนสาวใช้
“ไม่ ไม่ได้ไปไหนเลยค่ะคุณหนู” ว่าแล้วก็ดึงแขนออก แต่นายสาวยังไม่ปล่อย
“งั้นก็บอกมามันทำอะไรอยู่บ้าง”
“ทำ ทำอาหาร แล้วก็ไปที่เพิงหมาแหงนพร้อมแม่นมทั้งสองคน แค่นั้นค่ะ”
“นังพิมพ์ลดานี้นะทำอาหาร” เดือนประดับทำหน้าไม่เชื่อ เพราะเคยเห็นแต่เชิดหน้าชูคอวางท่าชี้นิ้วสั่งๆเท่านั้น “มันไปทำอะไรที่นั้น” เธอยังสงสัย แล้วบอกกับสาวใช้ว่า “ไปแอบดูว่ามันทำอะไรแล้วมาบอกฉัน”
“ค่ะ ค่ะ” สาวใช้รีบรับปากและพอนายสาวปล่อยแขนก็รีบเดินลงจากเรือนไปทันที
เดือนประดับมองตามไปพร้อมคิดว่าที่เธออยากรู้ เพราะมันมีท่าทีให้น่าสงสัย จากที่เคยเป็นไม้เบื่อไม้เมากับเธอ ไม่มองตาขวางก็ต้องจิกกัดกระแนะกระแหน ไม่ใช่นั่งนิ่งๆ แล้วเชือดด้วยคำเจ็บๆอย่างที่โดนมาเมื่อเช้า มันต้องมีอะไรเกิดขึ้นถึงได้ดูแปลกไป แล้วภาวนาขอให้รู้ จะเล่นงานให้เจ็บแสบเลย
*********
ดวงอาทิตย์คล้อยต่ำลงเรี่ยยอดไม้ เมื่อทั้งสามคนมาถึงเพิงหมาแหงน นมสุกวางต้นไม้ไว้หน้าเพิง ส่วนนมสดเอาปิ่นโตไปเก็บไว้ในเพิง พิมพ์ลดารีบแยกไปตักน้ำใส่ตุ่มเป็นอย่างแรกเพราะกลัวอันตรายที่อาจเกิดขึ้นอีก แต่ทำให้แม่นมทั้งสองคนที่มองตามหลังไปได้รู้สาเหตุที่ทำให้เธอถูกงูกัด และนั่งเอาใจช่วยกระทั่งน้ำเต็มตุ่ม ก็เดินเช็ดเหงื่อกลับมาหาสองนม
“นั่งพักก่อนค่ะ” นมสดบอกพลางยกพัดๆให้หายเหนื่อย
“ขอพิมพ์ปลูกต้นไม้ก่อนนะคะ”
“จะมืดแล้วค่อยทำพรุ่งนี้ก็ได้ค่ะ”
“แต่พิมพ์อยากทำให้เสร็จ ไม่อยากหยุด”
“ทำไมละคะ”
พิมพ์ลดานิ่งเหมือนไม่อยากบอก แต่สุดท้ายความในใจก็ดังออกมา “พิมพ์อยากทำงาน ไม่อยากหยุดจะได้ไม่ต้องคิดว่าตัวเองเป็นใคร”
“โธ่เอ๋ยแม่คุณ ก็ไม่ต้องคิดซิค่ะ”
“พิมพ์ก็อยากทำอย่างนั้น แต่ก็ทำไม่ได้ พอว่างพิมพ์ก็จะคิดและคิดวนเวียนอยู่แค่นั้น การที่เราอยู่โดยไร้อดีตมันเจ็บปวดนะนม มันเหมือนคนที่อยู่อย่างโดดเดี่ยวคนเดียวในโลกนี้ ไร้ค่า ไร้อนาคต ไร้หนทางเพราะไม่รู้ว่าจะเดินไปทางไหนดี แม้บางคนไม่อยากจะจดจำอดีต แต่อย่างน้อยอดีตก็บอกให้ได้รู้ว่า เราเป็นใคร มาจากไหน แต่พิมพ์ไม่มีอดีตอนาคตก็ดูมืดมนเหลือเกิน”
น้ำเสียงแสนเศร้านั้นทำให้นมสดสงสารเธอจับใจ แล้วปลอบไปว่า “ใครบอกว่าไม่มี หนูพิมพ์มีแต่แค่จำไม่ได้เท่านั้นเอง ส่วนอนาคตอีกไม่นานนมเชื่อว่าจะสว่างขึ้นมา แล้วอยากรู้อะไรละคะ เดี๋ยวนมจะเล่าให้ฟังเอง”
“จริงเหรอคะ”
“ค่ะ”
พิมพ์ลดาน้ำตาซึมออกมาอย่างดีใจ ก่อนหน้านี้เธอไม่กล้าถามสองนม เพราะทั้งสองคนดูจะไม่อยากพูด และบางครั้งก็เหมือนมีบางอย่างที่ขวางกั้นทั้งสองคนไว้ แต่ตอนนี้ทั้งคู่กลับเปิดใจให้เธอ “ขอบคุณนะคะนม ขอบคุณที่สงสารพิมพ์” เธอบอกพร้อมกับยกมือขึ้นเช็ดน้ำตา เหมือนเด็ก แม่นมทั้งสองคนยิ้มอย่างเอ็นดู แล้วบอกว่า
“ไปอาบน้ำเถอะค่ะ ใกล้มืดแล้ว เดี๋ยวจะลำบาก แล้วจะถามอะไรก็ค่อยคุยกัน”
“ขอพิมพ์ถามก่อนไม่ได้เหรอคะ”
“ไม่ได้ค่ะ ดูซิคะมอมแมมไปทั้งตัวแล้ว ไปเถอะค่ะ”
พิมพ์ลดาทำหน้าอิดออด ขณะสองนมทำหน้าดุ เธอจึงยื่นมือไปจี้เอวทั้งคู่ เสียงตาเถรตกตาหมีหายจึงดังออกมาอย่างตกใจ เธอแสร้งทำหน้าล้อแล้วแกล้งจี้เอวทั้งคู่อีก จนเสียงหัวเราะลั่นบริเวณ ทั้งหมดไม่รู้ว่ามีสายตาของนายแห่งหุบเขามองอยู่ และจับจดอยู่ที่ร่างอรชรที่คอยวิ่งวนรอบตัวแม่นมทั้งสองคนเท่านั้น ใบหน้างามดูมีความสุข รอยยิ้ม การกระทำ ทุกอย่างบอกเขาว่าเป็นตัวเธอจริงๆไม่ใช่การเสแสร้งหรือมารยาเลย
ดวงตะวันจูบลาพสุธา ผืนพนาจึงเริ่มสลัวไปทั่วบริเวณ แม่นมทั้งสองคนเดินเข้าไปในเพิง นมสดจุดตะเกียงที่แขวนอยู่ตรงเสา ส่วนนมสุกก็หยิบผ้าถุงกับผ้าขนหนูมาให้พิมพ์ลดาที่เดินตามหลังเข้ามาได้เปลี่ยนไปอาบน้ำ เธอขอบคุณแม่นมเบาๆ แล้วเปลี่ยนชุดที่ใส่อยู่เป็นผ้าถุงกระโจมอก ใช้ผ้าขนหนูคลุมบ่า รับขันน้ำ พร้อมสบู่ ยาสระผมที่แม่นมยื่นมาให้ ก็เดินไปด้านหลังเพิง
นมสดกับนมสุกมองตามไปเพียงเดี๋ยวเดียว ก็หันกลับมาจะจัดสำรับอาหารเย็น ปูที่นอนไว้ให้ แต่ร่างสูงที่เดินเข้ามาอย่างเงียบๆนั้นทำให้สองคนรู้ว่าหมดหน้าที่ของตัวเองแล้ว จึงจับมือพากันเดินกลับไปที่เรือนเชิงผาทั้งๆที่เป็นห่วงหญิงสาวที่ยังไม่รู้ว่าป๊ะเพลิงกลับมาแล้ว
พิมพ์ลดานั่งอาบน้ำสระผมอยู่ที่ข้างตุ่ม และกำลังแสบตาเพราะฟองยาสระผมที่ไหลลงมาโดนตา สองมือจึงคลำหาขันน้ำ แต่จู่ๆขันน้ำก็ยื่นมาใส่มือ เธอยิ้มอย่างดีใจพร้อมกับบอกว่า
“ขอบคุณนะคะนม พิมพ์แย่จังที่ทำยาสระผมเข้าตาเหมือนเด็กเลย”
เธอบอกพร้อมกับตักน้ำล้างหน้าล้างตา แต่พอลืมตาขึ้นคนที่เห็นกลับไม่ใช่คนที่คิด และไม่ต้องมองหาก็รู้ว่าทั้งคู่คงกลับไปแล้ว จึงเริ่มจะทำตัวไม่ถูก จะไปไหนก็ไม่ได้ เพราะสภาพเธอตอนนี้ตัวก็เปียก ผมก็รอล้างอยู่ สุดท้ายเมื่อไม่มีทางเลือก เธอก็ตักน้ำมารดตัว ทั้งที่แสนจะอายที่ต้องอาบต่อหน้าเขา
เพลิงยืนปักหลักมองร่างอรชรเงียบๆ กระทั่งเธออาบน้ำเสร็จก็หยิบผ้าขนหนูมาห่มตัวไว้ แต่ไม่กล้าเปลี่ยนผ้าต่อหน้าเขา จึงจะเดินไปเปลี่ยนที่เพิง แต่ร่างสูงขยับตัวมาขวางไว้ “ฉันยังไม่ได้อาบ เธอก็ไปไหนไม่ได้”
“แล้วจะให้ฉันยืนทำอะไร”
“ดูฉันอาบน้ำ เหมือนที่ฉันดูเธอไง”
“โรคจิต”
“อยากให้ฉันวิปริตหรือไง ก็ได้นะ”
เขาว่าพลางเดินมาชิดตัวเธอ ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ แววตานั้นวาวๆจนพิมพ์ลดาเริ่มกลัว ถอยหนีไปยืนอยู่ห่างๆ เสียงหึในลำคอดังเยาะหยันออกมา แล้วถอดเสื้อผ้าออกจากตัวจนเธอรีบหันหลังแทบไม่ทัน ใบหน้างามเห่อแดงขึ้น เมื่อคิดว่าเขาคงเปลือยเปล่า แต่จริงๆแล้วยังมีชั้นในติดตัวอยู่
เสียงน้ำราดตัวดังเป็นระยะ ขณะที่พิมพ์ลดาก็เริ่มสั่นเพราะอากาศที่เย็นลง กระทั่งเสียงน้ำหายไป เธอก็ยังไม่กล้าหันกลับมามองเพราะกลัวจะเห็นความเปลือยเปล่าของเขา จนทุกอย่างเงียบสนิทคิดว่าเขาไปแล้ว จึงหันหน้ากลับมาก็เกือบผงะเพราะเขายืนอยู่ใกล้จนหน้าผากเธอรู้สึกถึงลมหายใจเขา แค่นั้นยังรู้สึกถึงอันตรายเพราะคำพูดของเขาก่อนหน้านี้และสภาพที่เกือบเปลือยของเขา จึงรีบถอยห่าง
“กลัวเหรอ” เสียงห้าวดังขึ้นพร้อมกับเดินตามติด แววตาของพิมพ์ลดาจึงหวาดหวั่นและถามทั้งที่ไม่ควรถาม
“จะทำอะไร”
“คิดเอาเองซิ”
เธอจึงยืนนิ่ง เชิดหน้าขึ้นมองหน้าคมข่มความหวาดหวั่นไว้ภายใต้สีหน้าที่เย่อหยิ่ง เพลิงยิ้มหยันที่มุมปาก แล้วก้มหน้าลงมาทดสอบความอวดดีของเธอ จนริมฝีปากเขาใกล้จะแตะเรียวปากอิ่มก็หยุดดูปฏิกิริยาของเธอเพียงเสี้ยวนาที เมื่อยังอวดดี ริมฝีปากเขาก็แนบชิดลงจูบ
พิมพ์ลดาผงะหนีแต่ไม่ทันแล้ว สองแขนแกร่งโอบรัดตัวเธอให้แนบสนิทกับตัวเขา จนรู้สึกถึงความเย็นของหยดน้ำที่เกาะตัวอยู่ ความแข็งแกร่งของร่างกายที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามและพลังที่เรียกร้อง ขณะที่เพลิงก็บดขยี้เรียวปากอิ่มอย่างลงทัณฑ์ แต่ความหวานที่ได้พบพานค่อยๆทำให้ความกระด้างห่างไปกลายเป็นความนุ่มนวล ยิ่งผิวสาวหอมละมุน ซึมเข้าไปในจิตใจ อ้อมแขนเขาก็ยิ่งรัดแน่น
เพลิงปล่อยให้อารมณ์อยู่เหนือความแค้นชั่วคราว ฝ่ามือลูบไล้ร่างอรชรที่แม้มีจะมีผ้าห่อหุ้มแต่ก็เปียกแนบจนเหมือนเปลือยเปล่า ให้เขารับรู้ถึงสัดส่วนที่ช่างยั่วยวน ส่วนเว้าส่วนโค้งช่างเหมาะมือ แต่ไม่นานเขาก็ผลักร่างอรชรออก มองอย่างเหยียดหยัน แล้วหันหลังเดินไปที่เพิง ทิ้งให้พิมพ์ลดายืนเดียวดายอยู่กลางสายลมเย็นกับความรู้สึกที่หวั่นไหว ก่อนจะสลัดมันทิ้งไป ตักน้ำมาราดตัวเพื่อลบรอยเขาแต่ดูจะยากเย็นเมื่อมันซึมลึกเข้าไปในใจเธอแล้ว จึงต้องย้ำเตือนตัวเองไม่ให้ลืมว่าเธอเป็นเมียที่เขาไม่ต้องการ
*******
ร่างอรชรเดินเข้ามาในเพิง เธอพยายามจะไม่มองร่างสูงที่ยืนกอดอกอยู่ตรงหน้าต่าง แต่จากหางตาเห็นได้ว่าเขาใส่ชุดใหม่เรียบร้อยแล้ว จึงเดินไปหยิบเสื้อผ้าออกจากตู้ และยืนถืออยู่อย่างนั้นเมื่อไม่รู้ว่าจะเปลี่ยนเสื้อผ้ายังไง
“ถ้าไม่มีปัญญา ก็แก้ผ้ามันมันตรงนั้นแหละ”
เสียงห้าวที่ดังขึ้นอย่างรู้ว่าเธอกำลังกระอักกระอวลเรื่องใดอยู่ พิมพ์ลดาเม้มริมฝีปากอย่างสุดฉิว “คุณก็ออกไปซิ” แต่เพลิงกลับทำตรงกันข้าม เดินเข้าหาจนเธอต้องถอยหลังชิดผนัง ก็ยกมือขึ้นเท้าผนังกันเธอไว้พร้อมกับบอกว่า
“ฉันคือเจ้าของ และฉันไม่มองให้เสียสายตาหรอก”
“แล้วจูบฉันทำไม”
“ก็ง่ายกว่าเหมือนโสเภณีไง”
เธอเจ็บลึกที่ถูกเขาว่าไร้ค่ายิ่งกว่าผู้หญิงแบบนั้น ก่อนจะเยาะหยันออกมาบ้าง “ขอบคุณนะคะที่บอก และหวังว่าคราวหน้าจะไม่มีแมงดาตัวไหนมายุ่งกับโสเภณีอย่างฉันอีก”
“ปากดีนักนะพิมพ์ลดา”
“ก็พอๆกับคุณนั่นแหละค่ะ และต้องขอบคุณอีกครั้ง ที่สอนให้ฉันเข้มแข็งขึ้นมา”
พูดจบเธอก็ลอดตัวออกจากวงแขนเขา แต่ไม่ทันความเร็วของนายแห่งหุบเขาลดมือมารวบเอวไว้ พอเธอหันมาจะโวยริมฝีปากเขาก็แนบลงมาปิดปากเธอไว้ แล้วจูบจนสาแก่ใจ ก็ปล่อย แล้วทิ้งคำพูดให้เธอเจ็บใจว่า
“ถ้าอวดเก่งอีก ฉันจะจูบให้ปากเปื่อยเลย”
พิมพ์ลดามองตามเขาไปอย่างสุดโกรธ แล้วรีบเก็บความโกรธไว้ก่อนที่เขาจะกลับมาหาเรื่องเธออีก เดินไปดับตะเกียงเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างรวดเร็ว เรียบร้อยแล้วเธอก็จุดตะเกียงขึ้นมาใหม่พร้อมๆกับร่างสูงที่เดินเข้ามาพอดี เธอมองค้อนโดยไม่รู้ตัว เพลิงก็ปรายตามองมาเช่นกัน จึงต้องรีบหนีหน้าไปจัดสำรับให้เสร็จแล้วก็จะถอยไป แต่...
“นั่งลง”
“ฉันกินแล้ว”
เพลิงเดินมานั่งข้างๆพร้อมกับบอกว่า “กินอีก”
“ฉัน...” เสียงพูดเธอดังขึ้นได้แค่นั้น เมื่อเพลิงหลุบตามองริมฝีปาก จึงต้องเม้มไว้ก่อนที่มันจะเห่อแดงให้เขาเห็นพร้อมกับจับช้อนทานข้าวขึ้นมา แต่ไม่มีจานให้เธอกิน นอกจาก...จานของเขา
เพลิงมองหน้างอๆเพียงนิด ก็ทานข้าวโดยมีเธอนั่งเขี่ยมากกว่าทานกระทั่งอิ่ม พิมพ์ลดาก็รีบเก็บทุกอย่างไปล้างที่หลังเพิง กลับเข้ามาก็ไม่เห็นเขาแล้ว ก็ไม่สนใจ รีบปูที่นอนหมอนมุ้ง เสร็จแล้วก็ถอยไปนั่งอยู่ที่มุมห้อง ยกเข่าขึ้นมากอดทอดสายตามองออกไปนอกหน้าต่าง ในความมืดมีแสงดาวระยับวาววับสวยงาม แต่ได้ชมเพียงไม่นานความเหนื่อยล้ากับงานที่ทำมาทั้งวัน ทำให้เธอหลับไปโดยไม่รู้ตัว
เท้าของเพลิงที่เดินเข้ามาในเพิงหยุดอยู่แค่ที่นอน เมื่อเห็นเมียมายาหลับอยู่ตรงมุมห้อง สมองเขาบอกให้นอนอย่าไปสนใจแต่เท้ากลับก้าวไปหา ทุกสิ่งที่เธอทำได้สร้างความสับสนให้เกิดขึ้นในใจเขา โดยเฉพาะจูบที่ไม่ว่าจะกี่ครั้งตั้งแต่เธอฟื้นมาจากความตาย เขาก็รู้สึกว่ายังเหมือนคนที่ไม่เคยโดนจูบมาก่อน ทั้งๆที่เธอเป็นของเขามาแล้ว ทุกอย่างจึงกลับมายังจุดเดิม คำถามเดิมๆ ว่าการเปลี่ยนไปของเธอเป็นเพียงมารยาหรือของจริง
เขาทรุดตัวลงนั่งบนส้นเท้า หลุบตามองแผลที่ข้อเท้าที่แม่นมบอกเขาว่าถูกเดือนประดับดึงผ้าก๊อสออกไป ไล่เรื่อยขึ้นไปถึงฝ่ามือที่แตกแดง แล้วมองเลยไปถึงใบหน้าที่ซบกับแขน ความอ่อนล้ามีให้เห็นจนปลายนิ้วเขายื่นไปเหมือนจะลบรอยนั้นออกไป แต่หยุดอยู่แค่ความรู้สึกที่ยังไม่แน่ใจ แต่ที่แน่ๆวันนี้เธอเก่งและอดทนได้ดี แล้วยืดตัวขึ้นหันหลังกลับจะเดินจากไป แต่สุดท้ายหันกลับมาอุ้มเธอไปนอนบนที่นอน
*******
ดวงจันทราถูกบดบังด้วยเมฆหนาทำให้ราตรีนี้ยิ่งมืดมิด คนบางคนจึงอาศัยมันลงมือทำบางอย่าง ซองหนาๆถูกยื่นให้กับใครอีกคนซึ่งพอรับไปก็ยื่นหน้ามากระซิบบอกบางอย่าง ไม่นานการยื่นหมูยื่นแมวก็จบลง ต่างคนต่างแยกย้ายกันไป คนที่ได้เพียงคำพูดกลับมาที่ห้องพักตัวเอง เพียงเปิดประตูเข้ามา สัญญาณโทรศัพท์ก็ดังขึ้น จึงรีบปิดประตู แล้วหยิบโทรศัพท์ออกมา รับสายทันที
“รับเสียทีนะมึง”
น้ำเสียงโกรธๆนั้นไม่ได้ทำให้คนรับสายสะดุ้งสะเทือน แถมยังเหยียดริมฝีปากออกหยัน แต่น้ำคำที่ตอบกลับไปช่างนอบน้อมเพราะเห็นว่าอีกฝ่ายยังมีประโยชน์ “นายอธิป”
“เออ กูเอง ทำไมมึงถึงไม่บอกกูเรื่องที่ขุดไม่เจอน้ำมันเจอแต่น้ำ มิหนำซ้ำยังถูกไอ้ป๊ะเพลิงจับได้อีก มึงรู้ไหมว่ากูเสียหายจนเกือบจะเสียชีวิต”
“คุณรู้แล้ว รู้ได้ไงครับ” ไอ้ชาติถามทั้งที่รู้อยู่แก่ใจดี แต่คนที่ไม่รู้กลับบอกปัดอย่างไม่สนใจ
“เรื่องนั้นไม่สำคัญ แต่มึงจะบอกกูได้หรือยังว่าทำไมไม่บอก หรือว่าคิดจะหักหลังกัน”
“เปล่าครับ แต่คุณก็น่าจะรู้ว่าพอเกิดเรื่องแล้ว ทุกคนในหุบเขาถูกจับตามองกระดิกไปไหนไม่ได้ ไม่งั้นจะต้องถูกสงสัย และอาจจะรู้ว่าผมเป็นหนอน แล้วเราจะต้องจบเห่คงไม่ได้คุยกันอย่างตอนนี้”
นายอธิปนิ่งไปเพราะคำตอบนั้นตรงกับที่เขาคิดไว้ แต่ที่คิดไม่ถึงก็คือการทรยศหักหลังนั้นเกิดขึ้นจริงๆ “แล้วลูกสาวฉันละ” เมื่ออารมณ์โกรธลดลง คำพูดก็เปลี่ยนตาม
“เธอไม่ได้เป็นอะไร ยังอยู่ดีมีสุขตามปรกติ”
“อย่างนั้นเหรอ” เสียงนายอธิปกึ่งๆไม่แน่ใจ เพราะคิดว่าลูกสาวเขาต้องโดนไอ้ป๊ะเพลิงเล่นงานด้วย จะอยู่โดยไม่เป็นอะไรนั้นไม่น่าใช่ “ฉันจะเข้าไปที่หุบเขา แกหาทางให้ฉันด้วย”
“เมื่อไรครับ”
“ทางแกเปิดวันไหน ก็วันนั้น และอย่าช้าเพราะใครอีกคนเขาอาจจะไม่รอแล้วแกกับฉันจะได้ตายกันจริงๆ”
สัญญาณถูกตัดไป แต่ไม่ได้ทำให้คนที่ถูกขู่กลัวแม้แต่นิด เพราะมันรู้ว่าใครอีกคนที่อีกฝ่ายพูดถึงคือ นายพลกฤษนายอีกคนของมันนั่นเอง ไอ้ชาติหัวเราะออกมา แล้วกดโทรศัพท์ไปหาเขา เพื่อบอกความลับที่มันเพิ่งไปซื้อมาให้รู้ แต่กลับได้รู้บางอย่างที่ทำให้มันตกใจไม่น้อย
“เสี่ยงเกินไปครับท่าน”
“นั่นแหละที่ฉันต้องการ เพราะอยากแน่ใจ”
“แล้วจะ...”
“ไม่ต้อง แกไม่ยุ่งไม่ต้องไปชี้จุดอะไรทั้งนั้น ฉันจะใช่แค่แผนที่ๆมีอยู่ในมือเท่านั้น ส่วนเรื่องที่แกบอกว่างเมื่อไรก็มาเอาค่าน้ำค่าข้าวแกไป”
“ยังมีอีกเรื่องครับท่าน เรื่องของนายอธิป เขา...”
“ฉันรู้แล้ว ทำตามที่มันบอก”
“ท่านน่าจะรอเขาก่อน”
“ฉันไม่ชอบยื่นจมูกคนอื่นหายใจ ไม่ชอบรอใคร” เสียงขัดขึ้นมาอย่างไม่ต้องการความคิดเห็น “แต่การมีใครสักคนเป็นหนังหน้าไฟคอยป่วนไอ้ป๊ะเพลิงให้เรา จะทำให้งานใหญ่ของเราง่ายขึ้น ทำทุกอย่างตามที่ฉันบอกให้สำเร็จ นั่นคือหน้าที่แกเท่านั้น”
“ครับท่าน”
รับปากแล้วไอ้ชาติก็ยิ้มกริ่มกับความสำเร็จที่ได้มาอย่างง่ายดาย แต่ไม่กี่อึดใจก็หายไป เพราะต้องคิดหาวิธีให้นายอธิปเข้ามาในหุบเขาพญา แต่คิดไปทางไหนก็ติดขัดไปหมด สุดท้ายมันก็ยิ้มขำตัวเองที่ลืมบางเรื่องไปเสียสนิท แล้วล้มตัวลงนอนทั้งที่อยากไปเชยชมเดือนประดับ แต่คืนนี้ไม่เหมาะแล้วจึงหลับตานอน
ส่วนคนที่มันคิดถึงใส่ชุดนอนสีหวาน นั่งประทินผิวอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งพร้อมรับฟังคำพูดของสาวใช้ ซึ่งพอได้ฟังทั้งหมดก็ไม่อยากจะเชื่อ สาวใช้จึงยืนยันสิ่งที่ได้ยินมาเต็มสองหูให้ฟังอีกครั้ง “นายหญิงจำอดีตไม่ได้ ไม่รู้ว่าเป็นใครมาจากไหน หนูได้ยินมาอย่างนี้จริงๆค่ะ”
“แกแน่ใจนะ”
“ค่ะ”
“จำอะไรไม่ได้ ก็เหมือนคนความจำเสื่อมซินะ มิน่าถึงเปลี่ยนไปขนาดนั้น” เธอยิ้มเยาะอย่างสะใจที่ได้รู้ความลับนี้ “แล้วมีอะไรอีก”
“เอ่อ” สาวใช้ติดอ่างขึ้นทันทีเพราะรู้ว่าถ้าพูดไปนายสาวจะต้องไม่พอใจแน่นอน
“ว่าไง” เสียงเดือนประดับเริ่มแข็งเมื่อไม่ได้อย่างใจ สาวใช้จึงเล่าให้ฟังทั้งหมด แต่ประโยคสุดท้ายนั้นตะกุกตะกัดด้วยความหวาดหวั่น “ป๊ะเพลิงอยู่ อยู่กับนายหญิงที่เพิงหมาแหงน”
กระปุกเครื่องสำอางปลิวมาโดนตัวสาวใช้อย่างรวดเร็ว ซึ่งก็รีบลนลานออกไปจากห้อง ทิ้งนายสาวให้กรีดร้องคลุ้มคลั่งอยู่คนเดียว กระทั่งเครื่องสำอางระเนระนาดอยู่เกลื่อนห้องนั่นแหละ อารมณ์เธอจึงได้เริ่มสงบลง แต่หน้าตายังขึงตึงอย่างน่ากลัว “นังพิมพ์ลดา” เสียงรอดไรฟันออกมาอย่างสุดแค้น แล้วเดินไปกระแทกตัวนั่งบนเตียงนอน “นังมารหัวใจ ทำไมแกไม่ตายไปตั้งแต่ครั้งนั่นนะ”
พูดออกมาแล้ว เดือนประดับก็ต้องกัดริมฝีปากไว้ เพราะนี้เป็นความลับที่อาจนำพาความตายมาสู้เธอ แต่นาทีนี้ความแค้นมันเข้ามาบดบังให้เธอต้องนึกย้อนกลับไปในคืนที่แสนสุขของมัน แต่เป็นคืนที่แสนทุกข์เหมือนใครเอามีดมาปักลงบนใจเธอ งานแต่งงานที่แสนหวานรายล้อมด้วยผู้คนที่ยิ้มแย้มแสดงความยินดี ยิ่งมันได้ถูกประกาศให้เป็นนายหญิงแห่งหุบเขาพญา ใจของเธอก็ยิ่งทุกข์ และไม่มีอะไรที่จะดับทุกข์ของเธอได้นอกจากความตายของมัน
ยาพิษจากทะเลทรายจึงกลายเป็นอาวุธร้าย ที่เธอเอาไปแอบใส่ลงในแก้วของเครื่องดื่มของมัน ซึ่งจะไม่ออกฤทธิ์ในทันที แต่จะทำให้คนที่กินเข้าไปหลับใหลไปอยู่คนละโลกกับเธอ เช้าวันรุ่งขึ้นก็รีบไปแอบดู แล้วต้องผิดหวังที่มันไม่ตายดังใจ แต่ทำให้เธอสงสัยมาจวบจนทุกวันนี้ แล้วที่มันความจำเสื่อมเพราะอะไรหรือเพราะยาตัวนั้นทำให้มันเปลี่ยนไป
เดือนประดับครุ่นคิดอย่างหนักก็ยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจน แต่ไม่เป็นไรคำพูดที่เธอบอกกับตัวเองไว้ยังอยู่ ว่าวันนี้มันไม่ตายแต่วันต่อไปในภายภาคหน้ามันต้องตายแน่นอน
*************
ขอบคุณที่ติดตามผลงานค่ะ
เพลิงขี่ม้านำคนของเขาไปบนเส้นทางที่สลับซับซ้อนเหมือนเขาวงกฎนั้น ถ้าใครไม่รู้เส้นทางก็จะหาทางออกไม่ได้ เพราะหันไปทางไหนก็มีแต่ป่าสลับกับก้อนหินเล็กบ้างใหญ่บ้างวางซ้อนกันไป แถมยังมีกับดักสำหรับคนคิดคดทรยศไว้ด้วย เส้นทางนี้จึงเป็นทางที่นายแห่งหุบเขามีไว้ซ่อนน้ำสีดำ และนำมันออกไปส่งให้คู่ค้า ที่ทำกันมานานตั้งแต่รุ่นพ่อ
เขาบังคับม้าให้ผ่อนฝีเท้าเดินเหยาะย่างจนมาถึงป่าทึบ ก็ยกมือให้สัญญาณทุกคน แล้วผิวปากเสียงสั้นสลับยาวสามจังหวะ ชายชุดดำปิดหน้าให้เห็นแต่ดวงตาสามคนออกมายืนตรงหน้า ก้มหน้าเคารพนายแห่งหุบเขา แล้วถอยออกไปยืนด้านข้าง จากนั้นเพลิงกับทุกคนก็ลงจากหลังม้าพากันเดินเข้าไปข้างใน ซึ่งก็คือถ้ำขนาดใหญ่นั่นเอง
ถ้ำแห่งนี้จะโปร่งโล่งและมีทางออกสี่ทาง ทางหนึ่งเชื่อมกับคุกทมิฬ ไว้สำหรับกรณีฉุกเฉิน แต่เขาไม่เคยใช้เส้นทางนี้ เพราะไม่ต้องการให้ใครรู้แต่อีกสามทางเขาจะใช้สลับสับเปลี่ยนกันไป ตลอดทางเดินเข้าไปด้านในจะมีคบเพลิงส่องสว่างเป็นระยะ กลิ่นน้ำสีดำคลุ้งไปทั่วบริเวณและแรงขึ้นเมื่อถึงบ่อพัก
คนจากทะเลทรายที่มีหน้าที่เป็นคนงานและดูแลถ้ำแห่งนี้โผล่ออกมาให้เขาเห็น ก่อนเดินนำออกไปหลังถ้ำ ที่เป็นที่โล่งมีรถบรรทุกน้ำมันสามคันจอดรอพร้อมคนขับจะออกเดินทาง
“ทุกอย่างเรียบร้อยใช่ไหม”
“ครับป๊ะเพลิง”
เพลิงพยักหน้าอย่างพอใจ แล้วเดินตรวจดูความเรียบร้อยพร้อมกับหิน จากนั้นก็ขึ้นไปนั่งบนรถขับเคลื่อนสี่ล้อ โดยมีหินขึ้นไปนั่งเป็นคนขับ ส่วนขวานกับดาบไปนั่งคันหลังสุด แล้วทั้งหมดก็ออกเดินทางตามดวงตะวันที่เคลื่อนไปตามการหมุนของโลก ทิวไม้เป็นร่มเงา ทิวเขาสลับซับซ้อนอยู่เบื้องหน้า พญาอินทรีบินเหินอยู่เบื้องบน ไม่มีสัญญาณอันตรายใดๆส่งมากระทั่งถึงจุดหมาย
รถทุกคันหยุดอยู่ที่ตีนเขา เพลิงกับหินตวัดสายตามองไปรอบบริเวณ เมื่อไม่เห็นสิ่งใดผิดปรกติ ก็เปิดประตูลงไปจากรถ หันไปมองขวานกับดาบที่ยืนอยู่ข้างรถ ซึ่งก็รู้หน้าที่ดีว่าต้องดูแลความปลอดภัยให้กับรถบรรทุกน้ำมันทั้งสามคัน นักล่าทะเลทรายที่เป็นคนขับก็เช่นกัน จากนั้นเพลิงกับหินก็เดินขึ้นไปบนเนินเขาที่ห่างจากรถที่จอดอยู่ไม่เท่าไร
สายตาของทั้งคู่กวาดมองไปรอบบริเวณ เช็กทุกตารางนิ้วแล้วเบี่ยงตัวหลบอาวุธที่พุ่งมาหา หินดึงปืนออกมายิงสวนทางอาวุธ เพื่อจัดการคนที่ปาออกมาอย่างรวดเร็ว มีดไปปักบนต้นไม้พร้อมๆกับนกกระพือปีกบินขึ้นฟ้าเพราะตื่นเสียงปืน แล้วเสียงปรบมือก็ดังแทรกขึ้นมา
“แปะ แปะ แปะ”
เพลิงกับศิลาหันไปมองคนปรบมือ ซึ่งอยู่ในชุดสีดำ เดินออกมาจากหลังพุ่มไม้พร้อมผู้ติดตามขนาบซ้ายขวาอีกสองคน เพลิงไม่สนใจใครนอกจากคนที่ต้องทำธุรกิจด้วยกัน ท่านพจน์หรือนายพจน์ อภิรัตน์ เศรษฐีใหญ่ติดทวีปเอเชีย ที่ทำธุรกิจกับพ่อเขามานาน รูปร่างหน้าตาของท่านแม้จะอยู่ในวัยกลางคนแต่ก็ยังคมคายงามสง่าเช่นเดิม และทันทีที่เดินมาเจอกันก็ยื่นมือไปทักทายกันทันที
“สวัสดีครับท่านพจน์”
“สวัสดีหลานชาย สบายดีนะ” ถามแล้วเขาก็หันไปทักทายหิน “ฝีมือยังดีเหมือนเดิมนะหิน สมกับเป็นผู้พิทักษ์ป๊ะเพลิง ถ้าลูกน้องฉันหลบไม่ทันคงได้เป็นผีเฝ้าป่านี้ไปแล้ว”
“ขอบคุณครับ ไม่ว่าจะกี่ปีท่านก็ยังดูดีเหมือนเดิม”
“ฮะๆๆ” เขาหัวเราะออกมาก่อนจะบอกว่า “นอกจากจะฝีมือดีแล้วปากก็ดีเหมือนกันนะหิน เสียดายที่ฉันไม่มีลูกสาว ไม่งั้นจะจับมาเป็นลูกเขย”
“เป็นบุญของผมแล้วครับที่ท่านไม่มี”
ท่านพจน์หันมายิ้มกับเพลิง “เลี้ยงคนได้ดีจริงๆนะเพลิง” ท่านบอกพลางมองหนุ่มฉกรรจ์สองคนที่เห็นมาตั้งแต่ได้ทำการค้ากับชีคอิมาอัลล์ จนก้าวขึ้นมาเป็นนายแห่งหุบเขา ทั้งวาทะลีลาความเฉียบคมรูปลักษณ์และฝีมือนั้นถอดแบบคนเป็นพ่อมาไม่มีผิด ความซื่อสัตย์ในตัวเองและศักดิ์ศรีน่ายกย่องสำหรับเขา “การเดินทางเรียบร้อยดีใช่ไหม”
“ครับ ของท่านก็คงไม่ต่างกัน ตอนนี้ของพร้อมส่งอยู่ข้างล่างแล้วครับ”
“ขอบใจ” ว่าแล้วท่านก็หันไปมองคนสนิท ซึ่งก็รู้ความต้องการทันที หินเองก็รู้หน้าที่ของตัวเอง จึงเดินนำไปที่รถขนน้ำมันเพื่อตรวจรับของ บนเนินเขาจึงเหลือแค่เพลิงกับท่านพจน์ ซึ่งก็เดินไปยืนชมทิวทัศน์ที่สวยงาม ผืนป่าที่เขียวชอุ่มพลิ้วไหวไปตามสายลมที่พัดพา เริงร่าหยอกเย้ากับนกน้อยที่บินผ่าน ความงดงามที่มนุษย์ใฝ่หาไขว่คว้าอยากมาเห็น แต่ไม่รักษา มุ่งแต่จะทำลายเพื่อประโยชน์ของตัวเอง สุดท้ายก็หายไป
“อากาศที่นี่ดีมากจริงๆ แล้วที่หุบเขาพญายังมีคนในอยากออกคนนอกอยากเข้ามาอีกหรือเปล่า”
“ท่านทราบด้วยเหรอครับ”
“ฉันไม่รู้อะไรนะ”
เพลิงยิ้มอย่างพอจะรู้ ด้วยนิสัยของท่านที่เขารู้จัก ตั้งแต่ได้ทำการค้ากันไม่เคยมีสักครั้งที่ท่านจะเอ่ยถึงหุบเขาพญา แต่ครั้งนี้ถามถึงอย่างมีนัยแสดงว่าท่านคงพอจะรู้อะไรมาบ้าง “ท่านรู้จักนายอธิปไหมครับ”
“รู้จัก แต่ไม่เคยติดต่อด้วย เพราะเซ้นไม่ตรงกันเท่าไร” เสียงพูดปนความขำอย่างไม่จริงจัง แล้วถามต่อ “หลานชายถึงทำไม”
“ผมอยากจะรู้จักไว้”
“เกี่ยวดองกันขนาดนั้นแล้วยังไม่พอหรือไง”
คำพูดนี้ทำให้เพลิงรู้ได้ทันทีว่าที่คิดไว้ไม่ผิดว่าท่านรู้จัก ถึงจะไม่ยอมรับออกมาตรงๆ แต่ก็บอกให้รู้เป็นนัยๆเช่นกัน “ผมอยากจะรู้อีกว่าทำธุรกิจกับใครอีกบ้าง”
“ถ้าอยากรู้ให้ลึกลงไปจากที่รู้อยู่ เดือนหน้าจะมีการเชิญนักธุรกิจทุกสาขาอาชีพมาร่วมประชุมเสวนากัน หลานชายอยากเจอใครหรืออยากรู้อะไร งานนี้ดีที่สุด”
“ขอบคุณครับ แต่ผมอาจจะต้องรบกวนท่าน”
ท่านพจน์เลิกคิ้วขึ้นอย่างสงสัยและเมื่อได้ฟังก็พยักหน้าอย่างยินดีที่จะช่วย ทั้งคู่คุยกันอีกไม่นาน การจากลาก็มาถึงแต่ความเป็นมิตรที่ดียังมีอยู่ และเมื่อหินเดินกลับขึ้นมาจึงเหลือแค่เพลิงคนเดียว ทั้งคู่ยืนมองรถขนน้ำมันที่วิ่งไปกลางพนากระทั่งถูกบดปังจนมองไม่เห็น ก็พากันเดินลงมาจากเนิน
“ต้นเดือนหน้า นายจะต้องไปเป็นชาวกรุงเตรียมตัวรอไว้ได้เลย”
หินพยักหน้ารับรู้ แต่ยังไม่ถามว่าเพลิงจะให้เขาทำอะไรบ้าง เพราะรู้ว่ากว่าจะถึงวันที่ต้องไป เพลิงจะบอกเขาแน่นอน ตอนนี้ที่ยังไม่บอกอาจจะยังมีบางอย่างที่ไม่แน่ใจ ทั้งคู่เดินมาถึงรถ แล้วหินก็เป็นฝ่ายขับกลับเหมือนเดิม คนอื่นๆก็โดดขึ้นรถของขวานกับดาบ แล้วรถก็พาทั้งหมดกลับหุบเขาพญา
เมฆสีขาวล่องลอยไปตามกระแสลม ปิดบังดวงอาทิตย์ที่คล้อยต่ำในยามบ่าย พิมพ์ลดาที่นอนพักมาหลายชั่วโมง เพราะฤทธิ์ยา ขยับตัวลุกขึ้นนั่งบนเตียง มองไปรอบห้องที่ว่างเปล่า เหมือนสมองของเธอที่ไม่มีความทรงจำใดๆ ก็ถอนหายใจออกมาอย่างเศร้าๆ แล้วลุกขึ้นจากเตียงจัดที่นอนให้เรียบตึง ก็เดินเข้าห้องน้ำ ยืนมองหน้าตัวเองในกระจก เงาสะท้อนนั้นคุ้นเคย แต่ทำไมเธอถึงจำอะไรไม่ได้
เธอปัดความเศร้าออกไปแล้วจัดการกับตัวเอง แต่ดูจะไม่ถนัดนักเพราะเจ็บมือที่แตกจากการตักน้ำ เธอเก็บกดไว้แล้วเดินออกมาจากห้องนอน กวาดตามองหน้าแม่นมทั้งสองคน ซึ่งก็เห็นนั่งหั่นสมุนไพรอยู่บนแคร่ตรงระเบียง ก็จะเดินตรงไปที่ห้องครัว แต่สองนมหันมาเห็นเธอเข้าพอดี จึงเรียกไว้
“ตื่นแล้วเหรอหนูพิมพ์ แล้วนั่นจะไปไหนคะ”
“ห้องครัวค่ะ จะไปทำอาหารเย็น เสร็จแล้วก็จะไปเพิงหมาแหงนถางหญ้าที่ทำค้างไว้ให้เสร็จ แล้วจะขุดดินเอาต้นไม้ลงด้วย”
“ว้ายตายแล้ว ไม่ต้องค่ะไม่ต้อง” นมสุกห้ามเสียงสั่น วางมีดในมือแล้วเดินมาหาเธอ “เดี๋ยวนมเรียกคนจากคุกทมิฬมาทำให้”
“นมลืมไปแล้วเหรอคะ ว่านี่เป็นคำสั่งของใคร และใครก็ห้ามช่วยพิมพ์ด้วย ที่สำคัญไม่ได้เหลือบ่ากว่าแรงหรอกค่ะ พิมพ์ทำไม่นานก็คงเสร็จ”
นมสุกจะห้ามอีก แต่เมื่อเช้าเปลืองน้ำลายไปหลายปี๊บแล้วเธอก็ยังไม่ฟัง จึงรำพึงออกมา “ดื้อจริงๆเลยค่ะ งั้นเดี๋ยวนมไปช่วย”
“ไม่ต้องหรอกค่ะ พิมพ์ทำเองได้”
“อย่ามาห้ามเสียให้ยาก นมก็ดื้อเหมือนหนูพิมพ์นั่นแหละค่ะ และที่สำคัญนมสองคนถูกสั่งให้ดูแลหนูพิมพ์ด้วย”
“แต่นมแก่แล้ว พิมพ์อยากให้พัก ไม่อยากให้เหนื่อย”
“คนแก่พักไม่พักก็เหนื่อยเหมือนกัน แต่เหนื่อยจากการได้ขยับแขนขาเล็กๆน้อยๆ จะทำให้ร่างกายแข็งแรงขึ้นไม่ใช่เหรอ”
“แนะรู้ด้วย”
“หมอกานต์เขาบอกมา”
บอกแล้วนมสุกก็หัวเราะออกมาเบาๆ พิมพ์ลดาจึงยิ้มด้วยความสุขไปด้วย แล้วเดินไปกอดขอบคุณทั้งคู่ที่ให้ความรักความเอ็นดูกับเธอ จึงโดนทั้งสองคนหอมแก้มไปคนละข้าง จากนั้นก็พากันเดินไปที่ห้องครัว เสียงพูดคุยเคล้าไปกับเสียงทำอาหาร ไม่นานก็เสร็จ นมสดเป็นคนตักใส่ปิ่นโต ส่วนนมสุกไปเอาต้นไม้ เรียบร้อยแล้วทั้งสามคนก็เดินไปที่เพิงหมาแหงน ทั้งสามไม่รู้ว่ามีสายตาของใครมองตามไป
คนที่แอบมองอยู่รีบเดินกลับมาที่เรือนของตัวเอง ซึ่งมีคนยืนชะเง้อรอคอยอยู่บนระเบียง สีหน้าชักจะบึ้งตึง เพราะรอนานแล้วยังไม่เห็นมาเสียที เดือนประดับเดินไปเดินมาด้วยท่าทางร้อนใจ กระทั่งเห็นสาวใช้เดินรีบๆขึ้นมาบนเรือน ก็ปรี่เข้าไปจับแขนลากมาซักถามทันที
“ฉันสั่งให้แกไปแอบดูนังพิมพ์ลดาที่เรือนเชิงผา แล้วแกไปเดินเออระเหยลอยชายอยู่ที่ไหนหึ ถึงได้ช้าขนาดนี้” ว่าพลางจิกเล็บลงบนแขนสาวใช้
“ไม่ ไม่ได้ไปไหนเลยค่ะคุณหนู” ว่าแล้วก็ดึงแขนออก แต่นายสาวยังไม่ปล่อย
“งั้นก็บอกมามันทำอะไรอยู่บ้าง”
“ทำ ทำอาหาร แล้วก็ไปที่เพิงหมาแหงนพร้อมแม่นมทั้งสองคน แค่นั้นค่ะ”
“นังพิมพ์ลดานี้นะทำอาหาร” เดือนประดับทำหน้าไม่เชื่อ เพราะเคยเห็นแต่เชิดหน้าชูคอวางท่าชี้นิ้วสั่งๆเท่านั้น “มันไปทำอะไรที่นั้น” เธอยังสงสัย แล้วบอกกับสาวใช้ว่า “ไปแอบดูว่ามันทำอะไรแล้วมาบอกฉัน”
“ค่ะ ค่ะ” สาวใช้รีบรับปากและพอนายสาวปล่อยแขนก็รีบเดินลงจากเรือนไปทันที
เดือนประดับมองตามไปพร้อมคิดว่าที่เธออยากรู้ เพราะมันมีท่าทีให้น่าสงสัย จากที่เคยเป็นไม้เบื่อไม้เมากับเธอ ไม่มองตาขวางก็ต้องจิกกัดกระแนะกระแหน ไม่ใช่นั่งนิ่งๆ แล้วเชือดด้วยคำเจ็บๆอย่างที่โดนมาเมื่อเช้า มันต้องมีอะไรเกิดขึ้นถึงได้ดูแปลกไป แล้วภาวนาขอให้รู้ จะเล่นงานให้เจ็บแสบเลย
*********
ดวงอาทิตย์คล้อยต่ำลงเรี่ยยอดไม้ เมื่อทั้งสามคนมาถึงเพิงหมาแหงน นมสุกวางต้นไม้ไว้หน้าเพิง ส่วนนมสดเอาปิ่นโตไปเก็บไว้ในเพิง พิมพ์ลดารีบแยกไปตักน้ำใส่ตุ่มเป็นอย่างแรกเพราะกลัวอันตรายที่อาจเกิดขึ้นอีก แต่ทำให้แม่นมทั้งสองคนที่มองตามหลังไปได้รู้สาเหตุที่ทำให้เธอถูกงูกัด และนั่งเอาใจช่วยกระทั่งน้ำเต็มตุ่ม ก็เดินเช็ดเหงื่อกลับมาหาสองนม
“นั่งพักก่อนค่ะ” นมสดบอกพลางยกพัดๆให้หายเหนื่อย
“ขอพิมพ์ปลูกต้นไม้ก่อนนะคะ”
“จะมืดแล้วค่อยทำพรุ่งนี้ก็ได้ค่ะ”
“แต่พิมพ์อยากทำให้เสร็จ ไม่อยากหยุด”
“ทำไมละคะ”
พิมพ์ลดานิ่งเหมือนไม่อยากบอก แต่สุดท้ายความในใจก็ดังออกมา “พิมพ์อยากทำงาน ไม่อยากหยุดจะได้ไม่ต้องคิดว่าตัวเองเป็นใคร”
“โธ่เอ๋ยแม่คุณ ก็ไม่ต้องคิดซิค่ะ”
“พิมพ์ก็อยากทำอย่างนั้น แต่ก็ทำไม่ได้ พอว่างพิมพ์ก็จะคิดและคิดวนเวียนอยู่แค่นั้น การที่เราอยู่โดยไร้อดีตมันเจ็บปวดนะนม มันเหมือนคนที่อยู่อย่างโดดเดี่ยวคนเดียวในโลกนี้ ไร้ค่า ไร้อนาคต ไร้หนทางเพราะไม่รู้ว่าจะเดินไปทางไหนดี แม้บางคนไม่อยากจะจดจำอดีต แต่อย่างน้อยอดีตก็บอกให้ได้รู้ว่า เราเป็นใคร มาจากไหน แต่พิมพ์ไม่มีอดีตอนาคตก็ดูมืดมนเหลือเกิน”
น้ำเสียงแสนเศร้านั้นทำให้นมสดสงสารเธอจับใจ แล้วปลอบไปว่า “ใครบอกว่าไม่มี หนูพิมพ์มีแต่แค่จำไม่ได้เท่านั้นเอง ส่วนอนาคตอีกไม่นานนมเชื่อว่าจะสว่างขึ้นมา แล้วอยากรู้อะไรละคะ เดี๋ยวนมจะเล่าให้ฟังเอง”
“จริงเหรอคะ”
“ค่ะ”
พิมพ์ลดาน้ำตาซึมออกมาอย่างดีใจ ก่อนหน้านี้เธอไม่กล้าถามสองนม เพราะทั้งสองคนดูจะไม่อยากพูด และบางครั้งก็เหมือนมีบางอย่างที่ขวางกั้นทั้งสองคนไว้ แต่ตอนนี้ทั้งคู่กลับเปิดใจให้เธอ “ขอบคุณนะคะนม ขอบคุณที่สงสารพิมพ์” เธอบอกพร้อมกับยกมือขึ้นเช็ดน้ำตา เหมือนเด็ก แม่นมทั้งสองคนยิ้มอย่างเอ็นดู แล้วบอกว่า
“ไปอาบน้ำเถอะค่ะ ใกล้มืดแล้ว เดี๋ยวจะลำบาก แล้วจะถามอะไรก็ค่อยคุยกัน”
“ขอพิมพ์ถามก่อนไม่ได้เหรอคะ”
“ไม่ได้ค่ะ ดูซิคะมอมแมมไปทั้งตัวแล้ว ไปเถอะค่ะ”
พิมพ์ลดาทำหน้าอิดออด ขณะสองนมทำหน้าดุ เธอจึงยื่นมือไปจี้เอวทั้งคู่ เสียงตาเถรตกตาหมีหายจึงดังออกมาอย่างตกใจ เธอแสร้งทำหน้าล้อแล้วแกล้งจี้เอวทั้งคู่อีก จนเสียงหัวเราะลั่นบริเวณ ทั้งหมดไม่รู้ว่ามีสายตาของนายแห่งหุบเขามองอยู่ และจับจดอยู่ที่ร่างอรชรที่คอยวิ่งวนรอบตัวแม่นมทั้งสองคนเท่านั้น ใบหน้างามดูมีความสุข รอยยิ้ม การกระทำ ทุกอย่างบอกเขาว่าเป็นตัวเธอจริงๆไม่ใช่การเสแสร้งหรือมารยาเลย
ดวงตะวันจูบลาพสุธา ผืนพนาจึงเริ่มสลัวไปทั่วบริเวณ แม่นมทั้งสองคนเดินเข้าไปในเพิง นมสดจุดตะเกียงที่แขวนอยู่ตรงเสา ส่วนนมสุกก็หยิบผ้าถุงกับผ้าขนหนูมาให้พิมพ์ลดาที่เดินตามหลังเข้ามาได้เปลี่ยนไปอาบน้ำ เธอขอบคุณแม่นมเบาๆ แล้วเปลี่ยนชุดที่ใส่อยู่เป็นผ้าถุงกระโจมอก ใช้ผ้าขนหนูคลุมบ่า รับขันน้ำ พร้อมสบู่ ยาสระผมที่แม่นมยื่นมาให้ ก็เดินไปด้านหลังเพิง
นมสดกับนมสุกมองตามไปเพียงเดี๋ยวเดียว ก็หันกลับมาจะจัดสำรับอาหารเย็น ปูที่นอนไว้ให้ แต่ร่างสูงที่เดินเข้ามาอย่างเงียบๆนั้นทำให้สองคนรู้ว่าหมดหน้าที่ของตัวเองแล้ว จึงจับมือพากันเดินกลับไปที่เรือนเชิงผาทั้งๆที่เป็นห่วงหญิงสาวที่ยังไม่รู้ว่าป๊ะเพลิงกลับมาแล้ว
พิมพ์ลดานั่งอาบน้ำสระผมอยู่ที่ข้างตุ่ม และกำลังแสบตาเพราะฟองยาสระผมที่ไหลลงมาโดนตา สองมือจึงคลำหาขันน้ำ แต่จู่ๆขันน้ำก็ยื่นมาใส่มือ เธอยิ้มอย่างดีใจพร้อมกับบอกว่า
“ขอบคุณนะคะนม พิมพ์แย่จังที่ทำยาสระผมเข้าตาเหมือนเด็กเลย”
เธอบอกพร้อมกับตักน้ำล้างหน้าล้างตา แต่พอลืมตาขึ้นคนที่เห็นกลับไม่ใช่คนที่คิด และไม่ต้องมองหาก็รู้ว่าทั้งคู่คงกลับไปแล้ว จึงเริ่มจะทำตัวไม่ถูก จะไปไหนก็ไม่ได้ เพราะสภาพเธอตอนนี้ตัวก็เปียก ผมก็รอล้างอยู่ สุดท้ายเมื่อไม่มีทางเลือก เธอก็ตักน้ำมารดตัว ทั้งที่แสนจะอายที่ต้องอาบต่อหน้าเขา
เพลิงยืนปักหลักมองร่างอรชรเงียบๆ กระทั่งเธออาบน้ำเสร็จก็หยิบผ้าขนหนูมาห่มตัวไว้ แต่ไม่กล้าเปลี่ยนผ้าต่อหน้าเขา จึงจะเดินไปเปลี่ยนที่เพิง แต่ร่างสูงขยับตัวมาขวางไว้ “ฉันยังไม่ได้อาบ เธอก็ไปไหนไม่ได้”
“แล้วจะให้ฉันยืนทำอะไร”
“ดูฉันอาบน้ำ เหมือนที่ฉันดูเธอไง”
“โรคจิต”
“อยากให้ฉันวิปริตหรือไง ก็ได้นะ”
เขาว่าพลางเดินมาชิดตัวเธอ ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ แววตานั้นวาวๆจนพิมพ์ลดาเริ่มกลัว ถอยหนีไปยืนอยู่ห่างๆ เสียงหึในลำคอดังเยาะหยันออกมา แล้วถอดเสื้อผ้าออกจากตัวจนเธอรีบหันหลังแทบไม่ทัน ใบหน้างามเห่อแดงขึ้น เมื่อคิดว่าเขาคงเปลือยเปล่า แต่จริงๆแล้วยังมีชั้นในติดตัวอยู่
เสียงน้ำราดตัวดังเป็นระยะ ขณะที่พิมพ์ลดาก็เริ่มสั่นเพราะอากาศที่เย็นลง กระทั่งเสียงน้ำหายไป เธอก็ยังไม่กล้าหันกลับมามองเพราะกลัวจะเห็นความเปลือยเปล่าของเขา จนทุกอย่างเงียบสนิทคิดว่าเขาไปแล้ว จึงหันหน้ากลับมาก็เกือบผงะเพราะเขายืนอยู่ใกล้จนหน้าผากเธอรู้สึกถึงลมหายใจเขา แค่นั้นยังรู้สึกถึงอันตรายเพราะคำพูดของเขาก่อนหน้านี้และสภาพที่เกือบเปลือยของเขา จึงรีบถอยห่าง
“กลัวเหรอ” เสียงห้าวดังขึ้นพร้อมกับเดินตามติด แววตาของพิมพ์ลดาจึงหวาดหวั่นและถามทั้งที่ไม่ควรถาม
“จะทำอะไร”
“คิดเอาเองซิ”
เธอจึงยืนนิ่ง เชิดหน้าขึ้นมองหน้าคมข่มความหวาดหวั่นไว้ภายใต้สีหน้าที่เย่อหยิ่ง เพลิงยิ้มหยันที่มุมปาก แล้วก้มหน้าลงมาทดสอบความอวดดีของเธอ จนริมฝีปากเขาใกล้จะแตะเรียวปากอิ่มก็หยุดดูปฏิกิริยาของเธอเพียงเสี้ยวนาที เมื่อยังอวดดี ริมฝีปากเขาก็แนบชิดลงจูบ
พิมพ์ลดาผงะหนีแต่ไม่ทันแล้ว สองแขนแกร่งโอบรัดตัวเธอให้แนบสนิทกับตัวเขา จนรู้สึกถึงความเย็นของหยดน้ำที่เกาะตัวอยู่ ความแข็งแกร่งของร่างกายที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามและพลังที่เรียกร้อง ขณะที่เพลิงก็บดขยี้เรียวปากอิ่มอย่างลงทัณฑ์ แต่ความหวานที่ได้พบพานค่อยๆทำให้ความกระด้างห่างไปกลายเป็นความนุ่มนวล ยิ่งผิวสาวหอมละมุน ซึมเข้าไปในจิตใจ อ้อมแขนเขาก็ยิ่งรัดแน่น
เพลิงปล่อยให้อารมณ์อยู่เหนือความแค้นชั่วคราว ฝ่ามือลูบไล้ร่างอรชรที่แม้มีจะมีผ้าห่อหุ้มแต่ก็เปียกแนบจนเหมือนเปลือยเปล่า ให้เขารับรู้ถึงสัดส่วนที่ช่างยั่วยวน ส่วนเว้าส่วนโค้งช่างเหมาะมือ แต่ไม่นานเขาก็ผลักร่างอรชรออก มองอย่างเหยียดหยัน แล้วหันหลังเดินไปที่เพิง ทิ้งให้พิมพ์ลดายืนเดียวดายอยู่กลางสายลมเย็นกับความรู้สึกที่หวั่นไหว ก่อนจะสลัดมันทิ้งไป ตักน้ำมาราดตัวเพื่อลบรอยเขาแต่ดูจะยากเย็นเมื่อมันซึมลึกเข้าไปในใจเธอแล้ว จึงต้องย้ำเตือนตัวเองไม่ให้ลืมว่าเธอเป็นเมียที่เขาไม่ต้องการ
*******
ร่างอรชรเดินเข้ามาในเพิง เธอพยายามจะไม่มองร่างสูงที่ยืนกอดอกอยู่ตรงหน้าต่าง แต่จากหางตาเห็นได้ว่าเขาใส่ชุดใหม่เรียบร้อยแล้ว จึงเดินไปหยิบเสื้อผ้าออกจากตู้ และยืนถืออยู่อย่างนั้นเมื่อไม่รู้ว่าจะเปลี่ยนเสื้อผ้ายังไง
“ถ้าไม่มีปัญญา ก็แก้ผ้ามันมันตรงนั้นแหละ”
เสียงห้าวที่ดังขึ้นอย่างรู้ว่าเธอกำลังกระอักกระอวลเรื่องใดอยู่ พิมพ์ลดาเม้มริมฝีปากอย่างสุดฉิว “คุณก็ออกไปซิ” แต่เพลิงกลับทำตรงกันข้าม เดินเข้าหาจนเธอต้องถอยหลังชิดผนัง ก็ยกมือขึ้นเท้าผนังกันเธอไว้พร้อมกับบอกว่า
“ฉันคือเจ้าของ และฉันไม่มองให้เสียสายตาหรอก”
“แล้วจูบฉันทำไม”
“ก็ง่ายกว่าเหมือนโสเภณีไง”
เธอเจ็บลึกที่ถูกเขาว่าไร้ค่ายิ่งกว่าผู้หญิงแบบนั้น ก่อนจะเยาะหยันออกมาบ้าง “ขอบคุณนะคะที่บอก และหวังว่าคราวหน้าจะไม่มีแมงดาตัวไหนมายุ่งกับโสเภณีอย่างฉันอีก”
“ปากดีนักนะพิมพ์ลดา”
“ก็พอๆกับคุณนั่นแหละค่ะ และต้องขอบคุณอีกครั้ง ที่สอนให้ฉันเข้มแข็งขึ้นมา”
พูดจบเธอก็ลอดตัวออกจากวงแขนเขา แต่ไม่ทันความเร็วของนายแห่งหุบเขาลดมือมารวบเอวไว้ พอเธอหันมาจะโวยริมฝีปากเขาก็แนบลงมาปิดปากเธอไว้ แล้วจูบจนสาแก่ใจ ก็ปล่อย แล้วทิ้งคำพูดให้เธอเจ็บใจว่า
“ถ้าอวดเก่งอีก ฉันจะจูบให้ปากเปื่อยเลย”
พิมพ์ลดามองตามเขาไปอย่างสุดโกรธ แล้วรีบเก็บความโกรธไว้ก่อนที่เขาจะกลับมาหาเรื่องเธออีก เดินไปดับตะเกียงเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างรวดเร็ว เรียบร้อยแล้วเธอก็จุดตะเกียงขึ้นมาใหม่พร้อมๆกับร่างสูงที่เดินเข้ามาพอดี เธอมองค้อนโดยไม่รู้ตัว เพลิงก็ปรายตามองมาเช่นกัน จึงต้องรีบหนีหน้าไปจัดสำรับให้เสร็จแล้วก็จะถอยไป แต่...
“นั่งลง”
“ฉันกินแล้ว”
เพลิงเดินมานั่งข้างๆพร้อมกับบอกว่า “กินอีก”
“ฉัน...” เสียงพูดเธอดังขึ้นได้แค่นั้น เมื่อเพลิงหลุบตามองริมฝีปาก จึงต้องเม้มไว้ก่อนที่มันจะเห่อแดงให้เขาเห็นพร้อมกับจับช้อนทานข้าวขึ้นมา แต่ไม่มีจานให้เธอกิน นอกจาก...จานของเขา
เพลิงมองหน้างอๆเพียงนิด ก็ทานข้าวโดยมีเธอนั่งเขี่ยมากกว่าทานกระทั่งอิ่ม พิมพ์ลดาก็รีบเก็บทุกอย่างไปล้างที่หลังเพิง กลับเข้ามาก็ไม่เห็นเขาแล้ว ก็ไม่สนใจ รีบปูที่นอนหมอนมุ้ง เสร็จแล้วก็ถอยไปนั่งอยู่ที่มุมห้อง ยกเข่าขึ้นมากอดทอดสายตามองออกไปนอกหน้าต่าง ในความมืดมีแสงดาวระยับวาววับสวยงาม แต่ได้ชมเพียงไม่นานความเหนื่อยล้ากับงานที่ทำมาทั้งวัน ทำให้เธอหลับไปโดยไม่รู้ตัว
เท้าของเพลิงที่เดินเข้ามาในเพิงหยุดอยู่แค่ที่นอน เมื่อเห็นเมียมายาหลับอยู่ตรงมุมห้อง สมองเขาบอกให้นอนอย่าไปสนใจแต่เท้ากลับก้าวไปหา ทุกสิ่งที่เธอทำได้สร้างความสับสนให้เกิดขึ้นในใจเขา โดยเฉพาะจูบที่ไม่ว่าจะกี่ครั้งตั้งแต่เธอฟื้นมาจากความตาย เขาก็รู้สึกว่ายังเหมือนคนที่ไม่เคยโดนจูบมาก่อน ทั้งๆที่เธอเป็นของเขามาแล้ว ทุกอย่างจึงกลับมายังจุดเดิม คำถามเดิมๆ ว่าการเปลี่ยนไปของเธอเป็นเพียงมารยาหรือของจริง
เขาทรุดตัวลงนั่งบนส้นเท้า หลุบตามองแผลที่ข้อเท้าที่แม่นมบอกเขาว่าถูกเดือนประดับดึงผ้าก๊อสออกไป ไล่เรื่อยขึ้นไปถึงฝ่ามือที่แตกแดง แล้วมองเลยไปถึงใบหน้าที่ซบกับแขน ความอ่อนล้ามีให้เห็นจนปลายนิ้วเขายื่นไปเหมือนจะลบรอยนั้นออกไป แต่หยุดอยู่แค่ความรู้สึกที่ยังไม่แน่ใจ แต่ที่แน่ๆวันนี้เธอเก่งและอดทนได้ดี แล้วยืดตัวขึ้นหันหลังกลับจะเดินจากไป แต่สุดท้ายหันกลับมาอุ้มเธอไปนอนบนที่นอน
*******
ดวงจันทราถูกบดบังด้วยเมฆหนาทำให้ราตรีนี้ยิ่งมืดมิด คนบางคนจึงอาศัยมันลงมือทำบางอย่าง ซองหนาๆถูกยื่นให้กับใครอีกคนซึ่งพอรับไปก็ยื่นหน้ามากระซิบบอกบางอย่าง ไม่นานการยื่นหมูยื่นแมวก็จบลง ต่างคนต่างแยกย้ายกันไป คนที่ได้เพียงคำพูดกลับมาที่ห้องพักตัวเอง เพียงเปิดประตูเข้ามา สัญญาณโทรศัพท์ก็ดังขึ้น จึงรีบปิดประตู แล้วหยิบโทรศัพท์ออกมา รับสายทันที
“รับเสียทีนะมึง”
น้ำเสียงโกรธๆนั้นไม่ได้ทำให้คนรับสายสะดุ้งสะเทือน แถมยังเหยียดริมฝีปากออกหยัน แต่น้ำคำที่ตอบกลับไปช่างนอบน้อมเพราะเห็นว่าอีกฝ่ายยังมีประโยชน์ “นายอธิป”
“เออ กูเอง ทำไมมึงถึงไม่บอกกูเรื่องที่ขุดไม่เจอน้ำมันเจอแต่น้ำ มิหนำซ้ำยังถูกไอ้ป๊ะเพลิงจับได้อีก มึงรู้ไหมว่ากูเสียหายจนเกือบจะเสียชีวิต”
“คุณรู้แล้ว รู้ได้ไงครับ” ไอ้ชาติถามทั้งที่รู้อยู่แก่ใจดี แต่คนที่ไม่รู้กลับบอกปัดอย่างไม่สนใจ
“เรื่องนั้นไม่สำคัญ แต่มึงจะบอกกูได้หรือยังว่าทำไมไม่บอก หรือว่าคิดจะหักหลังกัน”
“เปล่าครับ แต่คุณก็น่าจะรู้ว่าพอเกิดเรื่องแล้ว ทุกคนในหุบเขาถูกจับตามองกระดิกไปไหนไม่ได้ ไม่งั้นจะต้องถูกสงสัย และอาจจะรู้ว่าผมเป็นหนอน แล้วเราจะต้องจบเห่คงไม่ได้คุยกันอย่างตอนนี้”
นายอธิปนิ่งไปเพราะคำตอบนั้นตรงกับที่เขาคิดไว้ แต่ที่คิดไม่ถึงก็คือการทรยศหักหลังนั้นเกิดขึ้นจริงๆ “แล้วลูกสาวฉันละ” เมื่ออารมณ์โกรธลดลง คำพูดก็เปลี่ยนตาม
“เธอไม่ได้เป็นอะไร ยังอยู่ดีมีสุขตามปรกติ”
“อย่างนั้นเหรอ” เสียงนายอธิปกึ่งๆไม่แน่ใจ เพราะคิดว่าลูกสาวเขาต้องโดนไอ้ป๊ะเพลิงเล่นงานด้วย จะอยู่โดยไม่เป็นอะไรนั้นไม่น่าใช่ “ฉันจะเข้าไปที่หุบเขา แกหาทางให้ฉันด้วย”
“เมื่อไรครับ”
“ทางแกเปิดวันไหน ก็วันนั้น และอย่าช้าเพราะใครอีกคนเขาอาจจะไม่รอแล้วแกกับฉันจะได้ตายกันจริงๆ”
สัญญาณถูกตัดไป แต่ไม่ได้ทำให้คนที่ถูกขู่กลัวแม้แต่นิด เพราะมันรู้ว่าใครอีกคนที่อีกฝ่ายพูดถึงคือ นายพลกฤษนายอีกคนของมันนั่นเอง ไอ้ชาติหัวเราะออกมา แล้วกดโทรศัพท์ไปหาเขา เพื่อบอกความลับที่มันเพิ่งไปซื้อมาให้รู้ แต่กลับได้รู้บางอย่างที่ทำให้มันตกใจไม่น้อย
“เสี่ยงเกินไปครับท่าน”
“นั่นแหละที่ฉันต้องการ เพราะอยากแน่ใจ”
“แล้วจะ...”
“ไม่ต้อง แกไม่ยุ่งไม่ต้องไปชี้จุดอะไรทั้งนั้น ฉันจะใช่แค่แผนที่ๆมีอยู่ในมือเท่านั้น ส่วนเรื่องที่แกบอกว่างเมื่อไรก็มาเอาค่าน้ำค่าข้าวแกไป”
“ยังมีอีกเรื่องครับท่าน เรื่องของนายอธิป เขา...”
“ฉันรู้แล้ว ทำตามที่มันบอก”
“ท่านน่าจะรอเขาก่อน”
“ฉันไม่ชอบยื่นจมูกคนอื่นหายใจ ไม่ชอบรอใคร” เสียงขัดขึ้นมาอย่างไม่ต้องการความคิดเห็น “แต่การมีใครสักคนเป็นหนังหน้าไฟคอยป่วนไอ้ป๊ะเพลิงให้เรา จะทำให้งานใหญ่ของเราง่ายขึ้น ทำทุกอย่างตามที่ฉันบอกให้สำเร็จ นั่นคือหน้าที่แกเท่านั้น”
“ครับท่าน”
รับปากแล้วไอ้ชาติก็ยิ้มกริ่มกับความสำเร็จที่ได้มาอย่างง่ายดาย แต่ไม่กี่อึดใจก็หายไป เพราะต้องคิดหาวิธีให้นายอธิปเข้ามาในหุบเขาพญา แต่คิดไปทางไหนก็ติดขัดไปหมด สุดท้ายมันก็ยิ้มขำตัวเองที่ลืมบางเรื่องไปเสียสนิท แล้วล้มตัวลงนอนทั้งที่อยากไปเชยชมเดือนประดับ แต่คืนนี้ไม่เหมาะแล้วจึงหลับตานอน
ส่วนคนที่มันคิดถึงใส่ชุดนอนสีหวาน นั่งประทินผิวอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งพร้อมรับฟังคำพูดของสาวใช้ ซึ่งพอได้ฟังทั้งหมดก็ไม่อยากจะเชื่อ สาวใช้จึงยืนยันสิ่งที่ได้ยินมาเต็มสองหูให้ฟังอีกครั้ง “นายหญิงจำอดีตไม่ได้ ไม่รู้ว่าเป็นใครมาจากไหน หนูได้ยินมาอย่างนี้จริงๆค่ะ”
“แกแน่ใจนะ”
“ค่ะ”
“จำอะไรไม่ได้ ก็เหมือนคนความจำเสื่อมซินะ มิน่าถึงเปลี่ยนไปขนาดนั้น” เธอยิ้มเยาะอย่างสะใจที่ได้รู้ความลับนี้ “แล้วมีอะไรอีก”
“เอ่อ” สาวใช้ติดอ่างขึ้นทันทีเพราะรู้ว่าถ้าพูดไปนายสาวจะต้องไม่พอใจแน่นอน
“ว่าไง” เสียงเดือนประดับเริ่มแข็งเมื่อไม่ได้อย่างใจ สาวใช้จึงเล่าให้ฟังทั้งหมด แต่ประโยคสุดท้ายนั้นตะกุกตะกัดด้วยความหวาดหวั่น “ป๊ะเพลิงอยู่ อยู่กับนายหญิงที่เพิงหมาแหงน”
กระปุกเครื่องสำอางปลิวมาโดนตัวสาวใช้อย่างรวดเร็ว ซึ่งก็รีบลนลานออกไปจากห้อง ทิ้งนายสาวให้กรีดร้องคลุ้มคลั่งอยู่คนเดียว กระทั่งเครื่องสำอางระเนระนาดอยู่เกลื่อนห้องนั่นแหละ อารมณ์เธอจึงได้เริ่มสงบลง แต่หน้าตายังขึงตึงอย่างน่ากลัว “นังพิมพ์ลดา” เสียงรอดไรฟันออกมาอย่างสุดแค้น แล้วเดินไปกระแทกตัวนั่งบนเตียงนอน “นังมารหัวใจ ทำไมแกไม่ตายไปตั้งแต่ครั้งนั่นนะ”
พูดออกมาแล้ว เดือนประดับก็ต้องกัดริมฝีปากไว้ เพราะนี้เป็นความลับที่อาจนำพาความตายมาสู้เธอ แต่นาทีนี้ความแค้นมันเข้ามาบดบังให้เธอต้องนึกย้อนกลับไปในคืนที่แสนสุขของมัน แต่เป็นคืนที่แสนทุกข์เหมือนใครเอามีดมาปักลงบนใจเธอ งานแต่งงานที่แสนหวานรายล้อมด้วยผู้คนที่ยิ้มแย้มแสดงความยินดี ยิ่งมันได้ถูกประกาศให้เป็นนายหญิงแห่งหุบเขาพญา ใจของเธอก็ยิ่งทุกข์ และไม่มีอะไรที่จะดับทุกข์ของเธอได้นอกจากความตายของมัน
ยาพิษจากทะเลทรายจึงกลายเป็นอาวุธร้าย ที่เธอเอาไปแอบใส่ลงในแก้วของเครื่องดื่มของมัน ซึ่งจะไม่ออกฤทธิ์ในทันที แต่จะทำให้คนที่กินเข้าไปหลับใหลไปอยู่คนละโลกกับเธอ เช้าวันรุ่งขึ้นก็รีบไปแอบดู แล้วต้องผิดหวังที่มันไม่ตายดังใจ แต่ทำให้เธอสงสัยมาจวบจนทุกวันนี้ แล้วที่มันความจำเสื่อมเพราะอะไรหรือเพราะยาตัวนั้นทำให้มันเปลี่ยนไป
เดือนประดับครุ่นคิดอย่างหนักก็ยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจน แต่ไม่เป็นไรคำพูดที่เธอบอกกับตัวเองไว้ยังอยู่ ว่าวันนี้มันไม่ตายแต่วันต่อไปในภายภาคหน้ามันต้องตายแน่นอน
*************
ขอบคุณที่ติดตามผลงานค่ะ
pream
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 20 พ.ค. 2558, 11:57:07 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 20 พ.ค. 2558, 11:57:07 น.
จำนวนการเข้าชม : 3105
<< ตอน 7 | ตอน 9 >> |
konhin 20 พ.ค. 2558, 13:24:15 น.
ศัตรูเยอะจริงๆ ทั้งนอกทั้งใน
ศัตรูเยอะจริงๆ ทั้งนอกทั้งใน
เคสิยาห์ 20 พ.ค. 2558, 14:29:54 น.
รอตอนต่อไปค่ะ
รอตอนต่อไปค่ะ
แว่นใส 20 พ.ค. 2558, 14:51:58 น.
ระวังตัวด้วยละกัน
ระวังตัวด้วยละกัน