ความลับ (ที่) ซ่อนเร้น .. หรือจะเป็น ความรัก!(?)
คำถาม .. ที่มีคำตอบ
แต่คำตอบ .. กลับยังคงมากมายด้วยคำถาม

เพราะนิยามในคำหนึ่งคำนั้น
แฝงเร้นซุกซ่อนไว้ซึ่งความลึกลับ
ความซับซ้อนชวนสับสน รอยยิ้มปนเปื้อนคราบน้ำตา
เล่ห์เสน่หาหวานล้ำ และพร้อมจะนำความเจ็บปวดมาให้ .. ได้ทุกเวลา

.. หากว่ามันคือ ความรักที่มากล้น จนกลายเป็น .. ความลับ ! ..
Tags: ความรัก ความลับ

ตอน: บทที่ ๔ .. หากสิ้นเยื่อขาดใย





วิชชุ์วิธูจูงมือตรีวธูกำลังจะเดินเข้าบ้าน หลังจากพาคนอ้อนออกไปกินไอศกรีมข้างนอก ชายหนุ่มเหมือนนึกอะไรได้ เขาก้มลงมองเด็กหญิงพลางส่งของในมือและบอกเธอ ให้ถือถุงเก็บความเย็นบรรจุกล่องไอศกรีม ที่เป็นของฝากพฤหัสเข้าไปข้างในก่อน ซึ่งตรีวธูก็ทำตามอย่างว่าง่าย

เมื่ออยู่ตามลำพังวิชชุ์วิธูจึงค่อยชำเลืองสายตาไปทางบ้านใกล้เรือนเคียง ครุ่นคิดบางสิ่งอยู่อึดใจแล้วก้าวเดินไปยังแนวรั้วไม้ระแนงเตี้ยๆที่กั้นเขตระหว่างกัน

สถานที่ที่เขาได้พบกับหญิงสาวที่เป็นเพื่อนกับเจ้าของบ้านข้างๆกันหลังนี้ .. อีกครั้ง

วิชชุ์วิธูหยุดมองนิ่งนานยังตำแหน่งเดียวกันกับที่เธอเคยยืนก่อนหน้านี้ ที่เขาจงใจเอ่ยคำพูดบางคำเพื่อเสริมประโยคให้ดูหนักแน่นและจริงจัง .. โดยไม่จำเป็น

แม้บริเวณข้างรั้วจะว่างเปล่า แต่ชายหนุ่มก็ไม่ลืมแววตื่นตระหนกที่ได้เห็น ว่ามันค่อยๆแปรเปลี่ยนไปตามความรู้สึกที่ปิดไม่มิดของเจ้าของนัยน์ตาสื่อความหมายแต่เคลือบความหม่นหมองชัดเจน

ค่ำวาน .. เขายังไม่แน่ใจนัก แต่วันนี้เขามั่นใจแล้ว .. ว่าหญิงสาวคนนี้เป็นใคร

นานทีเดียวกับวันเวลาในอดีต

วิชชุ์วิธูสูดอากาศหายใจเข้าลึกเม้มริมฝีปากจนเป็นเส้นตรง ครู่เดียวก็คลายอารมณ์พร้อมกับระบายความอึดอัดภายในพรั่งพรู

ชายหนุ่มเคยคิดและหวังลึกๆว่า คงมีสักวันที่เขาจะได้พบกับเธอ

ทว่า ดวงตาคู่แจ่มใสประกายระยับในความทรงจำ บัดนี้กลับสะท้อนเงาที่เจือทั้งความโศกเศร้าและเจ็บปวด

วิชชุ์วิธูยอมรับว่า เขาใจหายกับความรู้สึกที่รับรู้ได้ จนเผลอเปรยออกมาแผ่วเบาไม่รู้ตัว

“กำลังผิดหวังในตัวครูใช่ไหม .. องก์อัมพุท”


ชายหนุ่มตัดใจหันหลังกลับไปยังทิศทางบ้านของพฤหัส บ้านของบิดาที่เขาจะแวะเวียนไปมาหาสู่ และอยู่เป็นเพื่อนเฉพาะวันหยุดเสาร์อาทิตย์

มันนานกว่าสิบปีที่บิดามารดาแยกทางกัน เรื่องราวทุกอย่างอยู่ในการรับรู้ของวิชชุ์วิธูมาตลอดระยะเวลาที่เกิดปัญหา

แล้วพอถึงวันหนึ่ง วันที่คนที่รักและตกลงปลงใจสร้างครอบครัวร่วมกัน ไม่สามารถประคับประคองสถานะและความสัมพันธ์เอาไว้ได้ ความเปลี่ยนแปลงจึงเกิดขึ้น

วิชชุ์วิธูไม่โทษใครในวันที่ความเป็นสามีภรรยาของบิดามารดามาถึงปลายทาง และเขาเลือกที่จะมาอยู่ดูแลพฤหัสอย่างเข้าใจ แม้ว่าจะถูกน้องชายคนเดียวต่อต้านเพราะไม่เห็นด้วยก็ตามที

ส่วนมารดาของเขา ตัดสินใจขายบ้านที่ร่วมกันสร้างมา ในวันที่ความผูกพันทางกฎหมายสิ้นสุดลง และไม่ขัดข้องที่วิชชุ์วิธูจะตามไปอยู่ใกล้บิดา ทำหน้าที่คอยปรนนิบัติอดีตสามีซึ่งพ้นจากหน้าที่ของเธอไปแล้ว

อีกทั้งเหตุผลที่ชายหนุ่มเองก็เห็นใจและเข้าใจมารดาด้วยว่า ใช่เธอจะเต็มใจยกหน้าที่นี้ให้คนอื่น เพราะคนที่เธอรับได้มีเพียงลูกชายคนโตของตนเท่านั้น

ระหว่างสาวเท้าเดินมาตามทางที่ทอดสู่ตัวบ้าน ทุกย่างก้าวทำให้อดหวนคิดถึงวันเก่าๆ และงานบรรณารักษ์ในห้องสมุดของโรงเรียนไม่ได้ นั่นอาจจะเป็นเพราะได้พบกับเธอแบบไม่คาดฝัน

อดีตที่มีมาก่อนโชคชะตาจะทำให้ได้พบกัน มีเหตุการณ์หลายอย่างประดังเข้ามาในชีวิตราวกระแสน้ำหลาก เป็นสถานการณ์ที่วิชชุ์วิธูกำลังตึงเครียดอย่างที่สุด

แล้วเด็กสาวคนหนึ่งก็ก้าวเขามา .. กระทั่งค่อยแทรกซึมจนมีตัวตนในความรู้สึกของเขา ทำให้คิดได้ว่า ความหนักอึ้งถูกบรรเทาให้เบาบางลงไปบ้าง

ความสดใสของเธอ .. ช่วยให้เขาปลอดโปร่งยามที่ต้องเผชิญกับปัญหาจากรอบข้าง

ความมีน้ำใจของเธอ .. ทำให้เขารู้สึกชื่นชมจนเป็นความประทับใจ

ความไร้เดียงสาของเธอ .. ทำให้เขาต้องคอยเฝ้ามองและเป็นห่วง

หากแต่ยังมีเส้นแบ่งที่มองไม่เห็นขีดกางกั้นไว้ .. ทำให้เขาต้องควบคุมอะไรบางอย่างในตนเองไม่ให้มันเติบโตเช่นกัน

และเส้นที่ว่าก็ใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ .. เส้นสามัญสำนึกของความเป็นอาจารย์!

จนตอนนี้ .. ความบังเอิญที่ได้พบกันในสถานะใหม่ที่จะไม่มีใครครหาได้

มันยังพอจะเป็นไปได้ไหม ในเมื่อ .. เธอไม่ใช่ลูกศิษย์ และเขาก็ไม่ได้เป็นอาจารย์ของเธอ

ไม่ใช่คนที่พกพาวิชาชีพครูบาอาจารย์ติดตัวอีกแล้ว





เภตรากลับมาถึงบ้านก็พบเพียงความเงียบเชียบ เธอคิดว่า อาจเป็นไปได้ที่องก์อัมพุทคงขึ้นไปนอนพักผ่อนอย่างที่บอกไว้เมื่อตอนสาย

ขณะจะยกเท้าก้าวขึ้นบันไดเพื่อนสาวที่เภตราคิดว่าหลับ ก็เดินลงมาถึงจุดพักระหว่างขั้นพอดี

“อ้าว พุด ฉันนึกว่าแกนอนอยู่ กำลังจะตามลงมากินขนมด้วยกัน ฉันซื้อมาซะเยอะเลย หิวรึยังล่ะ”

“กลับมาเมื่อไหร่น่ะเภา ฉันเพิ่งตื่น .. หลับยาวเลย”

“เชื่อ .. หน้าตาแกบอกชัด ..”

เจ้าของบ้านพูดแกมประชดไปตามที่ตาเห็น ว่าใบหน้าของเพื่อนทั้งซีดทั้งเซียว เกือบเข้าขั้นที่เรียกได้ว่าทรุดโทรม แถมดวงตาก็ดูช้ำๆแดงๆเหมือนคนนอนไม่พอ หรือร้องไห้ .. ร้องไห้?

เภตราสันนิษฐานจนมาสะดุดกับความคิดสุดท้าย ก่อนจะส่งเสียงบอกว่าตกใจกับการคาดเดาของตัวเอง แต่ก็ยังไม่วายทำตลกกลบเกลื่อนความเป็นห่วง

“เฮ้ย พุด แกเป็นอะไรรึเปล่า .. มานี่ ลงมาคุยกัน ฉันขี้เกียจแหงนคอคุย .. มันเมื่อย”

องก์อัมพุทค่อยก้าวลงบันไดมาทีละขั้นยกยิ้มน้อยมุมปาก รู้ว่าเพื่อนสังเกตเห็นร่องรอยหม่นไหม้ที่ไม่อาจลบเลือนได้ทัน หลังจากเธอปลดปล่อยความรู้สึกรวดร้าวไปกับหยาดน้ำตา

“ชีวิตฉันกำลังอยู่ในห้วงรันทดน่ะแก .. ว่าแต่มีอะไรมากินมั่ง หิวชะมัด”

หญิงสาวเอ่ยตามที่ใจคิดเมื่อลงมายืนในระดับเดียวกับเพื่อนตรงหน้าบันได อย่างน้อยการได้พูดออกมาน่าจะทำให้ความรู้สึกดีขึ้นบ้าง แม้จะไม่อาจบอกออกมาได้ทั้งหมด แต่เธอเชื่อว่าเภตราย่อมเข้าใจ

“เออ รู้จักอารมณ์นั้นกับเค้าแล้วสินะ ไม่อยากจะทับถม .. ตอนพี่พัดหักอกฉัน ก็ประมาณนี้เลย”

“ยังอุตส่าห์หาช่องแซะได้นะ คุณเพื่อนเภา”

องก์อัมพุทถึงกับเปรยกลั้วหัวเราะเบาๆ ที่ได้ยินเภตราหาทางออกไปเป็นเรื่องของตน โดยไม่ถามให้คนกำลังเศร้า เจ็บหน่วงหัวใจไปมากกว่าที่กำลังเป็นอยู่ตอนนี้

“ขอบใจนะ .. เภา”

“ไหนแกว่าหิว ฉันซื้อวุ้นมะพร้าวเจ้าอร่อยมาฝาก ขึ้นชื่อลือชามากเลยนะ .. วุ้นคุณอ.เนี่ย”

เภตราทำทีไม่สนใจฉุดมือเพื่อนให้เดินไปทางแพนทรีซึ่งวางขนมและข้าวของที่ซื้อมา เธออยากให้เพื่อนสบายใจ เท่าที่สัมผัสได้องก์อัมพุทต้องประสบกับเรื่องอะไรที่สะเทือนความรู้สึกไม่น้อย .. และก่อนหน้าที่เธอจะกลับมาถึงไม่นานนี้เอง






สุดสัปดาห์นี้เป็นวันหยุดที่รวิรุจน์รู้สึกเหนื่อยหน่ายกว่าที่เคย ตั้งแต่เมื่อวานวันเสาร์จนเข้าสู่สายวันอาทิตย์ เจ้าตัวจึงขลุกอยู่แต่ในบ้าน นอนเล่นดูทีวี ไม่ก็อ่านหนังสือเพื่อให้หมดๆวันไป

ครั้นจะออกไปพบปะเพื่อนฝูงเขาก็ไม่มีอารมณ์ที่จะสังสรรค์กับใคร ชายหนุ่มไม่อยากคิดเลยว่า เช้าวันจันทร์ที่ต้องไปทำงานโดยปราศจากเงาของใครบางคน จะส่งผลให้งานของเขาน่าเบื่อเพียงใด

“เป็นอะไรลูก ถอนหายใจเฮือกๆ หน้าตาไม่สดใสเลย”

“เหนื่อยมั้งครับแม่”

แหวงวง เดินออกจากครัวมาเห็นเข้าก็อดถามด้วยความเป็นห่วงไม่ได้ แล้วก็ต้องส่ายหน้ายิ้มบางๆกับคำตอบของบุตรชายที่เอนกายกึ่งนั่งกึ่งนอนบนโซฟาตัวหนานุ่ม ท่าทางไร้ชีวิตชีวาต่างจากวันทำงานไม่กี่วันที่ผ่านมา

ทำไมเธอจะมองไม่ออกว่า รวิรุจน์กำลังมีอาการปากไม่ตรงกับใจ

“เหนื่อยของรุจน์ .. เหนื่อยใจหรือเปล่าจ๊ะ”

“จะมีอะไรที่เล็ดลอดสายตาแหลมคมของแม่ได้บ้างมั้ยครับเนี่ย”

ชายหนุ่มเงยหน้าสบตาแล้วถามกลับขำๆเหมือนเป็นการยอมรับ เขาไม่เคยปิดบังมารดาของเขาเลยว่า ที่ผ่านมามีอะไรเกิดขึ้นหรือผ่านมาในชีวิตบ้าง

ผู้เป็นแม่สาวเท้าเข้ามานั่งลงข้างๆ ปล่อยให้ลูกชายที่ทำตัวไร้กระดูกเอนอิงศีรษะลงนอนหนุนตัก ให้มารดาลูบผมรองทรงสั้นซึ่งช่วยให้เขาดูอ่อนกว่าวัยไม่น้อย

“ก็รุจน์เป็นลูกแม่ อยู่กับแม่มาตลอด ทำไมแม่จะไม่รู้จักรู้ใจลูกกว่าใครล่ะ .. หืม”

“จะให้ผมทำใจดำ ทิ้งแม่ไปเหมือนใครบางคนได้ยังล่ะครับ”

แหวนวงชะงักมือที่ลูบไล้เส้นผมของบุตรชายเพลินๆ ใจเสียเมื่อเผลอพูดสะกิดปมขุ่นเคืองในใจของรวิรุจน์ แม้บางครั้งเธอเองก็อดรู้สึกเช่นนั้นไม่ได้เหมือนกัน

มีบ้างที่นึกย้อนกลับไป ว่ามันมีอะไรผิดพลาดที่ตรงไหน พวกเธอจึงต้องตกอยู่ในสภาพนี้

แต่เพราะทุกอย่างเปลี่ยนไปตามกาลเวลา การทำใจอาจช่วยหลอกตัวเองให้คิดว่าดีขึ้น ทว่า คำถามที่ไม่เข้าใจก็ยังคงค้างคาเหมือนเดิม

รวิรุจน์ที่นอนหนุนตักแม่กัดริมฝีปากตัวเอง เป็นอย่างนี้ทุกทีสิน่า เพียงแค่แหวนวงเอ่ยคำเพียงน้อยนิดผิดหู มันก็คล้ายกับมีไฟมาจี้จุดดำมืดในใจ เขาเป็นต้องพาดพิงไปถึงคนที่มักจะบอกกับมารดาเสมอว่า

ไม่มีพวกเขา .. เราก็อยู่กันได้

“รุจน์ .. ไม่เอาลูก เราตกลงกันแล้วนะ .. ว่าจะไม่พูดเรื่องนี้อีก”

แหวนวงพยายามเอาน้ำเย็นเข้าลูบ ดึงอารมณ์ที่พร้อมปะทุของรวิรุจน์ให้ผ่อนคลายความคิด มืออูมมีริ้วรอยบ่งบอกกาลเวลาเลื่อนลงมาแนบข้างแก้ม แม้ผิวสัมผัสจะไม่นุ่มเนียนมือด้วยความสากระคายเพราะหนวดเคราทิ่มตำ

ทว่า มันก็สามารถทำให้เธอหาเรื่องมาเปลี่ยนหัวข้อสนทนาได้

“ไม่โกนหนวดโกนเคราแบบนี้ สาวเขาจะว่าปล่อยตัวรกรุงรังนะลูก”

“สาวคนไหนครับ .. ไม่เห็นจะมีสักคน”

ชายหนุ่มยอมโอนอ่อนผ่อนอารมณ์ตามเพื่อความสบายใจของมารดา เขาจะต้องพยายามเก็บงำความคิดความรู้สึกให้มากกว่านี้ .. ยกเว้นบางเรื่องบางกรณี

“ก็คนที่รุจน์ .. เคยมาเล่าให้แม่ฟังไงจ๊ะ .. ตอนนี้ไปถึงไหนแล้ว ก้าวหน้าขึ้นรึยัง”

“เหมือนเดิมครับ”

“อะไรกัน .. หรือรุจน์ขาดเสน่ห์ตรงไหน เขาถึงไม่สนใจลูกของแม่แบบนี้”

แหวนวงแกล้งตกใจพูดราวกับรวิรุจน์ไร้ความสามารถที่จะเอาชนะใจ ‘ผู้หญิงที่สนใจ’ อย่างที่เคยนำมาเล่าให้ฟัง เมื่อประมาณ ๔ – ๕ เดือนก่อน

“ผมอาจจะเป็นอย่างนั้นก็ได้ .. เขาถึงได้เฉยชากับผม”

“รุจน์ .. แน่ใจนะลูก ว่าเขาตัวคนเดียว ไม่มีพันธะที่ไหน แม่อยากให้ลูกมีความสุข พอๆกับที่ไม่อยากเห็นลูกทุกข์ใจเพราะรักคนผิดนะลูก”

คราวนี้รวิรุจน์ดึงตัวเองขึ้นนั่ง หันลำตัวเข้าหาแหวนวงและมองหน้าผู้เป็นแม่นิ่ง ชั่งใจว่าควรจะบอกเรื่องราวที่ได้รู้มาดีหรือไม่

“เธอไม่มีใครครับ ผมถามคนที่แวดล้อมตัวเธอ ทั้งก่อนหน้าที่ยังอยู่สำนักงานใหญ่ จนย้ายมาทำงานที่ศูนย์ ..”

ชายหนุ่มกล่าวอย่างมั่นใจในข้อมูลของหญิงสาวในความสนใจของเขา จนแหวนวงไม่อาจกลั้นรอยยิ้มได้ ลองว่าบุตรชายทุ่มเทสืบค้นขนาดนี้ ไม่แน่ว่าอีกไม่ช้าไม่นาน เธอคงจะได้มีหลานย่าให้ชื่นใจ แต่พอได้ฟังจนจบประโยคหญิงสูงวัยก็คล้ายถูกดับฝันทันที

“แต่ .. ผมกลัวว่า เธออาจจะไม่ชอบผู้ชายแล้วสิครับ”

“ทำไมละลูก ..”

“เท่าที่ฟังจากพวกสำนักงานใหญ่พูดๆกัน มันไม่ใช่เรื่องดีสำหรับเธอเลย นี่คงเป็นเหตุผลที่เธอขอย้ายตัวเอง ‘หนี’ มาอยู่ทางนี้ ..”

ได้ฟังเพียงเท่านี้แหวนวงก็ถึงกับยกมือทาบอก เกรงว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีไม่งามกับหญิงสาวคนนั้น .. คนที่บุตรชายกำลังให้ความสนใจไม่ปิดบัง แล้วความคิดอีกด้านก็เร่งเร้าให้แสดงความเห็น เกี่ยวโยงไปถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเธอ อย่างที่เคยคิดไว้เมื่อนานมา

“แน่ใจนะว่าลูกมองคนไม่ผิด .. คนเราอยู่ในที่ที่ดี แต่ถ้าลงว่าต้องหนี มันก็ตีความเป็นอย่างอื่นได้ยาก นอกจากมีเรื่องร้ายแรงที่ไม่อาจทนมองหน้าใครได้”

“ไม่ครับแม่ ผมเชื่อว่า .. เธอไม่ใช่คนอย่างนั้น .. ไม่ใช่แบบ ‘ผู้หญิงพรรค์นั้น’”

รวิรุจน์ยืนยันน้ำเสียงหนักแน่น ดังจะเปรียบเปรยฝากรอยหยันไปถึงคนที่ไม่อยากรับรู้ และเขามั่นใจอย่างยิ่งว่า องก์อัมพุทรักศักดิ์ศรี มากกว่าความสบายฉาบฉวยแบบผู้หญิงบางประเภทที่เขาเคยพบ

มีเพียงอย่างเดียวที่ชายหนุ่มยังไม่กล้าบอกมารดาว่า แท้จริงแล้วสิ่งที่เขากลัว หากรีบเผยความในใจให้อีกฝ่ายรับรู้คือ เธอมีใครอยู่ในหัวใจ .. หรือเปล่า






เอกสารระเบียบการและแผนการเรียนการสอน ถูกวางลงเบื้องหน้าองก์อัมพุทเท่าที่ร้องขอให้เภตราจัดหามา หญิงสาวตั้งใจว่าจะต้องศึกษาข้อมูลให้ได้มากเท่าที่จะทำได้ ถ้าการให้ความช่วยเหลือเพื่อนไม่เป็นไปอย่างที่คิด เธอก็จะเป็นภาระให้น้อยที่สุด

องก์อัมพุททบทวนเอกสารอยู่หลายชั่วโมง จนเภตราที่ทำงานอยู่ตรงข้ามต้องออกปากให้หยุดพักเสียบ้าง

“นี่แม่คุณ .. กะจะยึดโรงเรียนฉันใช่มั้ย จริงจังเกินไปล่ะ ไปๆ ออกไปพักผ่อนหย่อนสมองมั่งเหอะ”

“แกนี่ .. ฉันตั้งใจช่วยแกอยู่นะ คนไม่เคยเป็นครูจะรู้ได้ไง ว่าต้องทำอะไรบ้าง”

เภตราแสร้งเบ้หน้าใส่ความมุ่งมั่นของเพื่อน ก่อนทำท่าเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ แล้วอุทานอย่างดีใจชนิดที่ทำเอาองก์อัมพุทละสายตาจากงาน เงยหน้ามองคนส่งเสียงดังลั่นห้อง

“เออ จริงสิ ฉันลืมไปได้ยังไง ..”

“อะไรของแก .. ตั้งแต่ฉันมาอยู่กับแก จะตกใจตายวันละ ๓ เวลา”

“เออน่า .. แกจะตกใจยิ่งกว่านี้ ถ้ารู้ว่า ฉันสามารถหาคนมาเทรนวิชาคุณครูให้แกได้”

คำพูดแสดงออกชัดแจ้งว่าเภตรากำลังสนุกเหมือนได้ของเล่น ที่จะมาสร้างความสำราญให้อย่างไรอย่างนั้น

แต่สำหรับองก์อัมพุทกลับรู้สึกสังหรณ์ใจจนสั่นไหวระรัวและหวาดหวั่นว่า สิ่งที่คิดจะเป็นจริง

อาจารย์ที่คอยช่วยเหลือเธอเป็นอย่างดีเมื่อสมัยมัธยม .. กับติวเตอร์ที่เก่งที่สุดในโลกของน้องเกรซ

อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลกัน .. แค่รั้วกั้นนี่เอง

“แกรอฉันเดี๋ยวนะ .. ฉันจะไปอัญเชิญคุณครูที่เก่งสุดเกินสามโลก ในตอนนี้มาให้แกเอง”

เภตราบอกพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์นัยน์ตาวับวาว โดยไม่รู้เลยว่าขณะนี้ได้ทำให้องก์อัมพุทแทบจะหยุดหายใจ เพราะความทะเล้นของเพื่อนที่ไม่น่าเอ็นดูเอาเสียเลย

“เภา .. ไม่ ..”

ไม่ .. ใช่ คำนั้นไม่ทันเสียแล้ว ร่างสมส่วนมีน้ำมีนวลของเภตรา แล่นลิ่วไปถึงประตูก่อนแล่นลิ่วออกไป ซึ่งองก์อัมพุทได้แต่มองผ่านกระจกใสตามหลัง

ทิศทางการเร่งฝีเท้าเพื่อไปให้ถึงจุดหมายโดยเร็วของเภตรา ถึงกับทำให้องก์อัมพุทหน้าซีดเผือดลงทันใด



ระหว่างที่รอผลการเจรจา องก์อัมพุทได้แต่กระสับกระส่ายใจหวิวๆด้วยความวิตกกังวลสารพัด หญิงสาวไม่รู้ว่า จะควบคุมความรู้สึกไว้ได้อีกหรือไม่

ความจริงช่างโหดร้าย และเธอก็ยังไม่เข้มแข็งพอที่จะตัดใจได้ในทันที

ถ้าเขามา .. เธอควรจะทำอย่างไร พูดอย่างไร แสดงออกอย่างไร

ต้องโทษความปากหนักของตัวเองแท้ๆ ทำไมถึงไม่บอกเภตราว่า ‘คุณครูสารพัดนิยาม’ มีผลอย่างไรกับจิตใจที่ไม่เหลือดีของเธอบ้าง

แต่แล้วองก์อัมพุทก็ฉุกคิดอะไรบางอย่างขึ้นมา

เภตราบอกว่า จะไปเชิญคุณครูคนเก่งมาสอนเธอ ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่า เภตรารู้เรื่องที่เกี่ยวกับอาจารย์วิชชุ์วิธูอยู่แล้วน่ะสิ

แต่มันก็ยังมีบางสิ่งขัดๆกันในเหตุผลที่องก์อัมพุทพยายามขบคิด ถ้าหากเป็นอย่างนั้นจริง เภตราต้องบอกเธอสิ ไม่ใช่ปิดบังกันแบบนี้

หญิงสาวไม่อาจทนนั่งเฉยๆได้ เธอลุกขึ้นเดินไปชะเง้อชะแง้ที่หน้าต่างกระจกบานยาว ซึ่งก็เห็นแค่เพียงรั้วระแนงกั้น กับด้านข้างของบ้านหลังนั้น ที่เภตราเข้าไปนานแล้ว

องก์อัมพุทเหลียวมองดูเวลาที่ข้างฝาห้องรู้สึกว่ามันเชื่องช้าเต็มทน แต่ก็พบว่าเข็มนาฬิกาเพิ่งกระดิกไปไม่กี่ขีด

แต่ละนาทีที่ผ่านก่อความตึงเครียดให้เกิดขึ้นแก่องก์อัมพุท อย่างยากที่เธอจะระงับความตื่นเต้นแกมอกสั่นขวัญผวาไว้ได้

หญิงสาวประสานมือเข้าด้วยกันรู้สึกได้ว่ามันเย็นเฉียบ เส้นประสาทเขม็งเกรียวจนรู้สึกชาไปหมด ต้องบีบเฟ้นไปมาให้ทุเลาลง อกใจสั่นระริกคล้ายจะเป็นลม แม้เครื่องปรับอากาศภายในบ้านกำลังทำงาน เธอก็เหมือนกับร่างกายวูบวาบสะบัดร้อนสะบัดหนาวราวจะเป็นไข้

ไม่นานเภตราก็เข้ามาอยู่ในครองสายตา และเห็นว่าเพื่อนกำลังเดินกลับมาแล้ว .. เพียงคนเดียว

องก์อัมพุทเผลยกมือทาบตำแหน่งที่หัวใจเต้นไหวระทึกปรามให้มันสงบลง เผลอถอนหายใจโล่งอกออกมาจนอดยิ้มกับตัวเองไม่ได้ แล้วหันหลังเดินกลับไปนั่งที่ ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยระหว่างที่เภตราไม่อยู่

ตัวอักษรบนหน้ากระดาษพร่ามัว ถึงพยายามเพ่งอ่านก็คงไม่รู้เรื่องอยู่ดี แม้อาการขององก์อัมพุทเมื่อครู่จะค่อยๆเข้าสู่ภาวะปกติ แต่เธอก็อดคิดไม่ได้ว่า มันเป็นความกลัว หรือ ตื่นเต้นยินดี ที่จะได้พบเขากันแน่

หญิงสาวนึกรู้เลยว่า ตนเองคงไม่อาจตัดเยื่อใย ที่มันร้อยรัดหัวใจแน่นหนามาเนิ่นนานได้ .. ในเร็ววัน

เอาเถอะ .. แค่อีกไม่กี่วันที่จะอยู่ใกล้กันเพียงนี้ ถ้าเธอได้เห็น ได้รับรู้ความเป็นไปของอาจารย์ที่อยู่ในความรู้สึกเสมอมา มันอาจจะทำให้เธอสามารถตัดใจให้สิ้นเยื่อขาดใยได้เสียที



ประตูห้องทำงานถูกเปิดก่อนร่างของเภตราจะก้าวเข้ามาข้างใน พร้อมน้ำเสียงเริงร่าอารมณ์ดีจนผิดหูผิดตา หญิงสาวตรงมายังองก์อัมพุทแล้วบอกกับเธออย่างภูมิใจในภารกิจที่ลุล่วงด้วยดี

“พุดจ๋า .. เตรียมตัวเตรียมใจไว้นะจ๊ะ .. อีกสักครู่ คุณครูกิตติมศักดิ์ที่เพื่อนคนนี้อุตส่าห์ไปเจรจา เพื่ออัญเชิญมาให้แก .. ก็จะมาเทรน เอ๊ย ถ่ายทอดประสบการณ์การสอนอย่างมืออาชีพให้แกแล้ว .. หึหึ”

คำบอกเล่าดังกล่าวที่ราวกับแกล้งเขย่าประสาท ย่อมกระตุ้นความรู้สึกคนฟังที่กำลังสงบให้หัวใจกระตุกได้อีกครา ว่าที่คุณครูมือใหม่หันหน้าไปทางเพื่อนผู้แสนจะหวังดีกับสายตาเป็นเชิงตั้งคำถาม เพราะพูดอะไรไม่ออกแล้ว

“แกไม่ต้องคิดมากเลย เรื่องสอนไว้ใจได้ แกจะได้รู้ว่าเพื่อนบ้านฉันคุณภาพคับแก้ว .. จริงๆ”

องก์อัมพุทได้ยินคำรับรองแข็งขันจากเภตรา ก็ยิ่งมั่นใจกับสังหรณ์ของตนมากขึ้น หญิงสาวกลับมาวิตกกังวลใจอีกคำรบ จนไม่ทันได้มองรอบข้างหรือผ่านกระจกออกไปข้างนอกเลย

กว่าจะรู้ตัวว่ายังไม่พร้อมจะตกอยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก กับอาการหวานอมขมกลืนที่ยังคั่งค้างอยู่ เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นทันใด

“นั่นไง .. มาแล้ว ฉันบอกให้เขาเดินเข้ามาได้เลย .. สนิทกันพอดูล่ะ จะบอกให้”

เภตราร้องบอกลิงโลดไม่ได้สนใจว่าเพื่อนจะวางสีหน้าอย่างไร เธอรีบรุดไปเปิดประตูแล้วเชื้อเชิญ ‘คุณครูกิตติมศักดิ์’ ทันที

องก์อัมพุทงันไปกับสิ่งที่เพื่อนพูดออกมา แต่อะไรก็ไม่เท่ากับตอนนี้ที่จะต้องเผชิญหน้ากับใครบางคนอย่างไม่สู้จะเต็มใจนัก

และแล้วเมื่อสถานการณ์บังคับให้หญิงสาวไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เธอจำใจลุกขึ้นจากที่นั่งเดินตามหลังเพื่อนไป เพราะอย่างน้อยเธอก็ควรรู้จักรักษามรรยาทและหน้าตาเจ้าของบ้าน เรื่องส่วนตัวไม่ควรนำมาปะปนกับงาน

ทันทีที่เภตราเปิดประตูรับผู้ถูกเชื้อเชิญ องก์อัมพุทที่ยืนมองอยู่ข้างหลัง ก็ได้แต่อ้ำอึ้งตะลึงตะไลเมื่อได้พบหน้ากันในวินาทีนั้นเลยทีเดียว










*****************************************************






โปรดติดตามตอนต่อไป ...


ขอบคุณทุกท่านที่ติดตาม .. ขอบคุณสำหรับการกดไลค์ฮะ



แรมรติ
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 21 พ.ค. 2558, 03:26:00 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 21 พ.ค. 2558, 03:26:00 น.

จำนวนการเข้าชม : 1308





<< บทที่ ๓ .. ในความทรงจำ   บทที่ ๕ .. ห้วงเวลาที่ไม่เคยรู้ >>
ปรางขวัญ 21 พ.ค. 2558, 07:04:48 น.
ใครจะมาสอนน๊า


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account