เทหน้าตักรักนางมารร้าย (ฉบับรีไรท์ ทำ e-book)
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: ตอนที่ 14 จบ
“อ๊ายยย! มันดึกแล้วนะ หมดเวลาแล้ว จะร้องไปถึงเมื่อไหร่เนี่ย เค้าห้ามยัดอะไรลงไปหลังหกโมงเย็นเพราะไม่อยากให้ตัวเองต้องทำงานหนักไม่รู้รึไงหา!”
ฟังจากคำพูดอาจจะคิดได้ว่าปุณยวีร์กำลังสนทนาอยู่กับใครสักคน หากแท้ที่จริงแล้วตอนนี้ล่ามสาวกำลังกลิ้งเกลือกอยู่บนเตียงนอนในห้องพักที่อพาร์ตเมนท์เพียงคนเดียว และ... ที่เธอพูดด้วยก็คือเจ้ากระเพาะอาหารที่ส่งเสียงประท้วงไม่เลิกเนื่องเพราะไม่มีอะไรตกลงไปให้มันย่อยเลยเป็นเวลาหลายชั่วโมงแล้ว
หลังจากทอไหมขับรถพาเธอมาส่งที่อพาร์ตเมนท์ ภควัตก็ขับรถตามมาหลังจากนั้นไม่นาน เขาเพียรโทร. หาและรอพบเธออยู่บริเวณล็อบบี้ หากเธอก็ปิดโทรศัพท์หนีทั้งยังไม่ลงไปพบเขาด้วย อีกฝ่ายอดทนรออยู่ราวสองชั่วโมงในที่สุดจึงละความพยายามยินยอมกลับไปแต่ไม่ลืมที่จะซื้ออาหารเย็นแล้วฝากแม่บ้านให้เอาขึ้นมาส่งถึงหน้าห้อง หากด้วยทิฐิและความรู้สึกย่ำแย่ที่สะสมมานานทำให้เธอไม่นึกอยากรับประทานอะไรทั้งนั้นจึงปฏิเสธและยกอาหารทั้งหมดให้ป้าแม่บ้านก่อนจะผล็อยหลับไปด้วยความรู้สึกเหนื่อยทั้งใจเหนื่อยทั้งกาย แต่แทนที่จะหลับยาวไปจนถึงเช้าเธอกลับต้องลืมตาตื่นขึ้นมากลางดึกเพราะเสียงท้องร้อง!
“น่าทนเอาหน่อย แค่มื้อเดียวเอง อีกไม่กี่ชั่วโมงก็เช้าแล้ว” ปุณยวีร์ได้แต่เอ่ยปลอบกระเพาะตัวเองอยู่เรื่อยไป เพราะแม้แต่ในตู้เย็นที่เคยมีสารพัดอาหารแช่แข็งอัดแน่นอยู่ภายในก็ยังว่างเปล่าไม่มีอะไรที่พอจะหยิบออกมาประทังความหิวได้เลยนอกจากผักสลัดเหี่ยวๆ กับน้ำสลัดหมดอายุ แล้วก็... เนยเค็ม
“โอย แปลงร่างเป็นช็อคโกแลตไม่ได้เหรอแก แล้วจะกินเข้าไปได้ไงเนี่ย เนยเค็ม เค็ม…” เธอทวนคำ และเพราะคำว่า ‘เค็ม’ นั่นเองทำให้นึกขึ้นมาได้ว่า “เฮ้ย! เจ้าเข้ม เมื่อเย็นยังไม่ได้ให้อาหารเลยนี่นา ตายๆๆ ขอโทษนะ แต่แค่มื้อเดียวน่าจะพอทนได้มั้ง”
ยังไม่วายพูดปลอบใจตัวเองอีกครั้ง “แต่ อ๊ายยย...ฉันหิว!” แล้วในที่สุดความหิวก็ไม่ปราณีใคร ไม่ว่าจะคนหรือสุนัข... ปุณยวีร์คว้ากระเป๋าสตางค์และกุญแจห้องก่อนจะออกไปหาอะไรมาตอบสนองความต้องการของกระเพาะอาหารทันที
“ไส้กรอกรมควันของเจ้าเข้ม อันนี้ไส้กรอกชีสของเราเอง อืม เกี๊ยวซ่าก็น่ากิน แซนด์วิชด้วยดีกว่า อ๊ะ ขนมอะไรนี่น่าตาดูดีเชียว…”
ด้วยความที่หิวหนักมากพอเห็นอะไรก็เลยรู้สึกว่าน่ากินไปเกือบทุกอย่างจึงหยิบจับขึ้นมาถือไว้จนเต็มไม้เต็มมือ “อ้าว ยังไม่ได้กดสเลอบี้อีก แล้วจะถือไปยังไงเนี่ย“ จุปากเมื่ออะไรๆ เริ่มไม่ได้ดั่งใจ
“ผมช่วยถือครับ”
“อ๊ะ ขอบคุณมากค่ะ” รีบเงยหน้าขึ้นแล้วเปิดยิ้มรับความปรารถนาดี ครั้นพอเห็นว่าผู้หวังดีเป็นใครก็ร้อง “อ้าว!”
“ส่งมาสิครับ” ชินพัตต์เอ่ยย้ำเมื่อเห็นเธอเอาแต่ยืนอึ้ง
ในเมื่อจนปัญญาจะหลบเลี่ยง ปุณยวีร์จึงยื่นข้าวของบางส่วนให้เขาช่วยถือและเอาไปส่งถึงที่เคาน์เตอร์ให้แคชเชียร์คิดเงินก่อนจะออกจากร้านสะดวกซื้อไปพร้อมกัน
“มา เจ้าเข้มกลับกันได้แล้ว เอาไว้ถึงอพาร์ตเมนท์แล้วค่อยกินไส้กรอกนะ” บอกกับลูกน้องที่กระดิกหางรออยู่หน้าร้าน “ฉันจะกลับแล้ว ส่งของมาสิ” หันไปบอกกับคนที่รวบเอาข้าวของทั้งหมดไปถือไว้คนเดียวซึ่งเดินตามหลังกันมาบ้าง
“จะกลับยังไง”
“ก็เดินสิ”
“ตอนขามาล่ะ”
“ก็เดินเหมือนกัน”
คนที่ยึกยักไม่ยอมส่งข้าวของให้เสียทีถอนหายใจยืดยาว “ผมถามจริงๆ นะ ตอนคุณจะออกมานี่ได้ดูนาฬิกาบ้างไหมว่ามันกี่โมงกี่ยาม ดึกดื่นป่านนี้แล้วจะออกมาเดินท่อมๆ คนเดียวทำไม” เขาต่อว่าเสียงเครียด
หากเธอยังไม่ทันได้อ้าปากตอบกระเพาะก็ส่งเสียง ‘โครกคราก’ แทนคำตอบทั้งหมด จากที่เคยเครียดชินพัตต์ก็เลยหลุดขำออกมา
“ยังจะสงสัยอะไรอีกไหม ทีนี้ก็ส่งของของฉันมาได้แล้ว” ว่าเสียงขุ่นเขียวไม่พอเธอยังส่งค้อนให้เขาขวับใหญ่อีกด้วย
คราวนี้ชินพัตต์จึงยอมยื่นถุงที่บรรจุไส้กรอกซึ่งอุ่นเรียบร้อยแล้วมาให้ “ตอนเย็นไม่ได้กินอะไรหรือไงญาติๆ คุณถึงส่งเสียงประท้วงดังขนาดนี้” ถามเสียงกลั้วหัวเราะ
“คิดว่าไงล่ะ” ปุณยวีร์ตอบกลับเสียงสะบัดก่อนจะใช้ไม้จิ้มไส้กรอกชีสส่งเข้าปากตัวเองแล้วนั่งลงฉีกถุงไส้กรอกรมควันส่งให้เจ้าเข้มที่มองมาตาละห้อย
หนึ่งนายหญิงกับอีกหนึ่งลูกน้องก้มหน้าก้มตาจัดการไส้กรอกในโควต้าของตัวเองท่าทางเอร็ดอร่อยแบบไม่สนใจใคร ชินพัตต์เองก็ไม่ได้ว่าอะไร ดวงตาคู่คมที่ทอดมองไปยังหญิงสาวฉายรอยอาทรอย่างลึกซึ้ง
“ไปขึ้นรถสิ เดี๋ยวผมไปส่ง” เขาเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นว่าเธอกับเจ้าสี่ขาเพื่อนยากจัดการกับอาหารในมือจนหมดลงเรียบร้อยแล้ว ดวงตาคู่กลมโตปรากฏรอยลังเลวูบหนึ่งก่อนเจ้าตัวจะเกลื่อนมันออกไปแล้วพยักหน้ารับข้อเสนอของเขา
“ขอบใจมากนะ” ปุณยวีร์บอกพร้อมรอยยิ้มเมื่อรถจอดลงที่หน้าอพาร์ตเมนท์ก่อนจะรวบข้าวของทั้งหมดไปถือแล้วผลักประตูออกจัดการพาเจ้าเข้มซึ่งนั่งประจำอยู่ที่เบาะหลังให้ลงไปด้วย แต่แทนที่ชินพัตต์จะออกรถไปทันทีหลังจากส่งล่ามสาวกับลูกน้องของเธอเรียบร้อยแล้วเขากลับผลักประตูลงจากรถด้วยอีกคน
“มีอะไรรึเปล่า” ปุณยวีร์เลิกคิ้วถาม “หรือว่าฉันหยิบของของคุณติดมือมาด้วย” ถามเขาแล้วเธอก็ก้มสำรวจถุงข้าวของในมือ
“เปล่า…” เขาปฏิเสธแล้วก็ทำท่าอึกอัก “เอ่อ คราวหน้า…”
“คราวหน้า?”
ชินพัตต์ถอนหายใจ มันคงถึงเวลาที่เขาจะเปิดเผยทุกความรู้สึกออกมาแล้วสินะ “ถ้าคุณหิวตอนดึกๆ หรือมีธุระอะไรที่ไหนแล้วไม่มีใครไปเป็นเพื่อน บอกผมนะ”
คนได้รับคำตอบยืนอึ้ง “ทำไม…” เธอถามเสียงแผ่ว แต่สุดท้ายก็ไม่เปิดโอกาสให้เขาได้พูดอะไรออกไปเพราะเพียงอึดใจหลังจากนั้นเธอก็รีบตัดบทว่า “ช่างเถอะ ไม่ต้องพูดหรอก เอาเป็นว่าฉันขอบคุณ แต่ไม่เป็นไรจริงๆ พอดีวันนี้มันฉุกละหุกไปหน่อย แต่คิดว่าไม่มีคราวหน้าแล้วล่ะ หรือถ้าจะมีฉันก็ยังมี… พี่ปุ้น”
“คุณแน่ใจ”
“ฉันแน่ใจ คนสองคนคบกันมันก็เหมือนลิ้นกับฟัน แม้จะมีปัญหากันบ้าง แต่ยังไงเราก็ยังคบกันอยู่เหมือนเดิม”
ฟังแล้วชินพัตต์ก็หัวเราะ… หัวเราะเพราะตลกร้ายที่อีกฝ่ายพูดออกมา หัวเราะเพราะเขารู้สึกสมเพชตัวเองเหลือเกิน “คุณคงรักเขามากสินะ” ยังไม่วายถามคำที่รังแต่จะทำร้ายหัวใจตัวเองให้เจ็บหนักยิ่งขึ้นไปอีก
ปุณยวีร์เม้มปากแน่นก่อนจะเมินหน้าหนีแล้วตอบกลับมาว่า “จะยังไงก็ช่างเถอะ เอาเป็นว่าฉันขอบคุณมากสำหรับทุกเรื่องที่ผ่านมา แต่คราวหน้าไม่ต้องแล้วล่ะ ก็อย่างที่บอกว่าฉันยังมีพี่ปุ้น หรืออย่างน้อยฉันก็ดูแลตัวเองได้”
ิิิ...TBC...
ขอบคุณ คุณkonhin, คุณZephyr, คุณตามหาฝัน ที่ฝากคอมเมนท์ไว้ ไม่รู้ตอนนี้จะถูกใจใครบ้างไหม 555 ยังไงก็อย่าเพิ่งหนีหายกันไปหมดนะคะ พลีสสสสส...
ฟังจากคำพูดอาจจะคิดได้ว่าปุณยวีร์กำลังสนทนาอยู่กับใครสักคน หากแท้ที่จริงแล้วตอนนี้ล่ามสาวกำลังกลิ้งเกลือกอยู่บนเตียงนอนในห้องพักที่อพาร์ตเมนท์เพียงคนเดียว และ... ที่เธอพูดด้วยก็คือเจ้ากระเพาะอาหารที่ส่งเสียงประท้วงไม่เลิกเนื่องเพราะไม่มีอะไรตกลงไปให้มันย่อยเลยเป็นเวลาหลายชั่วโมงแล้ว
หลังจากทอไหมขับรถพาเธอมาส่งที่อพาร์ตเมนท์ ภควัตก็ขับรถตามมาหลังจากนั้นไม่นาน เขาเพียรโทร. หาและรอพบเธออยู่บริเวณล็อบบี้ หากเธอก็ปิดโทรศัพท์หนีทั้งยังไม่ลงไปพบเขาด้วย อีกฝ่ายอดทนรออยู่ราวสองชั่วโมงในที่สุดจึงละความพยายามยินยอมกลับไปแต่ไม่ลืมที่จะซื้ออาหารเย็นแล้วฝากแม่บ้านให้เอาขึ้นมาส่งถึงหน้าห้อง หากด้วยทิฐิและความรู้สึกย่ำแย่ที่สะสมมานานทำให้เธอไม่นึกอยากรับประทานอะไรทั้งนั้นจึงปฏิเสธและยกอาหารทั้งหมดให้ป้าแม่บ้านก่อนจะผล็อยหลับไปด้วยความรู้สึกเหนื่อยทั้งใจเหนื่อยทั้งกาย แต่แทนที่จะหลับยาวไปจนถึงเช้าเธอกลับต้องลืมตาตื่นขึ้นมากลางดึกเพราะเสียงท้องร้อง!
“น่าทนเอาหน่อย แค่มื้อเดียวเอง อีกไม่กี่ชั่วโมงก็เช้าแล้ว” ปุณยวีร์ได้แต่เอ่ยปลอบกระเพาะตัวเองอยู่เรื่อยไป เพราะแม้แต่ในตู้เย็นที่เคยมีสารพัดอาหารแช่แข็งอัดแน่นอยู่ภายในก็ยังว่างเปล่าไม่มีอะไรที่พอจะหยิบออกมาประทังความหิวได้เลยนอกจากผักสลัดเหี่ยวๆ กับน้ำสลัดหมดอายุ แล้วก็... เนยเค็ม
“โอย แปลงร่างเป็นช็อคโกแลตไม่ได้เหรอแก แล้วจะกินเข้าไปได้ไงเนี่ย เนยเค็ม เค็ม…” เธอทวนคำ และเพราะคำว่า ‘เค็ม’ นั่นเองทำให้นึกขึ้นมาได้ว่า “เฮ้ย! เจ้าเข้ม เมื่อเย็นยังไม่ได้ให้อาหารเลยนี่นา ตายๆๆ ขอโทษนะ แต่แค่มื้อเดียวน่าจะพอทนได้มั้ง”
ยังไม่วายพูดปลอบใจตัวเองอีกครั้ง “แต่ อ๊ายยย...ฉันหิว!” แล้วในที่สุดความหิวก็ไม่ปราณีใคร ไม่ว่าจะคนหรือสุนัข... ปุณยวีร์คว้ากระเป๋าสตางค์และกุญแจห้องก่อนจะออกไปหาอะไรมาตอบสนองความต้องการของกระเพาะอาหารทันที
“ไส้กรอกรมควันของเจ้าเข้ม อันนี้ไส้กรอกชีสของเราเอง อืม เกี๊ยวซ่าก็น่ากิน แซนด์วิชด้วยดีกว่า อ๊ะ ขนมอะไรนี่น่าตาดูดีเชียว…”
ด้วยความที่หิวหนักมากพอเห็นอะไรก็เลยรู้สึกว่าน่ากินไปเกือบทุกอย่างจึงหยิบจับขึ้นมาถือไว้จนเต็มไม้เต็มมือ “อ้าว ยังไม่ได้กดสเลอบี้อีก แล้วจะถือไปยังไงเนี่ย“ จุปากเมื่ออะไรๆ เริ่มไม่ได้ดั่งใจ
“ผมช่วยถือครับ”
“อ๊ะ ขอบคุณมากค่ะ” รีบเงยหน้าขึ้นแล้วเปิดยิ้มรับความปรารถนาดี ครั้นพอเห็นว่าผู้หวังดีเป็นใครก็ร้อง “อ้าว!”
“ส่งมาสิครับ” ชินพัตต์เอ่ยย้ำเมื่อเห็นเธอเอาแต่ยืนอึ้ง
ในเมื่อจนปัญญาจะหลบเลี่ยง ปุณยวีร์จึงยื่นข้าวของบางส่วนให้เขาช่วยถือและเอาไปส่งถึงที่เคาน์เตอร์ให้แคชเชียร์คิดเงินก่อนจะออกจากร้านสะดวกซื้อไปพร้อมกัน
“มา เจ้าเข้มกลับกันได้แล้ว เอาไว้ถึงอพาร์ตเมนท์แล้วค่อยกินไส้กรอกนะ” บอกกับลูกน้องที่กระดิกหางรออยู่หน้าร้าน “ฉันจะกลับแล้ว ส่งของมาสิ” หันไปบอกกับคนที่รวบเอาข้าวของทั้งหมดไปถือไว้คนเดียวซึ่งเดินตามหลังกันมาบ้าง
“จะกลับยังไง”
“ก็เดินสิ”
“ตอนขามาล่ะ”
“ก็เดินเหมือนกัน”
คนที่ยึกยักไม่ยอมส่งข้าวของให้เสียทีถอนหายใจยืดยาว “ผมถามจริงๆ นะ ตอนคุณจะออกมานี่ได้ดูนาฬิกาบ้างไหมว่ามันกี่โมงกี่ยาม ดึกดื่นป่านนี้แล้วจะออกมาเดินท่อมๆ คนเดียวทำไม” เขาต่อว่าเสียงเครียด
หากเธอยังไม่ทันได้อ้าปากตอบกระเพาะก็ส่งเสียง ‘โครกคราก’ แทนคำตอบทั้งหมด จากที่เคยเครียดชินพัตต์ก็เลยหลุดขำออกมา
“ยังจะสงสัยอะไรอีกไหม ทีนี้ก็ส่งของของฉันมาได้แล้ว” ว่าเสียงขุ่นเขียวไม่พอเธอยังส่งค้อนให้เขาขวับใหญ่อีกด้วย
คราวนี้ชินพัตต์จึงยอมยื่นถุงที่บรรจุไส้กรอกซึ่งอุ่นเรียบร้อยแล้วมาให้ “ตอนเย็นไม่ได้กินอะไรหรือไงญาติๆ คุณถึงส่งเสียงประท้วงดังขนาดนี้” ถามเสียงกลั้วหัวเราะ
“คิดว่าไงล่ะ” ปุณยวีร์ตอบกลับเสียงสะบัดก่อนจะใช้ไม้จิ้มไส้กรอกชีสส่งเข้าปากตัวเองแล้วนั่งลงฉีกถุงไส้กรอกรมควันส่งให้เจ้าเข้มที่มองมาตาละห้อย
หนึ่งนายหญิงกับอีกหนึ่งลูกน้องก้มหน้าก้มตาจัดการไส้กรอกในโควต้าของตัวเองท่าทางเอร็ดอร่อยแบบไม่สนใจใคร ชินพัตต์เองก็ไม่ได้ว่าอะไร ดวงตาคู่คมที่ทอดมองไปยังหญิงสาวฉายรอยอาทรอย่างลึกซึ้ง
“ไปขึ้นรถสิ เดี๋ยวผมไปส่ง” เขาเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นว่าเธอกับเจ้าสี่ขาเพื่อนยากจัดการกับอาหารในมือจนหมดลงเรียบร้อยแล้ว ดวงตาคู่กลมโตปรากฏรอยลังเลวูบหนึ่งก่อนเจ้าตัวจะเกลื่อนมันออกไปแล้วพยักหน้ารับข้อเสนอของเขา
“ขอบใจมากนะ” ปุณยวีร์บอกพร้อมรอยยิ้มเมื่อรถจอดลงที่หน้าอพาร์ตเมนท์ก่อนจะรวบข้าวของทั้งหมดไปถือแล้วผลักประตูออกจัดการพาเจ้าเข้มซึ่งนั่งประจำอยู่ที่เบาะหลังให้ลงไปด้วย แต่แทนที่ชินพัตต์จะออกรถไปทันทีหลังจากส่งล่ามสาวกับลูกน้องของเธอเรียบร้อยแล้วเขากลับผลักประตูลงจากรถด้วยอีกคน
“มีอะไรรึเปล่า” ปุณยวีร์เลิกคิ้วถาม “หรือว่าฉันหยิบของของคุณติดมือมาด้วย” ถามเขาแล้วเธอก็ก้มสำรวจถุงข้าวของในมือ
“เปล่า…” เขาปฏิเสธแล้วก็ทำท่าอึกอัก “เอ่อ คราวหน้า…”
“คราวหน้า?”
ชินพัตต์ถอนหายใจ มันคงถึงเวลาที่เขาจะเปิดเผยทุกความรู้สึกออกมาแล้วสินะ “ถ้าคุณหิวตอนดึกๆ หรือมีธุระอะไรที่ไหนแล้วไม่มีใครไปเป็นเพื่อน บอกผมนะ”
คนได้รับคำตอบยืนอึ้ง “ทำไม…” เธอถามเสียงแผ่ว แต่สุดท้ายก็ไม่เปิดโอกาสให้เขาได้พูดอะไรออกไปเพราะเพียงอึดใจหลังจากนั้นเธอก็รีบตัดบทว่า “ช่างเถอะ ไม่ต้องพูดหรอก เอาเป็นว่าฉันขอบคุณ แต่ไม่เป็นไรจริงๆ พอดีวันนี้มันฉุกละหุกไปหน่อย แต่คิดว่าไม่มีคราวหน้าแล้วล่ะ หรือถ้าจะมีฉันก็ยังมี… พี่ปุ้น”
“คุณแน่ใจ”
“ฉันแน่ใจ คนสองคนคบกันมันก็เหมือนลิ้นกับฟัน แม้จะมีปัญหากันบ้าง แต่ยังไงเราก็ยังคบกันอยู่เหมือนเดิม”
ฟังแล้วชินพัตต์ก็หัวเราะ… หัวเราะเพราะตลกร้ายที่อีกฝ่ายพูดออกมา หัวเราะเพราะเขารู้สึกสมเพชตัวเองเหลือเกิน “คุณคงรักเขามากสินะ” ยังไม่วายถามคำที่รังแต่จะทำร้ายหัวใจตัวเองให้เจ็บหนักยิ่งขึ้นไปอีก
ปุณยวีร์เม้มปากแน่นก่อนจะเมินหน้าหนีแล้วตอบกลับมาว่า “จะยังไงก็ช่างเถอะ เอาเป็นว่าฉันขอบคุณมากสำหรับทุกเรื่องที่ผ่านมา แต่คราวหน้าไม่ต้องแล้วล่ะ ก็อย่างที่บอกว่าฉันยังมีพี่ปุ้น หรืออย่างน้อยฉันก็ดูแลตัวเองได้”
ิิิ...TBC...
ขอบคุณ คุณkonhin, คุณZephyr, คุณตามหาฝัน ที่ฝากคอมเมนท์ไว้ ไม่รู้ตอนนี้จะถูกใจใครบ้างไหม 555 ยังไงก็อย่าเพิ่งหนีหายกันไปหมดนะคะ พลีสสสสส...
พนาศิลป์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 19 พ.ค. 2558, 20:29:23 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 19 พ.ค. 2558, 20:29:23 น.
จำนวนการเข้าชม : 1304
<< ตอนท่ี่ 14 | ตอนที่ 15 >> |
konhin 20 พ.ค. 2558, 00:33:08 น.
หนูชิน เค้ายังไม่เลิกกับแฟนลูก อย่าพึ่งรุก เดี๋ยวจะโดนว่าเป็นมือที่สามนะ ;)
หนูชิน เค้ายังไม่เลิกกับแฟนลูก อย่าพึ่งรุก เดี๋ยวจะโดนว่าเป็นมือที่สามนะ ;)
Zephyr 20 พ.ค. 2558, 17:20:14 น.
ยายปุ่น เคลียร์ตัวเองเรียบร้อยโดยเร็ว
ถ้านางไม่เคลียร์ ชั้นจะงาบชินแล้ว
หนูชินมานี่มา ซบอกชั่วคราวกะได้
รอยัยนั่นตัดสินใจก่อน
ถ้าติดใจ ไม่กลับไปกะได้นะ เค้ายินดี
ยายปุ่น เคลียร์ตัวเองเรียบร้อยโดยเร็ว
ถ้านางไม่เคลียร์ ชั้นจะงาบชินแล้ว
หนูชินมานี่มา ซบอกชั่วคราวกะได้
รอยัยนั่นตัดสินใจก่อน
ถ้าติดใจ ไม่กลับไปกะได้นะ เค้ายินดี