กลรัตติกาล
เรื่องต่อ ซ่อนใจไว้ใต้ดาว ชุดเสน่หาฆาตกรรม

หลงกลิ่นจันทน์ , ซ่อนใจไว้ใต้ดาว , กลรัตติกาล
Tags: กลรัตติกาล คีตา ณิชนิตา

ตอน: บทที่ ๑๕ แผนลวง (จบ)




เสียงเพลงคลอเบาๆ ทำให้บรรยากาศภายในบาร์ดูสบายๆ เหมาะกับการนั่งคิดอะไรเพลิน ๆ ชายไทคิดว่าเช่นนั้น เขาซึ่งนั่งอยู่ที่มุมด้านในสุดของร้าน ได้แต่นั่งจ้องมองโคมไฟเล็ก ๆ บนโต๊ะอย่างเลื่อนลอย วันนี้อารมณ์เขาไม่สู้ดีนัก อาจเป็นเพราะการได้เห็นอชิตะในอีกด้านหนึ่งซึ่งเขาไม่เคยรู้จักนั่นเอง

ด็อกเตอร์หนุ่มใช้นิ้วเขี่ยเหรียญบนโต๊ะไปมา เหมือนคนไม่มีอะไรทำ จวบจนแก้วเครื่องดื่มถูกวางไว้ตรงหน้าเขาพร้อมกับร่างสูงของปวีร์ทรุดตัวลงนั่งเก้าอี้ตรงข้ามเขานั่นเอง

“เพิ่งสั่งงานไม่นาน อยากรู้ผลแล้วเหรอ” น้ำเสียงของปวีร์คล้ายบ่นแต่สีหน้านิ่งๆ นั้นไม่ได้บ่งบอกอารมณ์ใดๆ เยทำให้คนฟังไม่คิดว่า นั่นคือ ต้องการสื่ออารมณ์ใดกันแน่

“แค่แวะถาม ไม่ได่เร่งหรอกน่า”

“เรื่องเรียบร้อยดี ได้มาไม่มากแต่น่าจะเป็นประโยชน์ ถ้าอยากได้ก่อน” ปวีร์เอ่ยพร้อมยื่นซองสีน้ำตาลส่งให้ชายไท ด็อกเตอร์หนุ่มรับซองกระดาษนั้นมาเปิดออกดึงเอาเอกสารข้างในขึ้นมาอ่าน

“นี่มันอะไรกัน” ชายไทถามขึ้นเมื่ออ่านเอกสารตรงหน้าอย่างคร่าวๆ เงยหน้าขึ้นสบตาเพื่อนแววตระหนก

“นายได้คำตอบที่ต้องการแล้วใช่ไหม”ปวีร์ไม่ตอบแต่ถามกลับ ดวงตาคมนักสืบหนุ่มจ้องตาเพื่อนด้วยความสงสัย ชายไทพยักหน้ารับแต่สีหน้านั้นไม่ได้บ่งบอกว่าได้สิ่งที่ต้องการจริงๆ เลยสักนิด คิ้วหนายังคงขมวดเข้าหากัน แววตาเคร่งเครียด

“ฉันไม่เข้าใจ...” ชายไทเอ่ยออกมาในที่สุด มือวางเอกสารเหล่านั้นไว้บนโต๊ะ ดวงตาที่เคยสดใสดูมีนัยตลอดนั้นกลับหม่นหมองลงไปในทันที

“เรื่องนั้นอาจต้องรอฉันสืบต่อ”

“อืม ลองสืบต่อไปละกัน แต่ฉันจะลองทำในวิธีของฉันเอง” ชายไทบอกพร้อมกับเก็บเอกสารเหล่านั้นกลับเข้าซองตามเดิม เขาไม่คิดว่าเรื่องราวจะเป็นอย่างไร เขาอยากรู้ความจริงจากปากผู้ต้องสงสัยมากกว่า

“ทำหน้าเหมือนแบกโลก คงไม่ใช่เพราะเรื่องนี้ใช่ไหม” ปวีร์เริ่มถามไถ่ขึ้นมาบ้าง

หลายครั้งที่พบกันชายไทไม่เคยได้ยินน้ำเสียงดูห่วงใยจากเพื่อนเก่าเท่าใดนัก มีแค่คำถามทื่อๆ รับคำสองสามประโยคแล้วก็เล่าเรื่องงานเท่านั้นเอง คราวนี้ดูปวีร์เป็นมนุษย์มีจิตใจขึ้นเยอะเลยทีเดียว

“แกเริ่มสนใจฉันละเหรอวีร์”

ปวีร์เลิกคิ้วสูงจ้องคนแกล้งถามอย่างหน่ายใจ “แค่ถามเฉยๆ อยากตอบก็ตอบ ไม่ตอบฉันก็ไม่ได้อยากรู้อะไรมาก”

ชายไทหัวเราะออกมาได้บ้างหลังจากถ้อยคำเย็นชาของเพื่อน “ฉันแค่ไม่เข้าใจความคิดของคนเราเท่านั้นเอง บางครั้งเหมือนฉันรู้ดี แต่สุดท้ายฉันก็เหมือนไม่รู้อะไรเลย”

“ยากกว่าเรื่องสร้อยรัตติกาลอีกเหรอ”

“ไม่รู้ว่าอะไรยากกว่ากัน แต่ฉัน...”

“เกี่ยวกับคนใกล้ตัวงั้นเหรอ” คำถามจี้ใจดำเลยทีเดียว ปวีร์เหมาะแล้วที่จะเป็นนักสืบ คาดเดาอะไรได้แม่นยำแถมช่างสังเกตแม้หน้าตาจะดูนิ่งๆ เหมือนไม่ได้ใส่ใจอะไรแต่นั่นคือบุคลิกที่ทำให้เขารอดพ้นความน่าสงสัยไป

“อชิตะ...อชิบอกว่าจะลองจีบรัตติกาลดู แกเชื่อไหม”

ปวีร์ยิ้มที่มุมปาก มองใบหน้าคมของเพื่อนแล้วถอนหายใจเบาๆ “ผงเข้าตาตัวเอง เก่งแค่ไหนก็ต้องเจ็บแสบ ล้างให้ออกเถอะ”

“หัดพูดจาเข้าใจยากมาจากไหนวีร์”

“ฉันรู้ว่าแกเข้าใจ อยู่ที่ว่า...จะยอมรับและทำไหมเท่านั้นเอง”

ชายไทเป็นฝ่ายถอนหายใจบ้างปวีร์ยังไงก็คือปวีร์...นอกจากรับฟัง การให้คำปรึกษาค่อนข้างแย่ เขาจะทำอะไรได้นอกจากดูละครเรื่องนี้ต่อไป อยากรู้เหมือนกันว่าตัวเองจะทนได้แค่ไหน เขายังเป็นมนุษย์มีอารมณ์ รักโลภ โกรธหลงอยู่เช่นกัน แถมตอนนี้จะมีอาการระแวงเพื่อนรักเข้าไปอีก จะหลุดแสดงท่าทีออกมาเมื่อไหร่ไม่รู้เลย...เขาควรจัดการเรื่องนี้เสียใหม่



บริเวณลานกลางห้างสรรพสินค้าใหญ่ถูกจัดให้เป็นสถานที่เปิดตัวน้ำหอมชื่อดัง ชายไทได้รับเชิญให้เข้ามาร่วมชมงานด้วย เขาเลือกที่จะพามโนชามาด้วย หญิงสาวในชุดสบายๆ แต่งตัวง่ายๆ เหมือนอย่างที่เห็นทุกครั้ง ด้วยชุดเสื้อยืดสีขาวสวมทับด้วยแจ็กเก็ตสีเขียวขี้ม้า กางเกงยีนสีเข้ม เธอมาร่วมงานเพราะชายไทโน้มน้าวให้มาด้วย แม้ดูไม่ค่อยเต็มใจนักแต่เธอก็ยอมมาในที่สุด ชายไทเข้าใจเหตุผลว่าทำไมหญิงสาวจึงไม่ชอบใจ คงเหตุผลเดียวกันกับเขานั่นเอง แต่ชายไทอยากรู้ว่า อชิตะจะเล่นละครอะไรอีกเท่านั้นเอง

“คุณชายคิดดีแน่แล้วเหรอคะที่มานี่” มโนชาถามย้ำแม้ว่าจะนั่งอยู่ข้างเขาแล้วก็ตาม

“อชิอุตส่าห์ชวนทั้งที ผมก็เลยต้องมาไง”

มโนชาเลิกคิ้วสูงเหมือนกำลังแปลกใจกับคำตอบของชายหนุ่ม เธอจึงถอนหายใจออกมาเเผ่วเบา เหมือนกำลังพยายามทำอารมณ์ให้ปลงกับสิ่งที่เจออยู่ในขณะนี้

“คุณหวานไม่คิดมากใช่ไหมครับ”

“คิดมากเรื่องอะไรเหรอคะ”

“ก็เรื่องข่าวอชิกับคุณรัตไงครับ”

“ข่าวนะคะ เป็นเรื่องปกติของคนเป็นดาราอยู่แล้วนี่คะ” มโนชากล่าวตอบชายไทด้วยน้ำเสียงเรียบดูไม่มีอะไร แต่ชายหนุ่มสังเกตว่าดวงตาคู่นั้นหม่นหมองลงไปเล็กน้อย

“ถ้ามันไม่ใช่แค่ข่าวละ เคยเห็นดาราหลายคู่พอถูกจับคู่จิ้น สุดท้ายก็ออกมาเปิดตัวรักกัน แรงเชียร์ก็เหมือนแรงกล่อมน่ะแหละครับ ใกล้ชิดกันบ่อยๆ นานวันเข้าความรู้สึกก็เปลี่ยนไป”

“ฉันก็แค่ห่วงเพื่อน ถ้าเกิดเรื่องแบบนี้จริงๆ แต่คงห้ามอะไรพวกเขาไม่ได้หรอกค่ะ หัวแข็งดื้อด้วยกันทั้งคู่”

“แล้วตัวคุณเองละ คุณหวานไม่คิดถึงบ้างเลยเหรอครับ”

“ฉัน? คิดถึงเรื่องอะไรละคะ”

“คนรักเก่าเป็นแฟนกับเพื่อนสนิท มันทำใจยากนะครับ”

“อชิคงเล่าให้คุณฟัง พูดตามตรง ตอนนั้นเป็นแค่ความรักแบบเด็กๆ นะคะ จะมีอะไรให้คิดละคะ”

“แต่อชิ...ฝังใจมากนะครับ”

“ถ้าฝังใจจริง เขาจะไม่เลือกจีบรัตหรอกค่ะ ดังนั้นเรื่องระหว่างฉันกับอชิเป็นแค่ความรู้สึกของเด็กๆ เท่านั้นเองค่ะ”

“เสียดายนะครับ ทำไมคนเราชอบทำให้เรื่องยุ่งยากเพราะศักดิ์ศรีบ้าบออยู่ตลอดเลย ถ้าเป็นผมนะผมเลือกคนที่กล้าหาญที่จะเปิดเผย อชิอาจกำลังลังเลเพราะคุณไม่ยอมรับคำง้อจากเขาเลย ทำให้ไม่รู้ว่าจะเปิดเผยเรื่องทั้งหมดไปทำไม ไม่รู้ผมวิเคราะห์ถูกไหมนะครับ แต่ที่ผมมองเห็นเป็นอย่างนั้นนะครับ” ชายไทแนะนำไปก็รู้สึกว่าเหมือนกำลังสอนตัวเองไปด้วย มโนชายิ้มเจื่อนจืด

“คุณชายรู้ไปหมดทุกอย่างเลยนะคะ ทั้งๆ ที่ฉันไม่เคยเล่าให้ใครฟัง แม้แต่รัต...”

“ผมสังเกตเอานะครับ ผมว่า ต้องมีอะไรบางอย่างในอดีตทำให้คุณฝังใจขนาดไม่กล้ารับความรู้สึกของอชิ ถ้าผมเป็นผู้หญิง ผมยอมแพ้อชิไปนานแล้ว แต่คุณหวานไม่เป็นแบบนั้น ผมว่าคุณหวานแค่กลัว...ดูจากนิสัยของอชิแล้ว เขาไม่รู้ตัวหรอกครับว่าทำอะไรผิด คุณควรผ่อนคลายเหมือนกันนะ ไม่อย่างนั้นก็ไม่พบตรงกลางสักที”

“ฉันจะเก็บไปคิดค่ะ” มโนชารับคำแผ่วเบา พอดีกับเสียงพิธีกรบนเวทีดังขึ้น เพื่อเริ่มพิธีการภายในงาน

เสียงเพลงดังขึ้นพร้อมร่างสูงเพรียวของรัตติกาล หญิงสาวออกมาในชุดสีแดงเพลิงโดดเด่น แต่ที่ทำให้ชายไทแทบลืมหายใจทันทีที่เห็นก็คือกระโปรงซึ่งสั้นเลยเข่าไปสูงมาก เขากลืนน้ำลายไม่ลงคอ รู้สึกถึงความเซ็กซี่ในตัวรัตติกาลถูกปลุกขึ้นมาให้ใครต่อใครในงานเห็น ริมฝีปากสีแดงสดโปรยยิ้มให้กับทุกคน ปรายตามาที่เขาก่อนจะเชิดหน้าออกไปแสดงท่าทางเต้นเหมือนตอนซักซ้อม ร่างสูงของอชิตะก้าวออกมาบนเวทีเรียกเสียงกรี๊ดกร้าดเพิ่มขึ้นไปอีก นายแบบหนุ่มเดินเข้ามาใกล้รัตติกาลพร้อมกับทำตามท่าทางเดิม ชายไทก้มหน้าลงดูมือถือในมือแทนการมองภาพเหล่านั้น

นอกจากท่าเต้นที่เจ้าของงานคิดขายความเซ็กซี่และคู่จิ้นแล้ว ยังมีเสื้อผ้าสั้นๆ หดๆ คนออกแบบนี่ล้ำสมัยหรือผ้าไม่พอตัดกันแน่ ยิ่งคิดเขาก็ยิ่งหงุดหงิด

“คุณชายเป็นอะไรคะ ก้มหน้าไม่เงยขึ้นดูเพื่อนเลย” มโนชาเป็นฝ่ายหัวเราะเขาแทน ชายไทรู้ว่าหญิงสาวคงเดาออกว่าทำไมเขามีอาการเช่นนี้

“คุณหวานทำใจดูได้เหรอครับ”

“หวานเห็นบ่อยแล้วค่ะ เลยชิน” เธออธิบายพร้อมกับยิ้มกว้าง ชายไทลืมไปว่ามโนชาอยู่ในวงการนิตยสาร ดังนั้นเธอต้องได้เห็นอชิตะถ่ายแบบบ่อยครั้ง ...ต้องทำใจให้ชินอย่างนั้นเหรอ...

ชายไทผ่อนลมหายใจออกมาเบาๆ “ท่าทางผมจะทำไม่ได้เหมือนคุณหวาน”

มโนชาหัวเราะออกมา เขาจึงยิ้มตอบ แม้จะดูแห้งๆ แต่กลับยิ่งสร้างรอยยิ้มของคู่สนทนามากขึ้นไปอีก

เมื่องานเสร็จสิ้นรัตติกาลและอชิตะยืนรอชายไทกับมโนชาอยู่ที่ลานจอดรถภายในห้าง พอเห็นทั้งคู่เดินมาถึงจึงโบกมือทักทาย

“ไปหาอะไรกินกันเหอะ หิวมาก” อชิตะบ่น

“ฉันว่าฉันจะกลับเลย วันนี้เหนื่อยพอแล้ว” ชายไทตอบทำให้คนฟังหน้าตื่น

“เฮ้ย แกเหนื่อยอะไรวะ ฉันนี่ควรเหนื่อย” อชิตะท้วงกลับ ไม่เข้าใจเพื่อนรักที่พูดออกมาอย่างนั้นเลยสักนิด

“เหนื่อยแกก็กลับสิวะ แต่ที่ฉันรอนี่ รอคุณรัต เดี๋ยวฉันไปส่งเอง”

“หือ? ฉันไปส่งได้น่า” อชิตะลอบยิ้ม

“พอได้แล้วละ ก่อนที่ฉันจะฆ่าแกหมกท้ายรถ แล้วก็นี่...ถ้าแกทำได้ตามที่ฉันเขียนอธิบายในนี้ได้ แกได้คุณหวานคืนแน่ๆ” ชายไทหันมาคาดโทษอชิตะซึ่งยิ้มกริ่มอย่างเป็นต่อพร้อมกับวางกระดาษที่พับเป็นสี่เหลี่ยมขนาดพอดีนั้นบนมือของเพื่อน แล้วก้าวเข้าไปใกล้รัตติกาลคว้าข้อมือเธอจูงไปที่รถของตัวเอง ปล่อยให้อชิตะกับมโนชาได้แต่มองตามทั้งคู่ด้วยรอยยิ้ม

“นี่แหละนะ ปากแข็ง ต้องใช้แผนลวงถึงได้ยอม”อชิตะว่าพลางเหลือบมองหญิงสาวข้างกาย

“ความจริงคุณชายเขารู้ตลอดแหละ หลอกไม่สำเร็จสักนิด” มโนชาเข้าใจ

“รู้แต่ก็ตกหลุมอยู่ดี ความรักมันก็อย่างนี้แหละ อย่างน้อยฉันก็ได้เรียนรู้การหลอกหน้าตายเหมือนอย่างที่ไอ้ชายทำเป็นประจำ มันเองก็ระแวงเหมือนกัน ฉลาดให้ตายยังไงก็ไม่พ้นความรู้สึกไม่แน่ใจอยู่ดี”

“รู้ดี...” น้ำเสียงของมโนชาเหมือนประชด หญิงสาวผละตัวเดินออกไปโดยไม่ได้สนใจอชิตะ

“อ้าว! หวานนั่นเธอจะไปไหน เดี๋ยวฉันไปส่ง”

“ไม่...ไม่อยากเป็นข่าว”

“ฉันต่างหากที่ควรห่วงเรื่องนั้น เธอไม่จำเป็นต้องห่วงเลย ฉันเอาตัวรอดได้ตลอดแหละ มาๆ” อชิตะคว้าแขนหญิงสาวเดินกลับมาที่รถ พร้อมกับบ่นหญิงสาวสารพัดเรื่องที่เธอไม่ยอมทำตามที่เขาบอกเลยสักนิด มโนชานั่งในรถยนต์ของชายหนุ่มได้ก็ก้มหน้าซุกซ่อนรอยยิ้มไว้



บรรยากาศภายในรถค่อนข้างอึดอัดรัตติกาลเหลือบมองด้านข้างของชายหนุ่มเป็นระยะ ดวงตาสดใสเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น จวบจนกระทั่งทนเก็บความรู้สึกนั้นไว้ไม่ไหวจึงได้เอ่ยปากออกมา

“คุณอยากเป็นแค่เพื่อนกับฉันจริงๆน่ะ” เธอเอ่ยถามดวงตากลมโตจ้องเขาแทบไม่ยอมกระพริบ ความจริงชายไทควรเป็นคนเอ่ยปากคุยกับหญิงสาวก่อนตามที่เขาบอกอชิตะว่ามีเรื่องพูดคุยแต่รัตติกาลไม่ได้ใจเย็นเหมือนเขา เธอยอมถามเรื่องคาใจตัวเองออกมาก่อน

ชายไทพยายามกลั้นยิ้ม เขารู้ดีว่ารัตติกาลไม่ยอมปล่อยให้ตัวเองอึดอัดใจนานๆ ต้องหลุดออกมาอยู่ดี เขาคาดการณ์ถูกเสมอ

“คุณไม่อยากเป็นเพื่อนกับผมเหรอ” เขาถามกลับ

รัตติกาลเม้มริมฝีปาก ราวกับชั่งใจที่จะตอบคำถามนั้น ความเงียบปกคลุมบรรยากาศภายในรถ “ไม่อยากเป็น ฉันไม่อยากเป็นแค่เพื่อน ที่คุณมาส่งฉันนี่ก็ไม่ใช่จะคุยเรื่องนี้หรอกเหรอ”

ชายไทเหลือบมองหญิงสาวเพียงเล็กน้อยก่อนจะเลี้ยวรถเข้าข้างทางเพื่อหยุดรถ แล้วจึงหันกลับมาจ้องหน้าหญิงสาวตรงๆ

“ทำไมถึงไม่อยากเป็นแค่เพื่อนกับผม แล้วรู้ได้ยังไงว่าผมจะคุยเรื่องนี้”

“ก็คุณดึงฉันออกมาจากอชิ ฉันไม่ยอมคุยกับคุณเกือบเดือน ข้อความก็ไม่ได้ส่งหาเลย คุณไม่คิดอะไรบ้างเลยเหรอ หึง งอน อะไรพวกนี้” รัตติกาลถามน้ำเสียงเริ่มมีอารมณ์หงุดหงิดเจือออกมาให้ได้ยิน ชายไทหลุดยิ้มออกมา “จริงๆ ด้วย คุณหลอกให้ฉันพูดก่อน ฮึ...เจ้าเล่ห์ที่สุด”

“คุณจะพูดอะไรก่อนผมเหรอ ผมไม่เห็นจะเข้าใจเลย”

“ผู้ชายอย่างคุณนี่นะ ฉันไม่น่ายุ่งด้วยให้เสียอารมณ์เลย ฝันไปเหอะว่าฉันจะ...” ไม่ทันไรหญิงสาวกลับหยุดชะงักสิ่งที่กำลังจะพูดออกมาเมื่อริมฝีปากของชายหนุ่มประทับบนกลีบปากสีชมพูของเธอ รัตติกาลตกใจก็จริงแต่เมื่อรับรู้ว่าเขากำลังทำสิ่งใด มือเขาคว้าต้นคอเธอไว้แน่นดึงดันให้ทุกอย่างแนบชิดกันมากที่สุด ใบหน้าของเธอร้อนผ่าว แดงเรื่อไปจนถึงใบหูเลยทีเดียว เธอไม่เคยคาดคิดว่าผู้ชายดูเนิร์ด แบบเขาจะทำอะไรอุกอาจอย่างนี้

เขาค่อยๆ ปล่อยมือซึ่งคว้าลำคอเธอไว้ ปล่อยให้หญิงสาวเป็นอิสระ สบตาเธอด้วยแววนิ่ง ทว่าดูมีเสน่ห์ซุกซ่อนความปรารถนาเอาไว้ภายใต้กรอบแว่นใสนั้น รัตติกาลเองก็มองเขานิ่ง จนเมื่อรู้สึกถึงความร้อนบนใบหน้าจึงรีบเอาฝ่ามือทั้งสองปิดบังใบหน้าตัวเองเอาไว้

“คุณทำอะไรนะ” หญิงสาวประท้วงแต่ไมยอมมองหน้าเขาอีกเลย

“อะไร...ปิดหน้าทำไม” เขาถามขึ้นพร้อมกับดึงมือของเธอออก แต่รัตติกาลไม่ยอมปล่อย

“ฉันก็อายเป็นนะ แล้วคุณก็ข้ามขั้นตอนเยอะเลย คุณต้องบอกว่าชอบฉันก่อนนะ ค่อย...ค่อยทำอย่างนั้นน่ะ”

“เหรอ เรามีขั้นตอนกันด้วยเหรอ แปลกจัง ไม่เห็นรู้สึกว่ามันข้ามขั้นตอนตรงไหน ผมบอกพ่อคุณไปแล้ว ตามขั้นตอนสุดๆ”

หญิงสาวปล่อยมืออกจากใบหน้าก่อนจะฟาดฝ่ามือเข้าไปที่บ่าของเขา

“โอ้ย!” ชายไทยร้องโอดพร้อมกับลูกต้นแขนตัวเองเบาๆ

“ขี้โกง” หญิงสาวยังคงกล่าวหาเขาอยู่ดี แก้มของเธอแดงเรื่อเหมือนผลมะเขือเทศใกล้สุก ชายไทกลับหัวเราะอย่างขบขัน “คราวหน้าควรบอกฉันก่อน ไม่ใช่ทำอะไรตามใจแบบนี้”

“เรื่องแบบนี้เขาต้องถามกันก่อนด้วยเหรอ ปกติถึงเวลาสำคัญเราจะรู้กันเองไม่ใช่เหรอ ตามหลักจิตวิทยา...ผมว่าอารมณ์มันจะมาก่อนเสริมให้มีการกระทำเป็นไปตามพฤติกรรมทางธรรมชาติ”

“พฤติกรรมทางธรรมชาติ? นี่มันอธิบายความสัมพันธ์เราเหรอ”

“ได้นะ...ธรรมชาติที่ผมชอบคุณ แล้วคุณก็ชอบผม เป็นแรงดึงดูดของโลก” ชายไทอธิบายหน้าตาย รัตติกาลยิ้มออกมาได้ในที่สุด เขาแกล้งทำเหมือนตัวเองไม่ได้พูดอะไร แต่ความจริงคือกำลังสารภาพความในใจนั่นเอง

หญิงสาวเอื้อมมือไปแตะริมฝีปากเขาบ้าง เธอเช็ดรอยลิปติกสีชมพูซึ่งติดเลอะอยู่เพียงเล็กน้อย ชายไทคว้ามือเธอไว้ก่อนจะยิ้มให้

“ถึงผมจะไม่รู้อนาคตของเรา แต่เชื่อว่าตอนนี้ผมอยากยืนอยู่ข้างคุณ ไม่ว่าโชคชะตาหรืออะไรก็ตามที่ทำให้เราได้เจอกัน ผมขอบคุณแล้วก็จะสู้กับมันให้ถึงที่สุด กว่าจะตัดสินใจได้ ผมก็ผ่านความรู้สึกร้อยพัน เหตุผลอีกมากมายมาหักล้างกัน แต่แล้วผมก็ดันเลือกเรื่องที่ไม่มีเหตุผลเลย”

รัตติกาลไม่รู้หรอกว่าเขาหมายความถึงเรื่องอะไร แต่ถ้อยคำเหล่านั้นช่างละมุนในหัวใจเธอเหลือเกิน ความรู้สึกอิ่มเอมและยินดีในความรู้สึกแท้จริงของกันและกัน

เธอเองก็จะอยู่ข้างเขาจนกว่า...เขาจะปล่อยมือเธอเอง



รัตติกาลเชิญชายไทเข้ามาในบ้าน เพราะเขาบอกว่าต้องการยืมคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คของเธอไปใช้งาน หญิงสาวเดินนำชายหนุ่มเข้าไปในบ้านหลังใหญ่ เป็นปกติที่นิตยาจะเดินออกมาต้องรับแขกซึ่งคราวนี้ก็เช่นกัน

“สวัสดีค่ะคุณชาย”

“สวัสดีครับคุณนิตยา ขอโทษนะครับที่มาส่งรัตติกาลค่ำ”

“ไม่เป็นไรค่ะ ปกติบางทีเธอก็ขับรถออกไปเองกลางดึก แค่ค่ำนี่ไม่ใช่ปัญหาเลยค่ะ”

รัตติกาลเหลือบมองแม่เลี้ยงด้วยสายตาขุ่นมัว ก่อนหันมาทางชายไท “เดี๋ยวฉันไปเอามาให้ คุณรออยู่นี่แป๊บหนึ่งนะคะ”

“ครับ” ชายไทรับคำพร้อมกับนั่งลงบนเก้าอี้ จนรัตติกาลวิ่งออกไปแล้ว ชายไทจึงเงยหน้าขึ้นสบตาแม่เลี้ยงสาวอย่างตั้งใจ

“ผมมีของอยากให้คุณนิตยาด้วยด้วยครับ” เขาบอกพร้อมกับยื่นซองเอกสารสีน้ำตาลนั้นส่งให้กับมือนิตยา หญิงสาวรับไปพร้อมกับเปิดออกดูด้วยท่าทีนิ่งๆ

“อะไรหรือคะ”

“เป็นคำถามของผมเหมือนกันครับ”

นิตยาเหลือบมองด็อกเตอร์หนุ่มอย่างไม่เข้าใจ จนได้เห็นเอกสารในมือนั้นอย่างชัดเจน สำเนาทะเบียนบ้านของเธอตกไปอยู่ในมือของชายไทได้อย่างไร เป็นสำเนาเก่าตั้งแต่สิบปีที่แล้ว!!

“คุณ...”

“ผมแค่สงสัยว่าทำไมคุณถึงบอกว่าไม่รู้จักธัญญา ทั้งๆ ที่เธอมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านเก่าของคุณ...ให้คำตอบผมได้ไหมครับ” ชายไทถามสีหน้านิ่งๆ นั้นดูน่ากลัวขึ้น เขาถอดแว่นตาออกวางไว้บนโต๊ะ สองมือประสานกันบนตัก ดวงตาคมจ้องนิตยานิ่งเพื่อรอคำตอบ

เธอตัวสั่น ในมือซึ่งถือเอกสารเหล่านั้นไว้ถึงกับปล่อยให้มันหมดแรงลงข้างกาย...


--------------------
กำลังำยายามอัพให้ทันกับอีกเว็บหนึ่งนะคะ เลยอัพทุกวันเลยยยยย ฮ่าๆๆๆ



ณิชนิตา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 15 พ.ค. 2558, 06:23:45 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 15 พ.ค. 2558, 06:23:45 น.

จำนวนการเข้าชม : 1309





<< บทที่ ๑๕ แผนลวง (๑)   บทที่ ๑๖ โชคชะตา (๑) >>
นักอ่านเหนียวหนึบ 16 พ.ค. 2558, 02:59:43 น.
พี่ชายขาโหดดดด


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account