กลรัตติกาล
เรื่องต่อ ซ่อนใจไว้ใต้ดาว ชุดเสน่หาฆาตกรรม
หลงกลิ่นจันทน์ , ซ่อนใจไว้ใต้ดาว , กลรัตติกาล
หลงกลิ่นจันทน์ , ซ่อนใจไว้ใต้ดาว , กลรัตติกาล
Tags: กลรัตติกาล คีตา ณิชนิตา
ตอน: บทที่ ๑๖ โชคชะตา (๑)
บทที่ ๑๖
โชคชะตา
“ผมแค่สงสัยว่าทำไมคุณถึงบอกว่าไม่รู้จักธัญญา ทั้งๆ ที่เธอมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านเก่าของคุณ...ให้คำตอบผมได้ไหมครับ”
ชายไทถามสีหน้านิ่งๆ นั้นดูน่ากลัวขึ้น เขาถอดแว่นตาออกวางไว้บนโต๊ะ สองมือประสานกันบนตัก ดวงตาคมจ้องนิตยานิ่งเพื่อรอคำตอบ
เธอตัวสั่น ในมือซึ่งถือเอกสารเหล่านั้นไว้ถึงกับปล่อยให้มันหมดแรงลงข้างกาย...
"คุณเอามาได้ยังไง"
"ผมมีเส้นสายของผมเหมือนกันนะ ถ้าจะเอารายละเอียดผมว่าคงไม่มีเวลาขนาดนั้นหรอกใช่ไหมครับ"
"คุณทำเรื่องนี้เพื่ออะไร เพื่ออะไรกันแน่...” นิตยาถามย้ำน้ำเสียงเริ่มสั่นไหว แสดงถึงความหวาดกลัว ชายไทจ้องแม่เลี้ยงของรัตติกาลอย่างวิเคราะห์
“ผมแค่สงสัยบางอย่าง เลยสืบเรื่องตามที่รัตติกาลบอก...เธอบอกว่าวิญญาณธัญญาตามติดตัวคุณอยู่ตลอดเวลา ผมมองไม่เห็นหรอกว่าจริงไหม แต่ผมทำอย่างมนุษย์ทั่วไปคือ สืบว่าคุณมีความเกี่ยวข้องกันหรือเปล่า เธอเป็นน้องสาวคุณ...แม้ผมจะไม่ค่อยเชื่อว่าเป็นแค่นี้สาวก็ตาม เธออายุห่างจากคุณเกือบยี่สิบห้าปี แปลกไปสักหน่อยนะครับ”
“อย่าเดาเลยค่ะ เธอเป็นน้องสาวฉันจริงๆ ฉันผิดด้วยเหรอคะที่มีน้องซึ่งเป็นลูกหลงของพ่อกับแม่ ฉันผิดด้วยเหรอคะที่หนีความจน หนีครอบครัวตัวเองมาเพราะรักคุณปราการ คุณไม่รู้จักเขาดีเท่าฉันหรอก”
“ท่านนายพลมีอะไรที่คุณต้องกลัวจนหนีอดีตตัวเองงั้นเหรอครับ”
“เขาต้องการผู้หญิงที่เหมือนภรรยาเก่าทุกอย่าง ชาติตระกูลดี ฉันพยายามที่จะเป็นคนนั้น เพราะฉันรักเขามาก ฉันสมหวังก็จริงแต่ก็อยู่อย่างหวาดระแวง จนมาเจอธัญญาฉันยิ่งกลัวว่าความลับจะเปิดเผย เราสองคนทำสัญญากันไว้ว่าจะไม่พูด เพราะถ้าพูดธัญญาคงทะเลาะกับรัตติกาล และฉันก็คงถูกเกลียดเพิ่มขึ้น ฉันไม่อยากทำลายความสัมพันธ์ระหว่างรัตติกาลกับธัญญา คุณก็รู้ว่ารัตติกาลไม่ชอบฉัน ไม่ว่าฉันจะทำดีแค่ไหนเธอก็ไม่เคยคิดจะชอบฉันเลย ที่สำคัญฉันห่วงว่าคุณปราการจะเกลียดฉันไปด้วย” นิตยากล่าวน้ำเสียงสั่นเครือ ดวงตาเปล่งประกายกล้าหาญที่จะยอมรับความจริงเหล่านั้น
ชายไทสบตาหญิงสาว เขาลอบถอนหายใจเบาๆ ชีวิตคนเราไม่มีใครสมบูรณ์แบบจริงๆ ทุกคนกำลังหลอกตัวเองอยู่
“ผมเชื่อคุณนะ แต่การหลอกกันมันดีแล้วเหรอครับ”
“สักวันฉันจะกล้าพอค่ะ แต่ไม่ใช่ตอนนี้”
ชายไทพยักหน้ารับ “แต่เพราะอะไร ธัญญาถึงตามคุณไม่ยอมห่างละครับ แค่สัญญาอาจไม่ใช่”
“ถ้าเป็นเรื่องจริงว่าวิญญาธัญญาติดตามฉัน อาจเป็นเพราะ...เธอคงอยากให้ฉันพูดความจริง แต่คุณชายคะ ฉันไม่เคยเชื่อเรื่องผีสางเทวดาอะไร ถ้ามีจริง ฉันควรเป็นคนเห็นธัญญาไม่ใช่รัตติกาล”
คำตอบของนิตยาทำให้ชายไทมีข้อสงสัยเพิ่มขึ้นไปอีก เป็นความจริงว่ารัตติกาลทำไมถึงได้พบวิญญาณของธัญญาตนเดียว พูดกันง่ายๆ ว่า ทั่วทุกที่น่าจะมีสิ่งลึกลับมากมาย อย่างน้อยเธอก็น่าจะเห็นวิญญาณตนอื่นด้วย
“คุณชายคะ ฉันมีเรื่องขอร้อง” นิตยากล่าวต่อ ทำให้ชายไทซึ่งกำลังครุ่นคิดปมปัญหาใหม่อยู่นั้นเงยหน้าขึ้นสบตาหญิงสาวอีกครั้ง
“ครับ”
“ช่วยเก็บเรื่องนี้เป็นความลับไว้ก่อนได้ไหมคะ ฉันขอร้อง ตอนนี้คุณปราการป่วยอยู่ ฉันไม่อยากให้...”
“ครับ ผมรับปาก” ชายไทตอบรับทันที เขาไม่อยากให้เรื่องราวยุ่งเหยิงเกินไปในตอนนี้ และที่สำคัญนายพลปราการกำลังป่วงดังว่า การรับเรื่องนี้อาจต้องใช้พลังในการยอมรับพอสมควร คนรักหลอกตัวเองมาหลายปี...ยอมรับได้แค่ไหน แต่เขาไม่เห็นด้วยที่จะปิดบังมันไปตลอด และไม่ชอบใจเท่าไหร่ที่นิตยาเลือกหลอกลวงเพื่อให้ได้ความรักของนายพลปราการมา
มันถูกต้องแล้วหรือ...ถ้ารักด้วยการหลอกลวง?
บ่ายแก่ แดดแรงจนหญิงสาวต้องหาแว่นกันแดดออกมาสวม ระหว่างรอชายไทสอนเสร็จ หญิงสาวเลือกร้านอาหารใกล้กับมหาวิทยาลัยเพื่อให้เขาเดินทางไปมาได้สะดวก เธอไม่สนว่าใครจะมองอย่างไร กระแสคู่จิ้นยังคงอยู่และเริ่มแรงขึ้นเรื่อยๆ หลังภาพยนตร์โฆษณาน้ำหอมเปิดตัวไป
ชายไทเพิ่งเปิดประตูกระจกของร้านเข้ามา เขาเดินตรงเข้ามาหาพร้อมกับวางหนังสือซึ่งถือมาด้วยนั้นลงบนโต๊ะ ก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม
"คุณมาช้าไปสิบนาที" หญิงสาวแสร้งท้วง
"นี่ถึงขนาดจับเวลาเลยเหรอ" ชายไทถามสีหน้าตื่น รัตติกาลยิ้มหวานก่อนจะตอบคำถามนั้น
"เช็กไปงั้นแหละ ไม่ได้จับผิดอะไรเลย"
"แล้วมานั่งข้างกระจกทำไม แดดจ้าออกอย่างนี้"
"อยากเห็นตอนคุณเดินมาน่ะ ฉันจะไม่ยอมให้คุณคลาดสายตาไปเลย แต่ยิ่งมองก็เพิ่งรู้ว่าแฟนตัวเองนี่หล่อจริงๆ"
ชายไทหลุดหัวเราะออกมาอย่างอดไม่อยู่เอาจริงๆ เขารู้ว่ารัตติกาลพูดจาตรงแต่ไม่คิดว่าจะตรงขนาดนี้
"นี่คุณไม่เขินเลยเหรอ"
"เขินสิ แต่อยากพูด" รัตติกาลตอบพร้อมกับยิ้มหวานให้เขา ชายไทยิ้มตอบพร้อมกับหันไปมองหาพนักงาน
"ไม่เจอกันนานเลยนะรัตติกาล" เสียงทุ้มนั้นดังขึ้นพร้อมกับร่างสูงใหญ่ของชายในชุดสูทเรียบร้อย รัตติกาลเงยหน้าขึ้นมองแขกซึ่งเรียกชื่อเธออยู่นั้น ดวงตาโตเบิกกว้างเมื่อเห็นว่าเป็นใคร
ปุณณภพ...
“...” รัตติกาลพูดไม่ออก รู้สึกเหมือนมีก้อนอะไรบ้างอยางติดอยู่ในลำคอ เธอไม่คิดว่าจะได้พบเขาที่นี่
“ดีใจที่ได้เจอกันนะ ผมไปหาท่านนานพลทีไรไม่เคยเจอคุณเลยสักที”
“อ้อ...อ๋อ ค่ะ ฉันไม่ค่อยว่าง ไม่ชอบอยู่บ้าน” เธอเพิ่งหาเสียงตัวเองเจอก็คราวนี้เอง แม้รับรู้ว่ามือเริ่มสั่นแต่พยายามใช้มืออีกข้างกุมมันไว้
ปุณณภพยิ้มเพียงเล็กน้อย ก่อนเหลือบไปทางชายไท “จะไม่แนะนำให้รู้จักเพื่อนของคุณรัตบ้างเหรอครับ”
“คะ...ด็อกเตอร์ชายไทค่ะ” เธอแนะนำโดยไม่ยอมสบตาใคร ชายไทลุกขึ้นยิ้มให้กับปุณณภพ
“สวัสดีครับ ผมปุณณภพเป็นทนายส่วนตัวของท่านนายพลปราการน่ะครับ เลยได้รู้จักกับคุณรัตไปด้วย เอาไว้ค่อยคุยกันดีกว่านะครับ แล้วผมจะโทร.หานะครับคุณรัต”
รัตติกาลไม่ได้รับคำอะไรได้แต่มองว่าปุณณภพเดินจากไปหรือยัง ความหวาดกลัวเริ่มก่อตัวขึ้นมาอีกครั้ง นานแล้วที่เธอไม่ได้รู้สึกเช่นนี้
พนักงานร้านอาหารนำข้าวและอาหารมาเสิร์ฟให้บนโต๊ะพร้อมกับรินน้ำเปล่าเติมให้แล้วเดินจากไป ชายไทเหลือบมองหญิงสาวซึ่งยังนั่งนิ่งเป็นหุ่นตั้งแต่ทนายปุณณภพเดินจากไป
“เขาเป็นแค่ทนายความจริงๆ เหรอ” คำถามเรียบๆ ระหว่างตักข้าวใส่ปากของด็อกเตอร์หนุ่มทำให้รัตติกาลรู้ตัวว่านั่งนิ่งอึ้งมานานแค่ไหน การปิดบังชายไทคงไม่ใช่เรื่องง่ายจริงๆ ยิ่งเขาถามขึ้นมาด้วยท่าทีเรียบเฉยราวกับถามเรื่องดินฟ้าอากาศยิ่งน่ากลัวกว่าการเค้นเอาคำตอบแบบจริงๆ จังๆ เสียอีก
“ค่ะ...แค่ทนายความของคุณพ่อ” เธอตอบได้เพียงเท่านั้น แม้จะรับรู้ว่ามือซึ่งจับช้อนกำลังสั่นจนต้องวางมันลงก็ตาม เธอให้เขารู้ไม่ได้เป็นอันขาด...
นายพลปราการนั่งจิบน้ำชาอยู่ริมระเบียง ดวงตาทอดมองไปยังบ้านหลังเล็กของลูกสาว พลางคิดถึงเรื่องราวที่ด็อกเตอร์หนุ่มพูด เขาควรเชื่อใจชายหนุ่มคนนั้นหรือไม่ แม้ว่าหลายอย่างที่ชายไทกล่าวจะมีเรื่องจริงและเสียดแทงใจเขาอย่างแรงอยู่หลายประเด็นทีเดียว เขาเองก็ไม่ได้วาดหวังให้ลูกสาวรักชอบกับคนในวงสังคมเดียวกัน เพียงแค่ชายคนนั้นรักลูกสาวด้วยใจจริงก็เป็นพอ
“คุณคิดอะไรอยู่เหรอคะ” นิตยาก้าวเข้ามาในระเบียง มองสามีอย่างสงสัย
“คิดถึงเรื่องผู้ชายคนนั้น เขาดูดีทีเดียว แถมยังเรียนจบด็อกเตอร์มา”
“ชอบหรือคะ หน้าตายังดูเด็กอยู่เลย อายุถึงสามสิบหรือยัง ทำไมเป็นถึงด็อกเตอร์”
“น่าจะสามสิบแล้วละ คงเพราะทำงานกับเด็กกระมังเลยดูเด็กไปด้วย” ปราการอธิบายตามที่ได้รับข้อมูลมา
“ว่าแต่คุณชอบเขาหรือคะ ยังไม่ตอบเลย แล้วที่มาบ้านเราบ่อยๆ นี่ ตกลงจีบคุณรัตหรือคะ”
“เขารับว่ารู้สึกดีด้วย แต่คงยังไม่ได้บอกอะไร ดูสุภาพมาก แต่คนของเราสิ แกล้งเขาตลอด ผมกลัวแค่ลูกผมจะไม่ดีพอ” ปราการคิดเช่นนั้นจริงๆ เพราะด้วยความที่รัตติกาลเข้าออกโรงพยาบาลด้วยโรคจิตเภทซึ่งมองไม่ออกว่ารักษาให้หายขาดแล้วหรือยัง เขาก็เป็นห่วงว่าจะมีคนหวังผลเข้ามาหลอกลวงเธอ แต่สำหรับชายไทซึ่งเขาตรวจสอบประวัติมาอย่างดีแล้ว
“ทำไมคุณคิดอย่างนั้นละคะ คุณรัตสวยอย่างนั้น คิดแบบนี้กับลูกตัวเองได้ยังไงคะ คุณรัตมาได้ยินคงโกรธเข้าอีก ฉันรู้ค่ะว่าคุณรักลูกมาก ที่พูดอย่างนี้ก็เพราะกังวลมากกว่า” นิตยากล่าวทั้งแสดงสีหน้ากังวลใจออกมาให้เห็น
“คุณรู้ใจผมมากที่สุดเลยนิด ผมเสียดายที่รัตเข้าใจคุณผิดตลอด” ปราการเห็นใจภรรยา เธออาจดูเข้ากันไม่ได้กับรัตติกาล แต่นิตยาก็ได้พยายามแล้วที่จะช่วยเหลือลูกสาวเขา ทว่ารัตติกาลเป็นฝ่ายไม่ยอมรับไม่ว่านิตยาจะทำดีแค่ไหนก็ตาม
“ฉันมาแทนที่แม่ของเธอนะคะ เธอไม่มีทางชอบฉันอยู่แล้ว”
“สักวันเธอจะรู้ว่าคุณดีกับเธอแค่ไหน ตอนเกิดเรื่องกับรัต คุณช่วยเธอไว้ตั้งหลายอย่าง รวมถึงเรื่องของกันด้วย ถ้าคุณไม่ทำอย่างนั้น เราก็คงไม่รู้ว่ากันเห็นรัตเป็นแค่หน้าตาชื่อเสียงของตัวเองเท่านั้น ตอนรัตไม่สบายคุณก็คอยติดต่อหมอแล้วก็ดำเนินการต่างๆ ให้ ผมเสียใจที่ทำให้รัตดีต่อคุณไม่ได้”
“ไม่เป็นไรค่ะ เป็นหน้าที่ของฉันอยู่แล้ว คุณเองก็อย่าคิดมากเลยค่ะ ความรักเป็นเรื่องของหนุ่มสาวเราดูเขาห่างๆ ดีกว่า”
“จริงอย่างที่คุณพูด แต่ผมชอบเขานะ เขาเป็นนักจิตวิทยาน่าจะช่วยรัตได้ เขายังบอกผมเลยว่า รัตไม่ได้บ้า ผมดีใจที่เขาคิดอย่างนั้น”
นิตยายิ้มกับสามี หญิงสาวมองปราการอย่างเข้าใจ เอื้อมมือมาแตะบ่าหนาแล้วบีบนวดเบาๆ เป็นการให้กำลังใจอีกทั้งให้เขารับรู้ว่ามีเธอยืนอยู่ข้างๆ เสมอ
เสียงซ้อมมวยเอะอะเป็นปกติของค่ายอยู่แล้ว มโนชานั่งทำงานอยู่ในห้องนอนชั้นสองซึ่งมองผ่านหน้าต่างออกไปเห็นถนนด้านหน้าบ้านชัดเจน หญิงสาวมองเห็นรถยนต์คันสวยแล่นเข้ามาจอดนอกรั้ว ร่างสูงเพรียวของอชิตะก้าวลงจากรถ เขาเดินตรงเข้ามาในเขตรั้วบ้านของเธอ มโนชาผุดลุกขึ้นอย่างตระหนก รีบวิ่งลงไปข้างล่างทันที หญิงสาวไม่คาดคิดว่าอชิตะจะกล้ามาหาเธอถึงที่บ้าน
“สวัสดีครับ ผมมาหาหวานครับ” เขาเอ่ยขึ้นกับชายแก่ซึ่งดูเหมือนเป็นครูฝึกในค่ายมวย
“มาหาใครนะ” แม้นเมืองพ่อของมโนชาถามขึ้นอีกครั้งด้วยน้ำเสียงค่อนข้างเข้ม
“หวานครับ ผะ...ผมชื่ออชิตะ...ผมเป็นเพื่อนเธอ...” คำแนะนำตัวจากปากชายหนุ่มทำเอาคนเป็นพ่อหนวดกระตุกสองสามครั้ง
“เพื่อนตอนไหนไม่เห็นเคยเจอสักครั้ง”
“คะ...คือ ตอนเรียนมัธยมไงครับ แต่ผมไม่เคยมาบ้านหวานเท่านั้นเอง”
แม้นเมืองจ้องหน้าชายหนุ่มที่อ้างเป็นเพื่อนลูกสาวด้วยแววตาเข้มๆ ยกมือขึ้นลูบหนวดของตัวเองเบาๆ ด้วยความที่อชิตะมีใบหน้าคมคาย ผิวขาวจนเรียกได้ว่าอมชมพูเหมือนหญิงสาวยิ่งทำให้อดีตนักมวยขัดอกขัดใจ
“พ่อจ๋า” มโนชาร้องเรียกพ่อเสียงหลง
“ไอ้หน้าขาวนี่มันบอกว่าเป็นเพื่อนเอ็ง จริงเหรอ”
“จ้า เพื่อนหนูเองจ้ะพ่อ”
“คบไปได้ยังไงวะ ออกแดดบ้างหรือเปล่า ตัวขาวซีดเหมือนคนป่วยไม่มีผิด”
“คือ...ผมไม่ได้ป่วยครับ”
“นี่...หยุดพูดเลย” มโนชารีบห้ามไว้ก่อนที่อชิตะจะทำให้ปากหาเรื่องใส่ตัว “พ่อเดี๋ยวหนูคุยกับเพื่อนแป๊บนะ”
“เออ อย่าไปไกลละ ไปนั่งคุยในบ้านโน่น เปิดประตูไว้ด้วยละ” แม้นเมืองกำชับลูกสาว อชิตะเกือบหลุดหัวเราะเมื่อได้ยินคำสั่งระหว่างที่หญิงสาวคว้าแขนเขาจูงเข้าไปในบ้าน
“พ่อเธอหวงน่าดู จริงๆ ควรดีใจนะ หล่อๆ อย่างฉันมาหาลูกสาวถึงบ้าน”
“ปากนายนี่...น่าถูกเย็บติดกันตั้งแต่เกิด” มโนชาหันมาถึงตาใส่คนพูด อชิตะยักไหล่เบาๆ “ตกลงมาหาฉันมีเรื่องอะไร”
“แค่คิดถึงเลยมาหา ผิดเหรอ”
“ห๊ะ? นี่...ฉันไม่ได้หูเฝื่อนไปหรอกนะ”
“ชายมันบอกให้ฉันพูดแบบนี้”
มโนชาบิดปากเมื่อได้ยิน แค่เขาบอกว่าเป็นความคิดตัวเองก็ไม่มีใครว่าหรอกนะ อชิตะพูดตรงหรือไม่มีมารยาก็ไม่ใช่ เขากวนประสาทเธอมากกว่า ผู้ชายคนนี้นอกจากรูปร่างหน้าตาดีแล้ว ปากยังดีจนน่าตบสักร้อยฉาดเสียจริง
“ความจริง ฉันก็คิดถึงเธอด้วยแหละ ไม่ใช่แค่ไอ้ชายบอกให้พูด” อชิตะพูดน้ำเสียงอ่อยๆ เหมือนไม่ค่อยอยากสารภาพออกมามากนัก มโนชาหลุดยิ้มให้พลอยสร้างรอยยิ้มแบบเขินอายจากนายแบบหนุ่มเช่นกัน
“ไว้คราวหน้าซื้อของมาฝากพ่อเธอเนอะ คุณพ่อชอบอะไรเหรอ”
“ไม่ต้องหรอก แค่หาเวลามาให้ได้ก็พอ” หญิงสาวบอกก่อนจะเดินเข้าไปหาน้ำเย็นมาให้ อชิตะยิ้มกว้างเมื่อได้ยินดังนั้น เขานึกว่าจะโดนไล่ให้กลับบ้านหรือสั่งห้ามไม่ให้มาหาเสียอีก
“นี่! ไอ้หนุ่ม” เสียงเรียกเข้มขึงของพ่อหญิงสาวทำเอาอชิตะสะดุ้งเฮือก หันกลับไปมองแม้นเมืองหน้าตาตระหนก
“ครับ คุณพ่อ”
“ฉันมีลูกสาวคนเดียว ไม่มีลูกชาย ไม่ต้องเรียกพ่อ ตกลงเอ็งมาหาลูกฉันมีอะไรกันแน่”
“ผม...ผม...ผมชอบหวานครับ” อชิตะตอบรับเสียงดังจนมโนชาซึ่งเพิ่งเดินกลับมาพร้อมกับแก้วน้ำเย็นถึงกับตัวแข็งทื่อ
“กล้ามาก...งั้นดวลกันสักยกเป็นไง” แม้นเมืองท้าทายชายหนุ่มที่อาจหาญพูดว่าชอบลูกสาวในทันที
“ได้ครับ”
“ไม่ได้นะ ถ้าหน้าเขาช้ำขึ้นมาก็แย่เลยนะพ่อ” มโนชาร้องห้ามเสียงหลง
“เป็นผู้ชายมันจะมากลัวนั่นนี่ให้เสียชาติเกิดได้ยังไง มา!” แม้นเมืองไม่ฟังเสียงลูกสาว คว้าต้นคออชิตะลากออกไปยังค่ายมวยด้านหน้าบ้าน มโนชาได้แต่วิ่งตามออกไปด้วยความเป็นห่วง อย่างอชิตะน่ะเหรอจะสู้พ่อของเธอได้ เขาต้องใช้ใบหน้าในการทำงานด้วย ได้แต่หวังว่าพ่อของเธอจะปราณีอชิตะบ้าง
โชคชะตา
“ผมแค่สงสัยว่าทำไมคุณถึงบอกว่าไม่รู้จักธัญญา ทั้งๆ ที่เธอมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านเก่าของคุณ...ให้คำตอบผมได้ไหมครับ”
ชายไทถามสีหน้านิ่งๆ นั้นดูน่ากลัวขึ้น เขาถอดแว่นตาออกวางไว้บนโต๊ะ สองมือประสานกันบนตัก ดวงตาคมจ้องนิตยานิ่งเพื่อรอคำตอบ
เธอตัวสั่น ในมือซึ่งถือเอกสารเหล่านั้นไว้ถึงกับปล่อยให้มันหมดแรงลงข้างกาย...
"คุณเอามาได้ยังไง"
"ผมมีเส้นสายของผมเหมือนกันนะ ถ้าจะเอารายละเอียดผมว่าคงไม่มีเวลาขนาดนั้นหรอกใช่ไหมครับ"
"คุณทำเรื่องนี้เพื่ออะไร เพื่ออะไรกันแน่...” นิตยาถามย้ำน้ำเสียงเริ่มสั่นไหว แสดงถึงความหวาดกลัว ชายไทจ้องแม่เลี้ยงของรัตติกาลอย่างวิเคราะห์
“ผมแค่สงสัยบางอย่าง เลยสืบเรื่องตามที่รัตติกาลบอก...เธอบอกว่าวิญญาณธัญญาตามติดตัวคุณอยู่ตลอดเวลา ผมมองไม่เห็นหรอกว่าจริงไหม แต่ผมทำอย่างมนุษย์ทั่วไปคือ สืบว่าคุณมีความเกี่ยวข้องกันหรือเปล่า เธอเป็นน้องสาวคุณ...แม้ผมจะไม่ค่อยเชื่อว่าเป็นแค่นี้สาวก็ตาม เธออายุห่างจากคุณเกือบยี่สิบห้าปี แปลกไปสักหน่อยนะครับ”
“อย่าเดาเลยค่ะ เธอเป็นน้องสาวฉันจริงๆ ฉันผิดด้วยเหรอคะที่มีน้องซึ่งเป็นลูกหลงของพ่อกับแม่ ฉันผิดด้วยเหรอคะที่หนีความจน หนีครอบครัวตัวเองมาเพราะรักคุณปราการ คุณไม่รู้จักเขาดีเท่าฉันหรอก”
“ท่านนายพลมีอะไรที่คุณต้องกลัวจนหนีอดีตตัวเองงั้นเหรอครับ”
“เขาต้องการผู้หญิงที่เหมือนภรรยาเก่าทุกอย่าง ชาติตระกูลดี ฉันพยายามที่จะเป็นคนนั้น เพราะฉันรักเขามาก ฉันสมหวังก็จริงแต่ก็อยู่อย่างหวาดระแวง จนมาเจอธัญญาฉันยิ่งกลัวว่าความลับจะเปิดเผย เราสองคนทำสัญญากันไว้ว่าจะไม่พูด เพราะถ้าพูดธัญญาคงทะเลาะกับรัตติกาล และฉันก็คงถูกเกลียดเพิ่มขึ้น ฉันไม่อยากทำลายความสัมพันธ์ระหว่างรัตติกาลกับธัญญา คุณก็รู้ว่ารัตติกาลไม่ชอบฉัน ไม่ว่าฉันจะทำดีแค่ไหนเธอก็ไม่เคยคิดจะชอบฉันเลย ที่สำคัญฉันห่วงว่าคุณปราการจะเกลียดฉันไปด้วย” นิตยากล่าวน้ำเสียงสั่นเครือ ดวงตาเปล่งประกายกล้าหาญที่จะยอมรับความจริงเหล่านั้น
ชายไทสบตาหญิงสาว เขาลอบถอนหายใจเบาๆ ชีวิตคนเราไม่มีใครสมบูรณ์แบบจริงๆ ทุกคนกำลังหลอกตัวเองอยู่
“ผมเชื่อคุณนะ แต่การหลอกกันมันดีแล้วเหรอครับ”
“สักวันฉันจะกล้าพอค่ะ แต่ไม่ใช่ตอนนี้”
ชายไทพยักหน้ารับ “แต่เพราะอะไร ธัญญาถึงตามคุณไม่ยอมห่างละครับ แค่สัญญาอาจไม่ใช่”
“ถ้าเป็นเรื่องจริงว่าวิญญาธัญญาติดตามฉัน อาจเป็นเพราะ...เธอคงอยากให้ฉันพูดความจริง แต่คุณชายคะ ฉันไม่เคยเชื่อเรื่องผีสางเทวดาอะไร ถ้ามีจริง ฉันควรเป็นคนเห็นธัญญาไม่ใช่รัตติกาล”
คำตอบของนิตยาทำให้ชายไทมีข้อสงสัยเพิ่มขึ้นไปอีก เป็นความจริงว่ารัตติกาลทำไมถึงได้พบวิญญาณของธัญญาตนเดียว พูดกันง่ายๆ ว่า ทั่วทุกที่น่าจะมีสิ่งลึกลับมากมาย อย่างน้อยเธอก็น่าจะเห็นวิญญาณตนอื่นด้วย
“คุณชายคะ ฉันมีเรื่องขอร้อง” นิตยากล่าวต่อ ทำให้ชายไทซึ่งกำลังครุ่นคิดปมปัญหาใหม่อยู่นั้นเงยหน้าขึ้นสบตาหญิงสาวอีกครั้ง
“ครับ”
“ช่วยเก็บเรื่องนี้เป็นความลับไว้ก่อนได้ไหมคะ ฉันขอร้อง ตอนนี้คุณปราการป่วยอยู่ ฉันไม่อยากให้...”
“ครับ ผมรับปาก” ชายไทตอบรับทันที เขาไม่อยากให้เรื่องราวยุ่งเหยิงเกินไปในตอนนี้ และที่สำคัญนายพลปราการกำลังป่วงดังว่า การรับเรื่องนี้อาจต้องใช้พลังในการยอมรับพอสมควร คนรักหลอกตัวเองมาหลายปี...ยอมรับได้แค่ไหน แต่เขาไม่เห็นด้วยที่จะปิดบังมันไปตลอด และไม่ชอบใจเท่าไหร่ที่นิตยาเลือกหลอกลวงเพื่อให้ได้ความรักของนายพลปราการมา
มันถูกต้องแล้วหรือ...ถ้ารักด้วยการหลอกลวง?
บ่ายแก่ แดดแรงจนหญิงสาวต้องหาแว่นกันแดดออกมาสวม ระหว่างรอชายไทสอนเสร็จ หญิงสาวเลือกร้านอาหารใกล้กับมหาวิทยาลัยเพื่อให้เขาเดินทางไปมาได้สะดวก เธอไม่สนว่าใครจะมองอย่างไร กระแสคู่จิ้นยังคงอยู่และเริ่มแรงขึ้นเรื่อยๆ หลังภาพยนตร์โฆษณาน้ำหอมเปิดตัวไป
ชายไทเพิ่งเปิดประตูกระจกของร้านเข้ามา เขาเดินตรงเข้ามาหาพร้อมกับวางหนังสือซึ่งถือมาด้วยนั้นลงบนโต๊ะ ก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม
"คุณมาช้าไปสิบนาที" หญิงสาวแสร้งท้วง
"นี่ถึงขนาดจับเวลาเลยเหรอ" ชายไทถามสีหน้าตื่น รัตติกาลยิ้มหวานก่อนจะตอบคำถามนั้น
"เช็กไปงั้นแหละ ไม่ได้จับผิดอะไรเลย"
"แล้วมานั่งข้างกระจกทำไม แดดจ้าออกอย่างนี้"
"อยากเห็นตอนคุณเดินมาน่ะ ฉันจะไม่ยอมให้คุณคลาดสายตาไปเลย แต่ยิ่งมองก็เพิ่งรู้ว่าแฟนตัวเองนี่หล่อจริงๆ"
ชายไทหลุดหัวเราะออกมาอย่างอดไม่อยู่เอาจริงๆ เขารู้ว่ารัตติกาลพูดจาตรงแต่ไม่คิดว่าจะตรงขนาดนี้
"นี่คุณไม่เขินเลยเหรอ"
"เขินสิ แต่อยากพูด" รัตติกาลตอบพร้อมกับยิ้มหวานให้เขา ชายไทยิ้มตอบพร้อมกับหันไปมองหาพนักงาน
"ไม่เจอกันนานเลยนะรัตติกาล" เสียงทุ้มนั้นดังขึ้นพร้อมกับร่างสูงใหญ่ของชายในชุดสูทเรียบร้อย รัตติกาลเงยหน้าขึ้นมองแขกซึ่งเรียกชื่อเธออยู่นั้น ดวงตาโตเบิกกว้างเมื่อเห็นว่าเป็นใคร
ปุณณภพ...
“...” รัตติกาลพูดไม่ออก รู้สึกเหมือนมีก้อนอะไรบ้างอยางติดอยู่ในลำคอ เธอไม่คิดว่าจะได้พบเขาที่นี่
“ดีใจที่ได้เจอกันนะ ผมไปหาท่านนานพลทีไรไม่เคยเจอคุณเลยสักที”
“อ้อ...อ๋อ ค่ะ ฉันไม่ค่อยว่าง ไม่ชอบอยู่บ้าน” เธอเพิ่งหาเสียงตัวเองเจอก็คราวนี้เอง แม้รับรู้ว่ามือเริ่มสั่นแต่พยายามใช้มืออีกข้างกุมมันไว้
ปุณณภพยิ้มเพียงเล็กน้อย ก่อนเหลือบไปทางชายไท “จะไม่แนะนำให้รู้จักเพื่อนของคุณรัตบ้างเหรอครับ”
“คะ...ด็อกเตอร์ชายไทค่ะ” เธอแนะนำโดยไม่ยอมสบตาใคร ชายไทลุกขึ้นยิ้มให้กับปุณณภพ
“สวัสดีครับ ผมปุณณภพเป็นทนายส่วนตัวของท่านนายพลปราการน่ะครับ เลยได้รู้จักกับคุณรัตไปด้วย เอาไว้ค่อยคุยกันดีกว่านะครับ แล้วผมจะโทร.หานะครับคุณรัต”
รัตติกาลไม่ได้รับคำอะไรได้แต่มองว่าปุณณภพเดินจากไปหรือยัง ความหวาดกลัวเริ่มก่อตัวขึ้นมาอีกครั้ง นานแล้วที่เธอไม่ได้รู้สึกเช่นนี้
พนักงานร้านอาหารนำข้าวและอาหารมาเสิร์ฟให้บนโต๊ะพร้อมกับรินน้ำเปล่าเติมให้แล้วเดินจากไป ชายไทเหลือบมองหญิงสาวซึ่งยังนั่งนิ่งเป็นหุ่นตั้งแต่ทนายปุณณภพเดินจากไป
“เขาเป็นแค่ทนายความจริงๆ เหรอ” คำถามเรียบๆ ระหว่างตักข้าวใส่ปากของด็อกเตอร์หนุ่มทำให้รัตติกาลรู้ตัวว่านั่งนิ่งอึ้งมานานแค่ไหน การปิดบังชายไทคงไม่ใช่เรื่องง่ายจริงๆ ยิ่งเขาถามขึ้นมาด้วยท่าทีเรียบเฉยราวกับถามเรื่องดินฟ้าอากาศยิ่งน่ากลัวกว่าการเค้นเอาคำตอบแบบจริงๆ จังๆ เสียอีก
“ค่ะ...แค่ทนายความของคุณพ่อ” เธอตอบได้เพียงเท่านั้น แม้จะรับรู้ว่ามือซึ่งจับช้อนกำลังสั่นจนต้องวางมันลงก็ตาม เธอให้เขารู้ไม่ได้เป็นอันขาด...
นายพลปราการนั่งจิบน้ำชาอยู่ริมระเบียง ดวงตาทอดมองไปยังบ้านหลังเล็กของลูกสาว พลางคิดถึงเรื่องราวที่ด็อกเตอร์หนุ่มพูด เขาควรเชื่อใจชายหนุ่มคนนั้นหรือไม่ แม้ว่าหลายอย่างที่ชายไทกล่าวจะมีเรื่องจริงและเสียดแทงใจเขาอย่างแรงอยู่หลายประเด็นทีเดียว เขาเองก็ไม่ได้วาดหวังให้ลูกสาวรักชอบกับคนในวงสังคมเดียวกัน เพียงแค่ชายคนนั้นรักลูกสาวด้วยใจจริงก็เป็นพอ
“คุณคิดอะไรอยู่เหรอคะ” นิตยาก้าวเข้ามาในระเบียง มองสามีอย่างสงสัย
“คิดถึงเรื่องผู้ชายคนนั้น เขาดูดีทีเดียว แถมยังเรียนจบด็อกเตอร์มา”
“ชอบหรือคะ หน้าตายังดูเด็กอยู่เลย อายุถึงสามสิบหรือยัง ทำไมเป็นถึงด็อกเตอร์”
“น่าจะสามสิบแล้วละ คงเพราะทำงานกับเด็กกระมังเลยดูเด็กไปด้วย” ปราการอธิบายตามที่ได้รับข้อมูลมา
“ว่าแต่คุณชอบเขาหรือคะ ยังไม่ตอบเลย แล้วที่มาบ้านเราบ่อยๆ นี่ ตกลงจีบคุณรัตหรือคะ”
“เขารับว่ารู้สึกดีด้วย แต่คงยังไม่ได้บอกอะไร ดูสุภาพมาก แต่คนของเราสิ แกล้งเขาตลอด ผมกลัวแค่ลูกผมจะไม่ดีพอ” ปราการคิดเช่นนั้นจริงๆ เพราะด้วยความที่รัตติกาลเข้าออกโรงพยาบาลด้วยโรคจิตเภทซึ่งมองไม่ออกว่ารักษาให้หายขาดแล้วหรือยัง เขาก็เป็นห่วงว่าจะมีคนหวังผลเข้ามาหลอกลวงเธอ แต่สำหรับชายไทซึ่งเขาตรวจสอบประวัติมาอย่างดีแล้ว
“ทำไมคุณคิดอย่างนั้นละคะ คุณรัตสวยอย่างนั้น คิดแบบนี้กับลูกตัวเองได้ยังไงคะ คุณรัตมาได้ยินคงโกรธเข้าอีก ฉันรู้ค่ะว่าคุณรักลูกมาก ที่พูดอย่างนี้ก็เพราะกังวลมากกว่า” นิตยากล่าวทั้งแสดงสีหน้ากังวลใจออกมาให้เห็น
“คุณรู้ใจผมมากที่สุดเลยนิด ผมเสียดายที่รัตเข้าใจคุณผิดตลอด” ปราการเห็นใจภรรยา เธออาจดูเข้ากันไม่ได้กับรัตติกาล แต่นิตยาก็ได้พยายามแล้วที่จะช่วยเหลือลูกสาวเขา ทว่ารัตติกาลเป็นฝ่ายไม่ยอมรับไม่ว่านิตยาจะทำดีแค่ไหนก็ตาม
“ฉันมาแทนที่แม่ของเธอนะคะ เธอไม่มีทางชอบฉันอยู่แล้ว”
“สักวันเธอจะรู้ว่าคุณดีกับเธอแค่ไหน ตอนเกิดเรื่องกับรัต คุณช่วยเธอไว้ตั้งหลายอย่าง รวมถึงเรื่องของกันด้วย ถ้าคุณไม่ทำอย่างนั้น เราก็คงไม่รู้ว่ากันเห็นรัตเป็นแค่หน้าตาชื่อเสียงของตัวเองเท่านั้น ตอนรัตไม่สบายคุณก็คอยติดต่อหมอแล้วก็ดำเนินการต่างๆ ให้ ผมเสียใจที่ทำให้รัตดีต่อคุณไม่ได้”
“ไม่เป็นไรค่ะ เป็นหน้าที่ของฉันอยู่แล้ว คุณเองก็อย่าคิดมากเลยค่ะ ความรักเป็นเรื่องของหนุ่มสาวเราดูเขาห่างๆ ดีกว่า”
“จริงอย่างที่คุณพูด แต่ผมชอบเขานะ เขาเป็นนักจิตวิทยาน่าจะช่วยรัตได้ เขายังบอกผมเลยว่า รัตไม่ได้บ้า ผมดีใจที่เขาคิดอย่างนั้น”
นิตยายิ้มกับสามี หญิงสาวมองปราการอย่างเข้าใจ เอื้อมมือมาแตะบ่าหนาแล้วบีบนวดเบาๆ เป็นการให้กำลังใจอีกทั้งให้เขารับรู้ว่ามีเธอยืนอยู่ข้างๆ เสมอ
เสียงซ้อมมวยเอะอะเป็นปกติของค่ายอยู่แล้ว มโนชานั่งทำงานอยู่ในห้องนอนชั้นสองซึ่งมองผ่านหน้าต่างออกไปเห็นถนนด้านหน้าบ้านชัดเจน หญิงสาวมองเห็นรถยนต์คันสวยแล่นเข้ามาจอดนอกรั้ว ร่างสูงเพรียวของอชิตะก้าวลงจากรถ เขาเดินตรงเข้ามาในเขตรั้วบ้านของเธอ มโนชาผุดลุกขึ้นอย่างตระหนก รีบวิ่งลงไปข้างล่างทันที หญิงสาวไม่คาดคิดว่าอชิตะจะกล้ามาหาเธอถึงที่บ้าน
“สวัสดีครับ ผมมาหาหวานครับ” เขาเอ่ยขึ้นกับชายแก่ซึ่งดูเหมือนเป็นครูฝึกในค่ายมวย
“มาหาใครนะ” แม้นเมืองพ่อของมโนชาถามขึ้นอีกครั้งด้วยน้ำเสียงค่อนข้างเข้ม
“หวานครับ ผะ...ผมชื่ออชิตะ...ผมเป็นเพื่อนเธอ...” คำแนะนำตัวจากปากชายหนุ่มทำเอาคนเป็นพ่อหนวดกระตุกสองสามครั้ง
“เพื่อนตอนไหนไม่เห็นเคยเจอสักครั้ง”
“คะ...คือ ตอนเรียนมัธยมไงครับ แต่ผมไม่เคยมาบ้านหวานเท่านั้นเอง”
แม้นเมืองจ้องหน้าชายหนุ่มที่อ้างเป็นเพื่อนลูกสาวด้วยแววตาเข้มๆ ยกมือขึ้นลูบหนวดของตัวเองเบาๆ ด้วยความที่อชิตะมีใบหน้าคมคาย ผิวขาวจนเรียกได้ว่าอมชมพูเหมือนหญิงสาวยิ่งทำให้อดีตนักมวยขัดอกขัดใจ
“พ่อจ๋า” มโนชาร้องเรียกพ่อเสียงหลง
“ไอ้หน้าขาวนี่มันบอกว่าเป็นเพื่อนเอ็ง จริงเหรอ”
“จ้า เพื่อนหนูเองจ้ะพ่อ”
“คบไปได้ยังไงวะ ออกแดดบ้างหรือเปล่า ตัวขาวซีดเหมือนคนป่วยไม่มีผิด”
“คือ...ผมไม่ได้ป่วยครับ”
“นี่...หยุดพูดเลย” มโนชารีบห้ามไว้ก่อนที่อชิตะจะทำให้ปากหาเรื่องใส่ตัว “พ่อเดี๋ยวหนูคุยกับเพื่อนแป๊บนะ”
“เออ อย่าไปไกลละ ไปนั่งคุยในบ้านโน่น เปิดประตูไว้ด้วยละ” แม้นเมืองกำชับลูกสาว อชิตะเกือบหลุดหัวเราะเมื่อได้ยินคำสั่งระหว่างที่หญิงสาวคว้าแขนเขาจูงเข้าไปในบ้าน
“พ่อเธอหวงน่าดู จริงๆ ควรดีใจนะ หล่อๆ อย่างฉันมาหาลูกสาวถึงบ้าน”
“ปากนายนี่...น่าถูกเย็บติดกันตั้งแต่เกิด” มโนชาหันมาถึงตาใส่คนพูด อชิตะยักไหล่เบาๆ “ตกลงมาหาฉันมีเรื่องอะไร”
“แค่คิดถึงเลยมาหา ผิดเหรอ”
“ห๊ะ? นี่...ฉันไม่ได้หูเฝื่อนไปหรอกนะ”
“ชายมันบอกให้ฉันพูดแบบนี้”
มโนชาบิดปากเมื่อได้ยิน แค่เขาบอกว่าเป็นความคิดตัวเองก็ไม่มีใครว่าหรอกนะ อชิตะพูดตรงหรือไม่มีมารยาก็ไม่ใช่ เขากวนประสาทเธอมากกว่า ผู้ชายคนนี้นอกจากรูปร่างหน้าตาดีแล้ว ปากยังดีจนน่าตบสักร้อยฉาดเสียจริง
“ความจริง ฉันก็คิดถึงเธอด้วยแหละ ไม่ใช่แค่ไอ้ชายบอกให้พูด” อชิตะพูดน้ำเสียงอ่อยๆ เหมือนไม่ค่อยอยากสารภาพออกมามากนัก มโนชาหลุดยิ้มให้พลอยสร้างรอยยิ้มแบบเขินอายจากนายแบบหนุ่มเช่นกัน
“ไว้คราวหน้าซื้อของมาฝากพ่อเธอเนอะ คุณพ่อชอบอะไรเหรอ”
“ไม่ต้องหรอก แค่หาเวลามาให้ได้ก็พอ” หญิงสาวบอกก่อนจะเดินเข้าไปหาน้ำเย็นมาให้ อชิตะยิ้มกว้างเมื่อได้ยินดังนั้น เขานึกว่าจะโดนไล่ให้กลับบ้านหรือสั่งห้ามไม่ให้มาหาเสียอีก
“นี่! ไอ้หนุ่ม” เสียงเรียกเข้มขึงของพ่อหญิงสาวทำเอาอชิตะสะดุ้งเฮือก หันกลับไปมองแม้นเมืองหน้าตาตระหนก
“ครับ คุณพ่อ”
“ฉันมีลูกสาวคนเดียว ไม่มีลูกชาย ไม่ต้องเรียกพ่อ ตกลงเอ็งมาหาลูกฉันมีอะไรกันแน่”
“ผม...ผม...ผมชอบหวานครับ” อชิตะตอบรับเสียงดังจนมโนชาซึ่งเพิ่งเดินกลับมาพร้อมกับแก้วน้ำเย็นถึงกับตัวแข็งทื่อ
“กล้ามาก...งั้นดวลกันสักยกเป็นไง” แม้นเมืองท้าทายชายหนุ่มที่อาจหาญพูดว่าชอบลูกสาวในทันที
“ได้ครับ”
“ไม่ได้นะ ถ้าหน้าเขาช้ำขึ้นมาก็แย่เลยนะพ่อ” มโนชาร้องห้ามเสียงหลง
“เป็นผู้ชายมันจะมากลัวนั่นนี่ให้เสียชาติเกิดได้ยังไง มา!” แม้นเมืองไม่ฟังเสียงลูกสาว คว้าต้นคออชิตะลากออกไปยังค่ายมวยด้านหน้าบ้าน มโนชาได้แต่วิ่งตามออกไปด้วยความเป็นห่วง อย่างอชิตะน่ะเหรอจะสู้พ่อของเธอได้ เขาต้องใช้ใบหน้าในการทำงานด้วย ได้แต่หวังว่าพ่อของเธอจะปราณีอชิตะบ้าง
ณิชนิตา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 16 พ.ค. 2558, 06:33:41 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 16 พ.ค. 2558, 06:33:41 น.
จำนวนการเข้าชม : 1270
<< บทที่ ๑๕ แผนลวง (จบ) | บทที่ ๑๖ โชคชะตา (๒) >> |
นักอ่านเหนียวหนึบ 17 พ.ค. 2558, 01:34:36 น.
ยกที่หนึ่งเริ่มได้ แป๋งงงงง
ยกที่หนึ่งเริ่มได้ แป๋งงงงง