บ้านต้นรักษ์ (จบแล้วจ้า) รีไรท์
ก้อ...กอมารุน...ราชาแห่งท้องทะเลทราย
ปะทะกับ
นีล...นัจมุน...ราชินีแห่งท้องทุ่ง
เมื่อดวงจันทร์กับดวงดาวบนฟ้าต่างแข่งกันประจันแสง...
โดยมีต้นไม้ สายน้ำ และท้องทุ่ง เป็นตัวประกัน...
หมู่บ้านอันแสนสงบร่มเย็นอย่าง 'บ้านต้นรักษ์'
กำลังจะลุกเป็นไฟ
เมื่อสิ่งที่นักลงทุนอย่างเขาต้องการ
คือสิ่งเดียวกันกับที่หญิงสาวหวงแหนยิ่งชีพ
ทั้งๆที่เธอไม่มีสิทธิ์อะไรที่จะมาหวงแหนในสิ่งที่ไม่ใช่
กรรมสิทธิ์ของตน!
การเชือดเฉือนจึงก่อกำเนิดในยุคแห่งวัตถุนิยม
ที่นายทุนเป็นใหญ่
ท่ามกลางสงครามอันร้อนระอุ
ระหว่าง
ราชาแห่งท้องทะเลทราย กับ ราชินีแห่งท้องทุ่ง
ที่อยู่ห่างกันราวคนละโลก ในชีวิตกันคนละแบบ
คิดอ่านกันคนละอย่าง...
เสียงเพรียกจากวันวาน จะกลับมาขับขาน
สะพานไม้หมากที่พาดข้ามฟากเชื่อมสองฝั่งคลอง
กำลังสั่นสะเทือน...เมื่อสะพานคอนกรีตจะเข้ามาแทนที่
สายสัมพันธ์ระหว่างคนกับต้นไม้กำลังจะพัดหวนคืน
...น้ำในลำธารใสสะอาดกับน้ำมันสีดำไม่อาจเข้ากันได้ฉันใด
เธอกับเขาก็ไม่อาจเข้ากันได้ฉันนั้น...
ไม่มีใครรู้ว่าระหว่าง ดวงจันทร์ดวงใหญ่แค่ดวงเดียวที่ลอยเด่น
อยู่บนฟ้ากับดวงดาวจำนวนมากมายนับล้าน
มีความเป็นมาอย่างไร...
เว้นแต่ต้นไม้ที่ผ่านกาลเวลาโดยไม่เคยหนีหายไปไหนเท่านั้น
ที่จะไขปริศนานี้...
ต้นไม้ที่ยืนผงาดอย่างอดทนผ่านร้อนหนาว
ผ่านฤดูกาลมาครั้งแล้วครั้งเล่าโดยไม่มีใครเคยได้ยินเสียงบ่น
ต้นไม้ที่เหมือนจะไม่รับรู้สิ่งใด...
หากทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้นและเป็นไปกลับกลายเป็นส่วนหนึ่ง
ความรักความประทับใจและความผูกพันธ์ถูกบันทึกไว้ใต้ต้นไม้
หยั่งรากลึกลงในดิน หยั่งลึกลงในจิตใจ...
มีค่า มีความหมาย...นานเท่านาน...
ปะทะกับ
นีล...นัจมุน...ราชินีแห่งท้องทุ่ง
เมื่อดวงจันทร์กับดวงดาวบนฟ้าต่างแข่งกันประจันแสง...
โดยมีต้นไม้ สายน้ำ และท้องทุ่ง เป็นตัวประกัน...
หมู่บ้านอันแสนสงบร่มเย็นอย่าง 'บ้านต้นรักษ์'
กำลังจะลุกเป็นไฟ
เมื่อสิ่งที่นักลงทุนอย่างเขาต้องการ
คือสิ่งเดียวกันกับที่หญิงสาวหวงแหนยิ่งชีพ
ทั้งๆที่เธอไม่มีสิทธิ์อะไรที่จะมาหวงแหนในสิ่งที่ไม่ใช่
กรรมสิทธิ์ของตน!
การเชือดเฉือนจึงก่อกำเนิดในยุคแห่งวัตถุนิยม
ที่นายทุนเป็นใหญ่
ท่ามกลางสงครามอันร้อนระอุ
ระหว่าง
ราชาแห่งท้องทะเลทราย กับ ราชินีแห่งท้องทุ่ง
ที่อยู่ห่างกันราวคนละโลก ในชีวิตกันคนละแบบ
คิดอ่านกันคนละอย่าง...
เสียงเพรียกจากวันวาน จะกลับมาขับขาน
สะพานไม้หมากที่พาดข้ามฟากเชื่อมสองฝั่งคลอง
กำลังสั่นสะเทือน...เมื่อสะพานคอนกรีตจะเข้ามาแทนที่
สายสัมพันธ์ระหว่างคนกับต้นไม้กำลังจะพัดหวนคืน
...น้ำในลำธารใสสะอาดกับน้ำมันสีดำไม่อาจเข้ากันได้ฉันใด
เธอกับเขาก็ไม่อาจเข้ากันได้ฉันนั้น...
ไม่มีใครรู้ว่าระหว่าง ดวงจันทร์ดวงใหญ่แค่ดวงเดียวที่ลอยเด่น
อยู่บนฟ้ากับดวงดาวจำนวนมากมายนับล้าน
มีความเป็นมาอย่างไร...
เว้นแต่ต้นไม้ที่ผ่านกาลเวลาโดยไม่เคยหนีหายไปไหนเท่านั้น
ที่จะไขปริศนานี้...
ต้นไม้ที่ยืนผงาดอย่างอดทนผ่านร้อนหนาว
ผ่านฤดูกาลมาครั้งแล้วครั้งเล่าโดยไม่มีใครเคยได้ยินเสียงบ่น
ต้นไม้ที่เหมือนจะไม่รับรู้สิ่งใด...
หากทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้นและเป็นไปกลับกลายเป็นส่วนหนึ่ง
ความรักความประทับใจและความผูกพันธ์ถูกบันทึกไว้ใต้ต้นไม้
หยั่งรากลึกลงในดิน หยั่งลึกลงในจิตใจ...
มีค่า มีความหมาย...นานเท่านาน...
Tags: ดราม่า รัก ต้นไม้ กอมารุน นัจมุน ก้อ นีล เชือดเฉือน แนวอนุรักษ์
ตอน: ต้นที่ 7 กาฝาก
วันรุ่งขึ้นหลังจากกลับมาจากตลาดกับน้องชาย…แทนที่จะปั่นจักรยาน
กลับเข้าบ้านผู้ดีเก่าของตนกลับปั่นไปยังบ้านผู้ดีใหม่…
หากพอถึงประตูรั้วทางเข้ากลับเจอชายหน้ายักษ์ที่ทำหน้าที่เฝ้ายามกีดกันไม่ให้เข้าไป…
“ถ้าไม่มีคำสั่งจากเชค…ก็เข้าไม่ได้ครับ…”
“แต่ฉันมีธุระกับคนในบ้านหลังนี้นะคะ…”
“ยังไงก็ไม่ได้ครับ…นี่คือกฎ…”
“งั้นคุณผู้รักษาความปลอดภัยก็โทรเข้าไปถามคนข้างในสิคะว่าฉัน…
นัจมุนขอพบเป็นการด่วน…” นัจมุนไม่ยอมแพ้แม้จะโดนน้องชายสะกิด
ไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบก็ตาม…
“ฉันกับน้องชายไม่มีอาวุธ ไม่ได้พกอะไรมา…”
หญิงสาวพยายามยืนยันความบริสุทธิ์ใจของตนในการมาเข้าพบคนในบ้านหลังใหญ่
ด้วยการยกกระเป๋าทั้งใบให้ผู้รักษาความปลอดภัยดู
“ให้เธอเข้ามา…” เสียงวิทยุดังแทรกบทสนทนาขึ้น นัจมุนจำได้ดีว่าเสียงนั้นเป็นเสียงของใคร
“แล้วน้องชายของเธอล่ะครับ…”
“ทั้งสองคน…ให้เข้ามาได้…” จบคำสั่งดังกล่าวผู้รักษาความปลอดภัย
จึงเปิดรั้วให้สองพี่น้องได้ปั่นจักรยานเข้าไป…
“ขอบคุณค่ะ…” นัจมุนยิ้มขอบคุณแล้วชวนน้องชายปั่นจักรยานไปยัง
ตัวบ้านที่ห่างจากรั้วหน้าบ้านเกือบห้าร้อยเมตร…บริเวณบ้านดูร่มรื่นไปด้วยไม้ผล
และไม้ดอกไม้ประดับที่ถูกจัดตกแต่งไว้อย่าง สวยงามน่าเดินเล่น…
เมื่อผ่านต้นมะม่วงน้ำดอกไม้ลูกดกก็อดไม่ได้ที่จะแหงนหน้าขึ้นมองด้วยความเสียดาย
ที่ไม่อาจเป็นเจ้าของได้
“พี่นีลเข้าไปคนเดียวนะ หมอกไม่เอาด้วยคนหรอก…แค่ฟังที่ชาวบ้านเขาลือกัน
หมอกก็หนาวแล้ว…”
“ได้ไง…เข้าไปด้วยกันสิ…” คนเป็นพี่หันมาคะยั้นคะยอน้องชาย
แต่อีกฝ่ายกับส่ายหน้าลูกเดียว
“ขอหมอกเดินชมสวนดีกว่านะ…พี่นีลก็เข้าไปชมด้านใน แล้วเราค่อยมาเล่าสู่กันฟังไง…”
หาอุบายเอาตัวรอดได้เสมอน้องชายเรา เฮ้อ นัจมุนเลยไม่อยากเซ้าซี้ต่อ
“แต่ถ้าพี่หายเข้าไปนานๆ เราต้องเข้าไปดูนะ…”
“ได้ หมอกจะรีบโทรหาตำรวจเลย…” เท่านั้นคนเป็นพี่ก็เดินเข้าบ้านไม้
หลังงามไปอย่างหวาดๆ หากความอยากรู้มันมีมากกว่า เลยต้องยอมข่มความกลัว
เดินเข้าถ้ำเสือไป…และไม่ผิดที่คาดไว้…เสือกำลังยืนหันหลังอยู่ตรงหน้าต่างของบ้าน
ในส่วนของห้องรับแขกราวกับรู้ว่าคนมาเยือนได้เดินมาถึงรังของตนแล้ว…
ความเงียบภายในห้องกับบรรยากาศอบอุ่นและการตกแต่งภายในอย่างลงตัว
หาได้ทำให้หญิงสาวลดความประหม่าลงได้เลย…ยิ่งเขายืนนิ่งไม่ไหวติง
ไม่พูดจาทักทายก็ยิ่งกระอักกะอ่วนใจทำอะไรไม่ถูก จะนั่งหรือจะยืนก็ยังไม่แน่ใจ
แต่ถ้าเขาไม่เชิญให้นั่งจะนั่งได้อย่างไร…
“มีอะไรก็พูดมา…” น้ำเสียงเยือกเย็นทำเอาคนฟังรู้สึกเย็นราวกับอยู่ใกล้ๆภูเขาน้ำแข็ง
“ฉันแค่อยากถามว่า…ทำไมคุณถึงทำกับพวกเขาขนาดนั้น…ทำไมต้องฆ่ากันด้วย…
มันไม่มากไปหน่อยรึไง…นั่นมันชีวิตคนนะคุณ คุณไม่มีสิทธิ์ตัดสินชี้เป็นชี้ตายพวกเขา…”
นัจมุนที่ได้ยินข่าวว่าโจรในคราบตำรวจที่บุกมาหาเธอเมื่อคืนได้เสียชีวิตลง
เพราะโดนฆ่าปาดคอทั้งหมด…ทำให้รู้สึกหดหู่อย่างบอกไม่ถูก…
เธอไม่คิดว่าคนที่เธอเพิ่งมีเรื่องด้วยเมื่อวานจะหมดลมหายใจในวันนี้…
ถึงจะเกลียดชังแต่ก็ไม่ได้หวังอยากให้พวกเขาถึงกับตาย…หรือหายไปจากโลกนี้
“อะไรทำให้เธอคิดว่าเป็นฉันที่ลงมือฆ่า…”
“คุณจะบอกว่าคุณไม่ได้ทำงั้นสิ…ทั้งๆที่คุณให้คนของคุณนำตัวพวกเขาไปไว้ที่ใต้ต้นโศก…”
“แล้วพวกมันตายที่ไหน…”
“จะที่ไหนก็ช่าง…ในเมื่อพวกเขาตาย นั่นก็หมายความว่า…คุณมีส่วนเกี่ยวข้อง
กับเรื่องนี้แน่…”
“รู้สึกว่าเธอจะอยากเป็นผู้พิพากษานะ…แน่ใจแล้วหรือว่าจะให้ความยุติธรรมกับคนอื่นได้…”
นัจมุนเม้าปากสนิทขณะมองแผ่นหลังของเขาคนที่ไม่ยอมหันหน้ามาคุยกันกับเธอ
ราวกับเธอเป็นตัวเสนียตที่เขาไม่อยากจะหันมามองหรือพูดคุยด้วยดีอย่างคนทั่วๆไป…
“คิดว่ารู้กฎหมายแล้วจะเป็นผู้พิพากษาข้ึนมาอย่างนั้นหรือนัจมุน…
มันไม่ดูใฝ่สูงเกินตัวไปหน่อยหรือ…”
“ถ้าคุณไม่ได้เป็นคนทำแล้วใครทำ…”
“แล้วทำไมฉันถึงต้องรู้…”
“เพราะคุณ…คุณเอาพวกเขาไปเมื่อคืนนี้…”
“แล้วเธอเห็นฉันฆ่าเขารึไง…”
“คุณบอกว่าตีงูต้องตีให้ตาย…”
“แล้วเธอเห็นฉันตีงูตัวนั้นตายรึเปล่า…” นัจมุนจนแต้ม เพราะเธอไม่เห็น
ไม่รู้อะไรทั้งนั้นว่าเขาทำอย่างไรกับคนพวกนั้นบ้าง…รู้เพียงแต่เขาสั่งให้คนของเขา
นำตัวคนพวกนั้นไปไว้ที่ต้นโศก…ถ้าเมื่อคืนเธอตามไปดูคงได้เห็น…
แต่เธอไม่ได้คิดจะตามไป…
“พวกเขาโดนสังหารด้วยกรรไกร จนตอนนี้ใครๆก็พากันมองฉันแปลกๆ
เพราะฉันเป็นคนสุดท้ายที่มีเรื่องกับสามคนนั่น…”
“อ้อ…ที่มาหาฉัน…เพราะต้องการจะยัดเยียดข้อหาให้ฉันแทน…
ตัวเองจะได้ปลอดภัยจากการเป็นผู้ต้องหา…และคำครหานินทาจากชาวบ้าน”
นัจมุนกัดฟันกรอดกับวาจาที่สุดจะทนของเขา
“แต่ฉันมั่นใจว่าไม่ใช่ตัวฉัน…”
“ก็เลยมั่นใจว่าเป็นฉันงั้นสิ…” เขาสวนกลับทันควันอย่างไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน
“ก็แล้วใครเล่า…ใครฆ่าพวกเขาได้เหี้ยมโหดแบบนั้น…ปาดคอแล้วใช้กรรไกร
แทงทะลุเยื่อหุ้มหัวใจ…ทำได้ขนาดนั้นมันต้องนักฆ่ามืออาชีพ…แล้ว…แล้วคนของคุณก็…ก็…”
“คนของฉันทำไม…” เพียงแค่เขาจะหันมาคุยกับเธอดีๆ ป่านนี้เธอคง
จับพิรุธในแววตาเขาได้แล้ว แต่เขากลับหันหลังให้ตลอดแบบนี้
ทำให้เธอชักไม่อยากเสวนาด้วยขึ้นมาจริงๆ…
“ถ้าไม่พูดก็กลับไปซะ…ฉันเตือนแล้วนะว่าให้กลับไปในที่ของเธอ ที่นี่มันไม่ใช่ที่ของเธอ…”
“แต่นั่นมันบ้านของฉัน…ฉันจะอยู่มันก็เรื่องของฉัน…”
“อยากรนหาที่ตายก็เชิญอยู่ต่อไป…”
“ทำไม…คุณจะฆ่าฉันรึไง…” คนที่หันหลังให้มาตลอดหันหน้ามาทางนัจมุน
แล้วจ้องเธอตาคมกริบราวกับกริชเลยทีเดียว
“ถ้าฉันจะฆ่าเธอ…ตอนนี้ก็ยังได้ และไม่จำเป็นต้องมีการเตือนล่วงหน้า”
ว่าพลางสาวเท้าเข้ามาใกล้ ทำเอานัจมุนถึงกับก้าวถอยหลังโดยอัตโนมัติ…
“เธอมาหาฉันเองนะนัจมุน…เธอรนมาหาที่เอง…” เสียงของเขาเยียบเย็นจนคนฟัง
ถึงกับขนลุกซู่ หน้าแดงๆเมื่อครู่เริ่มเปลี่ยนเป็นสีซีดราวกับกระดาษ
“อย่าเข้ามานะ…” เขาหาได้หยุดตามคำสั่งของเธอไม่…นัจมุนเลยวิ่งไปหลบตรงหลังโซฟา
หากเขากลับก้าวอาดๆมาหา หญิงสาวเลยวิ่งไปตรงโน้นก่อนจะหลบมาทางนี้
สุดท้ายก็ชนเข้ากับขอบโต๊ะทำให้เสียหลักลงไปนั่งก้นกระแทกกับพื้นห้อง
หากสายตากลับมองใบหน้าคมเข้มแลดูดุดัน แฝงความน่ากลัวเอาไว้อย่างไม่ลดละ
หญิงสาวกระถดถอยหนีจนรู้สึกว่าแผ่นหลังของตนกำลังสัมผัสกับผนังห้อง…
ซึ่งนั่นหมายความว่าเธอจนตรอกแล้ว…ซึ่งพอดีกับที่เขาย่างเข้ามาถึงตัว
ซ้ำยังนั่งยองๆตรงหน้าเธอ มองเธอด้วยแววตาที่อ่านไม่ออก
“กลับไปซะ…แล้วก็ไม่ต้องมาเหยียบที่บ้านต้นรักษ์อีก…”
“ไม่…ฉันจะไม่ไปจากที่นี่…ฉันจะอยู่ที่นี่…จะปักหลักที่นี่…”
“กี่ปีผ่านไป…สมองเธอก็ยังเท่ามดอยู่ดี…” เขาว่าพร้อมกับแสยะยิ้มคล้ายจะเยาะหยันเธอ…
“เรื่องของฉัน…ฉันจะเป็นยังไงมันก็เรื่องของฉัน คุณเป็นใครไม่ทราบ
ถึงมาวิจารณ์ฉันในอดีต…คุณมันก็แค่…คนที่ฉันไม่เคยรู้จัก…”
“ผู้หญิง…” เขาเหยียดปากราวกับจะหยัน…
“ออกไปได้แล้ว…ฉันไม่มีเวลามานั่งฟังเสียงนกเสียงกาไร้สาระ…”
สั่งจบเขาก็ลุกขึ้นยืนแล้วเดินห่างออกไป นัจมุนรีบลุกขึ้นทันที หัวใจที่เต้นแรง
ยังคงกระหน่ำไม่หยุดหย่อน…แค่อยู่ใกล้เขาก็ทำเอาเธอควบคุมหัวใจไม่อยู่
“แล้วไม่ต้องมาเหยียบที่นี่อีก…บ้านนี้ไม่ยินดีต้อนรับเธอ!”
นัจมุนกัดปากพร้อมกับตัดใจที่จะเลิกค้นหาคำตอบ เพราะเธอได้คำตอบแล้วว่า
เขานั่นแหล่ะเป็นคนสังหารคนพวกนั้น…เพราะเขามันเลือดเย็น
“แล้วเลิกเรียกร้องความสนใจด้วยวิธีแบบนี้ซะเถอะ…เพราะฉันรู้ทันมารยาผู้หญิง
มันทั้งร้อยเล่มเกวียนนั่นแหล่ะ…อย่ามาท่าเยอะกับฉัน…ที่นี่ไม่ใช่ฮาเร็ม…
และไม่ได้เปิดต้อนรับผู้หญิง!” หญิงสาวนึกฉุน หันไปมองคนที่กล่าวหาเธอ
ด้วยแววตาวาวโรจน์
“แล้วก็หยิบของที่ทำตกไปด้วย…เพราะฉันคงไม่คิดจะเอาไปคืนเธอหรอกนะ…
ลูกไม้ตื้นๆที่ใช้อ่อยผู้ชายแบบนี้…เลิกใช้ซะเถอะ…เพราะมันใช้ไม่ได้ผลกับคนอย่างฉัน…
แล้วก็เลิกหาเหตุอันไร้แก่นสานเพื่อขอเข้าพบฉันจะดีกว่า…และถ้าเธอมาหาฉัน
เพราะมีธุระกับฉันแค่นี้ล่ะก็…เชิญกลับออกไปซะ…อย่าให้ฉันต้องให้คนของฉัน
จับเธอโยนออกไป…”
หัวอกคนฟังร้อนราวกับไฟก่อนจะก้มลงหยิบเข็มกลัดติดผ้าคลุมที่ไม่รู้ว่ามันหลุดร่วง
ตั้งแต่ตอนไหน…ก่อนจะตอกเขากลับไปเป็นการทิ้งท้ายเพราะเธอแน่ใจแล้วว่า
คนตรงหน้าคือคนๆเดียวกับ เชคกามารุน บินอัสมา อัลฟารุก อย่างไม่ต้องสงสัย…
แต่เขาไม่ใช่พี่ก้อของเธอ เขาไม่ใช่และจะไม่มีวันใช่…
“ฉันยอมกระโดดจากคานให้คอหักตาย ดีกว่าต้องมาอ่อยคนอย่างคุณ
และขอบอกเอาไว้ตรงนี้…ว่าคนอย่างนัจมุนไม่มีวันอ่อยพ่อม่ายเมียทิ้งอย่างแน่นอน…
เพราะถ้าฉันจะลงจากคาน คนๆนั้นก็ต้องเป็นหนุ่มโสดสนิทไร้ตำหนิเรื่องการใช้ชีวิตคู่…
และฉันก็เข้าข่ายสวยเลือกได้…ซึ่งคนอย่างคุณไม่เคยอยู่ในสายตาฉันเลย…
ไม่ได้อยู่ในตัวเลือก…ไม่จำเป็นต้องมาเตือน เพราะฉันรู้ว่าอะไรคู่ควรกับตัวเองดี…”
คนพูดหอบหายใจถึ่ด้วยแรงโกรธ…อีกทั้งเพราะพูดเร็ว ซ้ำยังใช้อารมณ์ไปเยอะ
ทำให้ต้องสูญเสียพลังงานไปโดยไม่สมควร หากเมื่อเห็นแววตาวาวโรจน์ของเขาเท่านั้น
นัจมุนก็ยิ้มกริ่ม ก่อนจะเดินออกไปอย่างกระหยิ่มยิ้มย่องในใจท่ีได้เอาคืนเขาบ้าง…
หลังจากที่ทำให้เธอนอนไม่หลับมาทั้งคืน…
แม้ปกติเธอจะไม่ชอบการโอ้อวด ที่พูดส่วนใหญ่ก็แค่สนุกปากหาได้รู้สึกอย่างนั้นจริงๆ
แต่พอเจอคนที่อวดดี หลงตัวเองเข้า…มันเลยอดที่จะอยากข่มบารมีขึ้นมาไม่ได้…
“เธอจะต้องเดือดร้อนก็เพราะปากนี่แหล่ะนัจมุน…” เขาบอกเธอด้วยเสียงทุ้มต่ำ
บ่งบอกอารมณ์ภายในได้อย่างชัดเจน…ทำเอาคนที่กำลังก้าวขาถึงกับชะงักเพียงนิด
แล้วหันมายิ้มให้หน้าบึ้งตึงของเขา
“ขอบคุณค่ะที่เตือน…” พูดจบก็เดินยิ้มออกไปจากบ้านหลังนั้น
หลังจากเหตุการณ์ร้ายๆที่กลายเป็นข่าวโจษจันกันมาเป็นสัปดาห์
จนทางเจ้าหน้าที่ตำรวจต้องเรียกตัวเธอและน้องชายไปให้สอบสวน
ถึงเหตุที่มาที่ไปว่าเธอมีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายของพวกเขาเหล่านั้นที่โดนสังหารหมู่
หรือไม่อย่างไร…ก็ทำเอาเหงื่อตก…บิดามารดาของน้องชายโทรมาสอบถาม
เพราะว่าเรื่องนี้ได้กลาบเป็นข่าวพาดหัวเนื่องจากเป็นคดีสะเทือนขวัญประชาชน…
ในตอนแรกนัจมุนไม่ได้เอ่ยปากเล่าเหตุการณ์ที่คนพวกนั้นบุกรุกบ้านของเธอ
ในยามวิกาล เพราะลึกลงไป เธอไม่อยากให้คนที่เข้ามาช่วยเธอในคืนนั้นเดือดร้อน
ทั้งๆที่ไม่ควรเอาอารมณ์สงสารมาใช้ในเรื่องแบบนี้ แต่เธอก็ทำไม่ได้
หากท้ายที่สุดแล้ว…เธอก็ต้องเอ่ยปากออกมาเมื่อเจ้าตัวเขาออกมาเปิดเผย
ถึงเหตุการณ์ในวันนั้น…จนได้ข้อสรุปว่าเขาและคนของเขาแค่สั่งสอนคนพวกนั้น
แต่ไม่ได้ลงมือฆ่า พยายานหลักฐานอยู่ฝั่งเขาหมด…
จนขณะนี้ก็ยังจับมือใครดมไม่ได้…หากนัจมุนก็ยังคงติดใจสงสัยและเคลือบแคลง
ในตัวของเขาอยู่ไม่หาย…เพราะเขาเป็นคนบอกเธอเองว่าตีงูต้องตีให้ตาย
มันจะได้ไม่มาแว้งกัดในภายหลัง…
เหตุการร้ายที่เกิดขึ้นจึงทำให้วันนี้บิดาของเธอกับมารดาเลี้ยงเดินทางมายังบ้้านต้นรักษ์
แต่ไม่ได้เข้าพักที่บ้านผู้ดีเก่าของเธอ…ท่านทั้งสองขอพักโรงแรมหรูในตัวเมือง
โดยที่แม่เลี้ยงของเธอยังเอาเจ้าน้องชายไปกกไว้ทั้งวัน ทำให้เธอต้องมาเดิน
ปล่อยอารมณ์อยู่ในท้องทุ่งด้วยความหงุดหงิดงุ่นง่าน…
เพราะโดนแม่เลี้ยงเสียดสี อีกทั้งยังเหน็บแนมด้วยวาจาจนไม่อาจทนอยู่ฟังต่อไปได้
‘รู้ว่าดูแลให้ความปลอดภัยไม่ได้ ก็ไม่ควรเอาน้องมา…’
นั่นคือประโยคแรกที่เจอหน้ากัน ก่อนจะตามมาด้วย
‘บ้านป่าเมืองเถื่อนแบบนี้จะอยู่กันไปยังไง…บ้านนั่นก็อย่างกับรูหนู
เก่าคร่ำครึจะพังแหล่มิพังแหล่…ลมพัดทีก็คงบินไปกับลม…แล้วสะอาดรึเปล่าก็ไม่รู้…
ถ้ารู้ว่าสภาพมันจะขนาดนี้ ฉันไม่ให้ลูกฉันมาอยู่ด้วยตั้งแต่แรกแล้ว…’
วิจารณ์บ้านเก่าของสามีตัวเองเสร็จแล้วไม่หมดแค่นั้น
‘ถ้าเธออยากจะจมปลักอยู่ท่ีนี่ก็เชิญอยู่ไปคนเดียว อย่าลากชีวิตของลูกชายฉัน
เข้าไปเกี่ยวด้วย…ชีวิตเขาไม่ได้ไร้ค่าขนาดที่จะให้ใครลากเอาไปเสี่ยงด้วย…
ฉันจะเอาลูกฉันกลับ…ส่วนเธออยากจะอยู่ก็อยู่…มันชีวิตของเธอนี่…ใครจะไปบงการได้…’
‘หมอกจะอยู่กับนีลครับแม่…’
‘ไม่ได้…ยังไงๆก็ต้องกลับไปกับแม่…ปล่อยพี่สาวหัวติดดินไว้ที่นี่แหล่ะ
หาคนดีๆมีหน้ามีตาในสังคมให้ก็ไม่สน อยากจะมาจมปลักอยู่กับกลิ่นโคลนสาบควายนัก
ก็ปล่อยเขาไป…เรารึหวังดีแท้ๆแต่ไม่เคยเห็นหัวกันเลย…เรียนมาก็ตั้งสูง…
เสียเงินไปก็ตั้งมากมายแต่กลับโยนความรู้ความสามารถทิ้งไปแล้วมาเกลือกกล้ัว
กับอะไรแบบนี้…ความจริงถ้าอยากใช้ชีวิตแบบนี้ เรียนแค่ม.หกก็น่าจะพอแล้ว…
จะเรียนไปทำไมให้เปลืองทรัพยากร…นี่หรือ…คนมีการศึกษา…มีมันสมอง…’
ตอนนั้นเธอแทบอยากกระโจนไปขย่ำแม่เลี้ยงให้แหลกคามืออยู่เหมือนกัน
แต่เพราะเกรงใจบิดาที่อยู่ด้วยตรงนั้น บิดาที่เก็บปากเงียบ ไม่มีเลยที่จะปกป้องเธอ...
หรือพูดอะไรก็ได้ให้เธอที่เป็นลูกสาวของท่านรู้สึกดีกว่านี้…อุ่นใจกว่านี้...
และที่เธอทำได้มากสุดก็แค่ตอกกลับไปอย่างนิ่มๆว่า
‘แต่เงินทุกบาททุกสตางค์นีลหาของนีลเอง ไม่ได้แบมือขอใคร…’
เธอไม่ใช่คนเก่งหรือฉลาดปราดเปรื่องอะไร…แต่เพราะความพยายามในการคร่ำเคร่ง
กับหนังสือตำรับตำราเพื่อที่จะสอบชิงทุนไปเรียนต่อ…จึงทำให้เธอก้าวหน้าทางการศึกษา…
และพยายามใช้จ่ายอย่างประหยัด อดบ้างในบางมื้อ…เพ่ือที่จะได้ไม่ต้องแบมือ
ขอใครให้เขามาทวงหนี้บุญคุณในภายหลัง…ที่ไม่ว่าจะเรื่องเล็กเรื่องน้อย เรื่องขี้ปะติ๋ว
มารดาเลี้ยงของเธอก็จะต้องยกมาข่มเธอ พูดทวงบุญคุณเธออยู่ร่ำไป
เธอเลยเบื่อและเข็ดขยาดการเป็นหนี้มารดาเลี้ยงเป็นที่สุด…ไม่ว่าจะหนี้ด้านไหน
ก็ไม่อยากเป็น…
ตั้งแต่อายุสิบแปดปีเธอก็เลิกแบมือขอเงินพ่อ เงินของท่านกับมารดาเลี้ยงเธอเลี่ยงมาตลอด
ที่จะไม่แตะต้องหรือสัมผัสมัน เพราะหนี้บุญคุณที่ติดอยู่มันก็ค้ำคอเธอ
จนยากจะไถ่ถอนได้หมดอยู่แล้ว
เธอไม่ได้เจ็บปวดที่โดนทวงบุญคุณ แต่เจ็บปวดตรงที่พวกเขาทำให้เธอรู้สึกว่า
ตัวเธอมันเป็นได้แค่ ‘กาฝาก’ ในชีวิตของพวกเขา…
ทุกอย่างที่เธอดูดกินมาจากพวกเขา เธอไม่มีสิทธิ์และการที่มีเธอเกาะติดชีวิต
ของพวกเขามันได้ทำให้พวกเขาต้องเดือดร้อน…จนต้องหาทางกำจัดเธอออกไป
ให้พ้นเส้นทางอย่างละม่อมและแยบยล…โดยไม่ให้คนในสังคมประณามได้ว่า
ใจดำกับเด็กกำพร้าแม่...
ความรู้สึกเหล่านั้นมันทำให้เธอหนาวเหน็บและเจ็บลึกทุกทีที่นึกถึง…
และดูเหมือนประโยคนั้นของเธอจะทำให้บทสนทนาระหว่างกันจบสิ้นลง
เพราะเธอเองที่หมดความอดทนจนต้องหนีออกมาเดินปล่อยอารมณ์ให้สายลม
แสงแดดและอากาศบริสุทธิ์ช่วยปัดเป่าความอัดอั้นตันใจออกไปให้หมด…
มาลาตีเคยบอกว่าเธอเป็นคนเก็บกด มันก็อาจจะจริง…
เพราะไม่เคยระบายอะไรในใจกับใครได้…ไม่ใช่เพราะไม่ไว้ใจเพื่อน
แต่เธอไม่อยากเอาเรื่องภายในครอบครัวมาประจาน…มันไม่ต่างอะไรกับการสาวไส้ให้กากิน…
ขนาดน้องชาย…ผู้เป็นมารดาเลี้ยงของเธอยังมองเป็นสมบัติของตนที่เธอไม่สมควรแตะต้อง…
หวงจนขนาดกีดกันไม่ให้พี่น้องเขาได้สนิทสนมกัน…
ทั้งๆที่ทุกอย่างที่หวงๆอยู่นั่นตอนตายใช่ว่าจะเอาไปด้วยได้สักอย่าง…
และเพราะเลี้ยงลูกแบบนี้นี่แหล่ะถึงทำให้ลูกชายคนโตของมารดาเลี้ยงมีสภาพ
อย่างที่เห็นในปัจจุบัน จะโทษใครได้ นอกจากคนปลูก…และคนดูแล…
เธอไม่อยากให้น้องชายต้องตกชะตากรรมเดียวกับผู้เป็นพี่ชาย
ก็เลยพยายามกันๆออกมาบ้างเท่าที่จะทำได้…
หญิงสาวคิดและใคร่ครวญเรื่องราวที่ผ่านมาจนลืมเวลา...
จนกระทั่งดวงตะวันคล้อยต่ำ แสงส่องกระทบเงาวัตถุ ทำให้วัตถุนั้นมีความยาวเท่าของจริง…
นัจมุนจึงรู้ว่าได้เวลาเข้าสู่ละหมาดแล้ว…
ทว่า เหนือขึ้นไปบนฟ้าเมฆดำทะมึนเข้าครอบคลุมตั้งแต่เมื่อไหร่ตอนไหน
หญิงสาวมิได้รู้เนื้อรู้ตัว รู้เพียงว่าอีกไม่นานก้อนเมฆคงไม่อาจรับน้ำหนักสิ่งที่กักเก็บไว้ได้
จนต้องปล่อยกระแสน้ำลงมา…เท่าที่คำนวณในยามนี้ที่ดวงอาทิตย์ใกล้จะถูกเมฆดำบดบัง
นัจมุนรู้ได้ทันทีว่าเธอคงเดินกลับไม่ทันถึงบ้าน ฝนต้องตกลงมาทำให้เธอเปียกปอนแน่ๆ…
จึงมองหาที่พักชั่วคราวให้พอหลบฝน…
จิตใจพลันนึกไปถึงต้นจิกกลางหนองน้ำกับต้นตำเสาเพื่อนยากของมันขึ้นมา
จึงมุ่งหน้าไปยังทิศทางดังกล่าว…ก่อนจะตกใจเมื่อเห็นกระท่อมน่ารักๆ
ไม่ใช่สิ…ต้องเรียกว่า ‘บ้านต้นไม้’ ถึงจะถูก เพราะมันถูกสร้างไว้บนต้นจิก
ที่ยื่นกิ่งแผ่ปกคลุมหนองน้ำ…มีบางส่วนอยู่เหนือผืนดินและในบางส่วนของตัวบ้านยื่นไปในน้ำ
ใกล้ๆกับกิ่งของต้นจิกที่ครั้งหนึ่งเธอเคยไปยืนร้องเพลงและเต้นระบำอย่างสนุกสนาน…
มันดูน่ารัก เพราะทำจากไม้สักทองทั้งหลัง…หลังเล็กกะทัดรัด น่าเข้าไปพักเป็นที่สุด
ทำให้หญิงสาวอยากรู้อยากเห็นว่าข้างในนั้นจะเป็นอย่างไร เลยถือวิสาสะหมายจะเข้าไปดู
หวังเพียงว่าจะไม่มีใครอยู่ในนั้น อีกทั้งประตูบ้านก็เปิดอ้าไม่ได้ล็อคกุญแจเสียด้วย…
หญิงสาวยิ้มกริ่ม หากยังก้าวได้ไม่กี่ก้าว ก็มีศีรษะของใครคนหนึ่งซึ่งนอนเอกเขนก
อ่านหนังสือเล่นอยู่นานก่อนหน้านี้โผล่ออกมาเสียก่อน…เพราะรู้สึกได้ถึงความอึมครึม
ของบรรยากาศ เลยหมายจะโผล่หน้าออกมาดูท้องฟ้า
จึงเห็นเมฆดำตรงหน้า แทนเมฆดำบนท้องฟ้าแทน
‘ยัยเมฆดำมาทำอะไรที่นี่’ ในใจพลันคิดขณะมองใบหน้าที่เหมือนจะยังคงตกใจ
จนถึงกับนิ่งงัน
“นี่ยังไม่กลับที่ของเธอไปอีกรึไง…” นั่นคือคำทักทายของเขา
“นี่แหล่ะที่ของฉัน…” หญิงสาวประกาศก้อง
“แน่ใจว่าใช่…” เขาเลิกคิ้วถามอย่างยียวน
“แน่ใจ…”
“ใครบอกเธอ…”
“ต้นจิก…” นัจมุนสวนกลับพลางมองไปยังต้นจิกที่ดูจะภูมิฐานมากกว่า
เมื่อครั้งอดีตอยู่มากโข…ทว่าดอกของมันยังคงสีสันสวยงามไม่เสื่อมคลาย
“ฉันเพิ่งรู้ว่าเธอพูดกับต้นไม้รู้เรื่อง…”
“งั้นก็รู้ซะสิว่าฉันสื่อสารกับมันได้…”
“ฮึ…แต่ตอนนี้…มันเป็นของฉัน…อยู่ภายใต้การปกครองของฉัน…ทั้งหมด…”
เขาย้ำหนักๆตรงท้ายประโยค ทำเอานัจมุนหน้าชา
เพราะเธอพยายามไถ่ถามเจ้าของเดิมเพื่อจะขอซื้อที่ดินตรงส่วนนี้
หากทางเจ้าของบอกว่าได้ขายให้นายหน้าไปเสียแล้ว…เพิ่งรู้ว่านายหน้าที่ว่า
ได้เอาไปขายทอดให้คนตรงหน้านี่เอง…
“เป็นสาวเป็นนางไม่ควรมาเดินเตร็ดเตร่ในที่แบบนี้…”
ได้ทีสั่งสอนอย่างที่ชอบทำเสมอเวลาปะทะกับเธอ ไม่แน่ใจว่าจุดประสงค์ที่แท้จริงของเขา
หมายจะสอนสั่งหรือหวังจะเหน็บให้เธอเจ็บกันแน่ เพราะประโยคต่อมามันไม่ต่างกับ
น้ำร้อนที่ราดรดไปบนตัวเธอ โดยเฉพาะที่ใบหน้าของเธอ
“นี่มันท้องทุ่ง ร้างผู้คน มีแต่พวกขี้ยามาแอบหลบปี้ยากัน…ไม่ใช่ห้างสรรพสินค้า
ที่เธอจะเดินเฉิดฉายไปมา…ถ้าไม่อยากโดนปี้ก็ควรจะรีบกลับไปในที่ของเธอซะ…”
ตอนแรกก็คิดจะกลับทันทีเมื่อเจอหน้าเขาแล้วล่ะ แต่ตอนนี้ชักไม่อยากกลับ…
“แสดงว่าคุณก็หลบมาปี้ยากับเขาเหมือนกันล่ะสิ…” หญิงสาวตอกเขาไปอย่างไม่กริ่งเกรง…
“ยาน่ะฉันไม่สนใจหรอก…แต่อย่างอื่นน่ะไม่แน่…ยิ่งไก่ที่บินหลงมา…”
เขาว่าพลางกวาดสายตามองเธอทั้งตัวอย่างเหยียดหยามก่อนจะส่ายหน้า
“แต่สภาพแบบนี้…กลืนไม่ลงจริงๆ…” นัจมุนมองดูสภาพตัวเองที่สวมชุด
กางเกงยีนส์สีซีดกับเสื้อยืดแขนยาวพร้อมด้วยผ้าคลุมหัวมิดชิด…
แน่นอนว่ามันไม่ได้เซ็กซี่...เพราะเธอไม่ได้ต้องการให้ใครมามองเธอ
ด้วยสายตาโลมเลีย…
“แต่ฝนจะตกแล้ว…ฉันขอหลบฝนในนี้ไม่ได้หรือไง…” หญิงสาวแจ้งความประสงค์แก่เขา
ในเมื่อเขาบอกเองว่ากลืนเธอไม่ลง ก็ไม่เห็นจะเป็นไรที่เธอจะขอหลบฝนในบ้านหลังนี้บ้าง…
“ไม่!” เสียงเขาเข้มทีเดียว
“ฉันบอกว่าให้กลับไปที่ที่ของเธอไง…” หญิงสาวยังคงดื้อด้าน ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ
เลยท้าทายเขาด้วยการปีนขึ้นไปบนต้นจิกที่เขานั่งอยู่
“เธอนี่พูดไม่รู้เรื่องจริงๆ…ความเป็นกุลสตรีที่ดีหายไปไหนหมด หรือว่าแม่ไม่เคยสั่งสอน…”
คำว่า ‘แม่ไม่สั่งสอน’ เหมือนเข็มนับหมื่นเล่ม
ที่พุ่งเข้าทิ่มแทงหัวใจนัจมุนทันที หญิงสาวมองเขาด้วยแววตาเจ็บปวดเหลือคณานับ…
“ว่าไม่ควรทำตัวแบบนี้…และไม่ควรอยู่กับผู้ชายสองต่อสองแบบนี้ฮึ…อายุก็ไม่ใช่จะน้อยๆ
น่าจะรู้ได้แล้วว่าสถานที่แบบนี้ไม่ควรที่ผู้หญิงดีๆที่ไหนเขาจะมาเดินเล่น
โยกย้ายส่ายสะโพกไปมากัน…”
เขาต่อว่าเธอไม่ยั้ง ซ้ำยังตวาดใส่หน้าเธออีกว่า
“หรือจะให้ฉันหรือไม่ก็ไอ้พวกขี้ยาพวกนั้นจับปล้ำทำเมียเสียก่อนถึงจะรู้สึก…”
“เผียะ! เผียะ! เผียะ!” นัจมุนฟาดหน้าเขาไปสามทีซ้อนอย่างไม่ออมแรง
จนอีกฝ่ายหน้าหันไปมา…ก่อนจะวิ่งลงจากต้นจิกแล้วไม่หันหลังกลับไปมอง
คนที่ตนเพิ่งลงมือประทุษร้ายแม้แต่น้อย ไม่สนเสียงฟ้า ไม่สนเสียงฝน ไม่สนอะไรทั้งนั้น
ได้แต่วิ่งไปข้างหน้าอย่างไม่รู้ทิศรู้ทาง
สายฝนที่หลั่งลงมาหนาเม็ดช่วยพรางน้ำตาที่กำลังอาบสองแก้ม
เพราะเขา…เพราะเขาที่ทำให้เธอต้องมาร้องไห้…ทั้งๆที่ไม่ร้องไห้มานานเท่าไหร่แล้ว…
หลายครั้งที่อยากจะร้องไห้แต่น้ำตามันจุกอยู่ข้างในจนร้องไม่ออก…
และเมื่่อขาไร้เรี่ยวแรงจะก้าวเดินต่อไป หญิงสาวก็ทรุดกายลงนั่งตรงอดีตคันนา
เพราะปัจจุบัน ณ ท้องทุ่งแห่งนี้ได้กลายเป็นทุ่งร้าง มีหญ้าขึ้นแทนต้นข้าว
ไม่มีใครทำนาบนผืนดินแห่งนี้อีกแล้ว บรรยากาศเดิมๆได้บินหายไปพร้อมกับอะไรบางอย่าง
ที่เธอไม่แน่ใจว่าใช่ ‘กาลเวลา’ หรือไม่ เพราะใครๆก็มักโทษมันกันทั้งนั้น…
เธอเองก็เป็นหนึ่งในนั้นที่มักโทษมัน ต่อว่ามันที่เอาสิ่งดีๆไปจากชีวิตเธอ…
ซ้ำยังเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆให้ไม่เหมือนเดิม…
นัจมุนแหงนหน้าแลฟ้ายามพลบค่ำ…หยดน้ำใสๆร่วงหล่นแข่งกับสายฝน
โดยที่สายลมยังคงพัดต้องผิวกาย ไม่แน่ใจว่าหมายจะปลอบหรือว่าซ้ำเติม…
ทุกอย่างรอบกายดูมืดลงเรื่อยๆ เมฆลอยสวยก่อนหน้าจะหลั่งฝนลงมาเปลี่ยนเป็น
มืดดำ...แลไม่เห็นว่าความรักที่แท้จริงอยู่ที่ไหน มีใครบ้างไหมที่อยู่บนฟ้านั่น…
ขอสักคนได้ไหม แค่สักคนที่จะรักและห่วงใยกัน…ไม่หลอกไม่ลวง…ไม่ย่ำยี…
โอบอ้อมอารี…มีความจริงใจ…ใครคนนั้นอยู่ไหนกัน…
เธอต้องรอไปอีกนานแค่ไหน...ถึงจะได้เจอใครคนนั้นที่ใฝ่ฝันหา...
ความหนาวเย็นจับขั้วหัวใจในคราวแรก ครั้นเมื่อนานเข้ากลายกลับไปความอบอุ่น
ได้อย่างน่าประหลาดใจ ทำให้บัดนี้ร่างที่นั่งตากฝนอยู่กลางทุ่งกว้าง
หยุดอาการสั่นสะท้านลงได้…รอยยิ้มหวานจึงฉายขึ้นท่ามกลางสายฝนอันเย็นฉ่ำ
ก่อนจะยืนหยัดทะนงแล้วก้าวเดินต่อไป…แม้ไร้คนประคับประคองทั้งกายและใจ…
แต่เธอจะปล่อยให้ความฝันหลุดลอยไปเพราะความอ่อนแอไม่ได้…
เธอมาที่นี่เพื่ออะไร? เพ่ือโลกใหม่ต้องเป็นของเธอมิใช่หรือ…หมดเวลาคร่ำครวญแล้ว…
โลกนี้ไม่มีที่ให้คนอ่อนแอยืน…
ต้นไม้ที่เข้มแข็งเท่านั้นถึงจะฝ่าแดด ลมฝนอย่างไม่อ่อนล้า จึงจะยืนยงไม่ล้มทั้งยืน…
สุดขอบฟ้าไกลแค่ไหน...แม้ไม่มีปีก…เธอก็จะเดินไปให้ถึง…
..............โปรดติดตามตอนต่อไป.....................
กาฝากก็เป็นหนึ่งในต้นไม้ชนิดหนึ่งค่ะ...แต่ไม่ใคร่มีใครจะเห็นคุณค่า
จริงๆแล้วมันเป็นยานะคะ...ที่สวนมีกาฝากเกาะต้นยางพาราเยอะมาก
คราวก่อนโน้นมีคนมาขอซื้อเอาไปทำยา...บอกว่าหายาก
พอมาเจอกาฝากที่บ้านเต่าเข้าไป ยิ้มกว้างทีเดียว พ่อบอกเอาไปเลยไม่ต้องซื้อ
ประมาณว่า...ตกใจที่มีคนมาขอซื้อต้นกาฝากที่พ่อต้องคอยกำจัด
ไม่ให้มันมีบทบาทเกินหน้าเกินตาต้นยางพาราอยู่เรื่อยๆ...เหอๆ
วูบนึงก็รู้สึกสงสารมันเหมือนกัน...ที่ไม่มีที่อยู่เป็นของตัวเอง
ต้องไปอาศัยชาวบ้านเขาอยู่ ต้องพึ่งพาสารอาหารจากเขา จนบางทีก็ทำเอา
เจ้าของสิ้นเนื้อประดาตัว (ตาย)
เลยเอา 'กาฝาก' มาฝาก...^^
เร่ืองนี้ตัวร้ายก็ร้ายหลบในค่ะ...ต้องลองเดาๆดูว่าใคร...เพราะร้ายไม่ใช่ย่อยเลย
ขอบคุณนักอ่านทุกท่านที่ติดตามนะคะ
ขอบคุณทุกไลค์ที่กดให้กัน และขอบคุณสำหรับความเห็นท่ีอยู่เป็นกำลังใจ
ให้คนเขียนมีแรงปั่น...^o^
.........ตอบเมนท์จ่ะ..........
1.คุณyapapaya...ปรากฎว่างานนี้งูตายค่ะ ไม่รู้ใครตีจนตาย...อิอิ
และเรื่องมันก็ไม่น่าจะจบลงง่ายๆซะด้วยซี...รอดูกันต่อไปค่ะ...
2.คุณตุ๊งแช่...น้องหมอกสิบขวบจ้าาาา...ส่วนนีลจะอยู่รอดปลอดภัยมั้ยนั้น
ต้องมาดูกันต่อไปค่ะ เพราะบ้านต้นรักษ์ไม่ได้เป็นอย่างในอดีตแล้ว...
ส่วนพี่ก้อก็อย่างที่เห็นค่ะ ไร้อารมณ์สุนทรีย์โดยสิ้นเชิง อิอิ
แสดงว่ามันกำลังท้าทายน้าาา เอาซากไอ้โต้งมาเย้ยถึงเรือนเนี่ย...
กินแล้วกินไม่หมด ยังมีหน้ามาเย้ยเจ้าของให้ช้ำใจ มันน่าจะจับไปตอนซะให้หมด
จะได้ไม่ต้องขยายพันธุ์ต่อไป...เย้ย...โหดไปไหม...อิอิ
แมวสาว(น้อย)ที่บ้าน ปีนี้อายุ 12 แล้วค่ะ จำได้แม่น เพราะเกิดไล่เลี่ยกันกับ
หลานชาย ปัจจุบันไม่ค่อยมีฟันให้เค้ียวอะไรแระ กระดูกเอยอย่าหวังว่าจะกินได้
สงสารเห็นมันมองกระดูกไก่ตาปรอย แต่ทำไรไม่ได้...มันชอบกินข้าวคลุก
ปลากระป๋องค่ะ...แล้วก็มีฉี่ไม่เป็นที่เป็นทางด้วย...แก่แล้วก็งี้...
เวลาจับหนูทีไร จากที่เคยว่องไวไร้เทียมทาน ปัจจุบันหนูเดินผ่านหน้าไป
มันยังไม่รู้ไม่เห็นเลย...ได้แต่นอนหมอบมองอย่างอิจฉาแมวเด็กๆที่จับหนูเล่น
เย้ยฟ้าท้าดินมัน...อิอิ...
3.คุณแว่นใส...ตอนนี้เหมือนนายก้อจะเพิ่มดีกรีขึ้นมาอีกหน่อย...
ปล่อยเฮียแกไปก่อนค่ะ ปล่อยไปก่อน...อิอิ
4.คุณปรางขวัญ...คนอื่นทำร้ายน่าจะทนดูไม่ได้ แต่ถ้าตัวเองดเป็นฝ่าย
ทำร้ายนั้นน่าจะไม่เป็นไร...อิอิ
.........ขอให้นักอ่านมีสุขภาพแข็งแรงกันถ้วนหน้านะคะ..........
"เต่าโย"

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 17 พ.ค. 2558, 00:08:02 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 17 พ.ค. 2558, 00:33:10 น.
จำนวนการเข้าชม : 2314
<< ต้นที่ 6 คนแปลกหน้า | ต้นที่ 8 มะม่วงยาใจ >> |


แว่นใส 17 พ.ค. 2558, 08:44:40 น.
ไม่คิดถึงอดีตเลยเหรอนายก้อ
ไม่คิดถึงอดีตเลยเหรอนายก้อ

