บ้านต้นรักษ์ (จบแล้วจ้า) รีไรท์
ก้อ...กอมารุน...ราชาแห่งท้องทะเลทราย

ปะทะกับ

นีล...นัจมุน...ราชินีแห่งท้องทุ่ง


เมื่อดวงจันทร์กับดวงดาวบนฟ้าต่างแข่งกันประจันแสง...
โดยมีต้นไม้ สายน้ำ และท้องทุ่ง เป็นตัวประกัน...

หมู่บ้านอันแสนสงบร่มเย็นอย่าง 'บ้านต้นรักษ์'
กำลังจะลุกเป็นไฟ

เมื่อสิ่งที่นักลงทุนอย่างเขาต้องการ
คือสิ่งเดียวกันกับที่หญิงสาวหวงแหนยิ่งชีพ
ทั้งๆที่เธอไม่มีสิทธิ์อะไรที่จะมาหวงแหนในสิ่งที่ไม่ใช่
กรรมสิทธิ์ของตน!

การเชือดเฉือนจึงก่อกำเนิดในยุคแห่งวัตถุนิยม
ที่นายทุนเป็นใหญ่

ท่ามกลางสงครามอันร้อนระอุ

ระหว่าง

ราชาแห่งท้องทะเลทราย กับ ราชินีแห่งท้องทุ่ง

ที่อยู่ห่างกันราวคนละโลก ในชีวิตกันคนละแบบ
คิดอ่านกันคนละอย่าง...

เสียงเพรียกจากวันวาน จะกลับมาขับขาน
สะพานไม้หมากที่พาดข้ามฟากเชื่อมสองฝั่งคลอง
กำลังสั่นสะเทือน...เมื่อสะพานคอนกรีตจะเข้ามาแทนที่

สายสัมพันธ์ระหว่างคนกับต้นไม้กำลังจะพัดหวนคืน

...น้ำในลำธารใสสะอาดกับน้ำมันสีดำไม่อาจเข้ากันได้ฉันใด
เธอกับเขาก็ไม่อาจเข้ากันได้ฉันนั้น...

ไม่มีใครรู้ว่าระหว่าง ดวงจันทร์ดวงใหญ่แค่ดวงเดียวที่ลอยเด่น
อยู่บนฟ้ากับดวงดาวจำนวนมากมายนับล้าน
มีความเป็นมาอย่างไร...
เว้นแต่ต้นไม้ที่ผ่านกาลเวลาโดยไม่เคยหนีหายไปไหนเท่านั้น
ที่จะไขปริศนานี้...

ต้นไม้ที่ยืนผงาดอย่างอดทนผ่านร้อนหนาว
ผ่านฤดูกาลมาครั้งแล้วครั้งเล่าโดยไม่มีใครเคยได้ยินเสียงบ่น
ต้นไม้ที่เหมือนจะไม่รับรู้สิ่งใด...

หากทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้นและเป็นไปกลับกลายเป็นส่วนหนึ่ง
ความรักความประทับใจและความผูกพันธ์ถูกบันทึกไว้ใต้ต้นไม้
หยั่งรากลึกลงในดิน หยั่งลึกลงในจิตใจ...
มีค่า มีความหมาย...นานเท่านาน...


Tags: ดราม่า รัก ต้นไม้ กอมารุน นัจมุน ก้อ นีล เชือดเฉือน แนวอนุรักษ์

ตอน: ต้นที่ 8 มะม่วงยาใจ


กลับถึงเรือน นัจมุนก็รีบตักน้ำในบ่ออาบทันทีก่อนจะกินยาลดไข้กันเอาไว้
หากเหมือนจะไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก เพราะคืนนั้นทั้งคืนเธอโดนพิษไข้รุมเร้า…

น้องชายเองก็คงกลับไปกับบิดามารดาโดยไม่ต้องสงสัย เพราะตอนที่เธอกลับมาถึง
ก็พบว่าเป้และกระเป๋าเดินทางของน้องชายอันตรธานหายไปจากบ้านแล้ว

…ไม่มีการรออยู่เพื่อร่ำลากันแบบนี้ เธอรู้ได้ทันทีว่าเป็นแผนของแม่เลี้ยง
ที่คงรบเร้าให้พ่อเธอและน้องชายรีบๆกลับเป็นแน่…

แต่ช่างเถอะ…เธอชินกับสภาพบรรยากาศภายในครอบครัวในลักษณะแบบนี้
มาตั้งแต่สิบขวบแล้ว…

หลายครั้งเวลาหิวน้ำจัดๆเพราะคอแห้งผาก ต้องคลานไปหาน้ำ เพราะร่างกาย
ไม่อาจตั้งตรงได้ตามปกติ…เธอต้องสู้รบกับพิษไข้อยู่นานราวชั่วกัปชั่วกัลป์

ตอนบ่ายของวันใหม่จึงพอจะลุกมาหุงข้าวไหว เพราะจะให้ปั่นจักรยานไปหาข้าวกินนอกบ้าน
เห็นจะลำบาก เลยยอมลำบากทำครัวด้วยการโยนไข่ไก่สองฟองเข้าไปในหม้อข้าว…

นั่นล่ะ อาหารยอดฮิตเวลาเธอป่วย…

เพราะประหยัดแรง แถมยังประหยัดเวลา ที่สำคัญ ประหยัดเงินตราในประเป๋า…

เป็นความเคยชินหนึ่งที่ทำให้เธอเลือกกินอะไรง่ายๆ ทำอะไรกินง่ายๆ
เลยพาลทำให้เธอไร้ฝีมือเรื่องการทำอาหาร…ที่ทำได้ก็แค่ปลาทอดซึ่งคลุกแค่เกลือ
แล้วนำไปทอดลงในน้ำมันเดือด ไข่ดาว ไข่เจียว ผัดผักบุ้ง…หรือผัดผัก ลวกผัก

ส่วนเมนูอื่นๆที่ต้องเพิ่มเงิน เพิ่มเวลา เธอจะไม่เลือกทำ

เนื่องจากเมื่อก่อนเธอต้องเอาเวลาไปอ่านหนังสือ คนไม่ได้มีเส้นสมองหรือรอยหยักมากๆ
อย่างเธออ่านแค่รอบเดียวไม่มีทางจำได้ ขนาดสองรอบก็ยังจำได้บ้างไม่ได้บ้าง…
เลยต้องอ่านมากกว่าคนฉลาดหลายเท่าถึงจะเอาชนะข้อสอบมาได้…
เพราะถ้าเอาชนะมันไม่ได้และผลการเรียนตกต่ำ เธอก็จะโดนระงับทุนไปตามระเบียบ…

นั่นเลยทำให้ต้องเสียเวลาไปกับมันมากจนต้องลดเวลาส่วนอื่นลง…และดูเหมือนเรื่องกิน
ที่เคยเป็นเรื่องใหญ่เมื่อสมัยมีแม่คอยทำโน่นทำนี่ให้กินจึงลดบทบาทลง

เธอกินอะไรก็ได้…ขอให้ได้กิน...ท้องอิ่มไม่ร้องกวนใจเธอเป็นพอ…
อร่อยไม่อร่อยเธอกลืนลงท้องได้หมด

อาหารขยะที่เขาว่าก็กิน อาหารข้างถนน ข้างริมฟุตบาทก็หาใช่ปัญหาใหญ่
ขอแค่กินไปไม่ท้องเสียก็เป็นพอ…

และเพราะเหตุผลที่ไม่ได้มีเงินในกระเป๋ามากนัก กว่าจะจ่ายสักทีต้องนับแล้วนับอีก
ว่าจะใช้จ่ายพอต่อเดือนหรือไม่ ต้องเผื่อค่าทำรายงานไว้อีก…
ไหนจะต้องลงเรียนวิชาป้องกันตัวเสริมอีก…เพราะชีวิตเจอแต่ภัยจากผู้ชายมาโดยตลอด…
ไม่รู้เพราะอะไร…

สุดท้ายสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายเลยมักถูกเบียดบังและลดบทบาทลงเรื่อยๆ…
ไม่ใช่ไม่รู้ว่าอะไรดีต่อร่างกาย แต่บางครั้งมันก็มีอย่างอื่นที่สำคัญกว่า

สมัยเรียนเลยไม่ค่อยได้กินอะไรดีๆหรืออาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการนัก
จนมีงานทำเป็นเรื่องเป็นราวถึงได้หามากินได้บ้าง

หากเพราะความเคยชิน เลยทำให้ชีวิตมันยังไม่ได้แตกต่างไปจากเก่าก่อนนัก…

และเมื่อสัญญาณหม้อข้าวบอกว่ามันสุกเรียบร้อยแล้ว นัจมุนเลยประคองตัวเอง
เดินไปยังหม้อข้าว ตักข้าวและปอกไข่ต้มสองใบลงในจาน ก่อนจะผ่าไข่สองฟอง
ออกเป็นสองซีกด้วยช้อน ราดด้วยซอสถั่วเหลือง ก่อนจะตักเข้าปาก…

แม้ลิ้นไม่ค่อยรับรสหรือไม่ก็ไม่ได้มีรสชาติอะไรให้สัมผัสมากนัก แต่ท้องของเธอ
มันยังต้องการย่อยอะไรสักอย่าง และถ้าเธอไม่ส่งอะไรไปให้มัน…
มันก็จะทำการย่อยตัวของมันเอง…คราวนี้คงได้ร้องครวญคราง นอนขดตัวไปไหนไม่รอด
เป็นวันๆแน่…ก็เลยกลืนๆมันลงไป พยายามไม่มองมันเป็นดีที่สุด พยายามไม่คิดว่า
มันอร่อยหรือไม่อร่อย ปิดกั้นความรู้สึกและรสสัมผัสเอาไว้ จนข้าวหมดจาน
ตามด้วยน้ำหนึ่งแก้วแล้วยาลดไข้เข้าไปเสริมทัพ นอนอีกสักไม่ก่ีชั่วโมง
ตื่นมาก็น่าจะปั่นจักรยานไปหาอะไรอร่อยๆกินได้เหมือนเดิมแล้ว…

หากไม่เป็นดังที่คิดไว้ ไข้มันยังอยากจะอยู่กับเธอต่อไปอีกหน่อย

มื้อเย็นนัจมุนเลยต้องลากสังขารณ์ขึ้นมานั่งต้มไข่อีกครั้ง…

“เอาน่า…ตอนเรียนกินแต่ไข่ต้มเป็นเดือนๆ ยังกลืนมาได้…แค่สองมื้อเอง…
มื้อต่อไป…ข้าวหมกไก่…” บอกตัวเองอย่างมีความหวังว่ามื้อหน้าต้องได้กินเมนูในใจ

“มะม่วงด้วย…” เริ่มร่ายรายการอาหารเป็นการปลุกใจตัวเองไปพลางๆ

หากพอตกดึก ไข้กลับสูงอย่างน่าประหลาดใจ นัจมุนสังหรณ์ใจว่ามันอาจจะ
ไม่ใช่ไข้ธรรมดาเสียแล้ว…แต่จะลุกก็ลุกไม่ขึ้นเนี่ยสิทำไงดี…

หญิงสาวพยายามคลานไปยังตู้เย็นที่มีก้อนน้ำแข็งอยู่ในนั้น ก่อนจะใช้ผ้าขนหนูผืนเล็ก
ห่อมันไว้แล้วประคบศีรษะเพื่อบรรเทาอาการปวดหัวและลดความร้อนระอุ…

ครึ่งชั่วโมงผ่านไป ค่อยยังชั่วขึ้น หญิงสาวจึงหยิบกุญแจรถกระบะของตนพร้อมกระเป๋า
สะพายประจำกาย แล้วฝืนสังขารณ์ขับรถไปยังโรงพยาบาลประจำอำเภอ…

พยายามเรียกสติตัวเองไปตลอดทาง…ท้ายที่สุดก็มาหยุดอยู่หน้าโรงพยาบาลได้สำเร็จ…
หญิงสาวเลยประคองตัวเองไปยังเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ที่เห็นมาแต่ไกล
ก่อนจะหมดสติลงตรงนั้นโดยไม่ทันได้เอ่ยคำใดออกมาแม้แต่คำเดียว…

ฟื้นขึ้นมาอีกครั้งก็พบกับเพดานห้องสีขาวๆกับหลอดไฟนีออน…หันไปด้านข้าง
ก็พบกับสายน้ำเกลือ เห็นคนไข้คนอื่นๆนอนเรียงกัน ทำให้รู้ว่าเธออยู่ในห้องพักรวม…

นางพยาบาลสาวเดินเข้ามาทักทายเธอด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส
ทำให้หัวใจห่อเหี่ยวของคนป่วยค่อยรู้สึกชุ่มชื่นขึ้นมาบ้าง

“อีกสักครู่…คุณหมอก็จะขึ้นตรวจแล้วนะคะ…ตอนนี้รู้สึกเป็นยังไงบ้างคะ…
ยังปวดหัวอยู่อีกรึเปล่า” น้ำเสียงไพเราะน่าฟังกับถ้อยคำดีๆนี่ก็เป็นอีกหนึ่งกำลังใจ
ให้คนป่วยเช่นกัน

“ยังปวดอยู่ค่ะ…แต่ไม่มากแล้ว…ว่าแต่…วันนี้วันอะไรคะ…”

“วันศุกร์ค่ะ…” นัจมุนขมวดคิ้วทันทีพร้อมกับประมวลผล

“ฉันนอนไปหนึ่งวันเต็มๆเลยหรือคะ…”

“ค่ะ…” พยาบาลสาวยิ้มพร้อมกับถามอาการอื่นๆแล้วจดบันทึกลงบนแผ่นรายงาน
ไม่นานต่อจากนั้นคุณหมอเจ้าของไข้ก็ขึ้นตรวจและแน่นอนว่าเธอโดนสวดเสียยับทีเดียว

“ความจริงคุณไม่น่าจะขับรถมาโรงพยาบาลเองนะครับ…มันอันตราย
ทั้งต่อตัวคุณเองและคนอื่นๆที่ใช้ถนนร่วมกับคุณ…”

“คุณหมอ…เอ่อ…รู้ได้ไงคะ…ว่า…เอ่อ…ฉันขับรถมาเอง…”

“พยาบาลเข้ากะดึกเห็นคุณเข้าและเขาก็ช่วยคุณเอาไว้…” คุณหมออธิบายไป
ในขณะตรวจอัตราการเต้นของหัวใจ

“ฉัน…เป็นอะไรคะ…” นั่นคือสิ่งที่เธอเกือบจะลืมถาม

“ไข้หวัดใหญ่ครับ…” เพราะใหญ่นี่เองถึงทำเอาเธอเสียอยู่หมัด…
ถ้าเล็กๆล่ะก็อย่าหวังว่าจะเอาชนะเธอได้แบบนี้…

“ยังไงหมอขอดูอาการของคุณไปก่อน…ถ้าจะย้ายไปห้องพิเศษก็แจ้งพยาบาลไว้นะครับ…”

“ไม่เป็นไรค่ะ…อยู่ท่ีนี่แหล่ะค่ะ…เพื่อนเยอะดี…” นัจมุนกล่าวพร้อมรอยยิ้ม
ทำเอานายแพทย์ถึงกับขมวดคิ้วกับถ้อยคำนั้น

“ทำไมไม่ให้ใครพามาโรงพยาบาลล่ะครับ…” เขาถามขณะก้มอ่านแผ่นรายงานในมือ

“อยู่คนเดียวน่ะค่ะ…ก็เลยไม่รู้จะไหว้วานใคร…แล้วแถวที่อยู่ก็ไม่ค่อยมีบ้านใครใกล้ๆ
ให้พอเรียกหาได้น่ะค่ะ” จริงๆมีอยู่หลังนึง แต่เธอไม่คิดจะไปพึ่งพาเขาเป็นแน่…

และที่สำคัญ ตอนนี้เธอยังเป็นคนแปลกหน้าสำหรับชาวบ้านอยู่ คงต้องใช้เวลา
ในการกระชับความสัมพันธ์…

“เป็นผู้หญิงไม่ควรจะอยู่คนเดียวนะครับ…หน้าตาคุณก็ไม่ได้ขี้เหร่…”

นายแพทย์บอกแกมเตือน…ก่อนจะยิ้มให้เธออย่างคนใจดีมีเมตตาก่อนจะยกมือขึึ้น
อังหน้าผากของเธอ…

“ฉันเคยอยู่ในประเทศที่เคยมีสงครามมาก่อนค่ะ…คุณหมอสบายใจได้”
นัจมุนตอบพร้อมรอยยิ้มสดใส

“ถ้าอย่างนั้นก็นอนพักผ่อนเยอะๆนะครับ…ห้ามซุกยาด้วย…ต้องกินยาตามหมอสั่ง…
เข้าใจมั้ยครับ…” นัจมุนพยักหน้าอย่างว่าง่าย

“ค่ะ…จะกินให้ครบทุกมื้อ ไม่มีซุกยา จะได้หายไวๆ…ไม่อยู่เป็นภาระให้คุณหมอ
นานๆแน่ๆค่ะ” รอยยิ้มของคนพูดทำให้คนฟังรู้ว่าตัวเองโดนสวนกลับเข้าให้แล้ว…

“คิดได้อย่างนี้ก็ดีแล้วครับ…” พูดจบก็เดินไปตรวจคนไข้รายอื่นต่อ
นัจมันมองไปรอบๆสถานที่ มีคนไข้เยอะทีเดียว…


หญิงสาวนอนพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลต่ออีกสองวัน…ตรวจครั้งล่าสุดจึงได้รับแนะนำ
จากคุณหมอมาอีกว่า

“น้ำหนักคุณต่ำกว่าเกณฑ์…คุณควรดูแลเอาใจใส่สุขภาพให้มากกว่านี้นะครับ…
ทานอาหารที่ดีมีคุณค่าทางโภชนาการ ผู้หญิงมักเข้าใจผิดว่าผอมแล้วสวย…
จริงๆแล้วไม่ใช่นะครับ…คนเราควรมีน้ำหนักที่ได้มาตรฐาน…ถึงจะทำให้สุขภาพของเราดี…
แล้วอย่างอื่นก็จะดีตามมาเอง...”

นัจมุนยิ้มกว้าง เธอเองไม่ได้ตั้งใจจะลดน้ำหนักเพื่อให้ตัวเองผอมแต่อย่างใดเลย
หากนั่นคือ ความหวังดีจากคุณหมอ เธอจึงไม่อยากพูดอะไรที่จะเป็นการทำลาย
บรรยากาศดีๆไป จึงพยักหน้าอย่างเข้าใจ

“ค่ะ…ฉันจะกินให้เยอะๆ…ให้น้ำหนักได้มาตรฐานอย่างที่คุณหมอแนะนำค่ะ…”

“ดีครับ…หวังว่าผมคงจะไม่ต้องเห็นคุณเดินมาเป็นลมหมดสติหน้าโรงพยาบาลอีกนะครับ…”

“จะพยายามค่ะ…” หญิงสาวตอบแบบแบ่งรับแบ่งสู้

“แล้วขับรถกลับไหวมั้ยครับ…”

“ไหวค่ะ…ทุกอย่างปกติแล้วค่ะ…ปั่นจักรยานยังได้เลย…”

เสียงตอบที่สดใสทำให้นายแพทย์เจ้าของไข้เบาใจลงไปจนต้องยิ้มออกมาเพื่อเป็น
กำลังใจให้คนไข้...




ก่อนกลับบ้าน นัจมุนแวะซื้อข้าวกล่องพร้อมอาหารสด…ก่อนจะตกใจเมื่อนึกขึ้นได้ว่า
เธอไปนอนอยู่โรงพยาบาลสามวัน แล้วเจ้าลูกเจี๊ยบที่เธอกับน้องชายซื้อมาเลี้ยงไว้
จะเอาอะไรกิน...ในเมื่อไม่มีใครคอยให้อาหาร…หวังว่ามันจะไม่เป็นอะไรไปนะ…

คิดได้ดังนั้นนัจมุนก็รีบบึ่งรถกลับบ้านทันที…พอมาถึงก็ไม่พบลูกเจี๊ยบของเธอแม้แต่ตัวเดียว…

มันหายไป!

พอมองโทรศัพท์มือถือที่มีเสียงสั่นเตือน นัจมุนจึงกดรับ

“ว่าไงหมอก…”

“หมอกโทรหาพี่นีลทุกวัน ทำไมพี่นีลไม่รับสายหมอก…งอนหมอกล่ะสิ”

นัจมุนอึกๆอักๆไม่รู้จะตอบอย่างไร เพราะก่อนหน้านี้เธอไม่ได้แตะต้องโทรศัพท์เลย…

“ก็งอนน่ะสิ…ทิ้งพี่ไปไม่ลากันสักคำแบบนั้น…”

“โอ๋ๆ…อย่างอนเลยน้า…หมอกเองก็อยากอยู่รอ แต่แม่น่ะสิรอไม่ไหว”

“พี่เข้าใจ แล้วตอนนี้เราเป็นไงบ้าง…”

“กินดีอยู่ดีเหมือนเคย…แต่ไม่มีอะไรสนุกๆให้ทำเท่าไหร่ เบื่อเล่นเกมส์แล้วด้วย…
พอขอแม่กลับไปหาพี่นีล แม่ก็โวยวายใหญ่…”

“อย่ามาเลย…ที่นี่ไม่ค่อยสะดวก เชื่อฟังแม่เราน่ะถูกแล้ว…”

“คิดถึงลูกเจี๊ยบด้วย…มันเป็นไงบ้างพี่นีล…” นัจมุนลอบกลืนน้ำลาย

“เอ่อ…มันก็…ยังโอเคดีอยู่…” หญิงสาวยอมโกหกน้องไปก่อน

“ง้ันเดี๋ยวพี่ค่อยโทรกลับได้ม้ัย…”

“ดูแลตัวเองด้วยนะพี่นีล…”

“เราก็เหมือนกัน…จุ๊บๆ” นัจมุนจุ๊บให้โทรศัพท์ก่อนกดวางสาย
แล้วเดินหาเจ้าลูกเจี๊ยบไปจนทัั่วทั้งบ้านก็ไม่เจอ…เดินหาไปจนถึงท้ายสวนส้มโอแล้วก็ไม่เห็น

“ไปเกเรที่ไหนนะ…อย่าให้เจอนะ…แม่จะทำโทษให้หนักเชียว…”

นัจมุนบ่นไปพลางก็สอดส่ายสายตามองหาไปด้วย ก่อนจะมาหยุดยืนตรงริมลำธาร
เห็นน้ำใสๆ ก็อดไม่ได้ที่จะนั่งลงวักน้ำขึ้นมาล้างหน้าที่เต็มไปด้วยเหงื่อจากการเดินตามหา
เจ้าลูกเจี๊ยบ…หากอยู่ๆก็เห็นอะไรบางอย่างลอยตุ๊บป่องๆตามน้ำมา…

ก่อนจะค่อยๆลอยผ่านหน้าเธอไป ทำเอานัจมุนถึงกับมองสิ่งดังกล่าวตาค้าง อึ้งตะลึงงัน

นัจมุนหยิบซากชีวิตทั้งเจ็ดขึ้นมาจากน้ำ…แล้ววางเรียงไว้บนริมลำธาร
มองมันด้วยน้ำตาคลอเบ้า…แม้จะเพิ่งเลี้ยงได้ไม่กี่วัน แม้ความผูกพันจะยังมีไม่มากนัก
หากมันก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่เธอกับน้องชายต่างก็ช่วยกันเลี้ยงดู

…อุตส่าห์ซื้อมาเจ็ดตัว เพื่อจะได้เป็นเหมือนดาวลูกไก่บนฟ้า…

แล้วใคร…ใครกันทำกับมันแบบนี้…มันไม่น่าจะซุ่มซ่ามเดินตกน้ำตายไปพร้อมๆกัน
ทั้งเจ็ดตัวแน่ๆ…

นัจมุนกัดฟัน เมื่อมันไหลมาจากด้านบนและเหนือน้ำขึ้นไปก็ไม่ใช่บ้านใคร…บ้านเขานั่นเอง!

หญิงสาวเดินไปหยิบตะกร้าปูเศษผ้ารองไว้แล้ววางซากลูกไก่ทัั้งเจ็ดลงไปในนั้น
ก่อนจะหิ้วมันไปยังบ้านท่านเชคผู้ยิ่งใหญ่ด้วยแววตาขุ่นโกรธ…

“บอกท่านเชคของนายออกมาจากกระดองเดี๋ยวนี้นะ…” นัจมุนเอ่ยเสียงเข้ม
กับยามหน้ายักษ์ที่ยืนปักหลักไม่ยอมเปิดประตูรั้วบ้านให้เธอเสียที

“ท่านเชคไม่อยู่ครับ กลับไปประเทศของท่านหลายวันแล้วครับ…”

“ไม่เชื่อ…อย่ามาโกหก…”

“ไม่มีความจำเป็นที่ผมต้องโกหก…” นัจมุนไม่เชื่อว่าเขาจะไม่อยู่…

แต่ก็ต้องตกใจเมื่ออยู่ๆก็มีรถคันงามมาจอดเทียบหน้าประตูรั้ว…
เพียงไม่นาน กระจกที่ติดฟิล์มจนมองไม่เห็นคนด้านในก็ลดลง
ทำให้เห็นคนที่นั่งท่อนหลังว่าเป็นใคร…

“มาทำอะไรหน้าบ้านฉันอีก…เธอนี่ดื้อด้านจริงๆ ไล่แล้วก็ยังไม่ไป…
หรือต้องให้ใช้มาตรการขั้นเด็ดขาด…” เสียงของเขาทุ้มต่ำ แววตาที่มองมายังเธอ
คมกริบยิ่งนัก…

“ถ้าการอยู่บ้านตัวเองคือ การดื้อด้าน คุณก็คงไม่ได้แตกต่างไปจากฉันหรอก”

หญิงสาวตอกกลับไป ทำให้ประตูรถด้านหลังเปิดออกพร้อมคนในชุุดโต๊ปสีขาวที่ก้าวออกมา…

“อย่าคิดนะว่าคุณจะตบตาคนอื่นได้…เพราะฉันคนนึงที่จะไม่มีวันเชื่อ
คุณใช้ให้คนของคุณทำร้ายสัตว์เลี้ยงตอนที่ฉันไปนอนที่โรงพยาบาลมาใช่มั้ย…

ถ้าอยากทำ ทำไมไม่ทำกับฉัน ทำไมต้องไปลงกับสัตว์เลี้ยงของฉันด้วย…คุณมันเลือดเย็น…
ใจทมิฬหินชาติที่สุด” ไม่พูดเปล่า นัจมุนหยิบซากชีวิตในตะกร้าขึ้นปาใส่หน้าอกเขา

“เอาชีวิตมันคืนมานะ…เสกชีวิตของมันกลับมาเดี๋ยวนี้…”

ลูกน้องของชายหนุ่มเห็นดังนั้นจึงรีบรุดไปยังหญิงสาว หากชายหนุ่มกลับยกมือขึ้นห้ามเอาไว้…

“มันตายก็ควรเอามันไปฝัง ไม่ใช่เอามาปาเล่น…นี่หรือความรักที่เธอมีต่อสัตว์เลี้ยงของเธอ…
ถ้ารักก็ควรปฏิบัติอย่างให้เกียรติกับซากชีวิตของมันด้วย...”

คนโดนปากัดฟันตอบกลับไปด้วยสีหน้าเรียบตึง น้ำเสียงเย็นเยียบทีเดียว

“ก็แล้วไม่ใช่คุณรึไงที่ทำให้มันตาย…ฉันไปทำอะไรให้คุณ…แค่พูดจากวนประสาท
กับตบหน้าคุณ คุณถึงกับต้องเอาคืนขนาดนี้เลยรึไงเล่่า” หญิงสาวตวาดใส่หน้าเขา
อย่างไม่กริ่งเกรงต่อสิ่งใด ตอนนี้อารมณ์ล้วนๆ

“ถ้าโกรธที่ฉันตบหน้าคุณ คุณก็ควรมาลงที่ฉัน…ไม่ใช่พาลไปลงกับสิ่งอื่นแบบนี้…”

เธอไม่เคยมีศัตรูที่ไหน นอกจากเขา…ถ้าไม่ใช่เขา จะเป็นใคร ในเมื่อศัตรูล่าสุด
ที่เธอมีเรื่องด้วยท่ีนี่ก็ถูกสังหารหมู่ไปแล้ว

ชายหนุ่มก้มลงหยิบซากชีวิตนั่นขึ้นแล้ววางไว้ในตะกร้าที่นัจมุนถืออยู่ดังเดิม

“พามันไปฝังซะ…แล้วเลิกตีโพยตีพายอย่างคนไร้สติเสียที…”

เมื่อสั่งแล้วอีกฝ่ายยังคงยืนจ้องเขาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ ชายหนุ่่มจึงกระชากตะกร้า
ในมือนั้นมาถือไว้แล้วยื่นส่งไปให้ลูกน้องพร้อมสั่งว่า

“ช่วยจัดการให้ที…” ลูกน้องของเขารับตะกร้าไปแล้วเดินเข้าไปยังอาณาเขตของบ้าน
นัจมุนมองตามตะกร้าใบนั้นแล้วหมายจะก้าวตามไป

“ฉันเคยบอกแล้วว่าห้ามเธอมาเหยียบที่นี่อีก…มันไม่ใช่ฮาเร็ม และไม่ใช่ที่ให้ผู้หญิง
เข้ามาเดินสวนสนามเล่น...ที่นี่มีแต่ผู้ชายล้วนๆ ฉันพูดแค่นี้เธอยังไม่เข้าใจอีกรึนัจมุน
ว่าทำไมฉันถึงห้ามไม่ให้เธอมาเหยีบบที่นี่...”

“แต่นั่นมันลูกเจี๊ยบของฉัน…” ชายหนุ่มส่ายหน้าไหว

“กลับบ้านเธอไปซะ…ฉันไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้น และไม่จำเป็นต้องมานั่งอธิบายอะไรด้วย…”
นัจมุนเม้มปากสนิท

“คิดจะชิ่งหนีปัดความรับผิดชอบรึไง…”

“เธอนี่ฟังภาษาคนไม่เข้าใจรึไงนะ…หรือต้องให้คอยมานั่งแปลให้ฟังทุกคำเลยรึไง…”
เขาหันมาตำหนิอีกฝ่ายด้วยสีหน้าระอา

“แล้วไปนอนทำไมที่โรงพยาบาล บ้านเธอมันไม่มีอะไรให้กินแล้วรึไง
ถึงต้องไปขอข้าวโรงพยาบาลกิน…” เขาถามขึ้นด้วยสีหน้าราบเรียบ
ไม่แสดงออกว่ารู้สึกเช่นไร…หากมันกลับโดนจุดคนป่วยที่มีปัญหากินได้แค่ไข่ต้มขึ้นมา

“เรื่องของฉัน…ฉันจะกินจะนอนอะไรที่ไหนยังไงมันก็เรื่องของฉัน…
แต่ฉันจะไม่มีวันเชื่อหรอกว่าคุณไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายของเจ้าเจ็ดเจี๊ยบของฉัน…
สักวัน…ฉันจะต้องจับคุณให้ได้คาหนังคาเขาและจะเอาผิดคนอย่างคุณให้ได้…คอยดู”

หญิงสาวกล่าวอย่างหนักแน่นและจริงจัง แววตามุ่งมั่นจนชายหนุ่มถึงกับลอบถอนใจ…

“เธอคงดูหนังดูละครมากไป หรือไม่ก็เพ้อเจ้อเป็นกิจวัตร…เอาเถอะ...
ฉันจะไม่ถือสาหาความ…ก็แล้วกัน…”

พูดจบเขาก็เดินเข้าไปในบ้านโดยไม่ได้นั่งรถเข้าไป…รอยน้ำและรอยเลือดบนเสื้อ
ตรงแผ่นอกของเขายังคงชัดเจน ทำเอาคนโดนต่อว่าถึงกับกำหมัดแน่น…

เมื่อก้มลงเห็นก้อนขี้ดินจึงรีบคว้ามันขึ้นมาแล้วปาไปยังแผ่นหลังของเขาเต็มแรง
ทำเอาเจ้าของแผ่นหลังหันมามองมือปาด้วยแววตาวาวโรจน์ทีเดียว
ก่อนจะกัดเขี้ยวเคี้ยวฟันตัวเองเมื่อเห็นว่าเธอวิ่งหายไปยังบ้านของตัวเองทันที
ที่ทำร้ายเขาได้สำเร็จ…ก่อนจะยกมือห้ามลูกน้องที่จะไล่ตามตัวการที่ทำให้เจ้านายของตน
ได้รับบาดเจ็บก่อนจะเอ่ยออกมาว่า…

“ก็แค่เด็กที่โตแต่ตัว…ถือสาไปก็เท่านั้น…ทะเลาะด้วยก็เสียเวลาเปล่า
อ้อ...เดี๋ยวช่วยจัดมะม่วงน้ำดอกไม้ต้นนั้นไปให้เธอสักเจ็ดลูกด้วย
คัดเอาที่ยังไม่สุกมากนัก...แล้วก็ใส่ตะกร้านั้นกลับไปคืนเจ้าของเขาด้วย...”

"ครับเชค..."




นัจมุนมองตะกร้าที่ใส่มะม่วงน้ำดอกไม้ที่เธอโปรดปรานในมือของคนที่ยื่นให้เธอ
ตรงเชิงบันไดบ้านที่ก่อนหน้านี้เธอได้ให้ช่างมาทำให้ใหม่เรียบร้อยแล้ว…
ทำให้มันดูแปลกแยกไม่เข้ากับตัวบ้านเพราะใหม่อยู่ที่เดียว

“ฉันรับไว้ไม่ได้หรอกค่ะ…” นัจมุนข่มใจบอกปัดออกไป เธอจะให้ความอยาก
อยู่เหนือศักดิ์ศรีไม่ได้…ศักดิ์ศรีกินไม่ได้ก็จริงแต่มันทำให้เธอรู้สึกดีที่รักษามันไว้ได้

“รับไปเถอะครับคุณผู้หญิง…ท่านเชคให้ผมนำมาให้เป็นการปลอบขวัญ”

“ตบหัวลูบหลังมากกว่า…มะม่วงนี่มันจะชดเชยชีวิตลูกเจี๊ยบฉันได้ยังไง
ฝากคุณไปบอกท่านเชคผู้ยิ่งใหญ่ของคุณด้วยว่าฉันไม่รับ…”

“ท่านเชคและพวกเราไม่ทำอะไรลอบกัดแบบนั้นหรอกครับ…อีกอย่างท่านก็เพิ่งกลับมา…
เป็นไปไม่ได้ที่ท่านจะเป็นคนทำ…และที่สำคัญ…เรื่องอะไรแบบนี้ไม่อยู่ในสมองของท่าน
หรอกครับ…ขอให้เชื่อผม” นัจมุนมองคนนำมะม่วงอย่างสับสน

จะว่าไป...คนระดับนั้นไม่น่าจะคิดทำอะไรแบบเด็กๆที่พาลพาโลแบบนี้ได้...

“รับไว้เถอะครับ…มะม่วงต้นนั้นท่านเชคหวงมากๆนะครับ ถ้าไม่ใช่คนสำคัญ
ไม่ได้กินหรอกครับ…”

'คนสำคัญ'หรือ…นัจมุนครางในใจ

แปลกที่อยู่ๆเธอก็รู้สึกดีขึ้นมากับถ้อยคำแค่ไม่กี่คำนั้น…

“ฉันจะกล้ากินได้ยังไง…ถ้าเจ้าของเขาหวงออกขนาดนั้น” คนฟังกระตุกมุมปาก
ตาเป็นประกายเหมือนจะยิ้มได้

“แค่คำแรกที่ได้สัมผัส…ความกลัวก็หายไปแล้วครับ…”

เมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมยื่นมือมารับสักที ชายหนุ่มจึงวางตะกร้าไว้ตรงชานเรือน
พร้อมกับขอตัวกลับทันที

“ถ้ามีอะไรร้องดังๆนะครับ…ท่านเชคเป็นคนที่มีประสาทการรับรู้ไวมาก…มากกว่าพวกเรา
แต่ถ้าเป็นไปได้คุณไม่ควรอยู่ที่นี่...โดยเฉพาะบ้านหลังนี้…”

“ทำไม?” ไม่มีคำตอบกลับมา นอกจากอีกฝ่ายจะก้มหน้าเพียงนิดแล้วเดินจากไป…

นัจมุนคิดตามถ้อยคำแปลกๆที่เพิ่งได้ฟังมา…ก่อนจะมองไปยังตะกร้าที่มีมะม่วงหน้าตาดี
หล่อสวยทั้งเจ็ดลูก ครั้นจะให้ปฏิเสธมันอีกรอบเธอคงทำใจแข็งต่อไปไม่ไหวจริงๆ

หญิงสาวจึงยกตะกร้าดังกล่าวเดินเข้าบ้านไปพร้อมรอยยิ้มที่มุมปาก แววตาสุกใส
ไม่ใช่เพราะจะได้กินของโปรด แต่เหมือนจะเป็นเพราะถ้อยคำของลูกน้อง
ที่ดูจะเป็นคนสนิทของเขาที่บอกเป็นนัยๆว่าเธอเป็นคนสำคัญของเขา…
ถึงมีสิทธิ์ได้กินมะม่วงต้นนี้…








...........โปรดติดตามตอนต่อไป................

นายก้อ...เหมือนจะใจดี แต่ก็เหมือนใจร้าย...เหอๆ

ขอบคุณนักอ่านทุกท่านที่ติดตามนะคะ
ขอบคุณไลค์ที่กดให้กัน และขอบคุณทุกๆความเห็นด้วยจ่ะ ^^


...........ตอบเมนท์จ่ะ............

1.คุณปรางขวัญ...คนร้ายยังอยู่ในเงาอยู่ค่ะ...ยังไม่โผล่ในที่แจ้งเลย...
ต้องรอดูว่าใครค่ะ...แต่ร้ายไม่หยอก...เจ็ดเจี๊ยบหมดลมไปแล้วด้วย...
ต่อไปจะถึงคิวอะไรอีก...^^

2.คุณแว่นใส...นั่นน่ะสิ...นายก้อไม่คิดถึงอดีตเลย...
ปัญหาคือ เขามาทำอะไรที่บ้านต้นรักษ์นี่สิคะ...มาพักเป็นเรื่องเป็นราวเลยนะนั่น...


3.คุณsunflower...ยังใจร้ายได้อีกอ่ะจิ...ตัวร้ายก็ร้าย
พระเอกก็ร้าย นางเอกก็ปากร้าย...สรุปคือร้ายๆกันทั้งน้านนนนน...
มันเป็นรักแบบที่ต้องสาวเส้นมาม่านิดนึง...ตอนหน้ามีมาให้ลุ้นด้วยค่ะ...
แต่เรื่องนี้มีจุดผ่อนคลาย หืดไม่น่าจะขึ้นคอตลอดเรื่อง(รีเปล่า) อิอิ


4.คุณyapapaya...มันจายิ่งโหดกว่านี้อีกในไม่ช้าอ่ะจิ...อิอิ
เก๊าชักหวาดๆ ว่าจะโดนนักอ่านรุมเละนะเนี่ย...แต่มะเป็นรายยย
เต่ามีกระดองหลบภัย...เฮะๆๆๆ




......ขอให้มีความสุขสุขภาพดีกันถ้วนหน้านะคะ.......


"เต่าโย"




yoraya
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 18 พ.ค. 2558, 00:32:39 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 18 พ.ค. 2558, 00:55:05 น.

จำนวนการเข้าชม : 2346





<< ต้นที่ 7 กาฝาก   ต้นที่ 9 ต้นตอข้อต่อรอง >>
แว่นใส 18 พ.ค. 2558, 00:43:53 น.
ใครเป็นคนฆ่าเจ้าดาวลูกไก่นะ ใจร้ายจริง


Pampam 18 พ.ค. 2558, 02:15:28 น.
น่าจ๋งจ๋านเจ็ดเจี๊ยบ ยอมรับว่ากินมาม่าจากเงามารจนท้องอืดเลยหยุดพัก ตอนนี้ตามมาอ่านเรื่องใหม่ละ หมู่บ้านนี้มีอะไรซ่อนอยู่


ตุ๊งแช่ 18 พ.ค. 2558, 08:55:03 น.
นึกว่าพี่ก้อจะสอดส่องดูแล หนูนีลซะอีกก...


ปรางขวัญ 18 พ.ค. 2558, 10:14:01 น.
เจี๊ยบๆน่าสงสารจัง ระวังตัวไว้ด้วยนะนู๋นีล มีอะไรร้องดังๆแล้วพี่ก้อจะมาซ้ำเติมใช่ม่าย


yapapaya 18 พ.ค. 2558, 18:25:39 น.
น่าสงสารเจ็ดเจี๊ยบจริงๆใครนะใจร้ายจัง ระวังตัวด้วยนะหนูนีล มีไรร้องแปดหลอดไปเลย นายก้อจะมาในทันใด จริงไหมคุณโย


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account