หยกวาดตะวัน
"ฉันชื่อวาดตะวัน มาจากในนิยาย นิยายบนโลกมนุษย์นี่แหละ!"


เสียงเล็กแหลมของสาวน้อยที่แฝงไว้ด้วยความมาดมั่นร่ำร้องซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่อย่างนั้น
ทำเอาชานนอยากจะเป็นบ้าตาย


ตอนนี้ชีวิตเขาวุ่นวายมากพออยู่แล้ว ไม่ว่าจะหน้าที่การงานหรือว่าคนรัก
เขาเพิ่งถูกแฟนสาวสลัดทิ้งมาหมาดๆ

แต่แล้วจู่ๆ วันดีคืนดีก็มีผู้หญิงร่างเล็กบอบบางแทบปลิวได้ตกลงมาในบ้านเขา
ซ้ำร้ายยังเอาแต่พร่ำเพ้อว่าตัวเองหลุดมาจากโลกในนิยาย

งานนี้ไม่รู้ว่าหล่อนหรือเขากันแน่ที่บ้า

...ทางเดียวที่ทำได้คือเขาต้องไล่หล่อนกลับไปในโลกนิยายอย่างนั้นเหรอ ?

Tags: นักเขียน แฟนตาซี ปาฎิหารย์ ใสซื่อ เวทย์มนตร์

ตอน: บทที่ 6 (ครึ่งหลัง)

บทที่ 6 (ต่อ)



หลังเลิกเรียน เด็กนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายต่างวุ่นอยู่กับการเตรียมการแสดงละครเวทีวิชาภาษาอังกฤษ ซึ่งถือว่าเป็นงานใหญ่ชิ้นสุดท้ายก่อนที่อาจารย์จะตัดเกรดในภาคการศึกษาต้น มนชนกก็เป็นหนึ่งในนั้นที่อยู่ช่วยเพื่อนร่วมห้อง โดยสาวเจ้าอยู่ในฝ่ายเขียนบทร่วมกับเพื่อนสนิทอีกสองคน ขณะที่เพื่อนคนอื่นๆ กระจายตัวกันไปอยู่ฝ่ายนักแสดงบ้าง ฝ่ายฉากบ้าง หรือไม่ก็ฝ่ายกำกับเวที และฝ่ายอื่นๆ อีกมากมายที่เกี่ยวข้องแล้วแต่ความถนัดของตน

"เสาร์หน้าให้พวกนักแสดงนัดกันไปหาชุดกันที่สยามเลยดีมั้ย ไหนๆ บทละครอาจารย์ก็ให้ผ่านมาแล้ว เหลือแค่แก้ไขอีกนิดเดียวเอง...ใกล้เสร็จแล้วใช่มั้ยออม...ออม...ไอ้ออม!"

"ฮะ มะ...เมื่อกี้พวกแกจะนัดไปกินไรกันนะ" มนชนกเพิ่งสติกลับคืนก็ตอนที่เพื่อนตะโกนเรียกนั่นแหละ

"นัดไปกินบ้านแกสิ" เพื่อนส่ายหัว

"มัวแต่ใจลอยไปถึงไหนจ๊ะคุณมนชนก เอ...หรือว่าที่พักหลังมานี้บทละครมันไม่กระเตื้องเพราะคนเขียนบทเอาแต่ใจลอยไปถึงทีเชอร์ที่สถาบันสอนพิเศษ"

"ตลกแล้วพวกแกนี่ ฉันก็แค่มีเรื่องให้ต้องคิดนิดหน่อย" มนชนกทำเป็นหัวเสีย ก่อนกลับไปก้มหน้าก้มตาแก้บทละครในมือต่อ ทว่าเหตุผลนั้นทำให้เพื่อนนึกไปถึงวันที่เมธัสรีบมารับมนชนกกลับบ้านคราวก่อน

"จริงสิ พวกฉันว่าจะถามแกอยู่พอดีเลย วันนั้นทำไมทีเชอร์เมธัสดูร้อนรนมารับแกจัง ที่บ้านมีเรื่องอะไรรึเปล่า"

มนชนกจากที่กำลังตั้งต้นทำสมาธิกับบทละครหยุดกึก หล่อนรู้ว่าเพื่อนหมายถึงวันที่เมธัสมารับเพื่อให้ไปหาวาดตะวันกับชานนที่บ้านด้วยกัน ทีแรกรู้เรื่องมนชนกก็จะโม้ให้เพื่อนฟังอยู่หรอก แต่พอได้มานั่งคิดทบทวนกับตัวเองดูแล้ว บวกกับรู้นิสัยเพื่อนดีว่าต้องปากสว่างเที่ยวโพนทะนาเรื่องวาดตะวันให้ใครต่อใครรู้อีกทั่วแน่ คนที่เดือดร้อนจะกลายเป็นวาดตะวันเปล่าๆ มนชนกเลยเลือกที่จะเก็บไว้เป็นความลับเฉพาะคนในครอบครัว

"กลับมาแล้วค่าาา"

ทันทีที่มนชนกนั่งวินมอเตอร์ไซค์กลับถึงบ้านก็ส่งเสียงดังมาก่อนตัว

แต่แล้วพอเปิดประตูรั้วเข้ามาในบ้าน ชานนกลับสาวเท้าไวเข้ามาหา

"เราเห็นวาดตะวันรึเปล่า"

"พี่วาดตะวัน?" น้องสาวทวนคำพี่ชายอย่างงงๆ ก็เห็นอยู่ว่าหล่อนเพิ่งมาถึง เลยมองผ่านชานนเข้าไปในบ้าน แล้วต้องช็อกไปสองวิ ไม่คาดคิดว่าจะเห็นบิดามารดาของญาติผู้พี่นั่งรวมตัวกันอยู่บนโซฟาห้องรับแขก!

"คุณลุงคุณป้ามาหาพี่เหรอเนี่ย แล้ว...แล้วพี่วาดตะวัน ยะ...อย่าบอกนะพี่นนวะ...ว่าคุณลุงคุณป้าเจอพี่วาดตะวันแล้ว"

"พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน เพิ่งถึงบ้านก่อนหน้าเราไม่กี่นาทีนี้เอง"

ชานนมีสีหน้ายุ่ง

"ตอนพี่มาถึงแกกำลังไขกุญแจประตูรั้วเข้าไปในบ้าน พ่อแม่พี่เป็นห่วงแทนคนบ้านเรานั่นแหละเลยอยากมาหา พี่เลยพาไปนั่งพักก่อน แต่วาดตะวันไม่อยู่นะ พี่เช็คดูทั่วแล้ว"

แม้ลึกๆ จะรู้สึกดีที่บิดามารดาของญาติผู้พี่มาเยี่ยม หากมนชนกยังอดลนลานไม่ได้

"ฝากขอบคุณครอบครัวของคุณอัศวินอีกครั้งนะคะที่เลี้ยงอาหารเย็นฉัน แล้วยังมีน้ำใจให้ฉันนำอาหารมาเผื่อคนที่บ้านอีก"

"ไม่เป็นไรเลยครับคุณวาดตะวัน ถือเสียว่าแทนคำขอบคุณที่คุณช่วยผมเลี้ยงเจ้าตัวแสบมัน"

เสียงหนุ่มสาวที่พูดคุยกันอย่างสนิทสนมอยู่ด้านหลัง เรียกความสนใจจากสองพี่น้องพลัน

อัศวิน...ชายหนุ่มเพื่อนบ้านฝั่งตรงข้ามนั่นเอง เขาเดินมาส่งวาดตะวันถึงหน้าบ้าน แต่ทำเป็นไม่เห็นชานนที่ยืนหัวโด่อยู่ตรงนั้น เป็นวาดตะวันที่ผละจากอัศวินมาแล้วมองตาปริบๆ มายังชายหนุ่มเจ้าของบ้าน แปลกใจแกมฉงนที่เขามายืนคุยกับมนชนกอยู่ข้างนอก

"พี่วาดตะวัน!"

มนชนกเข้ามาหาวาดตะวันทันทีด้วยความโล่งอก ผิดกับชานนที่เพียงมองสาวตรงหน้าด้วยสายตาขุ่นเคือง ทว่าไม่ได้เอะอะโวยวายหรือต่อว่าหล่อนเหมือนเคย นอกจากมีอาการหงุดหงิดหันหลังให้เดินกลับเข้าไปในตัวบ้าน

"หายไปไหนมาพี่วาดตะวัน ออมกับพี่นนเป็นห่วงแทบแย่"

"คุณอัศวิน...เอิ่ม...เพื่อนบ้านฝั่งตรงข้ามน่ะค่ะ เขาชวนพี่ไปเล่นกับหลานมา" วาดตะวันตอบเสียงอ่อยๆ พลางมองตามหลังชานนไปตาละห้อย ตั้งแต่มีเรื่องกับคนรักหลังจากที่กลับมาจากบ้านแม่หมอจันทรนิมิต ชานนนั้นเปลี่ยนไปมาก ทั้งเย็นชาและก็ทำตัวห่างเหิน ไม่เหมือนชานนคนเดิมที่หล่อนเคยรู้จัก

"เข้าบ้านมาได้เสียทีนะเจ้าออม"

นงลักษณ์...มารดาของชานนเอ่ยทักขึ้นก่อน เพราะเห็นลูกของพี่สาวยืนทำลับๆ ล่อๆ อยู่หน้าประตูรั้วได้สักพักแล้ว

มนชนกยกมือไหว้ทำความเคารพผู้ใหญ่ทั้งสอง เข้ามากอดพวกท่านประจบ

"อยู่กับพี่นนสะดวกสบายดีนะหนูออม" ชัยพล...บิดาของชานนถามขึ้นบ้างแสดงถึงความห่วงใยที่มีต่อหลานสาว ชายมีอายุผู้นี้มีรูปร่างท้วมตามวัย ขณะที่ภรรยาเป็นหญิงมีอายุที่มีรูปร่างสูงโปร่งและดูสาวกว่าวัยอยู่เสมอ

"ที่จริงพ่อแม่เราอยากตามมาด้วยนะ แต่ครั้นจะให้ยกโขยงกันมาหมดบ้านก็เกรงใจตานนเลยให้ป้ากับลุงมาเยี่ยมแทน" นงลักษณ์บอก ตอนนั้นเองที่เพิ่งสนใจสังเกตเห็นหญิงสาวอีกคนที่ยังคงยืนเก้ๆ กังๆ อยู่ตรงปากประตูบ้าน

"อ้าว นั่นใครน่ะ เพื่อนเราเหรอเจ้าออมเห็นเข้ามาในบ้านด้วยกัน"

"เอ่อ...ขะ...คืออย่างนี้ครับแม่"

"พี่เลี้ยงของออมเองค่ะ" มนชนกชิงบอกแทนพี่ชาย และนั่นทำให้ชานนหันขวับมามองน้องสาว

มนชนกรีบดึงตัววาดตะวันเข้ามาใกล้ๆ ผู้ใหญ่ทั้งสอง "พี่วาดตะวันคะ นี่คือคุณพ่อคุณแม่ของพี่นนค่ะ..เอิ่ม...พี่วาดตะวันเป็นพี่เลี้ยงส่วนตัวของออมตั้งแต่อยู่ที่ตรังแล้วค่ะ คุณพ่อคุณแม่เป็นห่วงออมก็เลยส่งพี่วาดตะวันมาอยู่เป็นเพื่อน แล้วก็คอยดูแลบ้านให้พี่นนด้วย"

ได้ยินมนชนกอธิบายให้เสร็จสรรพเช่นนั้น ชานนเลยเกิดอาการติดคอกระแอมไอออกมา ไม่ยักรู้ว่าน้องสาวตัวดีนอกจากจะชอบอ่านนิยายแล้ว ยังชอบแต่งเรื่องหน้าตายอีกด้วย ตั้งแต่ที่โกหกบอกรินรดาว่าเขาป่วยแล้ว!

นงลักษณ์กับชัยพลหน้านิ่วคิ้วขมวดมองวาดตะวันอยู่นั่นเองเพราะไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน มนชนกเลยทำท่าจะพาวาดตะวันหลบหายเข้าครัวไปด้วยกันเพื่อทำอาหารเย็นให้ทุกคนทาน

"ไม่ต้องลำบากพี่เลี้ยงของเราหรอกเจ้าออม" ชานนกลับค้าน "เดี๋ยวพี่พาพ่อกับแม่ออกไปกินข้าวข้างนอกเอง

เราจะออกไปด้วยกันรึเปล่า"

"แต่ฉันได้อาหารมาจากบ้านคุณอัศวินเยอะเลยนะคะ"

"คุณเก็บไว้กินคนเดียวเถอะ" ชานนปฏิเสธ 'พี่เลี้ยงสาว' ทันควัน ทำเอาทุกคนในบ้านต่างมองมาทางเขาเป็นตาเดียวกัน

"เอ่อ...ผม" เพิ่งรู้ตัวว่าเผลอเสียงห้วนใส่วาดตะวัน ชานนเลยรู้สึกฝืดคอพิกลยามต้องอ้อมแอ้มเอ่ยแก้เกี้ยวว่า

"ผม...เอิ่ม...คิดว่าอาหารน่าจะไม่พอสำหรับทุกคน ออกไปกินกันอร่อยๆ ข้างนอกน่าจะดีกว่า"

"พอดีออมกินกับเพื่อนมาแล้วน่ะสิคะ" มนชนกยิ้มแหยๆ

วาดตะวันยังคงมองอาหารที่อุตส่าห์หอบหิ้วกลับมาบ้านอย่างเสียดาย หากอาการของพี่ชายที่ทำทีเป็นไม่สนใจวาดตะวันนั้น สุดท้ายมนชนกเลยอาสาอยู่บ้านเป็นเพื่อนพี่เลี้ยงจำเป็นของหล่อนเอง ปล่อยให้ชานนออกไปทานอาหารเย็นกับบิดามารดาตามประสาครอบครัว






************************





"เห็นออมเล่าให้ฟังว่านายทะเลาะกับดา แล้วพาลไปลงที่วาดตะวัน"

คำถามนั้นของเมธัสทำให้คนที่กำลังง่วนพิมพ์เอกสารประกอบการสอนอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ชะงักเล็กน้อย แต่พอตั้งหลักได้ทันก็กลับไปสนใจงานตรงหน้าต่อ ไม่วายย้อนถามเพื่อนกลับ "หมู่นี้ดูนายกับออมสนิทกันแปลกๆ นะ ครั้งก่อนที่ฉันนัดนายให้มาเจอวาดตะวันที่บ้าน นายก็ไปรับเจ้าออมมาจากบ้านเพื่อน มาครั้งนี้ออมยังเล่าเรื่องที่บ้านให้นายฟังอีก"

"ฉันกำลังคุยเรื่องนาย ไม่ใช่เรื่องฉัน" เมธัสเลี่ยงไม่ตอบเพื่อนพอกัน วกกลับเข้าเรื่องเดิม

วันนี้ทั้งเขาและเมธัสไม่มีสอนทั้งคู่ เมธัสจึงมาหาชานนที่บ้านเพราะรู้มาจากมนชนกอีกเช่นกันว่าบิดามารดาของชานนมาพักอยู่ที่บ้าน คล้อยหลังจากนั้นทั้งเขาและเพื่อนก็หลบเข้ามาในห้องทำงานด้วยกัน

"แล้วตกลงนายสืบเรื่องวาดตะวันไปถึงไหนแล้ว"

ชานนเบี่ยงประเด็น เมธัสซึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้หน้าโต๊ะทำงานเพื่อนเลยส่ายหัวระอา "จนป่านนี้แล้วนายยังไม่เชื่ออีกเหรอว่าวาดตะวันเป็นตัวละครในโลกนิยาย"

"ถ้าอย่างนั้นวันนี้นายช่วยฉันจับวาดตะวันส่งตำรวจได้เลย"

"เฮ้ย นายมันพาลไม่เลิกจริงๆ" เมธัสอดต่อว่าเพื่อนไม่ได้

“ฉันให้ญาติที่เป็นนักสืบลองเอาลายนิ้วมือของวาดตะวันไปให้ทางตำรวจเช็คแล้ว แต่ลายนิ้วมือไม่ตรงกับใครสักคน ญาติฉันก็เลยใช้วิธีให้เพื่อนที่เป็นตำรวจช่วยเช็คจากทะเบียนประวัติด้วย แต่ผู้หญิงที่มีชื่อวาดตะวันทั้งหมด ไม่มีใครหน้าตาเหมือนวาดตะวันสักคน”

"แล้วระหว่างที่ฉันไม่อยู่บ้าน วาดตะวันมีพฤติกรรมอะไรที่ดูผิดสังเกตบ้างรึเปล่า"

เมธัสครุ่นคิดอยู่ครู่

"เท่าที่แอบตามดูญาติฉันบอกว่าไม่มีนะ เธอก็ใช้ชีวิตตามปกติทั่วไปอย่างที่นายรู้นั่นแหละ ไม่ทำความสะอาดบ้านก็ทำกับข้าว รดน้ำต้นไม้ ดูแลสวนไปตามเรื่อง อ้อ มีที่น่าสนใจหน่อยก็ตรงที่มีพวกสัตว์ต่างๆ ชอบมาเล่นกับเธอในสวนบ้านนายอยู่บ่อยๆ ช่วงที่นายกับออมออกจากบ้านไปแล้วน่ะ"

บอกเพื่อนแล้วเมธัสก็ถอนใจยาวออกมาลักษณะหนักใจ

"ฉันรู้ว่านายกำลังเฮิท แต่วาดตะวันเธอไม่ได้เกี่ยวอะไรด้วย...โอเค ฉันยอมรับว่าที่ดาผิดใจกับนายเพราะวาดตะวัน แต่เธอไม่รู้เรื่อง ส่วนออมเองก็ยอมรับผิดแล้วที่โกหกแฟนนายไปแบบนั้น แล้วนายยังจะเอาอะไรอีก"

"ก็เอารินรดาคืนมายังไงล่ะ" ชานนสวนกลับมาไม่ต่างจากตะคอกใส่หน้าเพื่อน

"ทุกวันนี้ฉันจะเป็นบ้าตายเพราะดาอยู่แล้ว โทร.ไปดาก็ไม่ยอมรับสายฉันสักครั้ง ขนาดฉันลงทุนไปหาทั้งที่บ้านทั้งที่ทำงาน ดายังไม่ยอมออกมาเจอฉันเลย ก็เพราะดาเข้าใจผิดคิดว่าคืนนั้นที่ฉันไปหาแม่หมอจันทรนิมิต ฉันกับวาดตะวันหายไป..." ชานนพูดแล้วต้องละไว้แค่นั้นเป็นที่เข้าใจ

"รู้แบบนี้แล้วนายยังจะให้ฉันทำตัวเป็นพ่อพระผู้แสนดี ยอมให้วาดตะวันอยู่บ้านฉันต่อไปเรื่อยๆ ทั้งที่ดาเข้าใจฉันผิดอยู่อย่างนี้เนี่ยนะ"

"แล้วนายทำไมไม่อ้างกับดาไปว่าวาดตะวันเป็นญาติห่างๆ ของนายกับออมตามที่ตกลงกันไว้"

ชานนเมินหน้าหนี เซ็งเพื่อนที่พูดจนปากจะฉีกถึงหูอยู่แล้วก็ยังไม่เข้าใจเขาอยู่ดี ลุกหนีไปหน้าบานหน้าต่างแทน อาศัยมองวิวทิวทัศน์ด้านนอกเผื่อช่วยให้อารมณ์ดีขึ้นมาบ้าง เป็นเมธัสที่ปล่อยเพื่อนอยู่กับตัวเองอยู่ครู่ก็ลุกตามมาคล้ายคิดอะไรได้

"เอางี้ ถ้านายไม่สบายใจที่วาดตะวันอยู่บ้านนาย ฉันจะพาวาดตะวันไปอยู่กับฉันที่คอนโดเอง"

"อะไรนะ" ชานนนึกว่าตัวเองหูฝาด

"นายฟังไม่ผิดหรอก" เมธัสตบบ่าคนที่กำลังพยายามสุนทรีย์กับต้นไม้ใบหญ้า "ไหนๆ ฉันก็อยู่คอนโดตัวคนเดียวอยู่แล้ว แถมก่อนหน้านี้ฉันตกลงกับออมไว้แล้วด้วยว่าจะหาทางช่วยวาดตะวันกลับโลกนิยาย ฉะนั้นก็เหลือแค่ตัววาดตะวันเธอเองว่าจะไว้ใจฉัน พอๆ กับที่เธอ...ไว้ใจนายรึเปล่า"

เมธัสจงใจเน้นคำสุดท้ายเป็นพิเศษ หวังว่าจะสะกิดใจคนฟังบ้างไม่มากก็น้อย

หลังจากที่เพื่อนกลับคอนโดไปแล้ว ชานนได้กลับมาอยู่กับตัวเองเงียบๆ เพียงลำพังอีกครั้งภายในห้องทำงานห้องเดิม...ด้วยความที่คำพูดของเมธัสเรื่องวาดตะวันยังวนเวียนในหัวสมองเลยตัดสินใจลองโทรศัพท์หาแฟนสาวซ้ำ เผื่อจะยอมใจอ่อนฟังเขาอธิบายเรื่องวาดตะวันบ้าง แต่คำตอบที่ได้รับกลับมาคือถูกรินรดาตัดสายทิ้งอีกตามเคย เลยหัวเสียลุกออกจากห้องไปหาอะไรดื่มแก้เซ็ง

ในเวลาเดียวกันนั้น วาดตะวันกำลังยืนเท้าคางอยู่บนระเบียงบ้านเหม่อมองไปบนท้องฟ้า เสียงซาหริ่มที่เห่าเรียกร้องความสนใจสลับกับครางหงิงๆ อยู่ในสวนนั้น วาดตะวันจำต้องละสายตาจากพระจันทร์สีเหลืองนวลสวย เข้ามาอุ้มสุนัขตัวน้อยไว้ในอ้อมแขน ไม่ทันได้สังเกตหรอกว่ากำไลหยกที่ข้อมือตัวเองเรืองแสงเล็กน้อยยามต้องแสงพระจันทร์

ซาหริ่มทำจมูกฟุตฟิตดมกล้วยไม้ตรงหน้าอย่างสนใจ สักพักก็จามออกมา เรียกเสียงหัวเราะเล็กน้อยจากหญิงสาว ขยี้ศีรษะมันอย่างเอ็นดู

"ทีนี้เจ้าก็เลิกสงสัยแล้วไปนอนได้แล้ว"

วาดตะวันวางสุนัขตัวน้อยลงบนพื้นอย่างเก่า แล้วต้องยิ้มให้กับความว่าง่ายของเจ้าซาหริ่มที่เชื่อฟังหล่อนเป็นอย่างดียอมเดินกลับเข้าบ้านไปนอน

กล้วยไม้ในกระถางแขวนที่ซาหริ่มเพิ่งจามใส่นั้น วาดตะวันจำได้ว่าเป็นกล้วยไม้ที่บิดาของชานนเพิ่งเอามาแขวนเกี่ยวตะขอไว้กับต้นมะม่วงเมื่อเช้า ชัยพลรักกล้วยไม้มากเลยอุตส่าห์หอบมาจากบ้านที่ต่างจังหวัดด้วยเพื่อเป็นเพื่อนคลายเหงา หากดอกกล้วยไม้หลากสีที่เริ่มเฉาทำให้หญิงสาวนึกไปถึงสีหน้าทุกข์ใจของชายมีอายุเมื่อตอนที่ได้คุยกัน ชัยพลบ่นให้หล่อนฟังว่ากล้วยไม้พักนี้ไม่ค่อยแข็งแรง วาดตะวันจึงใช้ปลายนิ้วสัมผัสที่กลีบดอกกล้วยไม้เหล่านั้น มีประกายสว่างวาบที่ปลายนิ้ว แค่เพียงบางเบาดอกกล้วยไม้แห้งเหี่ยวก็กลับมาชูช่อสวยสดใสได้ในพริบตา

"คุณทำได้ยังไงน่ะวาดตะวัน"

หญิงสาวเจ้าของชื่อสะดุ้งด้วยไม่นึกว่าจะมีใครออกมาเดินเล่น

ชานนนั่นเอง เขาลอบมองพฤติกรรมวาดตะวันอยู่นานแล้ว พอเห็นความมหัศจรรย์ของกล้วยไม้ตรงหน้าจึงอดไม่ได้โพล่งถามออกมา

"ฉะ...ฉัน..." วาดตะวันอ้ำอึ้ง "เมื่อกี้ฉันยังเห็นนายอยู่ในห้องทำงาน"

"ถ้าผมมัวแต่ขลุกตัวอยู่ในห้อง จะได้เห็นที่คุณทำเมื่อกี้กับกล้วยไม้ของพ่อผมเหรอ"

ชานนเข้ามาดูกล้วยไม้เหล่านั้นให้เห็นเจนตา ลูบสัมผัสที่กลีบดอกไม้แล้วแทบไม่อยากเชื่อว่าเป็นของจริง "ตกลงคุณจะบอกผมได้รึยังว่าเมื่อกี้คุณทำได้ยังไง"

"ฉัน...เอ่อ...ก็แค่ช่วยให้ต้นไม้ของพ่อนายดีขึ้น"

"ด้วยการเอานิ้วไปแตะๆ แล้วมันก็กลับมาสีสวยสดเหมือนเดิมเนี่ยนะ"

ชานนแค่นหัวเราะออกมา เท้าสะเอวมองสาวตรงหน้าด้วยสายตาดูแคลนอยู่ในที สร้างความไม่พอใจให้กับวาดตะวันแยกเขี้ยวใส่เขา ทำท่าจะหันหลังให้เดินกลับเข้าไปในบ้าน ร้อนถึงชานนต้องดึงแขนสาวเจ้ารั้งไว้ให้หันกลับมา วาดตะวันไม่ทันตั้งตัวเลยเสียหลักตกอยู่ในอัอมแขนของชายหนุ่มด้านหลังเสียอย่างนั้น

"คุณรู้ตัวมั้ยว่าคุณเป็นผู้หญิงที่แปลกพิลึกที่สุดเท่าที่ผมเคยรู้จักมาเลย"

"แล้วนายไม่แปลกเลยสินะ" วาดตะวันย้อนเขาทั้งที่ยังดิ้นขลุกขลักอยู่ในอ้อมแขน

อาการหงุดหงิดของสาวเจ้านั้นแทนที่ชานนจะสะทกสะท้านกลับยิ้มขันออกมา รู้สึกแปลกตาไม่น้อย

"นี่คุณโกรธเป็นกับเขาด้วยเหรอ ปกติเห็นทำเป็นแต่หน้าใสซื่ออินโนเซนต์"

"ฉันไม่ได้โกรธ! แต่ฉัน..." พูดเท่านั้นวาดตะวันก็กลับเงียบไป เอะใจตัวเอง หล่อนก็แค่ไม่ชอบที่ถูกมองว่าเพี้ยนในสายตาเขาอยู่เรื่อยเลยอยากต่อว่าเขาบ้าง อย่างที่เขาชอบทำกับหล่อนยังไงล่ะ

พอตอบเขาไม่ได้ก็เขม่นมองมาอย่างเอาเรื่อง เหยียบเท้าเขาเต็มแรงเล่นเอาชานนร้องเสียงหลง เผลอปล่อยสาวในอ้อมแขนเป็นอิสระ

"คุณนี่มัน...โอ๊ย...เห็นตัวเล็กแค่นี้ แรงเยอะชมัด"

"นายอย่าเอาเรื่องกล้วยไม้ไปบอกพ่อนายเลยนะ" วาดตะวันขอร้อง

ชานนยังเจ็บเท้าเลยไม่มีอารมณ์มารับปากอะไรทั้งนั้น สีหน้าเหยเกของเขาพานทำสาวเจ้ารู้สึกผิดขึ้นมา จากที่เพิ่งเหยียบเท้าเขาไปหยกๆ แก้ตัวด้วยการจะเข้ามาช่วยพยุงเขาเพื่อไปนั่งบนม้านั่งใกล้ๆ ทีแรกเหมือนคนเจ็บจะขืนตัว แต่แวบหนึ่งที่ได้เห็นแววตาห่วงใยของหญิงสาวเลยยอมให้พาไปนั่งอย่างว่าง่าย

"ฉันขอโทษที่ทำร้ายนาย แต่ฉันหวังดีกับพ่อนายจริงๆ"

ชานนทำเป็นไม่สนใจขยับเท้าไปมาอยู่นั่นเอง วาดตะวันเลยถอนใจออกมา นั่งลงเคียงข้างเขา

"ที่นายทำอยู่ตอนนี้เขาเรียกโกรธรึเปล่า"

"ฮื้อ?" ชานนทำเสียงบางอย่างในลำคออย่างฉงนในคำถามนั้น เหลือบมองหญิงสาวข้างกายได้หน่อย

"ทำไมคุณถึงดูแคร์ความรู้สึกพ่อผมจัง เอ่อ ผมหมายถึงคุณดูเป็นห่วงพ่อผมแปลกๆ"

"ท่านดูเหมือนคุณพ่อของฉันน่ะค่ะ" วาดตะวันระบายยิ้มอ่อนๆ ให้เขา

"ท่านเป็นคนแก่ที่น่ารักมากค่ะ เวลาฉันได้คุยกับท่านแล้วรู้สึกสบายใจดี ท่านรักกล้วยไม้เหล่านี้มากนะคะ ฉันเลยอยากให้ท่านมีความสุขที่ได้เห็นกล้วยไม้เหล่านี้เติบโตอย่างสมบูรณ์ด้วยฝีมือของท่านเอง...นายลองดูนี่นะ” จู่ๆ วาดตะวันก็นึกสนุกลุกไปหยิบดอกชบาที่หล่นอยู่บนสนามหญ้า ชั่ววินาทีเดียวเท่านั้นที่อยู่ในมือหล่อน ดอกชบาดอกนั้นกลับกลายเป็นสีแดงสดสวยเบ่งบานดั่งแรกแย้มไปได้ ทั้งที่ก่อนหน้านี้มันยังดูเหี่ยวเฉาอยู่เลย

“ดอกไม้พวกนี้ถึงแม้จะมีวันร่วงโรยราตามอายุขัยของมัน แต่ก่อนที่มันจะเติบโตจนกลายเป็นดอกไม้ที่สวยงามให้เราได้ชื่นชม คนปลูกนับว่าสำคัญนะคะ”

“ผมไม่เข้าใจว่าคุณต้องการจะบอกอะไร”

วาดตะวันก้มหน้าเศร้า "ฉันรู้ตัวดีว่าเป็นต้นเหตุที่ทำให้นายกับคนรักต้องผิดใจกัน นายจะด่าจะว่าฉันก็ได้นะ ฉันไม่...เอิ่ม...โกรธนายหรอก ฉันเข้าใจ"

“คุณอย่าโทษตัวเองเลย” ชานนไม่คาดคิดว่าสาวข้างกายจะพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา

“แต่ยังไงฉันก็ยังรู้สึกผิดที่มีส่วนทำให้คนรักของนายเข้าใจนายผิด” วาดตะวันเท้าคางครุ่นคิดประหนึ่งหนักใจแทนเขา “นายลองหาดอกไม้สวยๆ สักช่อไปง้อคนรักของนายสิ”

ชานนส่ายหน้าปฏิเสธ

“ไม่มีประโยชน์หรอกคุณ ผมเคยซื้อดอกไม้ไปง้อดาเขาหลายครั้งแล้ว แต่ก็อย่างที่คุณเห็น ครั้งนี้เราทะเลาะกันหนักกว่าทุกครั้ง ผมเองพยายามที่จะอธิบายให้ดาเขาเข้าใจเรื่องคุณแล้วนะ แต่ดาเขาไม่ยอมฟังเหตุผลผมเลย”

วาดตะวันเข้าใจเขาดีจึงเอื้อมมือมาบีบมือเขาให้กำลังใจ ก่อนที่จะวางดอกชบาดอกนั้นไว้บนมือเขาแทน

“บางทีเหตุผลก็ใช้ไม่ได้กับทุกๆ เรื่องเสมอไปหรอกนะคะ เรื่องบางเรื่องเราก็ต้องใช้หัวใจของเราสัมผัส อย่างดอกไม้ที่อยู่ในมือนายตอนนี้ไง ถ้าคนปลูกรู้จักที่จะดูแลเอาใจใส่ดอกไม้พวกนี้ด้วยหัวใจของเขา ดอกไม้ก็ย่อมเจริญเติบโตได้อย่างสวยงาม ความรักก็เหมือนกับดอกไม้เหล่านี้นั่นแหละค่ะ ที่ต้องการการดูแลเอาใจใส่ด้วยหัวใจจากคนที่เรารักเหมือนกัน”

ชานนยังคงขมวดคิ้วมุ่น เป็นวาดตะวันที่จับมือชายหนุ่มข้างกายพร้อมดอกชบาดอกนั้นวางบนแผ่นอกกว้างของเขา หญิงสาวก็แค่ต้องการให้ชานนได้ถามใจตัวเองว่าที่เขาตามง้อรินรดาอยู่ตอนนี้ เป็นเพราะหน้าที่ที่เขาต้องทำ หรือเพราะหัวใจที่บอกให้เขาทำอย่างนั้น #



สรัน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 17 พ.ค. 2558, 13:00:35 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 17 พ.ค. 2558, 13:02:44 น.

จำนวนการเข้าชม : 950





<< บทที่ 6 (ครึ่งแรก)   บทที่ 7 (ครึ่งแรก) >>
Zephyr 17 พ.ค. 2558, 16:06:07 น.
แหม วาดจ๋า แอบแต๊ะอั๋งพี่นนรึอ่ะ
รินรดา ดูจะไม่มีเหตุผลขึ้นเรื่อยๆ แต่อย่างว่า รักซะอย่างไม่มีหรอกเหตุผลน่ะ
เชียร์ๆๆๆ พี่เมธัสขา เอายายวาดไปอยู่ด้วยเลย


สรัน 18 พ.ค. 2558, 23:56:01 น.
เอ๊ะๆ หรือวาดตะวันจะหลอกแต๊ะอั๋งจริง 5555555 ไม่ใช่แระ กรั่กๆๆๆ ขอบคุณ Zephyr นะคะที่คอยเม้นให้รันทุกตอนเลย ><ไม่งั้นนิยายรันร้างแน่ แหะๆ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account