หยกวาดตะวัน
"ฉันชื่อวาดตะวัน มาจากในนิยาย นิยายบนโลกมนุษย์นี่แหละ!"
เสียงเล็กแหลมของสาวน้อยที่แฝงไว้ด้วยความมาดมั่นร่ำร้องซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่อย่างนั้น
ทำเอาชานนอยากจะเป็นบ้าตาย
ตอนนี้ชีวิตเขาวุ่นวายมากพออยู่แล้ว ไม่ว่าจะหน้าที่การงานหรือว่าคนรัก
เขาเพิ่งถูกแฟนสาวสลัดทิ้งมาหมาดๆ
แต่แล้วจู่ๆ วันดีคืนดีก็มีผู้หญิงร่างเล็กบอบบางแทบปลิวได้ตกลงมาในบ้านเขา
ซ้ำร้ายยังเอาแต่พร่ำเพ้อว่าตัวเองหลุดมาจากโลกในนิยาย
งานนี้ไม่รู้ว่าหล่อนหรือเขากันแน่ที่บ้า
...ทางเดียวที่ทำได้คือเขาต้องไล่หล่อนกลับไปในโลกนิยายอย่างนั้นเหรอ ?
เสียงเล็กแหลมของสาวน้อยที่แฝงไว้ด้วยความมาดมั่นร่ำร้องซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่อย่างนั้น
ทำเอาชานนอยากจะเป็นบ้าตาย
ตอนนี้ชีวิตเขาวุ่นวายมากพออยู่แล้ว ไม่ว่าจะหน้าที่การงานหรือว่าคนรัก
เขาเพิ่งถูกแฟนสาวสลัดทิ้งมาหมาดๆ
แต่แล้วจู่ๆ วันดีคืนดีก็มีผู้หญิงร่างเล็กบอบบางแทบปลิวได้ตกลงมาในบ้านเขา
ซ้ำร้ายยังเอาแต่พร่ำเพ้อว่าตัวเองหลุดมาจากโลกในนิยาย
งานนี้ไม่รู้ว่าหล่อนหรือเขากันแน่ที่บ้า
...ทางเดียวที่ทำได้คือเขาต้องไล่หล่อนกลับไปในโลกนิยายอย่างนั้นเหรอ ?
Tags: นักเขียน แฟนตาซี ปาฎิหารย์ ใสซื่อ เวทย์มนตร์
ตอน: บทที่ 7 (ครึ่งแรก)
บทที่ 7
มนชนกสงสารวาดตะวันที่วันๆ ได้แต่นั่งจับเจ่าอยู่กับบ้านเลยตกลงกับเมธัสว่าจะพาวาดตะวันออกมาทานอาหารเย็นข้างนอกด้วยกัน วาดตะวันจึงแต่งตัวสวยขึ้นรถเมธัสไปในเย็นวันหนึ่ง หากเมธัสไม่ลืมที่จะขับรถตรงไปรับมนชนกที่โรงเรียนก่อน
ด้วยความที่เลยเวลาเลิกเรียนมาพอสมควรแล้ว ภายในบริเวณอาคารเรียนมีเด็กนักเรียนหลงเหลืออยู่บางตา บรรยากาศที่โปร่งโล่งสบายนำพาความสดชื่นมาให้วาดตะวันอีกครั้ง หล่อนหันมองเด็กๆ รอบกายที่บ้างนั่งจับกลุ่มคุยเล่นกันอยู่บนบันไดหน้าอาคารเรียน ขณะที่นักเรียนหญิงบางกลุ่มสนุกสนานกับการกระโดดยางแข่งกันซึ่งแปลกตาสำหรับวาดตะวันไม่น้อย
"ออมโทร.มาบอกเมื่อกี้ว่ากำลังซ้อมละครกับเพื่อนอยู่ครับ คุณวาดตะวันสนใจอยากไปดูออมมั้ย"
เมธัสถามเปิดทางเสียขนาดนั้น วาดตะวันเหมือนเด็กอยากรู้อยากเห็นอยู่แล้วมีเหรอจะปฏิเสธ คนถามเลยไม่รีรอนำขึ้นบันไดฝั่งหนึ่งของอาคารเรียนไปยังห้องเรียนของมนชนก เขาพอจะรู้อยู่ก่อนแล้วว่าลูกศิษย์สาวเรียนอยู่ห้องไหน
เสียงไวโอลินที่บรรเลงเพลงคลาสสิกในยุคปลาย 1800 ดังมาตามทางเดินระเบียงชั้นห้าของโรงเรียน วาดตะวันแววตาเป็นประกายสุกใสกระตือรือร้นเดินนำเมธัสไปตามเสียงเพลงนั้น ท่วงทำนองเพลงหวานซึ้งชวนตราตรึงในหัวใจที่ดังก้องกังวานอยู่เบื้องหน้านำพาให้หญิงสาวหวนกลับไปยังโลกนิยายอีกครั้งหนึ่ง
เวลาเดียวกันนั้น มนชนกกับเพื่อนๆ กำลังซ้อมบทละครฉากเต้นรำกันอยู่ในห้องเรียน โดยมีท่วงทำนองเพลง A Postcard to Henry Purcell [1]เปิดคลอจากโทรศัพท์มือถือ
หากสาวน้อยไม่ได้สังเกตเห็นหรอกว่าคนที่นัดไว้มายืนรออยู่หน้าห้องเรียนแล้ว มนชนกยังคงกำกับเพื่อนที่เล่นเป็นนางเอกของเรื่องควงแขนเต้นรำกับเพื่อนผู้ชายอีกคนที่เล่นเป็นพระเอก จังหวะหนึ่งนั้นมนชนกต้องหมุนตัวอยู่ในอ้อมแขนของฝ่ายชาย หลับตาพริ้มซึบซับไออุ่นนั้น เมธัสเห็นก็เผลอมองโดยไม่อาจละสายตา ตกตะลึงในความสวยแกมน่ารักของลูกศิษย์สาว
"อ้าว พี่ธัส พี่วาดตะวัน" มนชนกลืมตามาเห็นคนหน้าห้องพอดี รีบส่งบทให้เพื่อนช่วยดูนักแสดงต่อ ออกมาหาทั้งสอง
"ออมนึกว่าพวกพี่จะรออยู่ข้างล่างเสียอีกค่ะ นี่ขึ้นมากันถูกได้ยังไงคะเนี่ย"
"เอ่อ...พี่..." เมธัสอึกอักยังคงอารมณ์ค้าง วาดตะวันที่ยืนอยู่ข้างชายหนุ่มแอบเห็นอยู่เลยลอบอมยิ้มนึกขันในอาการเก้อเขินของเมธัส เป็นฝ่ายตอบแทน
"พี่อยากดูน้องออมซ้อมละครน่ะค่ะ คุณเมธัสก็เลยพาขึ้นบันไดมา" ว่าแล้ววาดตะวันก็ถือวิสาสะเข้าไปในห้องเรียน เดินตรงรี่ไปที่โทรศัพท์มือถือซึ่งเป็นต้นตอของเสียงเพลง
"หน้าตาเหมือนของน้องออมเลยค่ะ มันเรียกว่าโทรศัพท์ใช่มั้ยคะ เพิ่งรู้ว่ามันร้องเพลงได้ด้วย"
"ไม่ใช่ค่ะพี่วาดตะวัน" มนชนกตามมาอธิบาย ก่อนหน้านี้เคยบอกเรื่องโทรศัพท์มือถือกับวาดตะวันไปบ้างแล้ว แต่ก็แค่ประเด็นไว้ใช้ติดต่อกับคนอื่น ยังมีความสามารถของโทรศัพท์มือถืออีกมากที่วาดตะวันยังไม่รู้ และหนึ่งในนั้นคือเปิดเพลงได้
พอเริ่มเห็นสายตาเพื่อนมองมาแปลกๆ มนชนกเลยขอตัวกลับทันที ไม่วายรีบพาวาดตะวันออกมาด้วย
"อยู่ไหนแล้วเจ้าออม"
เสียงชานนที่ดังทะลุโทรศัพท์ออกมาทันทีที่กดรับสายสร้างความเอือมระอาให้กับมนชนก ต้องหันไปยิ้มแหยๆ ให้เมธัสเพราะนั่งอยู่ในรถเขาแล้ว ก่อนเอามือป้องปากกระซิบกระซาบคุยกับพี่ชายในสาย
"ออมกับพี่วาดตะวันยังไม่ทันได้กินข้าวเลยพี่นน จะรีบโทร.ตามทำไมเนี่ย"
"ก็นี่มันปาเข้าไปตั้งทุ่มกว่าแล้ว ไหนเราบอกว่าจะพาวาดตะวันกลับถึงบ้านไม่เกินหกโมงเย็นไง จนพี่สอนพิเศษเสร็จ แถมกลับมากินข้าวเย็นกับที่บ้านอิ่มท้องแล้วด้วย เรากับธัสมัวแต่ทำอะไรอยู่"
"โอ๊ยพี่นน บ่นยาวขนาดนี้ กลัวพี่วาดตะวันไม่กลับบ้านรึไงคะ"
น้องสาวแซวกลับมาแบบนั้น คนบ่นถึงเพิ่งรู้ตัวเงียบกริบ
แม้สายตาเมธัสมองไปยังถนนเบื้องหน้าเพราะทำหน้าที่เป็นสารถีขับรถ แต่สิ่งที่มนชนกคุยกับคนในสายนั้นเขาได้ยินทุกคำ จึงเหลือบมองหญิงสาวที่ชานนถามถึงผ่านกระจกมองหลัง ด้วยความที่วาดตะวันนั่งอยู่เบาะหลังเพียงลำพังจึงอิสระกับการหันซ้ายแลขวามองบรรยากาศรอบกายผ่านกระจกรถ ตื่นเต้นที่ได้เห็นวิถีชีวิตของผู้คนในเมือง
"พี่ธัสจะพาพวกเราไปกินข้าวที่ไหนเหรอคะ"
มนชนกถามชายหนุ่มข้างกายคล้อยหลังจากที่วางสายพี่ชายเรียบร้อย
"ออมต้องรีบกลับรึเปล่า พี่ว่าจะโชว์ฝีมือทำอาหารให้ออมกับวาดตะวันกินที่คอนโดพี่น่ะ แต่ถ้าออม..."
"ออมไม่รีบค่ะพี่ธัส" มนชนกรีบบอกทันทีกลัวเขาเปลี่ยนใจ แล้วต้องอ้อมแอ้มพูดอ้างแก้เกี้ยว "เอ่อ...คือ...เมื่อกี้ออมบอกพี่นนแล้วน่ะค่ะว่าอีกนานกว่าจะกลับ แต่พี่นนไม่ได้ว่าอะไรนะคะ อย่างมากก็แค่...เอิ่ม...บ่นนิดหน่อย"
ประโยคท้ายลูกศิษย์สาวยิ้มแห้งแล้งชอบกล เรียกรอยยิ้มขันแกมเอ็นดูจากทีเชอร์หนุ่มอยู่ในที เพราะพอจะรู้นิสัยเพื่อน ที่เขาคิดชวนสองสาวมาทานอาหารที่คอนโดก็เพื่อที่จะดัดหลังเพื่อนนั่นแหละ เมธัสตั้งใจไว้แล้วว่าจะลองชวนวาดตะวันย้ายมาอยู่กับเขาดู
"โห ห้องใหญ่มากเลยพี่ธัส”
มนชนกตาวาวตั้งแต่วินาทีแรกที่เจ้าของห้องเปิดประตูคอนโดเชื้อเชิญ เผยให้เห็นห้องชุดขนาดใหญ่ตรงหน้า
“ตามสบายเลยนะครับสาวๆ เดี๋ยวมื้อนี้ผมเป็นพ่อครัวเอกทำกับข้าวให้คุณผู้หญิงทั้งสองเอง"
"ได้ไงละคะพี่ธัส พ่อครัวเอกก็ต้องมีผู้ช่วย...ไม่ต้องเลยพี่วาดตะวัน" มนชนกหันไปจับสาวอีกคนนั่งลงบนโซฟาหน้าโทรทัศน์ เพราะวาดตะวันทำท่าจะตามเข้าไปในครัวด้วยอีกคน
"ออมอุตส่าห์พาพี่ออกมากินข้าวข้างนอก จะให้พี่ทำกับข้าวอีกได้ไง เดี๋ยววันนี้ออมปรนนิบัติพี่เองค่ะ" ว่าแล้วมนชนกก็ตามเมธัสหายเข้าครัวกันไปสองคน เหลือเพียงวาดตะวันที่นั่งเคว้งอยู่กลางห้อง หญิงสาวไม่รู้จะทำอะไรเพราะไม่ว่าจะหันมองไปทางไหนก็เจอแต่กำแพงทึบ ซึ่งต่างจากบ้านของชานนที่ยังมีบานหน้าต่างรายล้อมให้หล่อนได้ชื่นชมธรรมชาติด้านนอก
"ไหนบอกจะมาช่วยพี่ทำอาหารไง"
เมธัสแซวเพราะพอหลบหายเข้าครัวมาด้วยกัน ลูกศิษย์สาวกลับไปแอบซุ่มอยู่หลังประตูครัว
มนชนกนั้นแอบลอบดูพฤติกรรมวาดตะวัน แต่อาการเคว้งเหมือนถูกลอยแพนั้นมนชนกเห็นแล้วอดที่จะสงสารไม่ได้ จำต้องละสายตาจากหญิงสาวในโลกนิยายหันมาช่วยเมธัสหยิบจับมีดบนเคาท์เตอร์ครัวหั่นผักหั่นหมูไปตามเรื่อง ทว่าเซื่องซึมจนพ่อครัวเอกหวั่นใจแทนกลัวสาวเจ้าจะพลาดหั่นนิ้วตัวเองเข้า เลยยื่นมือเข้ามาช่วย
"ใครเขาหั่นหมูกันแบบนั้น จับมีดแบบนี้ แล้วหั่นตามแนวขวาง จะทำให้เนื้อหมูนุ่มเคี้ยวง่ายขึ้น"
สาวเซื่องซึมเมื่อครู่ยืนค้าง เพราะอยู่ดีๆ พ่อครัวเอกก็กระเถิบกายเข้ามาใกล้เนื่องจากต้องใช้เขียงเดียวกัน สาธิตวิธีหั่นหมูที่ถูกต้องให้ดู หากแทนที่มนชนกจะมองหมูกลับมองพ่อหมู เอ๊ย พ่อครัวหั่นหมูซะงั้น ไม่วายเขายังยื่นหน้าเข้ามาใกล้ด้วยรัศมีที่ยืนห่างกันไม่ถึงคืบ เห็นความหล่อเหลาของชายหนุ่มข้างกายชัดยิ่งกว่าระดับเอชดี เล่นเอาเด็กสาวใจเต้นโครมคราม หน้าแดงซ่านจินตนาการไปไกล ต้องถอยห่างจากเขา
"เอ่อ ออมว่าเดี๋ยวออมช่วยพี่ธัสทำอย่างอื่นแล้วกันค่ะ"
จู่ๆ มนชนกก็ถอยผละออกมาเมธัสเลยมองมาอย่างงงๆ แต่แล้วพ่อครัวเอกใจหล่นวูบเมื่อเห็นมนชนกทำท่าจะถอยไปใกล้เตา น้ำมันร้อนจากกะทะกระเด็นใส่แขนมนชนก สะดุ้งโหยง ร้องเสียงหลงออกมา ร้อนถึงเมธัสต้องเข้าไปปิดแก๊สทันควัน รีบพาสาวเจ้าออกมาจากห้องครัว
"ตายจริง"
วาดตะวันตกใจไม่แพ้กัน เมื่อเห็นเมธัสพามนชนกกลับมานั่งบนโซฟาข้างหล่อน ที่แขนมีรอยแดงปรากฎให้เห็น แม้จะเป็นเพียงจุดขนาดเล็กก็ตาม
"เดี๋ยวฉันไปหาน้ำแข็งมาประคบให้น้องออมเองค่ะ จะได้ไม่พอง"
"ไม่เป็นไรครับคุณวาดตะวัน" เมธัสปฏิเสธอย่างสุภาพ ก่อนที่จะหายไปที่ระเบียงห้อง ปล่อยให้สองสาวนั่งรอที่โซฟารับแขกไม่นานเขาก็กลับมาพร้อมว่านหางจระเข้ ฝานเปลือกแข็งออก เหลือเพียงวุ้นสีเขียวซึ่งเป็นตัวยาทาบริเวณรอยแดงที่แขนมนชนก
"คุณธัสปลูกต้นว่านหางจระเข้ไว้ด้วยเหรอคะเนี่ย"
"ผมปลูกไว้เพื่อการนี้โดยเฉพาะครับ" เมธัสเอ่ยยิ้มๆ ให้ดูติดตลกไปอย่างนั้น เผื่อจะช่วยคลายความวิตกกังวลของสองสาวได้บ้าง แต่ยังไงคนเจ็บก็ยังหน้าเสีย
"ออมไม่น่าเข้าไปยุ่มย่ามในครัวเลย"
"พี่ต่างหากที่ไม่ทันระวังออมเลยต้องมาเจ็บตัว"
แววตาห่วงใยคู่นั้นมนชนกลืมเจ็บไปทันใด แต่กลับยิ่งพานนึกไปถึงภาพหล่อนกับเขาในครัวเมื่อครู่นี้เลยไม่กล้าสบตาเขา เสมองไปทางอื่นแทน
"นั่นชีทสอนพิเศษของผมเองครับ"
เมธัสหันไปคุยกับวาดตะวัน เพราะสาวเจ้ารับว่านหางจระเข้จากมือเขาไปแล้ว ทำท่าจะหยิบชีทสอนพิเศษที่เขาวางทิ้งไว้แถวนั้นมาใช้วางรองว่านหางจระเข้กันเปื้อนพื้นโต๊ะ
มนชนกสนใจหยิบชีทสอนพิเศษที่เมธัสว่าขึ้นมาเปิดดู
"ปกติพี่ธัสไม่ได้สอนแกรมม่าหนักขนาดนี้นี่คะ"
"พี่จะเอาไว้ติวลิลลี่เขาน่ะ ก็ทำนองเดียวกับพวกคอร์สเตรียมตัวสอบเข้ามหา'ลัยนั่นแหละพอดีวันก่อนแม่ของลิลลี่มาขอร้องพี่ให้ช่วยติวภาษาอังกฤษให้ลิลลี่ตัวต่อตัวที่บ้าน"
"อะ...อะไรนะคะ" มนชนกนึกว่าหูฝาด
"แม่ของลิลลี่ใช่ผู้หญิงที่ตัวสูงๆ หน้าฝรั่ง แต่งตัวเซกซี่..."
เมธัสครางรับในลำคอตั้งแต่มนชนกยังไม่ทันจะบรรยายรูปพรรณสัณฐานของลัลลาเบลจบดีด้วยซ้ำ
"แม่ของลิลลี่ชื่อลัลลาเบล เธอเป็นแม่หม้าย รู้สึกจะเคยร้องเพลงอยู่ตามห้องอาหารของโรงแรมมาก่อน"
"มิน่าล่ะ"
"ฮื้อ? เมื่อกี้ออมว่าอะไรนะ"
"คะ" มนชนกเพิ่งรู้ตัว ก็ภาพวันที่เมธัสคุยกับมารดาของลิลลี่ที่สถาบันสอนพิเศษยังติดตา สายตาของลัลลาเบลนั้นอย่างกับจะกลืนกินเมธัสเข้าไปทั้งตัว !
***********************
บิดาของชานนนั่งจิบกาแฟสุนทรีย์กับบรรยากาศยามเช้าที่โต๊ะอาหารอยู่ดีๆ ก็แทบพ่นกาแฟออกมา สำลักไอโขลกๆ ตะลึงงันเมื่อเห็นนงลักษณ์ภรรยาของเขากับมนชนก ต่างอวดโฉมลงบันไดมายังชั้นล่างในชุดกระโปรงพองยาวกรอมเท้าอย่างกับฝาแฝดพร้อมกลิ่นน้ำหอมฟุ้ง
"คุณนง! นะ...นี่คุณแต่งตัวอะไรของคุณ"
"ทำเป็นตกอกตกใจไปได้ค่ะคุณนี่" นงลักษณ์ต่อว่าสามีราวกับเป็นเรื่องปกติธรรมดาของหล่อน ไม่วายหมุนตัวให้สามียลโฉมชัดๆ อีกครั้ง
"คุณว่าฉันใส่ชุดนี้แล้วดูสวยเหมือนสาวอังกฤษสมัยก่อนมั้ยคะ ฝีมือหนูวาดตะวันล้วนๆ เลยนะคุณ เห็นเจ้าออมใส่ออกมาแล้วดูสวยน่ารักดี ฉันก็เลยรีเควสมาชุดนึง”
“วันก่อนออมพาพี่วาดตะวันไปหาซื้อผ้ามาตัดชุดใหม่ๆ ใส่น่ะค่ะ”
มนชนกช่วยสาธยาย ขณะที่วาดตะวันเพิ่งเก็บอุปกรณ์เย็บผ้าเสร็จเดินลงบันไดตามหลังมา
“เผอิญเราได้คุยกันเรื่องชุดที่เพื่อนออมเช่ามาใส่แสดงละครเวทีปลายภาคนี้ มันเป็นชุดของหญิงสาวชาวอังกฤษสมัยช่วงปลายยุค 1800 ค่ะ พี่วาดตะวันพอจะมีฝีมือตัดเย็บเสื้อผ้าอยู่บ้างก็เลยช่วยตัดเสื้อผ้าให้ออมไว้ใส่ในวันงาน”
ชัยพลฟังมนชนกเล่าแล้วถึงกับพูดไม่ออก
นงลักษณ์นั้นอยู่ในชุดกระโปรงพองยาวกรอมเท้าสีพาสเทล เอวสูงแบบรัดใต้อก แขนยาว คอคว้านลึก ลักษณะเหมือนชุดที่สาวชาวอังกฤษสมัยก่อนชอบใส่กันอย่างที่มนชนกว่ามาจริง แต่ด้วยหน้าตาของภรรยาที่ออกไปทางสาวจีนเสียมากกว่าชาวตะวันตก บวกกับวัยที่เกินจะอยู่ในชุดแบบเดียวกับเด็กสาวข้างๆ ทำให้ผู้เป็นสามีอย่างชัยพลได้แต่มองสภาพภรรยานิ่งอึ้งอยู่อย่างนั้น
"ทำอะไรกันอยู่ครับ"
ชานนเพิ่งอาบน้ำแต่งตัวเสร็จลงบันไดตามหลังมา แต่แล้วลูกชายต้องช็อคที่จู่ๆ มารดาก็ลุกขึ้นมาแต่งตัวประหลาดไม่เกรงสายตาประชาชี !
"โอ๊ย ป้านง ออมหิ๊วหิว เอาไว้ค่อยมาคุยเรื่องชุดต่อทีหลังนะคะ เราเข้าไปช่วยกันทำอาหารเช้าก่อนดีกว่าค่ะ" ไม่พูดพร่ำทำเพลงมนชนกก็รีบดึงตัวนงลักษณ์ออกมาจากตรงนั้นช่วยกู้สถานการณ์ เมื่อเหลือเพียงวาดตะวัน ชานนก็ตั้งหลักได้ รู้ตัวคนทำมองปราดไปทางหล่อนทันที สายตาอย่างกับจะเขมือบสาวตรงหน้าเข้าท้องเสียเดี๋ยวนั้น เล่นเอาวาดตะวันที่รู้สึกร้อนๆ หนาวๆ อยู่แล้วยิ้มเหยเกออกมา รีบชิ่งผลุบหายเข้าครัวไปอีกคน
ชานนทำท่าจะตามไปเอาเรื่อง แต่กลับถูกบิดารั้งไว้
"อยู่ที่โต๊ะอาหารกับพ่อเนี่ยแหละ ไม่ต้องตามไปช่วยสาวๆ เขาหรอก"
"แต่พ่อก็เห็นว่าชุดที่แม่ใส่เมื่อกี้..."
"ก็แค่อารมณ์เพ้อฝันตามประสาผู้หญิง เราปล่อยให้แม่เขามีความสุขกับชุดนั้นไปเถอะ" ชัยพลบอกลูกชายแค่นั้นก็กลับมานั่งจิบกาแฟอ่านหนังสือพิมพ์ตามเดิม ท่าทางที่สบายๆ ไม่ได้เดือดเนื้อร้อนใจอะไรกับชุดนั้น ทำให้ลูกชายจำยอมตามบิดามานั่งรออาหารเช้าที่โต๊ะด้วยกัน แต่ยังอดที่จะเมียงๆ มองๆ เข้าไปในครัวไม่ได้
ในวันหยุดสุดสัปดาห์นี้ชานนมีสอนพิเศษตอนเที่ยงเลยไม่จำเป็นต้องรีบร้อนไปสถาบัน มนชนกเองก็ว่างพอที่จะเป็นลูกมืออยู่ในครัวสนุกสนาน วาดตะวันนั้นเป็นลูกมือเช่นกันช่วยมารดาของเขาเตรียมอาหารอย่างขยันขันแข็ง ไม่ว่าจะงานล้าง งานหั่น งานหน้าเตา หล่อนเข้าไปช่วยนงลักษณ์หมด ภาพแม่ครัวเอกกับผู้ช่วยที่ต่างช่วยเหลือเกื้อกูลกัน จากที่ว่าจะจับผิดไปๆ มาๆ ชานนเผลอมองสาวเจ้าเพลินโดยไม่รู้ตัว กระทั่งนงลักษณ์ยกอาหารบางส่วนมาเสิร์ฟลงโต๊ะ ลูกชายถึงได้ยอมละสายตา
"อย่าหาว่าแม่พูดเวอร์เลยนะตานน แต่ยิ่งได้เห็นหนูวาดตะวันใกล้ๆ วันนี้แล้วยิ่งทำให้แม่อยากสาวกว่านี้อีกสักสิบยี่สิบปี เธอสวยหมดจดจริงๆ ขนาดแม่เป็นผู้หญิงด้วยกันเห็นแวบแรกยังตะลึง นึกว่าหนูวาดตะวันเป็นนางเอกในเทพนิยายหลงมาบ้านเราเสียแล้ว"
ประโยคท้ายทำให้ลูกชายหน้าตึงขึ้นมาทันที
"อะไรกันตานน" มารดายิ้มขัน "แม่พูดเล่น ใจคอเราจะไม่รับมุกแม่หน่อยรึ"
"โธ่แม่..." ชานนผ่อนลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก แม้ลึกๆ แล้วนั้นอยากจะให้มารดารับรู้เรื่องของวาดตะวันด้วยอีกคนก็ตาม
นงลักษณ์ไม่ได้สนใจในอาการผิดปกตินั้นของลูกชาย หันไปหยิบรีโมทเปิดโทรทัศน์ได้ก็บ่นไปตามเรื่อง
"เรานี่จริงๆ ชอบซีเรียสไปเสียทุกเรื่อง แม่ก็แค่เปรียบเปรยเพราะเห็นหนูวาดตะวันเธอสวยเสียขนาดนั้น นิสัยก็น่ารัก อย่างเมื่อกี้แม่เข้าไปช่วยในครัว หนูวาดตะวันก็มาคอยดูแลแม่นะ เราเองน่าจะบอกให้แม่รู้เสียหน่อยว่าหนูวาดตะวันทำอาหารเก่ง ไปๆ มาๆ แม่เลยไม่ได้ช่วยอะไรหรอก อาศัยไปยืนดูเคล็ดลับเธอมากกว่า"
"แล้วคุณจะไปยุ่งกับหนูวาดตะวันเขาทำไมนักหนา” ชัยพลยอมวางหนังสือพิมพ์ เอ่ยขึ้นบ้างหลังจากที่นิ่งฟังอยู่นานแล้ว
“เรื่องของฉันน่ะคุณ” นงลักษณ์หงุดหงิดที่สามีขัดใจ ไม่วายยังหันมาพูดกับลูกชายต่อ
"แต่ก็ดีที่เราไม่สนใจหนูวาดตะวันเขา เพราะถ้าเทียบสถานะทางสังคมแล้วยังห่างไกลจากหนูรินรดาเยอะ ยังไงเราก็อย่าลืมหาเวลาพาแฟนมาเยี่ยมพ่อกับแม่บ้างแล้วกัน อุตส่าห์มาถึงที่แล้ว"
เจอมารดาบังคับมาแบบนั้น ลูกชายเลยมีสีหน้ากลุ้มใจหนักกว่าเก่า
ตั้งแต่เขาคบกับรินรดามายังไม่เคยพามาเจอบิดามารดาเลยเนื่องจากท่านทั้งสองอยู่ต่างจังหวัด ที่ผ่านมาพวกท่านจึงแค่เพียงรับรู้เรื่องราวของรินรดาผ่านการบอกเล่าของชานนเท่านั้น
"ริน!"
จู่ๆ วาดตะวันก็โพล่งขึ้นมา จับจ้องหนังสือพิมพ์ที่วางอยู่ข้างชัยพลนิ่งทั้งที่ยังถือจานกับข้าวค้าง เล่นเอาชานนเสียววาบกลัวจะราดลงหัวบิดาเขาเสียก่อนเลยช่วยดึงจานในมือสาวเจ้าไปวางไว้บนโต๊ะ
"อะไรเหรอพี่วาดตะวัน" มนชนกนั้นกำลังตามหลังมา พอเห็นวาดตะวันเอาแต่จ้องข่าวในหนังสือพิมพ์ตาไม่กะพริบจึงรีบวางจานกับข้าวที่เหลือในมือ เข้ามาชะโงกหน้าดูบ้างมีส่วนร่วม
"เอ๊ะ นี่มันผู้หญิงที่ออมเคยช่วยพาไปส่งโรงพยาบาลนี่คะ"
"ไหน ขอพี่ดูหน่อย" ชานนคว้าหนังสือพิมพ์ไปเฉย เพราะเอะใจตั้งแต่เห็นปฏิกิริยาแปลกๆ ของวาดตะวันแล้ว
มนชนกชี้ผู้หญิงในภาพคนนั้นให้พี่ชายดู เป็นข่าวของหญิงสาวคนหนึ่งถูกโจรวิ่งราวระหว่างลงจากรถหน้าคอนโด ภาพในข่าวนั้นมีผู้หญิงอีกคนในชุดคนกวาดขยะยืนฉีกยิ้มกว้างอยู่ข้างๆ หญิงสาวคนนั้น หากชานนเห็นข่าวนี้ทางโทรทัศน์แล้ว
"คนนี้น่ะเหรอที่เราเคยช่วยไว้ มิน่าล่ะ เป็นพวกสายบู๊นี่เองคราวก่อนถึงได้เจ็บตัวจนเราต้องพาส่งโรงพยาบาล"
"พี่นนเคยเห็นข่าวนี้แล้วเหรอ แล้วทำไมไม่บอกออม" น้องสาวโวยวาย
"ก็พี่จะรู้มั้ยว่าคนที่เราเคยช่วยไว้คือผู้หญิงคนนี้ แต่น่าจะหายดีแล้วล่ะ ไม่อย่างนั้นคงไม่อาจหาญไปช่วยจัดการโจรที่วิ่งราวเอากระเป๋าไฮโซคนนี้ไปหรอก ในข่าวเห็นว่าโจรถูกตำรวจจับตัวไปแล้ว ยังงงๆ อยู่เลยเหมือนไม่รู้ตัว" ชานนสะดุดตาตรงชื่อคอนโดที่เกิดเหตุในหนังสือพิมพ์ ก่อนหน้านี้เขาก็แค่ฟังข่าวผ่านๆ เพิ่งรู้ว่าเป็นคอนโดเดียวกับที่เมธัสอยู่
"หนูวาดตะวัน...รู้จักผู้หญิงในข่าวด้วยเหรอ" ชัยพลหันไปถามพี่เลี้ยงสาวด้วยความสงสัย เขาเองเพิ่งอ่านข่าวเมื่อครู่นี้เหมือนกัน
วาดตะวันพยักหน้า มีน้ำเสียงดีใจระคนตื่นเต้นในคราเดียวกัน
"รินธาราค่ะ...รินธาราอยู่ในนั้น" ว่าแล้ววาดตะวันก็ดึงหนังสือพิมพ์มาจากชานนอีกที ไล้นิ้วมือไปบนภาพผู้หญิงกวาดขยะคนนั้นราวกับหวังว่าคนในข่าวจะโผล่ทะลุออกมาจากหนังสือพิมพ์ได้อย่างนั้น
"รินธารา?" เป็นมนชนกที่ทวนชื่ออีกฝ่ายครุ่นคิด แล้วต้องตาโตขึ้นมา
"อย่าบอกนะพี่วาดตะวันว่า ผู้หญิงกวาดขยะคนนี้คือรินธารา...เพื่อนพี่ในนิยาย!"
"พาฉันไปหารินทีนะคะ" วาดตะวันหันไปขอร้องชานนทันที และนั่นเป็นคำตอบให้กับมนชนกนิ่งอึ้งไปในพริบตาเพราะไม่คาดคิดว่าจะมีตัวละครในนิยายหลุดมาบนโลกมนุษย์อีก เช่นเดียวกับชานนที่ยังคงมองผู้หญิงกวาดขยะในข่าวอย่างไม่เชื่อสายตา
"อ้าว ตานน! นั่นจะพาหนูวาดตะวันไปจริงๆ เหรอ แล้วพาไปไหน"
นงลักษณ์เสียงหลง เพราะอยู่ดีไม่ว่าดีลูกชายก็จูงมือพาวาดตะวันออกจากบ้านไปต่อหน้าต่อตา มารดายังงุนงงอยู่เลยว่ามันเกิดอะไรขึ้น หากไม่มีคำตอบจากชานน นอกจากหันมาฝากฝังน้องสาวให้ดูแลบิดามารดาแทนตน ก่อนที่จะขึ้นรถไปกับวาดตะวัน ขับพุ่งทะยานออกจากบ้านไปรวดเร็วปานสายฟ้าแลบ
***************************
ชานนชี้ภาพผู้หญิงในข่าวหน้าหนังสือพิมพ์ให้ยามหน้าคอนโดของเมธัสดู แต่อีกฝ่ายกลับส่ายหน้า ไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น พอๆ กับคนในละแวกนั้น ชานนจึงยอมแพ้ถอยกลับมาตั้งหลักกับหญิงสาวที่ยืนรออยู่ริมฟุตปาธใกล้ๆ
"คุณแน่ใจว่าผู้หญิงคนนี้คือเพื่อนคุณ?"
วาดตะวันยังคงพยักหน้าให้เขาอย่างมาดมั่น ชานนเลยถอนใจออกมา
เขาเองใช่ว่าจะเชื่อวาดตะวันร้อยเปอร์เซ็นต์ เป็นเพราะแววตาเว้าวอนของสาวเจ้าต่างหากที่ทำให้เขาใจอ่อนยอมพาออกมาตามหารินธาราด้วยกัน ก่อนหน้านี้เขาลองถามคนกวาดขยะแถวคอนโดของเมธัสแล้วด้วย ทีแรกก็ดูเหมือนจะมีความหวังอยู่หรอกเพราะแต่ละคนเห็นข่าวนี้กันแล้วทั้งนั้น เรียกว่าเป็นข่าวทอล์กออฟเดอะทาวน์ในหมู่คนงานกวาดถนนที่สร้างความภาคภูมิใจให้กับอาชีพของพวกเขาเลยก็ว่าได้ แต่เอาเข้าจริงๆ พอชานนถามหาผู้หญิงในภาพขึ้นมา แต่ละรายกลับบอกว่าไม่เคยเจอตัวจริงเสียอย่างนั้น ขนาดคนควบคุมงานกวาดถนนเองก็ไม่เคยเห็นผู้หญิงในข่าวนี้เช่นกัน ทั้งที่เป็นคนงานกวาดถนนในพื้นที่ที่ตนดูแลแท้ๆ สุดท้ายชานนเลยต้องอาศัยลองสุ่มถามคนในละแวกนั้นเอา
"ไม่รู้ป่านนี้รินจะเป็นไงบ้าง..."
วาดตะวันหมดแรง ทรุดตัวลงนั่งบนฟุตปาธดื้อๆ
สภาพหนังสือพิมพ์ในมือชานนยามนี้ยับย่นไม่ต่างจากขยำ เขาอ่านข่าวในหนังสือพิมพ์อีกครั้งแล้วอดหัวเสียไม่ได้ที่ในเนื้อข่าวกลับให้นามสมมติไว้ โดยให้เหตุผลว่าสาวกวาดขยะคนนั้นไม่ต้องการเปิดเผยชื่อ ไม่อย่างนั้นเขาคงมั่นใจวาดตะวันมากกว่านี้
"คุณอย่าเพิ่งคิดมากไปเลย บางทีผู้หญิงคนนี้อาจแค่หน้าเหมือน ไม่ใช่เพื่อนคุณจริงๆ ก็ได้" ชานนพยายามปลอบแม้เขาจะไม่ค่อยถนัดกับเรื่องแบบนี้เสียเท่าไหร่ก็ตาม
"ไหนคุณบอกว่าตัวเองเป็นตัวละครในนิยายไง เพื่อนคุณก็ต้องเหมือนกันไม่ใช่เหรอ แล้วจู่ๆ จะมาโผล่บนโลกมนุษย์ ผมว่ามัน..."
"แต่ฉันมั่นใจว่าใช่ริน" วาดตะวันยืนยันเสียงแข็ง ถึงในรูปสาวกวาดขยะจะดูมอมแมมไปบ้างแต่หล่อนสนิทกับรินธารามานานมีเหรอจะจำไม่ได้
หญิงสาวน้ำตาไหลด้วยว่าเป็นห่วงเพื่อน ทำเอาชานนอ้ำอึ้งทำตัวไม่ถูก เขาไม่รู้จะเอ่ยปลอบวาดตะวันยังไงเลยเข้ามาโอบไหล่สาวเจ้าไว้ในอ้อมแขน เกลี่ยน้ำตาที่แก้มสาวเจ้าทิ้งอย่างเบามือ ก่อนประคองพาวาดตะวันลุกเดินกลับไปที่รถด้วยกัน
สถาบันสอนพิเศษเป็นสถานที่ถัดมาที่ชานนนึกถึง ยังไงเขาก็ต้องมาสอนพิเศษอยู่แล้ว แต่นัยลึกๆ แล้วนั้นชานนรู้ว่าเมธัสมาถึงสถาบันสอนพิเศษก่อนหน้าเขานานแล้ว เขาอยากคุยกับเพื่อนถึงวันเกิดเหตุในข่าว เผื่อบังเอิญเพื่อนอยู่ในเหตุการณ์นั้นด้วย อาจพบเห็นสาวกวาดขยะในข่าวบ้าง
"ทีเชอร์เมธัสสอนเสร็จรึยังคุณเหมือนฝัน"
ชานนถามทันทีที่มาถึงสถาบันสอนพิเศษ คล้อยหลังจากที่กลับไปส่งวาดตะวันที่บ้านแล้วเรียบร้อย
เหมือนฝันนั้นมัวแต่คุยไลน์สนุกกับเพื่อนได้ยินเสียงชานนถึงกับสะดุ้ง อึกอักอยู่นั่นเอง ก็หล่อนสนใจรอบข้างเสียที่ไหนกันเล่า
"อ้าว ฉันว่าจะโทร.หานายอยู่เนี่ย" เมธัสโผล่หน้ามาพอดี
ชานนไม่รีรอรีบเข้าไปหาเพื่อน
"ฉันมีข่าวในหนังสือพิมพ์อยากจะถาม..." ชานนต้องหยุดพูดแค่นั้นเพราะมีคนขัดจังหวะโทรศัพท์มาหาเมธัส
แต่แล้วพอเพื่อนควักโทรศัพท์มือถือขึ้นมา สายตาตวัดไปเห็นชื่อรินรดาปรากฎบนหน้าจอ สร้างความฉงนแก่ชานนที่เพื่อนมีเบอร์โทรศัพท์ของแฟนสาว ยิ่งกว่านั้นคือรินรดาโทร.มาหาเมธัสแทนที่จะเป็นเขา!
เมธัสแยกไปคุยโทรศัพท์กับรินรดา ไม่นานก็กลับมาหาเพื่อน
"นี่มันอะไรกัน นายมีเบอร์ดาตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วทำไมดาต้องโทรมาหานาย" ชานนยิงคำถามรัวเป็นชุดลักษณะเอาเรื่อง ร้อนถึงเมธัสต้องบอกให้เพื่อนใจเย็น
"เฮ้ยนน ฟังฉันก่อน คืองี้" เมธัสพยายามควบคุมสติตัวเองไล่เรียงลำดับเรื่องราว "ฉันเป็นคนขอเบอร์ดามาจากออมเอง ก็เพราะอยากช่วยนายพูดเคลียร์กับดาให้นั่นแหละ แล้วก่อนหน้าที่นายจะมาฉันเพิ่งโทร.นัดดาให้ออกมาคุยด้วย แต่ดันมาเกิดเรื่องเสียก่อน"
เล่ามาถึงตรงนี้เมธัสก็มีสีหน้าไม่สู้ดีให้เห็น แม้ชานนยังคงมองมาอย่างไม่ไว้ใจก็ตาม
"นายรู้จักป้าของดาที่นอนป่วยอยู่รพ.ใช่มั้ย เมื่อกี้...ดาโทร.มาขอเลื่อนนัดฉันเพราะป้าเขาถูกส่งตัวเข้าห้องฉุกเฉินกะทันหัน"
"ห้องฉุกเฉิน!" ชานนดูตื่นตกใจขึ้นมาทันที ร้อนรนเป็นห่วงแฟนสาว
"แล้วตอนนี้ดาอยู่ที่ไหน กำลังไปรพ.รึเปล่า"
เมธัสครางรับในลำคอแทนคำตอบนั้น แล้วต้องบีบไหล่เพื่อนอย่างเข้าใจ "นายจะไปหาดาก็ได้นะ"
"แต่ฉัน..."
"ฉันว่าง สอนแทนให้ได้"
เพื่อนอาสามาเช่นนั้นทำให้ชานนคิดหนัก ใจอยากไปหารินรดาเดี๋ยวนี้เลยด้วยซ้ำ เพราะเวลานี้แฟนสาวคงต้องการใครสักคนคอยอยู่เคียงข้างให้กำลังใจ หากหน้าที่ของเขาตรงนี้ก็สำคัญไม่แพ้กัน
[1] เพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง Pride and Prejudice ในปี ค.ศ.2005 ซึ่งสร้างจากนวนิยายชื่อดังของ Jane Austen และถูกจัดให้เป็นหนึ่งในหนังสืออ่านนอกเวลาวิชาภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย
มนชนกสงสารวาดตะวันที่วันๆ ได้แต่นั่งจับเจ่าอยู่กับบ้านเลยตกลงกับเมธัสว่าจะพาวาดตะวันออกมาทานอาหารเย็นข้างนอกด้วยกัน วาดตะวันจึงแต่งตัวสวยขึ้นรถเมธัสไปในเย็นวันหนึ่ง หากเมธัสไม่ลืมที่จะขับรถตรงไปรับมนชนกที่โรงเรียนก่อน
ด้วยความที่เลยเวลาเลิกเรียนมาพอสมควรแล้ว ภายในบริเวณอาคารเรียนมีเด็กนักเรียนหลงเหลืออยู่บางตา บรรยากาศที่โปร่งโล่งสบายนำพาความสดชื่นมาให้วาดตะวันอีกครั้ง หล่อนหันมองเด็กๆ รอบกายที่บ้างนั่งจับกลุ่มคุยเล่นกันอยู่บนบันไดหน้าอาคารเรียน ขณะที่นักเรียนหญิงบางกลุ่มสนุกสนานกับการกระโดดยางแข่งกันซึ่งแปลกตาสำหรับวาดตะวันไม่น้อย
"ออมโทร.มาบอกเมื่อกี้ว่ากำลังซ้อมละครกับเพื่อนอยู่ครับ คุณวาดตะวันสนใจอยากไปดูออมมั้ย"
เมธัสถามเปิดทางเสียขนาดนั้น วาดตะวันเหมือนเด็กอยากรู้อยากเห็นอยู่แล้วมีเหรอจะปฏิเสธ คนถามเลยไม่รีรอนำขึ้นบันไดฝั่งหนึ่งของอาคารเรียนไปยังห้องเรียนของมนชนก เขาพอจะรู้อยู่ก่อนแล้วว่าลูกศิษย์สาวเรียนอยู่ห้องไหน
เสียงไวโอลินที่บรรเลงเพลงคลาสสิกในยุคปลาย 1800 ดังมาตามทางเดินระเบียงชั้นห้าของโรงเรียน วาดตะวันแววตาเป็นประกายสุกใสกระตือรือร้นเดินนำเมธัสไปตามเสียงเพลงนั้น ท่วงทำนองเพลงหวานซึ้งชวนตราตรึงในหัวใจที่ดังก้องกังวานอยู่เบื้องหน้านำพาให้หญิงสาวหวนกลับไปยังโลกนิยายอีกครั้งหนึ่ง
เวลาเดียวกันนั้น มนชนกกับเพื่อนๆ กำลังซ้อมบทละครฉากเต้นรำกันอยู่ในห้องเรียน โดยมีท่วงทำนองเพลง A Postcard to Henry Purcell [1]เปิดคลอจากโทรศัพท์มือถือ
หากสาวน้อยไม่ได้สังเกตเห็นหรอกว่าคนที่นัดไว้มายืนรออยู่หน้าห้องเรียนแล้ว มนชนกยังคงกำกับเพื่อนที่เล่นเป็นนางเอกของเรื่องควงแขนเต้นรำกับเพื่อนผู้ชายอีกคนที่เล่นเป็นพระเอก จังหวะหนึ่งนั้นมนชนกต้องหมุนตัวอยู่ในอ้อมแขนของฝ่ายชาย หลับตาพริ้มซึบซับไออุ่นนั้น เมธัสเห็นก็เผลอมองโดยไม่อาจละสายตา ตกตะลึงในความสวยแกมน่ารักของลูกศิษย์สาว
"อ้าว พี่ธัส พี่วาดตะวัน" มนชนกลืมตามาเห็นคนหน้าห้องพอดี รีบส่งบทให้เพื่อนช่วยดูนักแสดงต่อ ออกมาหาทั้งสอง
"ออมนึกว่าพวกพี่จะรออยู่ข้างล่างเสียอีกค่ะ นี่ขึ้นมากันถูกได้ยังไงคะเนี่ย"
"เอ่อ...พี่..." เมธัสอึกอักยังคงอารมณ์ค้าง วาดตะวันที่ยืนอยู่ข้างชายหนุ่มแอบเห็นอยู่เลยลอบอมยิ้มนึกขันในอาการเก้อเขินของเมธัส เป็นฝ่ายตอบแทน
"พี่อยากดูน้องออมซ้อมละครน่ะค่ะ คุณเมธัสก็เลยพาขึ้นบันไดมา" ว่าแล้ววาดตะวันก็ถือวิสาสะเข้าไปในห้องเรียน เดินตรงรี่ไปที่โทรศัพท์มือถือซึ่งเป็นต้นตอของเสียงเพลง
"หน้าตาเหมือนของน้องออมเลยค่ะ มันเรียกว่าโทรศัพท์ใช่มั้ยคะ เพิ่งรู้ว่ามันร้องเพลงได้ด้วย"
"ไม่ใช่ค่ะพี่วาดตะวัน" มนชนกตามมาอธิบาย ก่อนหน้านี้เคยบอกเรื่องโทรศัพท์มือถือกับวาดตะวันไปบ้างแล้ว แต่ก็แค่ประเด็นไว้ใช้ติดต่อกับคนอื่น ยังมีความสามารถของโทรศัพท์มือถืออีกมากที่วาดตะวันยังไม่รู้ และหนึ่งในนั้นคือเปิดเพลงได้
พอเริ่มเห็นสายตาเพื่อนมองมาแปลกๆ มนชนกเลยขอตัวกลับทันที ไม่วายรีบพาวาดตะวันออกมาด้วย
"อยู่ไหนแล้วเจ้าออม"
เสียงชานนที่ดังทะลุโทรศัพท์ออกมาทันทีที่กดรับสายสร้างความเอือมระอาให้กับมนชนก ต้องหันไปยิ้มแหยๆ ให้เมธัสเพราะนั่งอยู่ในรถเขาแล้ว ก่อนเอามือป้องปากกระซิบกระซาบคุยกับพี่ชายในสาย
"ออมกับพี่วาดตะวันยังไม่ทันได้กินข้าวเลยพี่นน จะรีบโทร.ตามทำไมเนี่ย"
"ก็นี่มันปาเข้าไปตั้งทุ่มกว่าแล้ว ไหนเราบอกว่าจะพาวาดตะวันกลับถึงบ้านไม่เกินหกโมงเย็นไง จนพี่สอนพิเศษเสร็จ แถมกลับมากินข้าวเย็นกับที่บ้านอิ่มท้องแล้วด้วย เรากับธัสมัวแต่ทำอะไรอยู่"
"โอ๊ยพี่นน บ่นยาวขนาดนี้ กลัวพี่วาดตะวันไม่กลับบ้านรึไงคะ"
น้องสาวแซวกลับมาแบบนั้น คนบ่นถึงเพิ่งรู้ตัวเงียบกริบ
แม้สายตาเมธัสมองไปยังถนนเบื้องหน้าเพราะทำหน้าที่เป็นสารถีขับรถ แต่สิ่งที่มนชนกคุยกับคนในสายนั้นเขาได้ยินทุกคำ จึงเหลือบมองหญิงสาวที่ชานนถามถึงผ่านกระจกมองหลัง ด้วยความที่วาดตะวันนั่งอยู่เบาะหลังเพียงลำพังจึงอิสระกับการหันซ้ายแลขวามองบรรยากาศรอบกายผ่านกระจกรถ ตื่นเต้นที่ได้เห็นวิถีชีวิตของผู้คนในเมือง
"พี่ธัสจะพาพวกเราไปกินข้าวที่ไหนเหรอคะ"
มนชนกถามชายหนุ่มข้างกายคล้อยหลังจากที่วางสายพี่ชายเรียบร้อย
"ออมต้องรีบกลับรึเปล่า พี่ว่าจะโชว์ฝีมือทำอาหารให้ออมกับวาดตะวันกินที่คอนโดพี่น่ะ แต่ถ้าออม..."
"ออมไม่รีบค่ะพี่ธัส" มนชนกรีบบอกทันทีกลัวเขาเปลี่ยนใจ แล้วต้องอ้อมแอ้มพูดอ้างแก้เกี้ยว "เอ่อ...คือ...เมื่อกี้ออมบอกพี่นนแล้วน่ะค่ะว่าอีกนานกว่าจะกลับ แต่พี่นนไม่ได้ว่าอะไรนะคะ อย่างมากก็แค่...เอิ่ม...บ่นนิดหน่อย"
ประโยคท้ายลูกศิษย์สาวยิ้มแห้งแล้งชอบกล เรียกรอยยิ้มขันแกมเอ็นดูจากทีเชอร์หนุ่มอยู่ในที เพราะพอจะรู้นิสัยเพื่อน ที่เขาคิดชวนสองสาวมาทานอาหารที่คอนโดก็เพื่อที่จะดัดหลังเพื่อนนั่นแหละ เมธัสตั้งใจไว้แล้วว่าจะลองชวนวาดตะวันย้ายมาอยู่กับเขาดู
"โห ห้องใหญ่มากเลยพี่ธัส”
มนชนกตาวาวตั้งแต่วินาทีแรกที่เจ้าของห้องเปิดประตูคอนโดเชื้อเชิญ เผยให้เห็นห้องชุดขนาดใหญ่ตรงหน้า
“ตามสบายเลยนะครับสาวๆ เดี๋ยวมื้อนี้ผมเป็นพ่อครัวเอกทำกับข้าวให้คุณผู้หญิงทั้งสองเอง"
"ได้ไงละคะพี่ธัส พ่อครัวเอกก็ต้องมีผู้ช่วย...ไม่ต้องเลยพี่วาดตะวัน" มนชนกหันไปจับสาวอีกคนนั่งลงบนโซฟาหน้าโทรทัศน์ เพราะวาดตะวันทำท่าจะตามเข้าไปในครัวด้วยอีกคน
"ออมอุตส่าห์พาพี่ออกมากินข้าวข้างนอก จะให้พี่ทำกับข้าวอีกได้ไง เดี๋ยววันนี้ออมปรนนิบัติพี่เองค่ะ" ว่าแล้วมนชนกก็ตามเมธัสหายเข้าครัวกันไปสองคน เหลือเพียงวาดตะวันที่นั่งเคว้งอยู่กลางห้อง หญิงสาวไม่รู้จะทำอะไรเพราะไม่ว่าจะหันมองไปทางไหนก็เจอแต่กำแพงทึบ ซึ่งต่างจากบ้านของชานนที่ยังมีบานหน้าต่างรายล้อมให้หล่อนได้ชื่นชมธรรมชาติด้านนอก
"ไหนบอกจะมาช่วยพี่ทำอาหารไง"
เมธัสแซวเพราะพอหลบหายเข้าครัวมาด้วยกัน ลูกศิษย์สาวกลับไปแอบซุ่มอยู่หลังประตูครัว
มนชนกนั้นแอบลอบดูพฤติกรรมวาดตะวัน แต่อาการเคว้งเหมือนถูกลอยแพนั้นมนชนกเห็นแล้วอดที่จะสงสารไม่ได้ จำต้องละสายตาจากหญิงสาวในโลกนิยายหันมาช่วยเมธัสหยิบจับมีดบนเคาท์เตอร์ครัวหั่นผักหั่นหมูไปตามเรื่อง ทว่าเซื่องซึมจนพ่อครัวเอกหวั่นใจแทนกลัวสาวเจ้าจะพลาดหั่นนิ้วตัวเองเข้า เลยยื่นมือเข้ามาช่วย
"ใครเขาหั่นหมูกันแบบนั้น จับมีดแบบนี้ แล้วหั่นตามแนวขวาง จะทำให้เนื้อหมูนุ่มเคี้ยวง่ายขึ้น"
สาวเซื่องซึมเมื่อครู่ยืนค้าง เพราะอยู่ดีๆ พ่อครัวเอกก็กระเถิบกายเข้ามาใกล้เนื่องจากต้องใช้เขียงเดียวกัน สาธิตวิธีหั่นหมูที่ถูกต้องให้ดู หากแทนที่มนชนกจะมองหมูกลับมองพ่อหมู เอ๊ย พ่อครัวหั่นหมูซะงั้น ไม่วายเขายังยื่นหน้าเข้ามาใกล้ด้วยรัศมีที่ยืนห่างกันไม่ถึงคืบ เห็นความหล่อเหลาของชายหนุ่มข้างกายชัดยิ่งกว่าระดับเอชดี เล่นเอาเด็กสาวใจเต้นโครมคราม หน้าแดงซ่านจินตนาการไปไกล ต้องถอยห่างจากเขา
"เอ่อ ออมว่าเดี๋ยวออมช่วยพี่ธัสทำอย่างอื่นแล้วกันค่ะ"
จู่ๆ มนชนกก็ถอยผละออกมาเมธัสเลยมองมาอย่างงงๆ แต่แล้วพ่อครัวเอกใจหล่นวูบเมื่อเห็นมนชนกทำท่าจะถอยไปใกล้เตา น้ำมันร้อนจากกะทะกระเด็นใส่แขนมนชนก สะดุ้งโหยง ร้องเสียงหลงออกมา ร้อนถึงเมธัสต้องเข้าไปปิดแก๊สทันควัน รีบพาสาวเจ้าออกมาจากห้องครัว
"ตายจริง"
วาดตะวันตกใจไม่แพ้กัน เมื่อเห็นเมธัสพามนชนกกลับมานั่งบนโซฟาข้างหล่อน ที่แขนมีรอยแดงปรากฎให้เห็น แม้จะเป็นเพียงจุดขนาดเล็กก็ตาม
"เดี๋ยวฉันไปหาน้ำแข็งมาประคบให้น้องออมเองค่ะ จะได้ไม่พอง"
"ไม่เป็นไรครับคุณวาดตะวัน" เมธัสปฏิเสธอย่างสุภาพ ก่อนที่จะหายไปที่ระเบียงห้อง ปล่อยให้สองสาวนั่งรอที่โซฟารับแขกไม่นานเขาก็กลับมาพร้อมว่านหางจระเข้ ฝานเปลือกแข็งออก เหลือเพียงวุ้นสีเขียวซึ่งเป็นตัวยาทาบริเวณรอยแดงที่แขนมนชนก
"คุณธัสปลูกต้นว่านหางจระเข้ไว้ด้วยเหรอคะเนี่ย"
"ผมปลูกไว้เพื่อการนี้โดยเฉพาะครับ" เมธัสเอ่ยยิ้มๆ ให้ดูติดตลกไปอย่างนั้น เผื่อจะช่วยคลายความวิตกกังวลของสองสาวได้บ้าง แต่ยังไงคนเจ็บก็ยังหน้าเสีย
"ออมไม่น่าเข้าไปยุ่มย่ามในครัวเลย"
"พี่ต่างหากที่ไม่ทันระวังออมเลยต้องมาเจ็บตัว"
แววตาห่วงใยคู่นั้นมนชนกลืมเจ็บไปทันใด แต่กลับยิ่งพานนึกไปถึงภาพหล่อนกับเขาในครัวเมื่อครู่นี้เลยไม่กล้าสบตาเขา เสมองไปทางอื่นแทน
"นั่นชีทสอนพิเศษของผมเองครับ"
เมธัสหันไปคุยกับวาดตะวัน เพราะสาวเจ้ารับว่านหางจระเข้จากมือเขาไปแล้ว ทำท่าจะหยิบชีทสอนพิเศษที่เขาวางทิ้งไว้แถวนั้นมาใช้วางรองว่านหางจระเข้กันเปื้อนพื้นโต๊ะ
มนชนกสนใจหยิบชีทสอนพิเศษที่เมธัสว่าขึ้นมาเปิดดู
"ปกติพี่ธัสไม่ได้สอนแกรมม่าหนักขนาดนี้นี่คะ"
"พี่จะเอาไว้ติวลิลลี่เขาน่ะ ก็ทำนองเดียวกับพวกคอร์สเตรียมตัวสอบเข้ามหา'ลัยนั่นแหละพอดีวันก่อนแม่ของลิลลี่มาขอร้องพี่ให้ช่วยติวภาษาอังกฤษให้ลิลลี่ตัวต่อตัวที่บ้าน"
"อะ...อะไรนะคะ" มนชนกนึกว่าหูฝาด
"แม่ของลิลลี่ใช่ผู้หญิงที่ตัวสูงๆ หน้าฝรั่ง แต่งตัวเซกซี่..."
เมธัสครางรับในลำคอตั้งแต่มนชนกยังไม่ทันจะบรรยายรูปพรรณสัณฐานของลัลลาเบลจบดีด้วยซ้ำ
"แม่ของลิลลี่ชื่อลัลลาเบล เธอเป็นแม่หม้าย รู้สึกจะเคยร้องเพลงอยู่ตามห้องอาหารของโรงแรมมาก่อน"
"มิน่าล่ะ"
"ฮื้อ? เมื่อกี้ออมว่าอะไรนะ"
"คะ" มนชนกเพิ่งรู้ตัว ก็ภาพวันที่เมธัสคุยกับมารดาของลิลลี่ที่สถาบันสอนพิเศษยังติดตา สายตาของลัลลาเบลนั้นอย่างกับจะกลืนกินเมธัสเข้าไปทั้งตัว !
***********************
บิดาของชานนนั่งจิบกาแฟสุนทรีย์กับบรรยากาศยามเช้าที่โต๊ะอาหารอยู่ดีๆ ก็แทบพ่นกาแฟออกมา สำลักไอโขลกๆ ตะลึงงันเมื่อเห็นนงลักษณ์ภรรยาของเขากับมนชนก ต่างอวดโฉมลงบันไดมายังชั้นล่างในชุดกระโปรงพองยาวกรอมเท้าอย่างกับฝาแฝดพร้อมกลิ่นน้ำหอมฟุ้ง
"คุณนง! นะ...นี่คุณแต่งตัวอะไรของคุณ"
"ทำเป็นตกอกตกใจไปได้ค่ะคุณนี่" นงลักษณ์ต่อว่าสามีราวกับเป็นเรื่องปกติธรรมดาของหล่อน ไม่วายหมุนตัวให้สามียลโฉมชัดๆ อีกครั้ง
"คุณว่าฉันใส่ชุดนี้แล้วดูสวยเหมือนสาวอังกฤษสมัยก่อนมั้ยคะ ฝีมือหนูวาดตะวันล้วนๆ เลยนะคุณ เห็นเจ้าออมใส่ออกมาแล้วดูสวยน่ารักดี ฉันก็เลยรีเควสมาชุดนึง”
“วันก่อนออมพาพี่วาดตะวันไปหาซื้อผ้ามาตัดชุดใหม่ๆ ใส่น่ะค่ะ”
มนชนกช่วยสาธยาย ขณะที่วาดตะวันเพิ่งเก็บอุปกรณ์เย็บผ้าเสร็จเดินลงบันไดตามหลังมา
“เผอิญเราได้คุยกันเรื่องชุดที่เพื่อนออมเช่ามาใส่แสดงละครเวทีปลายภาคนี้ มันเป็นชุดของหญิงสาวชาวอังกฤษสมัยช่วงปลายยุค 1800 ค่ะ พี่วาดตะวันพอจะมีฝีมือตัดเย็บเสื้อผ้าอยู่บ้างก็เลยช่วยตัดเสื้อผ้าให้ออมไว้ใส่ในวันงาน”
ชัยพลฟังมนชนกเล่าแล้วถึงกับพูดไม่ออก
นงลักษณ์นั้นอยู่ในชุดกระโปรงพองยาวกรอมเท้าสีพาสเทล เอวสูงแบบรัดใต้อก แขนยาว คอคว้านลึก ลักษณะเหมือนชุดที่สาวชาวอังกฤษสมัยก่อนชอบใส่กันอย่างที่มนชนกว่ามาจริง แต่ด้วยหน้าตาของภรรยาที่ออกไปทางสาวจีนเสียมากกว่าชาวตะวันตก บวกกับวัยที่เกินจะอยู่ในชุดแบบเดียวกับเด็กสาวข้างๆ ทำให้ผู้เป็นสามีอย่างชัยพลได้แต่มองสภาพภรรยานิ่งอึ้งอยู่อย่างนั้น
"ทำอะไรกันอยู่ครับ"
ชานนเพิ่งอาบน้ำแต่งตัวเสร็จลงบันไดตามหลังมา แต่แล้วลูกชายต้องช็อคที่จู่ๆ มารดาก็ลุกขึ้นมาแต่งตัวประหลาดไม่เกรงสายตาประชาชี !
"โอ๊ย ป้านง ออมหิ๊วหิว เอาไว้ค่อยมาคุยเรื่องชุดต่อทีหลังนะคะ เราเข้าไปช่วยกันทำอาหารเช้าก่อนดีกว่าค่ะ" ไม่พูดพร่ำทำเพลงมนชนกก็รีบดึงตัวนงลักษณ์ออกมาจากตรงนั้นช่วยกู้สถานการณ์ เมื่อเหลือเพียงวาดตะวัน ชานนก็ตั้งหลักได้ รู้ตัวคนทำมองปราดไปทางหล่อนทันที สายตาอย่างกับจะเขมือบสาวตรงหน้าเข้าท้องเสียเดี๋ยวนั้น เล่นเอาวาดตะวันที่รู้สึกร้อนๆ หนาวๆ อยู่แล้วยิ้มเหยเกออกมา รีบชิ่งผลุบหายเข้าครัวไปอีกคน
ชานนทำท่าจะตามไปเอาเรื่อง แต่กลับถูกบิดารั้งไว้
"อยู่ที่โต๊ะอาหารกับพ่อเนี่ยแหละ ไม่ต้องตามไปช่วยสาวๆ เขาหรอก"
"แต่พ่อก็เห็นว่าชุดที่แม่ใส่เมื่อกี้..."
"ก็แค่อารมณ์เพ้อฝันตามประสาผู้หญิง เราปล่อยให้แม่เขามีความสุขกับชุดนั้นไปเถอะ" ชัยพลบอกลูกชายแค่นั้นก็กลับมานั่งจิบกาแฟอ่านหนังสือพิมพ์ตามเดิม ท่าทางที่สบายๆ ไม่ได้เดือดเนื้อร้อนใจอะไรกับชุดนั้น ทำให้ลูกชายจำยอมตามบิดามานั่งรออาหารเช้าที่โต๊ะด้วยกัน แต่ยังอดที่จะเมียงๆ มองๆ เข้าไปในครัวไม่ได้
ในวันหยุดสุดสัปดาห์นี้ชานนมีสอนพิเศษตอนเที่ยงเลยไม่จำเป็นต้องรีบร้อนไปสถาบัน มนชนกเองก็ว่างพอที่จะเป็นลูกมืออยู่ในครัวสนุกสนาน วาดตะวันนั้นเป็นลูกมือเช่นกันช่วยมารดาของเขาเตรียมอาหารอย่างขยันขันแข็ง ไม่ว่าจะงานล้าง งานหั่น งานหน้าเตา หล่อนเข้าไปช่วยนงลักษณ์หมด ภาพแม่ครัวเอกกับผู้ช่วยที่ต่างช่วยเหลือเกื้อกูลกัน จากที่ว่าจะจับผิดไปๆ มาๆ ชานนเผลอมองสาวเจ้าเพลินโดยไม่รู้ตัว กระทั่งนงลักษณ์ยกอาหารบางส่วนมาเสิร์ฟลงโต๊ะ ลูกชายถึงได้ยอมละสายตา
"อย่าหาว่าแม่พูดเวอร์เลยนะตานน แต่ยิ่งได้เห็นหนูวาดตะวันใกล้ๆ วันนี้แล้วยิ่งทำให้แม่อยากสาวกว่านี้อีกสักสิบยี่สิบปี เธอสวยหมดจดจริงๆ ขนาดแม่เป็นผู้หญิงด้วยกันเห็นแวบแรกยังตะลึง นึกว่าหนูวาดตะวันเป็นนางเอกในเทพนิยายหลงมาบ้านเราเสียแล้ว"
ประโยคท้ายทำให้ลูกชายหน้าตึงขึ้นมาทันที
"อะไรกันตานน" มารดายิ้มขัน "แม่พูดเล่น ใจคอเราจะไม่รับมุกแม่หน่อยรึ"
"โธ่แม่..." ชานนผ่อนลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก แม้ลึกๆ แล้วนั้นอยากจะให้มารดารับรู้เรื่องของวาดตะวันด้วยอีกคนก็ตาม
นงลักษณ์ไม่ได้สนใจในอาการผิดปกตินั้นของลูกชาย หันไปหยิบรีโมทเปิดโทรทัศน์ได้ก็บ่นไปตามเรื่อง
"เรานี่จริงๆ ชอบซีเรียสไปเสียทุกเรื่อง แม่ก็แค่เปรียบเปรยเพราะเห็นหนูวาดตะวันเธอสวยเสียขนาดนั้น นิสัยก็น่ารัก อย่างเมื่อกี้แม่เข้าไปช่วยในครัว หนูวาดตะวันก็มาคอยดูแลแม่นะ เราเองน่าจะบอกให้แม่รู้เสียหน่อยว่าหนูวาดตะวันทำอาหารเก่ง ไปๆ มาๆ แม่เลยไม่ได้ช่วยอะไรหรอก อาศัยไปยืนดูเคล็ดลับเธอมากกว่า"
"แล้วคุณจะไปยุ่งกับหนูวาดตะวันเขาทำไมนักหนา” ชัยพลยอมวางหนังสือพิมพ์ เอ่ยขึ้นบ้างหลังจากที่นิ่งฟังอยู่นานแล้ว
“เรื่องของฉันน่ะคุณ” นงลักษณ์หงุดหงิดที่สามีขัดใจ ไม่วายยังหันมาพูดกับลูกชายต่อ
"แต่ก็ดีที่เราไม่สนใจหนูวาดตะวันเขา เพราะถ้าเทียบสถานะทางสังคมแล้วยังห่างไกลจากหนูรินรดาเยอะ ยังไงเราก็อย่าลืมหาเวลาพาแฟนมาเยี่ยมพ่อกับแม่บ้างแล้วกัน อุตส่าห์มาถึงที่แล้ว"
เจอมารดาบังคับมาแบบนั้น ลูกชายเลยมีสีหน้ากลุ้มใจหนักกว่าเก่า
ตั้งแต่เขาคบกับรินรดามายังไม่เคยพามาเจอบิดามารดาเลยเนื่องจากท่านทั้งสองอยู่ต่างจังหวัด ที่ผ่านมาพวกท่านจึงแค่เพียงรับรู้เรื่องราวของรินรดาผ่านการบอกเล่าของชานนเท่านั้น
"ริน!"
จู่ๆ วาดตะวันก็โพล่งขึ้นมา จับจ้องหนังสือพิมพ์ที่วางอยู่ข้างชัยพลนิ่งทั้งที่ยังถือจานกับข้าวค้าง เล่นเอาชานนเสียววาบกลัวจะราดลงหัวบิดาเขาเสียก่อนเลยช่วยดึงจานในมือสาวเจ้าไปวางไว้บนโต๊ะ
"อะไรเหรอพี่วาดตะวัน" มนชนกนั้นกำลังตามหลังมา พอเห็นวาดตะวันเอาแต่จ้องข่าวในหนังสือพิมพ์ตาไม่กะพริบจึงรีบวางจานกับข้าวที่เหลือในมือ เข้ามาชะโงกหน้าดูบ้างมีส่วนร่วม
"เอ๊ะ นี่มันผู้หญิงที่ออมเคยช่วยพาไปส่งโรงพยาบาลนี่คะ"
"ไหน ขอพี่ดูหน่อย" ชานนคว้าหนังสือพิมพ์ไปเฉย เพราะเอะใจตั้งแต่เห็นปฏิกิริยาแปลกๆ ของวาดตะวันแล้ว
มนชนกชี้ผู้หญิงในภาพคนนั้นให้พี่ชายดู เป็นข่าวของหญิงสาวคนหนึ่งถูกโจรวิ่งราวระหว่างลงจากรถหน้าคอนโด ภาพในข่าวนั้นมีผู้หญิงอีกคนในชุดคนกวาดขยะยืนฉีกยิ้มกว้างอยู่ข้างๆ หญิงสาวคนนั้น หากชานนเห็นข่าวนี้ทางโทรทัศน์แล้ว
"คนนี้น่ะเหรอที่เราเคยช่วยไว้ มิน่าล่ะ เป็นพวกสายบู๊นี่เองคราวก่อนถึงได้เจ็บตัวจนเราต้องพาส่งโรงพยาบาล"
"พี่นนเคยเห็นข่าวนี้แล้วเหรอ แล้วทำไมไม่บอกออม" น้องสาวโวยวาย
"ก็พี่จะรู้มั้ยว่าคนที่เราเคยช่วยไว้คือผู้หญิงคนนี้ แต่น่าจะหายดีแล้วล่ะ ไม่อย่างนั้นคงไม่อาจหาญไปช่วยจัดการโจรที่วิ่งราวเอากระเป๋าไฮโซคนนี้ไปหรอก ในข่าวเห็นว่าโจรถูกตำรวจจับตัวไปแล้ว ยังงงๆ อยู่เลยเหมือนไม่รู้ตัว" ชานนสะดุดตาตรงชื่อคอนโดที่เกิดเหตุในหนังสือพิมพ์ ก่อนหน้านี้เขาก็แค่ฟังข่าวผ่านๆ เพิ่งรู้ว่าเป็นคอนโดเดียวกับที่เมธัสอยู่
"หนูวาดตะวัน...รู้จักผู้หญิงในข่าวด้วยเหรอ" ชัยพลหันไปถามพี่เลี้ยงสาวด้วยความสงสัย เขาเองเพิ่งอ่านข่าวเมื่อครู่นี้เหมือนกัน
วาดตะวันพยักหน้า มีน้ำเสียงดีใจระคนตื่นเต้นในคราเดียวกัน
"รินธาราค่ะ...รินธาราอยู่ในนั้น" ว่าแล้ววาดตะวันก็ดึงหนังสือพิมพ์มาจากชานนอีกที ไล้นิ้วมือไปบนภาพผู้หญิงกวาดขยะคนนั้นราวกับหวังว่าคนในข่าวจะโผล่ทะลุออกมาจากหนังสือพิมพ์ได้อย่างนั้น
"รินธารา?" เป็นมนชนกที่ทวนชื่ออีกฝ่ายครุ่นคิด แล้วต้องตาโตขึ้นมา
"อย่าบอกนะพี่วาดตะวันว่า ผู้หญิงกวาดขยะคนนี้คือรินธารา...เพื่อนพี่ในนิยาย!"
"พาฉันไปหารินทีนะคะ" วาดตะวันหันไปขอร้องชานนทันที และนั่นเป็นคำตอบให้กับมนชนกนิ่งอึ้งไปในพริบตาเพราะไม่คาดคิดว่าจะมีตัวละครในนิยายหลุดมาบนโลกมนุษย์อีก เช่นเดียวกับชานนที่ยังคงมองผู้หญิงกวาดขยะในข่าวอย่างไม่เชื่อสายตา
"อ้าว ตานน! นั่นจะพาหนูวาดตะวันไปจริงๆ เหรอ แล้วพาไปไหน"
นงลักษณ์เสียงหลง เพราะอยู่ดีไม่ว่าดีลูกชายก็จูงมือพาวาดตะวันออกจากบ้านไปต่อหน้าต่อตา มารดายังงุนงงอยู่เลยว่ามันเกิดอะไรขึ้น หากไม่มีคำตอบจากชานน นอกจากหันมาฝากฝังน้องสาวให้ดูแลบิดามารดาแทนตน ก่อนที่จะขึ้นรถไปกับวาดตะวัน ขับพุ่งทะยานออกจากบ้านไปรวดเร็วปานสายฟ้าแลบ
***************************
ชานนชี้ภาพผู้หญิงในข่าวหน้าหนังสือพิมพ์ให้ยามหน้าคอนโดของเมธัสดู แต่อีกฝ่ายกลับส่ายหน้า ไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น พอๆ กับคนในละแวกนั้น ชานนจึงยอมแพ้ถอยกลับมาตั้งหลักกับหญิงสาวที่ยืนรออยู่ริมฟุตปาธใกล้ๆ
"คุณแน่ใจว่าผู้หญิงคนนี้คือเพื่อนคุณ?"
วาดตะวันยังคงพยักหน้าให้เขาอย่างมาดมั่น ชานนเลยถอนใจออกมา
เขาเองใช่ว่าจะเชื่อวาดตะวันร้อยเปอร์เซ็นต์ เป็นเพราะแววตาเว้าวอนของสาวเจ้าต่างหากที่ทำให้เขาใจอ่อนยอมพาออกมาตามหารินธาราด้วยกัน ก่อนหน้านี้เขาลองถามคนกวาดขยะแถวคอนโดของเมธัสแล้วด้วย ทีแรกก็ดูเหมือนจะมีความหวังอยู่หรอกเพราะแต่ละคนเห็นข่าวนี้กันแล้วทั้งนั้น เรียกว่าเป็นข่าวทอล์กออฟเดอะทาวน์ในหมู่คนงานกวาดถนนที่สร้างความภาคภูมิใจให้กับอาชีพของพวกเขาเลยก็ว่าได้ แต่เอาเข้าจริงๆ พอชานนถามหาผู้หญิงในภาพขึ้นมา แต่ละรายกลับบอกว่าไม่เคยเจอตัวจริงเสียอย่างนั้น ขนาดคนควบคุมงานกวาดถนนเองก็ไม่เคยเห็นผู้หญิงในข่าวนี้เช่นกัน ทั้งที่เป็นคนงานกวาดถนนในพื้นที่ที่ตนดูแลแท้ๆ สุดท้ายชานนเลยต้องอาศัยลองสุ่มถามคนในละแวกนั้นเอา
"ไม่รู้ป่านนี้รินจะเป็นไงบ้าง..."
วาดตะวันหมดแรง ทรุดตัวลงนั่งบนฟุตปาธดื้อๆ
สภาพหนังสือพิมพ์ในมือชานนยามนี้ยับย่นไม่ต่างจากขยำ เขาอ่านข่าวในหนังสือพิมพ์อีกครั้งแล้วอดหัวเสียไม่ได้ที่ในเนื้อข่าวกลับให้นามสมมติไว้ โดยให้เหตุผลว่าสาวกวาดขยะคนนั้นไม่ต้องการเปิดเผยชื่อ ไม่อย่างนั้นเขาคงมั่นใจวาดตะวันมากกว่านี้
"คุณอย่าเพิ่งคิดมากไปเลย บางทีผู้หญิงคนนี้อาจแค่หน้าเหมือน ไม่ใช่เพื่อนคุณจริงๆ ก็ได้" ชานนพยายามปลอบแม้เขาจะไม่ค่อยถนัดกับเรื่องแบบนี้เสียเท่าไหร่ก็ตาม
"ไหนคุณบอกว่าตัวเองเป็นตัวละครในนิยายไง เพื่อนคุณก็ต้องเหมือนกันไม่ใช่เหรอ แล้วจู่ๆ จะมาโผล่บนโลกมนุษย์ ผมว่ามัน..."
"แต่ฉันมั่นใจว่าใช่ริน" วาดตะวันยืนยันเสียงแข็ง ถึงในรูปสาวกวาดขยะจะดูมอมแมมไปบ้างแต่หล่อนสนิทกับรินธารามานานมีเหรอจะจำไม่ได้
หญิงสาวน้ำตาไหลด้วยว่าเป็นห่วงเพื่อน ทำเอาชานนอ้ำอึ้งทำตัวไม่ถูก เขาไม่รู้จะเอ่ยปลอบวาดตะวันยังไงเลยเข้ามาโอบไหล่สาวเจ้าไว้ในอ้อมแขน เกลี่ยน้ำตาที่แก้มสาวเจ้าทิ้งอย่างเบามือ ก่อนประคองพาวาดตะวันลุกเดินกลับไปที่รถด้วยกัน
สถาบันสอนพิเศษเป็นสถานที่ถัดมาที่ชานนนึกถึง ยังไงเขาก็ต้องมาสอนพิเศษอยู่แล้ว แต่นัยลึกๆ แล้วนั้นชานนรู้ว่าเมธัสมาถึงสถาบันสอนพิเศษก่อนหน้าเขานานแล้ว เขาอยากคุยกับเพื่อนถึงวันเกิดเหตุในข่าว เผื่อบังเอิญเพื่อนอยู่ในเหตุการณ์นั้นด้วย อาจพบเห็นสาวกวาดขยะในข่าวบ้าง
"ทีเชอร์เมธัสสอนเสร็จรึยังคุณเหมือนฝัน"
ชานนถามทันทีที่มาถึงสถาบันสอนพิเศษ คล้อยหลังจากที่กลับไปส่งวาดตะวันที่บ้านแล้วเรียบร้อย
เหมือนฝันนั้นมัวแต่คุยไลน์สนุกกับเพื่อนได้ยินเสียงชานนถึงกับสะดุ้ง อึกอักอยู่นั่นเอง ก็หล่อนสนใจรอบข้างเสียที่ไหนกันเล่า
"อ้าว ฉันว่าจะโทร.หานายอยู่เนี่ย" เมธัสโผล่หน้ามาพอดี
ชานนไม่รีรอรีบเข้าไปหาเพื่อน
"ฉันมีข่าวในหนังสือพิมพ์อยากจะถาม..." ชานนต้องหยุดพูดแค่นั้นเพราะมีคนขัดจังหวะโทรศัพท์มาหาเมธัส
แต่แล้วพอเพื่อนควักโทรศัพท์มือถือขึ้นมา สายตาตวัดไปเห็นชื่อรินรดาปรากฎบนหน้าจอ สร้างความฉงนแก่ชานนที่เพื่อนมีเบอร์โทรศัพท์ของแฟนสาว ยิ่งกว่านั้นคือรินรดาโทร.มาหาเมธัสแทนที่จะเป็นเขา!
เมธัสแยกไปคุยโทรศัพท์กับรินรดา ไม่นานก็กลับมาหาเพื่อน
"นี่มันอะไรกัน นายมีเบอร์ดาตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วทำไมดาต้องโทรมาหานาย" ชานนยิงคำถามรัวเป็นชุดลักษณะเอาเรื่อง ร้อนถึงเมธัสต้องบอกให้เพื่อนใจเย็น
"เฮ้ยนน ฟังฉันก่อน คืองี้" เมธัสพยายามควบคุมสติตัวเองไล่เรียงลำดับเรื่องราว "ฉันเป็นคนขอเบอร์ดามาจากออมเอง ก็เพราะอยากช่วยนายพูดเคลียร์กับดาให้นั่นแหละ แล้วก่อนหน้าที่นายจะมาฉันเพิ่งโทร.นัดดาให้ออกมาคุยด้วย แต่ดันมาเกิดเรื่องเสียก่อน"
เล่ามาถึงตรงนี้เมธัสก็มีสีหน้าไม่สู้ดีให้เห็น แม้ชานนยังคงมองมาอย่างไม่ไว้ใจก็ตาม
"นายรู้จักป้าของดาที่นอนป่วยอยู่รพ.ใช่มั้ย เมื่อกี้...ดาโทร.มาขอเลื่อนนัดฉันเพราะป้าเขาถูกส่งตัวเข้าห้องฉุกเฉินกะทันหัน"
"ห้องฉุกเฉิน!" ชานนดูตื่นตกใจขึ้นมาทันที ร้อนรนเป็นห่วงแฟนสาว
"แล้วตอนนี้ดาอยู่ที่ไหน กำลังไปรพ.รึเปล่า"
เมธัสครางรับในลำคอแทนคำตอบนั้น แล้วต้องบีบไหล่เพื่อนอย่างเข้าใจ "นายจะไปหาดาก็ได้นะ"
"แต่ฉัน..."
"ฉันว่าง สอนแทนให้ได้"
เพื่อนอาสามาเช่นนั้นทำให้ชานนคิดหนัก ใจอยากไปหารินรดาเดี๋ยวนี้เลยด้วยซ้ำ เพราะเวลานี้แฟนสาวคงต้องการใครสักคนคอยอยู่เคียงข้างให้กำลังใจ หากหน้าที่ของเขาตรงนี้ก็สำคัญไม่แพ้กัน
[1] เพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง Pride and Prejudice ในปี ค.ศ.2005 ซึ่งสร้างจากนวนิยายชื่อดังของ Jane Austen และถูกจัดให้เป็นหนึ่งในหนังสืออ่านนอกเวลาวิชาภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 21 พ.ค. 2558, 14:18:25 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 2 ก.ย. 2558, 18:53:49 น.
จำนวนการเข้าชม : 1103
<< บทที่ 6 (ครึ่งหลัง) | บทที่ 7 (ครึ่งหลัง) >> |

Zephyr 22 พ.ค. 2558, 19:57:40 น.
มันรินๆเหมือนกันแอบบงงๆค่ะ 555
มันรินๆเหมือนกันแอบบงงๆค่ะ 555

สรัน 22 พ.ค. 2558, 20:19:51 น.
แต่งเองรันก็เริ่มรู้สึกเหมือนกันค่ะ5555555
แต่งเองรันก็เริ่มรู้สึกเหมือนกันค่ะ5555555

Zephyr 28 พ.ค. 2558, 19:37:49 น.
ยัยป้าลัลลาเบลนี่ ชื่อออกนิยายๆ นะคะ
อิอิ อ่านลัลลาบายตลอดเลย ฮ่าๆๆๆ
ยัยป้าลัลลาเบลนี่ ชื่อออกนิยายๆ นะคะ
อิอิ อ่านลัลลาบายตลอดเลย ฮ่าๆๆๆ

สรัน 29 พ.ค. 2558, 12:37:51 น.
กร๊ากกก รันได้ชื่อมาจากลูกดารานักร้องคู่นึง เห็นน่ารักดี ฮี่ๆ แม้ว่านิสัยในนิยายจิไม่น่ารักอย่างชื่อก็ตาม 555555
กร๊ากกก รันได้ชื่อมาจากลูกดารานักร้องคู่นึง เห็นน่ารักดี ฮี่ๆ แม้ว่านิสัยในนิยายจิไม่น่ารักอย่างชื่อก็ตาม 555555