กลรัตติกาล
เรื่องต่อ ซ่อนใจไว้ใต้ดาว ชุดเสน่หาฆาตกรรม

หลงกลิ่นจันทน์ , ซ่อนใจไว้ใต้ดาว , กลรัตติกาล
Tags: กลรัตติกาล คีตา ณิชนิตา

ตอน: บทที่ ๑๗ ซ่อนปม

บทที่ ๑๗


ซ่อนปม



ภายในห้องทำงานของอธิการบดี ชายไทนั่งอยู่บนโซฟาตัวเล็กมุมห้อง โดยมีเจ้าของห้องนั่งอยู่ตรงข้ามกันนั้น สีหน้าของเจ้าของสถานศึกษายังดูเคร่งเครียดแม้ว่าเขาจะอธิบายไปตามความจริงแล้วก็ตาม เรื่องนี้ชายหนุ่มทำใจแล้วว่าต้องเกิดเรื่องสักวัน เพียงแต่ไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นในช่วงเวลานี้เท่านั้นเอง

“ผมเข้าใจนะ ว่ามันเป็นงานอดิเรกของคุณ แต่มันขัดกับภาพลักษณ์ของคุณไม่ใช่เหรอ” คำทักท้วงซึ่งชายไทพอรู้อยู่แล้วว่าเขาต้องโดน ชายหนุ่มยอมรับและไม่ได้

“ครับ แต่อย่างที่เรียนท่าน ผมจำเป็นต้องทำ ผมอยากให้ยายของผมสบายใจ อย่างน้อยผมก็ทำให้ท่านได้ พอท่านเสียผมก็ลาออก”

“มันเป็นเรื่องรายละเอียดซึ่งผมต้องตรวจสอบอีกครั้งให้แน่ใจ ในเอกสารใบปลิวมันมีไปทั่วทั้งมหาวิทยาลัย มีรายละเอียดว่าคุณไปหลอกลวงชาวบ้านด้วย อาจมีปัญหากับชื่อเสียงของมหาวิทยาลัย...”

“ผมเข้าใจครับท่านอธิการฯ ท่านจะจัดการอย่างไร ผมจะไม่คัดค้านเลยครับ”

“งั้นขอให้คุณพักการสอนไว้ก่อนนะ ช่วงนี้รอให้ข่าวซาๆ แล้วก็ทางคณะกรรมการตรวจสอบเรื่องเสร็จสิ้นเสียก่อน ได้ไหม”

“ครับ” ชายไทรับคำ ก่อนลุกขึ้นจากโซฟา ยกมือไหว้อธิการบดีแล้วหันหลังเดินออกไปจากห้อง

เมื่อประตูห้องปิดลง ความรู้สึกของเขาเหมือนทุกอย่างก็จบลงไปด้วย ตอนนี้เขาไม่เหลืออะไรให้ห่วง คิดในแง่ดี คือ เขาได้ปลดปล่อยตัวเองจากพันธนาการแห่งความรับผิดชอบทุกอย่างแล้ว

รอยยิ้มบางผุดขึ้นบนใบหน้าคม เขาก้าวออกไปยังทางเดินนั้นเรื่อยๆ มุ่งหน้าไปยังตึกคณะเพื่อเก็บข้าวของส่วนตัวในห้องทำงาน สิ่งที่เขาทำได้ในตอนนี้ก็คือ ยอมรับแล้วก้าวต่อไป



ข่าวบนหน้าหนังสือพิมพ์พาดหัวเรื่องอาจารย์มหาวิทยาลัยถูกผู้ปกครองโวยไม่ได้น่าสนใจสำหรับรัตติกาลเท่ากับชื่ออาจารย์คนนั้นคือ ชายไท หญิงสาวกวาดสายตาอ่านอย่างรวดเร็ว ดวงตาสวยมีความกังวลเจือจางอยู่ในนั้น

“อ่านข่าวนายด็อกเตอร์นั่นแล้วเหรอ” เสียงของพ่อทำให้รัตติกาลสะดุ้งเล็กน้อย เธอหันกลับไปมองหน้าพ่อด้วยความประหลาดใจ

“พ่ออ่านแล้วเหรอคะ” เธอถามกลับสีหน้าตระหนก พ่อของเธอไม่ได้มีทีท่าแปลกใจกับเรื่องนั้นเลยสักนิด

“ใช่ อ่านจบถึงได้เอามาวางไว้ให้ลูกอ่าน ตกลงมันยังไงกันแน่” ปราการตอบ พลางจ้องใบหน้ารัตติกาลอย่างสังเกต

“ค่ะ รัตรู้เรื่องนี้ดี แต่เขาก็ออกจากรายการดูดวงนั่นมานานแล้วนะคะ ทำไมผู้ปกครองเพิ่งมาโวยวาย แล้วที่เขาทำก็เพราะคุณยายของเขาอยากให้ทำนะคะ เขาไม่ได้คิดจะไปหลอกลวงใครด้วย” หญิงสาวแก้ตัวแทน

“ลูกเชื่อเขาอย่างนั้นเหรอรัต” ปราการหยั่งเชิงถามแม้จะพอรู้คำตอบอยู่แล้วก็ตาม

“เชื่อค่ะ รัตเชื่อใจคุณชาย เขาไม่ใช่คนหลอกลวงใคร เขาดูดวงก็ใช้หลักจิตวิทยาผสมกับหลักโหราศาสตร์ ไม่ได้ทำให้คนงมงายเสียหน่อย”

“ถึงอย่างนั้นก็เรียกว่างมงายเหมือนกันนั่นแหละ”

“แต่พ่อคะ รัตว่ามันแปลกออก เขาเลิกดูดวงมานานแล้วนะคะ ทำไมเรื่องเพิ่งเกิด เหมือนมีคนจงใจใส่ร้ายเขา”

“อืม ถึงยังไงลูกก็ยังเชื่อเขาหรือ”

“ทำไมพ่อเอาแต่ถามเรื่องนี้”

“พ่อแค่อยากรู้ว่าลูกเชื่อใจเขามากแค่ไหน”

“เขาคือ ผู้ชายที่หนูรัก แล้วเขาก็ทำเพื่อหนูมากนะคะ ช่วยให้พ่อเข้าใจหนู ช่วยให้หนูไม่รู้สึกโดดเดี่ยว เหตุผลพอที่หนูจะเชื่อเขาไหมคะ”

ปราการไม่ได้เอ่ยสิ่งใดต่อไป ได้แต่มองบุตรสาวอย่างเห็นใจ เอื้อมมือมาแตะบ่าเหมือนให้กำลังใจก่อนจะปล่อยแล้วเดินจากไป ปล่อยให้รัตติกาลนั่งเงียบเพื่อคิด หญิงสาวลุกขึ้นคว้ากระเป๋าใบเล็กติดตัวออกไปจากบ้าน



เสียงเพลงในบาร์แห่งนี้ไม่ดังมากเกินไปนัก มันทำให้ชายไทนึกชอบใจจะมานั่งดื่ม เขานัดอชิตะให้ตามมา หลังจากได้พูดคุยกับรัตติกาลเรียบร้อยแล้ว เธอเป็นห่วงความรู้สึกของเขามาก ทั้งๆ ที่ตัวเขาเองกลับมีท่าทีเฉยๆ กับเรื่องที่เกิดขึ้น เพราะการยอมรับได้ ทำให้ไม่เสียใจ หรือหมดหวัง ในเมื่อเขาเลือกจะทำอย่างนั้นตั้งแต่ต้น ก็ต้องยอมรับผลของเรื่องนี้ให้ได้เช่นกัน

“เห็นข่าวแล้ว งั้นฉันเลี้ยงละกัน” ปวีร์เอ่ยขึ้นพร้อมกับยื่นแก้วค็อกเทลให้ ชายไทหัวเราะออกมาเบาๆ

“เป็นการปลอบใจใช่ไหม” ชายไทถามกลับจ้องหน้าเพื่อนเก่าด้วยความขบขัน

“คงใช่ แต่แปลกดีนะ ทำไมเรื่องเพิ่งแดง” คำถามของปวีร์ไม่ต่างจากคำถามในหัวของชายไทเลยแม้แต่น้อย เขานึกไม่ออกว่าเพราะอะไร เรื่องถึงได้เกิดมาเผยตอนเขาเลิกทำงานดูดวงนั้นแล้ว คนรู้เรื่องนี้มีไม่มากนัก แถมส่วนใหญ่ก็เป็นเพื่อนซึ่งเคยร่วมงานกันมา ไม่มีใครน่าสงสัยเลยด้วยซ้ำ

“ฉันก็สงสัยอยู่ แต่คิดไม่ออกว่าใครอยากทำให้ฉันออกจากงาน”

“เพื่อนร่วมงานคนอื่นละ”

“ไม่มีหรอก ฉันไม่ค่อยทำตัวให้คนอื่นหมั่นไส้ ฉันยังมองไม่ออกเลย”

“นอกจากเรื่องตัวแกเอง แล้วคดีที่เคยทำละ เรื่องคนอื่นที่แกเคยช่วย...นึกดีๆ ฉันได้ยินมาว่า ใบปลิวพวกนั้นถูกสั่งให้กระจายทั่วทั้งมหา’ลัย”

“แกสืบมาแล้วงั้นเหรอ”

“ก็ไม่เชิงหรอก แค่ถามคนรู้จักนิดๆ หน่อยๆ ไม่ได้จริงจัง” คำว่าไม่จริงจังของปวีร์เปรียบเหมือนเส้นแบ่งความสัมพันธ์ไปในตัว ภายนอกของเพื่อนเก่าคนนี้ดูไม่ใส่ใจ ไม่ผูกพันกับใคร แต่ความจริงแล้วยังพอมีเยื่อใยอยู่บ้าง

“ขอบใจนะ” ชายไทเอ่ยอย่างจริงใจ

ปวีร์ยักไหล่ ทำเหมือนว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร อชิตะเดินเข้ามาถึงก็รีบสวมกอดเพื่อนรักทันที ท่าทีเหมือนเด็กห่างจากแม่นั้นยิ่งทำเอาชายไทขนลุกเกรียว ด้วยไม่เคยเจอมุกกอดอย่างนี้มาก่อน

“ชาย ฉันเสียใจวะ เสียใจที่ไม่ได้อยู่กับแกในช่วงลำบากลำบน ฉันเสียใจ...”

“โอเวอร์วะอชิ” ชายไทต่อว่าพร้อมกับผลักเพื่อนรักออกห่างตัว

“แล้วมันเกิดขึ้นได้ยังไงวะ ใครมันทำ” พอนั่งลงบนเก้าอี้สูงข้างเพื่อนรักก็รีบถามไถ่ด้วยความโกรธเกรี้ยวขึ้นมา

“ผู้ปกครองเด็กคงกลัวฉันจะสอนให้เด็กๆ งมงายกันมั้ง ไม่เป็นไรหรอก ฉันเตรียมใจเรื่องนี้มานานแล้ว เพียงแต่ไม่คิดว่าเรื่องจะมาเร็วอย่างนี้” เขาอธิบายง่ายๆ ให้อชิตะฟังเข้าใจ

“แกอธิบายหรือเปล่า ว่ายายแกอยากให้แกสืบทอดวิชาหมอดูอะไรนี่ เลยจำเป็นต้องทำ”

“อืม อธิบายให้ท่านอธิการบดีฟังแล้ว แต่ก็ต้องรอสอบจากคณะกรรมการมหาวิทยาลัยอีกครั้งหนึ่ง ช่วงนี้ฉันเลยได้พักร้อน”

“อะไรวะ แกก็ลาออกไปแล้วตั้งนานนี่นะ ทำไมถึงเพิ่งมาหาเรื่องกันตอนนี้ การที่แกลาออกไปแล้วนี่ไม่ได้ช่วยอะไรหรือไงนะ” ปลายประโยคของนายแบบหนุ่มคล้ายรำพันรำพึงอย่างไม่เข้าใจ

ชายไทจ้องใบหน้าคมของเพื่อนรักแล้วยิ้มกว้าง นึกขอบใจความหวังดีของเพื่อนอยู่ตลอดเวลา แม้อชิตะจะเป็นคนเอาแต่ใจตัวเอง ปากไม่ค่อยดีนัก แต่ก็ยืนอยู่ข้างเขาตลอด แม้ไม่ช่วยอะไรทว่าแค่เป็นเดือดเป็นร้อนแทน เขาก็รู้สึกดีมากแล้ว

“ช่วยไม่ได้หรอก เราหนีอดีตตัวเองไม่ได้หรอกอชิ”

อชิตะมองเพื่อนรักด้วยแววตาเห็นอกเห็นใจ ตบบ่าเบาๆ แล้วหันไปสั่งเครื่องดื่มกับบาร์เทนเดอร์หลังเคาน์เตอร์ ชายไทมองตามจึงเพิ่งนึกได้ว่าไม่เคยแนะนำให้อชิตะกับปวีร์รู้จักกันมาก่อน

“อ้อ ฉันยังไม่ได้แนะนำพวกแกน่าจะรู้จักกันไว้ นี่ปวีร์เพื่อนสมัยเรียนมัธยมของฉัน ส่วนนี่อชิตะเพื่อนที่เจอกันตอนเรียนต่างประเทศ ความจริงอชิเป็นน้องเราอยู่สี่ปีได้มั้ง แต่เรียกกันเป็นเพื่อนสบายปากมากกว่า เลยเรียกชื่อกันธรรมดา”

ปวีร์พยักหน้ารับเล็กน้อยก่อนยื่นเครื่องดื่มที่สั่งไว้บนโต๊ะตรงหน้านายแบบหนุ่ม ท่าทีเช่นนั้นทำให้อชิตะดูเกร็งๆขึ้นมาในทันที

“ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ เอ่อ ผมเรียกพี่ดีกว่าครับ” อชิตะบอกเสียงอ่อน แล้วหันไปทางชายไทอีกครั้ง “เดี๋ยวเข้าห้องน้ำก่อน รีบมารถติดเป็นชั่วโมงแทบใจจะขาดเลย กลับมาคุยด้วย” อชิตะขอตัวออกไป

ชายไทมองตามอย่างขบขัน อชิตะดูเป็นคุณหนูเอาแต่ใจก็จริงแต่มีข้อดีหลายอย่างซึ่งมองเผินๆ อาจไม่เห็น

“อชิตะไม่ได้มีพิษภัยอะไรหรอก เอาแต่ใจหน่อย พูดมากไปนิด แต่เขาก็จริงใจดี”

“แกเป็นคนมีเพื่อนเยอะ เดี๋ยวคงจะมีคนยื่นมือเข้ามาช่วยอีกมาก ไม่ต้องห่วงหรอก” ปวีร์พูดพร้อมกับทำงานตรงหน้าไปด้วย

“ถึงฉันจะตกต่ำไป ฉันก็เข้าใจนะ ยอมรับได้ วีร์...ถามหน่อยได้ไหม ถ้าวันหนึ่งฉันตาย แกจะทำยังไง”

ปวีร์จ้องตาคนถามหยั่งลึกลงไปก่อนจะก้มลงเช็ดแก้วในมือ “ฉันจะไปร่วมงานศพแกแน่นอน ไม่ต้องห่วง”

ชายไทหัวเราะออกมาทันทีเมื่อได้ยินคำตอบ “ขอบใจวะ เออ ฉันช่วยตัวเองดีกว่า ไม่รอแกช่วยหรอก”

“แกไม่ได้จ้างฉันสืบเรื่องนี้นี่ ฉันไม่เห็นแก่มิตรภาพอะไรหรอกนะ ทุกอย่างคือเรื่องธุรกิจ” ถึงแม้ปวีร์จะพูดอย่างนั้น ชายไทก็ยังเชื่อว่า เพื่อนเก่าจะช่วยเขา หากว่าวันหนึ่งมีเรื่องที่ต้องให้ใครสักคนช่วย



ภายในเรือนกล้วยไม้ข้างบ้านใหญ่ อดีตนายทหารค่อยๆ ก้าวเท้าไปเรื่อยเปื่อย เพื่อดูเหล่าพืชพันธุ์ซึ่งปลูกไว้อย่างใจเย็น แข้งขาที่เคยใช้รถเข็นบัดนี้มีแรงมากพอให้ใช้ไม้เท้าพยุงแทนได้ ในมือยังถือโทรศัพท์ติดตัวมาด้วย หลังวางสายจากคนรู้จักในกระทรวงศึกษาธิการ นิตยาเดินเข้ามาพร้อมกับถาดน้ำชาวางไว้บนโต๊ะหินอ่อนใกล้ๆ นั้นอย่างเบามือ

“ช่วงนี้ดูคุณพี่อารมณ์ดีนะคะ เดินเล่นบ่อยขึ้น” นิตยาเอ่ยถามพร้อมกับเข้ามาทำท่าคล้ายจะช่วยพยุง แต่ปราการกลับโบกมือห้ามไว้เสียก่อน

“สบายใจขึ้น ก็ดีขึ้น จิตใจดีทำให้ร่างกายดีด้วย” ปราการอธิบาย

“จริงนะคะ เห็นคุณยิ้มบ่อยขึ้น แต่...ข่าวเรื่องด็อกเตอร์คนนั้นกำลังดัง คุณไม่กังวลเลยหรือคะ”

“ผมเชื่อเขานะ เรื่องพวกนี้เป็นการกลั่นแกล้งกันในสายงานเฉยๆ เขาเองก็ยอมรับว่าทำจริง ผมชอบคนแบบนี้ กล้าพูดกล้าทำ ยอมรับในสิ่งที่ตัวเองทำ ลูกผู้ชายตัวจริง”

“แหม่ คุณพี่ชมจังเลย ว่าที่ลูกเขยคนนี้”

ปราการยิ้มกว้างเมื่อได้ยินคำเหน็บจากภรรยาสาว “ถ้ารัตอยู่กับเขาผมก็วางใจได้ เขาค่อนข้างกว้างขวาง เรื่องนี้ทำอะไรเขาไม่ได้หรอก”

“กว้างขวางยังไงเหรอคะ”

“ผมได้ยินมาว่า เรื่องกำลังจะเคลียร์เร็วๆ นี้ เขาเก่งนะ สามารถทำให้หลายฝ่ายยื่นมือเข้ามาช่วยเขาได้”

“หลายฝ่ายเหรอคะ ตกลงเขามีเบื้องหลังยังไงกันแน่คะ”

“เขาก็แค่นักวิชาการคนหนึ่ง ไม่ได้มีพิษภัยอะไรหรอก แต่เพราะเมื่อก่อนเขาช่วยคนไว้เยอะ ตอนมีปัญหาคนก็เลยเข้ามาช่วยเขาเยอะเหมือนกัน ผมได้ยินว่ามีนายตำรวจหลายคนโทรศัพท์เข้าไปเคลียร์กับมหาวิทยาลัยให้ แล้วคนที่ทำใบปลิวก็จับตัวได้แล้ว ตอนแรกผมจะยื่นมือเข้าไปช่วยแต่พอได้ยินว่ามีคนช่วยเขาแล้ว ผมก็เลยรอดูอยู่ห่างๆ เท่านั้นเอง”

“ตายจริง เห็นหน้าใสๆ มีเหลี่ยมคมเหมือนกันนะคะ”

“มีมากกว่าที่เห็นเลยละ ผมชอบคนแบบนี้”

นิตยาได้แต่ยิ้มเมื่อเห็นสีหน้าพออกพอใจของสามี ไม่คิดว่าเขาจะชื่นชมใครได้ถึงขนาดนี้ ชายไทเป็นคนแรก แถมยังเป็นชายหนุ่มซึ่งมาติดพันลูกสาวอีก ไม่น่าเชื่อว่าปราการจะชอบ

ผู้ชายคนนี้ไม่ธรรมดาเสียแล้ว...จริง ๆ นั่นแหละ นิตยาเคยเห็นมาแล้ว มีเล่ห์เหลี่ยมพอตัว ดวงตาคมคู่นั้น เธอยังจำได้ดีว่า เขาจดจ้องเธอด้วยความรู้สึกเช่นไร แม้เรียบเฉยแต่เต็มไปด้วยพลังซึ่งดูน่ากลัวเหลือเกิน



ภายในห้องสอบโดยคณะกรรมการหลายฝ่ายของมหาวิทยาลัย ชายไทนั่งหลังตรง ค่อยๆ กวาดสายตามองไปรอบๆ สีหน้าของเขาดูปกติและนิ่งกว่าเหล่าคนเข้ามาตรวจสอบเสียด้วยซ้ำ บนโต๊ะของแต่ละคนมีเอกสารมากมายวางอยู่ ซึ่งชายไทคิดว่าคงเป็นเรื่องของเขานั่นเอง อดแปลกใจไม่ได้ว่า เขามีเรื่องราวให้สืบเสาะมากมายขนาดนั้นเชียวหรือ

“ผมอ่านข้อมูลเกี่ยวกับรายการนั้นแล้ว ตกลงคุณทำแน่เหรอ” อธิการบดีเป็นฝ่ายเริ่มพูดก่อน

“ครับ ผมทำ แต่อย่างเคยบอก ผมไม่ได้หลอกลวงประชาชนอย่างที่ถูกกล่าวหา ลักษณะของคนเข้ามาขอคำปรึกษาก็เป็นคนมีสภาพจิตไม่มั่นคง เขาต้องการการบำบัด การดูดวงไม่ได้เลวร้าย ผมถือว่าเป็นการบำบัดอย่างหนึ่ง” ชายไทอธิบาย

“หมายความว่า คุณเองก็ไม่ได้เชื่อเรื่องดวงพวกนี้เลย” หนึ่งในคณะกรรมการแทรกถามขึ้นมา

“เปล่าครับ ผมไม่ได้หมายความอย่างนั้น เพียงแต่ว่า ผมยึดเหตุผล ทุกอย่างมีเหตุก็ต้องมีผลใช่ไหมครับ ดังนั้นผมจะให้เหตุผลเสมอว่า ทำไมต้องทำอย่างนั้น ส่วนใหญ่ผมก็จะให้คนดูไปทำบุญ เป็นความเชื่อที่ทำให้ตัวเองสบายใจแล้วก็ไม่ได้เสียหายอะไรด้วย”

ชายไทเหลือบมองคนที่เพิ่งก้าวเข้ามาในห้อง พร้อมกับก้มลงกระซิบกระซาบกับเหล่าคณะกรรมการ คิ้วหนาของชายหนุ่มเชิดขึ้นอย่างสงสัย พลางคาดเดาในใจ ว่าคงต้องมีเรื่องอะไรบางอย่างเกิดขึ้นอย่างแน่นอน

“เราจะยุติการสอบสวนไว้แค่นี้นะครับ เพราะทางผู้ปกครองยกเลิกข้อกล่าวหาด็อกเตอร์แล้ว”

“อะไรนะครับ” ชายหนุ่มถามกลับเสียงสูง เขาไม่คาดคิดว่าเรื่องจะจบง่ายอย่างนี้ อธิการบดียิ้มบางเมื่อเห็นสีหน้าประหลาดใจของด็อกเตอร์หนุ่ม

“ครับ ได้ยินไม่ผิดหรอก พวกเขาขอถอนแจ้งความด้วย แล้วก็ขอให้คุณกลับมาสอนได้อีกครั้ง เขาบอกว่าเป็นการเข้าใจผิดกันเท่านั้นเอง คุณนี่เก่งนะครับ มีคนยื่นมือเข้ามาช่วยเยอะเลย”

“อะไรหรือครับ ผมไม่เห็นเข้าใจเลย”

“ก่อนหน้าที่ผมจะเข้าห้องสอบนี่ ผมได้รับโทรศัพท์จากคนในกระทรวงศึกษาธิการสายหนึ่ง ให้ช่วยดูเรื่องนี้เป็นพิเศษ แล้วอีกไม่กี่นาทีก็มีสายมาจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ถามถึงเรื่องนี้แล้วก็บอกสรรพคุณดีๆ ของคุณมากมายให้ผมฟัง แต่สรุปได้ว่า อยากให้ช่วยคุณ”

ชายไทไม่รู้ว่าตัวเองควรทำหน้าเช่นไร เพราะเรื่องนี้เขาผิดเต็มๆ นึกไม่ถึงว่าจะมีคนยื่นมือเข้ามาช่วยเขาเลยด้วยซ้ำ

จนก้าวออกมาถึงข้างนอกชายไทก็ยังรู้สึกเหมือนฝันไป ปัญหาเขาจบลงได้ง่ายๆ เสียงข้อความโทรศัพท์มือถือทำให้เขาต้องควานเครื่องมือสื่อสารนั้นออกมาจากกระเป๋าเสื้อสูทสีเทาเข้ม พอเลื่อนเปิดอ่านเท่านั้น เขาก็ได้แต่ยิ้มกว้างด้วยความปิติ

‘หวังว่าจะรอดนะด็อกเตอร์ ผมช่วยเท่าที่พอจะช่วยได้ คราวหน้าอย่าไปกวนประสาทใครเขาอีก จนเดือดร้อนอย่างนี้นะ’

อดีตหัวหน้าหน่วยสืบสวนคดีพิเศษเป็นผู้ส่งข้อความมาหาเขา นายตำรวจบอกกล่าวให้ระมัดระวังตัว แสดงว่า คณะกรรมการคนนั้นพูดถึง คงเป็นอดีตหัวหน้าคนนี้นั่นเอง แต่ใจความข้อความทำให้เขาแปลได้ว่า เป็นฝีมือของคนอื่นตั้งใจทำให้เขาตกที่นั่งลำบาก แม้เดาได้ว่าเป็นฝีมือคนไม่หวังดี แต่เขาก็ยังนึกไม่ออกว่าเป็นใครอยู่นั่นเอง ยิ่งช่วงนี้เขานำพาตัวเองเข้ามาเกี่ยวข้องกับรัตติกาล มีที่ผีทั้งคนซึ่งไม่หวังดีกับเขาและรัตติกาลทั้งสิ้น เดาไม่ออกว่าใครอยู่เบื้องหลังกันแน่!!



ปราการเดินเข้ามาในห้องรับแขกด้วยไม้เท้า เมื่อได้ยินว่าแขกคนหนึ่งมาพบ ตั้งแต่ได้ทำความเข้าใจกับลูกสาว เขาก็มีอาการดีขึ้น ส่วนหนึ่งของอาการป่วยก็อาจมาจากความเครียด เป็นๆ หายๆ อยู่อย่างนั้น ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่กำลังยืนมองรูปครอบครัวกรอบใหญ่บนผนังอยู่เงียบๆ จนได้ยินเสียงฝีเท้าเข้ามาในห้องจึงหันกลับไปมองนายพลปราการ พร้อมกับยกมือขึ้นไหว้

“สวัสดีครับท่าน” ปุณณภพกล่าวทักทายเจ้าบ้านเสียก่อน ปราการยิ้มรับเพราะไม่สามารถรับไหว้ได้อย่างรวดเร็วเพราะติดไม้เท้า

“คุณทนาย ผมต้องขอโทษที่รบกวนให้มาบ้านนะครับ” นายทหารเก่ารีบออกตัวก่อนพร้อมกับนั่งลงบนโซฟาตัวใหญ่

“ไม่เป็นไรครับท่าน เป็นหน้าที่ผมอยู่แล้ว ผมร่างหนังสือมาตามท่านแจ้งไว้ทางโทรศัพท์แล้วนะครับ หรือท่านอยากเปลี่ยนแปลงอะไรอีกไหมครับ” ปุณณภพตอบรับ แล้วหันไปเปิดกระเป๋าเอกสารสีดำของตัวเองออกนำมาวางไว้บนโต๊ะตรงหน้าของนายพลปราการ

“เปล่าหรอก ผมแค่มีเรื่องอยากรบกวนคุณอีกเรื่อง”

“เรื่องอะไรหรือครับ” ทนายความหนุ่มมีแววตาสงสัยขึ้นมาในทันที

“ผมสงสัยเรื่องอุบัติเหตุ เพราะตำรวจเพิ่งโทร.มาบอกผมว่าคนขับรถบรรทุกตายแล้ว เห็นว่าตั้งแต่หลายเดือนก่อนด้วยซ้ำแต่เพิ่งตามหาเจอ” ปราการอธิบายสีหน้าเครียด

“ตายแล้วหรือครับเกิดอะไรขึ้น หรืออุบัติเหตุเหมือนกัน” ใบหน้าของทนายความเต็มไปด้วยความประหลาดใจ ดวงตาคมจ้องนายพลปราการอย่างรอคอยคำตอบ

“ผมก็ยังไม่ได้รายละเอียด คิดว่าตอนบ่ายจะเข้าไปคุยกับทางตำรวจอยู่นะ ผมสงสัยว่าคืนนั้นเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เพราะรัตบอกว่าจำอะไรไม่ได้เลย ก็คงเมามากนั่นละ” ปลายเสียงฟังขุ่นมัว อุบัติเหตุครั้งนั้นเหมือนตราบาปของรัตติกาล ปราการไม่เคยห้ามปรามลูกสาวได้เลย ส่วนหนึ่งก็เป็นความผิดของเขาด้วย นั่นยิ่งสร้างความหงุดหงิดใจให้เขาด้วย

“ท่านอย่าไปว่าคุณรัตเลยครับ วันนั้นเธอก็คงอยากปาร์ตี้ตามประสาวัยรุ่นนั่นละครับ” ปุณณภพออกโรงแก้ตัวแทนหญิงสาว ปราการยิ้มอย่างพอใจ เขาเคยวาดหวังว่าจะให้ปุณณภพแต่งงานกับลูกสาว เขาเป็นคนหนุ่มอนาคตดี แม้อายุจะห่างกับรัตติกาลเกือบสิบปีแต่ก็ไม่ถือว่าแก่ ฐานะดี หน้าตาพอใช้ถ้าเทียบกับด็อกเตอร์หนุ่มคนนั้น

“พอเข้าใจได้ ถึงได้ปล่อยวางอยู่นี่”

“ผมว่าท่านเปลี่ยนไปนะครับ ใจเย็นขึ้นเยอะเลย แถมยังจะปรับเปลี่ยนพินัยกรรมให้คุณรัตอีก แปลก...มีอะไรหรือเปล่าครับ” แม้จะถามด้วยท่าทีปกติแต่ดวงตาคมลึกนั้นเผยประกายบางอย่างออกมา

“ผมใจเย็นขึ้นอย่างว่า โชคดีที่มีคนมาช่วยผมกับลูกให้เข้าใจกันได้”

“ใครกันครับเก่งขนาดนั้น”

ปราการไม่ได้ตอบคำถามกลับยิ้มแทน พอดีกับนิตยาเดินเข้ามาหาทั้งคู่ เธอวางถาดเครื่องดื่มและขนมลงบนโต๊ะแล้วยิ้มให้กับปุณณภพอย่างคุ้นเคย

“ไม่เจอกันนานเลยนะครับคุณนิด” ปุณณภพเป็นฝ่ายทักทายภรรยาของนายพลเสียก่อน

“ค่ะ ไม่เจอกันนานเลย คุณปุณณภพสบายดีนะคะ”

“ครับ เอาละครับ เสร็จธุระผมแล้วคงต้องขอตัวครับ” ปุณณภพเอ่ยพร้อมกับลุกขึ้นยืน

“อ้าว อะไรกันคะ ยังไม่ทันได้ดื่มน้ำ กินขนมเลย ทำอย่างนี้ไม่ได้นะคะ” เธอกล่าวอย่างเสียดาย ปุณณภพหัวเราะแล้วหันไปทางปราการ

“ผมไม่แปลกใจเลยที่ท่านหายเร็วอย่างนี้ มีคุณนิดดูแลดีอย่างนี้ เป็นผมก็รีบหายนะครับ”

“อย่าพูดเลยเดี๋ยวเขาได้ใจ” ปราการแสร้งว่าภรรยาขึ้นมาบ้าง

“แหม่ คุณพี่คะ ชมสักหน่อยเถอะ” นิตยาหัวเราะหยอกล้อกับสามีอย่างสนุกสนาน จนปุณณภพขอตัวกลับไปจริงๆ ปราการจึงยื่นซองเอกสารสีน้ำตาลนั้นให้ เธอรับไว้ด้วยสีหน้าประหลาดใจ

“คุณช่วยเอาไปเก็บไว้ในเซฟทีนะ”

“คุณเปลี่ยนแปลงพินัยกรรมเหรอคะ ฉันเดาว่าคุณคงอยากมอบทุกอย่างให้หนูรัต”

“ใช่ แต่ฉบับนี้ยังไม่ใช่หรอก รอคุณปุณณภพจัดการเรียบร้อยเสียก่อน อันนี้แค่เอกสารฉบับเก่า แต่คุณนิด...คุณไม่คิดมากใช่ไหมถ้าผมจะทำอย่างนั้น”

“ไม่หรอกค่ะ นิดไม่ได้แต่งงานกับคุณเพราะเรื่องเงินนะคะ นิดรักคุณ...ความรักของนิดไม่ได้เอาเงินมาแลกได้” นิตยาเอ่ยอย่างจริงใจ ดวงตาเปล่งประกายความซื่อใส เธอเอื้อมมือมาแตะมือสามีไว้อย่างมั่นคง ปราการยิ้มให้แล้วโอบกอดเธอเข้ามาแนบอก เขาดีใจที่เลือกหญิงสาวคนนี้มาเป็นคู่ชีวิตอีกครั้ง แม้ว่าประวัติเธอไม่ได้สวยหรูดังภรรยาคนเก่า แต่เธอปฏิบัติกับเขาเสมอต้นเสมอปลาย แม้อายุซึ่งห่างกันเกือบยี่สิบปีก็ไม่เป็นปัญหาแต่อย่างใด นิตยาทำเหมือนเขาเป็นหนุ่มอายุเท่าเธอเสียด้วยซ้ำ



ปุณณภพก้าวออกมาจนถึงหน้าบ้านของนายพล ดวงตาคมสบกับร่างสูงเพรียวของรัตติกาล หญิงสาวอยู่ในชุดเสื้อกระโปรงสีขาว เพิ่งก้าวเข้ามาถึงหน้าบ้านเช่นกัน เป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือนสำหรับการเจอหน้ากันในแบบหลีกเลี่ยงไม่ได้

“สวัสดีครับคุณรัต” เขาเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นมาก่อน หญิงสาวหน้าตื่นใบหน้าซีดขาวราวกระดาษทันทีเมื่อเห็นเขา

“...” หญิงสาวไม่ทักทายตอบแต่กลับก้มหน้างุด พยายามเดินเลี่ยงหนีแต่ปุณณภพเดินไปดักหน้าไว้เสียก่อน

“อะไรกัน ทำไมชอบเดินหนีผมจัง เราไม่เจอกันตั้งหลายเดือน ไม่คิดถึงผมบ้างเหรอครับ”

“ไปให้พ้น” รัตติกาลบอกเสียงต่ำ เนื้อตัวเริ่มสั่น

“ผมเดินทางไปต่างประเทศตั้งหลายเดือนเพิ่งกลับมา ผมก็รีบมาเจอคุณรัต ไม่คิดว่า...คุณจะกลับเข้าวงการบันเทิงอีกครั้ง รู้สึกว่าอะไรๆ ในชีวิตคุณจะดีขึ้นแล้วนะครับ”

รัตติกาลไม่ตอบโต้ใดๆ เธอเดินเลี่ยงออกไปอีกทางแต่ปุณณภพยื่นแขนออกไปขวางไว้ก่อน “ยังไม่บอกให้ไป คุณจะไปได้ยังไง ผมบอกแล้วและยืนยันคำเดิม...จนกว่าผมจะปล่อยคุณไป ก็ห้ามไป...ถ้ายังขัดใจกันอีก คราวนี้จะไม่ใช่แค่ข่าวบนหน้าหนังสือพิมพ์ อาจเป็นชีวิตของเขาก็ได้”

รัตติกาลเงยหน้าขึ้นจ้องหน้าทนายความของพ่อแทบทันที รอยยิ้มเหยียดจากริมฝีปากหนาของชายหนุ่มทำให้รัตติกาลรู้สึกขยะแขยง รังเกียจจนแทบอยากอาเจียนออกมา

ใจความของคำพูดเหล่านั้นเธอรู้ว่าเขาหมายความถึงใคร ที่แท้...คนทำเรื่องให้ชายไทต้องโดนสอบสวนก็คือ...ปุณณภพ!!




ณิชนิตา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 18 พ.ค. 2558, 05:57:54 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 18 พ.ค. 2558, 05:57:54 น.

จำนวนการเข้าชม : 1223





<< บทที่ ๑๖ โชคชะตา (๒)   บทที่๑๘ ความรักคือ ห่วง >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account