บ้านต้นรักษ์ (จบแล้วจ้า) รีไรท์
ก้อ...กอมารุน...ราชาแห่งท้องทะเลทราย

ปะทะกับ

นีล...นัจมุน...ราชินีแห่งท้องทุ่ง


เมื่อดวงจันทร์กับดวงดาวบนฟ้าต่างแข่งกันประจันแสง...
โดยมีต้นไม้ สายน้ำ และท้องทุ่ง เป็นตัวประกัน...

หมู่บ้านอันแสนสงบร่มเย็นอย่าง 'บ้านต้นรักษ์'
กำลังจะลุกเป็นไฟ

เมื่อสิ่งที่นักลงทุนอย่างเขาต้องการ
คือสิ่งเดียวกันกับที่หญิงสาวหวงแหนยิ่งชีพ
ทั้งๆที่เธอไม่มีสิทธิ์อะไรที่จะมาหวงแหนในสิ่งที่ไม่ใช่
กรรมสิทธิ์ของตน!

การเชือดเฉือนจึงก่อกำเนิดในยุคแห่งวัตถุนิยม
ที่นายทุนเป็นใหญ่

ท่ามกลางสงครามอันร้อนระอุ

ระหว่าง

ราชาแห่งท้องทะเลทราย กับ ราชินีแห่งท้องทุ่ง

ที่อยู่ห่างกันราวคนละโลก ในชีวิตกันคนละแบบ
คิดอ่านกันคนละอย่าง...

เสียงเพรียกจากวันวาน จะกลับมาขับขาน
สะพานไม้หมากที่พาดข้ามฟากเชื่อมสองฝั่งคลอง
กำลังสั่นสะเทือน...เมื่อสะพานคอนกรีตจะเข้ามาแทนที่

สายสัมพันธ์ระหว่างคนกับต้นไม้กำลังจะพัดหวนคืน

...น้ำในลำธารใสสะอาดกับน้ำมันสีดำไม่อาจเข้ากันได้ฉันใด
เธอกับเขาก็ไม่อาจเข้ากันได้ฉันนั้น...

ไม่มีใครรู้ว่าระหว่าง ดวงจันทร์ดวงใหญ่แค่ดวงเดียวที่ลอยเด่น
อยู่บนฟ้ากับดวงดาวจำนวนมากมายนับล้าน
มีความเป็นมาอย่างไร...
เว้นแต่ต้นไม้ที่ผ่านกาลเวลาโดยไม่เคยหนีหายไปไหนเท่านั้น
ที่จะไขปริศนานี้...

ต้นไม้ที่ยืนผงาดอย่างอดทนผ่านร้อนหนาว
ผ่านฤดูกาลมาครั้งแล้วครั้งเล่าโดยไม่มีใครเคยได้ยินเสียงบ่น
ต้นไม้ที่เหมือนจะไม่รับรู้สิ่งใด...

หากทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้นและเป็นไปกลับกลายเป็นส่วนหนึ่ง
ความรักความประทับใจและความผูกพันธ์ถูกบันทึกไว้ใต้ต้นไม้
หยั่งรากลึกลงในดิน หยั่งลึกลงในจิตใจ...
มีค่า มีความหมาย...นานเท่านาน...


Tags: ดราม่า รัก ต้นไม้ กอมารุน นัจมุน ก้อ นีล เชือดเฉือน แนวอนุรักษ์

ตอน: ต้นที่ 13 นักโทษในเรือนใจ



สองนางมองดูนักโทษที่กำลังนั่งมองแก้วนมในมือราวกับกำลังมองดูยาขม
ซึ่งมักจะมีอาการเช่นนี้แทบทุกครั้งที่ต้องดื่ม 'นมสด' ตามคำบัญชาจากเบื้องบน

ผ่านมาสิบห้าวันแล้วก็ยังดูคล้ายว่ายังไม่ชินกับมัน เพียงแต่อาการท้องเสีย
จากการดื่มนมในตอนแรกเริ่มค่อยๆลดระดับลงเรื่อยๆ…
ก่อนจะได้ยินเสียงพ่นลมหายใจออกมาเมื่อหญิงสาวยกนมขึ้นดื่มรวดเดียวหมดแก้ว…
แล้วนั่งทำหน้าผะอืดผะอมขมกลืนอีกหลายนาทีต่อจากนั้น…

“ขอรสหวานๆหรือรสเปรี้ยวๆบ้างไม่ได้หรือคะ…” นัจมุนพยายามต่อรองเช่นนี้
มาหลายต่อหลายครั้งแล้ว

“ไม่ได้ค่ะ…นมสดของทางเราสดจริงๆ ไม่มีสารเจือปน นอกจากจะผ่าน
การฆ่าเชื้อเท่านั้น…ดังนั้น…รสนี้นับว่าคือรสชาติดั้งเดิมของนมสดแท้ร้อยเปอร์เซ็นค่ะ…”

“น่าจะใส่ใบเตยหรืออะไรให้มันหอมๆหน่อยนะคะ…ดื่มทีไรรู้สึก
ได้ว่ามันออกจะคาวๆสาบๆยังไงก็ไม่รู้…ไม่เห็นจะอร่อยเลยสักนิด…”

“เพื่อสุขภาพค่ะ…ท่องไว้…” นัจมุนขนลุกชันทุกคร้ังที่ดื่มนม…เธอไม่ชอบมันเอาเสียเลย

“ลองมาชั่งน้ำหนักวัดสัดส่วนดูอีกครั้งนะคะ…ว่ารอบนี้ขึ้นมากี่กิโลแล้ว”

ผู้เป็นนักโทษลอบถอนใจ…อย่างอื่นจะเพิ่มรึเปล่าเธอไม่รู้ แต่ที่แน่ๆ
มีอยู่สองที่ท่ีมีขนาดเพิ่มขึ้น…จนเธอชักใจสั่น…หวั่นๆในช่องท้อง
เมื่อนึกไปถึงคนที่บัญชาคำสั่งนี้ลงมา…

“46.5 เพิ่มมา 2.5 กิโลกรัม…สุดยอดมากค่ะ…พอครบห้ากิโลกรัม
ก็จะได้น้ำหนัก 49 กิโลกรัม…แต่ส่วนสูง 164 เซ็นติเมตร…
มันจะต้องได้ค่า BMI (Body Mass Index) หรือดัชนีมวลกาย
ต่ำสุดที่ 50.4 กิโลกรัม…ซึ่งยังต่ำกว่าเกณฑ์อยู่ดี…จริงๆต้องเพิ่มน้ำหนักให้ได้
6.4 ค่ะ ถึงจะได้มาตรฐานน้ำหนักที่ดีต่อสุขภาพ…”

ผู้ควบคุมน้ำหนักและสัดส่วนของเธอเอ่ยขึ้นพร้อมวิพากษ์วิจารณ์ไปด้วย
ทำเอานัจมุนถึงกับลอบถอนใจ

ถ้าการแต่งงานกับใครสักคนมันต้องยุ่งยากอะไรขนาดนี้…ขอไม่แต่งได้มั้ย…
เธอโสดจนชินและไม่คิดว่าจะชินกับการไม่โสดได้ง่ายๆ...เพราะแค่แรกเริ่ม
ก็ชวนให้ปวดหัว ไมเกรนถามหาไม่รู้กี่รอบแล้ว...

“หนึ่งเดือน ใครมันจะทำน้ำหนักขนาดนั้นได้ล่ะคะ…ต้องกินของที่ทำให้อ้วนโน้น
ถึงจะทำน้ำหนักได้ไวๆและมากๆ…” นัจมุนได้ทีประชดออกไป

“ไม่ได้ค่ะ…เราไม่ได้ต้องการให้คุณอ้วน แต่ต้องการให้คุณมีน้ำหนักที่ได้มาตรฐาน
เป็นน้ำหนักที่ไม่มีไขมันส่วนเกิน…เลยต้องนำมาเทียบกับค่า BMI นี่แหล่ะค่ะ…
ซึ่งตอนนี้คุณยังผอมอยู่มาก ต้องเพิ่มสารอาหารเข้าไปเสริมอีกนะคะ…”

นัจมุนอยากจะล้มลงไปนอนดิ้นตาย วันๆไม่เป็นอันต้องทำอะไร นอกจากกิน ออกกำลัง
แล้วก็นอน…อะไรๆที่อยากจะกินก็ใช่ว่าจะได้กินตามใจปาก…เพราะสองนางยักษ์
จะมองเธอตาเป็นมันทีเดียว เวลาเธอจะเคี้ยวจะกินอะไรเป็นต้องสอดส่องอยู่ตลอดเวลา…

ยอมให้เธอปั่นจักรยานไปโน่นมานี่ได้ แต่ก็ไม่วายตามไปประกบอยู่ดี
เลยไม่อาจหยุดซื้อของกินที่อยากกินได้...คิดๆแล้วเครียด พอเครียดแล้วทำอะไรไม่ได้
ก็เลยต้องกิน...กินเข้าไป เอาให้อ้วนสมใจคนบ้าอำนาจไปเลย

“ลองมาดูสัดส่วนที่ได้กันค่ะ…” ว่าแล้วนางยักษ์ผู้ควบคุมสัดส่วนของเธอ
ลุกขึ้นวัดขนาดบน กลาง ล่่าง ของลำตัวเธอทันที ก่อนจะยิ้มออกมา
ด้วยแววตาเป็นประกายทีเดียว…

“ทรวดทรงสมส่วนมากค่ะ…จริงๆคุณน่ะหุ่นสมส่วนตลอด นับว่าเป็นคนที่มี
โครงสร้างที่ดี แถมยังซ่อนรูป…ดูเผินๆเหมือนจะผอมกระโดกกระเดกอย่างกับ
โครงกระดูกเดินได้ ซึ่งถ้าได้เพิ่มสารอาหารที่ดีๆ สัดส่วนดังกล่าวก็จะเพิ่มตาม
มันจะได้อัตราที่ไม่แน่ว่าอาจทุบสถิตินางงามจักรวาลก็ได้นะคะ…”

นัจมุนแทบจะสำลักน้ำลายตัวเองในลำคอ เธอไม่ค่อยจะรู้ว่าสัดส่วนที่ดี
ควรจะเป็นเท่าไหร่

“แล้วตอนนี้มันเท่าไหร่คะ…”

“35-23-35…หุ่นทรงนาฬิกาทรายค่ะ…ซึ่งเป็นสัดส่วนที่หาได้ยากในสมัยนี้…”

นัจมุนยกมือทาบอก ก้มมองสะโพกผายๆของตนที่แสนจะน่ารังเกียจ…
ชวนให้อับอายจนไม่กล้าเปิดเผยต่อสายตาใคร…

นี่หรือหุ่นนาฬิกาทรายที่หาดูได้ยาก…มันผายออกขนาดนี้เนี่ยนะ...นาฬิกาทราย…

แต่พอเงยหน้าขึ้นมองรอบอกก็ได้แต่กลืนน้ำลาย

...ของเราข้างบนมัน 35 เท่ากับข้างล่างนี่นา…แล้วเอวก็แค่นี้…จี๊ดเดียว
นาฬิกาทรายก็นาฬิกาทราย…

“แล้วมันดีมั้ยคะ ไอ้หุ่นนาฬิกาทรายน่ะ…” ชักสงสัยว่าหุ่นนาฬิกาทราย
มันจะสวยท่ีตรงไหน ก็เห็นๆอยู่ว่านาฬิกาทรายมันเป็นยังไง…

“เป็นหุ่นนางแบบ นางงามเลยเชียวล่ะ…” อีกคนพูดเสริมทันที

“อย่างของฉันเนี่ย…38-28-41 สูง 175 มันเลยดูใหญ่และล่ำไปหน่อย”

ไม่ล่ำละ…ยักษ์เลย…สูงว่าเธอตั้งสิบเอ็ดเซ็นติเมตร แถมสัดส่วนก็แสนจะ
อลังการณ์งานสร้้าง…

“แต่โชคดีที่ไม่ได้ใหญ่เพราะไขมัน…”

อ่ะแน่นอน…ถึกและบึกบึนขนาดนี้ ไม่มีไขมันส่วนเกินแน่นอน เธอเชื่อ…

“แต่ฉันคิดว่า…เชคน่าจะชอบ…หุ่นประมาณ…38-26-39 สูงประมาณ 174
หุ่นแบบนี้ใช่เลยค่ะ…”

โอ้…นัจมุนห่อปากกับสัดส่วนที่ได้ยินเมื่อได้ทำการเทียบกับสัดส่วนของเธอที่ได้รู้เมื่อสักครู่

เพราะที่ผ่านๆมาเธอไม่ได้จะใส่ใจกับการมานัั่งวัดขนาดสัดส่วนของตัวเอง
แค่รู้ว่าถ้ามันเพิ่มเมื่อไหร่ก็ต้องไปอัพขนาดชุดชั้นใน ถ้าลดลงมาก็แค่ขยับตะขอ…
ไม่ต้องซื้อเพิ่มให้เปลืองตังค์…เท่านั้น…

แล้วขนาดสะโพก ถ้าไม่กินแบบบันยะบันยังก็ไม่มีปัญหา
มันจะไม่ผายในเวลาอันรวดเร็วเหมือนสัดส่วนข้างบน...

ส่วนเรื่องส่วนสูงไม่ต้องไปวัดระดับแล้ว อายุ 30 แล้วอย่างนี้ไม่น่าจะมีอะไรเพิ่ม
ในแนวแกนวายให้ตื่นเต้นได้อีกแน่นอน…ครั้งสุดท้ายเท่าไหร่ ครั้งต่อไปก็สูงเท่านั้นแหล่ะ

ถ้าจะมีก็คือสั้นลงเท่านั้นเอง…สั้นเพราะกระดูดพรุนอย่างที่น้องชายชอบล้อเธอ
อะไรทำนองนั้น

“อายุ 30 อย่างฉัน มันคงไม่สูงไปกว่านี้แล้วล่ะค่ะ…ต่อให้กินนมสักวันละ 10 แกนลอน
ก็ไม่นำพา…ถึงพ่อฉันจะสูงชลูดแต่ฉันก็สูงได้เท่านี้แหล่ะ...แค่นี้ก็พอใจแล้วค่ะ...
ส่วนขนาดรอบอกที่ว่านั้น ฉันคงแบกไปไหนมาไหนไม่ไหวหรอกค่ะ…
แค่ 35 ก็ว่าหนักเกินไปแล้ว…อย่าให้ฉันต้องแบกภาระเพิ่มเลยนะคะ…ขอร้อง…”

แค่เท่าที่มีก็น่าจะเพียงพอแล้ว ถ้าอยากได้ขนาดนั้นไปหาเอาที่อื่นเถอะ

…ผู้ชายอะไร…บ้าที่สุด…

สองนางเลยได้แต่ลอบยิ้มให้กับคนที่ต้องแบกภาระที่ว่า

“ส่วนไอ้รอบสะโพก 39 เนี่ย ฉันว่า…มันไม่ดูเหมือนจานดาวเทียมไปหน่อยหรือคะ…
คือ…มันดูยิ่งใหญ่มากเลย…”

ก็ขนาดสะโพกของเธอแค่ 35 ยังผายได้ขนาดนี้ ถ้าเกิดว่าเพิ่มไปอีก 4 นิ้ว
มันจะผายออกไปอีกสักขนาดไหน แค่จินตนาการก็สยองแล้ว…

“แต่มันจะสวยและอวบมากถ้าไปอยู่บนร่างของสาวรูปร่างสูง 175 ขึ้นไปค่ะ…”
มีการอธิบายแจกแจงด้วย ทำเอานัจมุนสะบัดหน้าขอผ่าน

“แต่ขนาดส่วนสูง 164 สัดส่วน 35-23-35 ของคุณในตอนนี้
ก็สุดยอดแล้วค่ะ…ไม่สูงมากจนเกินไป ดูบอบบางน่าทะนุถนอมด้วย…"

แววตาคนพูดดูชื่นชมเธอจากใจจริงจนนัจมุนเริ่มเขิน ทำหน้าไม่ถูกขึ้นมา

มาลาตีเพื่อนรักก็เคยบอกว่าเธอหุ่นดี โครงสร้างดี...แต่หุ่นของเธอนั้น
จะเป็นลักษณะของคนที่ซ่อนรูป ถ้าไม่สวมเสื้อผ้ารัดรูปหรือโชว์สัดส่วน
ก็จะดูเหมือนไม่มีอะไร...

ส่วนบิดาก็มักกำชับให้เธอสวมใส่เสื้อผ้าหลวมๆมาตั้งแต่เพิ่งเข้าสู่วัยแรกสาว...
และให้สวมพวกชุดดำเพราะเป็นสีที่ช่วยในการปกปิดอำพรางเรือนร่างได้ดี
หรือไม่ก็เป็นพวกสีเข้มๆไม่ฉูดฉาด แรกๆเธอไม่เข้าใจในคำสั่งของเธอ
แต่เมื่อได้ทำตามและเริ่มโตขึ้น เธอจึงพอจะเข้าใจเจตนารมย์ของท่านว่าท่านเป็นห่วงเธอ

การได้รู้ว่ามีคนคอยห่วงใยมันทำให้รู้สึกดี...ยิ่งคนๆนั้นเป็นคนสำคัญในชีวิต...
เธอจึงไม่อยากขัดใจท่าน...พยายามเชื่อฟังท่านในเรื่องนี้มาตลอด
และปฏิบัติอย่างเคร่งครัด...

"และสะโพกคุณก็ไม่ได้ผายอย่างน่าเกลียดเสียหน่อย ออกจะงอนงามชวนมอง
แต่อย่าให้ใครได้มองนะคะ ไม่ดีค่ะ มันจะเป็นอันตรายต่อตัวเราเอง ปกปิดไว้ค่ะ
เอาไว้ให้เชคมองได้คนเดียวนะคะ...” นัจมุนรู้สึกหน้าร้อนผะผ่าวขึ้นมาทันที
หน้าจะแดงหรือเปล่าเธอไม่รู้ รู้แค่ว่ามันร้อนไปทั่วทั้งใบหน้าแล้วลามไปจนถึงลำคอ...

“งั้นเราก็หยุดน้ำหนักไว้ตรงนี้เลยก็แล้วกันนะคะ…”

ได้ทีขอหยุดโปรแกรมเพิ่มน้ำหนักทันที เธอเบื่อกับการที่ต้องมีคนเข้ามาควบคุมการกิน
การเคลื่อนไหว และการนอนของเธอเป็นที่สุด

“ไม่ได้ค่ะ…เชคบอกว่า ห้ากิโลก็คือ ห้ากิโล…ต่อรองไม่ได้แล้วค่ะ”

“ก็ไหนว่าสัดส่วนได้แล้วนี่นา…”

“ใช่ค่ะ สัดส่วนได้แล้ว แต่น้ำหนักยังไม่ผ่าน…คุณต้องกินให้ได้อีก 2.5 กิโลกรัมค่ะ…
หรือถ้าให้ดี ต้องเพิ่มอีก 3.9 กิโลกรัม”

นัจมุนกำลังจะอ้าปากพูด หากก็โดนปาดหน้าไปได้อีกอย่างกับรู้ว่า
เธอกำลังคิดอะไรอยู่

“ถ้าเพิ่มน้ำหนักและได้สัดส่วน 36-24-36 ก็นับว่าเป็นหุ่นที่ดีและมีเนื้อหนังมากขึ้น
อย่างที่ผู้หญิงควรจะมีนะคะ…มันเป็นสัดส่วนที่น่าภูมิใจออกค่ะ...
และเราจะพยายามให้คุณได้ตามนั้น…คุณจะได้เป็นเจ้าสาวที่งามสง่าเคียงข้างเชค...”

นัจมุนลอบถอนหายใจเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วก็สุดจะรู้…

“เชคจะต้องรักคุณหลงคุณและประทับใจในตัวคุณอย่างแน่นอน…เราสองคนมั่นใจ...”

อย่ามารักอย่ามาหลงเลยเป็นดีที่สุด…เพราะจะได้หย่าให้ไวๆแล้วปล่อยเราไปไกลๆสักที
เธอไม่อยากใช้ชีวิตภายใต้การบงการของเผด็จการอย่างเขาเลย
แค่ที่เจอก็เหลือจะรับแล้ว...

ชีวิตเธอเหมือนไม้ไกลต้น ไปโตเอาที่อื่นมานาน...หาอาหารกินเอง
เผชิญร้อนหนาวเพียงลำพัง ไม่มีร่มเงาใดคอยบดบังหรือให้พักพิงเวลาเจอพายุกระหน่ำ...
ซ้ำยังไร้คนดูดาย จะตายจะรอดก็สุดแต่ยถากรรม

ึครั้นอยู่ๆมีใครก็ไม่รู้ขุดขึ้นมาจับใส่กระถาง รถน้ำพรวนดินให้อย่างดี มันก็ดูแปลกๆ
ไม่คุ้นชิน...แม้จะสบาย ได้รับการดูแล แต่เหมือนไม่ใช่ตัวเรายังไงชอบกล...

“ว่าแต่…พวกคุณต้องรายงานไอ้พวกน้ำหนักและสัดส่วนของฉัน
ให้เชคของคุณรู้ด้วยรึเปล่า…”

“แน่นอนค่ะ…อะไรที่เกี่ยวกับคุณทั้งหมด…ท่านต้องรู้”

แม้แต่สัดส่วนของฉันนะหรือ…โอ้…ไม่…

“ไม่บอกได้มั้ยคะ…คือ…ฉันอาย…” นัจมุนบอกออกไปตามตรงด้วยใบหน้าแดงก่ำ

“อย่าอายเลยค่ะ…อีกสิบห้าวันคุณก็ต้องเข้าพิธีนิกะห์กับเชคแล้ว…”
นัจมุนยกมือขึ้นคลึงขมับด้วยสีหน้ายุ่งยากใจ…

“อย่าทำให้พวกเราต้องตกงานเลยนะคะ…งานดีๆเงินดีๆและสวัสดิการดีๆจากเชคนั้น
หาได้ยากค่ะ…เราไม่อยากเสียโอกาสดีๆนี้ไป…”

แล้วนัจมุนก็ต้องยอมให้กับวาจาของสองนางอีกตามเคย…ก็เลยต้องปั๊มน้ำหนักตัวเอง
เพิ่มเข้าไปอีก…เอาเถิด…เสร็จจากภารกิจตรงนี้ เธอจะขอกลับไปใช้ชีวิตดังเดิม…
ก็ไม่เห็นจะเป็นไร แค่เดือนเดียว ทนๆตามใจคนอื่นไปอีกสักหน่อยก็แล้วกัน…

สองนางเลยหันมายิ้มให้กันเมื่ออีกฝ่ายดูจะยอมเป็นนักโทษแต่โดยดีไม่มีขัดขืน…
นับว่าเป็นคนที่มีน้ำใจไม่ใช่น้อย…อย่างน้อยก็คอยคิดถึงคนอื่นมากกว่า
จะคิดถึงแต่ตนเอง…





“ผลงานดีมาก…พยายามต่อไปนะ…” กอมารุนมองดูเอกสารรายงานผลล่าสุด
ท่ีได้รับจากลูกน้องผ่านทางลูกน้องคนสนิทของเขาอีกทอด
จึงกดสายโทรไปยังแดนนักโทษ

“เพราะได้ความร่วมมือที่ดีจากนักโทษของเชคด้วยค่ะ…”

“ยังดื้อไม่ดื่มนมอีกมั้ย…แล้วยังท้องเสียอีกรึเปล่า…”

“ไม่ดื้อเลยค่ะ แต่เหมือนจะไม่ค่อยชอบดื่มนมนัก ยังมีสีหน้าผะอืดผะอม
แทบทุกครั้งที่ดื่ม ส่วนเรื่องท้องเสียลดลงเรื่อยๆแล้วค่ะ…คิดว่าน่าจะ
เป็นไปตามที่เชคสันนิษฐาน…”

“อืม…อีกหน่อยก็คงจะเป็นปกติดี…แล้วเรื่องอาหารการกินล่ะ…”

“กินเก่งขึ้นค่ะ…ดูจะเจริญอาหารขึ้นเรื่อยๆ…ไม่บ่น เพียงแต่มีผักบางชนิด
ที่นักโทษดูจะไม่ค่อยชอบ…”

“เช่นอะไรบ้าง…”

“เท่าที่สังเกตเห็นก็ คะน้า ใบบัวบก บล็อคโคลี แล้วก็มะระ ซึ่งเป็นผัก
ที่สำคัญมากในด้านสุขภาพ…”

“แล้วยอมกินดีๆมั้ย…”

“กินค่ะ…แต่หน้าตาบ่งบอกว่าไม่มีความสุขกับการกินสักเท่าไหร่…”

“ก็เพราะว่าไม่มีคนคอยจ้ำจี้จ้ำไช เลยกินไปตามมีตามเกิด…
กินตามอารมณ์มาตลอดน่ะสิ…สภาพเลยเป็นแบบนั้น…เดี๋ยวพอกินๆไป
เขาก็จะชินและชอบไปเอง…ยิ่งรู้ว่ามันดีต่อตัวเองจะยิ่งชอบในที่สุด”

ชายหนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบแฝงความเฉียบขาดในน้ำเสียง

“แล้วที่เขาชอบล่ะ…”

“ผัดถั่วงอกค่ะ…เห็นกินเกลี้ยงไม่มีเหลือ…สีหน้าดูเบิกบานมีความสุข”

ประโยคนั้นทำเอาคนฟังถึงกับกระตุกมุมปาก…แววตาเป็นประกายคล้ายจะยิ้มได้

“แล้วชอบนมถั่วเหลืองค่ะ…อะไรที่เกี่ยวกับถัั่วเห็นจะชอบ…อย่างถั่วฝักยาว
มีนั่งกัดกินเล่นแบบดิบๆด้วยค่ะ เผลอทีไรหันไปดูอีกทีหมดแล้วค่ะ
แล้วก็ดูจะชอบแตงกวาด้วยค่ะ…นั่งกินเล่นได้เหมือนกินผลไม้เลยค่ะเชค…”

เสียงคนรายงานแฝงความเอ็นดูอยู่ไม่น้อย ทำเอาคนฟังพลอยรู้สึกเอ็นดูตามไปด้วย…

“เท่าที่ดู…เหมือนไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง…"

"ค่ะ...โดยรวมแล้วเธอเป็นคนน่ารักมากค่ะ...ไม่ได้จะเออออไปเสียทุกอย่าง
แต่ก็ไม่ดื้อดึงจนไม่ฟังเหตุผลใคร..."

"ดีแล้ว...ยังไงก็อย่าลืมว่า ถ้าใครมาหา...โดยเฉพาะผู้ชาย รายงานฉันทันที…”

“ค่ะเชค…” ผู้เป็นลูกน้องรับคำทันที

“แล้วเอ่อ…เรื่องชุดแต่งงานล่ะคะเชค จะให้เราสองคนพานักโทษ
ไปเลือกชุดรึเปล่าคะ…หรือว่าเชคจัดการเรื่องนี้ไปเรียบร้อยแล้ว”

อดถามเรื่องสำคัญไม่ได้ เพราะเห็นเจ้านายไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องนี้เลย
จนอดแปลกใจและสงสัยไม่ได้

“เขาเลือกอะไรแบบนี้ไม่ค่อยเข้าท่านักหรอก…เรื่องนี้ฉันจะเป็นคนจัดการเองท้ังหมด…”

เพราะดูจากการเลือกเครื่องแต่งกายให้ตัวเองแล้ว ก็พบว่านัจมุนขาดคุณสมบัติ
ความรักสวยรักงามที่ผู้หญิงปกติทั่วไปพึงจะมีไป…

เธอคิดจะใส่อะไรก็ใส่ ไม่นึกว่ามันจะเข้ากันได้มั้ย…ทั้งๆที่เรียนจบสถาปัตมาด้วย
น่าจะเข้าใจและน่าจะมีพรสวรรค์เรื่องของการเข้ากันและไม่เข้ากันดี

แต่เท่าที่เขาลอบสังเกตเห็น…ก็ไม่พบว่าเธอจะใส่ใจเรื่องพวกนี้เลย…
มันทำให้ผู้หญิงขาดเสน่ห์ที่ควรจะมีไปไม่น้อย…

เขาเลยไม่ค่อยจะเข้าใจว่าเหตุใดพวกผู้ชายหลายต่อหลายคนถึงปรารถนาในตัวเธอนัก
แต่เมื่อเหลือบมองเอกสารเกี่ยวกับรายงานที่ได้รับมาตลอดจากลูกน้อง
เกี่ยวกับข้อมูลส่วนตัวของนัจมุน แววตาคมกล้าก็เริ่มส่องประกาย


“ถ้าเช่นน้ัน…เราสองคนจะพยายามเรื่องที่เชคให้ดำเนินการต่อไปค่ะ
คิดว่าไม่น่าจะมีปัญหาค่ะเชค…”

“ตามนั้น…แล้วถ้ามีอะไรเร่งด่วน โทรหาฉันได้ตลอด…”

พูดจบก็กดวางสายแล้วหยิบกระดาษรายงานทั้งหมดออกมาอ่านแบบพิจารณา
อย่างถี่ถ้วนอีกครั้ง…ก่อนจะพึมพำออกมาเบาๆด้วยสีหน้าแววตาพึงพอใจว่า

“โครงสร้างดีทีเดียว...แสดงว่าซ่อนรูปนี่เอง…”

พลันสายตาเหลือบมองรูปถ่ายล่าสุดของเธอที่ลูกน้องทั้งสองส่งมาให้เขาดู
ในหลากหลายอิริยาบถ…

ชายหนุ่มนิ่งมองรอยยิ้มอันงดงามหวานละมุนละไมบนใบหน้าอันคมคาย
ซึ่งซ่อนลักยิ้มแก้มบุ๋มน่ารักท่ีเห็นเด่นชัดยามเมื่อเธอแย้มยิ้มเต็มดวงหน้า

และดวงตาคมที่ทอประกายราวกับมีดวงดาวอยู่ในดวงตาคู่นั้น จมูกโด่งรับกับรูปหน้า
ริมฝีปากเรียวบางได้รูปสวยเป็นส่วนที่โดดเด่นที่สุดบนใบหน้า เผยอนิดๆ
ยิ่งในยามที่มันขยับขึ้นลงยิ่งทำให้มองเพลิน…จนเขาต้องไล่เธอไปให้พ้นๆหน้าเสมอ
เพราะไม่อยากทำผิดด้วยการจ้องเธอในแบบที่ไม่ควรจ้อง…มันยังไม่ถึงเวลาของเขา…


และที่สำคัญ...เขารำคาญคำพูดของเธอด้วยในส่วนหนึ่ง...นัจมุนควรได้รับ
การปรับปรุงเรื่องการพูดจา...เพราะว่านั่นล่ะคือตัวดับเสน่ห์ของเธอ!

กอมารุนวางเอกสารลงพร้อมกับเลิกจ้องมองรูปถ่ายเหล่าน้ันเสีย
พยายามถามตัวเองว่า...เขาเป็นอะไร…

จนกระทั่งได้คำตอบว่า…เขาก็แค่เหงาที่ไร้หญิงสาวข้างกายมาพักใหญ่ๆแล้ว…
จนทำให้มองนัจมุนเป็นอย่างอื่นมากกว่าเด็กหญิงนัจมุนที่น่ารำคาญและขี้แยอ่อนแอ…

และคงจะปรารถนาในตัวเธอเพียงเพราะอารมณ์ปรารถนาที่เพศชาย
พึงมีต่อเพศตรงข้ามเท่านั้น…

เขาก็แค่อยากครอบครองเธอตามประสาผู้ชายทั่วไปที่อยากครอบครองผู้หญิงคนนึง
ที่ตนรู้สึกพึงใจขึ้นมา…ก็เพียงแค่นั้นเอง

ในเมื่อบิดาของเธอยกเธอให้เขาแล้ว…เขาก็มีสิทธิ์ที่จะครอบครองเธอ
เขาก็แค่รู้สึกว่าตัวเองเป็นเจ้าของเธอ…ที่สามารถจะจัดการหรือทำอะไรกับเธออย่างไรก็ได้…

และเม่ือเธอกำลังจะมาอยู่ในตำแหน่งภรรยาของเขา…แน่นอนว่าเขาก็ย่อมต้องมองเธอ
มากกว่าที่เคยมอง รู้สึกกับเธอมากกว่าที่เคยรู้สึก…

และมันไม่มีอะไรมากไปกว่า…

ความปรารถนาทางกาย! ความกระหายทางเพศ…




เพียงแต่เขาไม่แน่ใจว่าไอ้อาการที่เกิดขึ้นเมื่อตอนเห็นหนุ่มหน้ามนคนหนึ่ง
ที่กำลังจูงมือน้องชายของเธอก้าวลงมาจากรถคันงามแล้วเดินไปหาเธอในวันถัดมา
ตรงหน้าระเบียงบ้านของเขาที่สามารถมองเห็นความเป็นไปของบ้านหลังเล็กๆ
เก่าๆโทรมๆหลังนั้นได้รอบตัวบ้านมันคือ ความรู้สึกหึงหวงในสิ่งที่ตนเป็นเจ้าของหรือไม่

…น่าจะใช่…เขาคิดว่าเขาหวงของของเขาเท่านั้น…

และไม่นานเขาก็ได้รับโทรศัพท์จากลูกน้องทันที

“เชคคะ…คือ…มีผู้ชายมาหานักโทษของเชคค่ะ…ชื่อบากี้รึอะไรทำนองนี้แหล่ะค่ะ…
มากับน้องชายของเธอ…”

“เห็นแล้ว…” น้ำเสียงตอบกลับไปนิ่งสนิททีเดียว

“ให้เราจัดการเขามั้ยคะ…”

“ไม่ต้อง…ปล่อยเขา…” เหมือนจะพยายามเปิดใจให้กว้างทั้งๆที่ขัดกับความรู้สึกบางอย่าง
ที่ซ่อนลึกอยู่ภายใน

“แต่…เขาดูจะ…”

“ดูอยู่ห่างๆก็พอ…ไม่น่าจะมีอะไรหรอก…ก็แค่…คนรู้จักกัน…
จะมาหามาเจอกันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร…” บอกไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
ไร้อารมณ์เช่่นเคย

“ค่ะเชค…”

“แต่อย่าปล่อยให้อยู่กันตามลำพังเด็ดขาด…” เสียงนั้นฟังดูเฉียบขาด
จนคนฟังถึงกับสะท้าน

“ค่ะ…เราจะไม่ปล่อยให้มีเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นแน่…” กอมารุนจึงกดวาง

แล้วกลับพบว่าตัวเองไม่อาจอยู่อย่างสงบสุขได้อย่างที่คิดไว้…
มันรู้สึกหงุดหงิดงุ่นง่านชอบกล…จนต้องเดินกระสับกระส่ายไปมาตรงระเบียง



ส่วนทางด้านนัจมุน รู้สึกดีใจอย่างที่สุดเมื่อได้พบหน้าน้องชายสุดที่รัก
สองพี่น้องโผเข้าหากันและกอดกันด้วยความคิดถึง

“พี่นีลดูสวยขึ้นรึเปล่า…” เจ้าน้องชายมองใบหน้าพี่สาวพร้อมสำรวจไปด้วย
ตามนิสัยคนช่างสังเกต

“ก็คนมันสวยอยู่แล้ว…จะสวยขึ้นอีกหน่อยก็ไม่เห็นจะแปลกน่ะนะ…”

คนเป็นพี่ไม่ได้น้อยหน้า รับคำน้องชายพร้อมรอยยิ้ม ไม่ใช่เพราะคำชม
แต่เพราะว่าดีใจและอุ่นใจที่ได้เจอน้องชายมากกว่า

“พี่บากี้เอาเจ้าตัวแสบมาจากอกแม่เขาได้ยังไงคะ…นีลล่ะนับถือจริงๆ”
หันไปยิ้มให้อีกคนทันที…ก่อนจะชวนเขาขึ้นเรือน

“บ้านนีลก็มีแค่นี้แหล่ะค่ะ…พี่บากี้คงไม่รังเกียจนะคะ…”

“ไม่เลยครับ…ที่ไหนมีน้องนีล ที่นั่นสวยสดงดงามหมดทุกซอกทุกหลืบ”

มีการหยอดได้เรื่อยๆไม่เคยเปลี่ยน…นัจมุนลอบยิ้มแล้วเดินนำทั้งสองขึ้นเรือนไป

สายตาของชายหนุ่มชำเลืองไปยังสตรีสองนางที่ยืนหลบมุมอยู่ในบ้านของนัจมุน
ด้วยความแปลกใจ ตั้งใจว่าจะถามนัจมุนเมื่อสบโอกาส


หลังจากเจ้าบ้านเสริฟน้ำพร้อมของว่างเสร็จ บทสนทนาก็เริ่มขึ้นทันที

“ว่าไงเจ้าตัวแสบ แม่เราน่ะปล่อยเรามาได้ยังไง…” นัจมุนเริ่มถามน้องชาย
ที่เข้ามานั่งกระแซะๆข้างๆเธอ

“ต้องดูว่าใครเป็นคนไปขอมาสิพี่นีล…ระดับพี่บากี้…แม่ไม่กล้าปฏิเสธหรอก…”

“นี่เราหลอกใช้พี่บากี้หรือเนี่ย…” เสียงน้องหัวเราะแหะๆทำให้นัจมุนเข้าใจได้ในบัดดล
จึงหันไปขอโทษขอโพยอีกฝ่ายทันที

“ขอโทษจริงๆค่ะที่เจ้าแสบสร้างปัญหาให้พี่…น่าทำโทษจริงๆ”

“จริงๆแล้วพี่เต็มใจมาหาน้องนีลนะครับ…แต่ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะมาอ้างกับน้องนีล
พอมีเหตุผลในการอ้าง ก็เลยสมใจพี่…ผลประโยชน์ของพี่กับหมอกลงตัวกันพอดี
เราเลยร่วมมือกัน…” ชายหนุ่มบอกด้วยรอยยิ้มบางอย่างคนอารมณ์ดี…

“แล้วทำไมถึงอยากมาหานีลล่ะคะ…” นัจมุนพาซื่อ

ทั้งๆที่ลึกๆก็พอจะรู้ว่าอีกฝ่ายคิดอย่างไรกับตนอยู่ แต่เธอมั่นใจว่าอีกฝ่าย
ไม่ได้ถึงกับรักเธอมากมายแบบสุดจิตสุดใจจนไม่อาจปล่อยเธอไปได้ คงไม่ใช่ลักษณะนั้น…

พี่บากี้เป็นผู้ใหญ่ที่ไม่มักจะใช้สติและเหตุผลเหนืออารมณ์ ไม่มีหรอกที่จะใช้อารมณ์
นำทางชีวิตของตน และนั่นคือ เสน่ห์ของเขา

เพียงแต่ผู้หญิงบางคนต้องการให้เขาหึงหวง ได้รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนสำคัญสำหรับเขาที่สุด
จนเขาขาดเธอไม่ได้ก็เท่านั้น…

ซึ่งแน่นอนว่าคนอย่างพี่บากี้จะไม่แสดงออกหรือทำอะไรอย่างนั้นแน่…
เขารักอย่างมีหลักการ ทำอะไรต้องมีเหตุผลและต้องมีขั้นมีตอน…

และที่สำคัญ…เขานึกถึงความเหมาะสมเป็นเรื่องหลัก…การจะแหวกกฎเกณฑ์ของสังคม
เพื่อสนองต่ออารมณ์รัก ย่อมไม่ใช่วิสัยของพ่ีเขาแน่ๆ…

“พี่แค่อยากมาถามน้องนีลด้วยตัวเองว่า…พี่ต้องกินแห้วกับระกำอีกแล้วใช่มั้ย”
น้ำเสียงของเขาดูเหงาๆปนเศร้าชอบกล

“พี่บากี้ไม่ชอบแห้วกับระกำหรือคะ…” นัจมุนถามยิ้มๆ ไม่อยากให้
บรรยากาศมันเครียดขึงเกินไป

“ไม่นะ…ชอบสมหวังมากกว่า…”

“แต่แห้วเขาเปลี่ยนชื่อมาเป็นสมหวังแล้วนะคะ…” นัจมุนบอกเขาด้วยรอยยิ้ม
ที่ไม่ขาดจากใบหน้า ทำเอาคนมองสุดแสนจะเสียดายรอยยิ้มหวานละมุนละไม
ของคนตรงหน้าจับใจ…

เขาไม่น่าปล่อยเธอมาไกลถึงเพียงนี้เลย…จากที่เคยคิดว่าอย่างไรเสียนัจมุน
ก็คงจะไม่ยอมลงจากคานทองฝังเพชรของเธอง่ายๆ จนเขาชะล่าใจ
ประมาทเลินเล่อ เผลอทิ้งเธอไว้โดยไม่คิดจะรีบๆไขว่คว้าเอาไว้

เขามันโง่เองที่คะนองว่าเธอจะไม่มีทางหลุดมือเขา และเธอจะต้องกลับมาสู่
อ้อมแขนของเขาในที่สุด…จึงยอมปล่อยเธอโดยไม่กักไว้กับตัวหรือพยายามจะผูกมัดใดๆ
ท้ังๆที่เขามีโอกาสมากกว่าชายใด…เขาใกล้เธอและเธอก็ไว้ใจเขามาตลอด…
แต่เขากลับไม่คิดจะทำอะไรให้มันชัดเจนเป็นรูปธรรม…

เขาย่ามใจหลงคิดผิดไป…เห็นเธอเป็นของใกล้มือจะคว้าเมื่อไหร่ก็ย่อมได้…
ครั้นพอต้องการก็สาย…เมื่อเธอกำลังจะกลายเป็นของคนอื่น คนที่เขาไม่อาจต่อกรได้...

“พี่ว่าจะมาบอกน้องนีลในสิ่งที่พี่คิดกับน้องนีลมาตลอด…แต่พี่มาคิดๆดู
มันคงไม่มีประโยชน์ที่จะมาพูดในตอนนี้แล้ว…มันสายไปแล้วใช่มั้ยน้องนีล…”

นัจมุนลอบถอนใจ ไม่รู้จะเอื้อนเอ่ยคำใดออกไป

“น้องนีลรักว่าที่เจ้าบ่าวของน้องนีลหรือเปล่าครับ…” คำถามนี้ทำเอานัจมุนถึงกับตัวชา
ทำหน้าไม่ถูกขึ้นมา

“เอ่อ…นีล…นีลไม่ทราบค่ะ…”

“แสดงว่าน้องนีลก็ยังเฉยๆกับเขาเหมือนกับที่เฉยๆกับผู้ชายทั้งโลกมาตลอดใช่มั้ยครับ…”

นัจมุนนิ่งคิด เฉยๆงั้นหรือ ใช่ เธอเฉยๆกับผู้ชายทั้งโลกจริงๆ
เพราะไม่ได้รู้สึกวูบๆวาบๆกับผู้ชายคนไหนมาก่อน
แต่กลับไม่แน่ใจว่าไอ้ความรู้สึกที่เกิดขึ้นเวลาเจอหน้าเขาคนนั้นมันคืออะไร

แต่มันไม่ได้รู้สึกเฉยๆอย่างที่เคยเป็นกับผู้ชายคนอื่นๆเท่านั้น

“เอ่อ…นีลไม่แน่ใจค่ะ…” หญิงสาวตอบไปตามความรู้สึก เธอคุ้นเคยกับชายหนุ่มตรงหน้า
เพราะรู้จักมักคุ้นกันมาตั้งแต่เธอยังเด็กๆ

ครอบครัวของเขา เธอก็สนิทสนมจนไม่มีความจำเป็นต้องเก็บความรู้สึก
มีอะไรเธอก็มักจะบอกเขาตรงๆเสมอ…เหมือนเขาเป็นพี่ชายคนนึง
เคยมองเขาเป็นตัวแทนพี่ก้อด้วยซ้ำ…นั่นเพราะเธอโหยหาพี่ชายที่แสนดีมาตลอด
พี่ชายที่คอยปกป้องดูแลเธอเมื่อยามมีภัยมาเยือน

แล้วพี่บากี้ก็ทำหน้าที่นั้นได้ดีมาโดยตลอด…อย่างไม่มีขาดตกบกพร่อง
มีเขาอยู่ด้วยเมื่อไหร่ เธออุ่นใจเสมอ…

“พี่ไม่รู้ว่าอะไรทำให้น้องนีลตกลงแต่งงานกับเขา…แต่พี่เคารพการตัดสินใจ
ของน้องนีลเสมอ…ยังไงพ่ีก็อยากให้น้องนีลรู้ว่าพี่ยินดีทำหน้าที่เป็นพี่ชาย
ให้น้องนีลต่อไปนะครับ…” เขาไม่อยากบีบคั้นเธอ เนื่องจากเขาดูออกว่านัจมุน
กำลังมีบางอย่างอยู่ภายในใจ แววตาคู่นั้นไม่ได้สุกสกาวเท่าที่ควร…

และเพราะว่าครั้งหนึ่ง นัจมุนเคยขอให้เขาเป็นพี่ชายให้กับเธอ
เธอบอกว่าเธออยากมีพี่ชาย เขาในตอนนั้นก็ได้รับปากเธอว่าจะเป็นพี่ชายให้เธอ
เธอถึงยิ้มได้สดใส ทั้งๆท่ีก่อนหน้านั้นแววตาของเด็กหญิงนัจมุนดูโศกเศร้า
มองแล้วให้สงสารจนเขากับน้องสาวต้องคอยเอาอกเอาใจอยากให้เธอ
เป็นเด็กหญิงที่สดใสร่าเริงเหมือนคนอื่นๆ…

เนื่องจากนัจมุนเป็นเพื่อนร่วมห้องเรียนและร่วมห้องพักของน้องสาวเขาที่โรงเรียนประจำ…
และยังเป็นลูกสาวของสามีรุ่นน้องร่วมสถาบันของมารดาของเขา…
เลยทำให้เราได้พบกันและรู้จักกันมาตั้งแต่นั้น…

“จริงๆยัยมาลาตีจะมาด้วย…แต่เกิดแพ้ท้องขึ้นมา…ก็เลยตามมาด้วยไม่ได้…”

“มาลาตีท้องหรือคะ…” น้ำเสียงฟังดูตื่นเต้นไม่น้อย เพราะเพื่อนรักของเธอ
รอคอยเจ้าตัวน้อยมานานแล้ว ช่างโชคดีอะไรอย่างนี้เพื่อนเรา

“ครับ…เพิ่งจะรู้ตัว เดี๋ยวก็คงโทรมาโม้ให้ฟังแน่นอน…”
น่าจะได้ฟังจนหลับคาโทรศัพท์แน่ๆ

“งั้นนีลก็กำลังจะเป็นป้าแล้วน่ะซี…” น้ำเสียงและสีหน้าปวดใจนั้น
ทำเอาคนฟังถึงกับยิ้มออกมาได้

“พี่ก็กำลังจะได้เป็นลุงเหมือนกัน…”

“ส่วนหมอกก็กำลังจะได้เป็นน้า…ทำไมรู้สึกว่าแก่ยังไงๆก็ไม่รู้สิ…
หมอกเพิ่งจะสิบขวบเองนะเนี่ย” เสียงนั้นแทรกขึ้นหลังจากที่นั่งฟังทั้งสอง
สนทนากันมาตลอด เพราะที่ผ่านมาพี่บากี้จะขอให้เขามาเป็นมะรอมให้ตลอด…
จะได้ดูไม่น่าเกลียดเมื่อพี่เขากับพี่นีลคุยกัน…

“ถ้าน้าว่าแก่…แล้วป้าอย่างพี่ล่ะ…คิดดู…” นัจมุนหันไปมองน้องชาย
อย่างกระแทกกระทั้นทีเดียว…

“พี่นีลไม่ต้องคิดมากหรอก เดี๋ยวก็ได้เป็นแม่คนแล้ว…” แม่คนเลยหรือ

“ขอบอกผ่านก่อนได้มั้ย…” นัจมุนรู้สึกขนลุกทันทีเมื่อโดนน้องชายแกล้งแหย่ในเรื่องนี้…

“ต้องไปปรึกษาเชคเขานะพี่นีล ว่าบอกผ่านได้มั้ย…”

“แก่แดดแก่ลมจริงๆเด็กคนนี้ เดี๋ยวจะโดน…” นัจมุนตั้งท่ายกมะเหงก
กะจะเพ่นกบาลน้องชาย ทว่าอีกฝ่ายรู้ทางเลยเลี่ยงหลบไปเกาะหลัง
ชายหนุ่มที่นั่งอยู่อีกฟากนึง…

“พี่บากี้ช่วยหน่อย ล้างปากเจ้าหมอกให้นีลที…เอาให้เลือดกลบเลยนะ”

ชายหนุ่มแค่นยิ้มออกมาทั้งๆที่แทบจะยิ้มไม่ออก บอกไม่ถูกว่าตอนนี้
รู้สึกปวดหนึบแค่ไหนที่ได้รู้ว่าสิทธิในการครอบครองของเขาเป็นโมฆะเสียแล้ว

เขาไม่เคยมีสิทธิ์ และไม่ยอมหาทางใช้สิทธิ์ และตอนนี้สิทธิ์นั้นก็ได้หลุดลอยไปแล้ว…
ไปเป็นของคนที่เขาไม่คิดว่าจะมาปลิดดวงใจของเขาไป…

เชคกอมารุน บินอัสมา อัลฟารุก คิดยังไงถึงได้ขอนัจมุนแต่งงาน
ผู้ชายคนนั้นกำลังคิดอ่านทำการสิ่งใด ในเมื่อเขาแน่ใจว่าเชคกอมารุน
ไม่ใช่คนท่ีจะรักใคร่ชอบพอใครง่ายๆ แล้วเขากับนัจมุนไปรักกันตอนไหน…
ทำไมทุกอย่างจึงดูรวดเร็วและง่ายดาย…ง่ายจนน่าแปลกใจ…ทั้งๆที่นัจมุนไม่ใช่ผู้หญิง
ที่จะคิดหรือปลงใจในเรื่องแบบนี้ได้ง่ายๆ…

มันต้องมีอะไรมากกว่าที่เห็นแน่ๆ แล้วสองนางที่ดูจะคอยจับจ้องเขาอยู่ตลอดนั่นอีกเล่า…
เมื่อคิดได้ว่าควรทำอย่างไร ชายหนุ่มจึงเอ่ยปากชวนนัจมุนและน้องชาย
ลงไปเดินกินลมด้านล่างแทนที่จะนั่งคุยกันในเรือน…

นัจมุนเห็นด้วย เลยชวนกันไปเดินเล่นในสวนส้มโอ…และเมื่อสบโอกาส
ขณะกำลังเอื้อมมือช่วยคนที่ตัวเล็กกว่าตัดส้มโอจากต้นให้ ชายหนุ่มจึงถามขึ้นว่า

“สองคนนั้นเป็นใครหรือน้องนีล…” นัจมุนลอบถอนใจเมื่อเจอเข้ากับคำถาม
ที่ไม่ค่อยอยากจะตอบ หากก็ตอบออกไปตามตรงว่า

“คนของเชคค่ะ…เขาให้มาคอยดูแลความปลอดภัยให้นีล…”

“ไม่ให้คลาดสายตา?”

“ค่ะ…ไม่ให้คลาดสายตา…” นัจมุนยืนยันคำตอบหนักแน่นก่อนจะยิ้มกว้าง
ขณะรับส้มโอมาจากเขาแล้วส่งไปให้น้องชายพร้อมสั่งกำชับ

“ถือไว้เลย…ถ้าไม่ถืออดกิน…” เจ้าน้องชายเลยรับไปอย่างว่าง่าย

“แล้วถ้าพี่จะขอพักที่เรือนหลังนี้…เขาจะว่าอะไรรึเปล่า…หมายถึง...คนของเขาน่ะ…”

เพราะจากที่วัดดูจากความรู้สึกแล้ว มันเหมือนมีรัศมีบางอย่างพุ่งเข้าใส่เขาอยู่…
สายตาสองคู่นั้นเหมือนจะพยายามผลักเขาออกไปให้พ้นๆรัศมีของนัจมุนอย่างไรอย่างนั้น

“แต่นี่มันบ้าน…” เกือบจะหลุดไปแล้วว่านี่คือบ้านของเธอ เธอมีสิทธิ์ จะให้ใครพัก
หรือไม่พักก็ได้ หากนึกขึ้นได้ว่าตอนนี้มันไม่ใช่แล้ว…เธอเป็นแค่ผู้อาศัย
ในบ้านที่เคยเป็นกรรมสิทธิ์ของเธอ…

“เอ่อ…นีล…นีลไม่แน่ใจเหมือนกันค่ะ…แต่คิดว่าคุยกันได้…”

“แน่ใจหรือว่าคุยได้…ท่าทางไม่น่าจะง่ายเลย…หรือพี่จะไปหาที่พักในเมืองดี…
น้องนีลจะได้ไม่ต้องเดือดร้อน”

“พี่บากี้จะไปพักคนเดียวในเมืองน่ะหรือคะ…” นัจมุนหันไปทางน้องชาย
เธออยากให้น้องชายพักด้วยกันกับเธอนี่นา…

“ก็จากที่คิดๆไว้ พี่ก็ตั้งใจจะพักที่นี่แหล่ะ แต่ตอนนี้รู้สึกว่าคนของเชคเขา
ไม่น่าจะยอมนะ…” แววตาดุออกอย่างนั้น…

“ง้ันเดี๋ยวนีลคุยกับเจ้าของตะเกียงแก้วให้เองค่ะ…เราบริสุทธิ์ใจซะอย่าง
และที่สำคัญ…นีลไว้ใจพี่บากี้…”

แค่เขาไม่รังเกียจที่จะนอนบ้านหลังนี้ เธอก็รู้สึกซาบซึ้งใจมากแล้ว
เพราะขนาดมารดาเลี้ยงกับพ่อของเธอตอนมาที่นี่ก็ไม่ได้จะมาขอนอนที่นี่
แต่กลับเลือกความสบายและหรูหราจากโรงแรมในตัวเมือง…

“อะไร…ใคร…เจ้าของตะเกียงแก้ว…” นัจมุนย้ิมกริ่มพร้อมเฉลยว่า

“ก็ท่านเชคนั่นแหล่ะค่ะ…เจ้าของตะเกียงแก้วอะลาดิน…” เท่านั้นแหล่ะ
ชายหนุ่มก็หัวเราะออกมาเมื่อรู้ความนัยของนัจมุน…

“คิดอะไรพิเรนๆไม่เลิกจริงๆนะเราน่ะ…”

“ติดมาจากยัยมาลาตีน้องสาวพี่บากี้นั่นแหล่ะ…”

“พี่นีล…หมอกขอเล่นน้ำในลำธารได้มั้ย…คิดถึงสุดๆ…”

คนเป็นน้องที่เห็นสายน้ำใสใหลเย็นมาแต่ไกลอดใจเอาไว้ไม่อยู่ ก่อนจะยื่นส้มโอ
ให้ชายหนุ่มแทนที่จะเป็นพี่สาวให้ช่วยถือเอาไว้ ส่วนตัวเองไม่รอคำอนุญาตจากพี่สาว
ก็วิ่งไปยังลำธารทันที

สองหนุ่มสาวได้แต่ส่ายหน้าให้กับท่าทางกระดี้กระด้าเหมือนปลากระดี่ได้น้ำนั่น
ของเจ้าตัวยุ่งก่อนจะเดินตามไปติดๆ

“น้ำใสน่าเล่นจริงๆ…” ชายหนุ่มมองสายน้ำในลำธารแล้วยิ้มให้กับปลาตัวใหญ่
ที่กำลังดำผุดดำว่ายอยู่ในนั้น…

“ลงมาเล่นด้วยกันสิพี่บากี้…สนุกนะ…” ปลาฉลามน้ำจืดที่กำลังว่ายท่ากรรเชียงอยู่
เอ่ยชวนชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างๆพี่สาว นัจมันหันไปมองคนที่กำลังอุ้มส้มโออยู่
แล้วนึกอะไรขึ้นมาได้ ด้วยความที่อยากจะแกล้งและชอบแกล้งคนตัวโตมาแต่ไหนแต่ไร
เลยเอ่ยกับเขาว่า

“พี่บากี้…ดูนกตัวนั้นสิ…หน้าตาประหลาดจริงๆ…” ว่าพลางชี้ไปบนฟ้า

ชายหนุ่มมองตามหากก็ไม่พบนกที่ว่าสักตัว ก่อนจะมารู้ตัวว่าโดนหลอก
ก็ตอนที่โดนมือมารผลักเขาจนหล่นตู้มลงไปในน้ำทั้งส้มโอในอ้อมกอด…
พร้อมด้วยเสียงหัวเราะชอบใจทั้งจากนัจมุนและจากเจ้าหมอกจอมแสบ
ที่ว่ายน้ำเข้ามาใกล้เขาแล้วกระโดดกอดคอเขาจากทางด้านหลังเอาไว้แน่นไม่ให้ตั้งตัว
เผลอกินน้ำในลำธารไปหลายอึก…

“ระวังตัวไว้นะน้องนีล…” นัจมุนที่หัวเราะอยู่ตรงริมลำธารยักไหล่
ไม่ใส่ใจหรือเกรงกลัวต่อคำขู่

“ระวังจะโดนผลักตกน้ำน่ะหรือพี่บ้ากี้…นีลน่ะระวังตัวอยู่แล้ว ไม่เหมือนพี่หรอกน่า…”
ว่าแล้วก็เย้ยซะเลย…

“ก๊าบๆๆ…เป็ดอาบน้ำในคลอง…ปลาก็จ้องแลมอง เพราะในคลองมีหอยปูปลา…”

นัจมุนร้องเพลงล้อเป็ดสองตัวในลำธารอย่างสนุกเลยโดนคนในลำธารโยนส้มโอใส่
หากหญิงสาวมือไวรับเอาไว้ได้ทัน ต่อจากนั้นก็ตามมาด้วยรองเท้าทั้งสองข้าง
อันนี้หญิงสาวเบี่ยงหลบอย่างชำนาญ และไม่นานก็เป็นเสื้อยืดสีขาวของชายหนุ่ม
อันนี้เต็มใจรับเอาไว้ก่อนจะตะโกนบอกไปว่า

“รับไว้แค่เสื้อนะ ห้ามส่งอย่างอื่นมาอีก…ไม่งั้นโป้ง…”

นัจมุนยกนิ้วทำท่าโป้งใส่คนที่กำลังแหวกว่ายอยู่ในลำธาร…

“ลงมาเล่นด้วยกันมั้ยน้องนีล…” เสียงนั้นเอ่ยชวน

“ไม่ๆ…นีลนะ รักนวลสงวนตัวนะ ขอบอก…อย่ามาหลอกให้ลงน้ำเลย”

“แน่ใจนะว่าไม่อยากลงมาเล่นด้วยกัน…”

“แน่ใจ…พี่บากี้เล่นน้ำไปกับหมอกก่อนนะคะ เดี๋ยวนีลขอไปเคลียร์พื้นที่ให้พี่ก่อน…
ว่าแต่เอาเสื้อผ้ามาเปลี่ยนด้วยรึเปล่า”

“เอามาครับ…อยู่ในรถ นี่ครับกุญแจรถ…” ว่าแล้วก็โยนกุญแจมาจากในน้ำ
นัจมุนรับไว้ได้ทัน

“ดีนะ…ที่มันไม่ตกลงไปใต้ลำธาร ไม่งั้นได้งมกันละ…” ไม่วายต่อว่า
เจ้าของมือมารที่ผลักเขาตกลำธาร

“งั้นเดี๋ยวนีลขอตัวก่อนนะ ส่วนเสื้อนี้เดี๋ยวนีลเอาไปลงถังซักไว้รอ…”

ว่าแล้วก็เดินกลับไปยังเรือน ก่อนจะรีบจัดการกับข้าวของในรถของชายหนุ่ม
กับเจ้าน้องชายมาไว้บนเรือน สองนางได้แต่มองอยู่ห่างๆ
เพราะไม่รู้จะตัดสินใจอย่างไรกับเรื่องนี้ และเหมือนโชคจะเข้าข้าง
เมื่ออยู่ๆเจ้านายของตนก็โผล่เข้ามาถึงชานเรือน ก่อนจะขึ้นไปข้างบน
ที่นัจมุนคงกำลังวุ่นวายอยู่กับการจัดที่พักให้กับแขก…

“นั่นจะทำอะไร…” เสียงของเขาทำให้นัจมุนที่กำลังปูผ้าปูที่นอนในห้องเก่า
ของน้องชายถึงกับสะดุ้ง หันไปก็พบว่าเขายืนคาประตูห้องอยู่

คนที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดมาจากระเบียงบ้านของตนแทบทนไม่ได้จนต้องลงมา
สะสางปัญหานี้ด้วยตัวเองกำลังยืนหน้าเรียบตึง แววตาคมดุ

“จัดห้องให้แขกค่ะ…ฉันคงต้องขออนุญาตท่านเจ้าของบ้านให้แขกของฉัน
ได้พักที่นี่ด้วยนะคะ…” นัจมุนเอ่ยขออนุญาตกึ่งๆประชดประชันนิดๆ อย่างอดไม่อยู่
ที่จะฟาดงวงฟาดงาให้คนที่ดีแต่ทำหน้าตายได้ตลอด ไม่เมื่อยบ้างรึไง…

และนับว่านี่คือครั้งแรกที่เธอได้เห็นหน้าเขาหลังจากที่เขาสั่งให้เธอทำโน่นทำนี่
ตามคำบัญชาของเขา…

“ว่าแต่ท่านชายเสด็จมาถึงเรือนนักโทษด้วยเหตุอันใดหรือเจ้าคะ…”

อดไม่ได้อีกเช่นกันที่จะกระแนะกระแหนอีกฝ่ายให้หายคับแค้นใจ…
มันสั่งสมมาหลายวันแล้วและสั่งสมลงไปสู่ยอดอกในทุกๆครั้งที่ต้องดื่มนมสด
และกินอะไรที่ไม่เคยคิดจะกินมาก่อนตามคำบัญชาของเขาอย่างเคร่งครัด
ไม่มีปากไม่มีเสียง…แม้กล้ำกลืนก็ต้องฝืนกลืนลงไป…ท้องเสียก็ต้องทน…
ผะอืดผะอมก็ต้องยอม…

“อย่ามายั่วฉันนะนัจมุน…”

“ก็ไม่ได้จะยั่วนะเจ้าคะ…อิฉันแค่สงสัยว่าลมอะไรหอบท่านชายมาถึงดินแดนนักโทษได้…”

มือใหญ่บีบเข้าหากัน จ้องปากของนัจมุนนิ่ง

ทีกับผู้ชายคนอื่นล่ะหัวเราะร่าเริง หยอกเย้ากันสนุกสนานไม่อายฟ้าอายดิน
ไม่เกรงใจสายตาคนของเขาจนนิดเดียว…ช่างเป็นผู้หญิงที่หาที่เปรียบไม่ได้จริงๆ…

รอก่อนเถอะ เมื่อถึงเวลาเขาจะสั่งสอนเธอให้จดจำว่าควรทำตัวยังไงกับเขา…
และกับผู้ชายคนอื่นๆ

“ฉันไม่อนุญาต…” เสียงของเขาเฉียบขาดและหนักแน่นจนนัจมุนชะงักมือ
ที่กำลังจะหยิบเสื้อผ้าของสองหนุ่มต่างวัยเข้าไปเก็บในตู้เสื้อผ้าก่อนหันมามองเขา

“แล้วจะให้ฉันไล่แขกของฉันไปนอนโรงแรมรึไง…บอกเลยว่าฉันทำไม่ได้…
และถ้าคุณไม่ยอมให้เขาพักที่นี่ ฉันก็จะไปนอนค้างเพื่อรับรองแขกที่โรงแรมในเมือง
กับแขกของฉัน…” หญิงสาวบอกเขาอย่างไม่ยอมเช่นกัน…อย่างนี้มันจะมากเกินไปแล้ว…

“เขาเดินทางไกลเพื่อมาเยี่ยมเยือนฉันถึงที่นี่…พาน้องชายมาหาฉันด้วย
การที่คุณไม่ให้เกียรติเขามันไม่ได้หมายความว่าฉันจะต้องไม่ให้เกียรติเขา
ตามคุณไปด้วย…เพราะตอนนี้ฉันกับคุณเรายังไม่ได้เป็นอะไรกัน…
ส่วนฉันกับพี่บากี้เราเป็นอะไรที่คุณไม่มีทางเป็นได้…”

แน่นอน เขาไม่เคยเป็นพี่ชายเธอ แม้เมื่อก่อนเธอจะอยากได้เขาเป็นพี่ชายแค่ไหน
ถึงกับอ้อนวอนเขา แต่เขาก็ตวาดใส่หน้าว่ารังเกียจเธอ ไม่อยากได้เธอเป็นน้องสาว
เพราะรำคาญเธอ…เขาหาว่าเธอมันน่ารำคาญ แต่เธอก็ยังรักและเคารพเขาอยู่ดี

…รักพี่ก้อเสมอมา…

ถึงตอนนั้นเธอจะแค่หกขวบ แต่เธอจำได้แม่นทีเดียว และไม่เคยลืมเลย…ไม่ลืม…

ส่วนกับพี่บากี้เขาไม่เคยแสดงออกว่ารังเกียจเธอหรือรำคาญเธอเลยสักนิด
ตรงกันข้าม เขาอ่อนโยน ซ้ำยังคอยดูแลปกป้องเธอมาโดยตลอด…

ถ้าจะเทียบกันแล้ว พี่บากี้มีความสำคัญและผูกพันกับเธอมากกว่าเขาหลายร้อยเท่าพันทวี…

“แต่เธอคือนักโทษของฉัน เธอต้องอยู่ที่นี่ จะไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น…”

คนพูดกัดฟันกรอดเมื่อโดนเธอตอกย้ำเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับชายคนนั้น

…เขาดูออกว่าทั้งสองผูกพันกันมาไม่น้อย…ถึงได้หยอกล้อกันราวกับสนิทสนมกันขนาดนั้น

“และอีกแค่ 14 วัน เธอก็จะกลายมาเป็นเมียฉัน…หัดสำรวมกริยามารยาท
และทำตัวดีๆอย่างกุลสตรีที่ดีเขาทำกันด้วยการให้เกียรติตัวเองบ้าง…
ไม่ใช่ทำตัวก๋ากั่นเที่ยวหยอกเย้ากับผู้ชายแบบที่ทำๆอยู่…มันน่าเกลียด…”

เขาตำหนิเธออย่างรุนแรงต่อจิตใจเธอไม่น้อย เขามีสิทธิ์อะไรมาตำหนิเธอแบบนี้
ขนาดพ่อแท้ๆของเธอยังไม่เคยดุด่าเธอขนาดนี้ แล้วเขาเป็นใคร

นัจมุนวางมือกับงานตรงหน้าแล้วยืดตัวตรงหันมาเผชิญหน้ากับเขา

“อย่าคิดว่าตัวเองสำคัญขนาดที่ฉันจะต้องยอมให้คุณได้ทุกอย่างสิ…ฉันก็มีหัวใจ
ไม่ใช่ว่าคิดจะทำอะไรกับฉันก็ได้ทุกอย่างที่คุณต้องการ…มันไม่ง่ายขนาดนั้นหรอกนะ…
เชคกอมารุน…” หญิงสาวเรียกเขาเสียเต็มยศทีเดียวด้วยแววตากราดเกรี้ยว…

“คุณไม่ได้สำคัญกับฉันเท่าพี่บากี้…ถ้าคุณไม่ให้เกียรติเขาก็เท่ากับว่าคุณไม่ให้เกียรติฉัน
และถ้าคุณไม่ให้เกียรติเรา ฉันก็ไม่จำเป็นต้องให้เกียรติคุณ…
คุณไม่ใช่เจ้าชีวิตของฉัน! ไม่สำคัญขนาดนั้น!”

นัจมุนพูดใส่หน้าเขาไม่ยั้ง…ทำเอาคนฟังถึงกับหน้าดำหน้าแดง
มองเธอราวกับจะกินเลือดกินเนื้อเสียให้ได้ตรงนั้น

ก่อนจะหันหลังให้หญิงสาวเพราะถ้าเขามองหน้าเธออีกวินาทีเดียวเท่านั้น
รับรองว่านัจมุนได้แหลกคามือเขาเป็นแน่…และแน่นอน...ที่แรกที่เขาจะขยี้ก็คือริมฝีปาก
ที่คอยพ่นพิษใส่เขาอยู่ในตอนนี้...กับคอเชิดๆนั่น

เธอกำลังก่อกวนตะกอนภายในของเขาจนมันปั่นป่วน และเขาใกล้จะระเบิดมันเต็มทีแล้ว

“งั้นก็เลือกเอาว่าจะให้เขาไปนอนที่เรือนใหญ่ในฐานะแขกของฉัน…
หรือจะเป็นเธอที่ต้องไปนอนกับฉันที่นั่นแทน…แล้วให้เขานอนที่นี่…

แต่ถ้าเธอยังดึงดันจะนอนร่วมบ้านกับเขาให้ได้ล่ะก็…ฉันจะลงมาลากเธอขึ้นไปนอนกับฉัน
ก่อนวันงานแน่…และเธอจะได้รู้ว่าฉันสามารถเป็นเจ้าชีวิตและสำคัญกับเธอยังไง...
ถ้าอยากลองดีนักก็เชิญ เพราะฉันไม่เคยขู่ใคร”

พูดจบเขาก็ก้าวอาดๆจากไปทิ้งให้นัจมุนยืนมีนงงพร้อมกับพยายามแปลถ้อยคำ
จับใจความสำคัญของประโยคสุดท้ายของเขาอยู่พักใหญ่แล้วก็ต้องยกมือขึ้นทาบ
ตรงตำแหน่งของหัวใจที่บัดนี้มันกำลังเต้นกระหน่ำจนจะทะลุออกมานอกอกเสียให้ได้…

“คุณไม่ควรยั่วให้เชคโกรธ…” นัจมุนเงยหน้ามองสองนางที่ไม่รู้ว่ามายืนอยู่ตรงนี้
ตั้งแต่ตอนไหน…แล้วได้แต่ลอบถอนใจ

“ไม่มีสักวันที่เขาจะไม่โกรธฉัน…ฉันทำอะไรเขาก็ไม่เคยพอใจสักอย่าง
อะไรๆก็ผิด...ผิดเสมอ...ไม่เคยมีอะไรถูกใจเขา ไม่เคยดีเลยสักอย่าง...”

“ท่านเชคชอบคนพูดจาไพเราะและอ่อนหวานค่ะ…คุณน่าจะลองพูดดีๆกับท่านดู”

“แล้วเขาล่ะคะ เขาเคยพูดจาดีๆกับฉันบ้างรึเปล่า…ดีแต่ตำหนิ ดุด่่าฉันแรงๆตลอด
คำหวานๆจากเขาฉันก็ไม่เคยได้...” นัจมุนตัดพ้อออกไปโดยไม่รู้ตัว

“ฉันก็มีหัวใจนะ…ไม่ได้จะด้านชาต่อวาจาของเขา…จนไม่รู้สึกรู้สาอะไร
ฉันเจ็บเป็น โกรธเป็นเหมือนกัน” หญิงสาวพยายามสะกัดกั้น
ไม่ให้บ่อน้ำตามันหลั่งสายน้ำออกมา

“เอ่อ…ถ้างั้น…เราสองคนคงแนะนำได้แค่ว่า…ให้คุณนิ่งเสีย ปล่อยให้เชคพูดไป…
เราก็แค่นิ่งๆไม่ไปตอบโต้…”

“ก็เพราะมีแต่คนยอมเขา เขาถึงได้เป็นแบบนี้ คิดว่าตัวเองยิ่งใหญ่
ใครๆก็ต้องก้มหัวให้ น้อมรับคำบัญชา…เลยหลงคิดไปว่าตัวเองนั้นเป็นคนสำคัญ
ที่ใครๆต้องเอาอกเอาใจอยู่ตลอดเวลา…”

สองนางถึงกับนิ่งงันไป…หาสิ่งใดมาตอบโต้ไม่ได้ ด้วยจำนนท์ต่อพยานหลักฐาน

“เขาเอาแต่ใจเกินไป…ไม่สนว่าคนอื่นจะรู้สึกยังไง…เอาใจก็ยาก วางตัวเองเอาไว้
ในจุดที่คนอื่นๆต้องหมุนตาม...เป็นศูนย์กลางของจักรวาล...
คนแบบนี้หรือคะที่ฉันจะต้องแต่งงานด้วย…คุณสองคนคิดว่าฉันจะมีความสุขรึเปล่า
ที่ต้องแต่งงานกับเชคของคุณ…คุณยังคิดว่าฉันเป็นผู้หญิงที่โชคดีที่สาวๆควรจะอิจฉามั้ย…”

นัจมุนพูดพลางเบือนหน้าไปทางอื่น ก่อนจะกอดอกตัวเองเอาไว้แน่น…
บอกกับตัวเองว่าจะไม่ร้องไห้ ไม่ร้องไห้…

แล้วอยู่ๆก็มีมือบางๆวางลงบนบ่า ทำเอาท่อน้ำตาของหญิงสาวแตก
จนไหลทะลักลงมาเป็นทางอย่างไม่อาจห้ามได้อีกต่อไป

นัจมุนเลยหันกลับไปหาร่างยักษ์นั่นแล้วสวมกอดเอาไว้แน่น
ร้องไห้สะอื้นกับไหล่หนานุ่มนิ่มนั่น…อย่างคนที่อัดอั้นตันใจมานาน...

“เขากักขังฉันทั้งกายและใจ…ทั้งกดดันทั้งบีบคั้นฉัน..เขามันไม่มีหัวใจ…ฉันเกลียดเขา…
ขอชีวิตของฉันคืนมาเถอะนะคะ…ช่วยบอกเขาว่าเอาความเป็นคนของฉันคืนมา…”

หญิงสาวพูดเสียงอู้อี้เพราะผสมผสานกับเสียงสะอื้น
ยิ่งได้มือนั้นที่คอยลูบปลอบที่แผ่นหลังของเธอเบาๆเหมือนที่แม่เคยทำในยามที่เธอเสียใจ
ก็ยิ่งทำให้นัจมุนร้องไห้ไม่หยุด

เพราะตั้งแต่แม่เสียไปก็ไม่เคยมีใครกอดและปลอบเธอเหมือนอย่างที่แม่ทำอีกเลย…
เจ็บแค่ไหน เศร้าสุดใจอย่างไรก็ต้องข่มมันเอาไว้ให้ลึกสุดใจ…

"ฉันพยายามทำอย่างเต็มที่แล้ว...ไอ้นมนั่นฉันก็ไม่ชอบ ผักอะไรพวกนั้นฉันก็ไม่ชอบ
ฉันต้องสลัดของที่ฉันชอบทิ้งไป เพื่อมานั่งกินนั่งทำในสิ่งที่เขาชอบ...ยอมให้เขา
จำกัดพื้นที่ จำกัดอิสระ...พยายามไม่ดื้อ ไม่ต่อต้าน...พยายามไม่บ่น...
จนตอนนี้ฉันแทบไม่เหลือความเป็นตัวของตัวเองแล้ว...แค่เวลาไม่กี่วัน
เขาก็เอามันไปหมดแล้ว...ถ้าต้องอยู่ด้วยกันทั้งชีวิต ฉันคงต้องยกชีวิตท้ังชีวิต
ให้เขาไปใช่มั้ยคะ...เขาต้องการให้ฉันเป็นคู่ชีวิต หรือแค่ต้องการชีวิตของฉันกันแน่"

นัจมุนเอ่ยเสืยงสั่นเครือราวกับจะระบายความอัดอั้นท่ีเก็บกดเอาไว้ก่อนหน้านี้
คนที่กอดปลอบอยู่เลยได้แต่ลอบถอนใจ...

"เขามันใจร้าย...ใจดำ ฉันเกลียดเขา...เกลียดเขาได้ยินมั้ยคะ...เกลียดที่สุดในโลก"

ความอัดอัั้นของหญิงสาวไหลพรั่งพรูออกมาพร้อมน้ำตาอย่างไม่ขาดสาย...
ซึ่งคนปลอบก็สุดจะหาถ้อยคำใดมาปลอบได้ในขณะนี้ เลยปล่อยอีกฝ่าย
ได้ระบายมันออกมาเสียบ้าง...

ส่วนอีกนางที่ยืนอยู่ห่างออกไปถึงกับเบือนหน้าไปอีกทาง…
เพราะคงจะช่วยอะไรไม่ได้มากนัก เนื่องจากรู้ดีว่าคนอย่างเชคกอมารุน
ลองได้ลงมือทำการสิ่งใดแล้ว ก็จะไม่ยอมให้ใครเข้ามาขวางทางได้

มุทะลุดุดันเป็นที่หนึ่ง

ที่สำคัญ…ถ้าต้องการสิ่งใดแล้ว ต้องได้!





................โปรดติดตามตอนต่อไป.......................


โถ...พี่ก้อออกจะหวังดีซะขนาดนั้น...อย่าไปเกลียดพี่แกเลยหนูนีล...อิอิ

เกลียดแต่ก็ยอม...แถมพร้อมที่จะทนซะด้วย เหอๆ...

เห็นเงาพ่ายแพ้มาแต่ไกล... ^o^

การเดินทางกลับบ้านเป็นไปอย่างราบรื่นดีมากเลยค่ะ...เลยไม่ค่อยเหนื่อยเท่าที่คิดไว้
เอาที่เขียนไว้ในสต๊อกมาอัพให้กันค่ะ...ยังไม่ได้ตรวจทานเท่าที่ควร
อาจปล่อยเป็ดปล่อยไก่ไป ถ้าเจอช่วยจับมาให้เต่าด้วยนะคะ จะขอบคุณมากๆเลย ^^

ขอบคุณนักอ่านที่ติดตามเรื่องนี้ ที่กดไลค์ให้กัน ที่เข้ามาเป็นกำลังใจให้กันมากๆค่ะ
จุ๊บๆค่ะ



...........ตอบเมนท์จ่ะ...............

1.คุณปรางขวัญ...กลับมาให้อย่างไวเลยค่ะ...ยังเคลียร์อะไรได้ไม่เท่าไหร่
แต่แว้บๆเอาในสต๊อกมาอัพให้อ่านพลางๆค่ะ...^^

2.คุณPampam...เหมือนจะอวบและอึ๋มขึ้นนะคะ...พี่ก้อดูจะพออกพอใจอยู่ไม่น้อย
ที่รู้ว่าถั่วงอกแท้จริงนั้นซ่อนรูป...เหอๆ

โยเห็นด้วยค่ะเรื่องสเปคตอนวัยรุ่น เพราะเมื่อเวลาผ่านไป มุมมองเราจะเปลี่ยนไปด้วยค่ะ
เมื่อความคิดเปล่ียน ชีวิตก็เปลี่ยน...^o^ รีบมาต่อให้กันแล้วจ่ะ


3.คุณkonhin...เค้าเอาในสต๊อกมาให้แล้วน้า...ไวกว่าที่คิดไว้...อิอิ
เดินทางกลับถึงบ้านเรียบร้อยแล้วค่ะ 800 กว่ากิโล เหยียบ 10 ชั่วโมงถึง...เหอๆ
ต้องยกความดีความชอบให้คนขับ...สุดๆ...ส่วนเต่านั่งเอนหลังสบายแฮ...อิอิ

เรื่องนี้นางเอกเต่าค่อนข้างดื้อกว่าเรื่องก่อนๆ แต่ แต๊ แต่...ต้องดูกันต่อไปค่ะ อิอิ
ขอบคุณค่ะสำหรับคำอวยพรนะจ๊ะ...^^

4.คุณแว่นใส...ครึ่งเดือนก็สวยให้เห็นแล้วค่ะ...ก็นางสวยของนางอยู่แล้วนี่นา
พี่ก้อมองไม่เห็นความงามที่ซ่อนอยู่เองอ่ะ...เหอๆ...


5.คุณตุ๊งแช่...รู้ทันไม่เท่ารู้ทางนะงานนี้...อิอิ...ขัด เย้ย ขุนจนจะขึ้นเงาแล้วค่ะ
แถมยังทำให้คนบางคนออกอาการแล้วด้วย...ส่วนเสาสองต้นนั้นไม่น่าสงสาร
เท่านางเอกเต่านะงานนี้...เหอๆ...โดนอิพี่ก้อทำร้ายจิตใจได้ตลอด...

กลับบ้านเกิดมันอบอุ่นดีค่ะ...เพียงแต่ความเป็นส่วนตัวจะลดน้อยลงกว่าเดิม
อยู่หลายเท่า...โดนจับตามากขึ้น เหอๆ...เรื่องแก่เต่าไม่กลัว
เพราะแก่ไปแล้ว อิอิอิ ที่กลัวน้า ก็คือ กลัวจะโตไปทางด้านข้างมากกว่าอ่ะ เหอๆ

ส่วนนิยายในไหดอง เต่าไม่ลืมน้า...โดยเฉพาะหนูกีสนั้น...จะพยายามจ่ะ ^^

ปล.เสียใจ เก๊ามาก่อนอาทิตย์หน้าได้ เพราะว่าเก๊ามีในสต๊อก...
แต่กำลังจะหมดสต๊อกแว้ววววว เหอๆ และตอนนี้กำลังเพลิดเพลินกับเด็กๆค่ะ อิอิ
ขอให้เดินทางไปลั่ลล้าอย่างปลอดภัยด้วยเช่นกันนะคะ...

6.คุณyapapaya...ฉายานางเอกเต่าสุดแท้แต่พระเอกเขาจะตั้งค่ะ...อิอิ
พอว่างก็แว้บๆเข้ามาอัพให้กันค่ะ...

จริงค่ะ โยเห็นด้วยในเรื่องที่ว่าบางครั้งอบอุ่นจนร้อนได้ในบางเรื่อง...เ
มื่อตอนกลับมาไทยใหม่ๆก็มาอยู่บ้านค่ะอยู่ประมาณปีกว่าๆ
เลยเห็นว่าไม่มีอะไรจะได้อย่างใจเราหมด...จนบางทีก็รู้สึกเหมือนว่าตัวเอง
เป็นคนแปลกหน้าไป...ตอนนี้คิดในอีกมุมว่าเราต้องกะระยะให้ดีค่ะ
จะได้อบอุ่นกำลังดี...^o^
ขอบคุณจากใจค่ะสำหรับคำแนะนำที่เป็นประโยชน์มากๆ...

8.คุณphakarat...ต้องรอดูวันงานค่ะ...ว่าทำไมแม่นีลถึงได้พูดแบบนั้น...อิอิ
รีบนำพี่ก้อกับน้องนีลมาให้แล้วนะคะ...สต๊อกก็ใกล้หมดแล้วด้วย...เฮะๆ
ขอบคุณมากๆค่ะสำหรับคำอวยพร...เต่าถึงบ้านอย่างปลอดภัยค่ะ ^^



.....ขอให้มีความสุข สุขภาพแข็งแรงถ้วนหน้าค่ะ.......


"เต่าโย"





yoraya
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 23 พ.ค. 2558, 10:44:43 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 23 พ.ค. 2558, 10:44:43 น.

จำนวนการเข้าชม : 2608





<< ต้นที่ 12 ถั่วงอกในคุก   บทที่ 14 ต้นเพลิง >>
Pampam 23 พ.ค. 2558, 11:42:31 น.
มันก็จริงอย่างที่หนูนิลว่า ถึงแม้ว่ามันจะดีและมีประโยชน์แต่ก็ไม่มีใครอยากถูกบังคับ พูดกันดีๆสิคะพี่ก้อ เดี๋ยวงับหัวขาดเลย


konhin 23 พ.ค. 2558, 12:21:43 น.
เขาไม่เคยมีสิทธิ์ และไม่ยอมหาทางใช้สิทธิ์
น่าจะเป็นว่า เคยคิดว่ามีสิทธิ์แล้วไม่ยอมใช้ก็เลยหมดมากกว่า

ส่ายหัวดุ๊กดิ๊ก นางเอกอ่อนแอซะแล้ว เฮ้อ สู้แล้วนะแต่ไม่ชนะซักรอบ
เค้าขอซักเรื่องที่นางเอกจะชนะพระเอกตลอดมั่งได้ป่ะ
น้ำตาผู้หญิงเค้าว่าเป็นหนึ่งในอาวุธ ใช้ให้เป็นค่ะเด็กน้อยมันต้องทำให้อีกฝ่ายเสียใจกับน้ำตา


แว่นใส 23 พ.ค. 2558, 14:16:47 น.
เริ่มรักแล้วสิ ถึงหึงไม่รู้ตัว


yapapaya 23 พ.ค. 2558, 18:29:13 น.
อ่อนไหวกับนางแล้วนะสงสารหนูนีลมากมายเลยนั่นก็ไม่ได้นี่ก็ไม่ได้ใจจะขาดตามแล้วค้าคุณโย จอมเผด็จการจริงๆนายก้อ ดีใจที่ถึงบ้านอย่างปลอดภัย บ้านเราก็ 800 กว่าโลจากกรุงเทพ บ้านใกล้เรือนเคึยงกันรึเปล่า ยินดีต้อนรับกลับบ้านเกิดคะ


phakarat 23 พ.ค. 2558, 22:18:18 น.
55555น้องนีลชอบกินผัดถั่วงอกเหมือนกัน มาถึงตอนนี้ความสวยของหนูนีลนับวันจะมากขึ้นเรื่อยๆพี่ก้อพูดกับน้องนีลดีๆหน่อยสิคะประชดประชันกันจนเผลอทำร้ายจิตใจกันเข้าเจ็บปวดทั้งตนเองและผู้อื่นยังงัยก็รู้สึกสงสารนางเอกค่ะคุณโยช่วยเตือนพี่ก้อให้บ้างนะคะ ดีใจที่คุณโยกลับบ้านอย่างปลอดภัยเดินทางตั้งหลายชั่วโมงแล้วอัพนิยายให้อ่านอีกขอบคุณมากๆนะคะ


ปรางขวัญ 23 พ.ค. 2558, 22:41:18 น.
พี่ก้อเริ่มรู้สึกหวงแล้วละสิ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account