กลรัตติกาล
เรื่องต่อ ซ่อนใจไว้ใต้ดาว ชุดเสน่หาฆาตกรรม

หลงกลิ่นจันทน์ , ซ่อนใจไว้ใต้ดาว , กลรัตติกาล
Tags: กลรัตติกาล คีตา ณิชนิตา

ตอน: บทที่ ๑๙ คำทำนาย


ผ้าแพรสีขาวถูกเลิกออกอย่างช้าๆ รัตติกาลยืนนิ่งใบหน้าซีดเซียวจ้องร่างซึ่งนอนเหยียดยาวอยู่บนเตียงเหล็กนั้นแทบไม่ยอมกะพริบตา ใบหน้าของผู้เป็นพ่อซีดขาวไม่ต่างจากเธอนัก ราวกับว่ากำลังนอนหลับ น้ำตาอุ่นไหลออกมาโดยไม่มีเสียงร้องไห้ หญิงสาวไม่ยอมเอ่ยคำพูดใดๆ ออกมา ชายไทซึ่งยืนอยู่เคียงข้างแตะที่แขนเธอแผ่วเบาเพื่อให้เธอกล่าวตอบเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลและนายตำรวจซึ่งอยู่ในห้องดับจิตด้วยกันนั้น

“ค่ะ...คุณพ่อของฉันเอง” เธอเหมือนเพิ่งหาเสียงของตัวเองเจอ ก่อนจะก้าวเข้าไปใกล้เตียงอย่างช้าๆ เอื้อมมือเข้าไปแตะมือหยาบกร้านของพ่อ พอได้สัมผัสเธอกลับชักมือออก เหมือนว่าหวาดกลัวบางอย่าง

เธอกำลังกลัว...นี่ไม่ใช่เรื่องจริง...ไม่ใช่

“รัต...” เสียงทุ้มของชายไททำให้เธอตื่นจากภวังค์แห่งความคิด ก่อนจะถอยหลังออกมาจากเตียงแล้วหลับตาลงอย่างช้าๆ

นี่คือความฝัน...นี่คือฝัน...

รัตติกาลเฝ้าบอกตัวเองเช่นนั้น มืออุ่นของชายไทเอื้อมเข้ามาคว้าต้นแขนเธอไว้ แล้วดึงเข้าไปหาตัว โอบกอดเธอไว้ ทำให้เธอรับรู้ว่า...นี่ไม่ใช่ฝัน

คราวนี้หญิงสาวร้องไห้ออกมามีเสียงมือเล็กนั้นสั่นเทาเกาะเกี่ยวชายเสื้อของเขาไว้เป็นที่ยึดเหนี่ยว ตอนนี้รัตติกาลรู้สึกเหมือนกำลังจะหมดแรงลงไป

ประตูห้องเปิดอ้าออกพร้อมกับร่างของนิตยาที่วิ่งเข้ามาสีหน้าตื่นตระหนก

“คุณ...คุณคะ” เสียงของนิตยาพร่ำเรียกชื่อสามีพร้อมทั้งหยาดน้ำตาซึ่งพรั่งพรูออกมาไม่ขาดสาย ภาพแห่งความโศกเศร้านั้นทำให้ทุกคนต่างเงียบไป แม้แต่รัตติกาลก็ยังปลีกตัวออกมาจากห้องนั้น หลังจากทะเลาะกับชายไทเธอกลับได้รับโทรศัพท์จากตำรวจพูดเรื่องอุบัติเหตุ เธอจำเนื้อหาข้อความอะไรไม่ได้นอกจำคำว่า...เสียชีวิตแล้ว ราวกับว่ามันกึกก้องอยู่ในสมองของเธอตลอด พอวิ่งออกมาถึงหน้าบ้านเธอขับรถชนกระถางต้นไม้ด้วยสติไม่อยู่กับเนื้อตัว ชายไทจึงเป็นฝ่ายพาออกมาที่โรงพยาบาลแทน



นายตำรวจยืนพูดคุยกับชายไทระหว่างที่นิตยาและรัตติกาลรอรับศพของนายพลปราการกลับไปทำพิธีกรรม ชายหนุ่มตกใจตั้งแต่ตอนเห็นรัตติกาลขับรถชนกระถางต้นไม้แล้ว เขานึกว่าเธอโกรธเขาจนพาลให้สิ่งของ ทว่าพอเข้าไปสอบถามจริงๆ กลับกลายเป็นเรื่องการจากไปของพ่อเธอแทน

“เบื้องต้นพยานเห็นเหตุการณ์บอกว่า รถท่านนายพลแล่นปัดเป๋ไปมา ก่อนจะชนเกาะกลางถนน แล้วพลิกคว่ำหลายตลบครับ คนขับน่าจะหลับในนะครับ” นายตำรวจกล่าวข้อสันนิษฐาน ชายไทขมวดคิ้วอย่างสงสัย

“ถ้าหลับในจริง ท่านนายพลคงไม่หลับไปด้วยนะครับ ท่านต้องบอกให้หยุดรถ หรือปลุกคนขับรถแน่ๆ ผมว่าไม่น่าจะใช่หรอกครับ” ชายไทไม่ค่อยอยากเชื่อนัก เพราะนายพลปราการต้องมีคนขับรถส่วนตัวอยู่แล้ว ท่านค่อนข้างเข้มงวดเรื่องการทำหน้าที่ หากเกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้นก็น่าจะเห็นก่อนเกิดเรื่อง

“คุณคิดว่า ท่านนายพลถูกฆ่าหรือไงครับ จากที่เราตรวจไม่พบร่องรอยการชนจากรถคันอื่น เบรกก็ไม่ได้ถูกตัดขาด พยานที่เห็นก็พูดเป็นเสียงเดียวกันหมด” นายตำรวจยังคงยืนยัน ทำให้ชายไทต้องหยุดเรื่องไว้เพียงเท่านี้เสียก่อน

“ผมไม่ได้บอกว่าไม่เชื่อ เพียงแค่บอกว่ายังสรุปไม่ได้ เท่านั้นเองนะครับ” ชายไทแก้ไขความเข้าใจผิดของนายตำรวจ

“เอาไว้มีความคืบหน้าผมจะแจ้งให้ทราบอีกครั้งนะครับ” นายตำรวจตัดบทก่อนที่ชายไทจะซักถามต่อไปอีก

“ครับ ขอบคุณมากครับ” ด็อกเตอร์หนุ่มพยักหน้ารับ แล้วจึงกล่าวขอบคุณ ทว่าสีหน้ายังคงไม่สู้ดีนัก เขายังคงสงสัยในเรื่องอุบัติเหตุครั้งนี้อยู่ดี คนรอบคอบอย่างท่านนายพลไม่น่าจะเกิดเรื่องได้ แล้วท่านกำลังเดินทางไปไหน แม้แต่ภรรยายังไม่ทราบ เรื่องอะไรกันแน่จึงได้เก็บเป็นความลับไว้


ภายในศาลางานศพของนายพลปราการ มีแขกเหรื่อมากมายในวงการทหารและนายตำรวจผู้ใหญ่หลายคน โชคดีเพื่อนๆ เข้ามาช่วยรัตติกาล หญิงสาวยังคงไม่ยอมปริปากพูดกับใครเลยตั้งแต่เห็นศพของพ่อ เธอนั่งนิ่งๆ อยู่ที่เดิม คือด้านหน้าโลงนั่นเอง มโนชาคอยเข้ามาพยุงให้เพื่อนออกมาจากตรงนั้นเมื่อเห็นว่าแขกเริ่มทยอยเข้ามากันมากขึ้น

“รัตทำไมไม่พูดอะไรเลยวะ” อชิตะเอ่ยถามชายไทเมื่อเดินออกมาช่วยรับแขกด้านหน้า

“คงยังช็อกอยู่ ปล่อยเธอไปก่อนเถอะ” ชายไทบอกน้ำเสียงเรียบ สีหน้าค่อนข้างเคร่งขรึม

“ตั้งแต่แกกับรัตติกาลเจอกันก็มีเรื่องไม่หยุดหย่อนเลยนะ ฉันสังเกตมานานละ เจอกันครั้งแรกยายแกก็เสีย พอคบกันได้สักพัก แกก็โดนกลั่นแกล้ง นี่พอแกรอดจากเรื่องนั้นมา พ่อรัตติกาลก็มาเสียอีก เฮ้ย มันแปลกอยู่นะเว้ย” คำทักท้วงของอชิตะนั้น ทำให้ชายไทถึงกับผ่อนลมหายใจออกมาพรืดใหญ่

เขาอยากบอกอชิตะว่าก่อนเกิดเรื่องนี้ เขาเองก็ทะเลาะกับรัตติกาลอยู่...

“ฉันไปห้องน้ำก่อนนะ เดี๋ยวมา” ชายไทบอกเพื่อนแล้วจึงเดินเลี่ยงออกไปปล่อยให้อชิตะมองตามด้วยสายตาไม่เข้าใจ

เขาเดินเรื่องออกมายังมุมหนึ่งของวัด มีม้านั่งหินอ่อนตั้งอยู่ตรงนั้นพอดีจึงทรุดตัวลงนั่งอย่างหมดแรง หลับตาลงช้าๆ ประสานมือกันอยู่หว่างขา สูดลมหายใจลึกๆ

เมื่อก่อนนั้นเขาไม่เคยเชื่อเรื่องงมงายที่ยายเล่าขาน สิ่งที่เขาเชื่อก็คือการกระทำ ผลกรรมทุกอย่างเกิดจากการกระทำแทบทั้งสิ้น ทว่าตอนนี้เรื่องราวเหล่านี้กำลังเปลี่ยนแปลี่ยนแปลงตัวเขาไปแล้ว ช่วงเวลารัตติกาลกำลังโด่งดังเขากลับมีปัญหาถูกคนสืบสาวเรื่องในอดีตจนต้องถูกสอบสวน และในยามที่เขากำลังไปได้ดีเรื่องข้อกล่าวหาต่างๆ ถูกถอดถอนไป รัตติกาลกลับพบเรื่องราวไม่สู้ดี มันกลับกันจนน่าแปลกใจ เขาควรเชื่อเรื่องชะตาตามยายบอกดีหรือเปล่านะ ใจหนึ่งนั้นไม่อยากเชื่อหาเหตุผลมาลบล้างให้หมดสิ้นไป แต่อีกใจก็อดคิดตามเสียไม่ได้

เมื่อลืมตาขึ้น ภาพเลือนรางตรงหน้าทำให้ชายไทนั่งนิ่งราวกับหินก้อนใหญ่ หากหยุดหายใจได้ตอนนี้เหตุเพราะความตกใจก็คงเป็นไปได้ นายพลปราการ...เขาคิดว่า สิ่งที่เห็นตรงหน้าคือ นายพลปราการ!!

เหมือนปะติมากรรมกระจก ร่างโปร่งใส มองทะลุออกไปได้แต่ก็ยังเห็นเป็นรูปร่างเหมือนควันเจือจางสีขาวขุ่น

“อ้าว ด็อกเตอร์มานั่งทำอะไรมืดๆ ตรงนี้ครับ” เสียงทักทายนั้นทำให้ร่างโปรงใสตรงหน้าเลือนหายวับไปทันตา

ชายไทหันไปมองต้นเสียง หมวดจรินทร์นั่นเอง นายตำรวจหนุ่มเดินเข้ามาใกล้พร้อมกับส่งยิ้มให้ เขายิ้มตอบแบบเจื่อนๆ

“ผมมาสูดอากาศนิดหน่อยน่ะครับ”

“มางานศพ ค่อนข้างอึดอัดอย่างนี้แหละครับ คนเยอะมากนะครับ ผมวนหาที่จอดรถตั้งนาน กว่าจะเจอที่จอดได้พอดี”

“ครับ ท่านนายพลเป็นคนกว้างขวางแขกเหรื่อค่อนข้างมาก”

“คาดไม่ถึงจริงๆ ว่าท่านจะไปเร็วอย่างนี้ ถึงได้ยินว่าป่วยมานาน แต่พอจะเสียก็ดันเป็นอุบัติเหตุเสียนี่ ผมยังรู้สึกใจหายแล้วก็เสียใจจริงๆ ความจริงท่านกำลังเดินทางไปหาผม”

“อะไรนะครับ”

“พอดีผมคุยกับท่านนายพลตอนเช้า เรื่องคดีคนถูกฆ่านำศพมาทิ้งหนองน้ำ จำได้ไหม วันนั้นด็อกเตอร์ก็อยู่ในเหตุการณ์นี่นา ที่ด็อกเตอร์ให้ผมเช็กว่าใครเป็นคนแจ้งความ ผมเช็กแล้วเป็นคุณรัตติกาล แต่ยังไม่ได้มีโอกาสบอกด็อกเตอร์ พอดีได้เจอกับท่านนายพลเสียก่อน ท่านกำลังสืบเรื่องอุบัติเหตุของคุณรัตติกาลพอดี แล้วเรื่องมันดันเกี่ยวกัน เพราะคนตายในหนองน้ำคนนั้นก็คือคนขับรถที่ชนกับคุณรัตติกาลเมื่อหลายปีก่อน”

ชายไทถึงกับอึ้งไปทันทีเมื่อได้ยินเรื่องราวเหล่านั้น แปลกจัง...ทำไมเรื่องถึงได้เกี่ยวโยงกันอย่างนี้ได้

“แล้วรัตติกาลรู้ใช่ไหม ว่าคนตายในหนองน้ำนั่น เป็นคนที่อยู่ในอุบัติเหตุของเธอ”

“ไม่ครับ ท่านนายพลยืนยันว่า เธอไม่เคยเจอคนขับรถเลย ช่วงที่ท่านนายพลสะสางเรื่อง เป็นช่วงที่เธอรักษาตัวในโรงพยาบาลครับ”

ชายไทเงียบไปอึดใจ เขาเริ่มได้กลิ่นไม่ค่อยดีนักกับเรื่องนี้เสียแล้ว ไม่ต้องมีลางวิเศษเขาก็พอมองออกว่า เรื่องเหล่านี้เกี่ยวพันกันอยู่อย่างแน่นอน ถ้าสาเหตุการตายของคนขับรถบรรทุกทำให้นายพลปราการต้องเดินทางไปตรวจสอบด้วยตนเอง แสดงว่าต้องมีเหตุเกี่ยวกับอุบัติเหตุของรัตติกาลจนทำให้เธอเป็นบ้าและธัญญาเสียชีวิตอย่างแน่นอน

“หมวดรับผิดชอบคดีฆาตกรรมหนองน้ำนั่นใช่ไหมครับ ถ้าอย่างนั้นผมอยากให้หมวดประสานกับทีมที่ทำคดีของท่านนายพลได้ไหมครับ ผมว่าเรื่องนี้ต้องเกี่ยวกัน”

“อะไรนะ ทำไมถึงเกี่ยวกันละ จะเกี่ยวกันได้ยังไง”

“ผมว่า การที่ท่านจะมาพบหมวดด้วยตัวเองต้องมีเรื่องสำคัญอย่างแน่นอน ไม่อย่างนั้นก็คุยทางโทรศัพท์ได้แล้วใช่ไหม แสดงว่า ข้อมูลนั้นอาจสำคัญมาก แล้วคดีของท่านนายพลก็แปลก เพราะถ้าคนขับหลับในจริง ท่านนายพลก็คงปลุกหรือให้แวะพักข้างทางแล้ว ท่านต้องห่วงความปลอดภัยของตัวเองอยู่แล้ว ซึ่งถ้าบอกว่าหลับในทั้งสองคน...เป็นไปไม่ได้อยู่แล้วครับ” ชายไทอธิบายเรื่อง

“ได้ครับ ผมจะประสานงานเรื่องคดีให้” หมวดจรินทร์ตอบรับทันที ชายไทกล่าวขอบคุณแล้วหันไปมองทางด้านศาลางานศพ

ต้องมีเรื่องสำคัญบางอย่างที่เกี่ยวข้องและเป็นสาเหตุให้เกิดอุบัติเหตุนี่ขึ้นอย่างแน่นอน แล้วภาพเลือนรางนั่นคืออะไรกันแน่ เพราะเหตุใดเขาจึงเห็น ทั้งๆที่ เมื่อก่อนเขาไม่เคยเห็นเลย...


รัตติกาลยังคงนั่งเงียบๆ ไม่พูดไม่จากับใครแม้แต่มโนชาเพื่อนรักของเธอ ชายไทได้แต่มองใบหน้าซีดขาวขณะนั่งลงบนเก้าอี้ข้างหญิงสาวด้วยความสงสารจับใจ หลังจากทะเลาะกันเธอไม่ได้พูดคุยกับเขาเลย เขาวิเคราะห์เอาเองว่าคงเป็นเพราะการสูญเสียแล้วยังตะขิดตะขวงใจกับภาพที่เป็นเหตุนั่นอีก

“หิวข้าวไหม” เขาเอ่ยถามขึ้น หญิงสาวส่ายหน้าแทนคำตอบ

“ควรกินอะไรบ้าง คุณอยู่แบบนี้ไม่ได้นะ เดี๋ยวจะป่วยเอา หลังสวดเสร็จไปหาอะไรกินกันนะ” เขาบอกน้ำเสียงเจือความห่วงใย รัตติกาลไม่เงยหน้าหรือกระทั่งสบตาเขาเลย

“ทำไม...ทำไมพ่อไม่มา” แทนที่จะตอบคำถามชายหนุ่ม เธอกลับเอ่ยคำนี้ขึ้นมาแทน

“อาจจะยังไม่ถึงเวลาก็ได้นะ” ชายไทหาคำตอบที่พอจะนึกออกได้และช่วยให้เธอไม่คิดมากอีก

“กับคนอื่น ฉันเห็นก่อนทุกที แต่ทำไมคนที่ฉันอยากเห็น กลับไม่เห็น แสดงว่าตอนนี้ฉันกำลังฝัน เป็นเรื่องหลอกลวง พ่อยังอยู่ ถ้าพ่อตายจริง ฉันก็คงเห็นไปแล้ว” เสียงของหญิงสาวค่อนข้างดัง ทำให้เหล่าแขกเหรื่อในงานหันมามองหญิงสาวเป็นตาเดียวกัน ก่อนจะกระซิบกระซาบกันเป็นระยะ

“คุณชายคะ เอ่อ พาหนูรัตไปพักผ่อนดีกว่าค่ะ ที่นี่อาการ้อน หนูรัตคงอึดอัด” นิตยาบอกสีหน้าเป็นห่วง ชายไทจึงหันมาพยุงหญิงสาวลุกขึ้น พาออกไปจากบริเวณศาลางานศพก่อนที่เธอจะพูดอะไรออกมาอีก พอถึงม้าหินอ่อนไม่ห่างจากบริเวณงานมากนักเขาจึงปล่อยให้เธอนั่งลงตรงนั้นเสียก่อน

“เดี๋ยวผมไปบอกอชิก่อนนะ คุณนั่งรออยู่ที่นี่ก่อน” ชายไทบอกก่อนจะเดินกลับเข้าไปหาอชิตะ

พอเขามาถึงตัวเพื่อนจึงแตะที่แขนเบาๆให้หันกลับมาหา “ฉันไปส่งคุณรัตก่อนนะ แกกลับแท็กซี่ได้ใช่ไหม”

“ได้ พูดเหมือนเป็นเด็ก ยังไงฉันกับหวานจะกลับเอง แกพารัตกลับไปเหอะ” อชิตะพยักหน้ารับ เข้าใจความจำเป็นของเพื่อนเป็นอย่างดี

กรี๊ด-ด-ด-ด-ด เสียงกรีดร้องของรัตติกาลทำให้คนภายในงานแตกตื่น หันไปมองต้นเสียง บางคนถึงขนาดลุกขึ้นยืดคอมองด้วยความสงสัย

ชายไทวิ่งกลับไปยังจุดซึ่งหญิงสาวอยู่อย่างรวดเร็ว ทว่าเมื่อไปถึง รัตติกาลคุกเข่าอยู่กับพื้นดินกำลังร้องไห้เหมือนคนใจสลาย ตัวสั่นเทาเหมือนหวาดกลัวบางสิ่งบางอย่าง ทว่าชายไทไม่เห็นอะไรเลยนอกจากความมืดมิดรอบกาย เขารีบโผเข้าไปโอบเธอแนบอกเพื่อปลอบโยน

“เกิดอะไรขึ้น” ชายไทถามพร้อมกับกวาดสายตามองรอบๆ

“คุณพ่อ...คุณพ่อมาแล้ว” รัตติกาลเอ่ยตอบเสียงสั่นเครือ ดวงตาแดงก่ำจากการร้องไห้

“ท่านมา...ยังไง”

“ฉันจำเสื้อผ้าของคุณพ่อได้ ท่านหันหลังให้ก็จริงแต่กลับกวักมือเรียกฉันอยู่”

หันหลัง? ชายไททวนคำนั้นในใจ ตอนนี้รัตติกาลกำลังเสียใจเธออาจตาฝาดก็ได้

“เกิดอะไรขึ้นคะ หนูรัตเป็นอะไรกันคะ” เสียงนิตยาเอ่ยถามรัวเร็วอย่างตื่นตระหนก พร้อมกับกวาดสายตามองรอบๆ บริเวณนั้น “หรือว่ามีคนร้าย ทำอะไรหนูรัต”

“เปล่าครับ” ชายไทเอ่ยตอบ

“วิญญาณคุณพ่อมา...” รัตติกาลพร่ำพูดแต่ประโยคนั้นทำเอาคนที่ได้ยินต่างตื่นตระหนกไปกันหมด ยิ่งแขกเหรื่อด้วยแล้วต่างคนก็ต่างซุบซิบกันในทันที รัตติกาลมีข่าวเรื่องอาการป่วยอยู่แล้ว พอเธอเอ่ยเรื่องวิญญาณก็ชวนให้ทุกคนซึ่งได้ยินต่างก็มองรัตติกาลด้วยแววตาไม่วางใจนัก

“อยู่ตรงนั้น จริงๆ นะ” รัตติกาลยืนยันพร้อมกับชี้นิ้วไปยังมุมห้องร้างไม่ไกลจากตรงที่เธอยืนนัก

มโนชาวิ่งเข้ามาถึงก็รีบช่วยพยุงรัตติกาลขึ้น เธอส่งสายตาบอกชายไทชายหนุ่มจึงปล่อยแขนออก ร่างผอมของรัตติกาลแทบไม่ต้องใช้แรงอะไรมากมายในการรั้งตัวให้ลุกขึ้นยืนได้ ชายไทปล่อยให้เป็นหน้าที่ของมโนชาพารัตติกาลออกไปด้านนอก

เขาเหลือบมองบริเวณนั้นอย่างสังเกต เดินต่อไปยังจุดซึ่งรัตติกาลบอกว่าเห็นพ่อของเธอ เขาก้มลงสัมผัสพื้นดินตรงนั้นรับรู้ถึงความอุ่นร้อน รอยลึกบนพื้นนั้นยืนยันคำพูดของรัตติกาลได้เป็นอย่างดี เพียงแต่ว่า...อะไรก็ตามที่เธอเห็นคงไม่ใช่พ่อของเธอแน่

“นั่งทำอะไรตรงนั้นวะชาย” อชิตะเอ่ยทักขึ้นเมื่อเห็นเพื่อนยังอยู่ที่เดิม โดยคนอื่นกลับเข้าไปในศาลากันหมดแล้ว

“สำรวจอะไรนิดหน่อย” เขาบอกพร้อมกับล้วงเอามือถือออกมาเปลี่ยนโหมดเป็นการถ่ายภาพ กดปุ่มชัตเตอร์เพียงสองสามครั้งจึงเก็บกลับเข้าไปในกระเป๋าเสื้อแจ็คเก็ตเช่นเดิม

“ถ่ายอะไรวะ”

“หลักฐานว่ารัตติกาลเห็นอะไร”

“เฮ้ย! กล้องแก...ถ่ายติดด้วยเหรอวะ” อชิตะหน้าตื่นเมื่อได้ยินว่าเพื่อนกำลังถ่ายรูปสิ่งลึกลับอยู่ตามความเข้าใจของตน

“ติดสิซื้อมาแพง ทำงานแค่นี้ไม่ได้ก็ควรโยนทิ้ง” ชายไทตอบพร้อมทั้งลุกขึ้นยืน หันไปมองศาลางานศพแล้วจึงสบตาเพื่อนรัก “แกอยู่ที่นี่นะ ช่วยสังเกตทุกอย่างให้ฉันที ฉันจะไปส่งรัตติกาลที่บ้าน”

“สังเกตอะไรของแกวะ”

“ทุกคนที่เกี่ยวข้องกับรัตติกาล แกดูไม่มีพิษภัยอะไร พวกเขาน่าจะไม่ระแวงแก ตอนนี้ฉันกำลังสงสัยว่า การตายของท่านนายพลไม่ใช่อุบัติเหตุ แล้วตอนนี้กำลังมีคนทำให้รัตติกาลเป็นบ้าอีกครั้ง” ปลายประโยคนั้นชายไทลดระดับเสียงลงให้พอได้ยินแค่เขากับอชิตะเท่านั้น สีหน้าของเพื่อนตระหนกเมื่อได้ยินเรื่องสันนิษฐานจากปากเขา

แน่นอนว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ แล้วสิ่งที่เขาคาดการณ์ไว้ก็น่าจะมีต้นตอของเรื่อง แต่ที่เขาไม่เข้าใจและคิดไม่ออกก็คือ เรื่องเหนือธรรมชาติ

ชายไทเดินออกมาโดยไม่ทันได้สังเกตว่าปุณณภพยืนอยู่มุมต้นไม้จนเขาเดินมาถึง ทนายความหนุ่มจึงก้าวออกมาดักตรงหน้า ชายหนุ่มชะงักเท้า เหลือบมองด้วยสายตานิ่งๆ ปุณณภพเป็นฝ่ายยิ้มให้

“สวัสดีครับ ด็อกเตอร์ชายไท ไม่ได้คุยกันเลยสักทีนะครับ มีแต่สวนกันไปมาตลอด” ทนายความเป็นฝ่ายเริ่มต้นสนทนาก่อน ชายไทยืนนิ่ง สีหน้าไม่ได้ยินดีกับผู้ชายซึ่งเข้ามาทักทายเลยสักนิด

“นั่นสิครับ แต่ตอนนี้ผมก็ยังไม่สะดวกอยู่ดี ผมต้องพารัตติกาลกลับบ้านก่อน” เขาตอบพร้อมทั้งทำท่าทีรีบร้อนให้เห็น

“เสียดายจริงๆ แต่เชิญครับ แค่อยากให้รู้ว่าผม...อยากคุยกับคุณ” ปุณณภพบอกดวงตาเข้มนั้นไม่สื่อความหมายใด ทว่าชายไทกลับรับรู้ถึงความไม่เป็นมิตรจากทนายความคนนี้

“ถ้าเป็นเรื่องรัตติกาล ไม่จำเป็นหรอกครับ” ชายไทลองยกเรื่องรัตติกาลขึ้นมา ตั้งแต่วันพบกันครั้งแรกเขารับรู้ความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดาของทั้งคู่ รัตติกาลมีทีท่าหวาดกลัว และปุณณภพมีลักษณะเหมือนเป็นผู้กุมความลับบางอย่างไว้อยู่

“ทำไมถึงไม่จำเป็นละ ด็อกเตอร์ไม่อยากรู้อดีตของรัตติกาลบ้างเลยเหรอ”

“ผมรู้มามากพอแล้ว ขอบคุณครับ”

“ไม่แปลกใจเลยที่รัตติกาลเข้าหาคุณ...”

“อืม สำหรับคนที่มีอายุเท่าคุณปุณณภพ การพูดคำว่า เข้าหา ใช้กับลูกสาวคนว่าจ้างคุณเป็นทนายความให้ มันไม่เหมาะเท่าไหร่นะครับ แล้วก็แก้ไขความเข้าใจผิดสักนิด เธอไม่เคยเข้าหาผม เป็นผมต่างหากที่ตามเธอเอง”

ปุณณภพเหยียดยิ้มอย่างพอใจ ก่อนจะเบี่ยงตัวหลบให้ชายไทเดินออกไป ดวงตาคมกริบของทนายความจ้องเบื้องหลังของชายไทไปจนหายลับกับความมืดมิด



เวลาล่วงเลยไปถึงวันใหม่แล้วเกือบสองชั่วโมง ปวีร์ในชุดดำเดินออกมาด้านนอกของผับแห่งหนึ่ง เขาออกมาสืบเรื่องบางอย่างตามที่เขาได้รับการว่าจ้าง ทว่าระหว่างที่กำลังจะเดินกลับไปที่รถ เขาสะดุดตากับเด็กหนุ่มคนหนึ่งภายในกลุ่มชายฉกรรจ์ห้าคน

พิรักษ์...เด็กคนนี้ยังคงวนเวียนในสังคมมืดดำนี่อยู่อีกหรือ เป็นคำถามซึ่งปวีร์รู้คำตอบดีแต่ก็ยังอยากถาม เขาแอบมองพฤติกรรมของกลุ่มคนเหล่านั้นอยู่นาน มีการพูดคุยกันแต่ระยะห่างและความมืดสลัวทำให้เขามองไม่เห็นชัดเจน อีกทั้งไม่ได้ยินถ้อยคำอะไร นอกจากเด็กหนุ่มรับของมาจากชายร่างสูงใหญ่แต่งตัวด้วยชุดที่สุภาพกว่าชายอีกห้าคนซึ่งยืนขนาบข้าง พิรักษ์รับมาเปิดห่อออกแล้วทำท่าทางเหมือนกำลังนับเงิน ปวีร์คิดว่านั่นน่าจะเป็นเงิน...

ปวีร์ถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะเปลี่ยนใจเดินออกมาจากที่หลบซ่อนแล้วตรงไปยังลานจอดรถ จุดหมายเดิมตั้งแต่แรก คงไม่มีประโยชน์อะไรที่จะยุ่งเรื่องของพิรักษ์ เด็กคนนี้เลือกทางของตัวเองแล้ว ทางเลือกซึ่งพิรักษ์ควรเห็นตัวอย่างจากพี่ชายแต่ก็ยังคงเลือกอยู่ดีนั่นเอง

แมลงเม่ามักบินเข้ากองไฟเสมอ แม้รู้ว่าตัวจะตายก็ยังทำ...เป็นสัญชาตญาณ





ณิชนิตา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 20 พ.ค. 2558, 05:55:13 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 20 พ.ค. 2558, 05:55:13 น.

จำนวนการเข้าชม : 1294





<< บทที่๑๘ ความรักคือ ห่วง    บทที่๒๐ ในอ้อมแขนอุ่น >>
นักอ่านเหนียวหนึบ 20 พ.ค. 2558, 08:56:47 น.
โอ้ยยยยย อิคุณทนาย มันต้องเป็นคนร้ายแน่เลยคะ!!!


Furzan 20 พ.ค. 2558, 11:27:34 น.
ทำไมสงสัยนังแม่เลีเยงวะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account