กลรัตติกาล
เรื่องต่อ ซ่อนใจไว้ใต้ดาว ชุดเสน่หาฆาตกรรม

หลงกลิ่นจันทน์ , ซ่อนใจไว้ใต้ดาว , กลรัตติกาล
Tags: กลรัตติกาล คีตา ณิชนิตา

ตอน: บทที่๒๐ ในอ้อมแขนอุ่น

ชายไทกลับมาถึงบ้านเกือบเที่ยงคืนแล้ว เขาไม่ได้พักผ่อนแต่กลับค้นหาบางอย่างในตู้หนังสือเก่าแก่ของยายแทน ทว่ายิ่งค้นหาเขากลับไม่เจออะไรเป็นประโยชน์เลย นอกจากตำราคาถาต่างๆ และหนังสือธรรมะ เสียงกุกกักทั้งแสงไฟบนเรือนไทยทำให้อิงอรซึ่งเดินออกมาตรวจดูความเรียบร้อยนอกบ้านอีกหลังนั้นเดินเข้ามาดู

“ชายทำอะไรอยู่ลูก แม่เห็นไฟเปิดอยู่เลยเข้ามาดูน่ะ” เธอเอ่ยถามทันทีเมื่อก้าวขึ้นมาถึงบนเรือนเรียบร้อย ชายไทหันขวับไปหาแม่

“ผมหาหนังสือเก่าๆ ของยายน่ะครับ”เขาบอกพร้อมกับหยุดมือซึ่งกำลังรื้อค้นอยู่นั้น

อิงอรมองลูกชายอย่างไม่เข้าใจ หันมองหนังสือซึ่งลูกชายนำมากองไว้บนพื้นนั้นด้วยความสงสัย “หาไปทำไมเหรอ”

“คือ...ผม” ชายไทอ้ำอึ้งก่อนจะยอมเปิดปากพูดออกมา “ผมอยากรู้ว่า คุณยายเคยเห็นผีบ้างหรือเปล่า”

“ชายไม่เคยเชื่อเรื่องนี้นี่ ทำไมอยู่ๆ เกิดถาม”อิงอรเริ่มสงสัยในตัวของชายไท เขาไม่เคยทำเหมือนไม่มั่นใจ แต่คราวนี้ดูลูกชายของเธอมีแววตาค่อนข้างกังวล

“ผม...” ชายไทไม่กล้าจะบอกว่าเขาเพิ่งเห็นสิ่งที่ไม่ควรเห็นมา อิงอรมองลูกชายก่อนจะยิ้มบางพร้อมกับนั่งลงบนเก้าอี้ไม้เก่าใกล้ตัว

“คุณยายเป็นหมอดูแล้วก็เป็นคนสืบทอดวิชาไสยศาสตร์จากคุณทวด ทำไมจะไม่เห็นละ ตอนเด็กๆ ชายเองก็เคยเห็น”อิงอรอธิบาย พลางสบตาลูกชายซึ่งมีแววตาสงสัยอยู่ตลอด

“เคยเห็นเหรอครับ”ชายไทถามกลับ แม่พยักหน้ารับเป็นการยืนยันอีกครั้ง เขาไม่เคยคิดว่าตัวเองจะเห็นสิ่งเหนือธรรมชาติได้เลยสักครั้ง

“ใช่จ้ะ เรื่องพวกนี้เป็นความเชื่อ ยายเคยบอกชายใช่ไหมว่า ถ้าไม่เชื่อก็ไม่เห็น ตอนนั้นชายยังเด็กมาก พอเห็นก็ร้องบอกคุณยาย คุณยายเลยจัดการ เขาก็เลยหายตัวไป โบราณยังพูดเลยว่าเด็กๆ มักเห็นผีเพราะใจบริสุทธิ์ สื่อสารกับอีกภพได้ง่าย”

“แล้วมีสาเหตุอื่นไหมครับ ที่สามารถทำให้เราเห็นได้ ตอนเราโตแล้วเนี่ยครับ”

“ชายเห็นหรือ” อิงอรถามกลับ จ้องสีหน้าของลูกชายอย่างประเมิน ชายไทพยักหน้ารับในที่สุด

“ผมเห็นท่านนายพลปราการ แปลกมาก แต่ก็แค่แวบเดียวเท่านั้น ผมไม่อยากเชื่อ แต่ก็...”

“เชื่อใช่ไหม เพราะลูกก็เชื่ออยู่บ้าง ไม่อย่างนั้นคงไม่เห็นท่านนายพลหรอก การที่เราจะเห็นวิญญาณสักดวงนะ มันก็มีเหตุผลอยู่ไม่มากหรอก คุณยายเคยบอกแม่อยู่เหมือนกัน คนเห็นต้องมีจิตต้องกัน มีความผูกพันกันมาก่อนตั้งแต่ยังเป็นคน หรือบางครั้งก็เพราะอยากขอร้องให้ช่วย สำหรับคนมีสัมผัสพิเศษหรือที่เขาเรียกกันว่า ซิกเซ้นท์นั่นแหละ”

“แต่ผมไม่มีนะครับ ถ้าผมมีผมก็คงเชื่อเรื่องพวกนี้ตั้งนานแล้ว คงไม่ทำให้ยายผิดหวังหรอกครับ”

“จริงสิ ลูกลองไปคุยกับหลวงตาปลั่งที่วัดดูนะ ท่านน่าจะให้คำตอบลูกได้ดีกว่าแม่แน่ๆ อีกอย่างท่านรู้จักคุณยายเป็นอย่างดี ชายอาจจะได้อะไรบ้าง”อิงอรบอกลูกชายเมื่อนึกได้ ชายไทพยักหน้ารับ

“ครับ ขอบคุณครับแม่”

“พักผ่อนดีกว่านะ เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว พรุ่งนี้แม่จะไปฟังสวดกับคุณพ่อด้วย”อิงอรบอกตบท้ายก่อนจะลุกขึ้นจากเก้าอี้

“ครับ ขอบคุณครับแม่”ชายไทกล่าวขอบคุณพร้อมกับมองแม่เดินออกไปจากห้อง เขาทรุดตัวลงนั่งบนเตียงอย่างเหนื่อยอ่อน


เช้าตรู่ชายไทเข้ามาขอพบหลวงตาในวัด ชายหนุ่มนั่งรอบนระเบียงกุฎิของหลวงตา พอท่านเสร็จกิจจึงก้าวออกมานั่งบนเก้าอี้ไม้ตรงหน้าของชายไท เขาก้มลงกราบแล้วจึงเงยหน้าขึ้นกำลังจะเอ่ยถามแต่หลวงตากลับโบกมือห้ามเสียก่อน

“วันนี้ตาติดกิจนิมนต์ เข้าเรื่องเลยนะ”

ชายไทนึกขันแต่ก็ได้แต่ยิ้ม ก่อนจะพูดถึงสาเหตุของการมาพบท่านในวันนี้ “พอดีผม...ผมมีเรื่องสงสัย หลวงตาเคยเจอผีบ้างหรือเปล่าครับ”

หลวงตาจ้องชายไทอย่างคะเน “เรื่องแบบนี้ขึ้นอยู่กับความเชื่อนะโยม การพบกันระหว่างภพเป็นความมหัศจรรย์ ถ้าเรามีดวงจิตผูกพันกัน ก็สามารถเห็นกันได้ แต่ในกรณีของโยมชาย...ไม่ใช่แค่เพราะดวงจิตผูกพันกันเท่านั้น อาจเป็นเพราะเขาต้องการขอความช่วยเหลือ และ...” หลวงตาหยุดถอนหายใจก่อนจะเอ่ยต่อ “ใกล้ถึงเวลาของโยมแล้ว”

“ถึงเวลา...”

“ใช่ เวลาที่ต้องกลับไป พูดอย่างนี้เข้าใจใช่ไหม คนเราทุกคนเกิดมาเพื่อใช้กรรม เมื่อหมดวาระ หมดกรรมก็กลับไปสู่อีกโลกอีกภพหนึ่ง ไม่มีใครเกิดมาแล้วอยู่เป็นอมตะ แม้กระทั่งเจ้าของสร้อยรัตติกาลก็ตาม”

“หลวงตารู้เรื่องนี้ด้วยเหรอครับ”

“รู้เท่าที่รู้ไม่มากมายอะไร โยมชมนาดท่านเป็นห่วงโยมชายมากนะ แต่ทุกอย่างมันเป็นกงกรรมกงเกวียน ไม่มีใครหยุดเหตุการณ์ที่จะเกิดได้หรอก”

“หลวงตารู้จักคุณยายผมมานาน หลวงตาคงรู้จักยายเล็กใช่ไหมครับ”ชื่อยายเล็กทำให้หลวงตาปลั่นมีใบหน้าเจื่อนจืดลงไปมาก แลดูเป็นกังวลขึ้นมาทันที

“รู้จัก แต่อย่ารื้อฟื้นมันขึ้นมาเลย เมื่อหลายปีก่อนยายชมนาดเคยบอกหลวงตาอยู่เหมือนกันว่าสักวัน หลานชายจะมาพบแล้วโยมก็มาจริงๆอาตมาเคยบอกไปแล้ว คนเรามีกรรม วนเวียนกันอยู่ก็เพราะกรรม ถ้าชำระกรรมนั้นให้หมดไปแล้ว ทุกอย่างจะกลับมาจุดเดิม” หลวงตาหยุดยกถ้วยชาขึ้นจิบแล้วเอ่ยต่อไปด้วยท่าทีสงบ

“เรื่องสร้อยรัตติกาลอาตมาก็พอรู้ว่า ทุกคนที่ถือครองมันอยู่ตายไปหมดแล้ว มีเพียงเจ้าของสร้อยที่แท้จริงเท่านั้นจึงจะอยู่ได้ ไม่เคยมีใครขอพรได้ครบสองข้อ อดีต...มีคนขอพรเพียงข้อเดียวเท่านั้นก็เป็นบ้าใบ้ไป ทิ้งสร้อยเส้นนั้นให้กับทวดของโยมแล้วหนีเข้าป่าไป ไม่มีใครพบเห็นอีกเลย นานเกือบสัปดาห์จึงเห็นเป็นศพท้ายป่า หลังจากนั้นพ่อชด...อ้อ ทวดของโยมจึงเป็นคนดูแลสร้อยตลอดมา ซึ่งมีข้อแลกเปลี่ยนเพื่อให้มีลูกหลานผู้ชายสักทีหนึ่งแล้วก็...ความเจริญรุ่งเรืองที่จะก่อเกิดกับตระกูลผู้ดูแลสร้อย” หลวงตาปลั่งอธิบาย

“อย่างนี้...หมายความว่าเจ้าของสร้อยทุกคนจะตายงั้นหรือครับ...”ชายไทท้วงด้วยความตระหนก เขาไม่ได้ใส่ใจในบางประโยคของหลวงตาปลั่งสักนิดมัวแต่คิดว่าสร้อยรัตติกาลมีอิทธิฤทธิ์อะไรกันแน่

“ให้เรียกว่าคนครอบครองสร้อยดีกว่านะ เจ้าของสร้อยไม่มีอยู่จริง”

“อะไรนะครับ ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น ทำไมถึงไม่มีเจ้าของสร้อยจริงละครับ”

“เรื่องนี้อาตมาก็ไม่รู้ แม้แต่ยายชมนาดก็ไม่รู้ เป็นความลับของสร้อยรัตติกาล มีคุณทวดเท่านั้นแหละที่รู้ความลับของสร้อย แต่ท่านจากไปโดยไม่ได้ทิ้งอะไรไว้ให้เลย นี่แหละคือปัญหาซึ่งก็คงเพราะถ้าบอกยายชมนาด ยายช้องนางก็ต้องรู้ ไม่มีความลับระหว่างสองพี่น้องนี้เลย โยมเอาไปคิดให้ดีๆ เวลาที่เหลืออยู่ควรทำอะไรก็ทำหรือหากโยมไม่เชื่อ...ก็ไม่เป็นไร”

ความจริงชายไทต้องการอยากรู้เรื่องสร้อย เขาควรมาพบหลวงตานานแล้ว เขานี่ไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลยจริงๆ เหมือนเส้นผมบังภูเขาอยู่นานแต่นอกเหนือจากเรื่องสร้อย คือเรื่องของเขาเอง...ควรเชื่อหรือเปล่า

“เรื่องง่ายๆ มันก็ยากได้ในเวลาที่เราไม่มีสติ” หลวงตาทิ้งท้ายด้วยการตักเตือน ดวงตากร้านชีวิตจ้องชายไทอย่างเป็นห่วง

ข่าวบนหน้าหนังสือพิมพ์ทำให้จรีณาถึงกับวางกระดาษสีเทานั้นบนโต๊ะอย่างหงุดหงิดใจ ภาพรัตติกาลในชุดดำดูสง่าสาม แม้มีท่าทีโศกเศร้าก็ตาม หญิงสาวนั่งบนเก้าอี้ในห้องอาหาร ใบหน้าซึ่งไม่ได้แต่งแต้มเครื่องสำอาง ผมยาวถูกมวยไว้กลางศีรษะอย่างง่ายๆ กรุณพลก้าวเข้ามาในห้องอาหารเห็นสภาพภรรยาเหมือนทุกเช้า สีหน้าของชายหนุ่มดูเบื่อหน่าย ระหว่างนั่งลงบนเก้าอี้หัวโต๊ะ รอให้แม่บ้านนำอาหารมาวางไว้ตรงหน้า

“คุณรู้ข่าวเรื่องพ่อของรัตติกาลหรือยัง” เธอเอ่ยถามเป็นประโยคแรกเมื่อเห็นหน้าสามีในยามเช้าของวัน

“รู้แล้ว ให้คนเอาพวงหรีดไปส่งแล้วด้วย” กรุณพลตอบโดยไม่ได้มองหน้าภรรยา ซึ่งสภาพตอนเช้าไม่มีอะไรน่าจรรโลงใจเลยสักนิด หน้าเปลือย เห็นทุกอย่างที่เครื่องสำอางราคาแพงปกปิดไว้

“ทำไมคุณไม่ยอมบอกฉันเลย”

“ผมไม่อยากให้คุณไปหาเรื่องรัตน่ะสิ”

“ฉันจะไปหาเรื่องหล่อนทำไม”

“ผมรู้คุณทำแน่ มีครั้งไหนไหมที่พวกคุณจะคุยกันได้ดีๆ บ้าง”

“ฉันไม่ใช่คนหาเรื่องนะ พี่กันคิดว่าที่ผ่านมาฉันหาเรื่องรัตเหรอ ใช่ซี๊...อะไรๆ รัตก็ดีไปหมด สวย เก่ง รวย” จรีณาเริ่มคำประชดประชัน กรุณพลวางช้อนในมือลงอย่างหมดอารมณ์อยากกินอาหาร

“นี่ อย่าเริ่มนะจีน่า”

“พี่นั่นแหละเป็นคนเริ่ม ทำไมต้องให้มันมาถ่ายแบบให้บริษัทพี่ ทำไมถึงเลือกมัน ทั้งๆที่รู้ว่าฉันไม่ชอบ! ทำไม...ชอบยายรัตนักเหรอ ชอบแล้วทำไมไม่แต่งงานกับมันละ”

“เอาเรื่องจริงไหมละจีน่า เรื่องทั้งหมดก็เพราะเธอแย่งพี่มาจากรัตต่างหาก เก็บจานเถอะ กินไม่ลง!” ปลายประโยคหันไปสั่งแม่บ้านแล้วลุกขึ้นเดินออกไปจากห้องนั้นด้วยอารมณ์เกรี้ยวกราด จรีณามองตาหลังของสามีไปพร้อมกำกระดาษในมือจนยับยู่ยี้ เสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์มือถือดังขึ้นขัดจังหวะเธอเอื้อมมือไปหยิบขึ้นมาดูชื่อคนติดต่อเข้ามา แววตาประหลาดใจเล็กน้อย ก่อนกดรับสาย

“สวัสดีค่ะ” เธอเอ่ยทักทายปลายสาย ระหว่างได้ยินถ้อยคำต่างๆ พรั่งพรูเข้ามา ดวงตาจรีณาลุกวาวด้วยความสนุก เรื่องราวขุ่นมัวซึ่งเกิดจากสามีเมื่อครู่หายไปพร้อมกับเรื่องราวที่ได้ยิน รอยยิ้มปรากฎบนใบหน้าของเธอ

"ได้ค่ะ ฉันจะไป จะปลอบใจรัตติกาลให้เต็มที่" จรีณาตอบเสียงหวานก่อนวางสายโทรศัพท์

เธอไม่ชอบรัตติกาลตั้งแต่เข้าปีหนึ่งในรั้วมหาวิทยาลัย ตำแหน่งดาวมหาวิทยาลัยควรเป็นของเธอ แต่รัตติกาลแย่งไปหมด แม้เธอจะตีหน้าเป็นเพื่อนแต่ในใจเกลียดรัตติกาลเข้ากระดูกดำ ถ้ารัตติกาลได้อะไรเธอต้องได้มากกว่าหรือดีกว่า รัตติกาลใส่เสื้อผ้าชุดไหนแล้วใครชมเธอก็จะจัดการหาชุดนั้นมาใส่เพื่อให้ทุกคนเห็นว่า เธอเด่นกว่าร้อยเท่าพันเท่า ยิ่งเรื่องความรัก...เธอจะต้องได้คนที่รัตติกาลควงอยู่ ตอนนี้...เธอคิดว่าชีวิตรัตติกาลจะดับวูบไปพร้อมอุบัติเหตุครั้งนั้นแต่แล้วตอนนี้กลับเจิดจรัสขึ้นมาอีกครั้ง...ไม่มีทาง ไม่มีทางที่เธอจะยอมปล่อยให้เพื่อนรักเพื่อนแค้นคนนี้มีความสุข!!

คืนสวดวันสุดท้ายรัตติกาลมายืนรอรับแขกด้านหน้าศาลา หญิงสาวแต่งชุดดำเรียบง่ายเพราะยังคิดอะไรไม่ออก จรีณาทำสีหน้าเศร้าพร้อมกับโผเข้ากอดรัตติกาล

“โถ รัต คงเสียใจแย่ ขอโทษนะที่ฉันไม่ได้อยู่ด้วยตอนเกิดเรื่อง ตอนนั้นฉันกำลังเที่ยวยุโรปอยู่กับพี่กันพอดี พอเราได้ยินข่าวก็รีบจองเที่ยวบินแรกมาเลยนะ”

“ไม่จำเป็นหรอกนะจีน่า”รัตติกาลบอกเสียงแผ่วเบา

“ทำไมจะไม่จำเป็นละเราเป็นเพื่อนกันนี่นา ทำไมเธอพูดเย็นชากับฉันอย่างนี้ละ โถ หรือว่าช็อกจนบ้าอีกแล้ว”คำกล่าวหาจากปากจรีณานั้นยิ่งทำให้รัตติกาลมองอดีตเพื่อนด้วยแววกร้าวโกรธ

“ฉันอิจฉาเธอจะตายไป ขนาดเป็นบ้าอย่างนี้ยังมีผู้ชายวนเวียนรอบตัวเธอเสมอ แต่อย่าหวังว่าจะแย่งพี่กันกลับคืนไปนะ ฉันไม่ปล่อยเธอไว้แน่”

“เธอพูดเรื่องอะไร ฉันไม่เคยคิดจะแย่งอะไรเธอ มีแต่เธอเท่านั้นแหละจีน่าที่แย่งของฉันไป ตั้งแต่แรกแล้ว อย่าเอาดีเข้าตัว เอาชั่วให้คนอื่นหน่อยเลย”

จรีณาเบ้ปากก่อนโน้มตัวเข้ามากอดรัตติกาลไว้ทำราวกับว่าเป็นห่วงนักหนา “ความจริงฉันกับพี่กันมีอะไรกันก่อนที่เธอจะบ้าเสียอีก ใครแย่งใครอันนี้ฉันก็ไม่ทราบ รู้แค่ว่าเขาเลือกฉันก็พอ เธอมันไม่ได้มีค่าอะไรหรอก ก็แค่ตัวซวยใครอยู่ใกล้ก็พลอยเดือดร้อนไปหมด ไม่สังเกตตัวเองบ้างเหรอรัต เกิดมาแม่ก็ตาย เพื่อนสนิทเธอก็ตาย ตอนพี่กันคบกับเธอเขาก็ดิ่งลงเหวเรื่อยๆ โชคดีที่ไหวตัวทัน สุดท้ายก็พ่อเธอ...คิดเอาเองนะว่าเธอมันตัวซวยแค่ไหน”

รัตติกาลจ้องใบหน้าสวยหยาดเยิ้มของจรีณาอย่างเคียดแค้น หัวใจจุกแน่นด้วยความเจ็บปวด แน่นอนว่าจรีณาพูดถูกทุกอย่าง เธอคือตัวซวย...เธอทำให้ทุกคนต้องตาย!!

“กรี๊ด-ด-ด-ด” รัตติกาลกรีดร้องขึ้นมาเสียงดัง เอามือสองข้างปิดหูไว้พร้อมกับทรุดตัวลงนั่งกับพื้น ชายไทซึ่งยืนอยู่ไม่ไกลรีบวิ่งเข้ามาประคองเธอไว้

“จีน่า เธอพูดอะไรกับรัต ทำไมรัตถึงได้เป็นอย่างนั้น” กรุณพลหันมาถามคนรักทันที จรีณาตีหน้าซื่อ ดวงตาไหวระริก ด้วยความตื่นตระหนก

“อะไรกันคะ จีน่าไม่รู้เรื่อง จีน่าแค่ให้กำลังใจรัต แต่อยู่ๆ เธอก็ร้องขึ้นมา หรือว่าอาการโรคประสาทกำเริบคะ ตายจริง” จรีณาเอามือทาบอกทำท่าทางตกใจ แต่ไม่ทันที่จะได้พูดอะไรต่อไป มโนชาวิ่งเข้ามาผลักหญิงสาวจนล้มลงไปกองกับพื้น

“เธอมันนังสตอ! เธอพูดอะไรกับรัตกันแน่”

“เธอเป็นใคร ทำท่าทางไร้มารยาทอย่างนี้กับฉันได้ยังไง” จรีณาแหวกลับไป

“คุณนั่นแหละ ทำอะไร” อชิตะเป็นฝ่ายออกหน้ารับแทนมโนชาทันที เขาจ้องจรีณาอย่างไม่เป็นมิตร หญิงสาวจึงถอยห่างออกมา

“ขอร้องทั้งสองฝ่ายนะคะ อย่ามีเรื่องกันเลย” นิตยาเข้ามาห้ามทุกคนไว้ก่อนจะเกิดเรื่องมากกว่านั้น

“จีน่าไม่คิดว่าเพื่อนของรัตจะทำตัวแบบนี้เลยนะคะ จีน่าไหว้คุณลุงแล้วขอตัวนะคะ ไม่อยากทำให้คุณน้าลำบากใจ” จรีณาไหว้นิตยาก่อนจะดึงแขนกรุณพลออกไปจากงานด้วยกัน

ชายไทไม่ได้สนใจเรื่องราวพวกนั้นเขาก้มลงมองใบหน้าซีดเซียวของรัตติกาลอย่างเป็นห่วง มือลูบแก้มเย็นราวน้ำแข็งของเธอไปมาหวังว่าจะช่วยให้มันอุ่นขึ้น หญิงสาวเหมือนคนไร้สติ เธอกำลังทนทุกข์กับบาดแผลในจิตใจมากมายเกินจะรักษาได้หมดสิ้น ร่างกายอ่อนปวกเปียกด้วยกำลังจะหมดแรงลงไปทุกที เขาตัดสินใจช้อนร่างของหญิงสาวขึ้นแนบอกก่อนเธอจะหมดสติไปในที่สุด

ชายไทก้าวผ่านคนมากมายในงานออกไปโดยไม่สนใจว่าจะกลายเป็นจุดสนใจเพียงใด เขาต้องการแค่ปกป้องเธอ...


ประตูห้องของรัตติกาลเปิดอ้าออก หญิงสาวค่อยๆ ก้าวเข้าไปอย่างไร้เรี่ยวแรง หลังจากฟื้นคืนสติ หญิงสาวทรุดตัวนั่งลงบนเตียง ไม่แม้แต่จะเปิดไฟบนหัวเตียงให้ส่องสว่าง ชายไทซึ่งเดินตามมานั้นเป็นฝ่ายหันไปควานหาสวิชท์ไฟบนผนังจนแสงสว่างจ้าไปทั่วห้อง สิ่งที่เขาเห็นก็คือ รัตติกาลนั่งเหมือนคนไร้วิญญาณ ดวงตาแดงก่ำ เตรียมพร้อมที่จะร้องไห้ได้ทุกเมื่อ เขาก้าวเข้าไปใกล้ทรุดตัวลงคุกเข่ากับพื้น ดวงตาทอดมองใบหน้าซีดเซียวของเธอ แล้วจึงเอื้อมมือออกไปกุมมือทั้งสองของเธอไว้ ทว่ารัตติกาลดึงมือตัวเองออก

“ออกไป...ฉันอยากอยู่คนเดียว”

“คุณยังไม่พร้อมที่จะอยู่คนเดียว” ชายไทบอก

“ฉันบอกให้ออกไป ฉันจะเป็นยังไงก็เรื่องของฉัน”

“คุณก็รู้ว่าผมไม่มีทางปล่อยคุณไว้คนเดียวแน่ๆ”

“ไป...” หญิงสาวยังคงไล่เขาพร้อมกับผลักไสด้วยมือให้เขาออกไป ชายไทถอนหายใจคว้ามือหญิงสาวเอาไว้แล้วดึงเข้าหาตัว โอบกอดร่างซึ่งกำลังดิ้นรนทุบตีค่อนข้างแรง รัตติกาลหมดสิ้นความอดทน เธอกัดเข้าที่ต้นแขนของชายหนุ่ม แม้จะมีผ้าจากเสื้อซึ่งสวมใส่อยู่นั้นแต่เขายังรู้สึกเจ็บจนต้องกัดฟันไม่ให้ร้องโอดครวญออกมา

รัตติกาลหยุดการกระทำของตัวเองทุกอย่าง ร้องไห้แทบขาดใจ ใบหน้าซุกซบหน้าอกกว้างของชายหนุ่ม เธอไม่มีแรงจะต่อสู้อะไรอีกแล้ว มือบางกำเสื้อของเขาไว้แน่นราวกับว่ามันคือที่พึ่งพิงสุดท้ายของเธอแล้ว ชายไทกอดหญิงสาวแน่นขึ้น ก้มลงประทับจูบผ่านกลุ่มผมบนหน้าผากของเธออย่างแผ่วเบา

ชายไทปล่อยอ้อมแขนออกแต่รัตติกาลไม่ยอมปล่อยมือที่กุมเสื้อเขาไว้จนยับยู่ยี่นั้นเลย “นอนพักเถอะ พรุ่งนี้ยังมีเรื่องต้องทำอีกมาก”

“คุณจะไม่ทิ้งฉันไปใช่ไหม” คำถามของรัตติกาลทำเอาชายหนุ่มนิ่งไปอึดใจ ดวงตาทอประกายความเจ็บปวดออกมาแวบหนึ่งก่อนจะแสร้งยิ้มแล้วส่ายหน้า

“ผมไม่ทิ้งคุณอยู่แล้ว ทิ้งไปคุณจะตามไปฆ่าผมแน่ๆ ผมไม่ทำหรอกกลัว” เขากล่าวติดตลก แต่ดูเหมือนจะเป็นตลกเฝื่อนสำหรับตัวเขาเอง หญิงสาวปล่อยมือออก เขาจึงหันไปเลิกผ้าห่มขึ้น เธอสอดตัวเข้าไปเขาจึงดึงผ้านั้นคลุมจนถึงอก ปัดผมเผ้ายุ่งเหยิงบนหน้าผากของเธอให้เรียบร้อยแล้วจึงหันหลังให้ก้าวเท้าออกมา ทว่ารัตติกาลคว้าข้อมือเขาไว้แน่น เขาหันกลับไปมองเธออีกครั้ง ดวงตาคู่นั้นบอกเขาออกมาโดยไม่ต้องกล่าวถ้อยคำใดๆเลยด้วยซ้ำ

ชายไทผ่อนลมหายใจออกมาช้าๆ แล้วจึงขยับตัวเข้าไปใกล้ นั่งลงบนขอบเตียงก่อนจะเลื่อนตัวเข้าไปในผ้าห่มผืนเดียวกัน วาดแขนขวาออกไปจนสุด ปล่อยให้หญิงสาวมุดเข้ามาซุกอกเหมือนนกน้อยรอคอยความอบอุ่นจากแม่ เขาใช้มืออีกข้างเลื่อนเนกไทให้คลายตัวออก แล้วจึงแตะที่แก้มเนียนนั้นเบาๆ อาจใช้เวลานานในการรักษาสภาพจิตใจของรัตติกาล...แต่เขาก็ต้องทำให้ได้ เธอบอบช้ำเหมือนแก้วบางมานานแล้ว พร้อมที่จะแตกสลายได้ทุกเวลา

“ถ้าฉัน...ไม่ใช่ผู้หญิงดีๆ อย่างที่คุณคิด คุณจะไม่ทิ้งฉันใช่ไหม” เสียงถามอู้อี้ในอกของเขา

“ผมไม่เคยบอกว่าคุณดีไปหมดนี่ คนเราไม่มีใครดีหมดทุกอย่างหรอก เกิดเป็นมนุษย์ก็ย่อมมี รักโลภ โกรธหลง”

“ฉันไม่ได้หมายความอย่างนั้น...ฉัน...” หญิงสาวหยุดไปครู่หนึ่งก่อนจะเงยหน้าขึ้นจ้องหน้าเขา ตั้งใจสบตาระหว่างการพูดคุย “ถ้าฉันไม่ได้...บริสุทธิ์ คุณจะยังรักฉันไหม”

เป็นคำถามซึ่งบาดลึกเข้าไปในหัวใจคนฟัง เขาสบตารัตติกาลนิ่ง ก้มลงไปจูบริมฝีปากเล็กนั้นเบาๆ เขาไม่ได้ตอบเป็นคำพูด แต่ยืนยันด้วยการกระทำซึ่งแม้เพียงเล็กน้อยแต่เขารับรู้ถึงหยดน้ำตาสัมผัสริมฝีปากตัวเอง เขารู้คำตอบที่เคยถามเธอไปแล้ว...ตอนนี้หัวใจเขาเจ็บ...ไม่แพ้เธอเลย

ประตูห้องปิดลงโดยที่ทั้งคู่ไม่ได้สังเกต นิตยาซึ่งตั้งใจเข้ามาดูแลรัตติกาลเห็นว่าชายไทอยู่กับลูกเลี้ยงแล้วจึงเลี่ยงออกไป ชายไทอาจทำหน้าที่นี้ได้ดีกว่าเธอก็เป็นได้


รัตติกาลตื่นขึ้นมาบนเตียงนอนของตัวเอง เธอยังซุกอยู่ในอ้อมอกอุ่นของชายไท ใบหน้าใสของเขาดูหม่นหมองลง หนวดเคราที่เพิ่งงอกขึ้นมาใหม่เขียวครึ้ม เขาคงเหนื่อยกับเธอมากตั้งแต่เรื่องเกิด ชายไททำเพียงแค่กอดเธอไว้ ให้ความอบอุ่นเป็นดังแม่ไก่กกกอดลูกน้อยไว้ใต้ขนหนานุ่ม พอเธอขยับตัวเลยทำให้เขารู้สึกไปด้วย ชายไทลืมตาตื่นก้มลงมองหญิงสาวทันที

“คุณตื่นแล้วเหรอ”น้ำเสียงของชายไทฟังแหบแห้ง

“ค่ะ คุณชายคงเหนื่อยกับฉันมาก” รัตติกาลถามด้วยความเป็นห่วง

“ไม่เป็นไร ผมไม่ได้เหนื่อยอะไร คุณดีขึ้นก็ดีแล้ว เดี๋ยวผมจะได้กลับ”

“ขอบคุณนะคะที่อยู่ข้างฉันตลอด” หญิงสาวส่งสายตาเป็นเหมือนคำพูดที่เพิ่งเอ่ยออกมานั้น ชายไทยิ้มบางขยับตัวออก ก้าวลงจากเตียง

“ไม่เป็นไร ผมยินดีจะทำอย่างนี้ คุณอย่าคิดมาก นอนหลับพักผ่อนเถอะ” เขาตอบพร้อมกับส่งยิ้มให้

ชายไทออกไปจากห้องเธอแล้ว รัตติกากลับหลับไม่ลง หลายเรื่องในหัวของเธอเริ่มทำงานอีกครั้ง อดีตเพื่อนของเธอพูดความจริง เป็นเหมือนหนามแหลมคมทิ่มแทงหัวใจเธอเสมอมา

เรื่องทุกอย่างสาเหตุก็เพราะเธอทั้งสิ้น...เธอไม่น่าขอพรนั้นเลย เธอคือตัวซวย คนที่สมควรตายคือเธอต่างหากไม่ใช่คนอื่นๆ

หญิงสาวเหลือบมองกรอบรูปครอบครัวบนหัวเตียงด้วยแววตาเศร้า

“พ่อคะ...ทำไมพ่อไม่ออกมาให้หนูเห็นเลย ทีกับคนอื่น...ทำไมหนูถึงเห็นพวกเขา พ่อสัญญาแล้วไงว่าจะไม่ทิ้งหนูไปก่อน พ่อสัญญาแล้ว ทำไมพ่อทำอย่างนี้...ทำไมพ่อทำอย่างนี้”

ร่างโปร่งแสงของปราการเลือนราง อ่อนแรง อยู่ด้านหลังของรัตติกาล ดวงตาแสนเศร้าทอดมองลูกสาว ความรู้สึกเย็นยะเยือกจนขนลุกชัน ทำให้รัตติกาลหันขวับไปยังด้านหลังของตน ภาพตรงหน้ายิ่งทำให้น้ำตาของหญิงสาวร่วงลงอาบแก้มมากขึ้น เธอเอื้อมมือไปหวังจะสัมผัสแต่กลับกลายเป็นไขว่คว้าสิ่งใดไม่ได้เลย

ยิ่งเห็นยิ่งทรมาน...นี่ใช่ไหมที่พ่อเธอต้องการจะบอก

“พ่อคะ...”

ปราการทำท่าทางเหมือนถอนหายใจ เอื้อมมือขาวซีดมาใกล้ลูกสาว ทำท่าเหมือนกับจะลูบผมของเธอ แต่กลับทำไม่ได้

มันสายไปแล้ว...สายเกินไปจะทำเช่นนั้น เมื่อมีเวลาจะทำกลับไม่ยอมทำ ปล่อยให้เรื่องราวสายเกินไปจริงๆ

รัตติกาลได้แต่ร้องไห้ มือไม้พยายามจับคว้าไว้ไม่เป็นผล ตอนนี้สิ่งที่เธอทำได้ก็แค่เพียง...ร้องไห้เท่านั้นเอง

ร่างโปร่งแสงของปราการค่อยๆ จางหายไปกับความมืด ทิ้งไว้เพียงความเจ็บปวดของรัตติกาล เธอรู้ว่าพ่อมาบอกลา แต่เธอไม่อาจเอ่ยคำนั้นออกมาได้...ไม่สามารถทำได้จริงๆ


ท่าน้ำยามดึกดื่นนั้นดูเปล่าเปลี่ยวและน่าวังเวงพอๆ กับคนนัดหมายให้ชายไทมาพบ ปวีร์เป็นคนชอบทำอะไรตอนหลังพระอาทิตย์ตกดินเสมอ ด็อกเตอร์หนุ่มยืนรออยู่เพียงครู่เดียวเพื่อนเก่าก็ขับรถเข้ามาถึง คราวนี้เพื่อนเก่าของเขาเลือกใช้รถยนต์ ชายไทเคยแปลกใจกับเรื่องของปวีร์อยู่บ่อยครั้ง แต่ไม่เคยได้คำตอบที่ชัดเจนเลยสักที ปวีร์มีความลึกลับอยู่ในตัว บางครั้งก็หายตัวไปเป็นเดือนๆ แล้วกลับมาโผล่ให้เห็น เรื่องการเงินของปวีร์ดูไม่น่าห่วงแต่ทำไมจึงเลือกทำงานแปลกๆ ราวกับกำลังตามหาใครบางคนอยู่ อาจเป็นเรื่องคาใจสำหรับชายไทแต่เขาก็ยอมเคารพความเป็นส่วนตัวของเพื่อนเช่นกัน

“ออกมายืนนอกรถทำไมวะ ไม่กลัวคนปล้นหรือไง” ปวีร์ทักเป็นคำแรก ชายไทหัวเราะพิงราวเหล็กริมท่าน้ำนั้นด้วยท่าทีสบายขึ้น

“อยากสูดอากาศหน่อย แล้วแกเองก็เลือกจุดนัดเจอเสียน่ากลัว”

ปวีร์จ้องเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายของชายไทแล้วจึงยื่นซองเอกสารขนาดครึ่งเอสี่นั้นให้กับเพื่อน “ทางผ่านนี่...ไม่อยากแวะ เอาเถอะ นี่ข้อมูลเรื่องยายเล็ก เพิ่งได้แค่นี้ ฉันสืบไปตามเส้นทางที่ท่านหนีออกจากบ้านไป แต่อยู่ๆ ก็เหมือนหายตัวไปเลย ไม่มีใครพบเห็นเลย”

“หายตัวไปงั้นเหรอ แล้วครอบครัวละ”

“ท่านแต่งงานอยู่กินกับสามีสองคน คนแรกอยู่ได้ไม่กี่ปีก็เลิกรากัน อีกคนสามีป่วยตาย จากนั้นก็อยู่คนเดียวเรื่อยมา แต่พอแก่ตัวกลับ ไม่มีใครเห็นเลยนี่แหละ เหมือนหายตัวได้” ปวีร์อธิบายเพิ่มเติม

ชายไทพยักหน้าเข้าใจ ก้มลงมองซองสีน้ำตาลในมือแววเศร้า เขาเคยคิดว่าอย่างน้อยหากได้เจอยายเล็ก เขาก็อยากบอกข่าวคราวของยายให้ท่านฟัง แต่ดูเหมือนสิ่งที่คิดจะไม่สมหวังเสียแล้ว ชีวิตคนเราไม่ได้ยาวนานอย่างที่คาด เป็นไปตามวัฏจักร ตามหลักวิทยาศาสตร์

“เออ จริงสิ คืนก่อน ฉันเห็นพิรักษ์ด้วย ดูเหมือนจะกู่ไม่กลับแล้วละ” ปวีร์เอ่ยเรื่องราวซึ่งพบมาให้เพื่อนฟัง เข้าใจว่าชายไทดูห่วงใยพิรักษ์มากเป็นพิเศษ อาจด้วยเหตุการณ์ในอดีตนั่นเป็นต้นเหตุ

“ยังไงเหรอ”

“เห็นคุยกับพวกนักเลง แล้วก็...เหมือนรับเงินอะไรมาด้วย ฉันไม่รู้ว่าเงินอะไรหรอกนะ เพราะไม่ได้ติดตาม คิดว่าเด็กคนนั้นคงเลือกทางตัวเองแล้วละ”

“เราควรช่วยเขาได้บ้างนะ” ชายไทมีสีหน้าเป็นห่วงขึ้นมาทันที

“แกก็แค่รู้สึกผิดเท่านั้นเองชาย มันเป็นอุบัติเหตุ ไม่ใช่เพราะแกสักหน่อย” ปวีร์บอกพร้อมกระชับกระเป๋ากับตัวแน่นขึ้น

“แต่ถ้าฉันไม่ทำตัวแบบนั้น ไม่มีเรื่องกัน ก็คงไม่เป็นเหตุให้พี่ชายเขาตายใช่ไหมละ”

“ถ้าแกจะคิดอย่างนั้นก็เรื่องของแกนะ แกทำงานด้านนี้อยู่แล้วน่าจะเข้าใจนะว่า ควรปล่อยวางยังไง” ถ้อยคำตักเตือนจากปากของปวีร์ทำให้ชายไทเจ็บปวดอยู่ในอก

หลายครั้งที่เขาก็ช่วยตัวเองไม่ได้ ความรู้สึกของคนเรานั้นซับซ้อนเกินกว่าจะใช้หลักวิชาการใดๆ มาประเมินได้หมด

“จะพยายามยามก็แล้วกัน แล้วเรื่องของแกตกลงมีอะไรให้ฉันช่วยไหม” ชายไทเปลี่ยนเรื่องพร้อมถามย้ำเพื่อนเก่าอีกครั้ง ปวีร์ส่ายหน้า

“ไม่ต้องหรอก เอาตัวของแกให้รอดก่อนเถอะ เรื่องของฉัน...อาจไม่ต้องขอให้ใครช่วย” ปวีร์ตอบเพื่อนก่อนจะบอกลาด้วยการโบกมือให้แล้วเดินจากไป ปล่อยให้ชายไทยืนนิ่งมองสายน้ำผ่านความมืดมิด

เขาควรปล่อยวาง...อย่างปวีร์บอก แต่จะทำได้หรือเปล่า รัตติกาลบอกเรื่องของเธอกับทนายความคนนั้นแล้ว มันทำให้เขาเจ็บ...เขาควรได้พบเธอก่อนหน้านี้ ถ้าทำได้เขาจะไม่ปล่อยให้เธอเผชิญเรื่องเลวร้ายเหล่านั้น แต่คนเราไม่สามารถย้อนเวลาได้ เรื่องนี้คงเป็นปมในใจของรัตติกาลมาตลอด เธอถึงได้กลายเป็นคนที่คาดเดายาก อยากทำอะไรก็ทำ ความอดทนน้อย เพราะคิดว่า...ถ้าไม่ทำตอนนี้ อาจไม่ได้ทำอีกก็ได้

เขารู้ดีว่ากำลังสู้ศึกสองทาง ทางแรกคือคนปกติธรรมดาซึ่งคงไม่ยากอะไร แต่อีกทางหนึ่งคือ สิ่งที่มองไม่เห็น ไม่รู้และไม่สามารถคาดเดาเหตุการณ์ใดได้

สิ่งเดียวที่จะรับมือกับเรื่องหลังก็คือ การเตรียมความพร้อม ตระเตรียมไว้ หากว่าเรื่องหลวงตาบอกไว้นั้นเกิดเป็นจริง เขาจะได้ไม่เสียดายที่เกิดมาอย่างยากลำบากแล้วจากไปอย่างง่ายดาย




ณิชนิตา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 21 พ.ค. 2558, 07:40:49 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 21 พ.ค. 2558, 07:42:05 น.

จำนวนการเข้าชม : 1257





<< บทที่ ๑๙ คำทำนาย   บทที่ ๒๑ ผีหรือคน(๑) >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account