เพลิงพญาล่ารัก (ปรับปรุง)
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: ตอน 9
ตอน 9
เช้าวันรุ่งขึ้นเพลิงก็พาเมียมายาขึ้นหลังเจ้าพยัต บังคับมันให้เหยาะย่างมาที่เรือนเชิงผา ระหว่างทางผ่านพงพนาเสียงสกุนาขับขานรับแสงอรุณที่แหวกม่านเมฆาขึ้นมาให้ได้ยล พิมพ์ลดายิ้มรับด้วยความสดใส โดยไม่รู้ว่ารอยยิ้มของเธอยังอยู่ในสายตาของเพลิง เธอมองดอกไม้ที่แซมขึ้นมากลางพงไพรไปเรื่อยๆ แล้วรอยยิ้มก็ค่อยๆหายไปเมื่อหันมาเจอกับสายตาเขา จึงหลบมองไปข้างหน้าแต่ใจกลับคิดไปถึงเมื่อตอนที่ตื่นขึ้นมา แล้วพบว่าตัวเองนอนแนบชิดอยู่ข้างตัวเขา
คำถามเกิดขึ้นทันทีว่าเธอมานอนอยู่ข้างเขาได้ยังไง พอขยับตัวลงขึ้นเขาก็ลืมตาขึ้น เธอไม่ถามเขาไม่พูดนอกจากลุกขึ้นมาล้างหน้าล้างตาแล้วทำหน้าที่ตัวเองเก็บมุ้งเก็บที่นอน แต่ทุกอย่างกลับเก้ๆกังๆ เพราะมือที่เจ็บระบมมากขึ้น แล้วออกมาขึ้นม้ามากับเขา เจ้าพยัตพาทั้งคู่มาถึงเรือน แม่นมสองคนที่ตื่นมารออยู่แล้ว ส่งยิ้มให้พร้อมกับเดินลงบันไดไปรับ ขณะที่เพลิงก็พาเธอลงมาจากหลังม้า จับแขนพาเดินผ่านแม่นมทั้งสองคนขึ้นมาบนเรือน ตรงไปยังห้องนอน
นมสดกับนมสุกมองหน้ากันอย่างสุดงง แล้วหน้าตาตื่นเมื่อคิดตรงกันว่าป๊ะเพลิงจะทำอะไรหนูพิมพ์ที่รักอีก จึง กระวีกระวาดพาหุ่นท้วมๆขึ้นบันไดตามไปจะถามให้รู้เรื่อง แต่ไม่กล้าเข้าไปในห้อง ชะเง้อมองอยู่แค่หน้าห้องเท่านั้น ขณะที่ในห้องเพลิงให้พิมพ์ลดานั่งบนเตียงพร้อมกับบอกว่า
“อยู่ในห้องนี้ห้ามออกไปไหนหรือทำอะไร”
“ทำไม” เธอถามอย่างงงๆ แต่เพลิงไม่มีคำตอบให้ ก็ลุกขึ้นอย่างไม่ยอม เขาก็กดตัวให้นั่งลงที่เดิมเธอก็จะลุกอีก แต่...
“ถ้าลุกขึ้นมาอีกครั้ง ฉันจะทับให้ลุกไม่ขึ้นเลย”
แก้มของพิมพ์ลดาเห่อแดงขึ้นมา เมื่อคำพูดเขาคิดเป็นอื่นไกลไม่ได้เลยนอกจากเขาจะสนิทเสน่หาเธอ จึงต้องนิ่งแต่ยังมีเสียงขัดใจออกมา “เผด็จการ”
“หรือจะลอง” เขาถามพลางก้มหน้าลงมาจนปลายจมูกแทบจะชิดแก้มนุ่ม เธอจึงไม่กล้ากระดิกอีก แม้แต่ลมหายใจก็แทบจะไม่ปล่อยออกมา “ไม่เก่งแล้วเหรอ” เสียงเขาเยาะออกมาเหมือนจะท้าทาย เมื่อเห็นเธอนิ่งไม่อวดดีอีก ก็ยืดตัวขึ้นแล้วเดินมาที่ประตู สบตากับแม่นมทั้งสองคนก็เดินผ่านไปทันที
ทั้งคู่จึงรีบเดินเข้ามาไปในห้อง ถามไถ่หนูพิมพ์ว่าเกิดอะไรขึ้น พอได้คำตอบก็มองหน้ากันอย่างสุดงง แต่พิมพ์ลดาไม่ได้สนใจ พอได้ยินเสียงเจ้าพยัตร้องก็รู้ว่านายเพลิงพิโรธไปจากเรือนแล้ว ก็เดินออกมาจากห้อง สองนมเดินตามหลังมาอย่างหวั่นใจพร้อมกับบอกว่า
“ป๊ะเพลิงไม่ชอบคนขัดคำสั่ง ถ้าจับได้แล้วละก้อเรื่องใหญ่แน่ๆ นมว่าหนูพิมพ์กลับเข้าไปอยู่ในห้องเถอะ”
“พิมพ์ไม่ได้เป็นอะไรนะคะ ทำไมต้องบังคับให้อยู่แต่ในห้องด้วย”
“ป๊ะเพลิงคงมีเหตุผล หนูพิมพ์ทำตามที่เธอบอกเถอะ”
“เหตุผลของเขาก็มีอย่างเดียว ก็คือการทรมานพิมพ์ ไม่ใช่ทางกายก็ขอให้เป็นทางใจ ให้อกแตกตายอยู่ในห้องนั้น” เธอบอกเพราะสิ่งเขาทำกับเธอมาทั้งหมด เธอคิดเป็นอื่นไปไม่ได้จริงๆ
“นมว่าคงไม่ใช่อย่างนั้นหรอก”
“แล้วอย่างไหนละคะ ทำไมพิมพ์ถามแล้วไม่ยอมบอก”
“ก็ยอมตามใจเธอไม่ได้เหรอคะ”
พิมพ์ลดาหันมาสบตากับทั้งสองนม แล้วบอกว่า “ขอบคุณนะคะที่ห่วงพิมพ์ แต่คงไม่อะไรจะร้ายแรงกว่าที่พิมพ์เคยเจอมาแล้วหรอกค่ะ” พูดจบเธอก็เดินไปที่ห้องครัว ทำหน้าที่ของตัวเองอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง แม่นมสองคนได้แต่ส่ายหน้าและหวั่นใจไปพร้อมกัน
เพลิงขี่เจ้าพยัตขึ้นมาบนหน้าผาสูง กวาดตามองไปรอบหุบเขาพญาที่ปกครองอยู่ แต่ดูเหมือนจะมีภาพของเธอแทรกขึ้นมาด้วย ความอวดดี เย่อหยิ่ง ยิ่งใบหน้าที่เชิดขึ้นกับแววตาที่ไม่เคยท้อถอยต่อสิ่งใดนั้นดูจะมีอิทธิพลกับใจเขาไม่น้อย มุมปากของเขายกขึ้นคล้ายจะพึงพอใจ แล้วหายไปเมื่อมีเสียงดังขึ้นข้างหลัง
เขาไม่ได้หันไปมอง ก็รู้ว่าคนที่ขึ้นมาหาเขาถึงบนนี้ได้มีเพียงหินคนเดียวเท่านั้น กระทั่งเขามายืนอยู่ข้างๆก็ถามขึ้นทันที “มีอะไร”
“พญาอินทรีไม่บอกอะไรเหรอ”
เพลิงมองเจ้าอินทรีที่บินวนอยู่ แววตาเขาก็กระด้างขึ้น “พวกมันไม่หลาบจำซินะ”
“จะให้จัดการยังไง จับเข้าคุกขังลืมเดือนลืมตะวันไปเหมือนเดิม หรือเผาให้สิ้นซาก”
“เสียเวลาเปล่า เมื่อเด็ดหัวไอ้ตัวบงการไม่ได้ จัดการพวกมันไปก็แค่นั้น แต่ถ้าไม่ทำอะไรพวกมันก็จะหยามใจไม่หลาบจำ จะเข้ามาอีกไม่รู้จบสิ้น”
“ใช่ แล้วคิดว่ามันเป็นพวกไหน”
“นายก็รู้อยู่แล้วว่ามีพวกเดียวเท่านั้นที่เห็นโล่งศพแล้วยังไม่หลั่งน้ำตา”
“นายอธิป”
มุมปากของเพลิงเหยียดเยาะขึ้นเพียงนิด ก็บอกว่า “แผนที่ๆมันได้ไปยังมีหลายจุดที่ยังไม่ได้ขุด ก็เข้ามาขุดอีก”
“แต่ขุดให้ตายก็ไม่มี”
“ใช่ แต่ปล่อยให้พวกมันขุดไปแล้วใช้แผนเดิมตลบหลัง ถ้าสำเร็จนายอาจจะไม่ต้องไปจากหุบเขาพญาก็ได้”
แววตาของหินกร้าวขึ้นเมื่อรู้ว่าจะต้องทำยังไง แล้วขี่ม้าลงจากหน้าผาเพื่อไปเตรียมคนส่วนเพลิงก็ขี่กลับเรือนเชิงผา ด้วยความชำนาญในพื้นที่ไม่นานก็มาถึง เขาเดินไปที่ห้องนอนเปิดประตูเข้าไปเจอแต่ความว่างเปล่า ก็รู้ว่าเธออวดดีกับเขาอีกแล้ว ร่างสูงหมุนตัวเดินออกมาจากห้องทันที เสียงฝีเท้าที่แว่วมาให้ได้ยินทำให้นมสดกับนมสุกที่นั่งเด็ดพริกอยู่ รีบหันไปเรียกหญิงสาวที่ยืนล้างมืออยู่ด้วยความหวั่นใจ
“หนูพิมพ์”
พิมพ์ลดาหันมามองแต่ไม่ทันแล้ว เมื่อเพลิงเดินเหมือนพายุเข้ามาคว้าข้อมือเธอ ลากไปที่ห้องนอน สองนมรีบเดินตามมา แต่ต้องหยุดนิ่งเมื่อประตูห้องปิดใส่หน้าดัง...ปัง
เพลิงลากร่างอรชรมาที่เตียงนอน จับมือเธอไว้ด้วยมือเดียวอีกมือก็ดึงผ้าแพรมาจะมัดมือเธอ แต่เธอบิดมือหนีด้วยความตกใจ และรู้ว่าที่เขาจะลงโทษเธอเพราะโกรธเรื่องอะไร “ไม่นะ คุณจะทำกับฉันยังนี้ไม่ได้นะ” เธอว่าพลางดิ้นหนีสุดฤทธิ์
“ทำไมฉันจะทำไม่ได้ในเมื่อเธอขัดคำสั่งฉัน”
“คำสั่งที่ไม่มีเหตุผลฉันไม่ฟัง”
“แต่ฉันเป็นนายของที่นี่ ทุกคำพูดของฉันทุกคนจะต้องฟัง”
เสียงเพลิงเข้มพร้อมกับรวบมือเธอมามัด แต่ดูจะไม่ง่ายเมื่อเธอยังดิ้นอย่างไม่ยอม ทั้งคู่ปลุกปล้ำกันอยู่บนเตียงแต่สตรีหรือจะสู้บุรุษได้สุดท้ายก็ถูกเขามัดมือมัดไว้กับเสาเตียงได้สำเร็จ เธอหันมามองเขาอย่างสุดโกรธ แต่เขากลับมองเธอนิ่งๆ และถามด้วยเสียงที่ทำให้เธอหวั่นขึ้นมา
“ทำไมถึงดื้อนัก หรืออยากจะลอง”
เธอกะพริบตาอย่างไม่แน่ใจในคำที่ได้ยิน แล้วเปิดตากว้างเมื่อนึกถึงคำพูดเขาที่ขู่ไว้ว่า ‘ฉันจะทับให้ลุกไม่ขึ้นเลย’ “ไม่นะ” เสียงเธอดังขึ้นพร้อมหันหน้าหนีแต่ไม่ทันแล้วเมื่อริมฝีปากเขาแนบลงมาขยี้เรียวปากอิ่ม จนเผยอขึ้นให้เขาล่วงล้ำไปสัมผัสความอ่อนนุ่มที่เจือด้วยความหวานภายใน เธอเบี่ยงหน้าหนีพลางผลักไสแต่มือที่ถูกมัดไว้ทำได้เพียงยันอกเขาไว้เท่านั้น
เพลิงปัดมือเธอออกแล้วโอบกระชับจนร่างอรชรเข้ามาอยู่ในอ้อมกอด พร้อมจูบที่เรียกร้องขึ้นตามอารมณ์และความหอมหวานที่ได้สัมผัสเหมือนไม่เคยได้เจอทั้งๆที่เธอเป็นของเขาจนต้องแต่งงานมาแล้ว พิมพ์ลดาก็มึนงงไปกับจูบที่เกือบจะเรียกได้ว่าเป็นจูบแรกในชีวิต เพราะอีกภาคหนึ่งก่อนจะจบชีวิตลงนั้น เธอยังไม่มีคนรักหรือความสัมพันธ์กับใครแบบนี้มาก่อน ครั้งก่อนๆที่เขาจูบเธอก็เป็นการลงทัณฑ์ที่มีแต่ความชิงชัง แต่ครั้งนี้เธอรู้สึกถึงอารมณ์ชนิดหนึ่งที่ดึงดูดให้เธอตอบสนองโดยไม่รู้ตัว
จูบที่ไม่ประสาเงอะๆงะๆนั้นสร้างทั้งความแปลกใจและพอใจให้เพลิงไปพร้อมๆกัน ครั้งแรกที่ได้จูบเธอตอนที่ฟื้นขึ้นมาจากความตาย เขาคิดว่าเป็นมารยาแต่ครั้งนี้ใจเขาบอกว่าไม่ใช่ เธอจูบไม่เป็น จูบของเขาจึงอ่อนโยน นุ่มนวลชวนให้วาบหวามคล้อยตาม กระทั่งลมหายใจแทบจะหมดก็ถอนริมฝีปากมาจูบไปทั่วใบหน้า เรื่อยมาถึงซอกคอที่หอมกรุ่นพร้อมฝ่ามือที่ลูบไล้ร่างกายเธอ ก่อนจะมาหยุดที่กระดุมเสื้อ
ปลายนิ้วเขาแกะกระดุมออกจดหมดแถวตามด้วยตะขอบราเมื่อเสน่หากำลังครอบคลุมสติ กลิ่นกายสาวยั่วยวนให้เขาอยากสัมผัส ขณะริมฝีปากก็เลื่อนขึ้นไปจูบเรียวปากอิ่มที่เผยอขึ้นคล้ายเชิญชวนอีกครั้ง ซึ่งก็ยังหวานให้เขาลิ้มลองไม่รู้เบื่อ และหยุดมองใบหน้างามเมื่อฝ่ามือเขาสัมผัสกับความนุ่มของทรวงสาว
อาการหยุดนิ่งเรียกสติของพิมพ์ลดาให้กลับมาขณะที่เพลิงหลุบตามองความงดงามเต่งตึงยิ่งกว่าดอกไม้แรกผลิบาน ล่อแมลงให้มาติดกับเช่นเดียวกับเขาที่ไม่อาจจะหยุดแค่มอง ใบหน้าคมก้มลงมาแต่ไม่อาจครอบครองเมื่อเธอเอาแขนทั้งสองข้างมาปิดไว้ รอยยิ้มผุดขึ้นที่มุมปากเขาแล้วจับมือเธอไปตรึงไว้เหนือหัวพร้อมๆสบตาที่มองอยู่อย่างหวั่นไหว
“อย่านะ”
เสียงห้ามนั้นสั่นแต่ห้ามเพลิงไม่ได้ ริมฝีปากเขาแตะต้องสัมผัสยอดทรวงราวกับภมรหยอกเย้าดอกไม้งาม ร่างอรชรสะท้านขึ้นเหมือนจะจับไข้ ไม่หน้างามส่ายอย่างไม่ยอมแต่ร่างกายเธอกลับเสนอ แผ่นหลังแอ่นโค้งขึ้นยามเขาจูบราวจะกลืนกินและบิดเร้าโดยไม่รู้ว่าไปกระตุ้นอารมณ์เขาแค่ไหน เพลิงจูบลูบไล้ไล่วนซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนทรวงงามระเรื่อแดงยิ่งกว่าลูกตำลึงสุก
“สวย”
เสียงเขาชื่นชมและเชยชมไม่ยอมห่าง มือหนึ่งนวดคลึง มือหนึ่งลูบไล้สะโพกกลมมน แล้วเลื่อนมาที่หน้าท้องแบนราบ ปลายนิ้วสอดเข้าใต้ขอบกางเกงให้เธอวาบหวามยิ่งขึ้น พิมพ์ลดาแทบจะละลายอยู่ใต้ริมฝีปากเขา เธอเม้มริมฝีปากเพื่อเรียกสติให้ขัดขืนแต่เป็นไปได้อยากเหลือเกินเมื่อร่างกายเธอเหมือนจะชอบสัมผัสของเขา ยิ่งเขาจูบ ยอดทรวงก็สั่นระริกเหมือนต้องลมหนาว และอบอุ่นซ่านยามเขาดูดดื่ม เพลิงเพลินไปกับความนุ่มหยุ่นของทรวงสาว แล้วจูบเรื่อยมาถึงหน้าท้องนวลเนียนและอยากสัมผัสแทนปลายนิ้วที่กำลังปลุกอารมณ์ของเธอและอยาก...
ความรู้สึกนี้หยุดยั้งการกระทำของเขา เมื่อความจริงที่อยู่ในใจคือเขาเกลียดเธอ จึงลุกขึ้นเดินผลุนผลันออกไปจากห้อง เสียงปิดประตูดังปัง พังกำแพงสวาทที่ครอบงำพิมพ์ลดาให้หายไป และนิ่งงันไปกับทุกอย่างที่เกิดขึ้นมาก่อนน้ำตาจะเอ่อซึมเพราะเกลียดตัวเองที่ปล่อยตัวให้เขาทั้งที่เกลียดกัน
ขณะที่ด้านนอกแม่นมทั้งสองคนก็ระรัวเสียงใส่เพลิง “ป๊ะเพลิงทำอะไรหนูพิมพ์ แล้วเธออยู่ไหน” นมสดถามพลางชะเง้อมองเข้าไปในห้อง
“ปล่อยเธอออกมาเถอะ เธอไม่ได้ทำอะไรเลยนะ” นมสุกช่วยพูดอีกแรง แต่ดูจะเหนื่อยเปล่าเมื่อเพลิงไม่สนใจจะฟัง และก่อนจะลงไปจากเรือนก็สั่งว่า
“อย่าเข้าไปยุ่ง ถ้าใครไม่ฟัง ก็เห็นจะอยู่ด้วยกันไม่ได้”
แม่นมทั้งสองคนถึงกับหน้าเสียแล้วมองตามหลังร่างสูงที่เดินลงจากเรือนไปจนลับตา ก็หันมามองประตูห้องที่ปิดสนิท อยากจะเปิดเข้าไปดูใจจะขาด แต่ไม่กล้าขัดคำสั่งป๊ะเพลิง จึงได้แต่มองหน้ากันอย่างไม่รู้จะทำยังไงดี
*********
เพลิงเหวี่ยงตัวขึ้นไปนั่งอยู่บนหลังเจ้าพยัต ขี่มันไปคุกทมิฬพร้อมคำถามว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเขา หรือเพราะเธอเปลี่ยนไปใจเขาจึงเปลี่ยนตาม ถึงได้รู้สึกเสน่หาเธอได้ขนาดนั้น ไม่มีทาง! เขาปฏิเสธใจตัวเอง แล้วทิ้งความรู้สึกทุกอย่างไว้ข้างหลัง กระตุ้นเจ้าพยัตให้เหยียดห้อไปสมทบกับหิน ผู้คุมกฎและคนจากทะเลทราย จากนั้นทั้งหมดก็ควบม้ามุ่งตรงไปจัดการกับแมงเม่าที่บินเข้ามาหากองไฟ เสียงฝีเท้าม้าที่ดังขึ้นทำให้ไอ้ชาติที่กำลังเดินไปที่เรือนเดือนประดับรีบหลบหลังพุ่มไม้ทันที
มันมองตามหลังม้าที่วิ่งไปอย่างสงสัยว่าทั้งหมดไปไหนกัน จะว่ามีใครบุกรุกก็ไม่น่าจะใช่ เพราะงานของท่านจะเริ่มคืนนี้ ใจจริงก็อยากจะตามไปดู แต่ก็ไม่อยากให้ใครสงสัย จึงเลิกสนใจเดินต่อไปจนถึงเรือนของเดือนประดับ ซึ่งเจ้าของเรือนนั่งหน้าบอกบุญไม่รับอยู่ที่เก้าอี้มุมระเบียง สายตาเหลือบมามองมันเพียงนิด ก็เมินเฉยเหมือนมันไร้ตัวตน จึงต้องเดินไปนั่งตรงหน้าให้เธอสนใจ
“อากาศดีๆอย่างนี้เธอน่าจะอารมณ์ดีนะ”
“ถ้าไม่มีอะไรดีๆมาพูด ก็ไปให้พ้นหน้า”
“มีซิ ฉันมาหาเธอทั้งที จะไม่มีเรื่องดีๆได้ยังไง”
คำพูดของมันทำให้เดือนประดับหันมาสนใจทันที “อย่าดีแต่ปากแล้วกัน”
ไอ้ชาติยิ้มอย่างไม่ถือสา แล้วบอกว่า “ฉันมีคำแนะนำดีๆ ที่จะทำให้เธอเอาคืนศัตรูหัวใจเธอได้เจ็บแสบ หรืออาจจะมากกว่านั้นก็แล้วแต่เธอจะจัดการ”
“ยังไง”
“ท่านที่ฉันไปคุยมาเมตตาเธอมานิดหน่อย ส่งข่าวมาให้รู้ว่าพ่อของนายหญิงอยากจะเข้ามาที่นี่”
“นายอธิปนั่นเหรอ”
“ใช่ ที่นี้เธอก็ลองคิดดูว่าจะทำอะไรกับการมาของเขาในครั้งนี้ได้บ้าง”
เดือนประดับนิ่งคิดเพียงอึดใจ แววตาก็วาวขึ้นอย่างมีเลศนัย “แล้วแกละทำอะไรได้บ้าง”
“ฉันต้องทำอยู่แล้ว แต่อยากให้เธอช่วยด้วยนิดหน่อย”
“อะไร”
“ก็ไม่มีอะไร แค่อยากให้เธอคิดถึงท่านให้มากๆ คิดถึงข้อเสนอที่ท่านยื่นมาโดยที่เธอยังไม่ตกลงก็เริ่มที่จะช่วยเธอแล้ว เท่านั้นเอง”
“ไม่ต้องห่วงหรอก ถึงเวลาฉันอาจจะตอบแทนท่านขึ้นมาก็ได้”
“แล้วฉันละ” ไอ้ชาติยื่นหน้าไปถามใกล้ๆแก้ม เดือนประดับรู้ว่ามันต้องการอะไร ก็ยิ้มหวานตอบแทนที่มันทำให้เธออารมณ์ดี
“ฉันให้อยู่แล้ว” ว่าพลางยกมือขึ้นลูบแก้มมัน ไอ้ชาติจึงจับมือมาจูบแล้วดึงตัวเธอให้ลุกขึ้น แต่เดือนประดับขืนตัวไว้อย่างรู้ว่ามันต้องการอะไร พร้อมกับบอกว่า “อย่าเพิ่งซิ กลางวันแสกๆรุ่มร่ามมากๆ ใครเห็นเข้าจะเข้าตาจนเอาโดยไม่รู้ตัว รอให้ทุกอย่างเป็นใจ แล้วเตียงของฉันจะเป็นของแกเอง”
“งั้นคืนนี้”
“หลังจากฉันได้เหยียบนังพิมพ์ลดาดีกว่า”
“ก็ได้ แต่อย่าปล่อยให้อารมณ์ฉันค้างบ่อยๆแล้วกัน เพราะมันจะทำให้ฉันอารมณ์เสีย แล้วอะไรๆที่รู้ที่เห็นที่จะทำมันจะหายไปด้วย”
เดือนประดับหน้ายิ้มเหมือนไม่ได้รู้สึกอะไรกับคำขู่ แต่ในใจสุดเคืองที่มันได้คืบจะเอาศอก จึงต้องปากหวานก้นเปรี้ยวเพื่อเก็บมันไว้ค่อยเป็นมือเป็นตีนให้ต่อไป ยื่นหน้าไปจูบปลอบใจมันแล้วคลอเคลียด้วยยิ้มหวานๆให้เห็นว่ามันมีความสำคัญกับเธอแค่ไหน ไอ้ชาติเหยียดหยันอย่างรู้ทันแต่เมื่อมันได้เปรียบยังได้กับได้จะเล่นตัวไปทำมัน จึงยกมือขึ้นโอบกอดอ่อนโอนให้เธอตายใจดีกว่าจะแข็งขืนให้แผนเสีย
ทั้งคู่ต่างรู้ความต้องการของตัวเอง แต่ไม่มีใครรู้อนาคตว่าจะเกิดอะไรขึ้นสักคน!
**********
ม้าหลายตัวที่วิ่งตามกันตามบนเส้นทางขรุขระผ่านป่าไม้ที่รกชัฏจนมาหยุดยืนนิ่งอยู่บนโขดหินสูง สายตาของคนที่นั่งอยู่บนหลังมัน มองต่ำลงไปดูพวกแมงเม่าที่กำลังเป็นแมวขโมย ขุดหาสมบัติของคนอื่น สองคนอยู่ห่างออกไปคอยดูต้นทาง อีกสี่คนกระจายกันขุด ลักษณะที่พวกมันขุดแต่ละหลุมนั้นบอกได้ว่ามาจากแผนที่ๆขโมยไป
แววตาของนายแห่งหุบเขาเหี้ยมขึ้นยิ่งกว่าใคร แล้วลงจากหลังม้า ยืนกอดอกมองพวกมันอยู่อย่างนั้น คนอื่นๆที่ตามมาก็เช่นกัน ไม่มีใครพูดอะไรนอกจากรอฟังคำสั่งของป๊ะเพลิง ส่วนไอ้พวกที่ขุดก็ตั้งหน้าตั้งตาทำเพื่อแลกกับผลตอบแทนที่ได้จากนายแล้ว ถ้าเจอของที่ขุดก็จะได้ส่วนแบ่งด้วย จึงทำโดยไม่คิดว่ามันจะผิดหรือถูก จะเป็นหรือตาย ขอให้ได้เงินอย่างที่อยากได้ก็พอ แต่ยิ่งขุดก็ยิ่งเหนื่อยเปล่า เพราะไม่เจอน้ำมัน เจอแต่ดินกับหินเท่านั้น
“ทำไมไม่เจอวะ” เสียงสบถออกมาจากหนึ่งในสี่ “ขุดจนหลุมกว้างแทบจะฝั่งตัวเองได้แล้วก็ยังไม่เจอ มันอะไรกันวะ” อีกสามคนก็มีอาการไม่ต่างจากมัน
“หรือว่ามันจะไม่มี” อีกหนึ่งถามออกมา
“แต่นายบอกว่ามี และที่ๆเราขุดก็ตรงตามแผนที่ๆนายให้มา” คนที่เป็นเหมือนหัวหน้าบอก “อย่าช้าขุดต่อ ตรงนี้ไม่มีก็ไปขุดตรงอื่นต่อ ถ้าเจอพวกเราก็จะรวยกันไม่รู้เรื่องเลย”
เมื่อพูดถึงความรวย ทุกคนก็ร่วมแรงร่วมใจกันขุดต่อไป โดยไม่รู้เลยว่าเส้นชีวิตมันเบาบางจนเกือบจะขาดอยู่แล้ว
เพลิงยกมือขึ้นส่งสัญญาณให้คนจากทะเลทราย ซึ่งอยู่ในชุดดำ ไปจัดการกับไอ้คนดูต้นทาง ส่วนที่เหลือหินกับสองผู้คุมกฎแค่ไอ้สี่คนนั้นคงไม่คณามือ ทั้งหมดเอาผ้ามาปิดหน้าให้เห็นแต่ดวงตา แล้วลงมือตามคำสั่งนายแห่งหุบเขาทันที เคลื่อนไหวด้วยความชำนาญไปหาพวกมันอย่างเงียบๆ
สองคนต้นทางถูกฟาดด้วยสันมือให้ร่วงทั้งยืน อีกสี่คนที่ก้มหน้าก้มตาขุดหยุดชะงักเมื่อเห็นเท้าคนมายืนตรงปากหลุม ต่างพากันเงยหน้าขึ้นมอง แล้วหน้าซีดเมื่อรู้ชะตาตัวเอง รีบตะเกียกตะกายขึ้นมาแต่ถูกฟาดลงไปอยู่ก้นหลุมเช่นเดิม แต่ลมหายใจยังไม่สิ้นมันก็ดิ้นขึ้นมาใหม่ และสู้เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่มีอาวุธอะไร แต่ฝีมือมวยวัดหรือจะสู้คนที่ถูกฝึกมา จึงโดยซัดจนหมอบ แล้วกระชากคอโยนมากองรวมกัน
สีหน้าแต่ละคนเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น ถึงกระนั้นก็ยังมองหาทางสู้และหนี แต่ดูจะไม่มีทางเอาเสียเลย เมื่อมีพวกมันโผล่มาสมทบอีก
“ฉันรู้ว่าพวกแกบุกรุกเข้าหาขุดหาอะไร แต่ยังไม่รู้ใช่ไหมว่าขุดลงไปแล้วจะเจออะไร ฉันจะทำให้แกดู”
สิ้นเสียงพูดหนึ่งในผู้คุมกฎก็ลากคอมันคนหนึ่งไปโยนลงในหลุม แล้วเขี่ยดินลงไปกลบ “ยะ อย่า” เสียงร้องบอกอย่างหวาดกลัวและโหยหวนขึ้นเรื่อยๆเมื่อดินถูกเขี่ยลงไปมากขึ้น อีกสามคนที่เหลือจึงเหมือนกับเห็นมัจจุราชมายืนอยู่ตรงหน้า แต่พวกมันยังไม่อยากตายก็ฮึดขึ้นสู้
อาวุธที่มีกับมือและตีนประสานกัน แต่ถูกโต้กลับจนเลือดกลบหน้ากลบตา ไอ้คนที่เป็นเหมือนหัวหน้าใช้เล่ห์เหลี่ยมกำดินขึ้นซัดใส่หน้าคู่ต่อสู้แล้ววิ่งหนีเอาตัวรอด คนจากทะเลทรายจะตามแต่หินยกมือขึ้นห้ามไว้ แล้วตวัดสายตาไปมองเพลิงเพียงแวบเดียว ก็ออกตามล่าตัวมัน ส่วนไอ้สองคนที่เหลือก็ถูกซัดจนหมดสติ อีกคนที่อยู่ในหลุมก็ถูกดึงขึ้นมาลากกลับไปคุกทมิฬ
ไอ้คนที่รอดวิ่งกระเสือกกระสนล้มลุกคลุกคลานผ่านความรกชัฏของป่า หิน แม้จะเหนื่อยจนลิ้นแทบห้อยแต่มันก็ยังหนี เพราะตราบใดที่ยังไม่พ้นไปจากหุบเขาพญา มันก็อาจจะจบชีวิตลงได้ทุกเมื่อ มันหนี หนี โดยไม่รู้ว่าที่หนีรอดมาได้นั้นไม่ใช่เพราะความฉลาดของมันแต่เป็นเพราะมันถูกใช้เป็นสะพานเพื่อนำไปสู่คนที่บงการมัน
ฟ้าที่สว่างเริ่มครึ้มด้วยเมฆฝนก้อนดำๆลอยต่ำลงมาให้รู้ว่าอีกไม่นานน้ำฝนก็โปรยลงมาให้ความชื่นฉ่ำ สายลมพัดมาพร้อมเสียงฟ้าคำรามดังขึ้นติดๆ นมสดกับนมสุกเข้ามาอยู่ในห้องครัว ทำอาหารไปพลางชะเง้อคอมองไปที่ด้านหน้าเรือน หวังจะเห็นนายแห่งหุบเขากลับมาแต่ก็ยังไม่เห็นสักที เสียงถอนหายใจจึงดังออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ครั้งนี้มีเสียงบ่นของนมสุกดังขึ้นมาด้วย
“นี่ป๊ะเพลิงกะจะขังหนูพิมพ์ไว้ถึงเมื่อไรกันหึนางสด”
“ข้าว่าเอ็งเลิกพูดเลิกถามในสิ่งที่ข้าก็ตอบเอ็งไม่ได้สักทีเถอะ เปลืองน้ำลายเปล่าๆ”
“งั้นเอ็งก็ไปพาหนูพิมพ์ออกมาซิ ป่านนี้จะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้ คงหิวไส้กิ่วแล้วมั่ง”
“รอให้คนที่ทำมาแก้ไขเองเถอะ ข้าขี้เกียจจะยุ่งแล้ว”
“แล้วเอ็งไม่กลัวว่าหนูพิมพ์จะเป็นอะไรไปอีกเหรอ”
เจอคำถามนี้เข้าไป ใจที่ข่มไว้ให้เย็นไว้ของนมสดเริ่มร้อนขึ้นมา วางทัพพีในมือแล้วเดินออกไปจากห้องครัวทันที นมสุกลุกขึ้นตามพร้อมถาม “เอ็งจะไปไหน”
ไม่มีเสียงตอบนอกจากเดินจนมาถึงบันไดที่จะขึ้นไปบนเรือน เสียงม้าก็ร้องดังมาให้ได้ยิน ทั้งคู่มองตรงไปก็เห็นเจ้าพยัตพานายแห่งหุบเขามาหยุดอยู่ตรงหน้าเรือน ก็ยืนมองจนกระทั่งเพลิงลงมาจากหลังมัน นมสดจึงหมุนตัวจะเดินกลับไปที่ห้องครัว แต่นมสุกจับแขนไว้เสียก่อน “เอ็งจะไปไหนอีก”
“เขาบอกไม่ให้ยุ่ง ข้าก็จะกลับไปอยู่ในที่ๆควรอยู่ไง” พูดจบก็ดึงแขนออกแล้วเดินกลับไปที่ห้องครัว นมสุกเดินตามไปจึงได้รู้ว่าที่เป็นเช่นนี้เพราะนมสดยังเคืองป๊ะเพลิงที่ขังหญิงสาวไว้นั่นเอง
ขณะที่บนเรือนภายในห้องนอนเสียงฟ้าที่คำรามขึ้น ปลุกให้พิมพ์ลดาตื่นขึ้นมาอย่างแรกที่ทำก็คือยกมือที่ถูกมัดขึ้นมามองอย่างไม่ชอบใจ ก่อนจะหลับไปเธอก็พยายามจะแกะออกแต่แกะยังไงก็ไม่ออก จะร้องขอให้แม่นมสองคนมาช่วยก็กลัวจะทำให้เดือดร้อน จึงได้แต่โกรธคนทำที่เกลียดชังเธอ
จนป่านนี้แล้วเธอยังไม่รู้ว่าถูกเขาเกลียดเขาแค้นเธอด้วยเรื่องอะไร แม่นมทั้งสองคนที่จะบอกเธอก็ยังไม่มีโอกาสได้ถาม แล้วจะยันตัวลุกขึ้นนั่ง แต่เสียงเปิดประตูเข้ามาทำให้ปิดตาลงเหมือนยังหลับอยู่ เพราะรู้ว่าคนที่เข้ามานั่นคือคนที่เกลียดเธอจึงไม่อยากจะเห็นหน้า
เพลิงก้าวเท้าเข้ามาในห้องขณะที่สายตาก็มองไปที่เตียงนอน สาวเท้าไปยืนมองร่างอรชรที่นอนนิ่งอยู่บนเตียง ความรู้สึกที่เขาทิ้งไปก่อนไปคุกทมิฬหวนกลับมา ความหอมหวานที่ได้สัมผัสกับตัวตนที่เปลี่ยนไปของเธอ เริ่มมีอิทธิพลกับใจเขา พลางพิจารณาใบหน้างามที่เอียงข้างแนบกับหมอน ดวงตาปิดสนิทเห็นขนตางามงอน แต่น่าเสียดายที่แก้มนุ่มถูกบดบังด้วยเส้นผม ร่างสูงจึงทรุดตัวลงนั่งบนที่นอน ใช้ปลายนิ้วปัดเส้นออกจนพ้นแก้มก็ลูบเล่น ความเนียนนุ่มกับความหอมหวานที่ได้รับก่อนหน้านี้เหมือนมนต์ดลใจให้เขาก้มหน้าลงไปหา ลมหายใจที่เป่ารดรินแก้มทำให้คนที่แสร้งหลับต้องลืมตาขึ้นมามอง
พิมพ์ลดาแทบจะทำหน้าไม่ถูกกับความใกล้ชิด ขณะที่แก้มก็ค่อยๆแดงขึ้น จึงรีบกลบเกลื่อนด้วยการลุกขึ้นถอยห่าง แต่ดูจะทุลักทุเลเมื่อมือยังถูกมัดไว้ พลางดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมตัวเพราะกลัวว่าเขาจะทำอะไรอีก ที่สำคัญเพราะมือที่ถูกมัดทำให้เธอติดแค่กระดุมเสื้อยังไม่ได้ติดตะขอบรา
เพลิงมองนิ่งๆแต่คิดว่าถ้าเป็นเมื่อก่อนเธอจะไม่มีท่าทีแบบนี้เด็ดขาด ต้องยิ้มหวานเข้ามาพะเน้าพะนอยั่วยวนเขาเพิ่มขึ้น และคิดหรือว่าถ้าเขาจะทำไอ้ผ้าห่มแค่นี้จะกันอะไรเขาได้ แล้วดึงมือมาจะแก้มัดให้แต่พิมพ์ลดาไม่รู้คิดว่าเขาจะมิดีมิร้ายอีก จึงขืนตัวไว้พลางดึงมือกลับก็ถูกเขากระชากจนตัวมานั่งอยู่บนตัก เธอดิ้นอย่างตกใจ เพลิงก็กอดเธอไว้ให้ดิ้นและนั้นทำให้เขารู้สึกถึงความนุ่มหยุ่นของทรวงสาว แววตาจึงเหมือนจะยิ้มโดยไม่รู้ตัว
“ไม่เข็ดใช่ไหม”
เสียงขู่นั้นหยุดเธอไว้ทันควันและมองหน้าคมอย่างไม่พอใจทั้งที่ใจก็หวั่นว่าเขาจะรู้ แล้วต้องเปิดตากว้างเมื่อเขาสอดมือเข้าใต้เสื้อจึงปัดมือเขาออกพร้อมห้ามอย่างตื่นตระหนก
“อย่านะ”
“คิดว่าฉันจะทำอะไร” เขาถามทั้งที่รู้ว่าเธอกำลังกลัวอะไร อีกมือก็จับมือเธอไว้พร้อมมองใบหน้างามที่แดงระเรื่อขึ้น “ว่าไง” เสียงถามต่อพลางไล้ฐานบราแต่ปลายนิ้วไปแตะแผ่วฐานทรวงเธอ และถามออกมาอีกครั้งแต่เธอยังไม่ตอบ “จะบอกหรือเปล่า”
“ฉัน ฉัน” เสียงหวานดังตะกุกตะกักเพราะสุดหวั่น แล้วรีบตอบเมื่อปลายนิ้วเขาเลื่อนขึ้นเกือบจะแตะยอดทรวง “ไม่รู้”
“งั้นพิสูจน์”
“รู้ รู้แล้ว” เธอรีบบอกทั้งที่กลัวและหลบตาที่มองอยู่เป็นพัลวัน
“ว่า”
“จู จูบ”
สิ้นเสียงหวานริมฝีปากเขาก็แนบลงมาจูบเรียวปากเธอหยอกเย้าให้หวั่นหวามแล้วถอยออกมา มองหน้าเธอที่แดงยิ่งกว่าแดง พิมพ์ลดาก็มองหน้าเขาแต่มองเพราะไม่เข้าใจว่าทำไมเขาอ่อนโยนลงมา และทั้งๆที่เขาถามเสียงนิ่งๆ และทำเหมือนไร้ความรู้สึก แต่ทำไมเธอรู้สึกหวั่นไหวเหลือเกิน และสุดอายเมื่อเขาวาดปลายนิ้วไปด้านหลังติดตะขอบราให้ เรียบร้อยแล้วก็แก้ผ้าออกจากข้อมือแต่ยังไม่ปล่อย เพลิงมองมือที่ไม่ต้องไปโดนน้ำหรือหยิบจับอะไรแผลก็เริ่มดีขึ้นที่ข้อเท้าก็เช่นกัน เมื่อไม่ได้เดินร่างกายได้พักผ่อนเพียงพอเธอก็คงมีแรงมาอวดดีกับเขาอีก
พิมพ์ลดาหลุบตามองมือตัวเองที่ยังถูกเขาจับไว้ และเหมือนจะเริ่มเข้าใจว่าที่เขาทำเพราะอะไร แต่การทำดีเพียงครั้งเดียวไม่สามารถชดใช้ความร้ายกาจที่เขาทำกับเธอไว้หลายครั้งได้ ยิ่งสีหน้าที่ยังเคร่งขรึมบอกให้เธออย่าคิดว่าเขาจะทำเพราะสงสาร จึงดึงมือออกแล้วลุกขึ้นเดินเข้าห้องน้ำ ไปยืนอยู่หน้ากระจกมองแก้มตัวเองที่ยังแดงจัดอยู่ ก็บอกให้รู้ว่าความคิดกับหัวใจเธอกำลังสวนทางกัน
ริมฝีปากอิ่มเม้มเข้าหากันอย่างไม่พอใจใจตัวเอง แล้วปัดทุกอย่างทิ้งไป ดูแลหน้าตาตัวเองเรียบร้อยแล้วก็เดินออกมาจากห้องน้ำ ปรายตามองร่างสูงที่ยืนกอดอกอยู่ พอเขาหันมามองก็ถามทันที “ฉันออกไปได้หรือยัง”
“ได้ แต่จะจำที่ฉันบอกหรือเปล่า”
“ค่ะ” เธอรับปากพลางคิดถึงคำพูดเขาแล้วจะเดินออกไปแต่เพลิงเดินมาหาเสียก่อน เขาจับมือเธอพาเดินออกมาจากห้องทันที
********
นมสดกับนมสุกที่นั่งอยู่ในห้องครัว ถึงกับหันมามองหน้ากันเมื่อเห็นป๊ะเพลิงจับมือหนูพิมพ์ของพวกนางเข้ามา แล้วทิ้งเธอไว้ก่อนจะเดินออกไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ ทั้งสองคนลุกขึ้นไปดึงตัวเธอมายืนกลางห้อง จับมือดูแขนก่อนจะหมุนตัวดูซ้ายดูขวาไปทั่วตัวเธอแต่ไม่เห็นร่องรอยใดๆก็ถามออกมา
“ป๊ะเพลิงทำอะไรหนูพิมพ์”
“ไม่ได้ทำอะไรค่ะ”
“ไม่จริง นมไม่เชื่อเด็ดขาด หัวเด็ดตีนขาดยังไงก็ไม่เชื่อ” นมสดบอกเพราะรู้ดีว่าชายหนุ่มเกลียดหญิงสาวและเธอขัดคำสั่งเขา เรื่องจะไม่ทำอะไรนั้นไม่มีทาง “บอกนมมาว่าป๊ะเพลิงทำอะไร”
เสียงคาดคั้นอย่างไม่ยอมนั้นทำให้พิมพ์ลดารู้ว่าเลี่ยงไม่ได้แล้ว จึงบอกว่า “เขา แค่มัดมือพิมพ์ไว้เท่านั้นเองค่ะ”
“มัดมือ” เสียงสองนมประสานออกมา สีหน้านั้นทั้งตกใจและสงสัย “ทำไมต้องมัดด้วยคะ” ถามพลางจับมือเธอขึ้นมาดู เห็นรอยแดงจางๆที่ข้อมือก็รู้ว่าเธอพูดจริง แต่คงไม่เจ็บเพราะไม่มีการช้ำใดๆ
“ก็พิมพ์ดื้อไม่ฟังคำสั่งเขา ก็เลยถูกเขาลงโทษไงค่ะ”
“เรื่องนั้นนะนมพอจะรู้ แต่น่าจะมีเหตุผลอื่นด้วย”
“ไม่มีหรอกค่ะ หรือถ้ามีก็เหตุผลเดิมๆ เขาเกลียดพิมพ์ ความทุกข์ของพิมพ์คือความสุขของเขา” เธอบอกทั้งตัวเองและสองนม แต่ดูเหมือนทั้งคู่จะเริ่มคิดต่าง
“แต่ที่นมเห็นเมื่อกี้มันเริ่มจะขัดแย้งกันแล้วน่า เพราะทุกทีป๊ะเพลิงจะกระชากลากหนูพิมพ์มา ไม่ใช่จับมือมาแบบเมื่อกี้ มีอะไรมากกว่าที่นมเห็นหรือเปล่า” นมสุกตั้งขอสังเกตขึ้นมา “หรือว่าน้ำหยดลงหิน หินมันเริ่มจะกร่อนแล้ววะนางสด”
“ไม่รู้เว้ย”
“เอ๊ย เอ็งต้องรู้ซิว่ะ ก็ข้าเพิ่งพูดกับเอ็งไป” ทั้งคู่คุยกันโดยไม่เห็นว่าแก้มของพิมพ์ลดาเริ่มแดงขึ้นมา แล้วเดินไปนั่งทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้อยู่บนเก้าอี้
“ว่าแต่ทำไมป๊ะเพลิงปล่อยหนูพิมพ์ออกมาง่ายจัง” ถามแล้วทั้งคู่ก็จองหน้าเธออย่างจับผิด จึงต้องข่มความรู้สึกต่างๆไว้ แล้วตอบเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นว่า
“พิมพ์รับปากว่าจะไม่ดื้อกับเขา ก็เลยพามาให้แม่นมคุมอย่างที่เห็นนั่นแหละค่ะ”
สองนมพากันยิ้มพลางมองหน้าจนเธอทำหน้าไม่ถูก แล้วลุกไปหยิบปิ่นโตมาตักกับข้าวใส่ ทั้งสองนมก็ไม่พูดอะไรให้เธอรู้สึกอึดอัดอีก แต่จะคอยดูว่าความน่ารักของเธอจะชนะใจป๊ะเพลิงได้หรือเปล่า
***********
ขอบคุณที่ติดตามผลงานค่ะ
เช้าวันรุ่งขึ้นเพลิงก็พาเมียมายาขึ้นหลังเจ้าพยัต บังคับมันให้เหยาะย่างมาที่เรือนเชิงผา ระหว่างทางผ่านพงพนาเสียงสกุนาขับขานรับแสงอรุณที่แหวกม่านเมฆาขึ้นมาให้ได้ยล พิมพ์ลดายิ้มรับด้วยความสดใส โดยไม่รู้ว่ารอยยิ้มของเธอยังอยู่ในสายตาของเพลิง เธอมองดอกไม้ที่แซมขึ้นมากลางพงไพรไปเรื่อยๆ แล้วรอยยิ้มก็ค่อยๆหายไปเมื่อหันมาเจอกับสายตาเขา จึงหลบมองไปข้างหน้าแต่ใจกลับคิดไปถึงเมื่อตอนที่ตื่นขึ้นมา แล้วพบว่าตัวเองนอนแนบชิดอยู่ข้างตัวเขา
คำถามเกิดขึ้นทันทีว่าเธอมานอนอยู่ข้างเขาได้ยังไง พอขยับตัวลงขึ้นเขาก็ลืมตาขึ้น เธอไม่ถามเขาไม่พูดนอกจากลุกขึ้นมาล้างหน้าล้างตาแล้วทำหน้าที่ตัวเองเก็บมุ้งเก็บที่นอน แต่ทุกอย่างกลับเก้ๆกังๆ เพราะมือที่เจ็บระบมมากขึ้น แล้วออกมาขึ้นม้ามากับเขา เจ้าพยัตพาทั้งคู่มาถึงเรือน แม่นมสองคนที่ตื่นมารออยู่แล้ว ส่งยิ้มให้พร้อมกับเดินลงบันไดไปรับ ขณะที่เพลิงก็พาเธอลงมาจากหลังม้า จับแขนพาเดินผ่านแม่นมทั้งสองคนขึ้นมาบนเรือน ตรงไปยังห้องนอน
นมสดกับนมสุกมองหน้ากันอย่างสุดงง แล้วหน้าตาตื่นเมื่อคิดตรงกันว่าป๊ะเพลิงจะทำอะไรหนูพิมพ์ที่รักอีก จึง กระวีกระวาดพาหุ่นท้วมๆขึ้นบันไดตามไปจะถามให้รู้เรื่อง แต่ไม่กล้าเข้าไปในห้อง ชะเง้อมองอยู่แค่หน้าห้องเท่านั้น ขณะที่ในห้องเพลิงให้พิมพ์ลดานั่งบนเตียงพร้อมกับบอกว่า
“อยู่ในห้องนี้ห้ามออกไปไหนหรือทำอะไร”
“ทำไม” เธอถามอย่างงงๆ แต่เพลิงไม่มีคำตอบให้ ก็ลุกขึ้นอย่างไม่ยอม เขาก็กดตัวให้นั่งลงที่เดิมเธอก็จะลุกอีก แต่...
“ถ้าลุกขึ้นมาอีกครั้ง ฉันจะทับให้ลุกไม่ขึ้นเลย”
แก้มของพิมพ์ลดาเห่อแดงขึ้นมา เมื่อคำพูดเขาคิดเป็นอื่นไกลไม่ได้เลยนอกจากเขาจะสนิทเสน่หาเธอ จึงต้องนิ่งแต่ยังมีเสียงขัดใจออกมา “เผด็จการ”
“หรือจะลอง” เขาถามพลางก้มหน้าลงมาจนปลายจมูกแทบจะชิดแก้มนุ่ม เธอจึงไม่กล้ากระดิกอีก แม้แต่ลมหายใจก็แทบจะไม่ปล่อยออกมา “ไม่เก่งแล้วเหรอ” เสียงเขาเยาะออกมาเหมือนจะท้าทาย เมื่อเห็นเธอนิ่งไม่อวดดีอีก ก็ยืดตัวขึ้นแล้วเดินมาที่ประตู สบตากับแม่นมทั้งสองคนก็เดินผ่านไปทันที
ทั้งคู่จึงรีบเดินเข้ามาไปในห้อง ถามไถ่หนูพิมพ์ว่าเกิดอะไรขึ้น พอได้คำตอบก็มองหน้ากันอย่างสุดงง แต่พิมพ์ลดาไม่ได้สนใจ พอได้ยินเสียงเจ้าพยัตร้องก็รู้ว่านายเพลิงพิโรธไปจากเรือนแล้ว ก็เดินออกมาจากห้อง สองนมเดินตามหลังมาอย่างหวั่นใจพร้อมกับบอกว่า
“ป๊ะเพลิงไม่ชอบคนขัดคำสั่ง ถ้าจับได้แล้วละก้อเรื่องใหญ่แน่ๆ นมว่าหนูพิมพ์กลับเข้าไปอยู่ในห้องเถอะ”
“พิมพ์ไม่ได้เป็นอะไรนะคะ ทำไมต้องบังคับให้อยู่แต่ในห้องด้วย”
“ป๊ะเพลิงคงมีเหตุผล หนูพิมพ์ทำตามที่เธอบอกเถอะ”
“เหตุผลของเขาก็มีอย่างเดียว ก็คือการทรมานพิมพ์ ไม่ใช่ทางกายก็ขอให้เป็นทางใจ ให้อกแตกตายอยู่ในห้องนั้น” เธอบอกเพราะสิ่งเขาทำกับเธอมาทั้งหมด เธอคิดเป็นอื่นไปไม่ได้จริงๆ
“นมว่าคงไม่ใช่อย่างนั้นหรอก”
“แล้วอย่างไหนละคะ ทำไมพิมพ์ถามแล้วไม่ยอมบอก”
“ก็ยอมตามใจเธอไม่ได้เหรอคะ”
พิมพ์ลดาหันมาสบตากับทั้งสองนม แล้วบอกว่า “ขอบคุณนะคะที่ห่วงพิมพ์ แต่คงไม่อะไรจะร้ายแรงกว่าที่พิมพ์เคยเจอมาแล้วหรอกค่ะ” พูดจบเธอก็เดินไปที่ห้องครัว ทำหน้าที่ของตัวเองอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง แม่นมสองคนได้แต่ส่ายหน้าและหวั่นใจไปพร้อมกัน
เพลิงขี่เจ้าพยัตขึ้นมาบนหน้าผาสูง กวาดตามองไปรอบหุบเขาพญาที่ปกครองอยู่ แต่ดูเหมือนจะมีภาพของเธอแทรกขึ้นมาด้วย ความอวดดี เย่อหยิ่ง ยิ่งใบหน้าที่เชิดขึ้นกับแววตาที่ไม่เคยท้อถอยต่อสิ่งใดนั้นดูจะมีอิทธิพลกับใจเขาไม่น้อย มุมปากของเขายกขึ้นคล้ายจะพึงพอใจ แล้วหายไปเมื่อมีเสียงดังขึ้นข้างหลัง
เขาไม่ได้หันไปมอง ก็รู้ว่าคนที่ขึ้นมาหาเขาถึงบนนี้ได้มีเพียงหินคนเดียวเท่านั้น กระทั่งเขามายืนอยู่ข้างๆก็ถามขึ้นทันที “มีอะไร”
“พญาอินทรีไม่บอกอะไรเหรอ”
เพลิงมองเจ้าอินทรีที่บินวนอยู่ แววตาเขาก็กระด้างขึ้น “พวกมันไม่หลาบจำซินะ”
“จะให้จัดการยังไง จับเข้าคุกขังลืมเดือนลืมตะวันไปเหมือนเดิม หรือเผาให้สิ้นซาก”
“เสียเวลาเปล่า เมื่อเด็ดหัวไอ้ตัวบงการไม่ได้ จัดการพวกมันไปก็แค่นั้น แต่ถ้าไม่ทำอะไรพวกมันก็จะหยามใจไม่หลาบจำ จะเข้ามาอีกไม่รู้จบสิ้น”
“ใช่ แล้วคิดว่ามันเป็นพวกไหน”
“นายก็รู้อยู่แล้วว่ามีพวกเดียวเท่านั้นที่เห็นโล่งศพแล้วยังไม่หลั่งน้ำตา”
“นายอธิป”
มุมปากของเพลิงเหยียดเยาะขึ้นเพียงนิด ก็บอกว่า “แผนที่ๆมันได้ไปยังมีหลายจุดที่ยังไม่ได้ขุด ก็เข้ามาขุดอีก”
“แต่ขุดให้ตายก็ไม่มี”
“ใช่ แต่ปล่อยให้พวกมันขุดไปแล้วใช้แผนเดิมตลบหลัง ถ้าสำเร็จนายอาจจะไม่ต้องไปจากหุบเขาพญาก็ได้”
แววตาของหินกร้าวขึ้นเมื่อรู้ว่าจะต้องทำยังไง แล้วขี่ม้าลงจากหน้าผาเพื่อไปเตรียมคนส่วนเพลิงก็ขี่กลับเรือนเชิงผา ด้วยความชำนาญในพื้นที่ไม่นานก็มาถึง เขาเดินไปที่ห้องนอนเปิดประตูเข้าไปเจอแต่ความว่างเปล่า ก็รู้ว่าเธออวดดีกับเขาอีกแล้ว ร่างสูงหมุนตัวเดินออกมาจากห้องทันที เสียงฝีเท้าที่แว่วมาให้ได้ยินทำให้นมสดกับนมสุกที่นั่งเด็ดพริกอยู่ รีบหันไปเรียกหญิงสาวที่ยืนล้างมืออยู่ด้วยความหวั่นใจ
“หนูพิมพ์”
พิมพ์ลดาหันมามองแต่ไม่ทันแล้ว เมื่อเพลิงเดินเหมือนพายุเข้ามาคว้าข้อมือเธอ ลากไปที่ห้องนอน สองนมรีบเดินตามมา แต่ต้องหยุดนิ่งเมื่อประตูห้องปิดใส่หน้าดัง...ปัง
เพลิงลากร่างอรชรมาที่เตียงนอน จับมือเธอไว้ด้วยมือเดียวอีกมือก็ดึงผ้าแพรมาจะมัดมือเธอ แต่เธอบิดมือหนีด้วยความตกใจ และรู้ว่าที่เขาจะลงโทษเธอเพราะโกรธเรื่องอะไร “ไม่นะ คุณจะทำกับฉันยังนี้ไม่ได้นะ” เธอว่าพลางดิ้นหนีสุดฤทธิ์
“ทำไมฉันจะทำไม่ได้ในเมื่อเธอขัดคำสั่งฉัน”
“คำสั่งที่ไม่มีเหตุผลฉันไม่ฟัง”
“แต่ฉันเป็นนายของที่นี่ ทุกคำพูดของฉันทุกคนจะต้องฟัง”
เสียงเพลิงเข้มพร้อมกับรวบมือเธอมามัด แต่ดูจะไม่ง่ายเมื่อเธอยังดิ้นอย่างไม่ยอม ทั้งคู่ปลุกปล้ำกันอยู่บนเตียงแต่สตรีหรือจะสู้บุรุษได้สุดท้ายก็ถูกเขามัดมือมัดไว้กับเสาเตียงได้สำเร็จ เธอหันมามองเขาอย่างสุดโกรธ แต่เขากลับมองเธอนิ่งๆ และถามด้วยเสียงที่ทำให้เธอหวั่นขึ้นมา
“ทำไมถึงดื้อนัก หรืออยากจะลอง”
เธอกะพริบตาอย่างไม่แน่ใจในคำที่ได้ยิน แล้วเปิดตากว้างเมื่อนึกถึงคำพูดเขาที่ขู่ไว้ว่า ‘ฉันจะทับให้ลุกไม่ขึ้นเลย’ “ไม่นะ” เสียงเธอดังขึ้นพร้อมหันหน้าหนีแต่ไม่ทันแล้วเมื่อริมฝีปากเขาแนบลงมาขยี้เรียวปากอิ่ม จนเผยอขึ้นให้เขาล่วงล้ำไปสัมผัสความอ่อนนุ่มที่เจือด้วยความหวานภายใน เธอเบี่ยงหน้าหนีพลางผลักไสแต่มือที่ถูกมัดไว้ทำได้เพียงยันอกเขาไว้เท่านั้น
เพลิงปัดมือเธอออกแล้วโอบกระชับจนร่างอรชรเข้ามาอยู่ในอ้อมกอด พร้อมจูบที่เรียกร้องขึ้นตามอารมณ์และความหอมหวานที่ได้สัมผัสเหมือนไม่เคยได้เจอทั้งๆที่เธอเป็นของเขาจนต้องแต่งงานมาแล้ว พิมพ์ลดาก็มึนงงไปกับจูบที่เกือบจะเรียกได้ว่าเป็นจูบแรกในชีวิต เพราะอีกภาคหนึ่งก่อนจะจบชีวิตลงนั้น เธอยังไม่มีคนรักหรือความสัมพันธ์กับใครแบบนี้มาก่อน ครั้งก่อนๆที่เขาจูบเธอก็เป็นการลงทัณฑ์ที่มีแต่ความชิงชัง แต่ครั้งนี้เธอรู้สึกถึงอารมณ์ชนิดหนึ่งที่ดึงดูดให้เธอตอบสนองโดยไม่รู้ตัว
จูบที่ไม่ประสาเงอะๆงะๆนั้นสร้างทั้งความแปลกใจและพอใจให้เพลิงไปพร้อมๆกัน ครั้งแรกที่ได้จูบเธอตอนที่ฟื้นขึ้นมาจากความตาย เขาคิดว่าเป็นมารยาแต่ครั้งนี้ใจเขาบอกว่าไม่ใช่ เธอจูบไม่เป็น จูบของเขาจึงอ่อนโยน นุ่มนวลชวนให้วาบหวามคล้อยตาม กระทั่งลมหายใจแทบจะหมดก็ถอนริมฝีปากมาจูบไปทั่วใบหน้า เรื่อยมาถึงซอกคอที่หอมกรุ่นพร้อมฝ่ามือที่ลูบไล้ร่างกายเธอ ก่อนจะมาหยุดที่กระดุมเสื้อ
ปลายนิ้วเขาแกะกระดุมออกจดหมดแถวตามด้วยตะขอบราเมื่อเสน่หากำลังครอบคลุมสติ กลิ่นกายสาวยั่วยวนให้เขาอยากสัมผัส ขณะริมฝีปากก็เลื่อนขึ้นไปจูบเรียวปากอิ่มที่เผยอขึ้นคล้ายเชิญชวนอีกครั้ง ซึ่งก็ยังหวานให้เขาลิ้มลองไม่รู้เบื่อ และหยุดมองใบหน้างามเมื่อฝ่ามือเขาสัมผัสกับความนุ่มของทรวงสาว
อาการหยุดนิ่งเรียกสติของพิมพ์ลดาให้กลับมาขณะที่เพลิงหลุบตามองความงดงามเต่งตึงยิ่งกว่าดอกไม้แรกผลิบาน ล่อแมลงให้มาติดกับเช่นเดียวกับเขาที่ไม่อาจจะหยุดแค่มอง ใบหน้าคมก้มลงมาแต่ไม่อาจครอบครองเมื่อเธอเอาแขนทั้งสองข้างมาปิดไว้ รอยยิ้มผุดขึ้นที่มุมปากเขาแล้วจับมือเธอไปตรึงไว้เหนือหัวพร้อมๆสบตาที่มองอยู่อย่างหวั่นไหว
“อย่านะ”
เสียงห้ามนั้นสั่นแต่ห้ามเพลิงไม่ได้ ริมฝีปากเขาแตะต้องสัมผัสยอดทรวงราวกับภมรหยอกเย้าดอกไม้งาม ร่างอรชรสะท้านขึ้นเหมือนจะจับไข้ ไม่หน้างามส่ายอย่างไม่ยอมแต่ร่างกายเธอกลับเสนอ แผ่นหลังแอ่นโค้งขึ้นยามเขาจูบราวจะกลืนกินและบิดเร้าโดยไม่รู้ว่าไปกระตุ้นอารมณ์เขาแค่ไหน เพลิงจูบลูบไล้ไล่วนซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนทรวงงามระเรื่อแดงยิ่งกว่าลูกตำลึงสุก
“สวย”
เสียงเขาชื่นชมและเชยชมไม่ยอมห่าง มือหนึ่งนวดคลึง มือหนึ่งลูบไล้สะโพกกลมมน แล้วเลื่อนมาที่หน้าท้องแบนราบ ปลายนิ้วสอดเข้าใต้ขอบกางเกงให้เธอวาบหวามยิ่งขึ้น พิมพ์ลดาแทบจะละลายอยู่ใต้ริมฝีปากเขา เธอเม้มริมฝีปากเพื่อเรียกสติให้ขัดขืนแต่เป็นไปได้อยากเหลือเกินเมื่อร่างกายเธอเหมือนจะชอบสัมผัสของเขา ยิ่งเขาจูบ ยอดทรวงก็สั่นระริกเหมือนต้องลมหนาว และอบอุ่นซ่านยามเขาดูดดื่ม เพลิงเพลินไปกับความนุ่มหยุ่นของทรวงสาว แล้วจูบเรื่อยมาถึงหน้าท้องนวลเนียนและอยากสัมผัสแทนปลายนิ้วที่กำลังปลุกอารมณ์ของเธอและอยาก...
ความรู้สึกนี้หยุดยั้งการกระทำของเขา เมื่อความจริงที่อยู่ในใจคือเขาเกลียดเธอ จึงลุกขึ้นเดินผลุนผลันออกไปจากห้อง เสียงปิดประตูดังปัง พังกำแพงสวาทที่ครอบงำพิมพ์ลดาให้หายไป และนิ่งงันไปกับทุกอย่างที่เกิดขึ้นมาก่อนน้ำตาจะเอ่อซึมเพราะเกลียดตัวเองที่ปล่อยตัวให้เขาทั้งที่เกลียดกัน
ขณะที่ด้านนอกแม่นมทั้งสองคนก็ระรัวเสียงใส่เพลิง “ป๊ะเพลิงทำอะไรหนูพิมพ์ แล้วเธออยู่ไหน” นมสดถามพลางชะเง้อมองเข้าไปในห้อง
“ปล่อยเธอออกมาเถอะ เธอไม่ได้ทำอะไรเลยนะ” นมสุกช่วยพูดอีกแรง แต่ดูจะเหนื่อยเปล่าเมื่อเพลิงไม่สนใจจะฟัง และก่อนจะลงไปจากเรือนก็สั่งว่า
“อย่าเข้าไปยุ่ง ถ้าใครไม่ฟัง ก็เห็นจะอยู่ด้วยกันไม่ได้”
แม่นมทั้งสองคนถึงกับหน้าเสียแล้วมองตามหลังร่างสูงที่เดินลงจากเรือนไปจนลับตา ก็หันมามองประตูห้องที่ปิดสนิท อยากจะเปิดเข้าไปดูใจจะขาด แต่ไม่กล้าขัดคำสั่งป๊ะเพลิง จึงได้แต่มองหน้ากันอย่างไม่รู้จะทำยังไงดี
*********
เพลิงเหวี่ยงตัวขึ้นไปนั่งอยู่บนหลังเจ้าพยัต ขี่มันไปคุกทมิฬพร้อมคำถามว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเขา หรือเพราะเธอเปลี่ยนไปใจเขาจึงเปลี่ยนตาม ถึงได้รู้สึกเสน่หาเธอได้ขนาดนั้น ไม่มีทาง! เขาปฏิเสธใจตัวเอง แล้วทิ้งความรู้สึกทุกอย่างไว้ข้างหลัง กระตุ้นเจ้าพยัตให้เหยียดห้อไปสมทบกับหิน ผู้คุมกฎและคนจากทะเลทราย จากนั้นทั้งหมดก็ควบม้ามุ่งตรงไปจัดการกับแมงเม่าที่บินเข้ามาหากองไฟ เสียงฝีเท้าม้าที่ดังขึ้นทำให้ไอ้ชาติที่กำลังเดินไปที่เรือนเดือนประดับรีบหลบหลังพุ่มไม้ทันที
มันมองตามหลังม้าที่วิ่งไปอย่างสงสัยว่าทั้งหมดไปไหนกัน จะว่ามีใครบุกรุกก็ไม่น่าจะใช่ เพราะงานของท่านจะเริ่มคืนนี้ ใจจริงก็อยากจะตามไปดู แต่ก็ไม่อยากให้ใครสงสัย จึงเลิกสนใจเดินต่อไปจนถึงเรือนของเดือนประดับ ซึ่งเจ้าของเรือนนั่งหน้าบอกบุญไม่รับอยู่ที่เก้าอี้มุมระเบียง สายตาเหลือบมามองมันเพียงนิด ก็เมินเฉยเหมือนมันไร้ตัวตน จึงต้องเดินไปนั่งตรงหน้าให้เธอสนใจ
“อากาศดีๆอย่างนี้เธอน่าจะอารมณ์ดีนะ”
“ถ้าไม่มีอะไรดีๆมาพูด ก็ไปให้พ้นหน้า”
“มีซิ ฉันมาหาเธอทั้งที จะไม่มีเรื่องดีๆได้ยังไง”
คำพูดของมันทำให้เดือนประดับหันมาสนใจทันที “อย่าดีแต่ปากแล้วกัน”
ไอ้ชาติยิ้มอย่างไม่ถือสา แล้วบอกว่า “ฉันมีคำแนะนำดีๆ ที่จะทำให้เธอเอาคืนศัตรูหัวใจเธอได้เจ็บแสบ หรืออาจจะมากกว่านั้นก็แล้วแต่เธอจะจัดการ”
“ยังไง”
“ท่านที่ฉันไปคุยมาเมตตาเธอมานิดหน่อย ส่งข่าวมาให้รู้ว่าพ่อของนายหญิงอยากจะเข้ามาที่นี่”
“นายอธิปนั่นเหรอ”
“ใช่ ที่นี้เธอก็ลองคิดดูว่าจะทำอะไรกับการมาของเขาในครั้งนี้ได้บ้าง”
เดือนประดับนิ่งคิดเพียงอึดใจ แววตาก็วาวขึ้นอย่างมีเลศนัย “แล้วแกละทำอะไรได้บ้าง”
“ฉันต้องทำอยู่แล้ว แต่อยากให้เธอช่วยด้วยนิดหน่อย”
“อะไร”
“ก็ไม่มีอะไร แค่อยากให้เธอคิดถึงท่านให้มากๆ คิดถึงข้อเสนอที่ท่านยื่นมาโดยที่เธอยังไม่ตกลงก็เริ่มที่จะช่วยเธอแล้ว เท่านั้นเอง”
“ไม่ต้องห่วงหรอก ถึงเวลาฉันอาจจะตอบแทนท่านขึ้นมาก็ได้”
“แล้วฉันละ” ไอ้ชาติยื่นหน้าไปถามใกล้ๆแก้ม เดือนประดับรู้ว่ามันต้องการอะไร ก็ยิ้มหวานตอบแทนที่มันทำให้เธออารมณ์ดี
“ฉันให้อยู่แล้ว” ว่าพลางยกมือขึ้นลูบแก้มมัน ไอ้ชาติจึงจับมือมาจูบแล้วดึงตัวเธอให้ลุกขึ้น แต่เดือนประดับขืนตัวไว้อย่างรู้ว่ามันต้องการอะไร พร้อมกับบอกว่า “อย่าเพิ่งซิ กลางวันแสกๆรุ่มร่ามมากๆ ใครเห็นเข้าจะเข้าตาจนเอาโดยไม่รู้ตัว รอให้ทุกอย่างเป็นใจ แล้วเตียงของฉันจะเป็นของแกเอง”
“งั้นคืนนี้”
“หลังจากฉันได้เหยียบนังพิมพ์ลดาดีกว่า”
“ก็ได้ แต่อย่าปล่อยให้อารมณ์ฉันค้างบ่อยๆแล้วกัน เพราะมันจะทำให้ฉันอารมณ์เสีย แล้วอะไรๆที่รู้ที่เห็นที่จะทำมันจะหายไปด้วย”
เดือนประดับหน้ายิ้มเหมือนไม่ได้รู้สึกอะไรกับคำขู่ แต่ในใจสุดเคืองที่มันได้คืบจะเอาศอก จึงต้องปากหวานก้นเปรี้ยวเพื่อเก็บมันไว้ค่อยเป็นมือเป็นตีนให้ต่อไป ยื่นหน้าไปจูบปลอบใจมันแล้วคลอเคลียด้วยยิ้มหวานๆให้เห็นว่ามันมีความสำคัญกับเธอแค่ไหน ไอ้ชาติเหยียดหยันอย่างรู้ทันแต่เมื่อมันได้เปรียบยังได้กับได้จะเล่นตัวไปทำมัน จึงยกมือขึ้นโอบกอดอ่อนโอนให้เธอตายใจดีกว่าจะแข็งขืนให้แผนเสีย
ทั้งคู่ต่างรู้ความต้องการของตัวเอง แต่ไม่มีใครรู้อนาคตว่าจะเกิดอะไรขึ้นสักคน!
**********
ม้าหลายตัวที่วิ่งตามกันตามบนเส้นทางขรุขระผ่านป่าไม้ที่รกชัฏจนมาหยุดยืนนิ่งอยู่บนโขดหินสูง สายตาของคนที่นั่งอยู่บนหลังมัน มองต่ำลงไปดูพวกแมงเม่าที่กำลังเป็นแมวขโมย ขุดหาสมบัติของคนอื่น สองคนอยู่ห่างออกไปคอยดูต้นทาง อีกสี่คนกระจายกันขุด ลักษณะที่พวกมันขุดแต่ละหลุมนั้นบอกได้ว่ามาจากแผนที่ๆขโมยไป
แววตาของนายแห่งหุบเขาเหี้ยมขึ้นยิ่งกว่าใคร แล้วลงจากหลังม้า ยืนกอดอกมองพวกมันอยู่อย่างนั้น คนอื่นๆที่ตามมาก็เช่นกัน ไม่มีใครพูดอะไรนอกจากรอฟังคำสั่งของป๊ะเพลิง ส่วนไอ้พวกที่ขุดก็ตั้งหน้าตั้งตาทำเพื่อแลกกับผลตอบแทนที่ได้จากนายแล้ว ถ้าเจอของที่ขุดก็จะได้ส่วนแบ่งด้วย จึงทำโดยไม่คิดว่ามันจะผิดหรือถูก จะเป็นหรือตาย ขอให้ได้เงินอย่างที่อยากได้ก็พอ แต่ยิ่งขุดก็ยิ่งเหนื่อยเปล่า เพราะไม่เจอน้ำมัน เจอแต่ดินกับหินเท่านั้น
“ทำไมไม่เจอวะ” เสียงสบถออกมาจากหนึ่งในสี่ “ขุดจนหลุมกว้างแทบจะฝั่งตัวเองได้แล้วก็ยังไม่เจอ มันอะไรกันวะ” อีกสามคนก็มีอาการไม่ต่างจากมัน
“หรือว่ามันจะไม่มี” อีกหนึ่งถามออกมา
“แต่นายบอกว่ามี และที่ๆเราขุดก็ตรงตามแผนที่ๆนายให้มา” คนที่เป็นเหมือนหัวหน้าบอก “อย่าช้าขุดต่อ ตรงนี้ไม่มีก็ไปขุดตรงอื่นต่อ ถ้าเจอพวกเราก็จะรวยกันไม่รู้เรื่องเลย”
เมื่อพูดถึงความรวย ทุกคนก็ร่วมแรงร่วมใจกันขุดต่อไป โดยไม่รู้เลยว่าเส้นชีวิตมันเบาบางจนเกือบจะขาดอยู่แล้ว
เพลิงยกมือขึ้นส่งสัญญาณให้คนจากทะเลทราย ซึ่งอยู่ในชุดดำ ไปจัดการกับไอ้คนดูต้นทาง ส่วนที่เหลือหินกับสองผู้คุมกฎแค่ไอ้สี่คนนั้นคงไม่คณามือ ทั้งหมดเอาผ้ามาปิดหน้าให้เห็นแต่ดวงตา แล้วลงมือตามคำสั่งนายแห่งหุบเขาทันที เคลื่อนไหวด้วยความชำนาญไปหาพวกมันอย่างเงียบๆ
สองคนต้นทางถูกฟาดด้วยสันมือให้ร่วงทั้งยืน อีกสี่คนที่ก้มหน้าก้มตาขุดหยุดชะงักเมื่อเห็นเท้าคนมายืนตรงปากหลุม ต่างพากันเงยหน้าขึ้นมอง แล้วหน้าซีดเมื่อรู้ชะตาตัวเอง รีบตะเกียกตะกายขึ้นมาแต่ถูกฟาดลงไปอยู่ก้นหลุมเช่นเดิม แต่ลมหายใจยังไม่สิ้นมันก็ดิ้นขึ้นมาใหม่ และสู้เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่มีอาวุธอะไร แต่ฝีมือมวยวัดหรือจะสู้คนที่ถูกฝึกมา จึงโดยซัดจนหมอบ แล้วกระชากคอโยนมากองรวมกัน
สีหน้าแต่ละคนเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น ถึงกระนั้นก็ยังมองหาทางสู้และหนี แต่ดูจะไม่มีทางเอาเสียเลย เมื่อมีพวกมันโผล่มาสมทบอีก
“ฉันรู้ว่าพวกแกบุกรุกเข้าหาขุดหาอะไร แต่ยังไม่รู้ใช่ไหมว่าขุดลงไปแล้วจะเจออะไร ฉันจะทำให้แกดู”
สิ้นเสียงพูดหนึ่งในผู้คุมกฎก็ลากคอมันคนหนึ่งไปโยนลงในหลุม แล้วเขี่ยดินลงไปกลบ “ยะ อย่า” เสียงร้องบอกอย่างหวาดกลัวและโหยหวนขึ้นเรื่อยๆเมื่อดินถูกเขี่ยลงไปมากขึ้น อีกสามคนที่เหลือจึงเหมือนกับเห็นมัจจุราชมายืนอยู่ตรงหน้า แต่พวกมันยังไม่อยากตายก็ฮึดขึ้นสู้
อาวุธที่มีกับมือและตีนประสานกัน แต่ถูกโต้กลับจนเลือดกลบหน้ากลบตา ไอ้คนที่เป็นเหมือนหัวหน้าใช้เล่ห์เหลี่ยมกำดินขึ้นซัดใส่หน้าคู่ต่อสู้แล้ววิ่งหนีเอาตัวรอด คนจากทะเลทรายจะตามแต่หินยกมือขึ้นห้ามไว้ แล้วตวัดสายตาไปมองเพลิงเพียงแวบเดียว ก็ออกตามล่าตัวมัน ส่วนไอ้สองคนที่เหลือก็ถูกซัดจนหมดสติ อีกคนที่อยู่ในหลุมก็ถูกดึงขึ้นมาลากกลับไปคุกทมิฬ
ไอ้คนที่รอดวิ่งกระเสือกกระสนล้มลุกคลุกคลานผ่านความรกชัฏของป่า หิน แม้จะเหนื่อยจนลิ้นแทบห้อยแต่มันก็ยังหนี เพราะตราบใดที่ยังไม่พ้นไปจากหุบเขาพญา มันก็อาจจะจบชีวิตลงได้ทุกเมื่อ มันหนี หนี โดยไม่รู้ว่าที่หนีรอดมาได้นั้นไม่ใช่เพราะความฉลาดของมันแต่เป็นเพราะมันถูกใช้เป็นสะพานเพื่อนำไปสู่คนที่บงการมัน
ฟ้าที่สว่างเริ่มครึ้มด้วยเมฆฝนก้อนดำๆลอยต่ำลงมาให้รู้ว่าอีกไม่นานน้ำฝนก็โปรยลงมาให้ความชื่นฉ่ำ สายลมพัดมาพร้อมเสียงฟ้าคำรามดังขึ้นติดๆ นมสดกับนมสุกเข้ามาอยู่ในห้องครัว ทำอาหารไปพลางชะเง้อคอมองไปที่ด้านหน้าเรือน หวังจะเห็นนายแห่งหุบเขากลับมาแต่ก็ยังไม่เห็นสักที เสียงถอนหายใจจึงดังออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ครั้งนี้มีเสียงบ่นของนมสุกดังขึ้นมาด้วย
“นี่ป๊ะเพลิงกะจะขังหนูพิมพ์ไว้ถึงเมื่อไรกันหึนางสด”
“ข้าว่าเอ็งเลิกพูดเลิกถามในสิ่งที่ข้าก็ตอบเอ็งไม่ได้สักทีเถอะ เปลืองน้ำลายเปล่าๆ”
“งั้นเอ็งก็ไปพาหนูพิมพ์ออกมาซิ ป่านนี้จะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้ คงหิวไส้กิ่วแล้วมั่ง”
“รอให้คนที่ทำมาแก้ไขเองเถอะ ข้าขี้เกียจจะยุ่งแล้ว”
“แล้วเอ็งไม่กลัวว่าหนูพิมพ์จะเป็นอะไรไปอีกเหรอ”
เจอคำถามนี้เข้าไป ใจที่ข่มไว้ให้เย็นไว้ของนมสดเริ่มร้อนขึ้นมา วางทัพพีในมือแล้วเดินออกไปจากห้องครัวทันที นมสุกลุกขึ้นตามพร้อมถาม “เอ็งจะไปไหน”
ไม่มีเสียงตอบนอกจากเดินจนมาถึงบันไดที่จะขึ้นไปบนเรือน เสียงม้าก็ร้องดังมาให้ได้ยิน ทั้งคู่มองตรงไปก็เห็นเจ้าพยัตพานายแห่งหุบเขามาหยุดอยู่ตรงหน้าเรือน ก็ยืนมองจนกระทั่งเพลิงลงมาจากหลังมัน นมสดจึงหมุนตัวจะเดินกลับไปที่ห้องครัว แต่นมสุกจับแขนไว้เสียก่อน “เอ็งจะไปไหนอีก”
“เขาบอกไม่ให้ยุ่ง ข้าก็จะกลับไปอยู่ในที่ๆควรอยู่ไง” พูดจบก็ดึงแขนออกแล้วเดินกลับไปที่ห้องครัว นมสุกเดินตามไปจึงได้รู้ว่าที่เป็นเช่นนี้เพราะนมสดยังเคืองป๊ะเพลิงที่ขังหญิงสาวไว้นั่นเอง
ขณะที่บนเรือนภายในห้องนอนเสียงฟ้าที่คำรามขึ้น ปลุกให้พิมพ์ลดาตื่นขึ้นมาอย่างแรกที่ทำก็คือยกมือที่ถูกมัดขึ้นมามองอย่างไม่ชอบใจ ก่อนจะหลับไปเธอก็พยายามจะแกะออกแต่แกะยังไงก็ไม่ออก จะร้องขอให้แม่นมสองคนมาช่วยก็กลัวจะทำให้เดือดร้อน จึงได้แต่โกรธคนทำที่เกลียดชังเธอ
จนป่านนี้แล้วเธอยังไม่รู้ว่าถูกเขาเกลียดเขาแค้นเธอด้วยเรื่องอะไร แม่นมทั้งสองคนที่จะบอกเธอก็ยังไม่มีโอกาสได้ถาม แล้วจะยันตัวลุกขึ้นนั่ง แต่เสียงเปิดประตูเข้ามาทำให้ปิดตาลงเหมือนยังหลับอยู่ เพราะรู้ว่าคนที่เข้ามานั่นคือคนที่เกลียดเธอจึงไม่อยากจะเห็นหน้า
เพลิงก้าวเท้าเข้ามาในห้องขณะที่สายตาก็มองไปที่เตียงนอน สาวเท้าไปยืนมองร่างอรชรที่นอนนิ่งอยู่บนเตียง ความรู้สึกที่เขาทิ้งไปก่อนไปคุกทมิฬหวนกลับมา ความหอมหวานที่ได้สัมผัสกับตัวตนที่เปลี่ยนไปของเธอ เริ่มมีอิทธิพลกับใจเขา พลางพิจารณาใบหน้างามที่เอียงข้างแนบกับหมอน ดวงตาปิดสนิทเห็นขนตางามงอน แต่น่าเสียดายที่แก้มนุ่มถูกบดบังด้วยเส้นผม ร่างสูงจึงทรุดตัวลงนั่งบนที่นอน ใช้ปลายนิ้วปัดเส้นออกจนพ้นแก้มก็ลูบเล่น ความเนียนนุ่มกับความหอมหวานที่ได้รับก่อนหน้านี้เหมือนมนต์ดลใจให้เขาก้มหน้าลงไปหา ลมหายใจที่เป่ารดรินแก้มทำให้คนที่แสร้งหลับต้องลืมตาขึ้นมามอง
พิมพ์ลดาแทบจะทำหน้าไม่ถูกกับความใกล้ชิด ขณะที่แก้มก็ค่อยๆแดงขึ้น จึงรีบกลบเกลื่อนด้วยการลุกขึ้นถอยห่าง แต่ดูจะทุลักทุเลเมื่อมือยังถูกมัดไว้ พลางดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมตัวเพราะกลัวว่าเขาจะทำอะไรอีก ที่สำคัญเพราะมือที่ถูกมัดทำให้เธอติดแค่กระดุมเสื้อยังไม่ได้ติดตะขอบรา
เพลิงมองนิ่งๆแต่คิดว่าถ้าเป็นเมื่อก่อนเธอจะไม่มีท่าทีแบบนี้เด็ดขาด ต้องยิ้มหวานเข้ามาพะเน้าพะนอยั่วยวนเขาเพิ่มขึ้น และคิดหรือว่าถ้าเขาจะทำไอ้ผ้าห่มแค่นี้จะกันอะไรเขาได้ แล้วดึงมือมาจะแก้มัดให้แต่พิมพ์ลดาไม่รู้คิดว่าเขาจะมิดีมิร้ายอีก จึงขืนตัวไว้พลางดึงมือกลับก็ถูกเขากระชากจนตัวมานั่งอยู่บนตัก เธอดิ้นอย่างตกใจ เพลิงก็กอดเธอไว้ให้ดิ้นและนั้นทำให้เขารู้สึกถึงความนุ่มหยุ่นของทรวงสาว แววตาจึงเหมือนจะยิ้มโดยไม่รู้ตัว
“ไม่เข็ดใช่ไหม”
เสียงขู่นั้นหยุดเธอไว้ทันควันและมองหน้าคมอย่างไม่พอใจทั้งที่ใจก็หวั่นว่าเขาจะรู้ แล้วต้องเปิดตากว้างเมื่อเขาสอดมือเข้าใต้เสื้อจึงปัดมือเขาออกพร้อมห้ามอย่างตื่นตระหนก
“อย่านะ”
“คิดว่าฉันจะทำอะไร” เขาถามทั้งที่รู้ว่าเธอกำลังกลัวอะไร อีกมือก็จับมือเธอไว้พร้อมมองใบหน้างามที่แดงระเรื่อขึ้น “ว่าไง” เสียงถามต่อพลางไล้ฐานบราแต่ปลายนิ้วไปแตะแผ่วฐานทรวงเธอ และถามออกมาอีกครั้งแต่เธอยังไม่ตอบ “จะบอกหรือเปล่า”
“ฉัน ฉัน” เสียงหวานดังตะกุกตะกักเพราะสุดหวั่น แล้วรีบตอบเมื่อปลายนิ้วเขาเลื่อนขึ้นเกือบจะแตะยอดทรวง “ไม่รู้”
“งั้นพิสูจน์”
“รู้ รู้แล้ว” เธอรีบบอกทั้งที่กลัวและหลบตาที่มองอยู่เป็นพัลวัน
“ว่า”
“จู จูบ”
สิ้นเสียงหวานริมฝีปากเขาก็แนบลงมาจูบเรียวปากเธอหยอกเย้าให้หวั่นหวามแล้วถอยออกมา มองหน้าเธอที่แดงยิ่งกว่าแดง พิมพ์ลดาก็มองหน้าเขาแต่มองเพราะไม่เข้าใจว่าทำไมเขาอ่อนโยนลงมา และทั้งๆที่เขาถามเสียงนิ่งๆ และทำเหมือนไร้ความรู้สึก แต่ทำไมเธอรู้สึกหวั่นไหวเหลือเกิน และสุดอายเมื่อเขาวาดปลายนิ้วไปด้านหลังติดตะขอบราให้ เรียบร้อยแล้วก็แก้ผ้าออกจากข้อมือแต่ยังไม่ปล่อย เพลิงมองมือที่ไม่ต้องไปโดนน้ำหรือหยิบจับอะไรแผลก็เริ่มดีขึ้นที่ข้อเท้าก็เช่นกัน เมื่อไม่ได้เดินร่างกายได้พักผ่อนเพียงพอเธอก็คงมีแรงมาอวดดีกับเขาอีก
พิมพ์ลดาหลุบตามองมือตัวเองที่ยังถูกเขาจับไว้ และเหมือนจะเริ่มเข้าใจว่าที่เขาทำเพราะอะไร แต่การทำดีเพียงครั้งเดียวไม่สามารถชดใช้ความร้ายกาจที่เขาทำกับเธอไว้หลายครั้งได้ ยิ่งสีหน้าที่ยังเคร่งขรึมบอกให้เธออย่าคิดว่าเขาจะทำเพราะสงสาร จึงดึงมือออกแล้วลุกขึ้นเดินเข้าห้องน้ำ ไปยืนอยู่หน้ากระจกมองแก้มตัวเองที่ยังแดงจัดอยู่ ก็บอกให้รู้ว่าความคิดกับหัวใจเธอกำลังสวนทางกัน
ริมฝีปากอิ่มเม้มเข้าหากันอย่างไม่พอใจใจตัวเอง แล้วปัดทุกอย่างทิ้งไป ดูแลหน้าตาตัวเองเรียบร้อยแล้วก็เดินออกมาจากห้องน้ำ ปรายตามองร่างสูงที่ยืนกอดอกอยู่ พอเขาหันมามองก็ถามทันที “ฉันออกไปได้หรือยัง”
“ได้ แต่จะจำที่ฉันบอกหรือเปล่า”
“ค่ะ” เธอรับปากพลางคิดถึงคำพูดเขาแล้วจะเดินออกไปแต่เพลิงเดินมาหาเสียก่อน เขาจับมือเธอพาเดินออกมาจากห้องทันที
********
นมสดกับนมสุกที่นั่งอยู่ในห้องครัว ถึงกับหันมามองหน้ากันเมื่อเห็นป๊ะเพลิงจับมือหนูพิมพ์ของพวกนางเข้ามา แล้วทิ้งเธอไว้ก่อนจะเดินออกไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ ทั้งสองคนลุกขึ้นไปดึงตัวเธอมายืนกลางห้อง จับมือดูแขนก่อนจะหมุนตัวดูซ้ายดูขวาไปทั่วตัวเธอแต่ไม่เห็นร่องรอยใดๆก็ถามออกมา
“ป๊ะเพลิงทำอะไรหนูพิมพ์”
“ไม่ได้ทำอะไรค่ะ”
“ไม่จริง นมไม่เชื่อเด็ดขาด หัวเด็ดตีนขาดยังไงก็ไม่เชื่อ” นมสดบอกเพราะรู้ดีว่าชายหนุ่มเกลียดหญิงสาวและเธอขัดคำสั่งเขา เรื่องจะไม่ทำอะไรนั้นไม่มีทาง “บอกนมมาว่าป๊ะเพลิงทำอะไร”
เสียงคาดคั้นอย่างไม่ยอมนั้นทำให้พิมพ์ลดารู้ว่าเลี่ยงไม่ได้แล้ว จึงบอกว่า “เขา แค่มัดมือพิมพ์ไว้เท่านั้นเองค่ะ”
“มัดมือ” เสียงสองนมประสานออกมา สีหน้านั้นทั้งตกใจและสงสัย “ทำไมต้องมัดด้วยคะ” ถามพลางจับมือเธอขึ้นมาดู เห็นรอยแดงจางๆที่ข้อมือก็รู้ว่าเธอพูดจริง แต่คงไม่เจ็บเพราะไม่มีการช้ำใดๆ
“ก็พิมพ์ดื้อไม่ฟังคำสั่งเขา ก็เลยถูกเขาลงโทษไงค่ะ”
“เรื่องนั้นนะนมพอจะรู้ แต่น่าจะมีเหตุผลอื่นด้วย”
“ไม่มีหรอกค่ะ หรือถ้ามีก็เหตุผลเดิมๆ เขาเกลียดพิมพ์ ความทุกข์ของพิมพ์คือความสุขของเขา” เธอบอกทั้งตัวเองและสองนม แต่ดูเหมือนทั้งคู่จะเริ่มคิดต่าง
“แต่ที่นมเห็นเมื่อกี้มันเริ่มจะขัดแย้งกันแล้วน่า เพราะทุกทีป๊ะเพลิงจะกระชากลากหนูพิมพ์มา ไม่ใช่จับมือมาแบบเมื่อกี้ มีอะไรมากกว่าที่นมเห็นหรือเปล่า” นมสุกตั้งขอสังเกตขึ้นมา “หรือว่าน้ำหยดลงหิน หินมันเริ่มจะกร่อนแล้ววะนางสด”
“ไม่รู้เว้ย”
“เอ๊ย เอ็งต้องรู้ซิว่ะ ก็ข้าเพิ่งพูดกับเอ็งไป” ทั้งคู่คุยกันโดยไม่เห็นว่าแก้มของพิมพ์ลดาเริ่มแดงขึ้นมา แล้วเดินไปนั่งทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้อยู่บนเก้าอี้
“ว่าแต่ทำไมป๊ะเพลิงปล่อยหนูพิมพ์ออกมาง่ายจัง” ถามแล้วทั้งคู่ก็จองหน้าเธออย่างจับผิด จึงต้องข่มความรู้สึกต่างๆไว้ แล้วตอบเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นว่า
“พิมพ์รับปากว่าจะไม่ดื้อกับเขา ก็เลยพามาให้แม่นมคุมอย่างที่เห็นนั่นแหละค่ะ”
สองนมพากันยิ้มพลางมองหน้าจนเธอทำหน้าไม่ถูก แล้วลุกไปหยิบปิ่นโตมาตักกับข้าวใส่ ทั้งสองนมก็ไม่พูดอะไรให้เธอรู้สึกอึดอัดอีก แต่จะคอยดูว่าความน่ารักของเธอจะชนะใจป๊ะเพลิงได้หรือเปล่า
***********
ขอบคุณที่ติดตามผลงานค่ะ
pream
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 28 พ.ค. 2558, 10:24:51 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 28 พ.ค. 2558, 10:24:51 น.
จำนวนการเข้าชม : 3114
<< ตอน 8 | ตอน 10 >> |
แว่นใส 28 พ.ค. 2558, 13:55:41 น.
เกือบไปแล้วไหมล่ะ
เกือบไปแล้วไหมล่ะ
warap 28 พ.ค. 2558, 14:32:26 น.
"ไม่หน้างามส่ายอย่างไม่ยอม" แก้เป็น"ใบหน้างามส่ายอย่างไม่ยอม"
"ไม่หน้างามส่ายอย่างไม่ยอม" แก้เป็น"ใบหน้างามส่ายอย่างไม่ยอม"
konhin 28 พ.ค. 2558, 14:36:00 น.
แหมมมมมมมม น่า ได้เมียใหม่ดีกว่าเก่าด้วยนะ
แหมมมมมมมม น่า ได้เมียใหม่ดีกว่าเก่าด้วยนะ