ความลับ (ที่) ซ่อนเร้น .. หรือจะเป็น ความรัก!(?)
คำถาม .. ที่มีคำตอบ
แต่คำตอบ .. กลับยังคงมากมายด้วยคำถาม

เพราะนิยามในคำหนึ่งคำนั้น
แฝงเร้นซุกซ่อนไว้ซึ่งความลึกลับ
ความซับซ้อนชวนสับสน รอยยิ้มปนเปื้อนคราบน้ำตา
เล่ห์เสน่หาหวานล้ำ และพร้อมจะนำความเจ็บปวดมาให้ .. ได้ทุกเวลา

.. หากว่ามันคือ ความรักที่มากล้น จนกลายเป็น .. ความลับ ! ..
Tags: ความรัก ความลับ

ตอน: บทที่ ๕ .. ห้วงเวลาที่ไม่เคยรู้




คล้อยหลังเภตราไปไม่กี่นาที วิชชุ์วิธูกับตรีวธูก็ก้าวลงจากบันไดบ้าน พร้อมสัมภาระส่วนตัว เด็กหญิงมีกระเป๋าเป้สะพายหลังจับจูงมือใหญ่ซ้ายของคนข้างตัวไว้ ส่วนชายหนุ่มนั้นหิ้วเพียงกระเป๋าหนังสีน้ำตาลไหม้อยู่ในมือข้างที่เหลือ

พฤหัสเห็นทั้งสองคนเดินเข้ามาหาทำให้คิดได้ว่า ตรีวธูถึงเวลาต้องกลับไปอยู่กับปารตีเพราะวันหยุดสุดสัปดาห์หมดลงแล้ว

ชายวัยเกษียณถึงกับทำสีหน้าห่อเหี่ยว เมื่อลูกๆต้องแยกย้ายไปทำหน้าที่ของตน แม้จะเข้าใจแต่ก็อดใจหายไม่ได้จริงๆ ให้อย่างไรเขาก็ไม่ชินเสียทีกับการต้องอยู่บ้านเพียงลำพัง ในขณะที่ ‘คนอื่นๆ’ ยังทำงาน

“จะกลับกันแล้วเหรอ .. ทิ้งพ่อกันหมดเลย”

“ไม่ใช่ค่ะ .. เกรซไม่ได้ทิ้ง .. พรุ่งนี้เกรซต้องไปสอบ เสร็จแล้วจะได้กลับมาอยู่กับคุณพ่อยาวๆเลย ดีมั้ยคะ”

“ไม่ต้องมาปากหวานเลยเจ้าเกรซ .. พ่อไม่ง้อเราแล้ว”

ตรีวธูปล่อยมือวิชชุ์วิธูถลาเข้าไปหาอ้อมกอดของพฤหัส ที่ชายสูงวัยอ้าแขนรอรับการโถมมาทั้งตัวของเด็กหญิง ซึ่งเป็นการกระทำที่แย้งกับคำพูดของ 'คนไม่ง้อ' เสียจนอีกคนที่ยืนมองอมยิ้มในหน้าอยู่คนเดียว

“จริงเหรอคะ .. ไม่ง้อจริงๆนะ”

เด็กหญิงแกล้งถามเสียงยานคางหัวเราะคิกคักกับคนที่กอดเธอไว้ พฤหัสเลิกคิ้วแปลกใจกับรอยยิ้มกริ่มของตรีวธู จนต้องเหลียวไปมองวิชชุ์วิธู ราวกับให้ช่วยหาคำตอบ ซึ่งเอาเข้าจริงชายหนุ่มกลับไม่ช่วยอะไรเลย

“ไปกันเถอะเกรซ .. คุณพ่อไม่ง้อ เราไปหาคุณแม่กันดีกว่า ..”

“เย่ .. ไปหาคุณแม่ .. คุณพ่ออยู่บ้านดีๆ อย่าซนนะคะ แล้วเกรซจะบอกคุณแม่ให้ว่า คุณพ่อน่ารักที่สุดในโลกเลย”

ตรีวธูเจื้อยแจ้วบอกออกไป ไม่ว่าใคร .. ก็เป็น 'ที่สุด' ในโลกของเธอทั้งนั้น .. จนผู้ใหญ่สองพ่อลูกได้แต่อมยิ้ม

พฤหัสกอดรัดเด็กหญิงแน่นๆครั้งหนึ่งแล้วคลาย ก่อนหอมแก้มซ้ายขวากระซิบข้างหูเบาๆว่า

“ฝากบอกแม่ด้วย .. ว่าพ่อคิดถึง”

“แฮ่ม ..”

วิชชุ์วิธูกระแอมเบาๆขันกับคารมบิดา อย่างนี้นี่เล่าไม่ว่าใครที่ได้ใกล้ชิด จึงหลงเสน่ห์พฤหัสจนถอนตัวไม่ขึ้น ก่อนจะสลดลงเล็กน้อยเมื่อสำนึกแห่งความเป็นลูกผุดพรายออกมาว่า ความคิดนี้คงใช้ไม่ได้กับมารดาของเขามานานแล้ว

“ไปกันเถอะเกรซ วันนี้วันอาทิตย์ เพิ่งจะหลังเที่ยงรถคงยังไม่ติดมาก .. ไว้ถึงแล้วผมจะให้เกรซโทร.รายงานพ่อนะครับ”

“คุณพ่อขา เกรซไปก่อนนะคะ .. สวัสดีค่ะ”

เด็กหญิงกล่าวลาพร้อมยกมือไหว้ลาอ่อนช้อย แล้วค่อยเปลี่ยนเป็นกางแขนเรียวเล็กขึ้นเอื้อมไปโอบรัดรอบคอพฤหัส บ่งบอกชัดเจนว่า รักเขามากเพียงใด

“เป็นเด็กดีนะลูก อย่าดื้อกับคุณแม่ .. วิชชุ์ดูเจ้าเกรซดีๆนะ แล้วเรื่องงานอย่าให้รตีเขาเหนื่อยมาก”

“ครับพ่อ ..”

วิชชุ์วิธูรับปากแม้ว่าเขาอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่มันก็กลืนหายไปในลำคอเมื่อเผลอเหลือบสายตาไปยังทิศทางข้างบ้าน

พฤหัสเองก็ทำท่าเหมือนนึกขึ้นมาได้ว่า เมื่อ ๕ นาทีก่อนรับปากอะไรกับเภตราไว้ เขาจึงลุกขึ้นจับจูงตรีวธูก้าวเดินออกมาข้างนอกพร้อมกัน ขณะปากก็เอ่ยถึงเพื่อนบ้านที่วิ่งมาขอความช่วยเหลือ และเห็นว่าพอจะเป็นประโยชน์

“เดี๋ยวพ่อจะออกไปคุยกับสาวๆซะหน่อย อยู่คนเดียวมันก็เหงาพอละ”

ชายหนุ่มถือกุญแจรถชะงักค้างอยู่อย่างนั้นครู่หนึ่ง แต่อึดใจเดียวก็รีบกดปุ่มสัญญาณคลายล็อกอัตโนมัติให้ตรีวธูก้าวขึ้นรถไป ก่อนจะเหลียวมามองหน้าบิดาเป็นเชิงถาม ว่ากำลังพูดถึงอะไร ซึ่งคำตอบก็ทำเอาคนฟังรู้สึกวูบโหวงในอกทันที

“หนูเภามาขอให้ไปสอนเพื่อนเขาหน่อย .. เอ ชื่ออะไรนะ .. อ่อ ใช่ หนูพุด เห็นบอกจะมาช่วยสอนเด็กๆที่โรงเรียนชั่วคราว แต่หนูคนนี้แกไม่รู้ว่าต้องทำยังไง พ่อเลยจะใช้วิชาก้นหีบเอามาเทรนหนูพุดคนนี้ซะหน่อย”

พฤหัสพูดเองก็ขำเองกับประโยคบอกเล่า โดยไม่ได้ผิดสังเกตเลยว่า ชื่อของใครบางคนกำลังก่อให้เกิดความรู้สึกบางอย่างแก่วิชชุ์วิธู

“เขา .. เพื่อนคุณเภาจะมาช่วยได้กี่วันเชียว นี่ก็ใกล้จะปิดเทอมแล้ว”

“ก็น่าจะแค่อาทิตย์เดียว หนูเภาบอกว่า ครูตัวจริงเลื่อนการเดินทาง เลยต้องหาครูจำเป็นมาแก้ขัดก่อน ก็ได้เพื่อนเขานี่ล่ะ .. อุตส่าห์ลางานมาช่วย หนูพุดนี่น่ารักจริงๆ .. แกว่ามั้ย”

ชายหนุ่มได้ฟังดังนั้นก็ยิ่งตอกย้ำถึงเด็กสาวในความทรงจำ หันไปมองตัวบ้านหลังติดกันอีกครั้ง ราวกับจะให้มันทะลุเข้าไปข้างใน ด้วยนัยน์ตาของเขาฉายประกายอ่อนโยน มุมปากยกกดเข้าลึกจนแก้มรั้งด้วยความพอใจ เอ่ยแผ่วเบาอย่างนุ่มนวลชนิดที่คงไม่มีใครได้ยิน

“เขาก็เป็นแบบนี้ล่ะครับ ..”





องก์อัมพุทอ้าปากค้างงันไป เมื่อผู้ชายคนที่ยืนตรงหน้าเธอและเภตรา ไม่ใช่คนที่หลงวิตกกังวลไปคนเดียว แต่เป็นผู้ใหญ่สูงสุดของบ้านหลังนั้น และเธอยังเผลอพึมพำชื่อของอีกฝ่ายออกมา

“คุณลุงพฤหัส ..”

“ใช่แล้ว .. ลุงเอง หนูเภาเขาเล่าเรื่องหนูพุดให้ลุงฟัง ถ้าลุงพอจะช่วยได้ ลุงก็ยินดี .. มา เรามาเริ่มกันเลยมั้ย สาวๆ”

‘ลุงพฤหัส’ ของสาวๆเอ่ยอย่างอารมณ์ดี เดินอาดๆนำเข้าห้องทำงานที่จัดกึ่งๆห้องหนังสือ ไปหยุดตรงโต๊ะขนาดใหญ่ที่มีกองเอกสารวางกระจัดกระจายเต็มพื้นที่

“ทำไมแกไม่บอกฉัน .. ว่าเป็นคุณลุง”

“เอ้า .. รู้จักกันด้วยนี่ ดีเลย จะได้คุยกันง่าย”

องก์อัมพุทเข่นเขี้ยวเพื่อนสาวตัวดี ที่เป็นส่วนหนึ่งให้เธอคิดไปต่างๆนานาแทบจะเป็นลม .. หลังจากงานนี้ เธอคงต้องกลับเช็คความดันและอัตราการเต้นของหัวใจยกใหญ่ .. เพื่อนหนอเพื่อน

ทั้งสองคนกระซิบกระซาบกันได้ไม่ถึงวินาที เสียงทุ้มใจดีที่องก์อัมพุทคล้ายจะคุ้นเคยได้อย่างรวดเร็ว ก็เอ่ยเรียกอีกครั้ง

“ไม่เข้าใจตรงไหน ถามลุงได้นะลูก .. หนูเภาก็ด้วย ถ้าที่โรงเรียนมีปัญหา หรืออยากให้ช่วยอะไรก็บอกลุง ลุงอยู่คนเดียวว่างๆ ยังอยากหาอะไรทำแก้เหงาเหมือนกัน”

หางเสียงของชายวัยเกษียณบอกความคิดและความรู้สึกได้เป็นอย่างดี สองสาวหันมองหน้าสบตากัน และเป็นเภตราที่ถามออกไป

“คุณวิชชุ์กับน้องเกรซกลับแล้วหรือคะ ลุงหัส”

“ยัยเภา ..”

องก์อัมพุทกระซิบเรียกชื่อเชิงปรามว่าไม่ให้ละลาบละล้วง ซึ่งเธอลืมไปว่าทั้ง ‘ลุงหัส’ และ ‘หนูเภา’ อาจจะเป็นเพื่อนบ้านที่สนิทสนมกันมากพอ จึงทำให้เพื่อนกล้าพูดกล้าถามโดยไม่ต้องคำนึงถึงมรรยาทมากมายนัก

“กลับแล้วล่ะ .. ถ้ายังไม่ปิดเทอมก็แบบนี้ แม่เจ้าเกรซมาส่งสุดสัปดาห์ .. พอวันอาทิตย์ เจ้าวิชชุ์ก็พาไปส่งแม่เขา เพราะถึงยังไงมันก็ต้องอยู่ช่วยงานรตีที่สำนักงานขายอยู่ดี”

พฤหัสบอกเล่าด้วยน้ำเสียงติดจะหงอยเหงาอย่างที่พูด หากแต่ก็อาบไปด้วยความรักเอื้ออาทรต่อคนในครอบครอบครัว มิหนำซ้ำยังเอ่ยถึงสตรีที่เป็น ‘คุณแม่ของน้องเกรซ’ อย่างสนิทสนมจนคนฟังอย่างองก์อัมพุทรู้สึกได้

เป็นการได้ฟังข้อมูลส่วนตัวของคนในคำนึงโดยไม่ทันตั้งตัว และคาดไม่ถึง

.. ไม่ ไม่ใช่คนในคำนึงของเธอ แค่เคยต่างหาก .. องก์อัมพุทพยายามเบี่ยงเบนความคิดของตน เมื่อจู่ๆก็ได้รับรู้รับฟังชีวิตของใครคนนั้น ที่คิดอยากรู้มาเนิ่นนานว่าเขาเป็นอย่างไรบ้างในช่วงเวลาที่ไม่ได้พบกัน

แต่แล้วเสียงเล็กๆก็แว่วมา .. ห้วงเวลาที่ไม่เคยรู้ เราจะต้องไปสนใจอยากรู้ให้เจ็บช้ำอีกทำไม ..

หญิงสาวไตร่ตรองในเวลาอันจำกัดว่า มันอาจเสียมรรยาทอย่างไม่ควรทำ ทว่า เธอปฏิเสธไม่ได้ว่า ไม่อยากจะได้ยินชื่อและเรื่องราวที่เกี่ยวกับอาจารย์วิชชุ์วิธู .. รวมทั้งผู้หญิงที่ชื่อ ‘รตี’ อีกแล้ว

“คุณลุงคะ ถ้าอย่านั้น .. พุด เอ่อ หนูคงต้องรบกวนคุณลุงหน่อยนะคะ เพราะเภาบอกว่า คุณลุงมีประสบการณ์ในเรื่องการสอนมาก”

พฤหัสยิ้มแก้มแทบปริกับคำชมพาซื่อขององก์อัมพุท พลางหันไปทางเภตราเพื่อนบ้านต่างวัย ที่ส่งยิ้มเผล่มาให้อย่างรู้กัน

“พวกหนูๆอยากกินอะไร .. บอกลุง อืม .. ว่าไป เย็นนี้เรามาจัดปาร์ตี้กันดีกว่า ถือว่าฉลองที่ลุงได้มารู้จักสาวน่ารักเพิ่มอีกคน”

“ต้องอย่างนี้สิคะ ลุงหัส .. หนูนะจะไปกินข้าวด้วยก็เกรงใจคุณวิชชุ์ .. นี่ถือว่าลุงหัสทำสัญญาแล้วนะคะ”

องก์อัมพุทยืนงงกับการสนทนาของชายสูงวัยและเพื่อนสาวว่า พวกเขาไปตกลงอะไรกันเบื้องหลัง นอกเหนือจากการที่เภตราขอร้องพฤหัสมาสอนงานให้เธอ .. ด้วยหลักสูตรเร่งรัดสู่ความเป็นคุณครูมืออาชีพ




แล้วก็เป็นไปอย่างที่เภตราเกริ่นให้ฟัง เรื่องคุณสมบัติของพฤหัส ว่าสมกับคำยกย่องชื่นชมตามที่เพื่อนสนิทบอกไว้จริงๆ

เพราะองก์อัมพุทได้รับทราบระหว่างเรียนรู้แผนการเรียนการสอนระดับปฐมวัย จากอดีตผู้อำนวยการโรงเรียนหลายระดับหลายสมัย และที่น่าทึ่งระคนปลาบปลื้มคือ ชายผู้ผ่านการทำงานจนเกษียณชีวิตราชการครู เป็นพ่อพิมพ์ที่น่านับถือด้วยวิธีการสอน และอธิบายได้เจนจัดอย่างคนลงมือปฏิบัติจนชำนาญมากกว่าเก่งเพียงแค่ทฤษฎี

ขณะที่แลกเปลี่ยนเรียนรู้งานการเรียนการสอนกันอยู่ พฤหัสมักจะสอดแทรกเรื่องเล่า ทั้งประสบการณ์ทางและเรื่องราวของตนและครอบครัวประปราย ซึ่งก็มากพอจะทำให้หญิงสาวที่กำลังตั้งอกตั้งใจฟัง พลอยได้รับทราบไปถึงเรื่องของวิชชุ์วิธู ที่อดีตคุณครูใหญ่เอ่ยพาดพิงถึงบ้างเป็นครั้งคราว

เป็นต้นว่า สาเหตุที่วิชชุ์วิธูมาเป็นอาจารย์ ส่วนหนึ่งเพราะคำขอของพฤหัสที่อยากเห็นใครสักคนดำเนินรอยตามในวิชาชีพครู และก็ไม่ผิดหวังเมื่อชายหนุ่มสามารถทำความปรารถนาของบิดาให้เป็นจริงได้

ถึงตรงนี้องก์อัมพุทเองก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่า อาจารย์วิชชุ์วิธูนั้น เป็นครูที่ดีและเก่งเพียงใด

แต่ไม่นานจิตสำนึกอีกด้านก็มาขัดขวางไม่ให้เธอหวนรำลึกถึงความประทับใจ หรือสนใจอดีตของอาจารย์บรรณารักษ์คนนั้น

หญิงสาวจึงหลีกเลี่ยงเบี่ยงเบนประเด็นเข้าสู่เนื้อหาหลัก โดยตั้งคำถามต่อสิ่งที่ยังไม่เข้าใจ และคิดว่าอาจจะได้พบระหว่างปฏิบัติการจริง ซึ่งพฤหัสก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ละทิ้งอะไรก็ตามที่คิดว่านอกเหนือจากเรื่องงานทันที เว้นแต่จะกล่าวถึงหรือยกตัวอย่างบางเหตุการณ์ที่สามารถกล่าวอ้างไปยังอดีตอาจารย์อีกคนได้

จนเธอแอบนึกสงสัยในใจว่า คุณลุงมีความจำเป็นที่ไม่อาจเลี่ยงได้หรือตั้งใจจะพูดถึงบุตรชายให้ฟังกันแน่

“เอาล่ะ มีคำถามอะไรอีกมั้ย หนูพุด .. แต่เท่าที่คุยกันมาลุงว่า หนูทำได้แน่ๆ .. เชื่อลุง ที่สำคัญเชื่อมั่นในตัวเองเข้าไว้”

“ขอบคุณค่ะคุณลุง หนูก็อยากทำให้ได้ สมกับที่เภาไว้ใจ ถึงจะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ แต่มือใหม่อย่างหนู ..”

“ไม่เอาน่า .. อย่าทำหน้าแบบนั้น .. หนูทุ่มเทและตั้งใจขนาดนี้ ไม่มีอะไรไม่สำเร็จหรอก .. หนูอาจจะมือใหม่จริง แต่คนเราไม่เคยมีใครไม่พบการเริ่มต้นครั้งแรกนี่นา .. จริงมั้ย”

พฤหัสเห็นสีหน้ากังวลขององก์อัมพุทจึงพูดปลอบขวัญและให้กำลังใจ เขาจ้องลึกไปในดวงตาใสสะท้อนเงากระจ่าง ฉายแววว่าเป็นคนมุ่งมั่นไม่ยอมแพ้ ก็อดอมยิ้มประสาผู้ใหญ่ใจดีไม่ได้

องก์อัมพุทใจชื้นขึ้นและรู้สึกอบอุ่นกับความเมตตานั้นอย่างประหลาด การมีใครสักคนมอบความเชื่อมั่นให้ มันจึงเป็นพลังที่จะทำให้เธอกล้าที่ก้าวไปข้างหน้าโดยไม่หวั่นเกรง

หญิงสาวสูดลมหายใจลึกเข้าปอด เผยยิ้มแจ่มใสราวกับได้ขับไล่ร่องรอยวิตกหม่นมัว จนหายวับไปจากความคิดในบัดดล และส่งให้แก่คุณครูวัยเกษียณอย่างจริงใจ

“ขอบคุณคุณลุงมากค่ะ .. หนูจะทำให้ดีที่สุด ขนาดคุณลุงยังเชื่อว่าหนูทำได้ หนูก็ต้องมั่นใจว่าทำได้สิคะ”

“ดีมาก .. งั้นเย็นนี้ สัก ๖ โมงครึ่งเป็นไง .. มาที่บ้านลุงนะ ทั้งสองคน ลุงจะทำอาหารเลี้ยงต้อนรับอย่างที่บอกกับหนูเภาไว้”

พฤหัสไม่เปิดโอกาสให้องก์อัมพุทได้ปฏิเสธน้ำใจที่ผู้ใหญ่หยิบยื่นให้ เพราะหลังจากพูดเสร็จก็หันไปพยักพเยิดกับเภตราที่นั่งทำงานเงียบๆอยู่ไม่ห่าง และดูเหมือนว่าจะรู้จังหวะรับส่งทำหน้าที่ลูกคู่ได้ทันท่วงที

“ลุงหัสเตรียมของอร่อยรอได้เลยค่ะ .. พวกเราสองคนจะไปให้ตรงเวลา .. ขอบคุณลุงหัสนะค้า”

“ถ้ายังไง ลุงกลับไปเตรียมของก่อนก็แล้วกันนี่ก็ ๔ โมงกว่าแล้ว .. ชักสนุกขึ้นมาแล้วสิ ถึงพวกลูกๆจะไม่อยู่ก็เถอะ”

องก์อัมพุทรู้สึกสะดุดหูกับคำพูดท้ายประโยคของพฤหัส แต่ก็คิดเอาเองว่า คุณลุงคงหมายถึงวิชชุ์วิธูจนรวมไปถึงตรีวธูที่เป็นหลานสาว ทำให้เหมาเรียกรวมๆกันไป

ชายสูงวัยลุกขึ้นยืนอย่างกระฉับกระเฉงหลังบอกความตั้งใจให้รู้ทั่วกัน แล้วค่อยก้าวเดินออกจากห้องทำงาน มุ่งสู่บ้านของตนเพื่อ ‘งานปาร์ตี้’ เล็กๆกับหญิงสาวน่ารักๆถึงสองคน




จวนเจียนได้เวลานัดกับพฤหัสแล้ว แต่องก์อัมพุทกลับยืนรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ หญิงสาวสำรวจตัวเองว่า แต่งตัวเรียบร้อยดีไหม เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่จะได้เข้าไปยังอาณาเขตบ้านของวิชชุ์วิธู อดีตอาจารย์ที่เธอเคยชื่นชมและ .. แอบหลงรัก

กระทั่งเภตราเดินมาเคาะประตูก่อนจะได้ยินเสียงตอบรับ พร้อมกับเพื่อนสาวที่เปิดประตูออกมาเช่นกัน

“โห ยัยพุดจะสวยไปไหน .. แค่ไปกินข้าวบ้านลุงหัสนะ .. เออ แต่ก็นะ ลุงแกบอกปาร์ตี้นี่เนอะ ฉันไปเปลี่ยนมั่งดีกว่า ไหนๆแกก็บ่นเหงาๆ อยู่สนุกกะแกสักวัน .. รอเดี๋ยวนะ ฉันขอทำสวยเป็นเพื่อนแกด้วยคน”

เจ้าของบ้านร่ายยาวเพราะเห็นการแต่งตัวของเพื่อน ซึ่งอันที่จริงองก์อัมพุทเพียงแต่สวมเสื้อสีส้มอ่อนแขนตุ๊กตา จับสม็อคช่วงอก แล้วทิ้งชายผ้าพลิ้วไปกับลำตัวถึงต้นขา ท่อนล่างสวมกางเกงขาสั้นสีขาวเผยเรียวขาคู่สวย แต้มแต่งเปลือกตาบางๆด้วยสีเบจ ทาลิปสติกมันเคลือบริมฝีปากเล็กน้อยไม่ให้ดูแห้งผากจนเกินไป

ไม่นานเภตราก็กลับออกมาจากห้องในชุดใหม่ ต่างจากเสื้อยืดกางเกงสามส่วนเมื่อครู่เป็นเสื้อทูนิคสีโอลด์โรส กับกางเกงยีนส์ขาสั้น ในสไตล์สาวมั่นซ่อนความหวานเล็กๆ พอมายืนคู่กันก็แทบจะเรียกได้ว่าฝาแผดเลยทีเดียว

“แกว่าลุงหัสจะตกใจมั้ย ที่เราจัดเต็มขนาดนี้”

“ไม่รู้สิ แต่ฉันว่า คุณลุงน่าจะชอบนะ ตอนนี้ฉันชักตื่นเต้นขึ้นมาจริงๆแล้วล่ะ”

องก์อัมพุทบอกความรู้สึกไปตามจริงเพียงแต่ไม่ใช่ทั้งหมด เมื่อเห็นว่าพร้อมแล้วและใกล้ได้เวลาทั้งคู่จึงพากันลงบันไดก่อนจะปิดประตูบ้านให้เรียบร้อย ซึ่งใช้เวลาไม่กี่นาทีก็เดินมาถึงบ้านพฤหัส โดยไม่อาจรู้ล่วงหน้าเลยว่า ยังมีเรื่องน่าประหลาดใจรอใครบางคนอยู่ที่นั่น





อาหารมื้อเย็นที่พฤหัสเข้าครัวลงมือปรุงเอง ถูกจัดวางเต็มโต๊ะอาหารราวกับเนรมิต เขามั่นใจว่าทุกอย่างดูดีทั้งหน้าตาและรสชาติ ที่สำคัญเพราะมีลูกมือบังเอิญกลับมาช่วยได้อย่างทันท่วงที ทำให้ชายสูงวัยผู้เป็นเจ้าของงานไม่เหน็ดเหนื่อยจนเกินไป

พฤหัสยืนกอดอกรอยยิ้มแต้มมุมปากมองลูกมือจัดสถานที่ด้วยความพึงพอใจ ก่อนจะปลดผ้ากันเปื้อนออกจากตัว วางไว้บนเคาน์เตอร์ในครัวที่จัดเก็บเรียบร้อยหมดแล้ว

เจ้าของบ้านตัวจริงสาวเท้าว่องไวเดินมาตบไหล่ผู้ช่วยเป็นเชิงฝากดูแลทางนี้ ก่อนจะผิวปากสบายอารมณ์ก้าวขึ้นบันไดไปอาบน้ำแต่งตัว เพื่อลงมารอรับสาวๆในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า

วิชชุ์วิธูพลิกข้อมือก้มดูนาฬิกาบนหน้าปัดซึ่งบอกเวลา ๖ โมงเย็น ๒๐ นาที เขาเองก็ตอบไม่ถูกเหมือนกันว่า เหตุใดจึงได้มายืนอยู่ในบ้านขณะนี้ แทนที่จะเป็นบ้านส่วนตัวอีกหลังในโครงการบ้านจัดสรรของสำนักงาน ‘จิตตระการ พร็อพเพอร์ตี้’ ที่กรุงเทพฯ

หลังจากชายหนุ่มส่งตรีวธูแก่ปารตีแล้ว ก็เป็นอันสิ้นสุดหน้าที่ตามปกติ ทว่า ที่ไม่ปกตินั่นคือ เขาขับรถเลยถนนทางเข้าบ้านของตน ก่อนเลี้ยวกลับมุ่งหน้าออกสู่ถนนใหญ่กระทั่งมาหยุดรถดับเครื่องยนต์ในเขตรั้วบ้านของบิดา เมื่อชั่วโมงที่ผ่านมา

พฤหัสที่กำลังยุ่งกับการเตรียมอาหารถึงกับละมือครู่หนึ่ง เดินออกมาดูว่าใครกันที่มาในยามนี้ ซึ่งชายสูงวัยจ้องมองอย่างฉงนเป็นคำถาม แต่พอคิดได้ว่าไหนๆบุตรชายก็อยู่ตรงหน้า จึงเรียกให้เข้าครัวมาช่วยเขาเป็นการด่วน

วิชชุ์วิธูเลยได้ทราบถึงงานปาร์ตี้ ระหว่างหนุ่มใหญ่วัยหลังเกษียณกับสองสาวข้างบ้านตอนนี้นี่เอง

เสียงออดดังขึ้นทำลายภวังค์ความคิดหลังผ่านไปหลายนาที ชายหนุ่มเดินเลียบห้องอาหารไปยังหน้าต่างกระจกบานยาว แอบมองจากหลังม่านก็เห็นว่า ใครที่เป็นผู้ส่งสัญญาณบอกคนในบ้านหลังนี้

เขาเงยหน้ามองไปทางบันได ไม่ปรากฏวี่แววของเจ้าภาพจะลงมา จึงทำหน้าที่เป็นตัวแทนออกไปต้อนรับ ด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง แต่ใครเล่าจะรู้ว่า มีความรู้สึกบางอย่างกำลังจู่โจมจนเขาต้องข่มมันเอาไว้ .. ให้แนบเนียนที่สุด

วิชชุ์วิธูก้าวเท้ามั่นคง ไม่เร่งรีบจนดูลุกลน หากก็ไม่ได้เนิบนาบจนเหมือนปล่อยให้ผู้มาเยือนรอนาน ประตูรั้วหน้าบ้านถูกเปิดออกต้อนรับ ทว่า ..

หนึ่งในสองคนที่มาเป็นอาคันตุกะในงานเลี้ยงเล็กๆแห่งนี้ กลับยืนนิ่งแข็งค้างราวถูกสะกด นัยน์ตาพราวสดใสที่เบิกกว้าง บอกได้ดีว่ากำลังตกตะลึงในการได้พบคนที่คาดไม่ถึง





เสียงหัวเราะทุ้มกังวานที่ก้องทั่วห้องรับประทานอาหาร จากผู้อาวุโสสูงสุดในงานปาร์ตี้ค่ำคืนนี้ ฟังดูก็รู้ว่าเป็นคนอารมณ์ดีขนาดไหน ซึ่งเขาแสดงให้องก์อัมพุทกับเภตรารู้สึกได้ถึงความเป็นกันเองแต่น่าเคารพนับถือ

แต่ว่า องก์อัมพุทกลับรู้สึกลักลั่นในการจัดโต๊ะสี่เหลี่ยมและที่นั่ง เพราะเป็นการหันหน้าเข้าหากันโดยฝั่งหนึ่งคือเจ้าของบ้าน และอีกฝั่งคือแขกรับเชิญ นั่นทำให้เธอต้องเผชิญหน้ากับวิชชุ์วิธูอย่างไม่ตั้งใจ

ส่วนชายหนุ่มที่ร่วมโต๊ะหาได้มีทีท่าผิดแปลกอื่นใด เขามีแต่เพียงรอยยิ้มบางๆประดับใบหน้า และยังคงทำหน้าที่ผู้ช่วยเจ้าของบ้านอย่างเคร่งครัด ไม่ว่าจะเป็นการอำนวยความสะดวกเรื่องอาหาร หรือเครื่องดื่ม

ทว่า มีบางสิ่งที่องก์อัมพุทสังเกตได้ในความรู้สึกคือ ถ้อยคำที่จะออกจากปากของเขา ยังถูกนำมาใช้อย่างประหยัด .. เหมือนก่อนไม่มีเปลี่ยนเลย

คิดได้ดังนี้ ดวงหน้าละมุนก็เผลอแย้มรอยยิ้มละไมน้อยๆกับบุคคลตรงหน้า .. แต่พอรู้ตัวเธอก็หุบยิ้มปรับสีหน้าให้เป็นปกติ พลางเบือนหน้าไปทางพฤหัสที่กำลังคุยออกรสกับเภตรา ทำทีสนใจในเนื้อหาของบทสนทนา ทั้งที่ไม่อาจจับประเด็นได้ว่ากำลังเอ่ยถึงสิ่งใดกัน

“จริงรึเปล่า .. หนูเภา .. ที่บอกว่าวันนี้ลงทุนแต่งตัวสวยมาเพื่อลุง อย่าพูดให้คนแก่ดีใจเก้อนา .. ฮ่าๆ”

“ก็จริงสิคะ ลุงหัส .. แต่พูดก็พูดเถอะค่ะ ยัยพุดนี่เซนส์ดีชะมัด เหมือนจะรู้ว่าคุณวิชชุ์ก็อยู่ด้วย เภาเลยพลอยแต่งตัวแบบนี้ .. ไม่งั้นดูไม่จืดแน่ๆ”

สองคนเพื่อนบ้านต่างวัยรับลูกถูกคอกันจนองก์อัมพุทที่เพิ่งหันมาตั้งใจฟังถึงกับยิ้มตามไปด้วย ไม่เพียงแต่เธอเท่านั้น ดูท่าว่าคนที่เงียบที่สุดก็ยังมีท่าทีเห็นด้วย เพราะรอยยิ้มที่ส่งไปทางพฤหัสมีมากกว่าเดิม .. นิดหน่อย

“หนูพุด .. เป็นไงบ้าง นั่งเงียบเชียว หรือว่าอาหารไม่ถูกปาก .. นี่ลุงทำสุดฝีมือเลยนา แต่ก็ขอโทษทีที่ลืมถามว่ามีอะไรที่กินได้ไม่ได้ .. อารมณ์คนแก่น่ะ ได้มีคนมากินข้าวด้วย เลยลืมหมด .. ว่าแต่ หนูพุดรู้จักเจ้าวิชชุ์ ลูกชายของลุงรึยัง .. เอ .. เมื่อวานก็เห็นกันแว้บเดียว .. มาๆ ร่วมโต๊ะกันตั้งครึ่งนานค่อนนาน .. มาแนะนำตัวกันหน่อยดีกว่า .. ดีมั้ยคุณครูหนูพุด”

คำเรียกขานองก์อัมพุทอย่างเอ็นดูของพฤหัส ที่ต่อท้ายประโยคเกริ่นกล่าวยาวเหยียด สร้างรอยยิ้มแก่วิชชุ์วิธู หากก็พริบตาเดียวก่อนจางหายไป แล้วถูกแทรกความสนใจด้วยเสียงหัวเราะเกินกลั้นของเภตรา

“ลุงหัส .. เรียกซะหนูแทบสำลักเลยค่ะ .. คุณครูหนูพุด ฮ่าๆ”

“น่ารักดีออก .. เนอะ หนูพุด .. มาๆ ไหนๆพรุ่งนี้ก็ต้องไปโรงเรียนหนูเภาแล้ว คุณครูหนูพุดลองแนะนำตัวเองให้อดีตนักเรียนโข่งอย่างลุงกับเจ้าวิชชุ์รู้จักหน่อยจะเป็นไร”

ท่าทางขัดเขินจนแก้มนวลระเรื่อขึ้น บอกชัดว่าองก์อัมพุทกำลังรู้สึกไม่มั่นใจ หญิงสาวหันมองเภตราแล้วเลื่อนไปยังพฤหัสผู้ยื่นข้อเสนอ มาหยุดสุดท้ายที่ชายหนุ่มซึ่งนั่งมองด้วยสายตาแน่วนิ่ง หากริมฝีปากบางนั้นเริ่มขยับและเปล่งเสียงสื่อสารกับเธอโดยตรงเป็นครั้งแรก

“จะเป็นครูอย่าอายศิษย์”

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะแค่คำพูดสั้นๆของเขา หรือสายตาที่เปี่ยมล้นความหมายบางอย่าง ที่องก์อัมพุทได้เห็นแต่ไม่อาจแปลความได้ สามารถแปรเป็นกำลังใจให้เธอข่มความอายนั้นจนกล้าพูดออกมา

“สวัสดีค่ะ .. คุณครูชื่อ องก์อัมพุท รัชชาภา จะมาเป็นคุณครูของเด็กๆ .. หรือจะเรียก คุณครูหนูพุด ก็ได้นะคะ ฝากตัวด้วยค่ะ”

แม้จะรู้สึกผ่าวร้อนบนผิวแก้ม แต่เธอก็อดยิ้มกับตัวเองไม่ได้ เพราะถึงไม่พูดตอนนี้ พรุ่งนี้ก็ต้องพูดอยู่ดี การได้ลองแนะนำตัวต่อหน้าทุกคน จึงเสมือนแบบทดสอบแรกที่ต้องเริ่มต้น .. การเริ่มต้นที่ดี ย่อมมีชัยไปกว่าครึ่ง

เสียงปรบมือแว่วมากระทบโสตจนองก์อัมพุทนึกขึ้นได้ว่า เผลอคิดอะไรเรื่อยไปคนเดียว หญิงสาวเงยหน้ายิ้มแย้มเต็มที่ให้ทุกคนที่ร่วมโต๊ะ .. และส่งสายตาขอบคุณไปยังวิชชุ์วิธูที่แฝงกำลังใจมากับการกระตุ้นเตือนให้มีความกล้า

“ชื่อเพราะมาก .. หนูพุด .. ว่าแต่ชื่อของหนูหมายถึงอะไรน่ะ .. อืม .. อัมพุทนี่ เมฆใช่มั้ย ..”

“ขอบคุณค่ะคุณลุง .. แต่หนูก็ไม่ค่อยมั่นใจ แม่อาจจะตั้งชื่อหนูให้คล้องกับพี่ชาย .. เมฆพัดน่ะค่ะ”

เจ้าของชื่อตอบตามตรง เพราะเธอเคยพยายามหาคำแปล แต่ก็พบว่าแปลได้ดังที่พฤหัสบอกมา จึงคิดว่า นั่นคงเป็นเหตุผลและที่มาของชื่อตัวเอง

แล้วสิ่งที่องก์อัมพุทไม่คาดว่าจะได้ยินจากใครบางคน ซึ่งนั่งเงียบมาตลอดการสนทนาจนเมื่อครู่ ก็เอ่ยอะไรบางอย่างด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่มนวล .. ที่เธอไม่เคยลืม

“ม่านเมฆ .. เป็นความหมายตามชื่อ .. องก์อัมพุท”

อะไรกัน .. ทำไมอดีตอาจารย์ของเธอ จึงทราบและบอกได้จำเพาะเจาะจงขนาดนี้!

หญิงสาวไม่เคยรู้เลยว่า เขาจะสนใจเธอ .. สนใจชื่อของเธอ

แล้วคำพูดที่ทำร้ายจิตใจกัน จนทำให้เธอปวดร้าวเมื่อวานเล่า .. มันหมายความว่าอย่างไร?

องก์อัมพุทเหลือบสายตามองวิชชุ์วิธู ไม่รู้ตัวสักนิดเลยว่า ตนเองนั้นมีหยาดน้ำใสเอ่อคลอหน่วย จนมันปริ่มราวจะหยดทันทีที่กะพริบตา

ความรู้สึกที่ยากจะกลั่นกรองยิ่งทำให้สับสน แต่มันก็ยืนยันในหัวใจแล้วว่า ต่อให้เขายิ่งตอกย้ำคำเดิมว่า ไม่เคยรู้จักกัน .. เธอก็คงไม่สามารถลืมเขาได้ .. ชั่วชีวิต







******************************************************************







โปรดติดตามตอนต่อไป ...

ขอขอบคุณทุกท่านที่ติดตาม .. และขอบคุณสำหรับการกดไลค์ฮะ



คุณปรางขวัญ ... รู้แล้วว่าใครมา .. แต่ไม่รู้ว่าจะผิดหวังหรือเปล่านะ .. อิอิ ^^



แรมรติ
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 27 พ.ค. 2558, 23:15:34 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 27 พ.ค. 2558, 23:15:34 น.

จำนวนการเข้าชม : 1263





<< บทที่ ๔ .. หากสิ้นเยื่อขาดใย   บทที่ ๖ .. ชะตากรรม หรือ ความบังเอิญ >>
ปรางขวัญ 28 พ.ค. 2558, 00:21:04 น.
แอบยิ้มตาม ว่าแต่หนูเกรซเป็นลูกลุงหัสเหรอเนี่ย


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account