ซ่อนรักเพลิงมายา
“รู้ไหมว่าผมชอบ... เวลาที่ขาเรียวๆ ของนิก้าเกี่ยวเอวผม จิกปลายเท้าลงบนแผ่นหลังผม
ใช่... ใช่... อย่างนั้นแหละนิก้า แม่สาวแสนซน”

ไม่เคยมีครั้งใดที่ ‘ทิโมธี แมคคินสัน’ วิศวกรมหาเศรษฐีผู้ร่ำรวยล้นฟ้า

จะถูกคู่ควงระดับซูเปอร์โมเดลแถวหน้าของโลกอย่าง ‘วทานิกา ซาฟินา’ ทำให้โมโหโทโสได้ถึงเพียงนี้

เพราะเพียงแค่ไม่กี่วันที่เขาไม่ได้นั่งอยู่ฟรอนต์โรว์ของรันเวย์เพื่อชื่นชมคู่ควงของตน

เธอกลับมีภาพหลุดจนเป็นข่าวฉาวโฉ่ไปทั่วโลกแล้วยังปากแข็ง แบล็กเมล์ความรู้สึกของเขาด้วยเหตุผลง่ายๆ

...มันเป็นเพียงเรื่องบังเอิญ!!

แล้วมีหรือที่แบดบอยไร้หัวใจ ผู้ไม่เคยแยแสกับความรู้สึกรักใคร่ใดๆ จะต้องเก็บเธอไว้ข้างกาย
ไม่เพียงแค่นางแบบสาวไม่กลับมาง้อขอคืนดี แต่เธอยังออกปากไล่ส่ง เป็นฝ่ายบอกตัดสัมพันธ์
ราวกับไม่เสียดายเลือดพรหมจรรย์ที่เขาเป็นผู้ทำลาย แถมควงผู้ชายเป็นข่าวใหญ่โตไม่เว้นแต่ละวัน!

การกระทำดังกล่าวมันเป็นการท้าทายแบดบอยไร้หัวใจอย่างเขายิ่งนัก

เธอคงไม่รู้เลยสินะ! ตลอดระยะเวลาที่แยกจากกัน เขาไม่สามารถกลับไปใช้ชีวิตเสเพลได้เช่นเคย
หากแต่ต้องนั่งมองรูปของเธอผ่านนิตยสาร

แล้วพาตัวเองเข้าสู่จินตนาการอันซ่านใจ โดยที่ไม่กล้าเปิดเผยเรื่องน่าอายเช่นนี้ให้ใครได้ล่วงรู้
ทิโมธีจึงต้องทำทุกวิถีทางเพื่อดึงเธอให้กลับมาอยู่ข้างกาย

เพียงเพราะต้องการสลัดตัวเองให้หลุดจากคำว่า ‘ไอ้โรคจิต’

ซึ่งเขาไม่อาจเดินเข้าไปปรึกษาเรื่องน่าอายเช่นนี้กับจิตแพทย์!!

จึงบีบบังคับเธอทุกทาง ดักหน้าล้อมหลัง โดยไม่สนใจว่าวิธีการนั้น

จะทำร้ายจิตใจและทำให้หัวใจของเธอบอบช้ำมากเพียงใด

แต่เธอกลับตอบโต้เขาด้วยวิธีการอันแยบยลจนทำให้เขาแทบบ้าตาย

ด้วยการประกาศต่อโลกอย่างชัดแจ้งว่าเธอคือซิงเกิลมัมที่ไม่ต้องการเอ่ยถึงพ่อของลูก!

...แล้วแบดบอยหนุ่มผู้ถูกเลี้ยงให้เติบโตขึ้นมา

ท่ามกลางอคติต่อคู่ชีวิตและทะเบียนสมรส

จะดึงเธอกลับเข้าสู่อ้อมกอดได้อย่างไร

เมื่อเธอคือผู้หญิงโลภมากที่กล้าเรียกร้องทั้งสองสิ่งนั้นจากเขา
ด้วยคำพูดที่ว่า...

“กับเรื่องของความรักแล้ว ฉันออกจะโลภมากเสียด้วยซ้ำ
เพราะไม่ได้อยากพิเศษเหนือผู้หญิงคนอื่น
แค่อยากให้รักฉันเหมือนที่ฉันรักคุณเท่านั้นเอง”
Tags: ทิโมธี - วทานิกา

ตอน: ตอนที่ 3 100%

สองวันที่ผ่านมาในเพนต์เฮาส์สุดหรูกลางย่านเมย์แฟร์นั้น ทำให้วทานิกาหลงคิดไปว่าตนเป็นเจ้าหญิงของผู้ชายไร้หัวใจแต่อบอุ่นคนนี้ไปแล้วจริงๆ ความสุขทั้งร่างกายและจิตใจเกิดขึ้นอย่างท่วมท้นในหัวใจของนางแบบสาวทั้งที่ไม่เคยได้ยินคำบอกรักจากผู้ชายแข็งกร้าวที่กำลังบังคับพวงมาลัยพาตนไปเยือนปราสาทแมคคินสันตามที่เคยพูดเอาไว้

ความซุกซนขี้เล่นของแบดบอยที่หลายคนมองว่าเขาไร้หัวใจนั้น เมื่ออยู่กันตามลำพังเธอกลับสัมผัสได้ถึงความขี้อ้อนราวกับเด็กโหยหาความรัก ทิโมธีปลุกเธอให้สลัดความเมื่อยล้าหลังจากที่ต้องรองรับพลังรักอันเหลือเฟือด้วยคำพูดที่อ้างว่าจะพาไปเดินในย่านเมย์แฟร์ ออกจากห้องที่อบอวลไปด้วยรสเสน่หาจนทำให้เธอฝืนตัวขึ้นมารีบอาบน้ำแต่งตัวอย่างกะตือรือร้น หากต้องพบว่าตัวเองถูกหลอกเข้าให้แล้วเพราะในเพนต์เฮาส์นี้ไม่มีเสื้อผ้าที่จัดเตรียมไว้สำหรับตนเลย อีกทั้งเดรสที่สวมมารวมทั้งชุดชั้นในนั้น ทิโมธีก็เพิ่งส่งให้แม่บ้านนำไปซักทำความสะอาด เธอจึงต้องอยู่ในเสื้อเชิ้ตตัวโคร่งของเขาเพียงชิ้นเดียว บ่นงึมงำกับความเจ้าเล่ห์แสนกลพลางทำอาหารเย็นด้วยความเจ็บใจ

แต่อาหารเย็นที่ถูกเตรียมไว้ต้องเป็นหมัน! เมื่อทิโมธีไม่อาจละสายตาจากเรียวขายาวคู่สวยที่โผล่พ้นออกมาจากชายเสื้อเชิ้ตอย่างเร้าใจ ทรวงอกอวบอิ่มมองเห็นเป็นรูปร่างดันตัวออกมาจากเชิ้ตสีขาวจนเห็นเป็นยอดถันชูชัน! ผู้ชายร่างแกร่งไม่สวมเพียงกางเกงยีนส์เอวต่ำก็โผเข้ามอบบทรักในห้องครัวให้อย่างเร่าร้อน ไม่ทันได้ตั้งตัวจนผักผลไม้ร่วงหล่นลงพื้นตกระเนระนาดจนไม่เหลือสภาพห้องครัวแสนสะอาด

...เนิ่นนานจนแบดบอยหนุ่มพอใจจึงอุ้มร่างอ่อนระทวยออกจากห้องครัวออกมาวางบนโซฟาตัวใหญ่ เอื้อมมือสั่งอาหารจากภัตตาคารเลิศรสในยามดึกซึ่งเลยเวลาอาหารมามากแต่ก็ไม่อาจละสายตาจากร่างเกือบเปลือย แสนเซ็กซี่ที่นอนหมดแรงอยู่บนโซฟา! พร้อมกระซิบว่าพรุ่งนี้จะต้องพาเธอออกจากห้องบ้าง ไม่อย่างนั้นเขาคงต้องกลายเป็นคนเสพติดเธอไปแน่! คำพูดดังกล่าวทำให้วทานิกาเกือบจะปรี่เข้าทำร้ายร่างกายคนเจ้าเล่ห์เพราะความหมั่นไส้นัก ถ้าไม่ได้ยินกับหูตัวเองว่าเขาจะพาเธอไปเยือนปราสาทแมคคินสัน ซึ่งตนเป็นผู้หญิงคนแรกที่เขาอยากแนะนำให้สมาชิกในบ้านรู้จัก

เพียงเท่านั้นก็ทำให้หัวใจดวงน้อยของวทานิกาพองโต ประกอบกับการไม่ยอมป้องกันตัวเองจากสัมพันธ์เสน่หาเช่นที่ผ่านมาราวกับไม่เกรงกลัวว่าจะเกิดชีวิตน้อยๆขึ้น จึงทำให้นางแบบสาวมีความสุขเพราะคิดว่าตนคือผู้หญิงที่เขาคิดจริงจังด้วย แม้เขาจะยังไม่สารภาพคำรักออกมาตรงๆแต่ก็พอจะสัมผัสได้ว่าทิโมธีเป็นผู้ชายที่มีปมเรื่องมารดาฝังอยู่ในจิตใจ เขาจะเลี่ยงการพูดถึงแม่ทุกครั้งหรือไม่ก็พูดถึงด้วยความตาเจ็บปวดจนรู้สึกได้ถึงความอ้างว้างที่อัดแน่นอยู่ในตัวเขา และวทานิกาก็คิดว่าจะคลี่คลายปมที่ซ่อนอยู่ในใจของเขาได้ในสักวัน


“คิดอะไรอยู่นิก้า เงียบเชียว?” ทิโมธี่ถามขณะบังคับพวงมาลัยให้เลี้ยวเข้าสู่บริเวณปราสาทแมคคินสันซึ่งมีอายุเก่าแก่มากกว่าหกสิบปี สิ่งปลูกสร้างอันงดงามบนผืนดินที่เล่นระดับให้สูงขึ้นเรื่อยๆจนดูราวกับว่าปราสาทเก่าแก่หลังนี้ถูกสร้างไว้บนเนินเขา “ไม่ต้องตื่นเต้นหรอกคนสวย ที่บ้านผมมีเพียงแค่แคโรลีนภรรยาคนสุดท้ายของพ่อ แล้วก็โคลอี้ ลูกสาวติดจากสามีเก่าของเธอเท่านั้น”

“โคลอี้อายุเท่าไหร่แล้วคะ?” วทานิกาถามอย่างสนใจ

“ปีนี้เพิ่งจะยี่สิบเต็ม สาวน้อยผู้น่าสงสารเพราะร่างกายพิการตลอดช่วงล่างจนต้องนั่งอยู่บนรถเข็นแต่ผมก็รักเหมือนน้องสาวแท้ๆนะ เพราะว่าโคลอี้ย้ายเข้ามาอยู่กับผมตั้งแต่อายุห้าขวบเองมั้ง”

“เกิดอุบัติเหตุหรือว่าพิการมาตั้งแต่เกิดคะ?”

“รู้สึกว่าจะพิการมาตั้งแต่เกิดนะ ผมก็ไม่รู้รายละเอียดในช่วงที่จะย้ายมาอยู่ที่นี่เท่าไหร่ รู้แต่ว่าโคลอี้เป็นเด็กน่าสงสาร ดูเหมือนแม่จะไม่ค่อยสนใจเพราะแคโรลีนเป็นคนรักสวยรักงาม ออกจะสนใจตัวเองมากกว่า” ทิโมธีเล่าถึงสมาชิกในบ้านอย่างคร่าวๆ “อ้อ... ถ้าเกิดว่าโคลอี้ทำท่าไม่พอใจหรือว่าพูดอะไรที่ไม่เหมาะ นิก้าอย่างไม่ถือสานะเพราะว่าแกค่อนข้างจะเข้ากับคนได้ยาก แต่ความจริงแล้วไม่มีอะไรมันเป็นเหมือนอีโก้ที่อยู่ในตัวของเด็กที่ไม่ยอมเข้าสังคมเท่านั้นเอง”

“อ่อ... ค่ะ” วทานิการับคำสั้นๆ พลางคิดว่าโชคดีนักที่เขาชี้แจงเอาไว้ตั้งแต่แรกเช่นนี้จะได้ไม่เกิดปัญหาขึ้นภายหลัง แน่นอนว่าหากวทานิกาเป็นสาวตะวันตกจ๋าคงไม่ต้องสนใจที่จะเรียนรู้กับความรู้สึกของคนรอบข้างทิโมธี แต่ด้วยความที่ถูกอบรมเลี้ยงดูจากแม่ซึ่งเป็นหญิงไทยผู้อ่อนหวาน วทานิกาจึงซึบซับเอาเรื่องละเอียดอ่อนอย่างเช่นความรู้สึกของคนในบ้านไว้เต็มตัว “แล้วแคโรลีนล่ะคะ เธอจะรังเกียจนิก้ารึเปล่า?”

ทิโมธีเลิกคิ้วมองผู้หญิงข้างๆอย่างแปลกใจในคำถาม พลางบังคับรถให้หยุดอยู่หน้าบันไดหลายขั้นซึ่งเป็นทางขึ้นไปยังปราสาทแมคคินสัน “อย่ากังวลใจไปนักเลยคนสวย ผมไม่เห็นว่าแคโรลีนจะต้องมารู้สึกอะไรกับผู้หญิงของผม เรื่องของเรากับเธอไม่เกี่ยวข้องกันเลยสักนิด”

วทานิกาลอบถอนหายใจเมื่อนั่นไม่ใช่คำตอบที่ตนต้องการ แต่ก็ต้องจำใจยอมก้าวลงจากสปอร์ตคาร์สุดหรูเมื่อเขาเดินอ้อมมาเปิดประตูให้อย่างสุภาพ มือหนาเกี่ยวเอาเอวคอกกิ่วให้เดินเข้าไปด้านในปราสาทอันใหญ่โตซึ่งมียอดโค้งเป็นโดมใหญ่มหึมา ใช้สีโทนน้ำตาลทั้งหลัง แลดูมีมนตร์ขลังยิ่งนัก

ทิโมธี่อมยิ้มมองตามสายตาหวานคมที่แหงนหน้าขึ้นไปมองยอดโดมนั้นนิ่งนาน “นั่นคือห้องนอนของผม”

“ไม่ได้อยากรู้สักหน่อย!” วทานิกาสวนกลับทันควันเมื่อเห็นสายตาสู่รู้มองมาเช่นทุกครั้งที่อยู่ในห้วงเสน่หา หากแต่สายตาสองคู่ต้องละออกจากกันเมื่อมีร่างกำยำคนสนิทของทิโมธีวิ่งหน้าตั้งเข้ามาเสนอหน้าให้เจ้านายเห็นด้วยท่าทีดีใจ

“เจ้านายหายไปไหนมาตั้วสองวันครับ ผมเป็นห่วงแทบแย่!” จอร์จพูดกับเจ้านายที่เคารพของตนด้วยสีหน้าเบิกบานใจราวกับว่าไม่ได้พบกันมาเป็นแรมปี หากแต่ท่าทางของผู้เป็นเจ้านายกลับมองอย่างรำคาญและเบื่อหน่ายเต็มทน!

“ฉันจะไปไหนมาไหนต้องรายงานแกด้วยงั้นเหรอวะ จอร์จ? แกเปลี่ยนสถานะมาเป็นพ่อฉันตั้งแต่เมื่อไหร่ ไปไหนมาไหนถึงต้องรายงานแก?” ทิโมธีถามพร้อมกับหันมาพูดเสียงนุ่มกับสาวในอ้อมแขนด้วยน้ำเสียงแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว “เข้าไปข้างในกันดีกว่านิก้า”

วทานิกายิ้มให้กับหนุ่มร่างกำยำที่ยืนทำหน้ามุ่ยเพราะเคยรู้จักมาก่อนแล้ว จอร์จเป็นเหมือนเงาตามตัวของทิโมธี คอยทำงานตามคำสั่งจนบางครั้งก็อดสงสารไม่ได้เพราะดูเหมือนเจ้านายออกจะรำคาญลูกน้องเสียเหลือเกิน แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไรเดินตามแรงรั้งเข้าไปด้านในปราสาทแต่โดยดี ปล่อยให้จอร์จมองตามพลางถอนหายใจหนักๆ เพราะนึกแปลกใจและหนักใจขึ้นมาพร้อมๆกันเพราะ เจ้านายของตนคงต้องรู้สึกกับนางแบบสาวนี้พิเศษกว่าผู้หญิงคนอื่นถึงได้คบกันมานานร่วมปี แต่หญิงสาวผู้มีหลากหลายบุคลิกอยู่ในตัวคงต้องรับมือกับแม่เลี้ยงสาวใหญ่ของเจ้านาย ทั้งรู้ดีว่าไม่ใช่เรื่องง่ายนักเพราะตนเองก็ถูกเล่นงานจนแทบเอาตัวไม่รอด เมื่อไม่สามารถให้คำตอบกับคุณนายแคโรลีนได้ว่าเจ้านายของตนหายไปอย่างไรร่องรอยถึงสองวันเต็ม! ที่สำคัญไม่รู้ว่านางแบบสาวจะอดทนกับอาการหวงพี่ชายของคุณโคลอี้ได้หรือไม่?!

วทานิกากวาดสายตาสำรวจสิ่งปลูกสร้างที่ไม่ได้ให้ความรู้สึกอบอุ่นใกล้เคียงคำว่า ‘บ้าน’ เลยแม้แต่น้อยเพราะมันเหมือนพระราชวังในยุควิกตอเรียซึ่งหรูหรา งดงามเกินกว่าจะหามุมสบายๆซุกตัวนั่งทอดอารมณ์อ่านหนังสือโปรดอย่างที่มักทำในวันหยุด ดวงตาคู่หวานคมหันไปหลังกลับไปมองหน้าห้องที่ตนเดินผ่านมาอย่างรวดเร็วราวกับสัมผัสได้ว่ามีคนจ้องมองตนอยู่!
ทิโมธีพยักหน้ายิ้มน้อยๆและเกี่ยวเอาเอวคอดกิ่วให้เดินลึกเข้าไปเรื่อยๆ พลางกระซิบพอให้ได้ยินกันสองคน “ไม่ต้องกลัวนะ นั่นคือโคลอี้ แกจะชอบแอบมองคนแปลกหน้าที่เพิ่งพบเห็น ดูภายนอกจะเป็นเด็กก้าวร้าวแต่กับผมแล้ว โคลอี้จะน่ารัก น่าสงสาร แกมักจะคิดว่าตัวเองโชคดีได้เป็นน้องสาวของผมจริงๆแต่บางครั้งก็จะมีอาการซึมเศร้าเพราะนึกขึ้นได้ว่าไม่มีความเกี่ยวพันธ์กันทางสายเลือดแม้แต่น้อย”

“น่าสงสารนะคะ จิตแพทย์ไม่ช่วยให้โคลอี้ดีขึ้นเลยเหรอคะ?” วทานิกาถามพลางทรุดตัวลงนั่งในห้องรับแขกโอ่อ่า หรูหราทั้งยังอดยิ้มกับเบาะโซฟาที่หุ้มลายดอกไม้สีสันหวานๆ ซึ่งไม่เข้ากับเจ้าของที่มีบุคลิกแบดบอยอย่างทิโมธี

“ความจริงแล้วปราสาทหลังนี้ไม่ได้เข้ากับผมเลยแม้แต่นิดเดียว จะมีก็เพียงแค่ห้องนอนเท่านั้นล่ะที่จะตกแต่งแบบโมเดิร์นคลาสสิก เพราะฉะนั้นอย่างใช้สายตาขบขันมองผมอีกเป็นอันขาดเชียวแม่ตัวดี!” ทิโมธีนั้นเก่งนักเรื่องอ่านใจคนอื่น จากนั้นชายหนุ่มจึงทรุดตัวนั่งลงตรงกันข้ามกับนางแบบสาวพลางตอบคำถามเรื่องที่คุยกันค้างไว้เมื่อครู่ “อย่าพูดถึงจิตแพทย์ให้โคลอี้ได้ยินเชียวเพราะแกจะกรีดร้อง คลั่งราวกับคนบ้า แต่ผมก็ให้จิตแพทย์มาตรวจรักษาเหมือนหมอทั่วไป ซึ่งหมอบอกว่าต้องทำใจกับกิริยาของแกบ้างเพราะไม่ได้เข้าสังคม อยู่แต่ในบ้านก็จะรักและคุ้นชินกับคนในบ้านเท่านั้น เราก็เลยต้องปล่อยเพราะโคลอี้เองก็ไม่อยากออกไปไหนอยู่แล้วและก็ไม่ได้มีปัญหากับคนในบ้าน ทุกคนรักด้วยซ้ำเพราะแกออกจะขี้อ้อน”

“แล้วคุณหายไปสองวันอย่างนี้โคลอี้ไม่น้อยใจแย่เหรอคะ?”

“ก็คงจะมีบ้าง แต่ผมคุยแป๊บเดียวก็ไม่มีปัญหาแล้ว ความจริงผมก็ขลุกอยู่ที่อู่ต่อตัวถังรถเป็นประจำ” ทิโมธีบอกพลางมองใบหน้างดงามซึ่งเห็นได้ชัดว่าเธอกำลังกังวลใจ “ที่ผมเล่าให้ฟังเพราะอยากให้คุณทำใจรับรู้เอาไว้เท่านั้น จะเข้ากับคนในบ้านของผมได้หรือไม่ได้ก็ไม่ต้องซีเรียสหรอกนิก้า ผมบอกแล้วว่าคุณคือผู้หญิงของผม คือเรื่องส่วนตัวของผม”

ไม่รู้ทำไมนะ! เมื่อได้ยินว่าตนคือผู้หญิงของเขาแล้วหัวใจมันถึงได้เบิกบานนัก แต่ทั้งคู่ต้องหยุดบทสนทนาระหว่างกันลงเมื่อมีร่างของผู้หญิงวัยกลางคนที่ยังดูงดงาม สมส่วนเดินเข้ามาในห้อง วทานิกาจึงจะลุกขึ้นทักทายสมาชิกในบ้าน แต่เธอกลับยกมือห้ามไว้เสียก่อน

“ไม่ต้องเกรงใจนะคะ นั่งตามสบายเถอะ ดิฉันแค่มาดูให้เห็นกับตาเท่านั้นเพราะเด็กรับใช้ในบ้านต่างกรี๊ดกร๊าดกันใหญ่ว่าคุณทิมพาสาวสวยมาเยี่ยมปราสาทอีกแล้ว” แคโรลีนคลี่ยิ้มให้นางแบบสาว พร้อมกับยื่นมือไปสัมผัส ทักทายตามมารยาท “ดิฉันแคโรลีน ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ มองใกล้ๆแล้วคุณสวยมาก”

“ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันค่ะแคโรลีน เรียกดิฉันว่านิก้าก็ได้นะคะ” วทานิกาแนะนำตัวอย่างสุภาพยิ้มให้สุภาพสตรีที่แต่งตัวราวกับหลุดออกมาจากคอลเล็กชั่นของห้องเสื้อชั้นสูงแม้จะอยู่ในบ้านก็ตาม พลางกระจ่างแก่ใจว่าเธอสวยงามเช่นนี้สินะ ถึงได้เป็นภรรยาคนสุดท้ายของแอนโทนี่ แมคคิสัน ทั้งยังได้รับอนุญาตให้อาศัยอยู่ในปราสาทแมคคินสัน แม้ว่าสามีของเธอจะเสียชีวิตไปแล้วก็ตาม
“คุณต่างหากล่ะคะที่งดงามมากๆ”

แคโรลีนทรุดตัวลงนั่งพร้อมกับหัวเราะร่วนอย่างถูกใจกับคำพูดและแววตาชื่นชมของนางแบบสาว “อย่ามาชมคนแก่เลยค่ะ ดิฉันน่ะสี่สิบปลายๆแล้ว ไหนเลยจะสู้สาวๆอย่างคุณได้”

วทานิกาเลิกคิ้วได้รูปขึ้นราวกับไม่อยากเชื่อ! พลางคิดว่าเธอคงต้องดูแลร่างกายตัวเองเป็นอย่างดีถึงได้ดูอ่อนกว่าวัยเช่นนี้ “คงต้องขอเคล็ดลับดูแลตัวเองจากคุณบ้างแล้วล่ะค่ะ”

“พนันกันไหมนิก้าว่าคุณทำไม่ได้หรอก เพราะคุณเป็นผู้หญิงที่กินเก่ง ขี้เกียจออกกำลังกายนี่ดีนะที่กินเท่าไหร่ก็ไม่อ้วน ไม่อย่างนั้นคงไม่ได้เป็นนางแบบแน่!” ทิโมธีแซวผู้หญิงของตนเพราะตลอดระยะเวลาที่คบกันมาสิบเอ็ดเดือน เธอเป็นผู้หญิงคนแรกที่รับประทานอาหารแบบไม่มียั้ง ทั้งยังไม่ค่อยเสียเวลาเข้าโรงยิมเพื่อกำจัดไขมันส่วนเกินออกเช่นนางแบบคนอื่นๆ แต่เธอมักจะใช้เวลาว่างเดินซื้อของที่ระลึกแปลกๆส่งกลับไปให้ทางบ้าน ทำอาหารเลี้ยงเด็กในสถานสงเคราะห์และเข้าวัดทำบุญตามศาสนาที่เธอนับถือ “นิก้าเหมือนเกิดมาเป็นนางแบบโดยไม่ต้องพึ่งพรแสวง บอร์นทูบีอะไรทำนองนั้น”

“ดูเหมือนจะดีนะคะ แต่ทำไมไม่รู้นิก้าถึงได้เข้าใจว่าคุณกำลังประชด!” วทานิกาโต้กลับอย่างอายๆเพราะไม่คาดคิดว่าเขาจะเอาเรื่องส่วนตัวของเธอมาพูดให้คนในบ้านฟังเช่นนี้

หากแต่สายตาของแคโรลีนนั้นมองท่าทีหยอกล้อของคนทั้งคู่ด้วยความร้อนใจเพราะไม่เคยเห็น ลูกเลี้ยงของตนซึ่งได้ชื่อว่าเป็นแบดบอยไร้หัวใจจะหยอกล้อและสนใจเก็บเกี่ยวรายละเอียดของคู่นอนคนไหนมาก่อน ทั้งยังพูดจาหยอกล้อด้วยสายตาเอ็นดูยิ่งนัก สมองเจ้าแผนการจึงกำลังทำงานอย่างหนักเพื่อหาทางแยกทั้งคู่ออกจากกันก่อนที่ทิโมธีจะปักใจกับเธอมากกว่านี้! “งั้นยิ่งดีเลยสิคะ พ่อครัวที่นี่ทำอาหารได้อร่อยมาก นี่ก็ใกล้เวลาอาหารเย็นแล้วถ้าคุณกับคุณทิมไม่มีโปรแกรมต่อที่ไหนก็อยู่ทานอาหารเย็นด้วยกันนะคะ”

“นิก้าจะค้างที่นี่หนึ่งคืน พรุ่งนี้สายๆผมจะพานิก้าไปขี่ม้า อ้อ... แล้วอย่าลืมบอกคนดูแลม้าให้เตรียมม้าไว้ให้ผมด้วย” ทิโมธีสั่งด้วยน้ำเสียงทรงพลัง วางอำนาจจนวทานิกาต้องยิ้มอย่างเกรงใจให้สตรีที่นั่งร่วมวงสนทนา หากเจ้าตัวไม่ได้รู้สึกรู้สาแต่อย่างใดกลับนั่งไขว่ห้างเปิดหนังสือพิมพ์รายวันอ่านอย่างสบายอารมณ์ จากนั้นแคโรลีนจึงเดินออกไปนอกห้อง วทานิกาจึงหันมามองร่างสูงใหญ่ที่นั่งอยู่ข้างด้วยสายตาตำหนิ

“ทำไมถึงได้ไปออกคำสั่งกับแคโรลีนอย่างนั้นล่ะคะ ทำอย่างนั้นเหมือนไม่ให้เกียรติเธอเลย”

ทิโมธีลดหนังสือพิมพ์ในมือลง หรี่ตามองแม่คนมารยาทงามที่กำลังทำตัวเป็นแม่แก่อบรมสั่งสอนตน “ก็แคโรลีนเป็นคนดูแลบ้าน ถ้าผมไม่สั่งเธอแล้วจะให้ไปสั่งใคร อีกอย่างผมว่าในโลกนี้คงไม่มีแม่บ้านคนไหนได้สวมชุดแบรนด์เนมแพงระยับตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าอย่างแคโรลีนหรอก แค่ทำตามคำสั่งผมแค่นี้มันไม่ได้หนักหนาอะไรหรอกน่า...”

“เฮ้อ... ช่างเถอะค่ะ ยังไงๆ นิก้าก็ไม่เคยเถียงสู้คุณได้อยู่แล้ว” วทานิกาพูดอย่างปลงๆ พลางลุกขึ้นเดินดูของโชว์ที่จัดวางไว้อย่างเป็นระเบียบ “ไม้อ่อนดัดง่ายไม้แก่ดัดยาก!”

ทิโมธีเข้าใจความหมายของสำนวนแปลกหูที่เธอพูดเป็นอย่างดี หากตั้งใจจะตีรวนกวนประสาทให้เธอได้อายแล้วเลิกทำปากขมุบขมิบบ่นว่าตนอีกต่อไป “นิก้าของผม... ถ้าผมอ่อนปวกเปียกจะทำให้คุณครางได้ยังไง ผมต้องแข็งขัน ดัดยากสิ นิก้าถึงจะมีความสุข!”

“ทิโมธี! หยุดพูดนะคนลามก” วทานิกาอ้าปากค้างกับคำพูดคำจาสองแง่สองง่ามของผู้ชายปากร้ายซึ่งกำลังหัวเราะร่วน... โคลงศีรษะรับคำว่าอย่างไม่ทุกข์ร้อนพลางยกหนังสือพิมพ์ขึ้นอ่านต่อไป หากนึกหมั่นไส้ที่เขาสามารถลากทุกเรื่องให้เป็นน่าบนเตียงอันน่าอายได้

วทานิกากวาดสายตาไปเรื่อยๆและสะดุดอยู่กับภาพเล็กๆซึ่งใส่กรอบวางไว้ชั้นสูงสุดของตู้โชว์ไม้สีขาว โครงหน้างดงามและดวงตาเฉียบคมของผู้หญิงในรูปนี้เหมือนกันกับทิโมธีเป็นอย่างมาก แต่ก็ยังไม่มั่นใจนักว่าจะใช่แม่บังเกิดเกล้าของเขาที่เอ่ยถามคราใด ก็มักเลี่ยงตอบด้วยแววตาขุ่นเคือง หากจะเอ่ยปากถามก็กลัวว่าจะได้เห็นแววตาร้ายกาจนั้นอีกจนทำให้เสียบรรยากาศดีๆที่เป็นอยู่เช่นตอนนี้ วทานิกาจึงเลือกที่จะเงียบและเดินสำรวจของในห้องต่อไป...

แต่ด้านนอกห้องรับแขกอันหรูหรานี้ แคโรลีนกลับกำลังกัดฟันข่มอารมณ์โกรธกับคำพูดของทิโมธีที่เห็นตนเป็นเพียงแม่บ้านคอยดูแลปราสาทแมคคินสันนี้เท่านั้น ระยะเวลาสิบแปดปีที่ถูกกดขี่ข่มเหงจิตใจให้เป็นเพียงแค่เครื่องสนองอารมณ์ของไอ้แก่ตัณหากลับที่เห็นผู้หญิงเป็นเพียงแค่สิ่งของที่ซื้อหาได้ด้วยเงินเท่านั้น ตอนที่ไอ้แก่แอนโทนี่ตาย ตนก็คิดว่าจะได้เงินสักก้อนเพื่อเอาไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ แต่ทุกอย่างกลับต้องพังพินาศเมื่อไอ้แก่จากไปกะทันหัน ไม่ได้ทิ้งอะไรไว้ให้ตนเลยแม้แต่น้อย ให้เพียงเงินเดือนซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายประจำตัวและให้อำนาจในการเบิกจ่ายดูแลค่าใช้จ่ายภายในปราสาทแห่งนี้พร้อมที่ซุกหัวนอนไปวันๆเท่านั้น!!
ซึ่งแคโรลีนคิดว่ามันไม่คุ้มกับเวลาสิบห้าปีที่ตนต้องจมปรักใช้ชีวิตอยู่ในนี้เลย ม่ายสาวทรงเสน่ห์จึงเดินไปหลบในมุมส่วนตัวพลางต่อสายโทรศัพท์หาตัวช่วยสำคัญที่จะแยกทิโมธีและวทานิกาออกจากกันโดยเร็ว!!


สองชั่วโมงต่อมาปราสาทแมคคินสันซึ่งไม่ค่อยได้เปิดต้อนรับแขกผู้มาเยือนบ่อยเท่าใดนัก ก็ได้ต้อนรับสาวสวยถึงสองคน เมื่อลีเดีย แลนดอน ปรากฏตัวขึ้นก่อนที่ทุกคนจะลงมือรับประทานอาหารค่ำ

“สวัสดีค่ะทุกคน...” ลีเดียในชุดเดรสสีดำสั้นกุดเดินเข้ามาชะงักอยู่หน้าห้องอาหารเรียกความสนใจจากสายตาทุกคู่ให้หันมามองยังตนได้ จึงแสร้งทำท่าทางอย่างเกรงใจ “ตายจริง! ลีเดียขอโทษนะคะ ลืมไปเสียสนิทว่าเป็นเวลาอาหารเย็น พอดีลีเดียเพิ่งได้กระเป๋าคอลเล็กชั่นใหม่มาน่ะค่ะ เห็นแล้วอดนึกถึงคุณน้าแคโรลีนไม่ได้เลยถือวิสาสะมาหาโดยไม่ได้บอกกล่าวล่วงหน้า”
แคโรลีนรีบลุกขึ้นจากเก้าอี้โต๊ะอาหาร เดินเข้าไปส่งยิ้มเจ้าเล่ห์ให้กับลีเดีย “ขอบใจลีเดียมากๆนะจ๊ะที่อุตส่าห์นึกถึงน้า เอ่อ... คุณทิมคงไม่ว่าอะไรนะคะ ดิฉันเองก็ไม่ทราบว่าลีเดียจะมาเหมือนกัน”

เมื่อได้ยินแคโรลีนพูดขึ้นมาอย่างเกรงใจ ลีเดียที่รับมุกไหลตามน้ำเช่นกัน “ถ้าอย่างนั้นเอาไว้คุยกันวันหลังก็ได้นะคะ ลีเดียคงต้องขอตัวก่อน” พูดด้วยน้ำเสียงสลดพร้อมส่งถุงใบใหญ่ในมือให้แคโรลีน

“ไม่เป็นไรครับ ไหนๆก็มาแล้ว เรากำลังจะลงมือทานอาหารกันพอดี ถ้าไม่รังเกียจก็เชิญนะครับ” ทิโมธีนั่งอยู่หัวโต๊ะอาหารเอ่ยเชิญตามมารยาทพลางหันมายิ้มให้วทานิกาที่นั่งอยู่ด้านขวามือของตน “วันนี้ผมก็พานิก้ามาด้วย ทานกันหลายๆคนก็น่าจะครื้นเครงดี”

จบคำเชิญของเจ้าของปราสาทลีเดียก็เดินตามหลังแคโรลีนมานั่งเก้าอี้ตัวติดกัน ซึ่งแคโรลีนเป็นคนสั่งการให้เด็กรับใช้จัดอาหารเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งที่พร้อมแนะนำลูกสาวที่นั่งหน้าตึงอยู่ให้รู้จักกับลีเดีย “โคลอี้... ทักทายลีเดียหน่อยสิลูก”

โคลอี้ไม่ตอบรับแต่อย่างใด ไม่ยิ้มแย้มเพียงแค่นั่งตัวตรงนิ่งอยู่เช่นเดิมจนคนเป็นแม่ต้องออกหน้ารับแทนเพราะกลัวว่าลีเดียจะเคือง “ลีเดียอย่าไปถือสาเด็กไม่รู้จักมารยาทเลยนะจ๊ะ นั่งลงทานอาหารกันดีกว่า ความจริงน้าผิดเองที่ตามใจจนโคลอี้กลายเป็นเด็กเอาแต่ใจตัวเอง”

ลีเดียแสร้งยิ้มพร้อมกับทรุดตัวนั่งลงตามแรงดึงของแคโรลีนซึ่งนั่งลงตรงกลาง ขนาบข้างด้วยตนและเด็กพิการไร้การอบรม! หากต้องกัดฟันปลายตามองเด็กพิการปากดีด้วยความไม่พอใจ

“แล้วคนที่มาบ้านคนอื่นในเวลาอาหารเย็นนี่มีมารยาทเหรอคะ?” โคลอี้ลอยหน้าลอยตาถามขึ้น หากต้องหลบสายตาเมื่อทิโมธีส่ายหน้าเป็นเชิงปราม

“แกอย่ามาทำให้ฉันหมดความอดทนนะโคลอี้ นั่งเงียบๆได้ไหม” แคโรลีนเอียงตัวไปกระซิบเสียงต่ำปรามลูกสาวให้ได้ยินกันสองคน ในขณะที่อีกมือกำลังตบเบาๆเชิงให้กำลังใจกับลีเดีย “เอาล่ะค่ะ... ดิฉันว่าเราอย่าเสียเวลาอีกเลย เริ่มลงมือรับประทานอาหารกันดีกว่า”

“เดี๋ยวสิคะ ลีเดียยังไม่รู้จักอีกคนเลย” ลีเดียพูดพร้อมจ้องมองไปยังวทานิกาไม่วางตา “สวัสดีค่ะ ใช่นิก้านางแบบที่มีค่าตัวแพงที่สุดในโลกรึเปล่าคะ?”

วทานิกาลอบถอนหายใจกับคำทักทายที่แฝงไว้ด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน หากแต่ไม่อยากถือสาให้เสียบรรยากาศบนโต๊ะอาหาร “วทานิกา ซาฟินาค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักคุณนะคะลีเดีย ความจริงแล้วเรื่องค่าตอบแทนในการทำงานน่ะคงมีคนอื่นได้มากกว่าดิฉันอยู่หรอกค่ะแต่อาจจะยังไม่เป็นข่าว”

“อ่อ... แสดงว่าคุณชอบทำตัวเป็นข่าว จริงสิ! ยิ่งทำตัวเป็นข่างยิ่งดังใช่ไหม? เหมือนกับที่เป็นข่าวกับพี่ชายของฉันก็คงจะยิ่งทำให้ดังมากขึ้นสินะ?!” โคลอี้พูดโพล่งขึ้นทันที หากแต่ไม่มีใครพูดว่าอย่างไรอีกเพราะกำลังอยู่ในอารมณ์ที่แตกต่างกันลิบลับ มีเพียงทิโมธีที่เอ่ยชื่อเด็กสาวขึ้นด้วยน้ำเสียงดุต่ำแล้วจึงแตะลงบนหลังมือของวทานิการาวกับเตือนให้อดทนพลางเอ่ยเชิญทุกคนรับประทานอาหาร

แคโรลีนนึกขำนักที่ลูกสาวหมาบ้าของตนนักที่ทำตัวหวงทิโมธีราวกับเป็นพี่ชายสายเลือดเดียวกัน แต่ในขณะเดียวกันก็อยากตกรางวัลงามๆให้นักค่าที่ทำให้นางแบบสาวหน้าเสียไปทันตา “ลูกคนนี้นี่น่าลงโทษจริงๆ ทำไมถึงได้ชอบแขวะคนอื่นไปเรื่อยนะ”
วทานิกาจึงได้แต่ยิ้มเจื่อนๆให้แคโรลีนและโคลอี้ แต่เด็กสาวกลับเชิดหน้าใส่เสียดื้อๆ จึงได้แต่ลอบถอนหายใจแล้วจัดการกับอาหารของตัวเองต่อไปเงียบๆ

“ทิมคะ อีกสองสัปดาห์ข้างหน้านี้ ลีเดียจะจัดแสดงกระเป๋าคอลเล็กชั่นใหม่ที่เพิ่งนำเข้าจากอเมริกา มีทั้งของผู้ชายและผู้หญิงนะคะ คุณพอจะว่างไปนั่งเป็นแขกวีไอพีให้ลีเดียหน่อยได้ไหมคะ?” ลีเดียเอ่ยปากชวนชายหนุ่มที่นั่งรับประทานอาหารอยู่ตรงหัวโต๊ะด้วยน้ำเสียงออดอ้อนเกินกว่าเหตุ ทั้งยังส่งสายตาวิงวอนราวกับสนิทสนมกันมานานจนวทานิกาต้องทำเป็นมองไม่เห็นกับกิริยาเหล่านั้น

“แหม... น้านึกว่าลีเดียจะเชิญคุณทิมไปเดินแบบเสียอีก” แคโรลีนเอ่ยขึ้น

“ใจจริงก็อยากจะทำอย่างนั้นล่ะค่ะ ไม่รู้ว่าคุณจะให้เกียรติลีเดียรึเปล่าคะ?” ลีเดียถามด้วยน้ำเสียงเย้ายวนเช่นเคย
ทิโมธีโครงศีรษะพลางหัวเราะในลำคอหนาหึ... “อย่าเลยครับ ผมกลัวนายแบบทั้งหลายจะตกงานเอา ให้ไปนั่งดูอย่างเดียวท่าจะเหมาะกว่า อ้อ... เห็นว่าแบรนด์นี้กำลังได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก คอนแทรคของตัวแทนจำหน่ายคงแพงน่าดู”

“ก็เอาเรื่องอยู่เหมือนกันค่ะ แต่ลีเดียก็กล้าเสี่ยงเพราะกระเป๋าแบรนด์นี้มาแรงมาก การตลาดก็เยี่ยม อีกอย่างมันเป็นการเปิดโลกทัศน์ใหม่ๆ ลองของใหม่ๆที่ดูท่าว่าจะมาแรงไม่แพ้แบรนด์เก่าๆเลย” ลีเดียตอบ

“โธ่!... ใครมาได้ยินคงอดขำไม่ได้นะคะที่สองตระกูลใหญ่ของอังกฤษอย่างแมคคินสันและแลนดอนกำลังคุยกันเรื่องราคา” แคโรลีนจงใจจะพูดในทำนองที่ยกว่าทั้งคู่มาจากสองตระกูลใหญ่ที่มีศักดิ์ศรีสมกันและวทานิกาก็รับรู้ได้ถึงจุดประสงค์นั้นเป็นอย่างดีแต่ยังเลือกที่จะรับประทานอาหารเงียบๆต่อไป

“คุณน้าอย่าพูดอย่างนั้นเลยค่ะ คุณพ่อน่ะสอนลีเดียเสมอว่าทำธุรกิจก็ต้องลงทุน อยากประสบความสำเร็จมากกว่าคนอื่นก็ต้องใจกล้าที่จะเสี่ยง” ลีเดียบอกพร้อมปรายตามองนางแบบสาวที่นั่งซึมแต่ปากกลับถามทิโมธี “จริงรึเปล่าคะทิม?”

“เห็นจะเป็นอย่างนั้นล่ะครับ” ทิโมธีรับคำพร้อมชวนคุยเรื่องทั่วไปเช่นดินฟ้าอากาศและดูเหมือนว่าจะมีเพียงแค่ทิโมธี แคโรลีนและลีเดียเท่านั้นที่คุยกันอย่างออกรส จนลีเดียต้องหันมาใช้คำถามแสลงหูกับวทานิกา

“นิก้าคงเบื่อแย่นะคะ ที่เราคุยกันแต่เรื่องธุรกิจ เห็นเงียบไปเลย” ลีเดียถามแต่ไม่ทันที่วทานิกาจะได้ตอบ แคโรลีนก็ชิงพูดตัดหน้าขึ้นทันที

“ต้องทำใจนะจ๊ะ คุณพ่อของคุณทิมมักพูดอยู่เสมอว่าทุกลมหายใจเข้าออกของคนที่ประสบความสำเร็จในธุรกิจต้องมีแต่เรื่องงานอยู่ทุกเวลา”

“จริงด้วยค่ะ ความจริงลีเดียมีโอกาสได้ทำงานกับดารานางแบบที่เคยรู้จักทิมนะคะ ไม่ว่าจะเป็น...” ลีเดียเอ่ยชื่อดารานางแบบชื่อดังที่เคยมีข่าวกับแบดบอยหนุ่มขึ้นมาหลายชื่อ หวังสร้างความขุ่นเคืองใจให้วทานิกา “พวกเธอพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าคุณเป็นผู้ชายที่คิดถึงแต่เรื่องธุรกิจแม้เวลาที่กำลังลืมตัว ลีเดียถึงไม่แปลกใจเลยล่ะค่ะว่าทำไมคุณถึงได้ประสบความสำเร็จในธุรกิจขนาดนี้”

“ไม่ขนาดนั้นหรอกครับ ฟังดูแล้วเหมือนรู้สึกผิดต่อพวกเธอยังไงไม่รู้ อีกอย่างผมก็ไม่สามารถกลับไปแก้ไขอดีตให้พวกเธอพึงพอใจได้เพราะเดี๋ยวนิก้าจะโกรธ เธอขี้หึงน่ะครับ” ทิโมธีพูดจาขี้เล่นทั้งยังเอ่ยเย้าผู้หญิงที่นั่งอยู่ข้างๆอีกด้วย

“น่าอิจฉาจังนะคะ แต่ทำไมดูนิก้าซึมๆ?” ลีเดียเอ่ยถามต่อด้วยน้ำเสียงราวกับรู้สึกผิดนักหนา “ตายจริง! นี่คงไม่ได้โกรธลีเดียที่เอาเรื่องผู้หญิงของทิมมาพูดหรอกนะคะ?”

วทานิกาส่ายหน้ายิ้มน้อยๆอย่างมีมารยาท “เปล่าค่ะ ดิฉันไม่ได้โกรธค่ะเพียงแค่กำลังอร่อยอยู่กับอาหารเท่านั้น”

หากแต่สาวน้อยโคลอี้กลับกลอกตาขึ้นฟ้าอย่างละอาใจกับท่าทีต่างกันสุดขั้วของผู้หญิงของพี่ชาย คนหนึ่งเปรี้ยวจนเข็ดฟัน พูดจาไม่คำนึงถึงใจใคร ในขณะที่อีกคนหนึ่งเงียบจนน่าใจหายดูอ่อนปวกเปียก ไม่มีใครเหมาะสมกับผู้ชายอย่างพี่ชายของตนเลยสักนิด
“เฮ้อ! วันนี้พ่อครัวฝีมือตก ทำอาหารรสชาติแย่สุดๆ น้ำสลัดนี่ก็เปรี้ยวจนเข็ดฟัน ส่วนซุปนี่ก็จืดชืดจนน่าเบื่อ สรุปว่าโคลอี้ทานไม่ลงสักอย่าง ไม่ชอบเอามากๆ”

คำพูดของสาวน้อยผู้พิการที่ดังขึ้นทำให้คนบนโต๊ะอาหารต่างรู้ดีว่ากำลังเปรียบเทียบถึงใครเพราะรสชาติของอาหารทั้งสองจานที่โคลอี้พูดถึงนั้น พ่อครัวปรุงรสชาติได้กลมกล่อมแล้วและจากสถาณการณ์ตรงหน้านี้มันทำให้ทิโมธีเลือกที่จะเงียบเพราะอยากดูปฏิกิริยาของวทานิกา ผู้หญิงที่ตนเลือกคบหาด้วยนานที่สุด อยากรู้นักว่าเธอจะจัดการกับเหตุการณ์นี้อย่างไร

“แต่ลีเดียว่าถึงน้ำสลัดจะเปรี้ยวไปหน่อยแต่ก็มีผักหลายชนิดทำให้ได้รับรสสัมผัสอื่นด้วย จริงไหมคะทิม อีกอย่างเดาว่าทิมคงชอบแบบเปรี้ยวจนเข็ดฟันมันจะได้ไม่น่าเบื่อ” ลีเดียถามแต่เมื่อไม่ได้คำตอบจากชายหนุ่มที่นั่งนิ่งด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มจึงหันไปถามนางแบบสาวแทน “หรือนิก้าเห็นว่าไงคะ?”

“ของแบบนี้มันขึ้นอยู่ที่ความชอบของแต่ละบุคคลค่ะ ดิฉันไม่กล้าตัดสินใจแทนใครได้” วทานิกาข่มอารมณ์ตอบด้วยน้ำเสียงที่มั่นคง หากในใจรู้สึกโกรธขึ้นมาเป็นริ้วๆที่ทิโมธียังนั่งนิ่ง ไม่ออกโรงปกป้องตนเลยสักนิด!

“คงจะจริงอย่างที่นิก้าพูดนะคะ แต่ดูจากคู่ควงที่ผ่านมาของทิม น่าจะชอบอย่างที่ลีเดียพูดมากกว่า” ลีเดียพูดแล้วยกมือขึ้นปิดปากตัวเอง แสร้งทำใบหน้าตกใจทั้งขอโทษอยู่ในที “ตายจริง! ลีเดียเสียมารยาทยกเอาอดีตผู้หญิงของทิมขึ้นมาอีกแล้ว นิก้าอย่าถือสาเลยนะคะ”

“โธ่! พูดอะไรอย่างนั้นจ๊ะลีเดีย” แคโรลีนเอ่ยขึ้นผสมโรงพลางหันไปถามวทานิกา “ผู้ดีน่ะ ไม่โกรธกับเรื่องแค่นี้หรอกจ้ะ จริงไหมนิก้า?”

“ก็ไม่รู้สิคะ แต่คิดได้ว่าคนเราถูกอบรมเลี้ยงดูมาต่างกัน การที่เราจะถือสาหาความหรือยกเอาเกณฑ์ซักอย่างขึ้นมาวัดสเกลความมีมารยาทที่ถูกครอบครัวปลูกฝังมาคงต่างกัน เพราะฉะนั้น... ดิฉันก็ไม่รู้ว่าจะเก็บเอาเรื่องนี้มาถือสาทำไม” วทานิกาโต้กลับได้อย่างเฉียบขาดทว่านุ่มนวลนัก!!

“เหมือนกำลังจะโกรธลีเดียนะคะ” ลีเดียว่าพลางจิกเล็บลงบนฝ่ามือตัวเองแน่นอย่างข่มอารมณ์

“เปล่าค่ะ แค่เข้าใจว่าตัวเองคงเป็นผู้หญิงของผู้ชายเสเพล ย่อมเป็นเรื่องธรรมดาที่ความสัมพันธ์อันราบรื่นของเราจะเป็นภาพบาดตาบาดใจแก่อดีตหรืออนาคตที่ยังไม่มาถึงของเขา ความจริงแล้วดิฉันไม่เคยสนใจอดีตของทิมเลยนะคะเพราะต่อให้เขามีผู้หญิงในสต็อกเป็นโขยง ดิฉันก็คงไม่สามารถย้อนเวลาไปเปลี่ยนแปลงอะไรได้และก็อยากจะเตือนอนาคตที่ยังไม่มาถึงด้วยว่า ตอนนี้เป็นเวลาของดิฉันกับทิม ส่วนอนาคตที่ยังไม่มีถึงนั้นก็ควรจะอยู่อย่างเงียบๆ เจียมเนื้อเจียมตัวเสียก่อน” วทานิกายังตอบโต้ด้วยน้ำเสียงนิ่ง เด็ดขาดกว่าเดิม

“โอว... ตอนแรกคิดว่าซุปนี่รสชาติจืดชืดไปหน่อยแต่ที่ไหนได้โคลอี้ลืมคนซุปที่พ่อครัวซ่อนเกลือไว้ใต้ถ้วยนี่เอง” โคลอี้ลอยหน้าลอยตาพูดขึ้นมาอีกครั้ง พลางหันไปหาทิโมธี “พี่ลองทานดูสิคะ ใช้ได้อยู่เหมือนกัน”

คำพูดของโคลอี้เป็นประโยคสุดท้ายบนโต๊ะรับประทานอาหารเลิศรสหากฝืดเคืองในความรู้สึกของวทานิกานัก พลางแปลกใจตัวเองว่าทำไมต้องมานั่งฟังคำประชดประชันให้ตัวเองเจ็บใจเล่น ทำไมต้องออกหน้าพูดจาปกป้องผู้ชายที่นั่งอยู่ข้างๆทั้งที่เจ้าตัวมีท่าทางเฉยเมยราวกับว่ากำลังตั้งใจฟังอย่างสนุกทั้งที่มักเอ่ยปากว่าตนคือผู้หญิงของเขา แต่กลับไม่เอ่ยคำพูดใดที่ทำให้รับรู้ได้ว่าตนได้รับการปกป้องคุ้มภัยเลยสักนิด

ก่อนอาหารมื้อฝืดคอจะจบลง แคโรลีนยังออกปากขออนุญาตให้ลีเดียค้างที่นี่สักคืนโดยอ้างเหตุผลว่าไม่อยากให้ขับรถเดินทางกลับในยามดึกดื่นเพียงลำพังซึ่งทิโมธีเพียงแค่พยักหน้าเป็นการอนุญาตเท่านั้น



ศิริพารา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 21 พ.ค. 2558, 11:11:31 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 21 พ.ค. 2558, 11:11:31 น.

จำนวนการเข้าชม : 972





<< ตอนที่ 2 100%   ตอนที่ 4 100% >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account