ซ่อนรักเพลิงมายา
“รู้ไหมว่าผมชอบ... เวลาที่ขาเรียวๆ ของนิก้าเกี่ยวเอวผม จิกปลายเท้าลงบนแผ่นหลังผม
ใช่... ใช่... อย่างนั้นแหละนิก้า แม่สาวแสนซน”
ไม่เคยมีครั้งใดที่ ‘ทิโมธี แมคคินสัน’ วิศวกรมหาเศรษฐีผู้ร่ำรวยล้นฟ้า
จะถูกคู่ควงระดับซูเปอร์โมเดลแถวหน้าของโลกอย่าง ‘วทานิกา ซาฟินา’ ทำให้โมโหโทโสได้ถึงเพียงนี้
เพราะเพียงแค่ไม่กี่วันที่เขาไม่ได้นั่งอยู่ฟรอนต์โรว์ของรันเวย์เพื่อชื่นชมคู่ควงของตน
เธอกลับมีภาพหลุดจนเป็นข่าวฉาวโฉ่ไปทั่วโลกแล้วยังปากแข็ง แบล็กเมล์ความรู้สึกของเขาด้วยเหตุผลง่ายๆ
...มันเป็นเพียงเรื่องบังเอิญ!!
แล้วมีหรือที่แบดบอยไร้หัวใจ ผู้ไม่เคยแยแสกับความรู้สึกรักใคร่ใดๆ จะต้องเก็บเธอไว้ข้างกาย
ไม่เพียงแค่นางแบบสาวไม่กลับมาง้อขอคืนดี แต่เธอยังออกปากไล่ส่ง เป็นฝ่ายบอกตัดสัมพันธ์
ราวกับไม่เสียดายเลือดพรหมจรรย์ที่เขาเป็นผู้ทำลาย แถมควงผู้ชายเป็นข่าวใหญ่โตไม่เว้นแต่ละวัน!
การกระทำดังกล่าวมันเป็นการท้าทายแบดบอยไร้หัวใจอย่างเขายิ่งนัก
เธอคงไม่รู้เลยสินะ! ตลอดระยะเวลาที่แยกจากกัน เขาไม่สามารถกลับไปใช้ชีวิตเสเพลได้เช่นเคย
หากแต่ต้องนั่งมองรูปของเธอผ่านนิตยสาร
แล้วพาตัวเองเข้าสู่จินตนาการอันซ่านใจ โดยที่ไม่กล้าเปิดเผยเรื่องน่าอายเช่นนี้ให้ใครได้ล่วงรู้
ทิโมธีจึงต้องทำทุกวิถีทางเพื่อดึงเธอให้กลับมาอยู่ข้างกาย
เพียงเพราะต้องการสลัดตัวเองให้หลุดจากคำว่า ‘ไอ้โรคจิต’
ซึ่งเขาไม่อาจเดินเข้าไปปรึกษาเรื่องน่าอายเช่นนี้กับจิตแพทย์!!
จึงบีบบังคับเธอทุกทาง ดักหน้าล้อมหลัง โดยไม่สนใจว่าวิธีการนั้น
จะทำร้ายจิตใจและทำให้หัวใจของเธอบอบช้ำมากเพียงใด
แต่เธอกลับตอบโต้เขาด้วยวิธีการอันแยบยลจนทำให้เขาแทบบ้าตาย
ด้วยการประกาศต่อโลกอย่างชัดแจ้งว่าเธอคือซิงเกิลมัมที่ไม่ต้องการเอ่ยถึงพ่อของลูก!
...แล้วแบดบอยหนุ่มผู้ถูกเลี้ยงให้เติบโตขึ้นมา
ท่ามกลางอคติต่อคู่ชีวิตและทะเบียนสมรส
จะดึงเธอกลับเข้าสู่อ้อมกอดได้อย่างไร
เมื่อเธอคือผู้หญิงโลภมากที่กล้าเรียกร้องทั้งสองสิ่งนั้นจากเขา
ด้วยคำพูดที่ว่า...
“กับเรื่องของความรักแล้ว ฉันออกจะโลภมากเสียด้วยซ้ำ
เพราะไม่ได้อยากพิเศษเหนือผู้หญิงคนอื่น
แค่อยากให้รักฉันเหมือนที่ฉันรักคุณเท่านั้นเอง”
ใช่... ใช่... อย่างนั้นแหละนิก้า แม่สาวแสนซน”
ไม่เคยมีครั้งใดที่ ‘ทิโมธี แมคคินสัน’ วิศวกรมหาเศรษฐีผู้ร่ำรวยล้นฟ้า
จะถูกคู่ควงระดับซูเปอร์โมเดลแถวหน้าของโลกอย่าง ‘วทานิกา ซาฟินา’ ทำให้โมโหโทโสได้ถึงเพียงนี้
เพราะเพียงแค่ไม่กี่วันที่เขาไม่ได้นั่งอยู่ฟรอนต์โรว์ของรันเวย์เพื่อชื่นชมคู่ควงของตน
เธอกลับมีภาพหลุดจนเป็นข่าวฉาวโฉ่ไปทั่วโลกแล้วยังปากแข็ง แบล็กเมล์ความรู้สึกของเขาด้วยเหตุผลง่ายๆ
...มันเป็นเพียงเรื่องบังเอิญ!!
แล้วมีหรือที่แบดบอยไร้หัวใจ ผู้ไม่เคยแยแสกับความรู้สึกรักใคร่ใดๆ จะต้องเก็บเธอไว้ข้างกาย
ไม่เพียงแค่นางแบบสาวไม่กลับมาง้อขอคืนดี แต่เธอยังออกปากไล่ส่ง เป็นฝ่ายบอกตัดสัมพันธ์
ราวกับไม่เสียดายเลือดพรหมจรรย์ที่เขาเป็นผู้ทำลาย แถมควงผู้ชายเป็นข่าวใหญ่โตไม่เว้นแต่ละวัน!
การกระทำดังกล่าวมันเป็นการท้าทายแบดบอยไร้หัวใจอย่างเขายิ่งนัก
เธอคงไม่รู้เลยสินะ! ตลอดระยะเวลาที่แยกจากกัน เขาไม่สามารถกลับไปใช้ชีวิตเสเพลได้เช่นเคย
หากแต่ต้องนั่งมองรูปของเธอผ่านนิตยสาร
แล้วพาตัวเองเข้าสู่จินตนาการอันซ่านใจ โดยที่ไม่กล้าเปิดเผยเรื่องน่าอายเช่นนี้ให้ใครได้ล่วงรู้
ทิโมธีจึงต้องทำทุกวิถีทางเพื่อดึงเธอให้กลับมาอยู่ข้างกาย
เพียงเพราะต้องการสลัดตัวเองให้หลุดจากคำว่า ‘ไอ้โรคจิต’
ซึ่งเขาไม่อาจเดินเข้าไปปรึกษาเรื่องน่าอายเช่นนี้กับจิตแพทย์!!
จึงบีบบังคับเธอทุกทาง ดักหน้าล้อมหลัง โดยไม่สนใจว่าวิธีการนั้น
จะทำร้ายจิตใจและทำให้หัวใจของเธอบอบช้ำมากเพียงใด
แต่เธอกลับตอบโต้เขาด้วยวิธีการอันแยบยลจนทำให้เขาแทบบ้าตาย
ด้วยการประกาศต่อโลกอย่างชัดแจ้งว่าเธอคือซิงเกิลมัมที่ไม่ต้องการเอ่ยถึงพ่อของลูก!
...แล้วแบดบอยหนุ่มผู้ถูกเลี้ยงให้เติบโตขึ้นมา
ท่ามกลางอคติต่อคู่ชีวิตและทะเบียนสมรส
จะดึงเธอกลับเข้าสู่อ้อมกอดได้อย่างไร
เมื่อเธอคือผู้หญิงโลภมากที่กล้าเรียกร้องทั้งสองสิ่งนั้นจากเขา
ด้วยคำพูดที่ว่า...
“กับเรื่องของความรักแล้ว ฉันออกจะโลภมากเสียด้วยซ้ำ
เพราะไม่ได้อยากพิเศษเหนือผู้หญิงคนอื่น
แค่อยากให้รักฉันเหมือนที่ฉันรักคุณเท่านั้นเอง”
Tags: ทิโมธี - วทานิกา
ตอน: ตอนที่ 4 100%
หลังอาหารราวสามสิบนาทีวทานิกาจึงได้มีโอกาสอยู่ในห้องนั่งเล่นตามลำพังกับทิโมธี เพราะแคโรลีนและลีเดียขอตัวไปพักผ่อน ส่วนโคลอี้ก็ขอตัวกลับเข้าห้องเพราะเสพติดการสื่อสารผ่านโลกออนไลน์ แต่ก่อนที่จะจากไปยังไม่วายมองวทานิกาตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าราวกับขบขันนักหนา จนทำให้นางแบบสาวรู้สึกอึดอัดใจยิ่งนัก
“นิก้าอยากกลับบ้านค่ะ”
ทิโมธีละสายตาจากทีวีจอใหญ่มองไปยังร่างระหงที่ยืนกอดอก ทอดอารมณ์อยู่ริมหน้าต่าง “ดึกแล้วนะนิก้า ค้างที่กับผมสักคืนพรุ่งนี้ค่อยกลับดีกว่า”
“งั้นนิก้าจะให้ดาเรียมารับ”
“รบกวนคนอื่นเปล่าๆน่า...” ทิโมธีตอบด้วยน้ำเสียงติดรำคาญ จับจ้องสารคดีตรงหน้าราวกับสนอกสนใจนักหนาแต่ในใจกลับหัวเราะให้กับท่าทางโกรธงอนของเธอ
“งั้นนิกาเรียกแท็กซี่กลับเองก็ได้” วทานิกาหมดความอดทนเดินพรวดพราดออกมาคว้ากระเป๋าถือขึ้นคล้องที่หัวไหล่อย่างรวดเร็ว หากแต่ยังก้าวไม่ทันได้พ้นห้องนั่งเล่นหรู ก็ถูกท่อนแขนแข็งแรงรวบเข้าที่เอวพร้อมกับตกอยู่ในอ้อมกอดหนาแน่นทันที
“เป็นอะไรไปอีกล่ะคนสวย?” ทิโมธีรั้งร่างระเหิดระหงไว้ในอ้อมกอด คลอเคลียอกระซิบถามชิดใบหูบาง “ไม่อยากค้างกับผมสักคืนหรือไง?”
วทานิกาได้ยินคำถามที่พูดออกมาราวกับว่าตนเป็นคนเสพติดเซ็กซ์จากเขาด้วยความโมโหพลางดิ้นขยุกขยิกออกจากอ้อมกอดหนาแน่นด้วยความคิดที่โพล่งขึ้นมาว่า ความจริงแล้วเขาคงเห็นเธอไม่ต่างจากคู่ควงที่ผ่านมาสินะถึงได้คิดว่าต้องดีใจระริกระรี้เมื่อเขายกเอาเรื่องบนเตียงขึ้นมาอ้าง “ปล่อยฉันนะทิโมธี! ฉันจะกลับบ้าน ฉันไม่ใช่ของเล่นหรือผู้หญิงใจง่ายที่คุณจะใช้เซ็กซ์เข้าล่อ แล้วต้องหมอบราบคาบแก้วคลานเข่าเข้าไปประจบเพื่อแลกกับมันหรอกนะ ปล่อย! ฉันจะกลับ”
“ปล่อยให้โง่... กว่าจะล่อนิก้ามาได้ เรื่องอะไรจะปล่อยตัวไปง่ายๆ” ทิโมธีไม่ง้อ ไม่แก้คำความคิดของหญิงสาวในอ้อมแขนเสียใหม่ แต่กลับใช้คำพูดยั่วยุให้เกิดความขุ่นเคืองมากขึ้นพร้อมออกแรงรัดร่างบางแน่นขึ้นจนปลายเท้าลอยหวือจากพื้น เคลื่อนตัวอย่างรวดเร็วออกไปยืนอยู่ที่ริมระเบียงกว้าง “ตรงนี้ก็วิวดีนะนิก้า ผมว่าถ้าเราได้ลองกันตรงนี้สักครั้ง นิก้าอาจเปลี่ยนใจมาหมอบราบคาบแก้วให้ผมก็ได้”
“ไอ้คนลามก บ้าที่สุด ปล่อยเดี๋ยวนี้นะ!” วทานิกาดิ้นสุดแรงหากแต่ไม่พ้นจากพันธนาการอันหนาแน่น จนแล้วจนรอดก็ต้องตกอยู่ในอ้อมกอดแข็งแรง หอบหายใจฮักๆ เอี้ยวมองใบหน้าคร้ามคมด้วยสายตาเกรี้ยวกราด
“หึ... บอกแล้วว่าอย่าพยศนัก สู้เก็บแรงไว้โชว์ท่าควบม้าดีกว่า”
“ฉันจะทนไม่ไหวแล้วนะทิโมธี คุณมันน่ารังเกียจ ผู้ชายเหลือทน!”
“อา... อดใจรอให้ถึงพรุ่งนี้ก็ไม่ได้เหรอคนสวย จะควบม้าตอนนี้มันอันตรายนะ มืดๆแบบนี้ตกหลังม้าแข็งขาหักไปจะทำยังไง” ทิโมธียังยั่วให้หญิงสาวโกรธต่อ จมูกโด่งกดลงบนแก้มนุ่ม สะเปะสะปะไปทั่วลำคอระหงอย่างไม่สนใจกับอาการขัดขืนของเจ้าของร่าง “ผมบอกแล้วใช่ไหมว่าอย่าไปใส่ใจกับคำพูดของคนอื่น โกรธคนอื่นแล้วมางอนกับผมนี่ไม่ยุติธรรมเลยนะ นิก้าของผม”
ไม่น่าเชื่อว่าน้ำเสียงที่นุ่มลึกกับการคลอเคลียของคนตัวโตที่กอดซ้อนอยู่ด้านหลังทำให้ความโกรธของวทานิกาลดลงกว่าครึ่ง หากยังมีความน้อยใจที่ทำให้ไม่เข้าใจตัวเองว่า ทำไมทุกครั้งที่เขายั่วโมโหจะโกรธได้ไม่ถึงชั่วโมง ใจไม่รักดีก็อภัยให้จนหมดสิ้น! “ไม่ต้องมากอด ไม่ต้องมาหอม เชิญไปหอมผู้หญิงที่คุณชอบโน่น ป่านนี้เธอคงรออยู่บนเตียงแล้ว เอ๊ะ! บอกว่าปล่อยนะ”
ทิโมธีกดจมูกลงบนแก้มหนักๆ สูดเอาความหอมเฉพาะตัวเข้าเต็มปอด หมั่นไส้ท่าทางแสนงอนนี้นัก “ตอนนี้ผู้หญิงของผมอยู่ตรงนี้แล้ว จะไปกอดไปหอมผู้หญิงคนอื่นทำไม ผมยังไม่ได้พูดสักคำว่าชอบทานสลัด”
“ไม่เคยพูดแต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ!” วทานิกาถอนหายใจเฮือกใหญ่ เมื่อยอมรับกับตัวเองว่าไปไหนไม่รอด หัวใจอ่อนยวบเพียงแค่ได้ยินคำว่าตนเป็นผู้หญิงของเขา “ต่อไปนี้ ฉันไม่รู้จะอดทนกับผู้หญิงที่เรียงหน้าเข้ามาระรานเพราะอยากได้คุณไปได้สักเท่าไหร่ มันไม่ใช่วิสัยของฉันเลย”
ทิโมธีเลิกคิ้วขึ้นกับคำพูดแบ่งรับแบ่งสู้นั้นพลางชวนหญิงสาวเปลี่ยนเรื่องคุยเพราะยังไม่เคยวาดอนาคตของตนไว้กับผู้หญิงคนไหนสักที หากแต่ตอนนี้รู้สึกมีความสุขนักที่ได้มีแม่สาวร่างบาง วันๆขยันแสดงอารมณ์หลากหลายออกมาอย่างไม่ยั้ง “พูดไม่เพราะอย่างนี้ต้องถูกทำโทษรู้ไหม อายุเท่าไหร่เองทำไมไม่แทนตัวเองว่า ‘นิก้า’ เหมือนเดิม”
“อย่าเปลี่ยนเรื่องดีกว่า จริงๆนะคะทิม สิบเอ็ดเดือนที่คบกันมา ฉันมีความสุขมากเราเข้ากันได้ดีในทุกเรื่อง แต่ฉันจะท้อแท้ทุกครั้งที่คนอื่นชอบถามถึงเรื่องอนาคตของเรา” หนึ่งในนั้นคือมารดาที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย ซึ่งคอยไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบอยู่เป็นประจำ ทั้งยังเคยออกปากกลัวว่าตนจะพลาดพลั้งเสียทีให้กับแบดบอยผู้นี้ในสักวัน แต่หญิงสาวกลับเลือกที่จะไม่เอ่ยถึงเรื่องครอบครัวออกมาเพราะเข้าใจดีว่า ทิโมธีนั้นไม่เคยยกเอาเรื่องในครอบครัวขึ้นมาเป็นเงื่อนไขในการคบหากันเลย แต่บัดนี้กลับรู้สึกสังหรณ์ใจว่าเรื่องของครอบครัวเขาจะกลายมาเป็นประเด็นให้เกิดการความขุ่นข้องหมองใจขึ้น
ทิโมธีใช้มือข้างหนึ่งกดหน้าท้องแบนราบให้อิงแนบตลอดร่างกายด้านหน้าของตน ใช้อีกมือหนึ่งลูบเรียวแขนเสลาขึ้นลงราวกับปลอบประโลม “ผมบอกแล้วว่ามันเป็นเรื่องของอนาคต ถึงแม้ว่าจะมีผู้หญิงเป็นร้อยเป็นพัน เข้ามาพัวพันในชีวิตของผม พวกเธอก็ไม่สามารถทำให้ผมไขว้เขวได้ตราบใดที่ผมยังกอดนิก้าแล้วรู้สึกวิเศษอย่างนี้ ต่อให้พวกเธอยั่วยวนให้ท่าผมเช้าเย็นผมก็ไม่มีวันที่จะละสายตาไปจากเรือนร่างอันเย้ายวนของนิก้าที่ทำให้ผมแทบคลั่งตายทุกครั้งเวลาเรารักกัน อดีตที่ผ่านมาของผมมันอาจทำให้นิก้าเป็นกังวลแต่ผมจะย้ำด้วยความสัตย์จริงว่า ผมคบผู้หญิงทีละคนไม่เคยคั่วผู้หญิงหลายๆคนอย่างที่เป็นข่าวเลย คุณพูดถูกที่ไม่สนใจอดีตที่ผ่านมาของผมแล้วทำไมต้องสนใจกับอนาคตที่ยังมาไม่ถึงด้วย แค่เรามีความสุขทุกวินาทีที่อยู่ด้วยกันก็พอแล้วนี่”
วทานิกาถอนหายใจออกมาอีกครั้งอย่างวางใจเมื่อได้ยินคำพูดที่ออกมาจากปากบึกบึน แต่มันจะไม่ใช่คำสารภาพรักที่อยากได้ยิน จึงลองเปลี่ยนคำถามใหม่ “แล้วถ้าอย่างนั้น คุณรู้สึกยังไงกับนิก้าคะ?” หากความจริงแล้วอยากถามไปตรงว่า ‘คุณรักนิก้าบ้างรึเปล่าคะ?’ แต่ก็ไม่กล้าถามออกมาตรงๆ
“รู้สึกพิเศษมากๆ ไม่อย่างนั้นคงไม่คบกันนานขนาดนี้ จริงสิ... เราคบกันจะปีแล้วนะนิก้า ยังไม่ไว้ใจผมอีกเหรอ?”
ช่างตอบได้ไม่ตรงคำถามนัก วทานิกาตัดพ้อในใจ “ไม่ใช่ไม่ไว้ใจค่ะ แต่... ก็ต้องอยากได้ยินจากปากของคุณบ้าง หลายคู่ที่ให้คำสาบานกันต่อหน้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็ยังเลิกรากันไปโดยไม่แยแสต่อคำสาบาน แล้วจะให้มั่นใจเต็มร้อยได้ยังไง”
“รู้ไหมว่าความหึงหวงจะลดทอนความมีเหตุผลของคนเราลงไป และนิก้ากำลังหึงนะคนสวย”
“แล้วไม่ได้เหรอคะ?” วทานิกาถามกลับอย่างไม่ต้องคิด เรียกเสียงหัวเราะร่วนจากผู้ชายหล่อเหลาซึ่งกกกอดตนไว้อย่างแนบแน่นได้เป็นอย่างดี
“ความจริงผมไม่เคยชอบความรู้สึกที่ว่านี้เลย ผู้หญิงคิดว่ามันเป็นการแสดงความรักแต่ผมกลับมองว่ามันเป็นการไม่ไว้ใจ ไม่เชื่อใจ”
“นั่นอาจเป็นเพราะคุณยังไม่เคยรักผู้หญิงคนไหนจนเกิดความรู้สึกนั้นขึ้นมาต่างหาก ทำไมไม่ลองคิดว่าถ้าทำตัวเปิดเผย ซื่อตรงจะมีใครคิดหึงหวงบ้าง” วทานิกาพูดขึ้นทั้งที่ทิโมธียังพูดไม่จบประโยค
“ที่ผมไม่ชอบความรู้สึกหึงหวงนี้เพราะมันทำให้คนเราเกิดทิฐิ ไม่ยอมฟังเหตุผลอะไรทั้งสิ้นเหมือนกับที่นิก้าไม่ยอมฟังผมพูดให้จบประโยค” ทิโมธีรัดร่างระหงในอ้อมกอดแน่นขึ้น กางขาออกกว้างลดความสูงของตนลงเพื่อเกยคางไว้กับบ่าบอบบาง “ผมบอกว่าไม่เคยชอบความรู้สึกนี้ เพราะมันแสดงถึงความไม่ไว้ใจ ไม่ให้เกียรติ แต่ผมกลับชอบให้นิก้าหึงหวงผม จนแสดงอาการพยศอย่างนี้ ท้าทายให้ผมอยากปราบพยศของคุณ ผมชอบมองสีหน้าโกรธ โมโห หึง หวง สุดท้ายก็ยอมสยบอยู่ในอ้อมกอดของผม มองผมด้วยสายตาแสนรักเหมือนเดิม”
วทานิกาเผลอยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว ทอดสายตามองออกไปไกลในบรรยากาศมืดมิดยามค่ำคืนพร้อมฟังน้ำเสียงทุ้มที่พูดต่อไปเรื่อยๆ
“ผมอยากให้นิกายอมรับในสิ่งที่ผมเป็น ผมไม่ใช่ผู้ชายที่จะเอ่ยปากบอกรักใครได้อย่างพร่ำเพื่อเพราะผมเติบโตมาไม่เหมือนเด็กคนอื่น ผมโตมากับความเข้มแข็งของคนเป็นพ่อ เรียนรู้ว่าผู้หญิงส่วนมากที่เข้ามาหาเพียงเพราะต้องการชื่อเสียงเงินทอง เพราะพ่อผมท่านเคยถูกผู้หญิงใจร้ายคนนึงหักหลัง” ทิโมธีเผลอเล่าเผยเรื่องราวส่วนตัวของตนที่ไม่เคยได้พูดให้ใครฟังมาก่อน
“ผู้หญิงคนนั้นคือคุณแม่ของคุณใช่ไหมคะ?” วทานิกาถามพร้อมหันไปสบสายตาคมกริบ “เล่าให้นิก้าฟังบ้างสิคะ ถ้าคุณเห็นว่านิก้าพิเศษกว่าผู้หญิงที่ผ่านมา ผู้หญิงสวยในรูปที่มีดวงตาและโครงหน้าเหมือนกันกับคุณคนนั้นคือคุณแม่ของคุณใช่รึเปล่าคะ?”
ทิโมธีพยักหน้ารับเงียบๆ ฟังเสียงเจื้อยแจ้วถามต่อไป...
“ไม่เคยพบหน้าท่านอีกเลยเหรอคะ?”
“ไม่เลย... ผมแทบจะไม่มีความทรงจำของแม่อยู่ในสมอง ที่หลงเหลืออยู่ก็มีแต่รูปภาพในอิริยาบทต่างๆที่เห็นทั่วบ้าน กับความแค้นใจของพ่อและคำถามคาใจของผมเท่านั้น!”
วทานิกาวางมือนุ่มของตนลงบนหลังมือใหญ่อย่างปลอบประโลม เพราะรู้สึกได้ถึงความสับสนและอ้างว้างสะสมอยู่ในตัวของผู้ชายคนนี้ “นิก้าพอจะเดาออกนะคะว่าคุณต้องเติบโตมาด้วยคับแค้นใจของพ่อ แต่ก็ไม่อยากให้ตัดสินว่าแม่ของคุณเป็นคนผิดเพราะเรายังไม่รู้แน่ชัดเลยนี่คะ ว่าเกิดเรื่องราวอะไรขึ้น?”
“แม่หนีตามคนสนิทของพ่อไปตั้งแต่ผมอายุยังไม่ถึงหนึ่งขวบด้วยซ้ำ ซึ่งในตอนนั้นผมจำความอะไรไม่ได้เลย ไม่เคยได้รู้ข่าวคราวของแม่มาตลอดระยะเวลาสามสิบกว่าปีที่ผ่านมา ไม่เคยมีใครรู้ว่าท่านอยู่ที่ไหน และท่านก็ไม่เคยติดต่อกลับมาเลยซักครั้ง” ทิโมธีถ่ายทอดออกมาด้วยน้ำเสียงที่รับรู้ได้ว่าปวดร้าวแค่ไหน “ผมเห็นภาพของแม่ในตอนที่ท่านยังสาวๆอยู่ทั่วทุกมุมของบ้าน พ่อไม่เคยปิดบังผมเกี่ยวกับเรื่องของแม่ ท่านเล่าทุกอย่างทุกการกระทำอันทรยศ คิดไม่ซื่อให้ฟังด้วยความเจ็บปวดหัวใจ ถึงแม้ว่าพ่อจะยกผู้หญิงหลายคนขึ้นมาเป็นเมียแต่ผมก็รู้ว่าไม่มีใครมาแทนที่ของแม่ได้”
“นิก้าพอจะเดาได้ค่ะเพราะจากที่เดินดูรูปแล้วไม่มีรูปของผู้หญิงคนไหนเลยนอกจากคุณแม่ของคุณ”
“ทั้งรักทั้งเกลียดไง ผมสัมผัสได้ถึงความรู้สึกรุนแรงนั้นในตัวของพ่อ” ทิโมธีบอกราวกับว่าชินชาต่อความรู้สึกอันรุนแรงนั้นมาตั้งแต่เล็กจนโต หากแต่ความจริงแล้วในหัวสมองของเขากลับมีแต่คำถามหลายอย่างเกี่ยวข้องกับการจากไปและไม่ติดต่อกลับมาของแม่บังเกิดเกล้า
“หวังว่าคุณคงไม่ได้รู้สึกอย่างนั้นเหมือนคุณพ่อนะคะ”
“ก็ไม่เชิงนะ ถึงผมจะเติบโตมาด้วยคำพูดของพ่อที่กรอกหูเช้าเย็นว่าแม่เป็นผู้หญิงมักมาก ทิ้งผมไปโดยไม่สนใจไยดี ผมก็ไม่ได้มองว่าแม่ผิดไปทั้งหมด ผมแค่เชื่อเรียนรู้จากคำพูดของพ่อว่าผู้หญิงมีมารยาด้วยกันทั้งนั้น ส่วนจะมากจะน้อยก็คงแตกต่างกันไป ท่านทำให้ผมได้ระวังตัวมากขึ้น แต่ในขณะที่ผมรับรู้ว่าแม่หนีตามผู้ชายไปและเกิดคำถามขึ้นมาว่า เต็มใจหนีหรือถูกบังคับใจ?
ความคิดผมจะตีรวนกันไปหมดเพราะถ้าไม่เต็มใจหนีไป แม่คงต้องส่งข่าวหรือติดต่อกลับมาบ้าง ไม่ใช่ว่าเงียบหายไปอย่างนี้”
วทานิกาหมุนตัวหันหน้าเข้าหาร่างสูงใหญ่ ประคองใบหน้าคร้ามคมราวกับปลอบประโลมเด็กขาดความอบอุ่น “อย่าคิดมากเลยนะคะ นิก้าเชื่อว่าคุณแม่ของคุณท่านต้องมีเหตุผล ไม่มีผู้หญิงคนไหนทิ้งลูกในไส้ของตัวเองได้ลงคอหรอกนะคะ”
“สงสารผมไหมนิก้า?” ทิโมธีถามด้วยน้ำเสียงออดอ้อน ทั้งยังวางศีรษะลงบนบ่าบอบบางอย่างเรียกร้องความเห็นใจ
“ที่สุดเลยค่ะ นิก้าน่าจะเจอคุณเร็วกว่านี้ จะชวนไปอยู่ด้วยกันเพราะครอบครัวของนิก้าอุ่นจนบางทีดูเหมือนร้อน” วทานิกาพูดติดตลกให้ชายหนุ่มตรงหน้าได้คลายความเศร้า หากคิดผิดถนัด! เพราะผู้ชายเจ้าเล่ห์มากประสบการณ์อย่างทิโมธีมีเหรอจะทำตัวเองให้จมอยู่กับความทุกข์นั้น มันเป็นเพียงปมในใจที่รอเวลาให้ใครสักคนมาแก้ไขเท่านั้น
“ถ้าสงสารก็อยู่กับผมนะเด็กดี ปลอบประโลมผม อย่าทิ้งผมไปอีกคน” ทิโมธีกลั้นยิ้มพูดราวกับว่าโหยหาความอบอุ่นหนักหนาทั้งที่ตนได้ซ่อนความรู้สึกนี้ลึกจนถึงก้นบึ้งของหัวใจจนยากที่ใครจะค้นเจอ จนเกือบลืมไปเสียแล้วว่าโหยหาความรู้สึกละเอียดอ่อนเช่นนั้น “ผมอยากสอนนิก้าควบม้า”
“ก็ไหนว่ามันดึกแล้วไงคะ ต้องรอพรุ่งนี้ไม่ใช่เหรอ?”
“ขี่ม้าน่ะพรุ่งนี้ แต่ควบม้า บังคับม้าน่ะบนเตียงของผมไงนิก้า...” ทิโมธีบอกพร้อมช้อนร่างระหงขึ้นไว้ในวงแขนอย่างรวดเร็ว ยิ้มใส่ตาแม่คนขี้อายที่ขยันแก้มแดงได้ทุกครั้งที่พูดถึงเรื่องบนเตียง “แก้มนิก้าแดงขนาดนี้ ทั้งตัวคงเป็นสีชมพูจัดแน่เลย”
“คนลามก ปล่อยเลยนะ ไม่อายคนอื่นบ้างหรือยังไง?” วทานิกาดิ้นแต่ไม่จริงจังนักเพราะกำลังมีความสุขกับผู้ชายขี้อ้อนที่ทำตัวได้น่ารักจนต้องยอมศิโรราบอย่างหมดทางสู้ “ปล่อยเถอะค่ะ นิก้าเดินเองได้ เดี๋ยวใครมาเห็นเข้าอายตายเลย”
“อายทำไม อีกอย่างนี่มันบ้านผม เจ้าของบ้านจะทำอะไรยังไงทำไมต้องอายคนอาศัย สมองกลับรึเปล่าคนสวย” ทิโมธีตีหน้าตายพูดทั้งยังเดินขึ้นชั้นบนด้วยความมั่นคง ฮึกเหิมใจเมื่อสามารถปราบพยศผู้หญิงของตนให้อยู่ในการควบคุม แต่ก็อดแปลกใจตัวเองไม่ได้ที่เอ่ยปากเล่าเรื่องราวส่วนตัวให้ฟังอย่างละเอียด และเกิดคำถามซึ่งไม่สามารถให้คำตอบกับตัวเองขึ้นอีกบ่อยครั้ง ‘หรือวทานิกาจะเป็นผู้หญิงที่ตนพร้อมจะร่วมทุกข์ร่วมสุขไปจนแก่จนเฒ่า?!’
แต่กำแพงน้ำแข็งในใจที่ทิโมธีสร้างขึ้นเพื่อซ่อนเร้นความรู้สึกเจ็บปวดจากมารดานั้นแข็งแกร่งยิ่งนัก และมันก็ยังไม่มีใครที่จะสามารถทลายกำแพงนี้ลงได้ ‘อนาคตจะเป็นอย่างไรนั้นเขาไม่รู้ รู้แต่เพียงว่าตอนนี้นั้นถูกใจ หลงใหลผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้านัก!’
ความคิดทุกอย่างพังทลายลงเมื่อบรรจงวางร่างระเหิดระหงลงบนเตียงนุ่มอย่างเบามือ ชักชวนให้หญิงสาวหลงวนเวียนอยู่ในแรงปรารถนาที่ร่วมกันสร้างขึ้น และเป็นอีกในหลายครั้งที่ทั้งคู่ไม่ได้ป้องกันตัวเองจากความสัมพันธ์อันก่อให้เกิดสิ่งมีชีวิตอันบริสุทธิ์เลย!!
ในขณะที่ลีเดียกำลังวางแผนหาทางกำจัดวทานิกาออกไปให้พ้นจากชีวิตของทิโมธี เพราะบังเอิญไปเห็นภาพบาดตาบาดใจที่ทิโมธีอุ้มวทานิกาเดินขึ้นบันไดขึ้นไปยังห้องนอน ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าตอนนี้ทั้งคู่คงกำลังกอดรัดฟัดเหวี่ยงกันอย่างมีความสุข!
“คิดแล้วมันแค้นใจนัก! ตอนแรกลีเดียไม่คิดว่านังนิก้ามันจะปากดีกล้าด่าลีเดียต่อหน้าทิมอย่างนั้น” ลีเดียพูดขึ้นอย่างเจ็บใจ เมื่อเข้ามาวางแผนกันในห้องนอนของแคโรลีน
“นั่นน่ะสิ เห็นนั่งนิ่งเจียมเนื้อเจียมตัวอยู่นานสองนาน บทมันจะพูดขึ้นมานะ น้านี่รับไม่ได้ ไม่มีสมบัติผู้ดี ไร้การอบรม!” แคโรลีนกล่าวเสริมพลางเดินไปทรุดตัวนั่งที่เก้าอี้สตูลหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง สบตากับลีเดียที่นั่งหน้าบึ้อยู่โซฟาปลายเตียง “เราจะมัวแต่โอ้เอ้ต่อไปไม่ได้แล้ว ต้องจัดการแยกสองคนนั้นออกจากกันให้เร็วที่สุด”
“แล้วจะทำยังไงล่ะคะ?” ลีเดียถามด้วยน้ำเสียงและสีหน้าร้อนใจ
“ตอนแรกน้าคิดแผนการเอาไว้ว่าจะให้โคลอี้เป็นตัวป่วน สร้างปัญหาให้คุณทิมกับยัยนิก้าเกิดปากเสียงกัน แต่ดูๆอาการของนังลูกบ้าคนนี้แล้ว เห็นทีจะใช้แผนการเดิมไม่ได้”
“ทำไมล่ะคะ? ลีเดียก็เห็นว่าโคลอี้ไม่ชอบหน้ายัยนิก้าเหมือนกัน”
“ผิดแล้วล่ะลีเดีย นังลูกของน้าคนนี้ ถ้าไม่ชอบใครจะไม่ปริปากชมเด็ดขาด แต่โคลอี้ชมยัยนิก้าในตอนที่ว่าหนู...” แคโรลีนชะงักคำพูดเล็กน้อยเมื่อเห็นสีหน้าไม่พอใจของลีเดีย “น้าก็ต้องขอโทษหนีเดียแทนโคลอี้ด้วยนะจ๊ะ นังลูกบ้าคนนี้มันก็เหมือนหมาบ้าเที่ยวแขวะคนอื่นไปทั่ว”
“หมายความว่าถ้าปล่อยไว้นานๆให้โคลอี้กับยัยนิก้าสนิทสนมกัน สองคนนี้จะเข้ากันได้น่ะเหรอคะ?” ลีเดียถามขึ้นอย่างขุ่นเคืองใจ
“น่าจะเป็นอย่างนั้น โคลอี้มีปมด้อยที่ขาเพราะพิการไม่สามารถเดินได้ตั้งแต่เกิด เด็กคนนี้ถ้าอยู่ต่อหน้าคนอื่นจะทำตัวขวางโลก ต่อต้านเรื่องสวยงามรวมทั้งดารานางแบบ แต่เมื่ออยู่ในห้องคนเดียวจะแอบชื่นชม มองนางแบบหุ่นดีๆที่เดินอวดเรียวขา และถ้าคุณทิมพายัยนิก้ามาที่นี่บ่อยๆ ไม่แน่ว่าโคลอี้อาจจะกลายไปเป็นคนของมันไปก็ได้!” แคโรลีนได้แต่ถอนหายใจกับพฤติกรรมของลูกสาวที่ไม่เคยอยู่ในโอวาทของตนเลยสักครั้ง
“แล้วเราจะกำจัดนังนั่นยังไงดีล่ะคะ? หรือจะให้ลีเดียปรึกษาคุณพ่อ” ลีเดียเอ่ยถึงโรเบิร์ต แลนดอน ผู้เป็นพ่อ
“อย่าดีกว่า ช่วงนี้โรเบิร์ตมีเรื่องต้องคิดเยอะ เรื่องแค่นี้เราอย่าเอาไปใส่สมองให้เขาเป็นกังวลด้วยเลย น้าขอเวลาคิดสักวันสองวัน แล้วจะเป็นคนจัดการเรื่องนี้เอง อย่าเป็นห่วงไปเลย นี่ก็ดึกแล้วหนูลีเดียไปพักผ่อนก่อนเถอะ”
ลีเดียพยักหน้ารับพร้อมเดินออกจากห้องนอนของแคโรลีน หากแต่ในใจนั้นร้อนรุ่มเพราะภาพที่ทั้งคู่อุ้มกันขึ้นไปชั้นบนยังติดตาอยู่ ทิโมธีนั้นเป็นผู้ชายเพียงคนเดียวที่มีคุณสมบัติเพียบพร้อมเหมาะกับตนที่สุด เร็วเท่าความคิดลีเดียรีบต่อสายหาบิดาเพื่อปรึกษาเรื่องที่เกิดขึ้นทันทีที่เข้ามาอยู่ในห้องนอน และได้คำตอบเพียงว่าการที่จะทำให้คนสองคนเกิดความหมางใจกันโดยรวดเร็วนั้นเห็นจะมีเพียงแต่การใช้ประโยชน์ของมือที่สามเท่านั้น และถ้าใช้กับทิโมธีไม่ได้ผล ก็ต้องลองเปลี่ยนมาใช้กับฝ่ายหญิงดูบ้าง เมื่อได้ยินคำแนะนำดังกล่าว ลีเดียก็คิดแผนการเด็ดๆขึ้นได้ทันที หากพรุ่งนี้คงต้องจัดการแสดงละครฉากใหญ่เพื่อเปลี่ยนท่าทีที่มีต่อวทานิกาให้ได้ตายใจ และเมื่อถึงเวลาก็จะจัดการขึ้นเด็ดขาดแย่งเอาทิโมธีมาครอบครองแต่เพียงผู้เดียว ลีเดียคิดอย่างลำพองใจพร้อมก้าวขึ้นเตียงกว้างนุ่มแต่กลับหลับไม่ลงเพราะในใจยังว้าวุ่นคิดถึงภาพที่แบดบอยผู้หล่อเหลากำลังกอดรัดฟัดเหวี่ยงผู้หญิงคนนั้นแทนที่จะเป็นตัวเอง ลีเดียพลิกตัวอย่างกระสับกระส่ายบนเตียงกว้างอย่างโหยหาอยากได้รับสัมผัสซ่านใจจากผู้ชายที่หมายมั่นปั้นมือว่าจะต้องแย่งชิงเขามาครองให้จงได้!
รุ่งเช้าทิโมธีและวทานิการับประทานอาหารเช้าในห้องนอนกันตามลำพัง และสั่งการให้เด็กรับใช้เตรียมอาหารและเครื่องดื่มไว้เพื่อปิคนิก ขี่ม้าตามโปรแกรมที่แพลนไว้กับวทานิกา การกระทำนั้นยิ่งสร้างความไม่พอใจให้กับลีเดียเป็นอย่างมาก ทั้งยังต้องทนฟังคำประชดประชันจากเด็กปากมอมโคลอี้ตลอดเวลาอาหารเช้าโดยที่ไม่สามารถโต้ตอบอะไรได้ จึงได้แต่ออกมานั่งสงบสติอารมณ์อยู่ในสวนหน้าปราสาทแมคคินสัน ในขณะที่ด้านหลังเหล่าเด็กรับใช้กำลังจัดเตรียมอาหารและอุปกรณ์อำนวยความสะดวกต่อการรับประทานอาหารกลางวันนอกบ้านตามคำสั่งของเจ้านายเป็นการใหญ่
ลีเดียหันกลับไปมองภาพนั้นด้วยความระอาใจเมื่อเด็กรับใช้คนหนึ่งกำลังยกรถเข็นไฟฟ้าของนังเด็กโคลอี้ขึ้นรถตู้คันใหญ่ ซึ่งนั่นก็หมายความว่าตนต้องรับมือทั้งหาทางกำจัดวทานิกาและอดทนต่อคำเสียดสีของโคลอี้ไปพร้อมๆกัน!
“เชิญคุณลีเดียขึ้นรถได้เลยนะครับ ท่านแล้วก็คนอื่นๆรออยู่บนรถแล้วครับ” คนสนิทของทิโมธี เดินเข้ามาบอกกับลีเดียที่ยังนั่งนิ่งอยู่เช่นเดิมทั้งที่คนอื่นๆขึ้นประจำที่นั่งบนรถตู้คันใหญ่เรียบร้อยแล้ว จอร์จรีบก้าวถอยหลังเมื่อคุณหนูลูกสาวเจ้าของโรงแรมชื่อดังผลุนผลันลุกขึ้นพร้อมก้าวผ่านหน้าไปอย่างไม่พอใจ!
แต่เมื่อหมุนตัวกลับลีเดียก็ต้องแสร้งทำใบหน้าสดชื่น เดินด้วยความมั่นใจ โปรยยิ้มให้กับทุกคนที่นั่งรออยู่บนรถ “ขอโทษนะคะ... ลีเดียนั่งสูดอากาศเพลินไปหน่อย ที่นี่อากาศดีเหลือเกินค่ะ ลีเดียชักชอบ รู้สึกหลงรักที่นี่แล้วสิคะ”
แต่กลับไม่มีใครตอบรับว่าอย่างไร จนแคโรลีนต้องเอ่ยคำพูดทีเล่นทีจริงขึ้นมาเพื่อผ่อนคลายบรรยากาศอันน่าอึดอัดในรถลง “ชอบก็มาบ่อยๆสิคะ น้าอยู่ที่นี่เหงามาก คุณทิมก็ไม่ค่อยจะอยู่ที่นี่สักเท่าไหร่ ถ้าได้หนูลีเดียมาเยี่ยมบ่อยๆก็คงดี คุณทิมคงไม่ว่าอะไรนะคะ?”
“พูดอย่างกับว่าแม่อยู่ติดบ้านอย่างนั้นแหละ!” จู่ๆโคลอี้ก็โพล่งขึ้นมาและมันทำให้จอร์จที่ทำให้หน้าที่เป็นคนขับรถเกือบจะหลุดขำออกมา หากมีเพียงเสียงห้าวที่หลุดออกจากปากทิโมธีเป็นเชิงปรามน้องสาวเท่านั้น
“จุ... จุ...” ทิโมธีส่ายหน้าให้กับสาวน้อยที่นั่งอยู่ข้างๆที่ทำหน้าตูม พลางตอบรับคำขออนุญาตขอโคแรลีน “ตามสบายครับ ความจริงไม่ได้ชวนเพื่อนๆมาเล่นโปโลนานแล้วเพราะมัวแต่ยุ่งเรื่องที่อู่ต่อรถ”
“ตายจริง! นั่นกีฬาโปรดของลีเดียเชียวนะคะ พูดแล้วก็ชักอยากลองควบม้าของทิมดู ได้ยินเขาล่ำลือกันนักหนาว่ามีแต่ม้าสายพันธุ์เยี่ยม ม้าหนุ่มของทิมคงคึกคักน่าดู” ลีเดียจงใจพูดกำกวมอย่างยั่วเย้า หากแต่มันทำให้คนฟังที่มีทัศนคติต่อตัวเธอได้ยินแล้วรู้สึกแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง! วทานิกาและโคลอี้นั้นรู้สึไม่ต่างกันเพราะฟังดูแล้วคุณค่าในตัวมันช่างลดน้อยถอยลงนัก แคโรลีนกลับมองว่ามันช่างเป็นกิริยาและคำพูดของสาวหัวสมัยใหม่ที่ร้อนแรงมีพลังดึงดูทางเพศเหลือเกิน จอร์จกลับมองว่ามันไร้เสน่ห์ เหมือนคำพูดเชิญชวนผู้ชายที่เพิ่งเจอหน้ากันขึ้นเตียงโดยไม่มีชั้นเชิงเอาเสียเลย และมั่นใจว่าเจ้านายของตนก็คงจะรู้สึกไม่ต่างกัน
“วันนี้คงจะเล่นไม่ได้หรอกเพราะไม่ครบทีม แต่น่าจะได้แข่งม้ากันสนุกๆ” ทิโมธีตอบและไม่สนใจจะเอาคำพูดกำกวมของลีเดียขึ้นมาเป็นประเด็นอีก “อีกอย่างผมอยากให้นิก้าได้ลองฝึกบังคับม้าดูก่อน”
“อ้าว! นิก้าขี่ม้าไม่เป็นหรอกเหรอ?” ลีเดียจงใจถามเพราะรู้ดีว่ากีฬาชนิดนี้มีค่าใช้จ่ายสูง แล้วคนที่มาจากชนชั้นส่วนมากของโลกอย่างวทานิกาคงไม่มีทางได้สัมผัสมันแน่นอน
“ไม่เคยค่ะ และก็ไม่รู้ว่าจะทำได้รึเปล่า” วทานิกาตอบสั้นๆ
“น่าเห็นใจนะคะ คุณคงต้องปรับตัวอยู่หลายเรื่องเพื่อให้ดูกลมกลืนกับทิม” ลีเดียพูดพลางยิ้มเยาะกับแคโรลีนที่นั่งอยู่แถวหลังด้วยกัน
“ไม่หรอกครับ ผมกับนิก้าเราชอบอะไรเหมือนๆกันหลายอย่าง ผมแค่อยากให้เธอลองหัดควบม้าจริงๆดูเท่านั้นเอง หลังจากที่สอนทฤษฏีมาจนคล่อง” คำพูดของทิโมธีทำให้ทุกคนในรถต่างนิ่งเงียบ อึ้ง!
วทานิกาอ้าปากค้างหันขวับมาจ้องสายตาคร้ามคมด้วยแววตาเขียวปัด ถ้าอยู่กันตามลำพังคงได้ทำร้ายร่างกายสั่งสอนเสียบ้าง มันไม่ใช่คำตอบที่ดีนักแต่มันก็สามารถหยุดคำถามงี่เง่าที่หลุดออกจากปากของลีเดียได้เป็นอย่างดี!!
ทิโมธียื้อยุดมือบางที่กุมไว้ตลอดทางขึ้นมากดจูบหนักๆอย่างไม่ง่ายนัก เพราะเจ้าตัวไม่ยอม ออกแรงขืนไว้แต่ก็ไม่สามารถสู้แรงตนได้ รู้แก่ใจว่าลีเดียนั้นต้องการอะไรแต่ตอนนี้ เวลานี้ ตนยังรู้สึกมีความสุขกับผู้หญิงที่นั่งข้างๆมากกว่า การตอบคำถามเช่นนั้นมันเป็นการประกาศความสัมพันธ์ออกมาอย่างโจ่งแจ้งหากลืมคำนึงว่าการพูดเช่นนั้นมันเป็นการไม่ให้เกียรติผู้หญิงที่ถูกเลี้ยงดูมาในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกับตนโดยสิ้นเชิง ถ้าเป็นไปได้ตอนนี้ทิโมธีกลับอยากใช้เวลาอยู่ด้วยกันกับวทานิกาสองต่อสอง อยากหอมแก้มแดงก่ำเข้าให้เต็มปอด อยากกกกอดพรอดรักกับเธอใต้ต้นโอ๊กริมทะเลสาบที่อยู่อีกไม่ไกล บางทีอาจจะได้ย้ำรักกับเธอว่าตอนนี้เขายังมั่นคงและไม่เคยเหลียวมองผู้หญิงอื่นนอกจากเธอ เหมือนเช่นที่ทำมาตลอดทั้งคืน...
“นิก้าอยากกลับบ้านค่ะ”
ทิโมธีละสายตาจากทีวีจอใหญ่มองไปยังร่างระหงที่ยืนกอดอก ทอดอารมณ์อยู่ริมหน้าต่าง “ดึกแล้วนะนิก้า ค้างที่กับผมสักคืนพรุ่งนี้ค่อยกลับดีกว่า”
“งั้นนิก้าจะให้ดาเรียมารับ”
“รบกวนคนอื่นเปล่าๆน่า...” ทิโมธีตอบด้วยน้ำเสียงติดรำคาญ จับจ้องสารคดีตรงหน้าราวกับสนอกสนใจนักหนาแต่ในใจกลับหัวเราะให้กับท่าทางโกรธงอนของเธอ
“งั้นนิกาเรียกแท็กซี่กลับเองก็ได้” วทานิกาหมดความอดทนเดินพรวดพราดออกมาคว้ากระเป๋าถือขึ้นคล้องที่หัวไหล่อย่างรวดเร็ว หากแต่ยังก้าวไม่ทันได้พ้นห้องนั่งเล่นหรู ก็ถูกท่อนแขนแข็งแรงรวบเข้าที่เอวพร้อมกับตกอยู่ในอ้อมกอดหนาแน่นทันที
“เป็นอะไรไปอีกล่ะคนสวย?” ทิโมธีรั้งร่างระเหิดระหงไว้ในอ้อมกอด คลอเคลียอกระซิบถามชิดใบหูบาง “ไม่อยากค้างกับผมสักคืนหรือไง?”
วทานิกาได้ยินคำถามที่พูดออกมาราวกับว่าตนเป็นคนเสพติดเซ็กซ์จากเขาด้วยความโมโหพลางดิ้นขยุกขยิกออกจากอ้อมกอดหนาแน่นด้วยความคิดที่โพล่งขึ้นมาว่า ความจริงแล้วเขาคงเห็นเธอไม่ต่างจากคู่ควงที่ผ่านมาสินะถึงได้คิดว่าต้องดีใจระริกระรี้เมื่อเขายกเอาเรื่องบนเตียงขึ้นมาอ้าง “ปล่อยฉันนะทิโมธี! ฉันจะกลับบ้าน ฉันไม่ใช่ของเล่นหรือผู้หญิงใจง่ายที่คุณจะใช้เซ็กซ์เข้าล่อ แล้วต้องหมอบราบคาบแก้วคลานเข่าเข้าไปประจบเพื่อแลกกับมันหรอกนะ ปล่อย! ฉันจะกลับ”
“ปล่อยให้โง่... กว่าจะล่อนิก้ามาได้ เรื่องอะไรจะปล่อยตัวไปง่ายๆ” ทิโมธีไม่ง้อ ไม่แก้คำความคิดของหญิงสาวในอ้อมแขนเสียใหม่ แต่กลับใช้คำพูดยั่วยุให้เกิดความขุ่นเคืองมากขึ้นพร้อมออกแรงรัดร่างบางแน่นขึ้นจนปลายเท้าลอยหวือจากพื้น เคลื่อนตัวอย่างรวดเร็วออกไปยืนอยู่ที่ริมระเบียงกว้าง “ตรงนี้ก็วิวดีนะนิก้า ผมว่าถ้าเราได้ลองกันตรงนี้สักครั้ง นิก้าอาจเปลี่ยนใจมาหมอบราบคาบแก้วให้ผมก็ได้”
“ไอ้คนลามก บ้าที่สุด ปล่อยเดี๋ยวนี้นะ!” วทานิกาดิ้นสุดแรงหากแต่ไม่พ้นจากพันธนาการอันหนาแน่น จนแล้วจนรอดก็ต้องตกอยู่ในอ้อมกอดแข็งแรง หอบหายใจฮักๆ เอี้ยวมองใบหน้าคร้ามคมด้วยสายตาเกรี้ยวกราด
“หึ... บอกแล้วว่าอย่าพยศนัก สู้เก็บแรงไว้โชว์ท่าควบม้าดีกว่า”
“ฉันจะทนไม่ไหวแล้วนะทิโมธี คุณมันน่ารังเกียจ ผู้ชายเหลือทน!”
“อา... อดใจรอให้ถึงพรุ่งนี้ก็ไม่ได้เหรอคนสวย จะควบม้าตอนนี้มันอันตรายนะ มืดๆแบบนี้ตกหลังม้าแข็งขาหักไปจะทำยังไง” ทิโมธียังยั่วให้หญิงสาวโกรธต่อ จมูกโด่งกดลงบนแก้มนุ่ม สะเปะสะปะไปทั่วลำคอระหงอย่างไม่สนใจกับอาการขัดขืนของเจ้าของร่าง “ผมบอกแล้วใช่ไหมว่าอย่าไปใส่ใจกับคำพูดของคนอื่น โกรธคนอื่นแล้วมางอนกับผมนี่ไม่ยุติธรรมเลยนะ นิก้าของผม”
ไม่น่าเชื่อว่าน้ำเสียงที่นุ่มลึกกับการคลอเคลียของคนตัวโตที่กอดซ้อนอยู่ด้านหลังทำให้ความโกรธของวทานิกาลดลงกว่าครึ่ง หากยังมีความน้อยใจที่ทำให้ไม่เข้าใจตัวเองว่า ทำไมทุกครั้งที่เขายั่วโมโหจะโกรธได้ไม่ถึงชั่วโมง ใจไม่รักดีก็อภัยให้จนหมดสิ้น! “ไม่ต้องมากอด ไม่ต้องมาหอม เชิญไปหอมผู้หญิงที่คุณชอบโน่น ป่านนี้เธอคงรออยู่บนเตียงแล้ว เอ๊ะ! บอกว่าปล่อยนะ”
ทิโมธีกดจมูกลงบนแก้มหนักๆ สูดเอาความหอมเฉพาะตัวเข้าเต็มปอด หมั่นไส้ท่าทางแสนงอนนี้นัก “ตอนนี้ผู้หญิงของผมอยู่ตรงนี้แล้ว จะไปกอดไปหอมผู้หญิงคนอื่นทำไม ผมยังไม่ได้พูดสักคำว่าชอบทานสลัด”
“ไม่เคยพูดแต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ!” วทานิกาถอนหายใจเฮือกใหญ่ เมื่อยอมรับกับตัวเองว่าไปไหนไม่รอด หัวใจอ่อนยวบเพียงแค่ได้ยินคำว่าตนเป็นผู้หญิงของเขา “ต่อไปนี้ ฉันไม่รู้จะอดทนกับผู้หญิงที่เรียงหน้าเข้ามาระรานเพราะอยากได้คุณไปได้สักเท่าไหร่ มันไม่ใช่วิสัยของฉันเลย”
ทิโมธีเลิกคิ้วขึ้นกับคำพูดแบ่งรับแบ่งสู้นั้นพลางชวนหญิงสาวเปลี่ยนเรื่องคุยเพราะยังไม่เคยวาดอนาคตของตนไว้กับผู้หญิงคนไหนสักที หากแต่ตอนนี้รู้สึกมีความสุขนักที่ได้มีแม่สาวร่างบาง วันๆขยันแสดงอารมณ์หลากหลายออกมาอย่างไม่ยั้ง “พูดไม่เพราะอย่างนี้ต้องถูกทำโทษรู้ไหม อายุเท่าไหร่เองทำไมไม่แทนตัวเองว่า ‘นิก้า’ เหมือนเดิม”
“อย่าเปลี่ยนเรื่องดีกว่า จริงๆนะคะทิม สิบเอ็ดเดือนที่คบกันมา ฉันมีความสุขมากเราเข้ากันได้ดีในทุกเรื่อง แต่ฉันจะท้อแท้ทุกครั้งที่คนอื่นชอบถามถึงเรื่องอนาคตของเรา” หนึ่งในนั้นคือมารดาที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย ซึ่งคอยไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบอยู่เป็นประจำ ทั้งยังเคยออกปากกลัวว่าตนจะพลาดพลั้งเสียทีให้กับแบดบอยผู้นี้ในสักวัน แต่หญิงสาวกลับเลือกที่จะไม่เอ่ยถึงเรื่องครอบครัวออกมาเพราะเข้าใจดีว่า ทิโมธีนั้นไม่เคยยกเอาเรื่องในครอบครัวขึ้นมาเป็นเงื่อนไขในการคบหากันเลย แต่บัดนี้กลับรู้สึกสังหรณ์ใจว่าเรื่องของครอบครัวเขาจะกลายมาเป็นประเด็นให้เกิดการความขุ่นข้องหมองใจขึ้น
ทิโมธีใช้มือข้างหนึ่งกดหน้าท้องแบนราบให้อิงแนบตลอดร่างกายด้านหน้าของตน ใช้อีกมือหนึ่งลูบเรียวแขนเสลาขึ้นลงราวกับปลอบประโลม “ผมบอกแล้วว่ามันเป็นเรื่องของอนาคต ถึงแม้ว่าจะมีผู้หญิงเป็นร้อยเป็นพัน เข้ามาพัวพันในชีวิตของผม พวกเธอก็ไม่สามารถทำให้ผมไขว้เขวได้ตราบใดที่ผมยังกอดนิก้าแล้วรู้สึกวิเศษอย่างนี้ ต่อให้พวกเธอยั่วยวนให้ท่าผมเช้าเย็นผมก็ไม่มีวันที่จะละสายตาไปจากเรือนร่างอันเย้ายวนของนิก้าที่ทำให้ผมแทบคลั่งตายทุกครั้งเวลาเรารักกัน อดีตที่ผ่านมาของผมมันอาจทำให้นิก้าเป็นกังวลแต่ผมจะย้ำด้วยความสัตย์จริงว่า ผมคบผู้หญิงทีละคนไม่เคยคั่วผู้หญิงหลายๆคนอย่างที่เป็นข่าวเลย คุณพูดถูกที่ไม่สนใจอดีตที่ผ่านมาของผมแล้วทำไมต้องสนใจกับอนาคตที่ยังมาไม่ถึงด้วย แค่เรามีความสุขทุกวินาทีที่อยู่ด้วยกันก็พอแล้วนี่”
วทานิกาถอนหายใจออกมาอีกครั้งอย่างวางใจเมื่อได้ยินคำพูดที่ออกมาจากปากบึกบึน แต่มันจะไม่ใช่คำสารภาพรักที่อยากได้ยิน จึงลองเปลี่ยนคำถามใหม่ “แล้วถ้าอย่างนั้น คุณรู้สึกยังไงกับนิก้าคะ?” หากความจริงแล้วอยากถามไปตรงว่า ‘คุณรักนิก้าบ้างรึเปล่าคะ?’ แต่ก็ไม่กล้าถามออกมาตรงๆ
“รู้สึกพิเศษมากๆ ไม่อย่างนั้นคงไม่คบกันนานขนาดนี้ จริงสิ... เราคบกันจะปีแล้วนะนิก้า ยังไม่ไว้ใจผมอีกเหรอ?”
ช่างตอบได้ไม่ตรงคำถามนัก วทานิกาตัดพ้อในใจ “ไม่ใช่ไม่ไว้ใจค่ะ แต่... ก็ต้องอยากได้ยินจากปากของคุณบ้าง หลายคู่ที่ให้คำสาบานกันต่อหน้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็ยังเลิกรากันไปโดยไม่แยแสต่อคำสาบาน แล้วจะให้มั่นใจเต็มร้อยได้ยังไง”
“รู้ไหมว่าความหึงหวงจะลดทอนความมีเหตุผลของคนเราลงไป และนิก้ากำลังหึงนะคนสวย”
“แล้วไม่ได้เหรอคะ?” วทานิกาถามกลับอย่างไม่ต้องคิด เรียกเสียงหัวเราะร่วนจากผู้ชายหล่อเหลาซึ่งกกกอดตนไว้อย่างแนบแน่นได้เป็นอย่างดี
“ความจริงผมไม่เคยชอบความรู้สึกที่ว่านี้เลย ผู้หญิงคิดว่ามันเป็นการแสดงความรักแต่ผมกลับมองว่ามันเป็นการไม่ไว้ใจ ไม่เชื่อใจ”
“นั่นอาจเป็นเพราะคุณยังไม่เคยรักผู้หญิงคนไหนจนเกิดความรู้สึกนั้นขึ้นมาต่างหาก ทำไมไม่ลองคิดว่าถ้าทำตัวเปิดเผย ซื่อตรงจะมีใครคิดหึงหวงบ้าง” วทานิกาพูดขึ้นทั้งที่ทิโมธียังพูดไม่จบประโยค
“ที่ผมไม่ชอบความรู้สึกหึงหวงนี้เพราะมันทำให้คนเราเกิดทิฐิ ไม่ยอมฟังเหตุผลอะไรทั้งสิ้นเหมือนกับที่นิก้าไม่ยอมฟังผมพูดให้จบประโยค” ทิโมธีรัดร่างระหงในอ้อมกอดแน่นขึ้น กางขาออกกว้างลดความสูงของตนลงเพื่อเกยคางไว้กับบ่าบอบบาง “ผมบอกว่าไม่เคยชอบความรู้สึกนี้ เพราะมันแสดงถึงความไม่ไว้ใจ ไม่ให้เกียรติ แต่ผมกลับชอบให้นิก้าหึงหวงผม จนแสดงอาการพยศอย่างนี้ ท้าทายให้ผมอยากปราบพยศของคุณ ผมชอบมองสีหน้าโกรธ โมโห หึง หวง สุดท้ายก็ยอมสยบอยู่ในอ้อมกอดของผม มองผมด้วยสายตาแสนรักเหมือนเดิม”
วทานิกาเผลอยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว ทอดสายตามองออกไปไกลในบรรยากาศมืดมิดยามค่ำคืนพร้อมฟังน้ำเสียงทุ้มที่พูดต่อไปเรื่อยๆ
“ผมอยากให้นิกายอมรับในสิ่งที่ผมเป็น ผมไม่ใช่ผู้ชายที่จะเอ่ยปากบอกรักใครได้อย่างพร่ำเพื่อเพราะผมเติบโตมาไม่เหมือนเด็กคนอื่น ผมโตมากับความเข้มแข็งของคนเป็นพ่อ เรียนรู้ว่าผู้หญิงส่วนมากที่เข้ามาหาเพียงเพราะต้องการชื่อเสียงเงินทอง เพราะพ่อผมท่านเคยถูกผู้หญิงใจร้ายคนนึงหักหลัง” ทิโมธีเผลอเล่าเผยเรื่องราวส่วนตัวของตนที่ไม่เคยได้พูดให้ใครฟังมาก่อน
“ผู้หญิงคนนั้นคือคุณแม่ของคุณใช่ไหมคะ?” วทานิกาถามพร้อมหันไปสบสายตาคมกริบ “เล่าให้นิก้าฟังบ้างสิคะ ถ้าคุณเห็นว่านิก้าพิเศษกว่าผู้หญิงที่ผ่านมา ผู้หญิงสวยในรูปที่มีดวงตาและโครงหน้าเหมือนกันกับคุณคนนั้นคือคุณแม่ของคุณใช่รึเปล่าคะ?”
ทิโมธีพยักหน้ารับเงียบๆ ฟังเสียงเจื้อยแจ้วถามต่อไป...
“ไม่เคยพบหน้าท่านอีกเลยเหรอคะ?”
“ไม่เลย... ผมแทบจะไม่มีความทรงจำของแม่อยู่ในสมอง ที่หลงเหลืออยู่ก็มีแต่รูปภาพในอิริยาบทต่างๆที่เห็นทั่วบ้าน กับความแค้นใจของพ่อและคำถามคาใจของผมเท่านั้น!”
วทานิกาวางมือนุ่มของตนลงบนหลังมือใหญ่อย่างปลอบประโลม เพราะรู้สึกได้ถึงความสับสนและอ้างว้างสะสมอยู่ในตัวของผู้ชายคนนี้ “นิก้าพอจะเดาออกนะคะว่าคุณต้องเติบโตมาด้วยคับแค้นใจของพ่อ แต่ก็ไม่อยากให้ตัดสินว่าแม่ของคุณเป็นคนผิดเพราะเรายังไม่รู้แน่ชัดเลยนี่คะ ว่าเกิดเรื่องราวอะไรขึ้น?”
“แม่หนีตามคนสนิทของพ่อไปตั้งแต่ผมอายุยังไม่ถึงหนึ่งขวบด้วยซ้ำ ซึ่งในตอนนั้นผมจำความอะไรไม่ได้เลย ไม่เคยได้รู้ข่าวคราวของแม่มาตลอดระยะเวลาสามสิบกว่าปีที่ผ่านมา ไม่เคยมีใครรู้ว่าท่านอยู่ที่ไหน และท่านก็ไม่เคยติดต่อกลับมาเลยซักครั้ง” ทิโมธีถ่ายทอดออกมาด้วยน้ำเสียงที่รับรู้ได้ว่าปวดร้าวแค่ไหน “ผมเห็นภาพของแม่ในตอนที่ท่านยังสาวๆอยู่ทั่วทุกมุมของบ้าน พ่อไม่เคยปิดบังผมเกี่ยวกับเรื่องของแม่ ท่านเล่าทุกอย่างทุกการกระทำอันทรยศ คิดไม่ซื่อให้ฟังด้วยความเจ็บปวดหัวใจ ถึงแม้ว่าพ่อจะยกผู้หญิงหลายคนขึ้นมาเป็นเมียแต่ผมก็รู้ว่าไม่มีใครมาแทนที่ของแม่ได้”
“นิก้าพอจะเดาได้ค่ะเพราะจากที่เดินดูรูปแล้วไม่มีรูปของผู้หญิงคนไหนเลยนอกจากคุณแม่ของคุณ”
“ทั้งรักทั้งเกลียดไง ผมสัมผัสได้ถึงความรู้สึกรุนแรงนั้นในตัวของพ่อ” ทิโมธีบอกราวกับว่าชินชาต่อความรู้สึกอันรุนแรงนั้นมาตั้งแต่เล็กจนโต หากแต่ความจริงแล้วในหัวสมองของเขากลับมีแต่คำถามหลายอย่างเกี่ยวข้องกับการจากไปและไม่ติดต่อกลับมาของแม่บังเกิดเกล้า
“หวังว่าคุณคงไม่ได้รู้สึกอย่างนั้นเหมือนคุณพ่อนะคะ”
“ก็ไม่เชิงนะ ถึงผมจะเติบโตมาด้วยคำพูดของพ่อที่กรอกหูเช้าเย็นว่าแม่เป็นผู้หญิงมักมาก ทิ้งผมไปโดยไม่สนใจไยดี ผมก็ไม่ได้มองว่าแม่ผิดไปทั้งหมด ผมแค่เชื่อเรียนรู้จากคำพูดของพ่อว่าผู้หญิงมีมารยาด้วยกันทั้งนั้น ส่วนจะมากจะน้อยก็คงแตกต่างกันไป ท่านทำให้ผมได้ระวังตัวมากขึ้น แต่ในขณะที่ผมรับรู้ว่าแม่หนีตามผู้ชายไปและเกิดคำถามขึ้นมาว่า เต็มใจหนีหรือถูกบังคับใจ?
ความคิดผมจะตีรวนกันไปหมดเพราะถ้าไม่เต็มใจหนีไป แม่คงต้องส่งข่าวหรือติดต่อกลับมาบ้าง ไม่ใช่ว่าเงียบหายไปอย่างนี้”
วทานิกาหมุนตัวหันหน้าเข้าหาร่างสูงใหญ่ ประคองใบหน้าคร้ามคมราวกับปลอบประโลมเด็กขาดความอบอุ่น “อย่าคิดมากเลยนะคะ นิก้าเชื่อว่าคุณแม่ของคุณท่านต้องมีเหตุผล ไม่มีผู้หญิงคนไหนทิ้งลูกในไส้ของตัวเองได้ลงคอหรอกนะคะ”
“สงสารผมไหมนิก้า?” ทิโมธีถามด้วยน้ำเสียงออดอ้อน ทั้งยังวางศีรษะลงบนบ่าบอบบางอย่างเรียกร้องความเห็นใจ
“ที่สุดเลยค่ะ นิก้าน่าจะเจอคุณเร็วกว่านี้ จะชวนไปอยู่ด้วยกันเพราะครอบครัวของนิก้าอุ่นจนบางทีดูเหมือนร้อน” วทานิกาพูดติดตลกให้ชายหนุ่มตรงหน้าได้คลายความเศร้า หากคิดผิดถนัด! เพราะผู้ชายเจ้าเล่ห์มากประสบการณ์อย่างทิโมธีมีเหรอจะทำตัวเองให้จมอยู่กับความทุกข์นั้น มันเป็นเพียงปมในใจที่รอเวลาให้ใครสักคนมาแก้ไขเท่านั้น
“ถ้าสงสารก็อยู่กับผมนะเด็กดี ปลอบประโลมผม อย่าทิ้งผมไปอีกคน” ทิโมธีกลั้นยิ้มพูดราวกับว่าโหยหาความอบอุ่นหนักหนาทั้งที่ตนได้ซ่อนความรู้สึกนี้ลึกจนถึงก้นบึ้งของหัวใจจนยากที่ใครจะค้นเจอ จนเกือบลืมไปเสียแล้วว่าโหยหาความรู้สึกละเอียดอ่อนเช่นนั้น “ผมอยากสอนนิก้าควบม้า”
“ก็ไหนว่ามันดึกแล้วไงคะ ต้องรอพรุ่งนี้ไม่ใช่เหรอ?”
“ขี่ม้าน่ะพรุ่งนี้ แต่ควบม้า บังคับม้าน่ะบนเตียงของผมไงนิก้า...” ทิโมธีบอกพร้อมช้อนร่างระหงขึ้นไว้ในวงแขนอย่างรวดเร็ว ยิ้มใส่ตาแม่คนขี้อายที่ขยันแก้มแดงได้ทุกครั้งที่พูดถึงเรื่องบนเตียง “แก้มนิก้าแดงขนาดนี้ ทั้งตัวคงเป็นสีชมพูจัดแน่เลย”
“คนลามก ปล่อยเลยนะ ไม่อายคนอื่นบ้างหรือยังไง?” วทานิกาดิ้นแต่ไม่จริงจังนักเพราะกำลังมีความสุขกับผู้ชายขี้อ้อนที่ทำตัวได้น่ารักจนต้องยอมศิโรราบอย่างหมดทางสู้ “ปล่อยเถอะค่ะ นิก้าเดินเองได้ เดี๋ยวใครมาเห็นเข้าอายตายเลย”
“อายทำไม อีกอย่างนี่มันบ้านผม เจ้าของบ้านจะทำอะไรยังไงทำไมต้องอายคนอาศัย สมองกลับรึเปล่าคนสวย” ทิโมธีตีหน้าตายพูดทั้งยังเดินขึ้นชั้นบนด้วยความมั่นคง ฮึกเหิมใจเมื่อสามารถปราบพยศผู้หญิงของตนให้อยู่ในการควบคุม แต่ก็อดแปลกใจตัวเองไม่ได้ที่เอ่ยปากเล่าเรื่องราวส่วนตัวให้ฟังอย่างละเอียด และเกิดคำถามซึ่งไม่สามารถให้คำตอบกับตัวเองขึ้นอีกบ่อยครั้ง ‘หรือวทานิกาจะเป็นผู้หญิงที่ตนพร้อมจะร่วมทุกข์ร่วมสุขไปจนแก่จนเฒ่า?!’
แต่กำแพงน้ำแข็งในใจที่ทิโมธีสร้างขึ้นเพื่อซ่อนเร้นความรู้สึกเจ็บปวดจากมารดานั้นแข็งแกร่งยิ่งนัก และมันก็ยังไม่มีใครที่จะสามารถทลายกำแพงนี้ลงได้ ‘อนาคตจะเป็นอย่างไรนั้นเขาไม่รู้ รู้แต่เพียงว่าตอนนี้นั้นถูกใจ หลงใหลผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้านัก!’
ความคิดทุกอย่างพังทลายลงเมื่อบรรจงวางร่างระเหิดระหงลงบนเตียงนุ่มอย่างเบามือ ชักชวนให้หญิงสาวหลงวนเวียนอยู่ในแรงปรารถนาที่ร่วมกันสร้างขึ้น และเป็นอีกในหลายครั้งที่ทั้งคู่ไม่ได้ป้องกันตัวเองจากความสัมพันธ์อันก่อให้เกิดสิ่งมีชีวิตอันบริสุทธิ์เลย!!
ในขณะที่ลีเดียกำลังวางแผนหาทางกำจัดวทานิกาออกไปให้พ้นจากชีวิตของทิโมธี เพราะบังเอิญไปเห็นภาพบาดตาบาดใจที่ทิโมธีอุ้มวทานิกาเดินขึ้นบันไดขึ้นไปยังห้องนอน ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าตอนนี้ทั้งคู่คงกำลังกอดรัดฟัดเหวี่ยงกันอย่างมีความสุข!
“คิดแล้วมันแค้นใจนัก! ตอนแรกลีเดียไม่คิดว่านังนิก้ามันจะปากดีกล้าด่าลีเดียต่อหน้าทิมอย่างนั้น” ลีเดียพูดขึ้นอย่างเจ็บใจ เมื่อเข้ามาวางแผนกันในห้องนอนของแคโรลีน
“นั่นน่ะสิ เห็นนั่งนิ่งเจียมเนื้อเจียมตัวอยู่นานสองนาน บทมันจะพูดขึ้นมานะ น้านี่รับไม่ได้ ไม่มีสมบัติผู้ดี ไร้การอบรม!” แคโรลีนกล่าวเสริมพลางเดินไปทรุดตัวนั่งที่เก้าอี้สตูลหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง สบตากับลีเดียที่นั่งหน้าบึ้อยู่โซฟาปลายเตียง “เราจะมัวแต่โอ้เอ้ต่อไปไม่ได้แล้ว ต้องจัดการแยกสองคนนั้นออกจากกันให้เร็วที่สุด”
“แล้วจะทำยังไงล่ะคะ?” ลีเดียถามด้วยน้ำเสียงและสีหน้าร้อนใจ
“ตอนแรกน้าคิดแผนการเอาไว้ว่าจะให้โคลอี้เป็นตัวป่วน สร้างปัญหาให้คุณทิมกับยัยนิก้าเกิดปากเสียงกัน แต่ดูๆอาการของนังลูกบ้าคนนี้แล้ว เห็นทีจะใช้แผนการเดิมไม่ได้”
“ทำไมล่ะคะ? ลีเดียก็เห็นว่าโคลอี้ไม่ชอบหน้ายัยนิก้าเหมือนกัน”
“ผิดแล้วล่ะลีเดีย นังลูกของน้าคนนี้ ถ้าไม่ชอบใครจะไม่ปริปากชมเด็ดขาด แต่โคลอี้ชมยัยนิก้าในตอนที่ว่าหนู...” แคโรลีนชะงักคำพูดเล็กน้อยเมื่อเห็นสีหน้าไม่พอใจของลีเดีย “น้าก็ต้องขอโทษหนีเดียแทนโคลอี้ด้วยนะจ๊ะ นังลูกบ้าคนนี้มันก็เหมือนหมาบ้าเที่ยวแขวะคนอื่นไปทั่ว”
“หมายความว่าถ้าปล่อยไว้นานๆให้โคลอี้กับยัยนิก้าสนิทสนมกัน สองคนนี้จะเข้ากันได้น่ะเหรอคะ?” ลีเดียถามขึ้นอย่างขุ่นเคืองใจ
“น่าจะเป็นอย่างนั้น โคลอี้มีปมด้อยที่ขาเพราะพิการไม่สามารถเดินได้ตั้งแต่เกิด เด็กคนนี้ถ้าอยู่ต่อหน้าคนอื่นจะทำตัวขวางโลก ต่อต้านเรื่องสวยงามรวมทั้งดารานางแบบ แต่เมื่ออยู่ในห้องคนเดียวจะแอบชื่นชม มองนางแบบหุ่นดีๆที่เดินอวดเรียวขา และถ้าคุณทิมพายัยนิก้ามาที่นี่บ่อยๆ ไม่แน่ว่าโคลอี้อาจจะกลายไปเป็นคนของมันไปก็ได้!” แคโรลีนได้แต่ถอนหายใจกับพฤติกรรมของลูกสาวที่ไม่เคยอยู่ในโอวาทของตนเลยสักครั้ง
“แล้วเราจะกำจัดนังนั่นยังไงดีล่ะคะ? หรือจะให้ลีเดียปรึกษาคุณพ่อ” ลีเดียเอ่ยถึงโรเบิร์ต แลนดอน ผู้เป็นพ่อ
“อย่าดีกว่า ช่วงนี้โรเบิร์ตมีเรื่องต้องคิดเยอะ เรื่องแค่นี้เราอย่าเอาไปใส่สมองให้เขาเป็นกังวลด้วยเลย น้าขอเวลาคิดสักวันสองวัน แล้วจะเป็นคนจัดการเรื่องนี้เอง อย่าเป็นห่วงไปเลย นี่ก็ดึกแล้วหนูลีเดียไปพักผ่อนก่อนเถอะ”
ลีเดียพยักหน้ารับพร้อมเดินออกจากห้องนอนของแคโรลีน หากแต่ในใจนั้นร้อนรุ่มเพราะภาพที่ทั้งคู่อุ้มกันขึ้นไปชั้นบนยังติดตาอยู่ ทิโมธีนั้นเป็นผู้ชายเพียงคนเดียวที่มีคุณสมบัติเพียบพร้อมเหมาะกับตนที่สุด เร็วเท่าความคิดลีเดียรีบต่อสายหาบิดาเพื่อปรึกษาเรื่องที่เกิดขึ้นทันทีที่เข้ามาอยู่ในห้องนอน และได้คำตอบเพียงว่าการที่จะทำให้คนสองคนเกิดความหมางใจกันโดยรวดเร็วนั้นเห็นจะมีเพียงแต่การใช้ประโยชน์ของมือที่สามเท่านั้น และถ้าใช้กับทิโมธีไม่ได้ผล ก็ต้องลองเปลี่ยนมาใช้กับฝ่ายหญิงดูบ้าง เมื่อได้ยินคำแนะนำดังกล่าว ลีเดียก็คิดแผนการเด็ดๆขึ้นได้ทันที หากพรุ่งนี้คงต้องจัดการแสดงละครฉากใหญ่เพื่อเปลี่ยนท่าทีที่มีต่อวทานิกาให้ได้ตายใจ และเมื่อถึงเวลาก็จะจัดการขึ้นเด็ดขาดแย่งเอาทิโมธีมาครอบครองแต่เพียงผู้เดียว ลีเดียคิดอย่างลำพองใจพร้อมก้าวขึ้นเตียงกว้างนุ่มแต่กลับหลับไม่ลงเพราะในใจยังว้าวุ่นคิดถึงภาพที่แบดบอยผู้หล่อเหลากำลังกอดรัดฟัดเหวี่ยงผู้หญิงคนนั้นแทนที่จะเป็นตัวเอง ลีเดียพลิกตัวอย่างกระสับกระส่ายบนเตียงกว้างอย่างโหยหาอยากได้รับสัมผัสซ่านใจจากผู้ชายที่หมายมั่นปั้นมือว่าจะต้องแย่งชิงเขามาครองให้จงได้!
รุ่งเช้าทิโมธีและวทานิการับประทานอาหารเช้าในห้องนอนกันตามลำพัง และสั่งการให้เด็กรับใช้เตรียมอาหารและเครื่องดื่มไว้เพื่อปิคนิก ขี่ม้าตามโปรแกรมที่แพลนไว้กับวทานิกา การกระทำนั้นยิ่งสร้างความไม่พอใจให้กับลีเดียเป็นอย่างมาก ทั้งยังต้องทนฟังคำประชดประชันจากเด็กปากมอมโคลอี้ตลอดเวลาอาหารเช้าโดยที่ไม่สามารถโต้ตอบอะไรได้ จึงได้แต่ออกมานั่งสงบสติอารมณ์อยู่ในสวนหน้าปราสาทแมคคินสัน ในขณะที่ด้านหลังเหล่าเด็กรับใช้กำลังจัดเตรียมอาหารและอุปกรณ์อำนวยความสะดวกต่อการรับประทานอาหารกลางวันนอกบ้านตามคำสั่งของเจ้านายเป็นการใหญ่
ลีเดียหันกลับไปมองภาพนั้นด้วยความระอาใจเมื่อเด็กรับใช้คนหนึ่งกำลังยกรถเข็นไฟฟ้าของนังเด็กโคลอี้ขึ้นรถตู้คันใหญ่ ซึ่งนั่นก็หมายความว่าตนต้องรับมือทั้งหาทางกำจัดวทานิกาและอดทนต่อคำเสียดสีของโคลอี้ไปพร้อมๆกัน!
“เชิญคุณลีเดียขึ้นรถได้เลยนะครับ ท่านแล้วก็คนอื่นๆรออยู่บนรถแล้วครับ” คนสนิทของทิโมธี เดินเข้ามาบอกกับลีเดียที่ยังนั่งนิ่งอยู่เช่นเดิมทั้งที่คนอื่นๆขึ้นประจำที่นั่งบนรถตู้คันใหญ่เรียบร้อยแล้ว จอร์จรีบก้าวถอยหลังเมื่อคุณหนูลูกสาวเจ้าของโรงแรมชื่อดังผลุนผลันลุกขึ้นพร้อมก้าวผ่านหน้าไปอย่างไม่พอใจ!
แต่เมื่อหมุนตัวกลับลีเดียก็ต้องแสร้งทำใบหน้าสดชื่น เดินด้วยความมั่นใจ โปรยยิ้มให้กับทุกคนที่นั่งรออยู่บนรถ “ขอโทษนะคะ... ลีเดียนั่งสูดอากาศเพลินไปหน่อย ที่นี่อากาศดีเหลือเกินค่ะ ลีเดียชักชอบ รู้สึกหลงรักที่นี่แล้วสิคะ”
แต่กลับไม่มีใครตอบรับว่าอย่างไร จนแคโรลีนต้องเอ่ยคำพูดทีเล่นทีจริงขึ้นมาเพื่อผ่อนคลายบรรยากาศอันน่าอึดอัดในรถลง “ชอบก็มาบ่อยๆสิคะ น้าอยู่ที่นี่เหงามาก คุณทิมก็ไม่ค่อยจะอยู่ที่นี่สักเท่าไหร่ ถ้าได้หนูลีเดียมาเยี่ยมบ่อยๆก็คงดี คุณทิมคงไม่ว่าอะไรนะคะ?”
“พูดอย่างกับว่าแม่อยู่ติดบ้านอย่างนั้นแหละ!” จู่ๆโคลอี้ก็โพล่งขึ้นมาและมันทำให้จอร์จที่ทำให้หน้าที่เป็นคนขับรถเกือบจะหลุดขำออกมา หากมีเพียงเสียงห้าวที่หลุดออกจากปากทิโมธีเป็นเชิงปรามน้องสาวเท่านั้น
“จุ... จุ...” ทิโมธีส่ายหน้าให้กับสาวน้อยที่นั่งอยู่ข้างๆที่ทำหน้าตูม พลางตอบรับคำขออนุญาตขอโคแรลีน “ตามสบายครับ ความจริงไม่ได้ชวนเพื่อนๆมาเล่นโปโลนานแล้วเพราะมัวแต่ยุ่งเรื่องที่อู่ต่อรถ”
“ตายจริง! นั่นกีฬาโปรดของลีเดียเชียวนะคะ พูดแล้วก็ชักอยากลองควบม้าของทิมดู ได้ยินเขาล่ำลือกันนักหนาว่ามีแต่ม้าสายพันธุ์เยี่ยม ม้าหนุ่มของทิมคงคึกคักน่าดู” ลีเดียจงใจพูดกำกวมอย่างยั่วเย้า หากแต่มันทำให้คนฟังที่มีทัศนคติต่อตัวเธอได้ยินแล้วรู้สึกแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง! วทานิกาและโคลอี้นั้นรู้สึไม่ต่างกันเพราะฟังดูแล้วคุณค่าในตัวมันช่างลดน้อยถอยลงนัก แคโรลีนกลับมองว่ามันช่างเป็นกิริยาและคำพูดของสาวหัวสมัยใหม่ที่ร้อนแรงมีพลังดึงดูทางเพศเหลือเกิน จอร์จกลับมองว่ามันไร้เสน่ห์ เหมือนคำพูดเชิญชวนผู้ชายที่เพิ่งเจอหน้ากันขึ้นเตียงโดยไม่มีชั้นเชิงเอาเสียเลย และมั่นใจว่าเจ้านายของตนก็คงจะรู้สึกไม่ต่างกัน
“วันนี้คงจะเล่นไม่ได้หรอกเพราะไม่ครบทีม แต่น่าจะได้แข่งม้ากันสนุกๆ” ทิโมธีตอบและไม่สนใจจะเอาคำพูดกำกวมของลีเดียขึ้นมาเป็นประเด็นอีก “อีกอย่างผมอยากให้นิก้าได้ลองฝึกบังคับม้าดูก่อน”
“อ้าว! นิก้าขี่ม้าไม่เป็นหรอกเหรอ?” ลีเดียจงใจถามเพราะรู้ดีว่ากีฬาชนิดนี้มีค่าใช้จ่ายสูง แล้วคนที่มาจากชนชั้นส่วนมากของโลกอย่างวทานิกาคงไม่มีทางได้สัมผัสมันแน่นอน
“ไม่เคยค่ะ และก็ไม่รู้ว่าจะทำได้รึเปล่า” วทานิกาตอบสั้นๆ
“น่าเห็นใจนะคะ คุณคงต้องปรับตัวอยู่หลายเรื่องเพื่อให้ดูกลมกลืนกับทิม” ลีเดียพูดพลางยิ้มเยาะกับแคโรลีนที่นั่งอยู่แถวหลังด้วยกัน
“ไม่หรอกครับ ผมกับนิก้าเราชอบอะไรเหมือนๆกันหลายอย่าง ผมแค่อยากให้เธอลองหัดควบม้าจริงๆดูเท่านั้นเอง หลังจากที่สอนทฤษฏีมาจนคล่อง” คำพูดของทิโมธีทำให้ทุกคนในรถต่างนิ่งเงียบ อึ้ง!
วทานิกาอ้าปากค้างหันขวับมาจ้องสายตาคร้ามคมด้วยแววตาเขียวปัด ถ้าอยู่กันตามลำพังคงได้ทำร้ายร่างกายสั่งสอนเสียบ้าง มันไม่ใช่คำตอบที่ดีนักแต่มันก็สามารถหยุดคำถามงี่เง่าที่หลุดออกจากปากของลีเดียได้เป็นอย่างดี!!
ทิโมธียื้อยุดมือบางที่กุมไว้ตลอดทางขึ้นมากดจูบหนักๆอย่างไม่ง่ายนัก เพราะเจ้าตัวไม่ยอม ออกแรงขืนไว้แต่ก็ไม่สามารถสู้แรงตนได้ รู้แก่ใจว่าลีเดียนั้นต้องการอะไรแต่ตอนนี้ เวลานี้ ตนยังรู้สึกมีความสุขกับผู้หญิงที่นั่งข้างๆมากกว่า การตอบคำถามเช่นนั้นมันเป็นการประกาศความสัมพันธ์ออกมาอย่างโจ่งแจ้งหากลืมคำนึงว่าการพูดเช่นนั้นมันเป็นการไม่ให้เกียรติผู้หญิงที่ถูกเลี้ยงดูมาในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกับตนโดยสิ้นเชิง ถ้าเป็นไปได้ตอนนี้ทิโมธีกลับอยากใช้เวลาอยู่ด้วยกันกับวทานิกาสองต่อสอง อยากหอมแก้มแดงก่ำเข้าให้เต็มปอด อยากกกกอดพรอดรักกับเธอใต้ต้นโอ๊กริมทะเลสาบที่อยู่อีกไม่ไกล บางทีอาจจะได้ย้ำรักกับเธอว่าตอนนี้เขายังมั่นคงและไม่เคยเหลียวมองผู้หญิงอื่นนอกจากเธอ เหมือนเช่นที่ทำมาตลอดทั้งคืน...
ศิริพารา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 21 พ.ค. 2558, 20:32:45 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 21 พ.ค. 2558, 20:32:45 น.
จำนวนการเข้าชม : 908
<< ตอนที่ 3 100% | ตอนที่ 5 100% >> |