ซ่อนรักเพลิงมายา
“รู้ไหมว่าผมชอบ... เวลาที่ขาเรียวๆ ของนิก้าเกี่ยวเอวผม จิกปลายเท้าลงบนแผ่นหลังผม
ใช่... ใช่... อย่างนั้นแหละนิก้า แม่สาวแสนซน”

ไม่เคยมีครั้งใดที่ ‘ทิโมธี แมคคินสัน’ วิศวกรมหาเศรษฐีผู้ร่ำรวยล้นฟ้า

จะถูกคู่ควงระดับซูเปอร์โมเดลแถวหน้าของโลกอย่าง ‘วทานิกา ซาฟินา’ ทำให้โมโหโทโสได้ถึงเพียงนี้

เพราะเพียงแค่ไม่กี่วันที่เขาไม่ได้นั่งอยู่ฟรอนต์โรว์ของรันเวย์เพื่อชื่นชมคู่ควงของตน

เธอกลับมีภาพหลุดจนเป็นข่าวฉาวโฉ่ไปทั่วโลกแล้วยังปากแข็ง แบล็กเมล์ความรู้สึกของเขาด้วยเหตุผลง่ายๆ

...มันเป็นเพียงเรื่องบังเอิญ!!

แล้วมีหรือที่แบดบอยไร้หัวใจ ผู้ไม่เคยแยแสกับความรู้สึกรักใคร่ใดๆ จะต้องเก็บเธอไว้ข้างกาย
ไม่เพียงแค่นางแบบสาวไม่กลับมาง้อขอคืนดี แต่เธอยังออกปากไล่ส่ง เป็นฝ่ายบอกตัดสัมพันธ์
ราวกับไม่เสียดายเลือดพรหมจรรย์ที่เขาเป็นผู้ทำลาย แถมควงผู้ชายเป็นข่าวใหญ่โตไม่เว้นแต่ละวัน!

การกระทำดังกล่าวมันเป็นการท้าทายแบดบอยไร้หัวใจอย่างเขายิ่งนัก

เธอคงไม่รู้เลยสินะ! ตลอดระยะเวลาที่แยกจากกัน เขาไม่สามารถกลับไปใช้ชีวิตเสเพลได้เช่นเคย
หากแต่ต้องนั่งมองรูปของเธอผ่านนิตยสาร

แล้วพาตัวเองเข้าสู่จินตนาการอันซ่านใจ โดยที่ไม่กล้าเปิดเผยเรื่องน่าอายเช่นนี้ให้ใครได้ล่วงรู้
ทิโมธีจึงต้องทำทุกวิถีทางเพื่อดึงเธอให้กลับมาอยู่ข้างกาย

เพียงเพราะต้องการสลัดตัวเองให้หลุดจากคำว่า ‘ไอ้โรคจิต’

ซึ่งเขาไม่อาจเดินเข้าไปปรึกษาเรื่องน่าอายเช่นนี้กับจิตแพทย์!!

จึงบีบบังคับเธอทุกทาง ดักหน้าล้อมหลัง โดยไม่สนใจว่าวิธีการนั้น

จะทำร้ายจิตใจและทำให้หัวใจของเธอบอบช้ำมากเพียงใด

แต่เธอกลับตอบโต้เขาด้วยวิธีการอันแยบยลจนทำให้เขาแทบบ้าตาย

ด้วยการประกาศต่อโลกอย่างชัดแจ้งว่าเธอคือซิงเกิลมัมที่ไม่ต้องการเอ่ยถึงพ่อของลูก!

...แล้วแบดบอยหนุ่มผู้ถูกเลี้ยงให้เติบโตขึ้นมา

ท่ามกลางอคติต่อคู่ชีวิตและทะเบียนสมรส

จะดึงเธอกลับเข้าสู่อ้อมกอดได้อย่างไร

เมื่อเธอคือผู้หญิงโลภมากที่กล้าเรียกร้องทั้งสองสิ่งนั้นจากเขา
ด้วยคำพูดที่ว่า...

“กับเรื่องของความรักแล้ว ฉันออกจะโลภมากเสียด้วยซ้ำ
เพราะไม่ได้อยากพิเศษเหนือผู้หญิงคนอื่น
แค่อยากให้รักฉันเหมือนที่ฉันรักคุณเท่านั้นเอง”
Tags: ทิโมธี - วทานิกา

ตอน: ตอนที่ 5 100%

ราวสิบนาทีต่อมารถตู้คันใหญ่ก็จอดอยู่กลางทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่ เขียวขจีไปด้วยต้นหญ้าที่มีความยาวเท่าๆกันบ่งบอกถึงการดูแลอันยอดเยี่ยม หากมองไกลออกไปจะเห็นได้ว่าพื้นที่อันกว้างใหญ่นี้เล่นระดับราวกับว่าบัดนี้อยู่บนเนินเขาสูง ซึ่งเบื้องล่างยังมีทะเลสาบน้ำสีใสสะอาดอีกด้วย แต่เมื่อเดินกลับหลังก็จะเห็นสนามม้าขนาดไม่ใหญ่มาก ซึ่งเป็นพื้นดินปกติแล้วใช้ไม้เนื้อแข็งล้อมรั้วเอาไว้

ทิโมธีอุ้มร่างเล็กของโคลอี้ลงมาวางไว้ชุดโต๊ะกลมสีขาวขนาดใหญ่ โดยมีจอร์จกำลังยกของตะกร้าอาหารและของว่างที่เตรียมมาวางไว้บนโต๊ะ โดยมีวทานิกาอาสาถือตะกร้าใบเล็กที่บรรจุอุปกรณ์ในการชงชาตามหลังมาด้วย แต่แคโรลีนและลีเดียกลับเดินตัวเปล่าไปนั่งลงบนเก้าอี้เสียดื้อๆ

“นิก้านั่งรออยู่ที่นี่นะ ผมจะไปดูม้าที่อยู่ในคอกซักหน่อย ไม่ได้มาดูแลพวกมันหลายวันแล้ว” ทิโมธีบอกเมื่อเห็นว่าจอร์จขนข้าวของที่เตรียมมาเสร็จเรียบร้อยแล้ว

“ค่ะ ไปเถอะ...” วทานิการับคำพร้อมระบายรอยยิ้มสดใสให้กับชายหนุ่ม

“ฝากด้วยนะครับ” ทิโมธีสบสายตาแม่เลี้ยงของตนด้วยแววตาชนิดหนึ่งที่แคโรลีนสามารถรับรู้ได้ว่า ห้ามระรานหรือหาความกับหญิงสาวผู้นี้เป็นเด็ดขาด ซึ่งมันทำให้แคโรลีนถึงกับหน้าถอดสี แต่ในเมื่อว่าลูกเลี้ยงจอมวางอำนาจไม่อยู่แล้วจะต้องไปกลัวอะไร แคโรลีนค่อยๆยกอุปกรณ์ชงชาออกมาวางบนโต๊ะอย่างระมัดระวังตั้งใจจะชี้ให้วทานิกาได้เห็นถึงความแตกต่างของวิถีชีวิตของชนชั้นสูงซึ่งไม่เหมาะกับเธอเลยแม้แต่น้อย

“เดี๋ยววันนี้ฉันจะสอนวิธีชงชาให้ได้ดูเป็นขวัญตา หัดเอาไว้เพราะว่าคุณทิมและชนชั้นสูงอย่างพวกเราน่ะจะนิยมดื่มชากันอยู่เสมอ เช้า สาย บ่าย เย็นนั่นก็แล้วแต่ความชอบของแต่ละครอบครัวแต่ปราสาทแมคคินสันแห่งนี้จะนิยมดื่มชาในช่วงสายและตอนบ่ายจัด สองเวลา”

วทานิกาเลิกคิ้วได้รูปอย่างเหลือเชื่อแต่ไม่เลือกที่จะเงียบไม่โต้ตอบ รอดูปฏิกิริยาฝ่ายตรงข้ามเสียก่อนพลางคิดว่าตนคงหลงเข้ามาอยู่ในยุคที่ยังมีการแบ่งชนชั้นวรรณะกันอยู่สินะ! พร้อมมองมืออวบอูมของแคโรลีนกำลังจุดไฟเผาแอลกอฮอร์แข็งเพื่อต้มน้ำให้เดือด ริมฝีปากอิ่มที่เคลือบไว้ด้วยลิปสติกสีแดงสดบรรยายขั้นตอนของการชงชาพลางปรายตามองตนอยู่เป็นระยะๆ ในที่สุดน้ำชาหอมกรุ่นสีน้ำตาลใสก็ถูกเสิร์ฟให้กับทุกคน “ขอบคุณค่ะ”

“ไม่เป็นไร... หวังว่าคงจำได้นะ ส่วนนมสดกับน้ำตาล ต้องเตรียมไว้ต่างหากเพราะบางครั้งคุณทิมก็จะใส่ บางครั้งก็ไม่ใส่แล้วแต่ความต้องการของเธอ”

“สงสัยลีเดียต้องทำการบ้านอย่างหนักเลยล่ะค่ะ คุณน้าพูดมาหลายขั้นตอนเหลือเกิน ปกติลีเดียไม่เคยได้ทำอะไรอย่างนี้เลยสักครั้ง” ลีเดียพูดและพยายามจดจำทุกรายละเอียดของทิโมธี

“อุ๊ย! หนูลีเดียไม่ต้องทำหรอกจ๊ะ ถ้าสมมุติว่าได้มาเป็นคุณผู้หญิงของแมคคินสันแล้วเรื่องพวกนี้ให้คนรับใช้ทำจะดีกว่า” แคโรลีนพูดพร้อมหันมาสบสายตาของวทานิกา “เธอคงไม่คิดมากเพราะฉันพูดว่า สมมุติ”

“ค่ะ” จบคำพูดของแคโรลีนวทานิกาก็รู้จุดประสงค์ของแคโรลีนทันที แต่ก็ไม่อยากต่อความยาวสาวความยืดให้เสียบรรยากาศดีๆ นึกเสียว่าได้เพิ่มพูนความรู้ในการชงชาให้ตัวเองก็แล้วกันจึงเลือกที่จะเงียบ ละเลียดกับกลิ่นชาหอมกรุ่นที่คิดว่าถ้าผู้ปรุงเต็มใจทำให้กว่านี้สักนิดอาจเพิ่มอรรถรสในการพักผ่อนวันนี้ก็เป็นได้

“จริงด้วยสิคะ ลีเดียลืมไปว่านั่นไม่ใช่หน้าที่ของคุณผู้หญิง” ลีเดียลอยหน้าลอยตา เบ้ปากด้วยท่าทีเย้ยหยัน

“จ้ะ... น้าก็แค่อยากให้นิก้าได้รู้ว่าชนชั้นสูงอย่างเรามีพิธีรีตองในการดำเนินชีวิต ซึ่งน้ามองว่าน่าหนักใจมาก รายละเอียดในเรื่องการใช้ชีวิตประจำวันของคุณทิมมีมากเหลือเกิน” แคโรลีนพูดด้วยน้ำเสียงและสีหน้าหนักใจนัก “จริงอยู่ว่าน้าไม่ใช่แม่แท้ๆของคุณทิม แต่ก็รักและหวังดีกับคุณทิมไปไม่น้อยกว่าลูกในไส้ของตัวเอง สิบแปดปีที่อยู่ในปราสาทแมคคินสันรู้ดีว่าไม่ง่ายเลย ถึงแม้ว่าคนภายนอกจะมองว่าคุณทิมเป็นแบดบอยก็เถอะ แต่สำหรับน้า คุณทิมคือแบดบอยเมืองผู้ดีที่เหมาะสมกับลูกสาวในชนชั้นสูงด้วยกันเท่านั้น”

จบคำพูดของแคโรลีน ลีเดียก็เชิดหน้านั่งยืดตัวขึ้นราวกับได้รับตำแหน่งนั้นไว้แล้ว ส่วนโคลอี้นั่งมองเหตุการณ์เงียบๆไม่พูดไม่จาด้วยความเบื่อหน่ายว่าทำไมนางแบบสาวผู้แสนสวยถึงได้ไม่รู้จักสู้คนเอาเสียเลย!

“มิน่าล่ะ... ความจริงคุณทำหน้าที่นี้มานานนี่เอง ถึงได้หยิบจับอะไรคล่องมือไป สุดท้ายยังได้ชารสชาติเฝื่อนๆออกมา” วทานิกาตอบด้วยน้ำเสียงพาซื่อพลางเหลือบสายตาเห็นร่างสูงของทิโมธีที่เดินใกล้เข้ามาและมายืนชิดที่เก้าอี้นั่งของตนพร้อมโอบหัวไหล่บอบบางด้วยอาการทะนุทถนอม

ทิโมธีเลิกคิ้วแปลกใจกับร่างในอ้อมกอดที่ทำตัวอ่อน วางศีรษะกับข้างสะโพกสอบของตนอย่างออดอ้อน “คุยอะไรกันอยู่ ทำไมถึงได้ทำท่านี้ล่ะนิก้า?”

“ก็แคโรลีนสอนให้ชงชาน่ะค่ะ ตอนแรกนิก้าก็จดจำทุกอย่างขึ้นใจเลยนะคะ แต่พอแคโรลีนบอกว่ามันเป็นหน้าที่ของคนรับใช้ นิก้าก็เลยทำได้แค่มองดูเพื่อประดับความรู้ ก็มันไม่ใช่หน้าที่นี่... ใช่รึเปล่าคะทิม? อีกอย่างนิก้าว่าชาสำเร็จรูปที่นิก้าชงให้คุณทานบ่อยๆรสชาติดีกว่านี้ตั้งหลายเท่า” วทานิกาฉลาดที่จะตอบคำถามเหมือนเล่าให้ฟังว่าตนต้องพบเจอกับสิ่งใดบ้าง โดยใช้อาการออดอ้อนอย่างน่ารักน่าชัง “แล้วนี่นิก้าจะได้หัดควบม้ารึยังคะ วันนี้อยากลองม้าเป็นๆดูบ้าง จะได้เปรียบเทียบว่าชอบอย่างไหนมากกว่ากัน”

จบคำพูดออดอ้อนทิโมธีก็แหนหน้าระเบิดเสียงหัวเราะขึ้นอย่างไม่สนใจรักษามารยาทพร้อมกับรั้งร่างระเหิดระหงให้ลุกขึ้นจากเก้าอี้ เดินออกจากวงสนทนาราวกับมีกันเพียงแค่สองคนบนโลก “ร้ายนักนะ แม่ตัวดี!”

วทานิกาทำหน้าง้ำ แหงนมองคนที่ก้มลงมาหาด้วยสายตาเบื่อหน่าย “นิก้าไม่ใช่อันธพาลที่จะระรานใครไปทั่วนะคะ แต่ความอดทนก็มีขีดจำกัดเหมือนกัน”

ทิโมธีเปิดยิ้มกว้างมองใบหน้างดงาม ที่เจ้าตัวกำลังถอนหายใจเฮือกๆพร้อมเอ่ยคำขอโทษ

“ขอโทษนะคะ นิก้าไม่น่าจะสร้างปัญหากับคนในครอบครัวของคุณเลย”

“ขอโทษทำไมคนสวย ผมบอกแล้วว่าคุณคือเรื่องส่วนตัวของผม คือผู้หญิงของผม คุณคบกับผมไม่ได้คบกับคนในปกครองของแมคคินสัน เพราะฉะนั้นไม่จำเป็นต้องขอโทษ อยากตอบโต้ยังไงก็ตามใจขอแค่อย่าให้เกินเลยจนกลายเป็นเรื่องรุนแรงก็พอ” ทิโมธีบอกด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด “ความจริงผมชอบที่นิก้าเป็นอย่างเมื่อกี้นี้นะ ดูร้ายๆ ขี้อ้อนหน่อยๆ เหมือนกำลังใช้มารยากับผม เซ็กซี่ขาดใจเลยนิก้า”

“บ้า! คนอย่างนี้ก็มีด้วย ชอบนักหรือไงคะให้นิก้าร้ายๆน่ะ” วทานิกาถามพร้อมฟังคำตอบรับที่ยกเอาเรื่องเมื่อคืนขึ้นมาอ้างว่าเธอร้ายกาจแค่ไหนให้ได้อายเล่น! พร้อมถอนหายใจออกมาอย่างอ่อนใจเมื่อคนลากยังไม่วายพูดถึงเรื่องน่าอายตลอดระยะเวลาที่สอนเธอขี่ม้า...


ในขณะที่โคลอี้หัวเราะด้วยน้ำเสียงสะใจปนเยาะเย้ยมองตามร่างชายหญิงคู่หนึ่งที่มีสัดส่วนงดงาม เดินเคียงคู่กันห่างออกไป “จะว่าไปพี่กับนิก้านี่ก็เหมาะกันดีนะ... พี่ตัวสูงใหญ่พอเดินกับนางแบบอย่างเธอแล้วเหมาะกันดี ไม่เหมือนกับยัยผอมบาง ตัวสั้นบางคน!” ความจริงแล้วลีเดียไม่ได้มีส่วนสูงที่น้อยเกินกว่ามาตราฐานของผู้หญิงทั่วไปแต่กลับกลายเป็นคนรูปร่างเล็ก ผมบางอย่างสาวสกินนี่ถ้าเทียบกับนางแบบผู้มีรูปร่างปราดเปรียว สมส่วนอย่างวทานิกา

“โคลอี้! มากไปแล้วนะ” แคโรลีนปรามลูกสาวเสียงดุ แต่โคลอี้กลับไม่มีท่าทีว่าจะสนใจต่อเสียงดุนั้นเลย

“ผู้หญิงอะไรสวยได้ขนาดนี้ ตอนเห็นอยู่บนแคทวอล์กก็ว่าสวยแล้ว แต่พอมาเจอตัวจริงสวยสุดๆ แม่ดูขาเธอสิ! ยิ่งใส่กางเกงยืดสีขาวยิ่งดูได้รูป รองเท้าบูทยาวถึงหัวเข่าไม่ได้ทำให้ดูเตี้ยตันสักนิด” พูดจบก็ปรายตามองลีเดียแล้วจึงหันไปชื่นชมนางแบบสาวต่อ “เธอสวยสมกับเป็นนางแบบที่ค่าตัวแพงที่สุดในโลกจริงๆ ใส่ชุดอะไรก็สวยไปหมด”

“แกหยุดพล่ามสักทีได้ไหมโคลอี้ ในโลกนี้จะมีผู้หญิงสักกี่คนที่เกิดมาสวยพร้อมอย่างแม่นางแบบนั่น”

“ที่สำคัญนะแม่... ดูหน้าอกเธอสิ!” โคลอี้ยังไม่หยุดพร้อมพูดเปรียบเทียบขนาดทรวงอกกับผู้หญิงหน้าทนที่นั่งอยู่ข้างๆแม่ของตน

“น่าจะสักสามสิบแปดนิ้วได้ ไม่ได้ใหญ่จนน่าเกลียด ที่สำคัญไม่แบนราบจนหมดความเป็นผู้หญิง”

กริ๊ง... กริ๊ง... กริ๊ง...

เสียงโทรศัพท์ของลีเดียกรีดร้องขึ้นก่อนที่จะได้ระเบิดอารมณ์ใส่นังเด็กพิการปากกล้า มือเรียวหยิบอุปกรณ์สื่อสารเครื่องบางขึ้นจากโต๊ะพร้อมทั้งกัดฟันแน่นเมื่อหน้าจอโชว์ชื่อของพ่อตนโทรเข้ามา จึงรีบลุกขึ้นด้วยอาการฟึดฟัด ไม่พอใจโดยไม่ลืมหยิบขวดน้ำสะอาดเย็นเฉียบติดมือไปด้วยเพราะหวังว่าความเย็นของมันจะช่วยผ่อนคลายจิตใจให้ลดองศาลงได้บ้าง!

แคโรลีนมองตามร่างบางของลีเดียที่ลุกเดินห่างออกไปรับโทรศัพท์แล้วจึงหันมาจ้องมองลูกสาวพร้อมบิดเข้าที่แขนเล็กหนักๆ จนโคลอี้ต้องร้องโอดโอย...

“โอ๊ย!... มันเจ็บนะ แม่มาหยิกหนูทำไม?” ถามพลางลูบต้นแขนที่ถูกบิดไปมาเร็วๆ

“ก็หยิกให้แกรู้สึกตัวน่ะสิ เป็นบ้าอะไรถึงไปพูดกับลีเดียอย่างนั้น แกไม่รู้หรือไงว่าลีเดียเป็นใคร มีความสำคัญกับฉันแค่ไหน?” แคโรลีนเค้นเสียงรอดไรฟันถามลูกสาว

“ก็เพราะหนูรู้ว่าแม่กับยัยตัวแสบนี่กำลังคิดจะจับพี่นะสิ ถึงได้ขัดขวาง แม่คิดยังไงถึงได้คบหากับยัยนี่!” โคลอี้ถามเพราะถึงแม้ว่าจะไม่เคยได้ออกจากบ้านพบปะสังสรรค์กับคนในแวดวงสังคมก็ติดตามข่าวอยู่เสมอ มีใครไม่รู้จักลีเดีย แลนดอน สาวเปรี้ยวจอมแสบที่เที่ยวคั่วผู้ชายมากหน้าหลายตา มีภาพหลุดๆในปาร์ตี้มั่วเซ็กซ์ของเธอลงข่าวซุบซิบอยู่บ่อยๆ “พี่น่ะ! ไม่สนใจผู้หญิงแบบนี้หรอก!”

“อย่ามาทำเป็นสอดรู้สอดเห็นเรื่องของผู้ใหญ่เลยโคลอี้ ถ้าแกไม่ช่วยแม่อย่างฉันก็อยู่เฉยๆได้ไหม รู้ไหมว่าแกมันเป็นบ่อนทำลายให้แผนการฉันเสียหาย”

“แม่คิดยังไงจะเอายัยลีเดียจอมมั่วมาเป็นเมียของพี่?” หากแต่โคลอี้ยังพูดไม่จบประโยค แคโรลีนก็พูดตัดบทลูกสาวขึ้นทันที

“ก็ดีกว่าให้คนอื่นที่ไม่มีความสัมพันธ์กับเรามาเป็นเมียของคุณทิม” แคโรลีนพูดพร้อมใช้นิ้วชี้จิ้มเข้าบริเวณขมับของลูกสาว “สมองทึบๆของแกเคยคิดบ้างไหมว่าถ้าคุณทิมแต่งงานมีลูกมีเมียไปแล้วแกกับฉันจะไปซุกหัวนอนกันตรงไหน? อย่าลืมเชียวนะว่าแกกับคุณทิมไม่ได้ความความสัมพันธ์กันทางสายเลือด!”

โคลอี้ส่งสายตาไม่พอใจให้แม่ของตน “พี่ไม่เคยคิดว่าเราเป็นคนอื่นหรอก ตั้งแต่หนูจำความได้คุณลุงแอนโทนี่กับพี่ก็ให้ความรักความเอาใจใส่หนูเหมือนกับเป็นสายเลือดของพวกเขาจริงๆ แม่ซะอีกที่ไม่เคยรักหนู ไม่เคยสนใจหนู!”

“ใช่! ฉันจะรักลูกที่คอยแต่จะหาเรื่องขัดใจฉันทำไม แต่แม่ที่ไม่เคยสนใจแกนี่แหละกำลังหาทางทำให้แกได้มีที่ยืนในแมคคินสัน” แคโรลีนเค้นเสียงตอบลูกสาว ข่มอารมณ์โมโหเอาไว้จนตัวสั่น

“ก็หนูบอกแล้วว่าพี่ไม่มีวันทอดทิ้งหนูแล้วทำไมแม่ต้องกลัวขนาดนั้น?”

“หึ! แกรู้อะไรไหมโคลอี้ คุณลุงแอนโทนี่ที่แกคิดว่าเขารักแกนักหนา ตอนมันตายมันไม่ได้ทิ้งอะไรไว้ให้ฉันสักอย่าง มีแค่เงินเดือนให้ใช้โดยที่ต้องทำงานดูแลความเรียบร้อยภายในปราสาทหลังใหญ่ไม่ต่างคนใช้คนนึง แล้วลูกกาฝากที่วันๆไม่ได้ก่อประโยชน์อะไรให้เขาอย่างแก! เขาจะเลี้ยงแกไปอีกนานแค่ไหน อีกหน่อยเขาแต่งงานมีลูกมีเมียแล้วเขาจะยังเอ็นดูแกต่อไปอย่างนี้รึเปล่า?”

“พี่ไม่มีวันทิ้งหนูแน่ คุณลุงก็รักหนูจริงๆ” โคลอี้เริ่มน้ำตาคลอเบ้าเมื่อถูกคนเป็นแม่พูดจี้ใจดำ เอาปมด้อยของเธอออกมาขยี้เล่น!
“รักจริงแล้วทำไมไม่ได้อะไรสักอย่าง รักจริงแล้วทำไมไม่ให้ที่ดินสักผืน เงินสักก้อนถึงไม่เคยเจียดมาให้เป็นสมบัติติดตัว ถึงไม่ให้ฉัน! ก็น่าจะโยนมาให้แกบ้าง แล้วแกได้อะไรสักอย่างไหม? แกเคยกวาดตาดูที่ดินมหาศาล มองดูปราสาทแมคคินสัน มองคนใช้มากมายที่คอยเอาใจแกอยู่ทุกวันไหม ว่ามีอะไรบ้างที่เป็นกรรมสิทธิ์ของแกจริงๆ โคลอี้?” แคโรลีนเริ่มยิ้มในใจเมื่อสังเกตได้ถึงแววตาลังเลใจของลูกสาว จึงขู่สำทับไปอีก อย่างน้อยถ้าโคลอี้ไม่ช่วยก็ไม่ควรมาขวางทางเช่นนี้ “ในโลกนี้ฉันจะรักใคร ทำเพื่อใครได้อีก ถ้าไม่ได้ทำเพื่อแก โตแล้วหัดมีหัวคิดซะบ้างเถอะโคลอี้!”


ในขณะที่ลีเดียวางสายโทรศัพท์จากพ่อซึ่งย้ำเตือนให้อดทน อย่าไปต่อปากต่อคำกับโคลอี้เพราะเป็นการสร้างศัตรูโดยไม่จำเป็น จึงต้องยืนระงับสติอารมณ์ มองนังเด็กพิการอย่างแค้นใจที่ไม่ถูกชะตาตั้งแต่เจอหน้าครั้งแรก!

...ไกลออกไปยังต้องอดทนมองภาพบาดตาบาดใจของผู้ชายที่ตนหลงใหลใฝ่ฝันที่จะอยู่ในอ้อมกอดของเขามานานแสนนาน แต่บัดนี้กลับมีนังหน้าจืดอยู่ในอ้อมกอดบนหลังม้าตัวเดียวกัน ใบหน้าคร้ามคมคลอเคลียอยู่ไม่ห่าง อาการหัวร่อต่อกระซิกราวกับมีกันและกันเพียงสองคนบนโลก ทำให้ลีเดียอยากไปกระชากนังหน้าจืดลงจากหลังม้าแล้วปีนขึ้นไปนั่งแทนที่ พร้อมกับควบม้าเหยียบนังหน้าจืดให้สิ้นชื่อไปจากโลกใบนี้เพื่อให้ทิโมธีมีสองตาไว้มองแต่ตนเพียงผู้เดียว หากตอนนี้กลับทำเช่นนั้นไม่ได้ต้องอดทนมองภาพบาดตาบาดใจทั้งยังแค้นใจกับคำพูดถากถางของนังเด็กพิการนี่อีก

ทันใดนั้นลีเดียก็เหลือบไปเห็นรถเข็นไฟฟ้าที่จอดทิ้งไว้อยู่ไม่ไกลสมองจึงคิดวิธีการสั่งสอนนังเด็กปากมอมให้ได้รู้ในผลของความปากเสีย แกล้งมันให้ไม่มีขาพาไปไหนมาไหนสักวันสองวันคงสะใจพิลึก ลีเดียจึงเดินไปใกล้ๆกับรถเข็นไฟฟ้าพร้อมทั้งใช้น้ำแร่สะอาดที่อยู่ในมือเทราดลงบนแผงควบคุมรถเข็นไฟฟ้า โดยที่สายตาสอดส่องต้นทางเพราะกลัวว่าจะมีใครมาพบเห็นการกระทำนี้เข้า!

เมื่อทำลายแผงการควบคุมรถเข็นจนสมใจแล้วก็เดินกลับมานั่งเช่นเดิมพร้อมกับปรับสีหน้าให้เป็นปกติ “คุณพ่อโทรมาน่ะค่ะ ท่านให้เชิญคุณทิมไปดื่มชาที่โรงแรมของเราบ้าง”

“นั่นไงจ๊ะ คุณทิมเดินมาโน่นแล้ว หนูลีเดียบอกคุณทิมเองเถอะ” แคโรลีนพยักเพยิดไปยังร่างสูงใหญ่ของทิโมธีที่เดินใกล้เข้ามาพร้อมกับวทานิกา โดยมีจอร์จเดินตามหลังมาติดๆ

“อะไรกันเหรอครับ ได้ยินแว่วๆว่ากำลังนินทาผม” ทิโมธีพูดยิ้มๆพร้อมกับเลื่อนเก้าอี้ให้นางแบบสาวนั่งอย่างสุภาพแล้วตนจึงเดินอ้อมมานั่งลงบ้าง

“นินทานี่คือพูดถึงในทางที่เสียหายใช่ไหมคะ แต่ลีเดียกำลังคิดว่าคุณทิมใส่ชุดขี่ม้าแล้วดูสง่างามมาก อกผายไหล่ผึ่งรับกับช่วงขาแข็งแรงดีเหลือเกิน พลังหนุ่มอย่างนี้คงแรงดีไม่มีตก! ล้อเล่นแต่คิดจริงๆนะคะ...” ลีเดียพูดพลางหัวเราะอย่างถูกใจ “เมื่อกี้นี้คุณพ่อของลีเดียโทรมา ท่านว่า... ถ้าคุณว่างเชิญดื่มชาที่โรงแรมของเรานะคะ ท่านอยากทำความรู้จักกับคุณเอาไว้”

“อ่อ... ครับ” ทิโมธีรับคำสั้นๆตามมารยาท แล้วหันไปคุยกับโคลอี้ที่นั่งหน้าตึงอยู่ข้างๆ “โคลอี้เป็นไงบ้าง สนุกไหม?”

“ก็งั้นๆแหละค่ะ” โคลอี้ตอบอย่างเสียมิได้และเงียบเสียงลงเมื่อลีเดียพูดขึ้นอีกครั้ง

“อ้อ... ลืมบอกไปค่ะ ลีเดียกับคุณพ่อน่ะชอบแข่งโปโลเป็นชีวิตจิตใจ ท่านเคยได้รางวัลชนะเลิศของสมาคมด้วยนะคะ ว่างๆเดี๋ยวเราฟอร์มทีมขึ้นมา จัดแข่งขันโปโลหาเงินช่วยเหลือเด็กพิการดีไหมคะ?” พูดพร้อมปลายสายตามองไปยังโคลอี้ที่หันมาปะทะสายตากันพอดี! “เด็กพวกนี้น่าสงสาร พิการทางร่างกายแล้วยังมีปมด้อยด้านจิตใจด้วย สมควรที่เราจะหยิบยื่นความเมตตาให้มากเป็นพิเศษ”

ทิโมธีพยักหน้ารับเพราะเมื่อก่อนนี้ตนก็จัดกีฬาหาเงินเข้าสมทบทุนการกุศลอยู่บ่อยๆ แต่ห่างหายไปเกือบสองปีแล้วเพราะมัวยุ่งๆอยู่กับธุรกิจที่ขยายออกไปอย่างไม่หยุดยั้ง รวดเร็วจนไม่เหลือเวลาว่างนัก “ก็ดีเหมือนกันนะครับ รู้สึกว่าผมจะไม่ได้จัดโปโลมาสองปีแล้ว”

“แหม... เจอคู่แข่งคนสำคัญแบบนี้แล้วน่าจะไปลองแข่งม้ากันดูสักรอบนะคะ” แคโรลีนเอ่ยขึ้นเพื่อเปิดโอกาสให้ทิโมธีและลีเดียได้มีเวลาร่วมกันเพียงสองคน

“เอ่อ...”

“นะคะ... อย่าเพิ่งคิดว่าลีเดียเป็นผู้หญิงแล้วจะสู้คุณไม่ได้” ลีเดียพูดขึ้นก่อนที่ทิโมธีจะเอ่ยปฏิเสธ “อีกอย่างไม่ต้องต่อให้ลีเดียด้วยนะคะ เพราะคุณไม่มีทางชนะลีเดียได้อยู่แล้ว”

หากคำพูดท้าทายของลีเดียนั้นเป็นเหมือนเชื้อเพลิงที่กระตุ้นเร้าให้ผู้ที่ได้รับสารนั้นเกิดความท้าทาย ทิโมธีจึงลุกขึ้นเต็มความสูงอีกครั้ง ผายมือเชิญหญิงสาวร่างเพรียวบางให้เดินนำหน้าแล้วจึงก้มตัวลงกระซิบบางอย่างกับวทานิกา “ขอตัวแป๊บเดียวนะนิก้า รับรองว่าจะไม่ทำให้คุณตกเครื่องเด็ดขาดคนสวย”

“ค่ะ” วทานิการับคำพร้อมกับยิ้มน้อยๆ มองตามร่างสูงใหญ่ของทิโมธีที่เดินห่างออกไปพร้อมกับอาการโหวงเหวงในจิตใจที่เกิดขึ้นมาอย่างฉับพลัน!!

“เหมาะกันดีเหลือเกิน ดูซิ... นี่ถ้าแอนโทนี่ได้มีโอกาสเห็นภาพนี้คงไม่รีรอที่จะเร่งให้ทั้งคู่ตกลงปลงใจกัน” แคโรลีนแสร้งพูดทำราวกับว่าเพ้อออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ แล้วรีบยกมือขึ้นปิดปากเอ่ยขอโทษขอโพยนางแบบสาวที่นั่งร่วมโต๊ะทันที “ตายจริง! อย่าถือสาฉันเลยนะ ฉันคิดยังไงเห็นยังไงก็พูดออกมาอย่างนั้น”

“พาฉันไปเดินเล่นตรงโน้นหน่อยได้ไหม ตรงนี้อากาศไม่ค่อยดีเลย” จู่ๆโคลอี้ก็พูดขึ้นมาพร้อมทั้งสบตากับนางแบบสาวที่นั่งถัดไปไม่ไกล

วทานิกาเลิกคิ้วได้รูปขึ้นอย่างแปลกใจและไม่แน่ใจว่าสาวน้อยผู้ตั้งท่าว่าไม่ลงรอยกับตนพูดกับใครกันแน่ จนสาวน้อยต้องชักสีหน้าแล้วย้ำออกมาอีกครั้งหนึ่ง

“ฉันชวนคุณไปเดินเล่นตรงโน้น หรืออยากนั่งอยู่ตรงนี้ฟังคำกระแทกแดกดันต่อไปก็ตามใจ แต่ฉันไม่อยู่ฟังด้วยหรอกนะ!” โคลอี้พูดขึ้นพร้อมกับหันไปสั่งมือขวาของพี่ชายที่ยืนอยู่ไม่ไกล “จอร์จ ไปเอารถเข็นมาให้ฉันที”

จบคำพูดของสาวน้อยโคลอี้ จอร์จก็รีบทำตามคำสั่งอย่างรวดเร็วโดยมีวทานิกาลุกขึ้นเดินไปยังรถเข็นและออกแรงจูงไปตามทางเดินข้างหน้าซึ่งแคโรลีนทำได้แค่เพียงมองตามด้วยความไม่พอใจพูดอะไรไม่ได้มากเพราะยังมีลูกน้องคนสนิทของทิโมธียืนอยู่ไม่ห่าง!


“เดินไปตรงโน้นนะ... ตรงเนินเขาตรงโน้นปลูกดอกไม้สวยๆเอาไว้เต็มไปหมดเลย” โคลอี้ยื่นมือของตนชี้ออกไปยังเนินเขาข้างหน้า ซึ่งมองเห็นดอกไม้หลายชนิดโบกพลิ้วไหวอยู่ไกลๆ “ทำไมไม่ตอบโต้แม่บ้าง ไม่โกรธหรือไงถึงได้นิ่งเงียบฟังคนอื่นว่าให้อยู่ได้??”

“ดีใจจัง”

โคลอี้เอี้ยวทั้งใบหน้าและส่วนบนที่ขยับได้หันไปมองคนออกแรงเข็นตนด้วยความประหลาดใจ เธอไม่โกรธแถมยังยิ้มหน้าตาชื่นบานและยังพูดว่า ‘ดีใจจัง’ ด้วย “พิลึกคน ถูกว่ากระแทกแดกดันอย่างนั้นยังบอกว่าดีใจจัง จิตใจคุณยังปกติดีรึเปล่า?”

“ที่ดีใจเพราะรู้ว่าโคลอี้ไม่ได้รังเกียจฉันต่างหาก” วทานิกาบอกพร้อมเดินไปตามทางที่สาวน้อยโคลอี้ชี้บอก

“ใครว่าล่ะ ฉันไม่ไว้ใจผู้หญิงทุกคนที่เข้าใกล้พี่หรอก ผู้หญิงทุกคนที่เข้าใกล้พี่ก็หวังแค่ทรัพย์สมบัติของพี่ทั้งนั้น พี่รูปหล่อ รวย ทำงานเก่ง เอาใจเก่ง ใครบ้างจะไม่ชอบ ที่ชวนออกมาเพราะเบื่อฟังแม่ชมยัยลีเดียนั่นมากกว่า” โคลอี้ว่า

“งั้นก็คงชอบฉันมากกว่าลีเดีย จริงไหม?” วทานิกาถามน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ “เมื่อคืนพูดเองนี่... ว่าชอบซุป”

โคลอี้ขมวดคิ้วแปลกใจนักเพราะไม่เคยเจอใครที่มีความคิดแหวกแนวเช่นนี้มาก่อน ผู้หญิงส่วนมากที่มีโอกาสได้พบเจอตนถ้าไม่ตอบโต้กลับมาแรงๆ ก็จะหนีหายไปเลย “คุณนี่มองโลกในแง่ดีชะมัด หึ! ก็อย่างว่าล่ะนะ เกิดมาสวย พบเจอแต่ของสวยงาม อะไรๆก็เลยสวยงามไปหมด”

“ไม่มีใครโชคดีอย่างที่พูดมาหรอก กว่าจะก้าวมาถึงทุกวันนี้ก็ต้องผ่านอะไรมามากเหมือนกัน อย่างน้อยก็ต้องต่อสู้กับตัวเอง ต่อสู้กับเสียงนินทารอบข้างที่มันลอยมากระทบหูทุกวัน” วทานิกาพูดเหมือนกับอยากระบายความในใจของตัวเองออกมาบ้าง ในขณะที่พาสาวน้อยบนรถเข็นเดินสูงขึ้นมาตามเนินเขาขึ้นไปเรื่อยๆ “ผู้หญิงที่คบกับทิมทุกคนต้องเจอกับข่าวประเภทไหนบ้าง หนักกว่าที่แคโรลีนกับลีเดียพูดนี่ฉันก็เคยได้ยินมาแล้ว เพียงแต่ว่าไม่เคยได้ยินกับหูตัวเองอย่างนี้เท่านั้นเอง”

“แล้วทำไมไม่ตอบโต้มั่งล่ะ ฟ้องพี่ก็ได้นี่”

“ฟ้องทำไม เสียบรรยากาศเปล่าๆ พี่เธออายุสามสิบสามแล้วถ้าแค่นี้ยังมองไม่ออกว่าผู้หญิงของตัวเองต้องเจออะไรบ้าง ฉันก็ไม่รู้จะพูดยังไงแล้ว อีกอย่างฉันตอบโต้นะ ไม่งั้นคงไม่ทำให้เธอชอบฉันมากกว่าลีเดีย จริงไหม?” วทานิกาถามอย่างอารมณ์ดี
โคลอี้หัวเราะชอบใจเพราะไม่เคยเจอใครที่คิดบวกเช่นนี้มาก่อน “คุณนี่คิดแปลกจัง ไม่แปลกที่พี่คบกับคุณได้นานกว่าผู้หญิงคนอื่น”

วทานิกาถอนหายใจเฮือกใหญ่เมื่อกวาดสายตาลงไปยังสนามม้าด้านล่างเห็นภาพของทั้งคู่กำลังควบม้าแข่งกันอย่างสนุกสนาน “แต่ก็อาจจะไม่ต่างจากผู้หญิงอื่น”

“ทำไมคิดอย่างนั้นล่ะ พี่แทกแคร์คุณราวกับเจ้าหญิง ฉันยังอดอิจฉาไม่ได้เลยเวลาที่ปาปารัสซีเอาภาพของพวกคุณมาลงข่าว พี่มักโอบคุณ ถนอมคุณจนสาวใช้ในบ้านยังพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าอิจฉาคุณทั้งนั้น”

“ไม่รู้สิ... เอาไว้รอดูกันต่อไปก็แล้วกัน คุยเรื่องของเธอบ้างดีกว่า ทำไมถึงไม่ชอบลีเดียล่ะ?” วทานิกาถามเพราะแปลกใจว่าทำไมโคลอี้ถึงได้ตั้งป้อมมองลีเดียยังกับโกรธกันมาเป็นร้อยชาติทั้งที่ความจริงแล้ว เธอน่าจะชอบคนที่แม่ของตนชอบมากกว่า

“ไม่เคยชอบยัยนี่เลย ฉันไม่ชอบผู้หญิงร้ายกาจ ดูจากข่าวมั่วๆของหล่อนที่ขยันสร้างขึ้นมาไม่เว้นแต่ละวันแล้ว ฉันก็ไม่เคยคิดว่าอยากจะเสวนากับหล่อนเลยสักครั้ง แต่ไม่รู้ว่าแม่คิดยังไงถึงได้พยายามจับพี่กับยัยจอมแสบนี่ให้กลายเป็นคู่รักแห่งปีนัก!” โคลอี้อดประชดประชันไม่ได้

“ก็คงเห็นว่าเป็นลูกผู้ดีมีตระกูลด้วยกันทั้งคู่ เหมาะกว่านางแบบไร้หัวนอนปลายเท้าอย่างฉันมั้งคะ” วทานิกาตอบพลางสงสัยว่าคนที่ขังตัวเองอยู่ในบ้านทำไมถึงได้รู้รายละเอียดเกี่ยวกับคนอื่นนัก “มีคอมพิวเตอร์เป็นเพื่อนใช่ไหม ถึงได้ไม่ตกข่าวสักเรื่องเลย?”

“ก็ใช่น่ะสิ ออกไปข้างนอกก็เป็นภาระคนอื่น หาดูเอาจากอินเตอร์เน็ตนี่ดีที่สุดแล้ว เผลอๆข่าวเร็วกว่าคนอื่นเสียด้วยซ้ำ เป็นนางแบบนี่ยากไหม รายได้ดีรึเปล่า?”

“ยากแต่สนุก รายได้ดีแต่รายจ่ายก็มากเหมือนกัน” วทานิกาขมวดคิ้วมุ่นเพราะไม่เข้าใจว่าเหตุใดสาวน้อยผู้นี้ถึงได้หัวเราะเสียงดังราวกับถูกอกถูกใจอะไรนักหนา “หัวเราะอะไร ฉันพูดตรงไหนให้ขำขนาดนี้”

“ก็คุณไม่เหมือนผู้หญิงที่ผ่านมาของพี่จริงๆ ตอบแบบตรงไปตรงมาซ้ำร้ายยังกวนๆ คุณเป็นผู้หญิงที่มีหลายบุคลิกจัง มองใกล้ๆคุณง่าย สบายๆ แต่พอเดินอยู่บนรันเวย์คุณก็ดูเปรี้ยวดี”

“ชอบงานเกี่ยวกับเดินแบบเหรอ?” วทานิกาถามเพราะพอจะเดาได้ว่าภาพสเก็ตที่เห็นอยู่ในลิ้นชักนั้นน่าจะเป็นของสาวน้อยผู้นี้แน่
“ชอบได้ไง ก็เห็นอยู่ว่าพิการอย่างนี้”

“ไม่ได้หมายถึงให้เป็นนางแบบนี่นา เป็นดีไซน์เนอร์ก็ได้นี่” วทานิกาบอกพร้อมหยุดรถเข็นเมื่อมาถึงจุดสูงสุดของเนินเขา ซึ่งมีดอกแดฟโฟดิลสีเหลืองโบกพลิ้วไปตามแรงลมตัดกับต้นหญ้าสีเขียวขจี มองแล้วสบายตายิ่งนัก เมื่อมองลงไปด้านล่างก็อดแปลกใจไม่ได้ว่าตัวเองจะเดินขึ้นมาได้สูงขนาดนี้... พร้อมสูดอากาศบริสุทธิ์เข้าเต็มปอดแล้วทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้ที่วางเอาไว้ “คนออกแบบที่นี่เก่งมาก ทำสโลปได้จนเราไม่รู้สึกตัวว่าเดินขึ้นมาสูงขนาดนี้”

“ที่นี่สวยมาก ทะเลสาปตรงโน้นมีจักรยานน้ำให้ปั่นเล่นด้วย ความจริงเมื่อก่อนฉันมาที่นี่กับลุงแอนโทนี่บ่อยๆ แต่พอท่านเสียแล้วก็ไม่มีใครว่างพามาเลย พี่ก็ทำงานหนักตลอด” โคลอี้บอกด้วยน้ำเสียงเศร้า “แม่ก็ไม่ค่อยอยู่บ้าน ปล่อยให้ฉันอยู่คนเดียว มีคอมพิวเตอร์เป็นเพื่อน”

วทานิกาสัมผัสได้ถึงความโดดเดี่ยว อ้างว้างของสาวน้อยที่นั่งอยู่ข้างๆ ดูภายนอกอาจจะเป็นเด็กร้ายกาจแต่ความจริงแล้วเธอน่าสงสารอย่างที่ทิโมธีพูดไว้จริงๆ นางแบบสาวจึงเขยิบเข้าไปนั่งใกล้ๆ สาวน้อยมากขึ้น “หาอะไรทำแก้เหงาสิ ชอบออกแบบเสื้อผ้าไม่ใช่เหรอ ทำไมไม่ลองตั้งใจออกแบบมาสักชุดสองชุดแล้วส่งเข้าประกวดก็ได้นี่นา...”

โคลอี้หันมาสบตานางแบบสาวด้วยแววตาลิงโลดอยู่เพียงแวบเดียวก็เปลี่ยนมาเป็นเศร้าสร้อยอีกทันที “ใครจะมาสนใจงานออกแบบของคนพิการ หรือถ้ามีคนสนใจจริง ฉันคงไม่มีหน้าขึ้นไปโชว์ตัวรับช่อดอกไม้บนแคทวอล์กแน่!”

“โธ่! ไม่เห็นต้องคิดไปไกลขนาดนั้น ขั้นแรกก็ลองส่งไปก่อนเผื่อว่าผลงานของเราจะถูกใจใครบ้าง เท่าที่ฉันเห็นอยู่ในลิ้นชักก็ฝีมือใช่เล่น หรือออกแบบมาสักชุดแล้วฉันจะเอาไปให้เพื่อนที่เป็นดีไซน์เนอร์ช่วยหาข้อบกพร่องให้ จะได้เอามาปรับปรุง แล้วค่อยส่งเข้าประกวดก็ได้” วทานิกาเสนอ

“จริงเหรอ? คุณจะช่วยฉันจริงๆน่ะเหรอ” โคลอี้ถามด้วยแววตาเป็นประกายแห่งความหวัง

“อื้อ... เดี๋ยวจะทิ้งเบอร์โทรศัพท์ไว้ให้ พอเธอออกแบบเสร็จเมื่อไหร่ก็ฝากทิมมาให้ฉันได้เลย อ้อ! อีกอย่างนะ ถ้าถึงวันที่ผลงานของเธอเป็นที่รู้จักโด่งดังขึ้นมาก็ไม่เห็นว่าจะมีอะไรที่น่าอายเลย เดี๋ยวนี้คนเราเกิดมาบนโลกก็มีศักดิ์ศรี มีเกียรติเท่าเทียมกันทุกคน จะผิวดำ ผิวเหลือง ผิวขาวก็เป็นคนเหมือนกัน ร่างกายครบสามสิบสองสิต้องอายคนที่มีไม่ครบ แต่สามารถแสดงให้คนอื่นเห็นว่าเราก็มีดีเหมือนกัน เพราะฉะนั้นอย่าทำแล้วทิ้งมันไว้ในลิ้นชัก” วทานิกาบอกพร้อมยิ้มให้กำลังใจสาวน้อยผู้น่าสงสาร

“ความจริงฉันเคยคุยกับแม่ว่าอยากเป็นดีไซน์เนอร์แต่แม่หัวเราะเยาะฉัน แล้วยังพูดว่าไม่มีนางแบบคนไหนอยากใส่เสื้อผ้าของดีไซน์เนอร์พิการอย่างฉันหรอก แม่ไม่เคยรักไม่เคยสนใจฉันเลย” โคลอี้ตัดพ้อออกมาอย่างน่าเห็นใจ

“อย่าไปเสียกำลังใจสิ ทำไมไม่เอาคำพูดนั้นมาเป็นแรงฮึดสู้ทำให้แม่ได้เห็นว่าเธอก็ทำได้ และถ้าถึงวันนั้นไม่มีใครอยากใส่เสื้อผ้าของเธอ ฉันนี่แหละจะใส่เป็นคนแรกเลย” วทานิกาบอกพร้อมระบายยิ้มสดใสให้สาวน้อยได้มีกำลังใจมากขึ้น “อีกอย่างนะ ในโลกนี้ไม่มีแม่คนไหนไม่รักไม่สนใจลูกของตัวเองหรอก ลองคุยกับแม่ดีๆ น่ารักๆบ้างสิ บางทีท่านอาจจะอยากได้ยินลูกสาวอ้อน”
โคลอี้ส่ายหน้าน้อยๆไปมาราวกับไม่เห็นด้วยในสิ่งที่นางแบบสาวพูดออกมา “แปลกจัง! คุณไม่โกรธแม่บ้างเหรอที่พูดจาเสียดสีต่างๆนาๆ”

“โกรธสิ! แต่คนเราก็ต้องมีอารมณ์อื่นบ้าง จะโกรธอยู่ได้ทั้งวี่ทั้งวัน ฉันคงต้องไปพบกับจิตแพทย์เข้าสักวัน สุดท้ายคนที่รับผลของความโกรธนั้นก็หนีไม่พ้นตัวเองอยู่ดี แล้วจะโกรธไปทำไม?”

โคลอี้ยิ้มพร้อมหัวเราะออกมาอย่างสดใส จนตัวเองยังอดแปลกใจไม่ได้ว่าทำไมถึงได้สบายใจนักเมื่อพูดคุยกับนางแบบสาวผู้นี้ “งั้นขอเบอร์โทรศัพท์คุณไว้แล้วกัน เผื่อยัยจอมมั่วนั่นมาเกาะแกะพี่ถึงบ้าน ฉันจะโทรรายงานเอง ถือว่าเป็นการแลกเปลี่ยนที่คุณจะใส่ชุดที่ฉันออกแบบเป็นคนแรก”

จบคำพูดของสาวน้อยโคลอี้ วทานิกาก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้จนโคลอี้ต้องเปล่งเสียงหัวเราะตามอย่างถูกใจเมื่อสามารถคุยกันได้อย่างถูกคอ

“จริงๆนะ ฉันสังหรณ์ใจว่าพี่ต้องเสร็จยัยลีเดียนี่เป็นแน่ โดยมีแม่ให้ความช่วยเหลือ”

“เฮ้อ... ทุกวันที่ฉันคบกับพี่ชายเธอมันก็เหมือนมีความสุขอยู่บนความทุกข์อยู่แล้ว สุขเพราะเขาช่างเอาใจ ช่างออกอ้อนตามประสาผู้ชายเสเพล ทุกข์เพราะไม่เคยได้รู้ว่าตัวเองอยู่ในสถานะอะไร ความจริงแล้วถ้าเขาคิดจะเขี่ยฉันทิ้งคงง่ายยิ่งกว่าพลิกฝ่ามือเพราะเขาไม่เคยบอกรัก ไม่เคยตอบคำถามนี้กับใครเลยทั้งสิ้น แม้แต่ฉันเอง เพราะฉะนั้นถ้าเขาคิดจะทิ้งฉันจริงๆ ใครก็คงห้ามเขาไม่ได้” วทานิกาบอกออกมาราวกับคนปลงตก

“คุณไม่รู้เหรอว่าที่พี่เป็นอย่างนี้เพราะถูกลุงแอนโทนี่พูดกรอกหูทุกวันว่าผู้หญิงเป็นเพียงสิ่งสวยงามที่ซื้อหาได้ด้วยเงิน!เพราะฉะนั้นไม่แปลกหรอกที่พี่จะไม่เอ่ยปากบอกรักใคร ถ้าเขายังไม่ขอผู้หญิงคนนั้นแต่งงาน” โคลอี้พูดแล้วก็ต้องตกใจเมื่อเห็นสีหน้าเศร้าสลดของนางแบบสาว จึงแก้ไขคำพูดของตัวเองเสียใหม่ “ความจริงแล้วฉันว่าพี่ก็คงจริงจังกับคุณมากกว่าผู้หญิงที่ผ่านมานะ ไม่งั้นคงไม่คบคุณนานขนาดนี้ แล้วยังหวงคุณยังกับอะไรดี แสดงว่าคุณพิเศษกว่าคนอื่นแล้วล่ะ”

“ฉันไม่ได้เป็นคนดีอะไรมากมายนะโคลอี้ กับเรื่องของความรักแล้ว ฉันออกจะโลภมากเสียด้วยซ้ำเพราะฉันไม่ได้อยากพิเศษเหนือผู้หญิงคนอื่น ฉันแค่อยากให้เขารักฉันเหมือนที่ฉันรักเขาเท่านั้นเอง” วทานิกาพูดด้วยน้ำเสียงเนือยๆ สายตามองดอกไม้ใบหญ้าที่ขึ้นปกคลุมไปทั่วตรงฝ่าเท้าแล้วมองไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมาย

“โลภมากจริงๆด้วย” โคลอี้พูดยิ้มๆพร้อมกับหันหน้ามาสบสายตากับนางแบบสาว ที่กำลังจ้องมองกันเหมือนได้เพื่อนใหม่ที่คุยกันถูกคอ แล้วละสายตา แหงนหน้าขึ้นสูดเอาอากาศบริสุทธิ์เข้าไปเก็บกักไว้เต็มปอด โคลอี้เห็นเช่นนั้นจึงคิดอยากมอบดอกไม้ให้เธอได้เข้มแข็ม มีแรงต่อสู้และขอบใจที่ทำให้ตนได้ฉุกคิดและเริ่มมีความหวังในชีวิตมากขึ้น สาวน้อยจึงเอื้อมมือไปหยิบดอกแดฟโฟดิลสีเหลืองสด กลีบดอกสีเหลืองสดบานสะพรั่งตัดกับสีเขียวของใบหญ้าอย่างชัดเจน แต่ดอกใหญ่สมบูรณ์ที่สุดที่หมายตาไว้อยู่ไกลเกินเอื้อมมือ โคลอี้จึงกดปุ่มล็อกล้อรถเข็นไว้เพื่อป้องกันไม่ให้รถเข็นเคลื่อนไหว พร้อมทั้งดันช่วงลำตัวไว้กับพนักเท้าแขนของรถเข็นเพื่อนเอื้อมมือให้ถึงดอกไม้ที่หมายตาไว้ แต่หารู้ไม่ว่าแผงวงจรการควบคุมรถเข็นนี้ได้ถูกลีเดียทำลายให้แผงการควบคุมเสียหายตั้งแต่หลายนาทีก่อนหน้านี้แล้ว

เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น! เมื่อโคลอี้เอื้อมเก็บดอกไม้จนสุดมือ ทำให้รถเข็นเสียสมดุลพลิกคว่ำทั้งคนและรถเข็นกลิ้งลงไปตามแนวเนินเขาหลายตลบ!!!...

เสียงหวีดร้องของโคลอี้ที่ดังขึ้นทำให้วทานิกาลืมตาขึ้นมองตามต้นกำเนิดของเสียงแล้วก็ต้องผุดลุกขึ้นยืนด้วยความตกใจ เมื่อเห็นร่างเล็กของโคลอี้กลิ้งลงไปหลายตลบ รถเข็นกลิ้งไปคนละทิศละทาง จนสุดท้ายร่างของสาวน้อยโคลอี้ถูกหยุดไว้ด้วยก้อนหินซึ่งผุดขึ้นมาตามริมทาง ศีรษะของเธอยังกระแทกเข้ากับก้อนหินอย่างแรง!

วทานิกาหลุดออกจากอาการตกใจเพราะเสียงกรีดร้องที่ดังมาแต่ไกลของแคโรลีน จึงรีบวิ่งไปทรุดนั่งลงบนพื้น ช้อนเอาร่างที่เปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นดินขึ้นไว้บนตัก ปากพร่ำเรียกชื่อสาวน้อยด้วยความตกใจเพราะเธอหมดสติแน่นิ่งไปในทันที เพียงชั่วอึดใจจอร์จและแคโรลีนก็มาถึง ตามมาด้วยทิโมธีและลีเดียที่รีบควบม้าเข้ามาดูอาการของโคลอี้อย่างร้อนใจ!



ศิริพารา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 22 พ.ค. 2558, 10:36:49 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 22 พ.ค. 2558, 10:36:49 น.

จำนวนการเข้าชม : 1110





<< ตอนที่ 4 100%   ตอนที่ 6 100% >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account