ซ่อนรักเพลิงมายา
“รู้ไหมว่าผมชอบ... เวลาที่ขาเรียวๆ ของนิก้าเกี่ยวเอวผม จิกปลายเท้าลงบนแผ่นหลังผม
ใช่... ใช่... อย่างนั้นแหละนิก้า แม่สาวแสนซน”

ไม่เคยมีครั้งใดที่ ‘ทิโมธี แมคคินสัน’ วิศวกรมหาเศรษฐีผู้ร่ำรวยล้นฟ้า

จะถูกคู่ควงระดับซูเปอร์โมเดลแถวหน้าของโลกอย่าง ‘วทานิกา ซาฟินา’ ทำให้โมโหโทโสได้ถึงเพียงนี้

เพราะเพียงแค่ไม่กี่วันที่เขาไม่ได้นั่งอยู่ฟรอนต์โรว์ของรันเวย์เพื่อชื่นชมคู่ควงของตน

เธอกลับมีภาพหลุดจนเป็นข่าวฉาวโฉ่ไปทั่วโลกแล้วยังปากแข็ง แบล็กเมล์ความรู้สึกของเขาด้วยเหตุผลง่ายๆ

...มันเป็นเพียงเรื่องบังเอิญ!!

แล้วมีหรือที่แบดบอยไร้หัวใจ ผู้ไม่เคยแยแสกับความรู้สึกรักใคร่ใดๆ จะต้องเก็บเธอไว้ข้างกาย
ไม่เพียงแค่นางแบบสาวไม่กลับมาง้อขอคืนดี แต่เธอยังออกปากไล่ส่ง เป็นฝ่ายบอกตัดสัมพันธ์
ราวกับไม่เสียดายเลือดพรหมจรรย์ที่เขาเป็นผู้ทำลาย แถมควงผู้ชายเป็นข่าวใหญ่โตไม่เว้นแต่ละวัน!

การกระทำดังกล่าวมันเป็นการท้าทายแบดบอยไร้หัวใจอย่างเขายิ่งนัก

เธอคงไม่รู้เลยสินะ! ตลอดระยะเวลาที่แยกจากกัน เขาไม่สามารถกลับไปใช้ชีวิตเสเพลได้เช่นเคย
หากแต่ต้องนั่งมองรูปของเธอผ่านนิตยสาร

แล้วพาตัวเองเข้าสู่จินตนาการอันซ่านใจ โดยที่ไม่กล้าเปิดเผยเรื่องน่าอายเช่นนี้ให้ใครได้ล่วงรู้
ทิโมธีจึงต้องทำทุกวิถีทางเพื่อดึงเธอให้กลับมาอยู่ข้างกาย

เพียงเพราะต้องการสลัดตัวเองให้หลุดจากคำว่า ‘ไอ้โรคจิต’

ซึ่งเขาไม่อาจเดินเข้าไปปรึกษาเรื่องน่าอายเช่นนี้กับจิตแพทย์!!

จึงบีบบังคับเธอทุกทาง ดักหน้าล้อมหลัง โดยไม่สนใจว่าวิธีการนั้น

จะทำร้ายจิตใจและทำให้หัวใจของเธอบอบช้ำมากเพียงใด

แต่เธอกลับตอบโต้เขาด้วยวิธีการอันแยบยลจนทำให้เขาแทบบ้าตาย

ด้วยการประกาศต่อโลกอย่างชัดแจ้งว่าเธอคือซิงเกิลมัมที่ไม่ต้องการเอ่ยถึงพ่อของลูก!

...แล้วแบดบอยหนุ่มผู้ถูกเลี้ยงให้เติบโตขึ้นมา

ท่ามกลางอคติต่อคู่ชีวิตและทะเบียนสมรส

จะดึงเธอกลับเข้าสู่อ้อมกอดได้อย่างไร

เมื่อเธอคือผู้หญิงโลภมากที่กล้าเรียกร้องทั้งสองสิ่งนั้นจากเขา
ด้วยคำพูดที่ว่า...

“กับเรื่องของความรักแล้ว ฉันออกจะโลภมากเสียด้วยซ้ำ
เพราะไม่ได้อยากพิเศษเหนือผู้หญิงคนอื่น
แค่อยากให้รักฉันเหมือนที่ฉันรักคุณเท่านั้นเอง”
Tags: ทิโมธี - วทานิกา

ตอน: ตอนที่ 6 100%

หนึ่งชั่วโมงหลังจากเกิดเหตุ... โคลอี้ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลที่ดีที่สุดในลอนดอนด้วยเฮลิคอปเตอร์ แต่จวบจนบัดนี้ สาวน้อยผู้น่าสงสารได้หายเข้าไปอยู่ในห้องผ่าตัดเป็นเวลาชั่วโมงครึ่งแล้ว แต่ก็ยังไม่มีวี่แววว่าการผ่าตัดนี้สิ้นสุดลงแม้แต่น้อย พยาบาลและเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องยังเดินเข้าออกด้วยความรีบร้อน ไม่มีใครให้คำตอบใดๆ ไม่มีใครเอ่ยถึงความคืบหน้าของการผ่าตัดนี้ มีเพียงเสียงเสียงคร่ำครวญของแคโรลีนซึ่งร่ำไห้ปานใจจะขาด โดยมีลีเดียคอยปลอบทั้งยังพูดจาในทำนองที่ว่าวทานิกาเป็นคนทำให้โคลอี้ต้องพลัดตกลงไปจากรถเข็นเสียเอง!!

“ทิมคะ นิก้าเสียใจนะคะ แต่นิก้าไม่เคยคิดทำอะไรอย่างที่ลีเดียพูดมาเลยสักนิด” วทานิกาอดพูดออกมาไม่ได้เมื่อเงียบฟังลีเดียใส่ร้ายป้ายสีอยู่นานเพราะคิดว่าไม่ใช่เวลาที่จะมาปัดความผิดให้พ้นตัว เรื่องสำคัญคืออยากรู้ว่าโคลอี้ปลอดภัยดีหรือไม่ แต่ท้ายที่สุดก็ต้องพูดออกมาเมื่อข้อกล่าวหาของลีเดียนั้นรุนแรงเกินรับไหว!

“ถ้าไม่ได้ตั้งใจแล้วทำไมเธอไม่หยิบดอกไม้นั่นให้โคลอี้เอง เธอก็รู้ว่าโคลอี้เดินเหินไม่ได้!?” ลีเดียถามขึ้นมาก่อนที่ทิโมธีจะทันได้พูดอะไร

“ก็ตอนนั้นฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าโคลอี้จะเก็บดอกไม้ ฉันกำลังพักสายตา รู้สึกตัวเพราะได้ยินเสียงร้องของโคลอี้! ฉันไม่...”

“ใครจะไปเชื่อ เธออาจจะโกรธที่โคลอี้พูดจาเสียดสีแรงๆ อาจจะวางแผนทำเรื่องเลวร้ายนี้ขึ้นมาใครจะไปรู้ ไม่งั้นคงไม่พาโคลอี้เดินไปไกลขนาดนั้น”

“โคลอี้ก็ไม่ชอบหน้าเธอเหมือนกัน แสดงว่าเธอเองก็มีแผนการทำร้ายโคลอี้อยู่ในใจงั้นสิ?” วทานิกาโต้ถามออกมาอย่างเก็บอารมณ์ไว้ไม่อยู่ หากต้องเงียบเสียงลงทั้งคู่เมื่อทิโมธีเป็นคนเอ่ยยุติข้อกังขาทุกอย่างลงด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด

“เอาล่ะๆ อย่ามัวแต่ทะเลาะกันเลย ตอนนี้ที่สำคัญที่สุดคือภาวนาให้โคลอี้ปลอดภัย ส่วนต้นสายปลายเหตุจะเป็นยังไงเดี๋ยวคงได้รู้กัน และคนที่จะตอบคำถามได้มีน้ำหนักมากที่สุดก็คงเป็นโคลอี้คนเดียว!” ทิโมธีบอกพร้อมกับยื่นมือให้วทานิกา “มานั่งเถอะนิก้า”
วทานิกาส่งมือของตนให้แบดบอยหนุ่มที่มีสีหน้าเคร่งเครียดทันที ทรุดตัวนั่งลงเก้าอี้ตัวข้างๆด้วยหัวใจอันห่อเหี่ยว ภายในใจกำลังสวดมนต์ภาวนาอ้อนวอนสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองให้สาวน้อยปลอดภัยจากวิกฤตครั้งนี้ หากเสียงกรีดร้องของโทรศัพท์เครื่องบางที่อยู่ในกระเป๋าถือก็ดังขึ้น...

ทิโมธีมองมือบางที่กดปิดเสียงเรียกเข้าทันที แต่เพียงไม่นานเสียงกริ่งเรียกเข้านั้นก็ดังขึ้นอีกครั้ง “รับเถอะนิก้า เพื่อนคุณคงโทรมาตาม นี่ก็ใกล้เวลาแล้วเต็มทีแล้ว” ซึ่งก็เป็นจริงอย่างที่คาดการณ์เอาไว้เพราะเมื่อหญิงสาวกดรับสาย ก็ได้ยินว่าเธอขอให้เพื่อนสนิทช่วยเก็บเสื้อผ้าติดรถมารับที่โรงพยาบาล โดยที่ความจริงแล้วทิโมธีตั้งใจจะไปส่งเธอถึงสนามบินด้วยตัวเอง แต่หากโคลอี้ยังไม่ออกจากห้องผ่าตัดก็คิดว่าจะให้ลูกน้องมือขวาไปส่งเธออยู่แล้ว

“นิก้าให้ดาเรียมารับที่โรงพยาบาลนะคะ กลัวว่าคุณจะยุ่งๆ อีกอย่างไม่อยากให้ทิ้งโคลอี้ไปเผื่อว่านิก้าจะได้โทรมาถามอาการบ้าง” วทานิกาบอกกับชายหนุ่มหลังวางสายจากเพื่อนสนิทแล้ว

“คราวนี้จะไปกี่วัน?” ทิโมธีถามพลางกระชับมือนุ่มไว้อย่างให้กำลังใจเพราะรู้ว่าวทานิกาไม่ใช่คนจิตใจร้ายกาจจนสามารถทำเรื่องเช่นที่ลีเดียกล่าวหา

“สี่วันค่ะ พรุ่งนี้บ่ายๆเดินแบบที่มิลาน แล้ววันต่อมาก็ถ่ายปกหนังสือที่มาดริด นิก้าจะพยายามถ่ายปกหนังสือให้จบภายในวันเดียว แล้วจะรีบกลับมานะคะ”

“ไม่ต้องเป็นห่วงทางนี้นะคนสวย ผมเชื่อว่าคุณไม่ได้ทำอย่างนั้น ทำใจให้สบายแล้วไปทำงานของนิก้าให้ดีที่สุดดีกว่า ขอโทษที่คราวนี้ผมอาจจะบินตามไปดูนิก้าเดินแบบไม่ได้ ไม่โกรธผมนะ” ทิโมธียังเป็นผู้ชายที่เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์อย่างเหลือล้น ความอ่อนโยนที่เขามอบให้ผู้หญิงข้างกายยังคงเสมอต้นเสมอปลาย จนทำให้ลีเดียมองตามด้วยความริษยา!

“ไม่เคยโกรธคุณเลยค่ะ ขอบคุณคุณเสียอีกที่เชื่อใจ มั่นใจในตัวนิก้าว่าไม่ได้ทำอะไรร้ายๆอย่างนั้น อยู่ที่นี่คอยดูแลโคลอี้ดีแล้วค่ะ นิก้าจะโทรมาถามอาการบ่อยๆนะคะ” วทานิกาบอกพร้อมกับสอดนิ้วเข้าไว้ในซอกนิ้วของชายหนุ่ม กระชับจนแนบสนิทราวกับกำลังถ่ายทอดพลังงานบางอย่างหากันให้มีกำลังใจก้าวผ่านอุปสรรคที่เกิดขึ้น

ราวสามสิบนาทีต่อมาวทานิกาก็ต้องปล่อยมือจากทิโมธีเพราะดาเรียขับรถมารออยู่ที่ด้านหน้าของโรงพยาบาลแล้ว แต่ในห้องผ่าตัดนั้นยังเงียบกริบเช่นเดิม นางแบบสาวก้มลงจุมพิตที่ริมฝีปากบึกบึนแล้วถอนออกมาอย่างอ้อยอิ่ง เดินจากร่างสูงใหญ่ด้วยความรู้สึกสังหรณ์ใจเมื่อบังเอิญไปสบสายตาของลีเดียที่เต็มไปด้วยแววตาชั่วร้ายจนทำให้รู้สึกหวาดหวั่นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน!


หนึ่งชั่วโมงต่อมาการรอคอยอันแสนบีบคั้นหัวใจของทิโมธีก็สิ้นสุดลง เมื่อประตูห้องผ่าตัดเปิดออกกว้าง ร่างของแพทย์ที่อยู่ในชุดสีฟ้าเข้มทั้งตัวก็เดินออกมาพร้อมสีหน้าหนักใจ!

“จากผลซีทีสแกนนั้นเราจะเห็นได้ว่าคนไข้ได้รับการกระทบกระเทือนที่ศีรษะอย่างแรง จนทำให้เกิดอาการเลือดคั่งในสมอง ซึ่งหมอได้ทำการผ่าตัดออกมาเรียบร้อยแล้ว ไม่ทราบว่าพวกคุณพอจะรู้ถึงอาการของผู้ป่วยหลังผ่าตัดสมองบ้างรึเปล่าครับ?” คุณหมอวัยกลางคนถามอย่างสุภาพ

“ไม่รู้! ฉันจะไปรู้ได้ยังไง ลูกสาวฉันจะเป็นยังไง หมอก็รีบๆพูดมา ทำไมต้องอ้ำอึ้ง” แคโรลีนถามด้วยน้ำเสียงตวาดจนทิโมธีต้องปรามจึงได้เงียบเสียงลง

“พูดมาเถอะครับคุณหมอ” ทิโมธีบอกพร้อมตั้งใจฟัง

“หมอผ่าตัดเอาเลือดคั่งอยู่ในสมองออกมาแล้วก็จริง แต่ยี่สิบสี่ชั่วโมงหลังจากนี้ถือว่าคนไข้ยังไม่พ้นขีดอันตราย ซึ่งทางเราต้องคอยดูอาการอย่างใกล้ชิด หากพ้นจากภาวะวิกฤตนี้ไปได้คนไข้รู้สึกตัวเร็ว หมายถึงภายในสองสามวันนี้ก็ถือว่าโชคดี เราก็ต้องดูแลรักษากันต่อไป อาจจะมีเรื่องของความทรงจำซึ่งต้องสูญเสียไปบางช่วงบ้างตามภาวะของผู้ป่วยที่ได้รับการเปิดกระโหลกสมอง แต่เรื่องพวกนี้เราสามารถรักษาฟื้นฟูได้ แต่ในอีกกรณีคือผู้ป่วยไม่ฟื้นขึ้นมา นอนเป็นเจ้าหญิงนิทราอยู่เช่นนี้ก็อาจเกิดขึ้นได้นะครับ” คุณหมอพยายามอธิบายโอกาสที่อาจเป็นไปได้ให้ญาติของผู้ป่วยได้รับรู้ไว้

“โธ่เอ๊ย!... โคลอี้ลูกแม่ เกิดมาพิการก็น่าสงสารมากพออยู่แล้ว นี่ยังต้องมาถูกคนใจร้ายทำร้ายเอาอีก ฮือ...” แคโรลีนนั้นเชื่อสนิทใจว่าลูกสาวของตนนั้นถูกวทานิกาแกล้งให้ต้องมีชะตากรรมเช่นนี้ดังที่ลีเดียพูดไม่หยุดปาก!

“ร้ายแรงขนาดนั้นเลยเหรอครับ?” ทิโมธีถามอย่างไม่อยากเชื่อ

“คือผลจะออกมาในรูปแบบไหน หมอเองก็ยังให้คำตอบที่แน่นอนไม่ได้ คงต้องดูอาการของคนไข้อีกทีว่าจะตอบสนองกับสิ่งเร้าภายนอกแค่ไหน ที่หมอชี้แจงไปเป็นเพียงภาพรวมเท่านั้นนะครับ แต่ยังไงเสียทางเราจะดูแลอย่างสุดความสามารถ” ศัลยแพทย์นิวโรมือดีที่สุดของโรงพยาบาลเอกชนที่ใหญ่ที่สุดในกรุงลอนดอนให้คำมั่นสัญญาเพราะก่อนที่คนไข้วีไอพีนี้จะเดินทางมาถึงโรงพยาบาลนั้น ทีมแพทย์และพยาบาลถูกเรียกตัวเข้าประชุมโดยด่วยทั้งยังได้รับการย้ำจากผู้อำนวยการโรงพยาบาลให้ดูแลคนไข้วีไอพีนี้อย่างสุดความสามารถ

“งั้นเราขอเยี่ยมเธอจะได้ไหมครับ?” ทิโมธีถามต่อด้วยความรู้สึกเบลอๆ

“เชิญครับ แต่ต้องอยู่ด้านนอกนะครับ มองคนไข้ผ่านกระจกเพราะเธอยังต้องอยู่ในห้องปลอดเชื้อ”

จากนั้นทั้งหมดก็ได้เข้ามาอยู่ในห้องกระจกที่มองเข้าไปเห็นร่างเล็กหลับใหลไม่ได้สติ ศีรษะพันด้วยผ้าพันแผลไว้ทั้งหมด มีสายระโยงระยางต่อออกมาจากปากและจมูก อุปกรณ์ที่ช่วยชีวิตสาวน้อยผู้น่าสงสารมีมากจนทำให้คนเป็นแม่ถึงกับเข่าอ่อน ทรุดลงกับพื้นโชคยังดีที่มีลีเดียคอยพยุงไว้

ทิโมธีนั้นส่ายหน้ากระพริบตาขับไล่ความมึนงงที่เกิดขึ้น แม้ว่าโคลอี้จะไม่ใช่สายเลือดเดียวกัน แต่ตนก็เห็นเด็กคนนี้ตั้งแต่อายุห้าขวบ รักและหวังดีให้ความเมตตาไม่ต่างจากพี่น้องร่วมสายเลือดคนหนึ่ง เมื่อได้มาเห็นภาพนี้จึงอดเวทนาไม่ได้ หากแต่ไม่สามารถจะไปเอาผิดกับใครได้เพราะไม่มีใครได้เห็นเหตุการณ์ในช่วงเวลานั้น มีเพียงแต่การสันนิษฐานที่เต็มไปด้วยอคติของลีเดียเท่านั้นที่ทำให้แคโรลีนคร่ำครวญไม่หยุด และตนก็ไม่อยากได้ยินคำกล่าวร้ายที่ไม่อยากเชื่อว่าผู้หญิงที่รู้จักมาร่วมปีจะทำร้ายคนที่พบหน้ากันเพียงไม่กี่ชั่วโมงได้ถึงเพียงนี้ สิ่งที่ทำได้ในตอนนี้ก็มีเพียงรอให้โคลอี้ฟื้นขึ้นมาเล่าถึงเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้น

แต่เมื่อมองไปยังภาพตรงหน้าแล้วทิโมธีก็ไม่แน่ใจว่า โคลอี้จะมีโอกาสฟื้นขึ้นมาอีกครั้งหรือไม่ เด็กสาวผู้น่าสงสารทั้งยังมีสภาพจิตใจที่ไม่แข็งแรงเหมือนคนปกติทั่วไป จะอดทนต่อสู้กับความเจ็บปวดที่กำลังรุมเร้าอยู่นี้ได้อย่างไรกัน!??


มิลาน ประเทศอิตาลี

ดาเรียขมวดคิ้วมองเพื่อนสนิทที่ถือโทรศัพท์เดินไปมา ผุดลุกผุดนั่งอยู่อย่างไม่เป็นสุข อาการนี้เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อวานที่ไปรับจากโรงพยาบาลไปขึ้นเครื่องบินแล้วและพอจะทราบถึงเหตุผลที่ทำให้วทานิกาไม่มีสมาธิในการทำงานเช่นนี้! “นี่นิก้า! ฉันรู้ว่าเธอกำลังกังวลใจแต่ขอร้องละ ทิ้งมันไว้ข้างหลังก่อนได้ไหม อีกไม่กี่นาทีเธอต้องออกไปทำหน้าที่สำคัญของตัวเองแล้วนะ”

“เมื่อกี้ทิมเพิ่งรับสาย เขาบอกฉันว่าโคลอี้ยังไม่ฟื้นเลย หมอบอกว่าอาการไม่ดีเท่าไหร่ ฉันกลัวจังเลยดาเรีย ฉันกลัว...”

ดาเรียรีบคว้าเข้าที่ต้นแขนเรียวทั้งสองข้างของเพื่อนสนิทที่มีสีหน้าวิตกกังวลอย่างเห็นได้ชัด แววตาว้าวุ่นของเธอไม่ต่างจากความอลหม่านหลังม่านมายานี้เลย “มองฉัน... มองหน้าฉันซินิก้า หายใจเข้าลึกๆแล้วหายใจออก... แล้วฟังฉันนะ ตอนนี้เธอกำลังทำงาน เธอเป็นนางแบบที่เก่งที่สุด สวยที่สุดและต้องทำงานชิ้นนี้ให้เสร็จสมบูรณ์ไร้ซึ่งข้อบกพร่องเพราะฉะนั้นทิ้งเรื่องกังวลใจทั้งหลายไว้ข้างหลัง ฉันขอเพียงแค่ห้านาทีเท่านั้น!”

“แต่...”

“ไม่มีแต่อะไรทั้งนั้น จำได้ไหมเราเคยสู้มาด้วยกัน เราลำบากฝ่าฟันอุปสรรคแค่ไหนกว่าจะก้าวมายืนอยู่ตรงนี้ เพราะฉะนั้นไม่ว่าฟ้าจะถล่มดินจะทลาย เราก็จะผ่านเรื่องเลวร้ายครั้งนี้ไปให้ได้” ดาเรียขุดเอาคำพูดที่ต่างคนต่างเคยใช้ปลอบขวัญกัน ให้กำลังใจกันมาใช้หวังว่า วทานิกาจะมีสมาธิอยู่กับการทำงานสำคัญที่จะเริ่มขึ้นในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้านี้ “เธอทำได้ ท่องเอาไว้ ใจจดใจจ่ออยู่กับการเดินแบบครั้งนี้แค่ไม่กี่นาทีมันก็จะจบลงแล้ว”

“เฮ้... คิวต่อไปดาเรียแล้วต่อด้วยนิก้าเป็นชุดปิดท้าย” เสียงของทีมงานดังขึ้นเรียกตัวนางแบบที่จะออกไปเดินเป็นคนต่อไป ทำให้ดาเรียรีบหันกลับไปตามต้นเสียงและไม่ลืมที่จะคว้าแขนของวทานิกาให้เดินตามมาด้วย

“ดาเรีย โก...” สิ้นเสียงของชายร่างสูงใหญ่หากมีท่าทีกรีดกราย ดาเรียก็เชิดหน้าเดินออกไปด้วยความเชื่อมั่น ทิ้งให้เพื่อนนับหนึ่งถึงร้อยในใจไว้ด้านหลัง พร้อมกับทำสมาธิสลัดความกังวลใจทั้งหมดออกไป เรียกความมั่นใจให้กลับคืนมาเร็วที่สุด

“เฮ้... คุณอยู่ในชุดนี้แล้วสวยมากนี่ที่รัก... ไม่เห็นต้องกังวลใจอะไรเลย โชว์ความเป็นซุปเปอร์โมเดลของคุณให้คนทั้งมิลานได้เห็นกันเดี๋ยวนี้เลยนิก้า โก... โก... โก...”

เสียงฮึกเหิมที่ดังขึ้นเร่งเร้าให้วทานิกาผู้อยู่ในชุดสุดท้ายของการเดินแฟชั่นโชว์ในครั้งนี้เดินออกจากหลังม่าน ปรากฏตัวสู่สายตาหลายพันคู่ แสงแฟลชพึ่บพั่บ เสียงระรัวชัตเตอร์ไม่ได้ทำให้วทานิกาเสียสมาธิแต่อย่างใด เธอยังคงปรากฏตัวในชุดที่ดีไซน์เนอร์ตั้งใจออกแบบที่สุดในการแสดงแฟชั่นโชว์ครั้งนี้ สมกับที่เป็นซุปเปอร์โมเดลค่าตัวแพงที่สุดในโลกเช่นเคย ผิวขาวอมชมพูขับเดรสผ้าลูกไม้สีน้ำตาลพาสเทลทรงหางปลาทิ้งชายลากยาวได้อย่างสง่างามราวกับเจ้าหญิงจากราชวงค์ชั้นสูง เรียกเสียงปรบมือเกรียวกราวจากผู้คนที่นั่งชมแฟชั่นโชว์ชุดนี้ได้ถ้วนหน้า ที่นั่งแถวแรกที่ติดกับขอบรันเวย์ซึ่งมีเชื้อพระวงค์ชั้นสูงจากหลายประเทศ เซเลบริตี้ชื่อก้องโลก แฟชั่นบลอกเกอร์ ซีอีโอระดับสูงของห้างสรรพสินค้าชื่อดังจากทั่วโลก แฟชั่นนิสต้าและบรรณธิการของนิตยสารแฟชั่นชั้นนำต่างลุกขึ้นยืนปรบมือให้กับวทานิกา หนุ่มอิตาลีผู้คลั่งไคล้นางแบบสาวถึงกับยกมือทั้งสองข้างขึ้นทึ้งผมตนเองราวกับตกตะลึงในความงดงามเป็นสง่าของนางแบบสาว!

แต่ในภายใต้ใบหน้าอันเรียบเฉยของวทานิกานั้นกำลังรู้สึกโหวงเหวงในหัวใจเพราะไม่ได้เห็นภาพของทิโมธีในฟร้อนโรล์ยืนปรบมือให้ตนเหมือนเช่นทุกครั้ง!!

วทานิกาเดินมาหยุดตรงจุดเริ่มต้นพร้อมกับมอบดอกไม้ช่อโตให้กับดีไซน์เนอร์สาว พร้อมคลี่ยิ้มให้ช่างภาพได้จับภาพของผู้รังสรรค์ผลงานชิ้นเอกนี้ขึ้นมาจนพอใจแล้วจึงเดินกลับมาเปลี่ยนเสื้อผ้าหลังแคทวอล์ก นั่นแปลว่างานของตนได้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดีแล้ว หากแต่วทานิกาต้องจำใจให้สัมภาษณ์กับสื่อท้องถิ่นโดยไม่ทันได้ตั้งตัว เพราะถูกจู่โจมอย่างฉับพลัน โชคดีที่คำถามส่วนมากก็ไม่ได้มีอะไรที่ทำให้หนักใจเป็นการถามเกี่ยวกับความรู้สึกในการเดินแบบในครั้งนี้ ระยะเวลาที่พำนักอยู่ในมิลาน แต่คำถามที่คิดว่าไม่น่าจะได้ยินก็ดังขึ้นจากปากของนักข่าวสาวชาวสเปนคนหนึ่ง

“ทำไมทิโมธีถึงไม่ได้เดินทางมาชมคุณเดินแฟชั่นเหมือนทุกครั้งล่ะคะ?”

“เขาติดธุระสำคัญน่ะค่ะ เลยเดินทางมาไม่ได้” วทานิกาตอบเลี่ยงๆ

“แต่สายข่าวของเราเห็นว่า ทิโมธีกับลีเดีย แลนดอน เดินเข้าออกโรงพยาบาลในกรุงลอนดอนหลายต่อหลายครั้ง พวกเขาไปทำอะไรกันคะ? แล้วคุณรู้รึเปล่าว่าพวกเขาไปไหนมาไหนด้วยกัน?” นักข่าวสาวคนเดิมยังระรัวคำถามใส่นางแบบสาวชื่อดังทันที

“ทราบค่ะ พอดีว่าน้องสาวของทิโมธีไม่สบายค่ะ ช่วงนี้ทิมเลยต้องเข้าออกโรงพยาบาลบ่อยๆและเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาไม่สามารถตามฉันมาที่มิลานได้”

“แล้วทำไมถึงได้ไปกับลีเดีย แลนดอนล่ะคะ?”

“พอดีว่าลีเดียกับคุณแคโรลีนสนิทกันน่ะค่ะ คงจะไปเยี่ยมลูกสาวของคุณแคโรลีนที่โรงพยาบาลด้วยกัน”

“แล้วคุณเห็นภาพนี้รึยังคะ ทิโมธีจูบกับลีเดียหน้าโรงพยาบาลแล้วพากันขึ้นรถสปอร์ตของทิโมธีขับออกไปอย่างรวดเร็ว”

วทานิกามองภาพในหนังสือพิมพ์ที่นักข่าวสาวโชว์ให้ดูด้วยสีหน้าเรียบเฉยพร้อมกับตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “จูบลา จูบทักทาย จูบให้กำลังใจ เดี๋ยวนี้ไม่ได้มีแต่เรื่องชู้สาวนี่คะ ฉันเองก็ยังกอดกับดาเรียอยู่บ่อยๆหวังว่าคุณคงไม่ทำข่าวว่าเราเป็นเลสเบียนนะคะ เมื่อกี้ฉันเพิ่งจูบกับดีไซน์เนอร์มาไม่ถึงสิบนาที ฉันเลยได้แต่ภาวนาว่านักข่าวที่อังกฤษคงไม่เอาภาพนั้นไปสอบถามกับทิโมธี”
คำตอบของวทานิกาเรียกเสียงหัวเราะจากคนที่ยืนฟังได้เป็นอย่างดี และมันสามารถทำให้นักข่าวสลายตัวไปสัมภาษณ์นางแบบคนอื่นได้อย่างรวดเร็ว มีเพียงแค่ดาเรียเท่านั้นที่นั่งลบเครื่องสำอางบนใบหน้าพร้อมมองเพื่อนสาวผ่านกระจกเงาบานใหญ่ ซึ่งไม่ต้องเอื้อนเอ่ยคำพูดใดก็รู้ได้เป็นอย่างดีว่า วทานิกานั้นกำลังเป็นกังวลกับภาพที่ได้เห็นเมื่อครู่!!

ราวชั่วโมงต่อมาวทานิกา ดาเรียและคนของโมเดลลิ่ง เอเจนซี่ซึ่งนางแบบทั้งสองอยู่ในสังกัดก็ขึ้นรถตู้มุ่งหน้าสู่สนามบินเพื่อบินตรงสู่มหานครมาดริด เพื่อทำงานชิ้นสำคัญในวันพรุ่งนี้นั่นคือทำการถ่ายปกนิตยสารชื่อดังของอังกฤษฉบับหนึ่งซึ่งถูกตีพิมพ์ในหลายภาษา และครั้งนี้เป็นการตีพิมพ์ในภาษาสเปนโดยได้นางแบบดังอย่างวทานิกาและดาเรียมาประเดิมปกแรกพร้อมกับซุปเปอร์สตาร์ของวงการลูกหนังเมืองกระทิงดุที่กำลังมีข่าวว่าจะย้ายทีมไปค้าแข้งกับสโมรสรชื่อดังในพรีเมียร์ลีกของอังกฤษอย่างรามอส รูบิโอ


กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ

เป็นเวลาสามวันแล้วที่โคลอี้ยังต้องพักรักษาตัวในห้องปลอดเชื้อ แม้แพทย์จะลงความเห็นว่าได้พ้นจากภาวะวิกฤตแล้วก็ตาม แต่โคลอี้ก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะรู้สึกตัวขึ้นมาแต่อย่างใด ทิโมธีมองภาพของเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆคนหนึ่งถูกสอดสายยางขนาดยาวเข้าไปในท่อที่สอดไว้ในปากเพื่อดูดเสมหะออกมาด้วยความสงสาร ทุกครั้งที่อุปกรณ์นี้ทำงานร่างบอบบางของโคลอี้จะกระตุกขึ้นมาจากเตียงคนไข้ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเธอต้องอดทนต่อความเจ็บปวดมากเพียงใด อุปกรณ์ที่ห้อยระโยงระยางลดน้อยลงกว่าวันแรกอยู่หลายชิ้น แต่คนที่ปรารถนาจะให้สาวน้อยผู้น่าสงสารได้กลับมาใช้ชีวิตเช่นเดิมอีกครั้งก็ยังคิดว่ามันมากมายเกินที่เด็กคนหนึ่งจะรับไหวอยู่ดี

ทุกครั้งที่ตนมาเยี่ยมอาการของโคลอี้ ก็จะได้เห็นภาพของแคโรลีนนั่งเฝ้าอยู่ข้างเตียงโดยมีลีเดียคอยปลอบใจอยู่ไม่ห่าง
“เมื่อกี้นี้ผมเพิ่งคุยกับผู้อำนายการใหญ่มา เขาบอกว่าอาการโดยทั่วไปของโคลอี้ไม่น่าวิตก ความดันเลือด อุณหภูมิในร่างกายก็เป็นปกติดี แต่ยังต้องคอยดูแลอย่างใกล้ชิดถ้าหากว่าโคลอี้ต้องกลายเป็นเจ้าหญิงนิทรา” ทิโมธีถ่ายทอดคำพูดของผู้อำนวยการให้แคโรลีนได้ฟังอีกครั้ง

“คะ...คุณทิมว่าอะไรนะคะ?!!” แคโรลีนหยุดคร่ำครวญเงยหน้าถามลูกเลี้ยงด้วยความตกใจระคนไม่เชื่อหูตัวเอง “โคลอี้จะกลายเป็นเจ้าหญิงนิทรา??!”

“หมอบอกว่ามีแนวโน้มจะเป็นอย่างนั้น ปกติคนไข้หลังผ่าตัดสมองที่สามารถผ่านพ้นช่วงเวลาวิกฤตไปได้จะรู้สึกตัวขึ้นมาภายในวันหรือสองวัน แต่โคลอี้ยังนอนนิ่งเช่นเดิม หมอเลยพูดกับผมให้เราเตรียมทำใจยอมรับและก็ปรับตัวให้ได้เท่านั้นเอง หรือบางทีโคลอี้อาจฟื้นขึ้นมาในไม่กี่วันนี้ก็ได้”

“โธ่! โคลอี้ลูกแม่ ทำไมถึงได้อาภัพอย่างนี้นะ เกิดมาพิการแล้วยังต้องมาเป็นเจ้าหญิงนิทราอีก” แคโรลีนพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ แหงนหน้ามองลีเดียซึ่งยืนลูบหลังลูบไหล่ให้กำลังใจอยู่ข้างๆด้วยสายตาน่าสงสาร

“คุณน้าทำใจเถอะนะคะ ช่วยกันดูแลโคลอี้ให้ดีที่สุดตามคำแนะนำของแพทย์ดีกว่า ขอให้โคลอี้ฟื้นขึ้นมาเร็วๆ เราจะได้รู้กันสักทีว่าเรื่องร้ายๆที่เกิดขึ้นนี้เป็นอุบัติเหตุจริงๆรึเปล่า?” ลีเดียยังไม่หยุดพูดจาใส่ร้ายวทานิกา แต่ภายในใจนั้นกลับโล่งอกที่นังเด็กพิการปากร้ายไม่ต้องตื่นขึ้นมาพูดจาถากถางตนอีกต่อไปทั้งยังโล่งอกเมื่อหลังเหตุการณ์ในวันนั้นไม่มีใครนึกถึงรถเข็นที่ตนเป็นคนทำลายแผงวงจรควบคุมเลย เพราะทุกคนมัวแต่กังวลใจกับโคลอี้ที่มีอาการสาหัสเช่นนี้

“ผมว่าคุณอย่าพูดอย่างนั้นอีกเลย นิก้าก็เป็นห่วงโคลอี้เหมือนกัน ขนาดเธอต้องบินไปทำงานที่ต่างประเทศยังโทรมาถามถึงอาการของโคลอี้อยู่บ่อยๆ อีกอย่างผมคบกับนิก้ามานาน เธอไม่ได้เป็นคนใจคอร้ายกาจขนาดที่จะทำเรื่องเลวร้ายอย่างนี้ได้หรอก” ทิโมธีออกรับแทนผู้หญิงของตน

“ฉันรู้นะคะทิม ว่าคุณคบกับเธอมานานแต่ก็ไม่ได้หมายความว่านิก้าจะแสดงนิสัยทั้งหมดออกมาให้คุณได้เห็นแล้วนี่คะ ไม่มีใครทนฟังคนอื่นพูดจาถากถางตัวเองได้หรอกค่ะ มนุษย์เรานี่มีความรู้สึกรัก โลภ โกรธ หลงทั้งนั้น ไม่แปลกที่นิก้าจะโกรธโคลอี้ แล้วคิดอยากเอาคืนเล็กๆน้อยๆ แต่เรื่องมันกลับเลยเถิดมาจนถึงอย่างนี้ ไม่อย่างนั้นเธอคงไม่กลัวความผิด ร้อนใจจนต้องโทรหาคุณบ่อยๆหรอกค่ะ” ลีเดียพยายามพูดชักจูงด้วยเหตุผลที่น่าเชื่อถือ

“ที่คุณพูดมาก็อาจเป็นไปได้แต่คิดในทางกลับกัน โคลอี้ก็พูดจาถากถางคุณเหมือนกัน แสดงว่าคุณก็ต้องคิดวางแผนสั่งสอนโคลอี้เหมือนกันรึไง?” คนอย่างทิโมธีไม่เคยพูดจาอ้อมค้อมเลยสักครั้ง หากเขาสงสัยอะไรต้องถามกลับไปตรงๆเช่นกัน

คำถามจี้กลางใจดำนั้นทำให้ลีเดียถึงกับคอแข็ง แต่ก็สามารถเรียกสติกลับคืนมาได้ในทันควัน ยิ้มเยือกเย็นพร้อมกับตอบคำถามอย่างสุขุม “ค่ะ... ถ้าลีเดียเป็นคนพาโคลอี้เดินขึ้นไปบนเนินเขานั่นเสียเอง พูดกันตามตรงว่าอดสงสัยตัวเองไม่ได้ว่าทำไมถึงได้พากันเดินไปสูงอย่างนั้น ก็รู้อยู่ว่าโคลอี้เดินเหินไม่สะดวก ถึงแม้ว่าตอนเดินขึ้นจะไม่มีปัญหาอะไร แต่ขากลับน่ะมันเป็นการเดินลงจากเนินเขาซึ่งเสี่ยงอันตรายมาก แล้วถ้าเกิดอะไรขึ้นผู้หญิงหุ่นเพรียวลมอย่างนิก้าจะช่วยเหลือโคลอี้ได้ยังไง เรื่องง่ายๆแค่นี้อย่าบอกนะคะว่านิก้าคิดไม่ได้”

“พระเจ้าช่วย! น้าไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อนเลย ทำไมนิก้าถึงได้ใจร้ายอย่างนี้นะ” แคโรลีนยกมือขึ้นปิดปากด้วยไม่คาดคิด และสิ่งที่ลีเดียสันนิษฐานนั้นก็น่าเชื่อถืออยู่มาก

“เอาล่ะๆ ยังไงเสียก็ไม่มีหลักฐานที่แท้จริงมายืนยันว่านิก้าทำอย่างนั้น และผมก็ยังไม่เชื่ออยู่ดีว่าจะมองเธอพลาดไปขนาดนั้น ถ้าอยากจะหาคนรับผิดชอบในเรื่องที่เกิดขึ้นล่ะก็... เราคงต้องช่วยกันดูแลโคลอี้ให้ดี เธอเป็นคนเดียวที่จะตอบข้อกังขาทั้งหมดนี้ให้กระจ่างได้” ทิโมธีสรุป ยุติปัญหาที่ยังคลุมเครือลงพร้อมทั้งเอ่ยขอร้องด้วยน้ำเสียงวางอำนาจ “และผมขอร้องว่าตราบใดที่ไม่มีหลักฐานกล่าวหาว่านิก้าทำร้ายโคลอี้ ขอให้หยุดพูดเรื่องนี้ต่อหน้านิก้า อย่างน้อยก็ต้องให้เกียรติเธอในฐานะผู้หญิงของผมบ้าง”
จบคำพูดเด็ดขาดของทิโมธีก็ทำให้ลีเดียหน้าถอดสีทันที แต่ก็ยิ้มรับอย่างเสียไม่ได้ทั้งที่ในใจนั้นคิดว่าต้องหาหลักฐานมาใส่ร้ายป้ายสีให้วทานิกาเป็นผู้รับเคราะห์เรื่องนี้แทน ถึงแม้ว่านังเด็กพิการนี่จะไม่ใช่พี่น้องสายเลือดเดียวกันกับเขา แต่ดูได้จากสีหน้าและความห่วงใยที่แบดบอยหนุ่มแสดงออกมานั้นก็รักและเอ็นดูราวกับน้องสาวแท้ๆ เขาคงไม่สามารถคบหากับผู้หญิงร้ายกาจที่ทำให้โคลอี้ต้องกลายเป็นเจ้าหญิงนิทราแน่!

“อ้อ... คุณทิมคะ ดิฉันมีเรื่องเรียนให้ทราบค่ะ” แคโรลีนรีบเปลี่ยนเรื่องพูดเพื่อคลี่คลายความอึดอัดที่เกิดขึ้น “ระหว่างที่โคลอี้ยังไม่รู้สึกตัวและต้องพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล ดิฉันขออนุญาตคุณทิมมานอนค้างที่นี่เพื่อดูแลโคลอี้นะคะ”

“ก็ตามใจครับ แต่ความจริงแล้วไม่ต้องลำบากขนาดนั้นก็ได้ ยังไงเสียผมก็จ้างพยาบาลพิเศษคอยดูแลโคลอี้เป็นประจำอยู่แล้ว” ทิโมธีบอก

“ค่ะ ดิฉันทราบดีและขอบคุณคุณทิมที่เมตตาโคลอี้มาตลอด แต่หัวอกคนเป็นแม่นะคะคุณทิม เห็นลูกมีสภาพแบบนี้แล้วต่อให้นอนอยู่ที่ไหนก็ไม่อาจนอนหลับสนิทได้หรอกค่ะ” แคโรลีนบอกพลางซับน้ำตา “จริงสิคะ นี่คุณทิมคงเพิ่งกลับจากอู่ต่อตัวถังรถใช่ไหมคะ ถึงได้ดูเนือยๆอย่างนี้”

“ใช่ครับ พอดีช่วงนี้ต้องส่งมอบรถบัสล็อตใหญ่ ที่อู่ทำงานตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงมาหลายวันแล้ว” ทิโมธีบอกเรื่องธุรกิจของตัวเองคร่าวๆ

“คงยังไม่ได้ทานอาหารเย็นใช่ไหมคะ คือดิฉันจะฝากให้คุณทิมไปส่งลีเดียที่โรงแรมแลนดอนน่ะค่ะ ตอนแรกลีเดียมีน้ำใจจะมาชวนดิฉันไปทานอาหารเย็นด้วยกัน แต่ดิฉันเพิ่งทานไปก่อนที่ลีเดียจะมาถึงไม่นาน ยังรู้สึกอิ่มอยู่เลย อีกอย่างลีเดียไม่ได้ขับรถมาคงดูไม่ดีเท่าไหร่ถ้าจะให้เธอเรียกแท็กซี่กลับเอง” แคโรลีนขอร้องทั้งยกเอาเหตุผลร้อยแปดขึ้นมาอ้างจนทิโมธีไม่อาจปฏิเสธได้

“โอเค งั้นเดี๋ยวผมไปส่งลีเดียเอง แล้วถ้าโคลอี้ฟื้นหรือมีอาการคืบหน้ายังไง โทรเข้ามือถือผมได้ทุกเวลา” ทิโมธีบอกพร้อมกับผายมือเชิญสาวเปรี้ยว เฉี่ยวให้เดินออกจากห้องก่อนตนเอง “เชิญครับ”

ลีเดียยิ้มเมื่อทุกอย่างเป็นไปอย่างที่คาดการณ์ไว้ จริงอยู่ว่าตอนนี้ทิโมธียังไม่ได้ให้ความสนใจในตัวเธอนักแต่ถ้าลองได้มีโอกาสอยู่ใกล้ชิดกันบ่อยๆแล้วล่ะก็... ลีเดียมั่นใจว่าเสน่ห์ที่มีอยู่ในตัวเองจะมัดใจผู้ชายที่มีบุคลิกโอหังทว่าดูเร่าร้อนได้เป็นแน่ แววตากรุ้มกริ่มที่มองผู้หญิงด้วยสายตาเช่นนี้มันยิ่งท้าทายอยากสยบผู้ชายแบดบอยนี้ให้ศิโรราบ คุกเข่าอยู่ต่อหน้านัก!

ทิโมธีเดินออกมาด้านหน้าโรงพยาบาลซึ่งจัดไว้เป็นลานจอดรถของลูกค้าวีไอพีพร้อมกับลีเดีย มือใหญ่เอื้อมไปเปิดประตูรถสปอร์ตคันหรูให้สุภาพสตรีตามมารยาท หากแบดบอยหนุ่มต้องเลิกคิ้ว โครงศีรษะแปลกใจเมื่อได้รับจุมพิตจากลีเดียที่ปลายคางก่อนก้าวขึ้นรถ!

“ขอบคุณค่ะ รูปหล่อ...” ลีเดียบอกพร้อมสอดตัวเข้าไปนั่งเบาะข้างๆคนขับ พร้อมเหลือสายตามองกระจกหลังพลางยิ้มร้ายกาจออกมาอย่างพอใจเมื่อเห็นปาปารัสซี่ที่จ้างมารอไว้ก่อนแล้วกดชัตเตอร์เก็บภาพเมื่อครู่นี้ไว้!

“ให้ผมไปส่งที่โรงแรมเลยใช่ไหม” ทิโมธีย้ำถามเพื่อความมั่นใจอีกครั้งหนึ่งพร้อมกับบังคับพวงมาลัยด้วยสองมืออย่างมั่นคง แต่คำตอบที่ได้รับเกือบทำให้ผู้ชายเสเพลเกือบสำลักพรวดออกมา!

“ความจริงฉันอยากทำความรู้จักกับคุณแบบสนิทชิดเชื้อ เนื้อแนบเนื้อ จะทำให้เรารู้จักกันได้ดีกว่านี้” ลีเดียพูดอย่างตรงไปตรงมาจนทิโมธีไม่อยากเชื่อหูตัวเอง

“คุณเป็นผู้หญิงที่เปิดเผย ตรงไปตรงมาที่สุดที่ผมเคยรู้จักมา...” ทิโมธีบอกด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ

“และจะทำให้คุณสนุกสุดๆด้วย ฉันชอบคุณมากๆรู้ตัวไหมคะทิม”

“ไม่รู้ก็คงบ้าไปแล้ว”

ลีเดียชอบเหลือเกินกับท่าทีไม่สะทกสะท้านกับเรื่องใดๆของผู้ชายคนนี้ เขายังปรายตามองด้วยสายตาโอหัง โอ่ตัวอย่างไม่น่าเกลียดเมื่อรู้ว่ามีผู้หญิงมาคลั่งไคล้ แถมไม่มีท่าทีว่าดีใจจนออกนอกหน้าราวกับกลัวว่าผู้หญิงจะเปลี่ยนใจเหมือนกับผู้ชายที่ผ่านมาของตน “รู้ไหมคะทิม... ว่าท่าทางอวดดีของคุณมันยิ่งทำให้ฉันอยากพิสูจน์ตัวเอง”

มือเรียวยาวที่เพ้นท์เล็บในแบบเฟรนซ์เนล2ลูบไล้ไปตามหน้าขาแกร่งอย่างยั่วยวน จนทำให้ทิโมธีต้องรีบให้สัญญาณไฟหักพวงมาลัยจอดรถที่ข้างทางอย่างกะทันหันเพราะต้องหยุดการกระทำจู่โจมของลีเดียลง!! แต่กลับไม่เป็นอย่างที่คิดเพราะลีเดียนั้นวางแผนในใจเอาไว้แต่แรกเริ่มแล้ว เมื่อรถจอดสนิทอยู่ข้างถนน ลีเดียก็โถมทั้งร่างเข้าระดมจูบทิโมธีอย่างที่ชายหนุ่มไม่ทันได้ตั้งตัว สองมือเรียวยังวนเวียนนวดเฟ้นกึ่งกลางลำตัวราวกับปลุกสัมผัสพิศวาสให้คุโชนขึ้นมาอย่างเชี่ยวชาญ

ทิโมธีส่ายหน้าหนีจูบเร่าร้อนของลีเดียที่สอดลิ้นเข้ามาในปากของตนเป็นพัลวัน สองมือคว้าเข้าที่เรียวแขนทั้งสองข้างดึงร่างที่โถมเข้ามาทั้งตัวออกห่างทันที! “เฮ้! เฮ้! หยุดก่อนๆลีเดีย คือผม”

“ฉันรู้ว่าคุณก็ชอบมันพอๆกับฉัน ทำไมต้องห้ามใจตัวเองด้วยล่ะคะทิม เปิดโอกาสให้ฉันบ้าง อย่างน้อยก็เปิดโอกาสให้ตัวเองได้พบกับสิ่งที่ดีกว่า” ลีเดียพูดอย่างท้าทายพร้อมกับโถมร่างเข้าใส่ชายหนุ่มอีกครั้งแต่ถูกรั้งตัวไว้เสียก่อน

“โอเคๆ ลีเดีย ใจเย็นๆคุยกันก่อนคนสวย” ทิโมธีบอก ในสมองกำลังทำงานอย่างหนักหาเหตุผลที่จะพูดให้เธอเข้าใจแล้วยังต้องเป็นคำพูดที่ทำให้สามารถพูดคุย มองหน้ากันได้อย่างสนิทใจ “คือผมเข้าใจว่าคุณอาจจะรู้สึกชอบผม แต่ตอนนี้ผมยังไม่ได้ชอบคุณ เพราะฉะนั้นผมถึงมีเซ็กซ์กับคุณไม่ได้ โอเค้??”

“ก็ถ้าคุณยังไม่เปิดโอกาสให้ฉันบ้างจะรู้ได้ยังไงล่ะคะ ว่าชอบหรือไม่ชอบฉัน ยังไงเสียฉันก็มั่นใจว่าฉันมีดีพอที่จะทำให้คุณติดใจได้” ลีเดียพูดอย่างตรงไปตรงมา

ทิโมธีพอจะเข้าใจกับท่าทีเฟิล์ตของลีเดียเพราะส่วนมากแล้วผู้หญิงที่เข้ามาหาจะเป็นเช่นนี้เกือบทุกคน แต่ลีเดียออกจะเปิดเผยเกินไปสักหน่อย ซึ่งตนก็ไม่ได้เห็นว่ามันเป็นความผิดแต่อย่างใด “คือคุณอาจจะมองว่าผมมั่วคั่วผู้หญิงมากหน้าหลายตา แต่ความจริงแล้วผมคบทีละคนนะเซ็กซี่”

“งั้นเลิกกับเธอแล้วมาคบกับฉันสิคะ” ลีเดียยังตื้อไม่เลิก

“พระเจ้า! ให้ตายเถอะ!! ผมจะทำอย่างนั้นได้ยังไง”

“ไม่เห็นแปลกนี่คะทิม ความจริงแล้วนิก้าก็ไม่ได้คบคุณคนเดียวสักหน่อย ตอนนี้เธอออาจจะเดตกับนายแบบหล่อๆหรือนักกีฬาพลังเหลือเฟือสักคนอยู่ที่สเปนก็ได้”

ทิโมธีขมวดคิ้วแทบเป็นเส้นตรง แน่นอนล่ะว่าเขาไม่เชื่อเด็ดขาดว่าวทานิกาจะทำเช่นนั้น!! “ผมบอกแล้วว่าคุณควรให้เกียรติเธอในฐานะผู้หญิงของผม”

ลีเดียหัวเราะในลำคออย่างคนเจ้าแผนการเมื่อได้เห็นสีหน้าไม่พอใจของทิโมธี “ผู้หญิงหัวโบราณอย่างนั้นจะอยากเป็นคู่นอนของแบดบอยไร้หัวใจอย่างคุณทำไมกันคะ? สู้ไปเป็นคนรักของนักแตะชื่อดังไม่ดีกว่าเหรอ ถึงไม่ได้มีเงินร่ำรวยมหาศาลอย่างคุณแต่ก็สามารถใช้อย่างสบายไปทั้งชาติได้เหมือนกัน”

“ลีเดีย ผมไม่ชอบวิธีการของคุณเลย มันเหมือนใช้วิธีการสกปรกแทงคนอื่นข้างหลัง และถึงแม้ว่าคุณจะโซฮอตขนาดไหน ผมก็อาจหมดอารมณ์ได้!” ทิโมธีเอ่ยออกไปตรงๆเช่นกัน เพราะไม่ชอบใจในวิธีการขจัดคู่แข่งของลีเดียและคำพูดด้วยน้ำเสียงตำหนินั้นสามารถทำให้ผู้หญิงที่ลุกขึ้นมาจู่โจมเมื่อสักครู่นั่งลงในท่าทางสงบเช่นเดิมได้ ทิโมธีจึงเบนหัวรถยนต์คันหรูออกจากข้างถนนทันที

“เรื่องนั้นไม่เป็นปัญหาสำหรับฉันหรอกค่ะทิม เชื่อเถอะว่าทุกครั้งที่คุณหมดอารมณ์ห่อเหี่ยวแค่ไหน ฉันก็สามารถปลุกคุณให้ตื่นตัวได้ แต่ตอนนี้พูดไปก็เหมือนฉันเป็นนางอิจฉาที่กำลังใส่ร้ายนางเอกผู้แสนดีของคุณ แต่เชื่อฉันเถอะค่ะว่าฉันมองผู้หญิงคนนี้ไม่ผิดหรอก” ลีเดียพูดอย่างมั่นใจเพราะตนและพ่อได้วางแผนการไว้เป็นอย่างดี จากนั้นภายในรถยนต์คันหรูก็เงียบไปนานจนกระทั่งจอดสนิทหน้าโรงแรมแลนดอนใจกลางกรุงลอนดอนพร้อมๆกับเสียงห้าวเข้มที่ดังขึ้นอย่างมั่นใจ

“ผมคบกับนิก้ามาสิบเอ็ดเดือน เธอสะอาด ใสซื่อ จิตใจดีจนผมไม่คิดว่าจะมีใครปิดบังตัวตนที่แท้จริงได้นานขนาดนี้” ทิโมธีโต้กลับอย่างมั่นใจเช่นกัน

“อย่าลืมนะคะว่าฉันคลุกคลีกับนางแบบ พวกเธอชิงดีชิงเด่นกันทั้งนั้นล่ะค่ะ และแน่นอนว่าการเป็นคู่ควงของทิโมธี แมคคินสันต้องทำให้พวกเธอดังเป็นพลุแตกชั่วข้ามคืนแน่ หรือคุณจะเถียงฉันว่ามันไม่จริง” ลีเดียพูดพร้อมโน้มตัวจูบที่ปลายคางที่มีเคราเขียวครึ้มอย่างรวดเร็วพร้อมก้าวลงจากรถ โดยไม่ลืมที่จะทิ้งประโยคคำพูดที่แสนจะท้าทายไว้ให้ทิโมธีได้ขบคิด “ตอนนี้คุณอาจจะยังไม่เชื่อที่ฉันพูด แต่อีกไม่นานหรอกค่ะ ผู้หญิงอย่างนิก้าต้องการความมั่นคง ซื่อสัตย์ที่คุณยังไม่พร้อมจะมอบมันให้กับใครทั้งสิ้น เธอคงไม่ยอมอยู่เป็นซินเดอเรลลาที่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่รถม้าจะกลายเป็นฟักทอง!? จำคำพูดของฉันไว้นะคะทิม... ผู้หญิงที่เหมาะกับคุณมีแค่ฉันเท่านั้น!”
ทิโมธีมองตามร่างเพรียวของลีเดียที่เดินจากไปด้วยความจริงข้อหนึ่งที่กระแทกใจเข้าอย่างจัง ลีเดียพูดได้ถูกต้องที่สุด ตลอดเวลาที่คบกันนั้นใช่จะไม่รู้ว่าวทานิกาต้องการคำบอกรักมาตลอดเวลา แต่ตนก็ให้ได้เพียงแค่ความซื่อสัตย์ในระหว่างที่คบหากันในฐานะพื่อนต่างเพศที่พิเศษกว่าเพื่อนทั่วไป ไม่ได้จำกัดความสถานะภาพนี้ว่าเป็นคู่รักเพราะยังไม่เคยมั่นใจในความรู้สึกที่มีต่อเธอเลยสักครั้งว่ามันคือความรักจริงๆหรือไม่ ทุกครั้งที่เธอเลียบเคียงถามถึงคำรัก ตนก็จะมอบเพียงความหนักแน่นในจิตใจและคำพูดให้เธอเท่านั้น ทั้งยังไม่เชื่อว่าแค่เพียงไม่กี่วันที่ห่างกันนี้วทานิกาจะพบเจอผู้ชายที่พร้อมมอบคำสาบานที่มีไว้ใช้ในพิธีแต่งงานได้รวดเร็วเช่นนี้!!

ไวเท่าความคิดแบดบอยหนุ่มจัดการต่อสายโทรศัพท์ผ่านอุปกรณ์เชื่อต่อในรถยนต์ถึงผู้หญิงของตัวเองพร้อมกับขับเคลื่อนรถอยู่บนท้องถนนอย่างระมัดระวัง เพียงไม่นานก็ต้องเผลอยิ้มกับตัวเองออกมาอย่างโล่งอกเมื่อได้ยินเสียงหวานที่กรอกมาตามสาย... น้ำเสียงนั้นดูเศร้าไปมากเมื่อเอ่ยถามถึงอาการของโคลอี้ ชายหนุ่มจึงปลอบใจพร้อมกับชวนคุยเรื่องสัพเพเหระ หัวเราะอย่างมีความสุขราวกับหนุ่มสาวที่เพิ่งเริ่มรู้จักกันใหม่ๆ จากโรงแรมแลนดอนถึงปราสาทแมคคินสัน เรื่อยมาจนชายหนุ่มอยู่ในห้องนอนส่วนตัวจึงได้วางสายจากกัน ทิโมธีเลิกคิ้วอย่างแปลกใจตัวเองเมื่อเวลารวมที่ใช้สายโทรศัพท์โชว์อยู่หน้าจอ รวมเวลายาวนานเกือบสองชั่วโมง!! พลางคิดอย่างมั่นใจว่าคงไม่มีใครทำให้เธอยิ้มและหัวเราะด้วยน้ำเสียงสดใสได้เท่าตนแล้ว

เธอต้องเต็มใจอยู่ในความสัมพันธ์ที่ตนเป็นผู้วางไว้ ในเมื่อว่าต่างคนต่างมีความสุข เข้ากันได้ทุกเรื่อง ก็ไม่มีเหตุผลใดที่จะต้องเพิ่มเงื่อนไขผูกมัดต่อกันขึ้นมาให้ยุ่งยาก แบดบอยหนุ่มคิดอย่างสำราญหัวใจพร้อมเดินเข้าห้องน้ำเพื่อชำระร่างกายขับไล่ความเมื่อยล้าที่สะสมมาตลอดทั้งวัน ไม่กี่นาทีต่อมาก็ก้าวขึ้นเตียงทิ้งตัวลงบนที่นอนนุ่มด้วยความทรมานเมื่อกลิ่นกายของวทานิกายังตลบอบอวลอยู่บนเครื่องนอนทุกชิ้น! แขนแข็งแรงคว้าเอาหมอนข้างที่เธอเคยกอดมาสอดไว้ในอ้อมแขนราวกับมันเป็นตัวแทนของเธอ สะกดกลั้นอารมณ์หนุ่มที่พลุ่งพล่านให้หลับใหลไปกับกลิ่นหอมที่ติดอยู่ปลายจมูก แม้จะเข้าสู่ห้วงแห่งความฝันแล้วกลิ่นหอมนั้นก็ยังตามวนเวียนเข้าไปในฝันเช่นกัน...



ศิริพารา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 23 พ.ค. 2558, 11:09:40 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 23 พ.ค. 2558, 11:09:40 น.

จำนวนการเข้าชม : 1072





<< ตอนที่ 5 100%   ตอนที่ 7 100% >>
ร้อยวจี 23 พ.ค. 2558, 14:02:56 น.
ยังดีที่ยังไม่ด่วนสรุป หวังว่าจะรู้ตัวคนทำเร็วๆ คงไม่ต้องรอจนท้ายเรื่องนะคะ หรือต้องแก้แค้นก่อนแล้วค่อยรู้ความจริง แบบนี้เหนื่อยค่ะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account