ซ่อนรักเพลิงมายา
“รู้ไหมว่าผมชอบ... เวลาที่ขาเรียวๆ ของนิก้าเกี่ยวเอวผม จิกปลายเท้าลงบนแผ่นหลังผม
ใช่... ใช่... อย่างนั้นแหละนิก้า แม่สาวแสนซน”

ไม่เคยมีครั้งใดที่ ‘ทิโมธี แมคคินสัน’ วิศวกรมหาเศรษฐีผู้ร่ำรวยล้นฟ้า

จะถูกคู่ควงระดับซูเปอร์โมเดลแถวหน้าของโลกอย่าง ‘วทานิกา ซาฟินา’ ทำให้โมโหโทโสได้ถึงเพียงนี้

เพราะเพียงแค่ไม่กี่วันที่เขาไม่ได้นั่งอยู่ฟรอนต์โรว์ของรันเวย์เพื่อชื่นชมคู่ควงของตน

เธอกลับมีภาพหลุดจนเป็นข่าวฉาวโฉ่ไปทั่วโลกแล้วยังปากแข็ง แบล็กเมล์ความรู้สึกของเขาด้วยเหตุผลง่ายๆ

...มันเป็นเพียงเรื่องบังเอิญ!!

แล้วมีหรือที่แบดบอยไร้หัวใจ ผู้ไม่เคยแยแสกับความรู้สึกรักใคร่ใดๆ จะต้องเก็บเธอไว้ข้างกาย
ไม่เพียงแค่นางแบบสาวไม่กลับมาง้อขอคืนดี แต่เธอยังออกปากไล่ส่ง เป็นฝ่ายบอกตัดสัมพันธ์
ราวกับไม่เสียดายเลือดพรหมจรรย์ที่เขาเป็นผู้ทำลาย แถมควงผู้ชายเป็นข่าวใหญ่โตไม่เว้นแต่ละวัน!

การกระทำดังกล่าวมันเป็นการท้าทายแบดบอยไร้หัวใจอย่างเขายิ่งนัก

เธอคงไม่รู้เลยสินะ! ตลอดระยะเวลาที่แยกจากกัน เขาไม่สามารถกลับไปใช้ชีวิตเสเพลได้เช่นเคย
หากแต่ต้องนั่งมองรูปของเธอผ่านนิตยสาร

แล้วพาตัวเองเข้าสู่จินตนาการอันซ่านใจ โดยที่ไม่กล้าเปิดเผยเรื่องน่าอายเช่นนี้ให้ใครได้ล่วงรู้
ทิโมธีจึงต้องทำทุกวิถีทางเพื่อดึงเธอให้กลับมาอยู่ข้างกาย

เพียงเพราะต้องการสลัดตัวเองให้หลุดจากคำว่า ‘ไอ้โรคจิต’

ซึ่งเขาไม่อาจเดินเข้าไปปรึกษาเรื่องน่าอายเช่นนี้กับจิตแพทย์!!

จึงบีบบังคับเธอทุกทาง ดักหน้าล้อมหลัง โดยไม่สนใจว่าวิธีการนั้น

จะทำร้ายจิตใจและทำให้หัวใจของเธอบอบช้ำมากเพียงใด

แต่เธอกลับตอบโต้เขาด้วยวิธีการอันแยบยลจนทำให้เขาแทบบ้าตาย

ด้วยการประกาศต่อโลกอย่างชัดแจ้งว่าเธอคือซิงเกิลมัมที่ไม่ต้องการเอ่ยถึงพ่อของลูก!

...แล้วแบดบอยหนุ่มผู้ถูกเลี้ยงให้เติบโตขึ้นมา

ท่ามกลางอคติต่อคู่ชีวิตและทะเบียนสมรส

จะดึงเธอกลับเข้าสู่อ้อมกอดได้อย่างไร

เมื่อเธอคือผู้หญิงโลภมากที่กล้าเรียกร้องทั้งสองสิ่งนั้นจากเขา
ด้วยคำพูดที่ว่า...

“กับเรื่องของความรักแล้ว ฉันออกจะโลภมากเสียด้วยซ้ำ
เพราะไม่ได้อยากพิเศษเหนือผู้หญิงคนอื่น
แค่อยากให้รักฉันเหมือนที่ฉันรักคุณเท่านั้นเอง”
Tags: ทิโมธี - วทานิกา

ตอน: ตอนที่ 7 100%

วทานิกากำลังอยู่บนเครื่องบินของสายการบินพาณิชย์ชื่อดังพร้อมด้วยดาเรียกำลังเดินทางกลับสู่ลอนดอนในบ่ายวันถัดมาซึ่งเสร็จสิ้นจากการถ่ายปกนิตยสารตั้งแต่เมื่อวานนี้... ที่นั่งชั้นเฟิร์สคลาสแถวคู่ที่วทานิกาต้องนั่งติดหน้าต่างเพียงลำพังเพราะดาเรียถูกจัดให้คู่กับเอเจนซี่ที่เดินทางมาดูแลความเรียบร้อยพร้อมอำนวยความสะดวกในเรื่องต่างๆ

สายตาคู่หวานของวทานิกาจ้องมองออกไปยังรันเวย์ของสนามบินพร้อมกับความดีใจที่เกิดขึ้นเมื่ออีกไม่กี่ชั่วโมงจะได้พบเจอใบหน้าของผู้ชายที่อยู่ในห้วงความคิดถึงมาตลอดสี่วันที่ต้องห่างกัน เมื่อคืนนี้ก่อนวางสาย ทิโมธียังทำตัวน่ารักโดยอาสามารับด้วยตัวเองที่สนามบิน ก่อนวางสายยังทำเสียงเซ็กซี่ ครางกระเส่าพูดอย่างตรงไปตรงมาจนทำให้กายสาวสั่นสะท้านกับคำพูดชวนวาบหวิวที่เขามักพูดให้ได้เขินอายอยู่เสมอในยามที่อยู่ด้วยกัน โดยไม่ได้สนใจว่ามีร่างสูงใหญ่ของชายคนกลุ่มหนึ่งซึ่งถูกแอร์โฮสเตสสาวสวยเดินนำมายังที่นั่งข้างๆตนเอง

รามอส รูบิโอเอียงศีรษะมองผู้หญิงที่กำลังนั่งเท้าคาง ยิ้มหวานอยู่คนเดียวราวกับตกอยู่ในโลกแห่งความฝันจนอดยิ้มกับเธอไปด้วย พลางจำได้อย่างแม่นยำว่าเพิ่งเอ่ยคำร่ำลากันเมื่อไม่กี่สิบชั่วโมงที่ผ่านมาหลังจากที่ได้มีโอกาสร่วมงานกันเป็นครั้งแรก “เครื่องบินลำนั้นมันบอกรักคุณเหรอนิก้า ทำไมถึงได้ส่งยิ้มหวานให้มันขนาดนั้น?”

เสียงทักทายที่ดังขึ้นทำให้วทานิกาหลุดออกมาจากภวังค์ความคิดของตัวเองพร้อมหันหน้ามองตามต้นกำเนิดของเสียงที่ทักทายทันที “รามอส! คุณเองเหรอคะ??”

“หวัดดีครับ เจอกันอีกจนได้” รามอส รูบิโอเอ่ยทักทายพร้อมกับยิ้มอย่างเป็นมิตนให้นางแบบสาว

“สวัดดีค่ะ โอ... ไม่นึกว่าจะได้เจอคุณเร็วอย่างนี้ ทั้งที่เพิ่งเอ่ยคำลากันเมื่อไม่กี่ชั่วโมงนี่เอง” วทานิกาทักทายกลับ ประหลาดใจนักเมื่อไม่คิดว่าจะได้เจอกับนักเตะดังอีกครั้ง “แล้วนี่จะไปลอนดอนเหรอคะ?”

“ครับ ผมต้องไปทดสอบสภาพร่างกายสักสองสามวัน ถ้าผ่านความฟิต ผู้จัดการตกลงกันได้ก็อาจจะได้ย้ายมาเล่นในอังกฤษครับ” รามอส รูบิโอเอ่ยถึงสโมสรฟุตบอลชื่อดังแห่งหนึ่งในกรุงลอนดอน ซึ่งมีข่าวว่าโค๊ชชาวโปรตุกีสชื่นชอบในลีลาความสามารถของเขามากจนต้องบินมานั่งชมรามอส ลงเตะให้กับต้นสังกัดในสเปนอยู่บ่อยครั้ง ท้ายที่สุดรามอสก็ได้รับการติดต่อให้มาทดสอบความพร้อมของร่างกายในสโมสรอันยิ่งใหญ่นี้

“นี่ที่นั่งคุณรึเปล่าคะ?” วทานิกาถามเมื่อเห็นว่านักเตะหนุ่มยังยืนอยู่เช่นเดิมและยิ้มรับเมื่อเขาพยักหน้าและทรุดตัวนั่งลงที่นั่งข้างๆ “เดินทางคนเดียวเหรอคะ?”

“เปล่าครับ ผมมากับคุณแม่แล้วก็ทีมงานอีกสามสี่คน จองตั๋วเครื่องบินกะทันหันเลยต้องแยกย้ายกันนั่งอย่างที่เห็นนี่แหละครับ แล้วเพื่อนนางแบบอีกคนหายไปไหนล่ะครับ อย่าบอกนะว่าไปกัดปากหนุ่มสเปนคนไหนเข้าอีก” รามอสถามแกมประชดเพราะเมื่อวานนี้ถูกดาเรียกัดริมฝีปากล่างจนได้บัดนี้ยังรู้สึกเจ็บๆอยู่

“เชอะ! ถ้าไม่ใช่เพราะสไตล์ลิสแล้วก็ตากล้องอยากได้ภาพแบบนั้น จ้างให้ฉันก็ไม่กัดปากนายแน่” ดาเรียโผล่พรวดขึ้นมาจากเบาะนั่งคู่หน้าตอบคำถามนั้นเสียเอง

“เหรอ! แต่เท่าที่ผมเห็นเนี่ย เหมือนคุณจะเต็มใจทำโดยไม่ต้องคิดมากกว่าเพราะจบคำพูดของตากล้องคุณก็จูบผมจนไม่ทันได้ตั้งตัว!” รามอสโต้กลับอย่างไม่ยอมเช่นกัน

“เขาเรียกว่าหัวไว มีสปิริตในตัวสูงสั่งปุ๊บทำปั๊บ มืออาชีพน่ะรู้จักไหม? ไม่เหมือนมือสมัครเล่นอย่างนายหรอกยืนบื้ออยู่ตั้งนาน งานเสร็จแล้วแทนที่จะขอบคุณยังมีหน้ามาพูดแดกดันฉันอีก” ดาเรียสวนกลับอย่างไม่ลดละเช่นกันจนวทานิกานึกขำ ยื่นมือมากั้นไว้ที่ใบหน้าทั้งสองที่ยังจ้องตากันอย่างดุเดือดเชิงห้ามมวยคู่เอกที่กำลังจะเริ่มขึ้นนี้

“เอาล่ะๆ แยกคนละมุมนะคะ มุมน้ำเงินก็นั่งที่ตัวเองดีๆ ส่วนมุมแดงก็คาดเข็มขัดนิรภัยด้วยค่ะ กัปตันเตือนแล้ว” วทานิกาบอกพร้อมส่ายหน้ามองทั้งคู่ที่ทะเลาะกันเป็นเด็ก

หากวทานิกาต้องเงียบฟังนักเตะหนุ่มผู้มีอัธยาศัยดีเลิศเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้ราวกับมีความลับอะไรบางอย่าง “เชื่อพวกคุณสองคนเลย ทำไมถึงได้มีนิสัยแตกต่างกันลิบลับ คบกันเข้าไปได้ยังไง?!”

วทานิกาอดขำออกมาไม่ได้เมื่อได้ยินคำถามเชิงประชดประชันนั้นพลางตอบกลับไปอย่างอารมณ์ดี “ความแตกต่างที่กลมกลืนยังไงล่ะคะ เติมเต็มส่วนที่ขาดหายของกันและกันได้อย่างลงตัว”

รามอสเบ้ปากรับพร้อมเอนตัวนั่งพิงพนักเก้าอี้อย่างสบาย เมื่อเครื่องบินลอยลำอยู่กลางปุยเมฆขาว พลางควานหาโทรศัพท์เครื่องบางซึ่งเชื่อมต่อหูฟังอันใหญ่คล้องไว้ที่ลำคอหนาอย่างเช่นนักฟุตบอลส่วนมากชอบทำกัน

“เมื่อกี้คุณบอกว่ามากับคุณแม่ แล้วท่านไปนั่งที่ไหนล่ะคะ?” วทานิกาถามเมื่อนึกขึ้นได้ว่าเมื่อครู่นี้นักเตะหนุ่มเอ่ยถึงมารดา จึงอยากทักทายผู้ใหญ่ตามมารยาทที่ถูกอบรมมาตั้งแต่เด็กแล้ว

“อ๋อ... นั่นไงครับ” รามอสชี้นิ้วไปยังแม่ของตนที่นั่งอยู่ริมหน้าต่างอีกด้านหนึ่งของเครื่องบิน “ท่านชอบนั่งริมหน้าต่าง บังเอิญว่าเราได้ที่นั่งริมหน้าต่างมาแค่ที่เดียวเท่านั้น”

“ถ้าคุณอยากนั่งกับท่าน แลกที่นั่งกับฉันก็ได้นะคะ” วทานิกาอาสาในทันที

รามอสยกมือขึ้นเชิงห้าม “อย่าดีกว่าครับ คือผมไม่ได้คิดว่าจะรบกวนอะไรคุณหรอกนะ แต่ว่าแม่ผมท่านชอบอยู่เงียบๆคนเดียว ตอนแรกก็ไม่ยอมเดินทางไปอังกฤษกับผมด้วย กว่าจะรบเร้าให้มาด้วยกันได้นี่เล่นเอาเพื่อนๆผมแทบจะคุกเข่าขอร้อง”

วทานิกายิ้มพลางชะโงกหน้ามองเสี้ยวหน้าด้านข้างของสตรีสูงอายุที่นั่งนิ่งอยู่ฝั่งตรงข้าม แม้ว่าแอร์โฮสเตสสาวจะเสิร์ฟอาหารว่างให้ ท่านก็ยังโบกมือปฏิเสธแล้วทอดสายตามองออกไปไกลเช่นเดิม “ท่านคงชอบสันโดษจริงๆนะคะ มองแต่นอกหน้าต่างอย่างเดียวเลย”

“ครับ หลังจากที่คุณพ่อผมเสียนี่ท่านยิ่งเงียบ เก็บตัวมากกว่าเดิม จนตอนแรกผมก็กลัวว่าท่านจะเป็นโรคซึมเศร้าแต่โชคดีที่ไม่ได้เป็นอะไร คุณหมอบอกว่าท่านแค่เป็นคนสันโดษ ชอบอ่านหนังสืออยู่คนเดียว ผมถึงได้สบายใจขึ้นมาหน่อย” รามอสบอกพลางเหลือบสายตาไปมองแม่ของตน

“เสียใจด้วยนะคะเรื่องคุณพ่อของคุณ” วทานิกาบอกอย่างสุภาพ

“ขอบคุณครับ แต่ผมโอเคแล้วนะ ทำได้ใจเพราะท่านเสียมาแปดปีแล้ว ตั้งแต่ผมติดทีมชาติชุดอายุไม่เกินสิบแปดปีท่านก็เสียแล้ว ท่านอยากให้ผมติดทีมชาติชุดใหญ่แล้วย้ายมาเล่นที่อังกฤษเพื่อสร้างชื่อ”

“ทำไมล่ะคะ ฉันว่าเดี๋ยวนี้ลีกในสเปนดูจะเข้มแข็งกว่าลีกอังกฤษด้วยซ้ำ อีกอย่างสโมสรที่คุณสังกัดอยู่นี่ก็มีแต่นักเตะดังๆทั้งนั้น ตอนนี้คุณก็กลายเป็นนักเตะระดับเวิล์ดคลาสไปแล้วด้วย” วทานิกาพูดด้วยความจริงอย่างที่ไม่ได้ยกยอปอปั้นเลยสักนิด

“มันอาจจะเป็นความเชื่อ... ความฝันของพ่อผมก็ได้ครับ ผมก็อยากจะสานฝันของท่านให้เป็นจริงด้วย ใช่ว่าทีมที่มีแต่นักเตะเก่งๆ ค่าตัวมหาศาลจะอยู่ด้วยกันอย่างสบายนะครับ การแข่งขันในทีมสูงมากจนบางทีถ้าเราพลาดไปเพียงครึ่งก้าวอาจจะต้องนั่งดูเพื่อนแย่งตำแหน่งที่ข้างสนามก็ได้ ผมว่ามันคงถึงเวลาที่ต้องหาประสบการณ์ใหม่ๆให้ชีวิตแล้วล่ะ” รามอสบอกพร้อมมองเห็นอนาคตของตัวเองในถิ่นเมืองผู้ดี

“อืม... ก็จริงอย่างที่คุณพูดนะคะ” วทานิกาพยักหน้าเห็นด้วยในคำพูดของนักเตะหนุ่มทุกประการเพราะตนเองก็ต้องอยู่ในวงจรของการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นมาตลอดเวลาที่ก้าวเข้ามาเป็นนางแบบในเวทีระดับโลก “แล้วนี่... คุณแค่มาตรวจสภาพร่างกายหรือว่าย้ายมาอยู่ในลอนดอนเลยคะ?”

“ความจริงแล้วผมตั้งใจย้ายไปอยู่ที่ลอนดอนเลยครับ แต่ต้องบอกกับคนทั่วไปว่ามาตรวจความฟิตของร่างกายให้เป็นข่าวครึกโครมขึ้นมาสักหน่อย สร้างกระแสให้ดังขึ้นมาอยู่ในความสนใจของแฟนบอลน่ะครับ อีกอย่างตกลงเรื่องค่าตัวกับค่าเหนื่อยได้แล้ว ก็คงไม่มีปัญหาอะไร”

วทานิกาพยักหน้าเข้าใจในสิ่งที่นักเตะหนุ่มพูดพร้อมยิ้มออกมาอย่างสดใสเมื่อคิดถึงท่าทางโอหังของโค้ชชาวโปรตุกีสที่รามอสจะย้ายเข้ามาสังกัดในอีกไม่ช้า “ฉันชอบท่าทางโค้ชของทีมคุณมาก เขาดูยั่วยุอารมณ์ ทำลายสมาธิคู่ต่อสู้ดีเหลือเกิน ในขณะเดียวกันความอวดดีของเขาก็สร้างความฮึกเหิมให้กับลูกทีมนัก”

“ดูท่าว่าผมจะเจอแฟนคลับตัวจริงของสโมสรแล้วนะ” รามอสแซวนางแบบสาว

“เมื่อก่อนไปดูบ่อยมากค่ะแต่ฟอร์มไม่ดีเท่าที่ควร แต่ฤดูกาลนี้เปลี่ยนโค้ชแล้วผลงานโดยรวมดีขึ้นแต่ฉันไม่ค่อยว่างไปนั่งดูเหมือนเมื่อก่อนนัก”

“เป็นซุปเปอร์โมเดลก็อย่างนี้ล่ะครับ แต่นิสัยคุณดูไม่เหมือนกับบุคลิกที่เห็นตามหน้าหนังสือพิมพ์เลย”

วทานิกาขมวดคิ้วมุ่นเชิงถาม “ยังไงกันคะ??”

“ก็ตัวจริงคุณคุยเก่ง อัธยาศัยดีมาก ไม่ถือตัว เฟรนลี่มากๆ แต่ถ้าดูจากข่าวคุณจะเป็นคนถือตัว เรียบร้อย วางตัวเงียบขรึมแตกต่างกับแฟนของคุณลิบลับอีกเหมือนกัน โอ!” รามอสพูดพลางยกมือขึ้นตบปากตัวเอง “โทษทีนะ ผมมันคนปากไว ปากเสียอย่างงี้แหละ”

“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันได้ยินเรื่องพวกนี้มาจนชินแล้ว ความจริงบางทีฉันก็แปลกใจตัวเองอยู่เหมือนกันว่าคบกับเขาไปได้ยังไง ดูเหมือนเราจะไม่เข้าพวกกัน” พูดจบวทานิกาก็อดขำคำพูดของตัวเองไม่ได้

“ไม่เคยได้ยินเหรอ เขาว่ากันว่าผู้หญิงสวยหวานจะแพ้ทางแบดบอยจอมเจ้าชู้ ดูอย่างบิวตี้ แอนด์ เดอะ บีส ไง... แต่เจ้าชายอสูรของคุณรูปหล่อจนผู้ชายด้วยกันยังอดหมั่นไส้ไม่ได้” รามอสวิจารณ์ “หนึ่งในนั้นก็คือผมนี่แหละ คือไม่เข้าใจว่าผู้ชายอะไรจะเกิดมาหล่อ รวย มีเสน่ห์เอามากๆ พระเจ้านี่ช่างไม่ยุติธรรมเอาซะเลย”

“แต่ฉันเชื่อในพระองค์เสมอนะ ท่านคงไตร่ตรองดูอย่างรอบคอบแล้วล่ะ! ถึงได้ลงโทษคุณให้เป็นอย่างงี้ไง!” ดาเรียผุดลุกขึ้นหันหลังกลับมาตอบเสียเองพลางตีคิ้วใส่ตานักเตะหนุ่มอย่างท้าทาย

“แล้วผมมันเป็นยังไง?” รามอสถามกลับด้วยสีหน้าเอาเรื่อง

“เฮ้อ... น่าสงสารนะ! นายเป็นยังไงยังไม่รู้ตัว ต้องให้คนอื่นสาธยายด้วยเหรอ?” ดาเรียลอยหน้าลอยตาตอบอย่างกวนโมโหเพราะรู้สึกไม่ชอบหน้า ไม่ถูกชะตากับผู้ชายคนนี้ตั้งแต่แรกเห็นแล้ว!

รามอสเคลื่อนตัวเข้าไปใกล้ๆนางแบบสาวอย่างรวดเร็วพร้อมเค้นเสียงลอดไรฟันบอกอย่างไม่ลดลาวาศอกเช่นกัน “ไม่ต้องสาธยายหรอก แต่ที่ถามเพราะผมกลัวว่าคุณจะยังไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของผม ถ้ารู้จักแล้วจะติดใจนะคนสวยปากร้าย”

“อี๊... เต็มกลืนซะมากกว่า นายมันคนขี้โอ่!!”

“อยากลองกลืนดูล่ะสิ! แล้วถ้ายังไม่เลิกจิกเรียกผมว่านายนะ ผมจะกัดปากคุณเหมือนที่คุณกัดปากผมมั่ง เดี๋ยวนี้เลยดีไหม?” รามอสพูดพร้อมอ้าปากขบฟันตัวเองเสียงดังกึก! พร้อมมองดาเรียที่ทำใบหน้าง้ำงอ รีบผงะถอยหลังกลับไปกระแทกตัวนั่งบ่นกับตัวเองด้วยความเจ็บใจ นักเตะหนุ่มจึงได้ถอยหลังกลับมานั่งที่ของตัวเองบ้างพลางหันไปบ่นกับวทานิกา “เพื่อนคุณกับผมนี่คงไม่ถูกชะตากันมาตั้งแต่ชาติปางก่อน”

วทานิกาหัวเราะร่วนให้กับไม้เบื่อไม้เมาที่ไม่ลงรอยกันเอาเสียเลย พลางเลิกคิ้วมองนักเตะหนุ่มข้างข้างด้วยความแปลกใจ “คุณเชื่อเรื่องชาติภพด้วยเหรอคะรามอส?!!”

“ผมเป็นพุทธศาสนิกชนครับ มีเพื่อนนักเตะคนนึงนับถือพุทธ ผมเห็นเขานั่งสมาธิทุกครั้งก่อนลงสนามเลยศึกษาดูอย่างจริงจัง แล้วลองทำบ้าง ปรากฏว่าช่วยได้เยอะเลยครับ จิตใจผมแน่วแน่มีสมาธิมาก ผมเลยตัดสินใจเปลี่ยนมานับถือพุทธตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา รวมๆแล้วนี่ก็น่าจะหกปีแล้วมั้งครับ”

“ดีใจจังเลยค่ะ ฉันก็เป็นพุทธศาสนิกชนตามคุณแม่ คุณพ่อก็เปลี่ยนตามด้วยนะคะ ฉันก็จะทำสมาธิทุกครั้งก่อนทำงานเหมือนกัน”

“ดีเลย ผมว่าเราน่าจะเป็นเพื่อนกันได้เพราะชอบอะไรหลายๆอย่างเหมือนกัน คุยกันถูกคอดี จะว่าอะไรไหมถ้าผมจะขอเบอร์โทรศัพท์คุณบ้าง แต่อย่าคิดมากนะครับผมแค่อยากได้เพื่อนใหม่เท่านั้นเองเพราะยังไงก็ต้องย้ายมาอยู่ที่ลอนดอนอย่างน้อยสี่ปี” รามอสบอกอย่างชัดเจนและยิ้มออกมาเมื่ออีกฝ่ายเข้าใจ เปิดเผยเบอร์โทรศัพท์ส่วนตัวให้ได้รับรู้

ตลอดเวลาที่นั่งอยู่บนเครื่องบินทั้งคู่ต่างคุยกันอย่างถูกคอโดยไม่รู้ตัวเลยว่ามีชายคนหนึ่งแอบบันทึกภาพในอิริยาบถต่างๆไว้มากมาย แม้กระทั่งในยามที่ทั้งคู่ต้องผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง รอกระเป๋าก็ถูกมือดีบันทึกภาพไว้ทุกช็อต!!

“นี่นิก้า! กระเป๋ามาแล้ว ไปเถอะน่า... อย่ามัวเสียเวลาอยู่เลย” ดาเรียกระตุกที่มือเรียวบางของวทานิกา พูดขัดคอขึ้นเมื่อเห็นว่าทั้งคู่ยังคุยกันอยู่อย่างออกรส

“ไปเถอะครับ เดี๋ยวเพื่อนคุณจะขาดอากาศหายใจซะก่อนเพราะชังน้ำหน้าผมมากเกินไป เดี๋ยวจัดการเรื่องที่อยู่เรียบร้อยแล้วจะโทรหาคุณนะนิก้า” รามอสบอกพร้อมแยกตัวจากเหล่านางแบบสาวสวยเดินไปสมทบกับทีมงานของตนที่นั่งรอกระเป๋าอยู่บนที่นั่งที่จัดวางไว้


“ดาเรีย... รอแถวนี้ก่อนนะ ฉันขอเข้าห้องน้ำแป๊บนึง” วทานิกาบอกกับดาเรียเมื่อรับกระเป๋าสัมภาระและแยกตัวจากเพื่อนนางแบบที่เดินทางมาด้วยกันแล้วเมื่อสักครู่นี้

“อืม... ไปเถอะ ฉันจะเดินดูของสักหน่อย” ดาเรียรับคำพร้อมหมุนตัวเข้าเข้าร้านค้าปลอดภาษีที่มีสินค้ามากมายเรียงรายอยู่เต็มไปหมด หากสายตากลับสะดุดอยู่ที่รูปภาพขนาดใหญ่ในหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งซึ่งวางโชว์อยู่ในร้านหนังสือติดกับร้านค้าปลอดภาษีนี้!!

‘จูบเร่าร้อนของเซเลบชื่อดัง!!!

ทิโมธี แมคคินสันและลีเดีย แลนดอน สองหนุ่มสาวคนดังที่หลายวันมานี้ได้เห็นภาพเดินเข้าออกโรงพยาบาลด้วยกันบ่อยครั้ง ซึ่งไม่รู้ว่าเข้าไปทำอะไรกันออกมาถึงได้เกิดภาพดังกล่าวขึ้น ทั้งคู่หยุดรถที่ข้างทางแล้วโผเข้าจูบกันอย่างเร่าร้อนราวกับว่ารอคอยอีกต่อไปไม่ได้แม้เพียงเสี้ยววินาที โดยไม่สนใจว่าจะทำให้การจราจรในเมืองใหญ่ติดขัดแต่อย่างใด จากนั้นทั้งคู่ก็บึ่งรถไปยังโรงแรมแลนดอนของฝ่ายหญิงรวดเร็วราวกับพายุเสน่หาพัดถล่มเกาะอังกฤษ! แน่นอนล่ะว่า... อีกไม่นานนี้เราคงได้เห็นข่าวความสัมพันธ์อันร้าวฉานของแบดบอยมหาเศรษฐีผู้นี้กับนางแบบชื่อก้องโลกอย่างแน่นอน เพราะเพียงแค่ไม่กี่วันที่นางแบบสาวเดินทางไปทำงานในต่างประเทศ แบดบอยหนุ่มผู้ที่มีพลังรักเหลือเฟือถึงกับต้องเรียกหาเซเลบผู้แสนเร่าร้อนมาคลายอารมณ์ งานนี้แพดดี้ พาวเวอร์คงเปิดรับแทงพนันเรื่องราวรักใคร่ของคนดังอีกเป็นแน่!’

ดาเรียมองรูปภาพใหญ่ครึ่งหน้าหนังสือพิมพ์ซึ่งเป็นภาพที่ทิโมธีกำลังจูบกับลีเดียอย่างดูดดื่ม ยังมีภาพก่อนขึ้นรถและภาพของรถสปอร์ตคันหรูที่เข้าขับไปในโรงแรมแลนดอนอีกด้วยพลางคิดในใจว่าหากวทานิกาได้เห็นและได้อ่านข่าวนี้จะทำเช่นไรนะ!??

แต่ไม่ต้องคิดนานเพราะเพียงแค่ขยับตัว ดาเรียก็ชนเข้ากับร่างนุ่มของวทานิกาที่ยืนซ้อนอยู่ด้านหลังแล้ว “นิก้า!?? อะ...เอ่อ... มาตั้งแต่เมื่อไหร่?” ดาเรียถามพร้อมกับหมุนตัวกลับซ่อนหนังสือพิมพ์ไว้ด้านหลังอย่างรวดเร็ว

“ไม่ต้องซ่อนหรอก ฉันได้ยินคนพูดถึงเรื่องนี้ตั้งแต่อยู่ในห้องน้ำแล้ว แต่เพิ่งได้เห็นภาพกับตาตัวเองเมื่อครู่นี่แหละ” วทานิกาบอกด้วยน้ำเสียงราบเรียบ หากภายในใจนั้นกลับสับสนและเจ็บปวดกับภาพที่ได้เห็นนัก!!

“ข่าวเร็วจริงๆ ในนี้เขียนไว้ว่าเพิ่งเกิดเรื่องเมื่อคืนนี้เองนะ”

วทานิกายิ้มเศร้าๆ สายตายังจ้องมองที่ภาพขนาดใหญ่ซึ่งวางโชว์หราอยู่บนแผงหนังสือ “คงมีแต่ฉันที่ไม่รู้คนเดียว!”

“ไม่เอาน่านิก้า เรื่องที่เกิดขึ้นอาจจะไม่เป็นอย่างภาพที่เห็นก็ได้ เอาไว้คุยกับทิโมธีดูก่อนดีไหม” ดาเรียบอกพลางโอบหัวไหล่บอบบางของเพื่อนสนิทให้เดินไปตามทางเดินข้างหน้าอย่างปลอบประโลม “เขาจะมารับใช่ไหม? ถือโอกาสนี้คุยกันให้รู้เรื่องแต่อย่าใช้อารมณ์นะ มันไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นหรอก”

“ตั้งแต่คบกับทิมมา ฉันไม่เคยใช้อารมณ์เลยนะดาเรีย ฉันอยู่เงียบๆในข้อตกลงที่เขากำหนดตลอดเวลา ก่อนที่จะจากกันฉันยังดีใจว่าตัวเองโชคดีพอจะรู้ปมในใจที่เขาซ่อนเร้นมานาน แต่เพียงแค่ไม่กี่วันเขากลับไปจูบกับผู้หญิงอื่น ทั้งที่บอกฉันว่าคบกับผู้หญิงทีละคน มันเจ็บที่ใจดีพิลึก” วทานิกาบอกพร้อมกับก้าวเดินไปเรื่อย ออกจากส่วนประตูผู้โดยสารต่างประเทศ ไปยังส่วนของร้านอาหาร ร้านค้าที่ตั้งเรียงรายอยู่ในสนามบิน

...ไม่ไกลนักสายตาก็ปะทะเข้ากับร่างสูงใหญ่ของทิโมธี ซึ่งอยู่ในเสื้อคอโปโล กางเกงยีนส์สีเข้ม จัดผมยุ่งๆอย่างไม่ตั้งใจนักแต่มันกลับทำให้เขาดูหล่อเหลาอย่างร้ายกาจ! ยืนจ้องมองมายังตนด้วยสายตาหิวกระหายจนรู้สึกวูบวาบในช่องท้อง ใจจริงแล้วอยากวิ่งเข้าไปกอดรัดเขาไว้ให้สมกับความคิดถึง แต่จิตใจอีกด้านกลับกำลังกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดกับภาพที่เขากำลังทรยศความไว้ใจที่ได้เห็นเมื่อครู่นี้

“หวัดดีค่ะทิโมธี” ดาเรียเอ่ยทักทายชายหนุ่มก่อน เมื่อเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าร้านอาหารแห่งหนึ่ง

“หวัดครับดาเรีย กลับด้วยกันก็ได้นะ เดี๋ยวผมไปส่ง” ทิโมธีอาสา เมื่อเห็นว่าดาเรียเอ่ยร่ำลากับผู้หญิงของตน

“ขอบคุณค่ะ แต่ฉันกลับเองดีกว่า” ดาเรียบอกด้วยน้ำเสียงเนือยๆพลางหันไปสบตากับเพื่อนสนิท ตบที่แขนเรียวเสลาอย่างให้กำลังใจ “ไว้เจอกันที่คอนโดนะ”

วทานิกาพยักหน้ารับพลางหันมายิ้มให้กับทิโมธีที่เดินเข้ามาโอบหัวไหล่ของตน พร้อมออกแรงเข็นรถเข็นแทน เดินไปยังรถยนต์ทันที

“เหนื่อยมากเหรอคนสวย ทำไมทำหน้าอย่างนั้นล่ะ เดี๋ยวถึงบ้านของเราแล้วผมนวดให้ดีไหม?” ทิโมธีอาสาอย่างเอาใจพลางจ้องมองใบหน้าเซียวอย่างเอ็นดู

วทานิกาเพียงแค่ยิ้มรับ ไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมถึงได้ไม่กล้าเอ่ยปากถามเขาออกไปตรงๆทั้งที่ในใจนั้นกรีดร้องให้เค้นเอาความจริงจากเขา ปรี่เข้าทำร้ายร่างกายเขาให้หนำใจ! แต่สิ่งที่ทำนั้นกลับเป็นไปในทิศทางตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง

หญิงสาวสอดตัวเข้าไปนั่งในรถยนต์คันหรู มองตามร่างสูงใหญ่ที่ยกกระเป๋าเดินทางเก็บไว้บนรถ จมอยู่ในความคิดของตัวเองจนไม่รู้ตัวว่าเขาขึ้นมานั่งประจำเบาะนั่งคนขับตั้งแต่เมื่อไหร่ ทั้งยังจ้องมองอยู่สักพักแล้ว

ทิโมธีแปลกใจในปฏิกิริยาเหม่อลอยของวทานิกานัก เธอนั่งนิ่งราวกับมีเรื่องขบคิดในใจนักหนา กระทั่งว่าตนยื่นหน้าเข้าไปส่งยิ้มใกล้ๆ ยังต้องใช้เวลาอีกพักหนึ่งกว่าที่เธอจะรู้สึกตัว “เป็นอะไรไปนิก้า ทำไมดูเหม่อๆตั้งแต่เดินมากับดาเรียแล้ว เกิดปัญหาเรื่องงานขึ้นรึเปล่าคนสวย เล่าให้ผมฟังบ้างสิ?”

วทานิกาหลับตาลงเพราะไม่อยากเห็นท่าทางห่วงใยเอาใจใส่นั้น ภาพจูบดูดดื่มของเขาและลีเดียยังคงวนเวียนอยู่ในหัวสมองจนสามารถลำดับเหตุการณ์ก่อนหลังได้อย่างชัดเจนราวกับว่าตนอยู่ในเหตุการณ์นี้เสียเอง “คุณล่ะคะ เกิดปัญหาอะไรขึ้นรึเปล่า?”

ทันทีที่ทิโมธีได้ยินเสียงหวานถามกลับก็รู้ได้โดยสัญชาตญาณว่าต้องมีเรื่องเกิดขึ้นแน่ จึงถอยหลังกลับเข้าจอดรถที่เดิม พร้อมกับเอี้ยวตัวหันหน้าเผชิญกับหญิงสาวด้วยความแปลกใจ “หมายความว่ายังไงกัน? ผมโอเคดีทุกเรื่องนะ แต่สีหน้าคุณชักเริ่มทำให้ผมไม่มั่นใจแล้ว”

“เมื่อคืนนี้ก่อนที่คุณจะโทรหาฉัน คุณอยู่ที่ไหนคะ?”

“ก็ไปเยี่ยมโคลอี้ที่โรงพยาบาลตามปกติ แล้วก็โทรหาคุณพร้อมๆกับขับรถกลับบ้านน่ะสิ”

“แล้วหลังจากที่วางสายจากฉันคุณไปออกมาข้างนอกอีกใช่ไหมคะ?”

ทิโมธีขมวดคิ้วจนแทบเป็นเส้นตรง หรี่ตามองผู้หญิงข้างๆด้วยสายตาที่ยากจะคาดเดา ให้ตายเถอะ! เขาไม่เคยชอบให้ใครมาใช้คำพูดตะล่อมถามอย่างนี้มาก่อน มันเหมือนไม่ไว้ใจ ไม่ให้เกียรติกันเหลือเกิน “หึ... คุณก็รู้ว่าผมไม่เคยชอบคำถามแบบนี้ อยากรู้อยากถามอะไรทำไมไม่ถามมาตรงๆ” กดเสียงต่ำบอก

“ที่ฉันถามเพราะอยากให้คุณสารภาพมาว่าคุณผิดไปแล้วหรืออะไรก็ได้ ฉันพร้อมรับฟังคำแก้ตัวของคุณ แต่คุณกลับเลือกที่จะโกหกฉัน!!” วทานิกาเริ่มอดทนกับความกดดันในจิตใจตัวเองไม่ไหว

“พูดเรื่องอะไรของคุณนิก้า?!! ผมงงไปหมดแล้ว?!” ทิโมธีงงเป็นไก่ตาแตก ไม่เข้าใจในสิ่งที่เธอพูดราวกับว่าตนไปทำผู้หญิงท้องแล้วต้องมาสารภาพบาป ยอมรับความผิดที่เกิดขึ้นจากเธอพลางมองตามมือเรียวที่คว้าเอาบางสิ่งออกมาจากกระเป๋าถือ ยื่นจ่อในระดับสายตาของตน “พระเจ้า! ให้ตายเถอะ!!”

วทานิกาแทบอยากจะกางเล็บข่วนใบหน้าของเขาให้ได้แผลนัก! แต่ก็ไม่สามารถที่จะทำอะไรเช่นนั้นได้เพราะตั้งแต่คบหากันมายังไม่เคยมีเรื่องผิดใจกันร้ายแรงเช่นนี้มาก่อน “ว่าไงคะ? เห็นภาพพวกนี้แล้วคุณจะเลิกทำหน้าซื่อตาใสหลอกฉันไม่ต่างจากฉันเป็นนังโง่ตัวนึงได้รึยัง?!!”

ทิโมธีสบถออกมาอย่างหยาบคายเพราะไม่รู้ว่าปาปารัสซี่จะหูตาไวขนาดจับภาพที่เกิดขึ้นเมื่อวาน แล้วเอามาเล่นข่าวใส่สีตีไข่จนเป็นข่าวครึกโครมขึ้นหนังสือพิมพ์หน้าหนึ่งเช่นนี้ได้อย่างไร หากจบคำสบถของตนก็ได้ยินเสียงสะอื้นไห้จากผู้หญิงที่นั่งอยู่ข้างๆ เมื่อมองผ่านกระจกข้างก็ได้เห็นหยดน้ำตาที่กำลังไหลรินออกมาเปรอะเปื้อนสองแก้ม! “มันไม่ใช่อย่างที่คุณเข้าใจนะนิก้า ผมกับลีเดียไม่ได้มีอะไรกันอย่างที่คุณคิดหรืออย่างที่พวกปาปารัสซี่นี่เล่นข่าวเลย ขอร้องล่ะที่รัก! มีเหตุผลแล้วหันมาฟังผมหน่อยได้ไหม”
เมื่อได้ยินคำว่า ‘ขอร้องล่ะที่รัก! มีเหตุผลแล้วหันมาฟังผมหน่อยได้ไหม’ ยิ่งทำให้วทานิกาปล่อยน้ำตาที่ไม่รู้ว่าจะห้ามมันไว้ได้อย่างไรออกมาไม่ขาดสาย “แล้วมันยังไงกันคะ คุณจะบอกฉันว่าภาพที่เห็นเป็นภาพตัดต่อหรือไง?”

“อย่ามาประชดผมนะ” ทิโมธีกดน้ำเสียงต่ำเตือน แต่อีกฝ่ายกลับมองว่าเป็นการดุและแสดงความโกรธกลบเกลื่อนเมื่อเรื่องลับถูกเปิดเผย

“มิกล้าหรอกค่ะ คุณพูดอะไรมารับรองว่าฉันเชื่อทั้งนั้น” ความเสียใจ น้อยใจที่เกิดขึ้นอย่างเดียวผลักดันคำพูดประชัดประชันนี้ออกมาให้อีกฝ่ายได้อารมณ์เสียเลยเถิดกันไปใหญ่

“ถ้าคุณยังไม่หยุดร้องไห้ เลิกพูดประชดผม ก็คงไม่มีวันที่จะเข้าใจกันหรอกนะนิก้า” ทิโมธีระงับอารมณ์อย่างที่สุดเพราะโมโหกับข่าวเท็จที่เกิดขึ้นแล้วยังต้องมาทนฟังคำประชดประชันในความผิดที่ตนไม่ได้ก่ออีกด้วย

น้ำตาของวทานิกาหยุดไหลทันที หันมาจ้องมองใบหน้าคร้ามคมที่จ้องมองตนด้วยแววตาขุ่นมัวอย่างไม่อยากเชื่อหูตัวเอง!! “นี่คือคำพูดที่คุณจะบอกเลิกฉันอย่างนั้นเหรอคะทิม? ทำไมถึงไม่แก้ตัวอะไรสักอย่าง ทำไมถึงไม่หลอกฉันเหมือนที่ผ่านมา คุณจะทิ้งฉันแล้วใช่ไหม?”

“ไปกันใหญ่แล้วนิก้า... ผมพูดว่าจะเลิกกับคุณเมื่อไหร่กัน อย่ามาหาเรื่องได้ไหม?”

“ฉันไม่ได้หาเรื่อง คุณต่างหากที่ไม่ยอมพูดความจริงกับฉัน คุณต่างหากที่หาเธอจะเลิกกับฉัน” วทานิกาพรั่งพรูคำพูดน้อยใจต่างๆออกมาพร้อมกับน้ำตาที่เริ่มไหลออกมาจากสองตาอีกครั้ง

ทิโมธีถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ราวกับกำลังเจอปัญหาหนักหนานักพร้อมทั้งเอื้อมมือไปคว้าที่ต้นแขนเรียวทั้งสองข้างให้หันมาเผชิญหน้ากับตน กดน้ำเสียงต่ำพูดอย่างหนักแน่น “ฟังให้ดีนะนิก้า รูปที่เห็นมันเป็นภาพจริงทั้งหมดแต่เรื่องมันไม่เป็นอย่างนั้น มันคือข่าวโคมลอยที่พวกนั้นนั่งเทียนเขียนขึ้นมา ผมเคยบอกแล้วใช่ไหมว่าห้ามใครให้มารู้สึกหลงใหล รักใคร่ในตัวผมไม่ได้ แต่คุณต้องไว้ใจผม เชื่อใจผมว่าผมกับลีเดียไม่ได้มีอะไรเกินเลยกันเลยแม้แต่น้อย”

“แล้วทำไมต้องโกหกฉันด้วยว่าเมื่อวานนี้คุณออกจากโรงพยาบาลมาคนเดียว แต่ความจริงแล้วคุณอยู่กับเธอ คุณโทรหาฉันในตอนที่แยกกับเธอแล้ว” วทานิกาถามด้วยน้ำเสียงเจ็บปวด มีใครเล่าจะเชื่อว่าทั้งคู่จะไม่มีอะไรเกินเลยกัน เขายืนยันเองว่าภาพที่เห็นทั้งหมดเกิดขึ้นจริง จูบ กอด จบลงในโรงแรม มีแค่เด็กอมมือเท่านั้นล่ะมั้งที่ต้องเชื่อในสิ่งที่หลุดออกจากปากของเขา

“ผมไม่ได้โกหก แค่ไม่รู้จะพูดมันขึ้นมาทำไม เพราะว่าผมไม่ได้มีอะไรกับลีเดียอย่างที่คุณคิด!” ทิโมธีพูดด้วยน้ำเสียงติดรำคาญใจเพราะรู้ดีว่าวทานิกานั้นไม่ได้เชื่อในคำพูดของตนเลย ทั้งไม่รู้ตอนนี้จะพูดอย่างไรก็คงไม่มีใครเชื่อว่าทั้งหมดไม่มีอะเกิดขึ้น เพราะภาพข่าวมันเป็นหลักฐานอันหนาแน่น เอื้ออำนวยให้เข้าใจไปในเรื่องชู้สาวเป็นอย่างดี

วทานิกาสะบัดตัวออกจากการเกาะกุมของชายหนุ่ม ซบทั้งใบหน้าลงกับฝ่ามือทั้งสองข้างของตัวเอง สะกดกลั้นความรู้สึกเสียใจทั้งมวลที่เกิดขึ้น พร้อมกับปาดน้ำตาออกจากสองแก้มอย่างไม่ห่วงสวย ไม่หลงเหลือท่าทีสง่างามของซุปเปอร์โมเดลเลยแม้แต่น้อย “เอาล่ะคะ!... ถ้าเรื่องที่คุณพูดมามันเป็นความจริง ฉันก็คงต้องขออยู่คนเดียวทำใจให้เชื่อตามที่คุณพูดสักพัก”

“ผมบอกว่าให้หยุดพูดประชดผม!”

“ฉันขออยู่คนเดียวสักพัก ทำใจให้เชื่อกับคำพูดของคุณ แล้วฉันจะกลับมาเป็นผู้หญิงเงียบๆโง่ๆข้างคุณเหมือนเดิมนะคะ” จบคำพูดวทานิกาก็ผลุนผลันเปิดประตูวิ่งลงจากรถสปอร์ตคันหรูสุดชีวิต ไม่สนใจกับเสียงห้าวที่ตะโกนเรียกซ้ำไปซ้ำมาเพราะไม่สามารถที่จะอยู่ในบรรยากาศอึดอัดนี้ได้อีกต่อไปแล้ว สิ่งที่อยากทำที่สุดในตอนนี้คือร้องไห้คนเดียวให้สาแก่ใจ

“นิก้า!... นิก้ากลับมาเดี๋ยวนี้นะ นิก้า!” ทิโมธีร้องเรียกผู้หญิงร่างเพรียวที่วิ่งห่างออกไปยังหน้าอาคารอีกครั้งพร้อมกับขึ้นรถแท็กซี่ที่จอดอยู่อย่างรวดเร็ว โดยไม่สนใจเสียงเรียกของตนแม้แต่น้อยจึงรีบกลับเข้ามานั่งในรถอีกครั้งหวังจะตามเธอไปเพื่อคุยกันให้เข้าใจแต่ยังไม่ทันได้เข้าเกียร์เดินหน้า เสียงโทรศัพท์ก็กรีดร้องขึ้นอย่างต่อเนื่องจนต้องกดรับสายพร้อมกรอกน้ำเสียงหงุดหงิดใจปนรำคาญลงไปทันที

“ทำไมทำเสียงอย่างนั้นล่ะคะทิม ได้ยินเสียงคุณเป็นแบบนี้แล้ว... ลีเดียจะกล้าพูดเรื่องนี้ได้ยังไงกันคะ”

ทิโมธีกรอกตาขึ้นฟ้าอย่างระอาใจกับต้นเหตุของความยุ่งยากที่เกิดขึ้นในตอนนี้นัก “มีอะไรก็รีบๆพูดมาเถอะลีเดีย ผมกำลังอารมณ์ไม่ดี”

ลีเดียเบ้ปาก ไม่ได้รู้สึกเกรงกลัวในคำพูดของชายหนุ่มแต่อย่างใด เพราะพอจะเดาเหตุการณ์ได้ว่าเขากำลังเกิดเรื่องร้อนใจขึ้น และเธอกำลังจะเพิ่มความร้อนใจนั้นให้เปลี่ยนเป็นเพลิงโทสะที่พร้อมจะมอดไหม้สัมพันธภาพระหว่างทิโมธีและวทานิกาในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้านี้! “งั้นลีเดียไม่พูดดีกว่าค่ะ เพราะยังไงเสียอีกไม่นานคุณก็ต้องรู้อยู่ดี อีกอย่างฟังแค่น้ำเสียงคุณก็รู้แล้วว่ากำลังอารมณ์ไม่ดีสุดๆ”

“ผมฆ่าคนได้ตอนที่กำลังโมโห และทุกอย่างที่ขวางทางจะราบเป็นหน้ากลองถ้ายังไม่เลิกยั่วโทสะผมแบบนี้”

“อย่าขู่นักสิคะ... พ่อหนุ่มเลือดร้อน ทำใจเย็นๆแล้วเปิดดูทวิสเตอร์หรือเฟสบุ๊กก็ได้ คุณจะได้รู้ว่าตอนนี้คนในสังคมเขากำลังติดตามข่าวดังที่มีแม่นางแบบผู้แสนจะใสสะอาดของคุณมีภาพหลุด จนฮือฮาไปทั้งโลกแล้ว”

ทิโมธีดึงโทรศัพท์เครื่องบางออกมามองอย่างอารมณ์เสียเพราะจู่ๆลีเดียก็วางสายไปเสียดื้อๆ หากเพียงไม่กี่วินาทีต่อมาที่ทำตามคำพูดของลีเดีย ก็ได้พบกับภาพที่กำลังเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างสนุกปากในโลกออนไลน์ไร้พรมแดน!!

ทันทีที่ได้เห็นภาพหัวร่อต่อกระซิกของวทานิกาและนักเตะชาวสเปนแล้ว โทรศัพท์เครื่องบางก็ถูกเขวี้ยงทิ้งพร้อมกับเหยียบคันเร่ง กระชากรถออกอย่างแรง เสียงรถสปอร์ตสมรรถนะสูงที่บึ่งออกไปอย่างรวดเร็วจนทำให้สายตาหลายคู่ต้องเหลียวมองตามแต่เจ้าของกลับไปมีอารมณ์จะใส่ใจใครหน้าไหนทั้งนั้น เพราะจุดมุ่งหมายของแบดบอยมหาเศรษฐีผู้นี้คือคอนโดมิเนียมของนางแบบสาว ผู้ที่ทิ้งให้เขาต้องแบกเพียงแค่กระเป๋าเดินทางของเธอกลับมาเพียงอย่างเดียว โดยที่เธอนั้นวิ่งหนีขึ้นรถแท็กซี่จากมาเพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น!!



ศิริพารา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 25 พ.ค. 2558, 00:31:00 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 25 พ.ค. 2558, 00:31:00 น.

จำนวนการเข้าชม : 925





<< ตอนที่ 6 100%   ตอนที่ 8 100% >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account