ซ่อนรักเพลิงมายา
“รู้ไหมว่าผมชอบ... เวลาที่ขาเรียวๆ ของนิก้าเกี่ยวเอวผม จิกปลายเท้าลงบนแผ่นหลังผม
ใช่... ใช่... อย่างนั้นแหละนิก้า แม่สาวแสนซน”
ไม่เคยมีครั้งใดที่ ‘ทิโมธี แมคคินสัน’ วิศวกรมหาเศรษฐีผู้ร่ำรวยล้นฟ้า
จะถูกคู่ควงระดับซูเปอร์โมเดลแถวหน้าของโลกอย่าง ‘วทานิกา ซาฟินา’ ทำให้โมโหโทโสได้ถึงเพียงนี้
เพราะเพียงแค่ไม่กี่วันที่เขาไม่ได้นั่งอยู่ฟรอนต์โรว์ของรันเวย์เพื่อชื่นชมคู่ควงของตน
เธอกลับมีภาพหลุดจนเป็นข่าวฉาวโฉ่ไปทั่วโลกแล้วยังปากแข็ง แบล็กเมล์ความรู้สึกของเขาด้วยเหตุผลง่ายๆ
...มันเป็นเพียงเรื่องบังเอิญ!!
แล้วมีหรือที่แบดบอยไร้หัวใจ ผู้ไม่เคยแยแสกับความรู้สึกรักใคร่ใดๆ จะต้องเก็บเธอไว้ข้างกาย
ไม่เพียงแค่นางแบบสาวไม่กลับมาง้อขอคืนดี แต่เธอยังออกปากไล่ส่ง เป็นฝ่ายบอกตัดสัมพันธ์
ราวกับไม่เสียดายเลือดพรหมจรรย์ที่เขาเป็นผู้ทำลาย แถมควงผู้ชายเป็นข่าวใหญ่โตไม่เว้นแต่ละวัน!
การกระทำดังกล่าวมันเป็นการท้าทายแบดบอยไร้หัวใจอย่างเขายิ่งนัก
เธอคงไม่รู้เลยสินะ! ตลอดระยะเวลาที่แยกจากกัน เขาไม่สามารถกลับไปใช้ชีวิตเสเพลได้เช่นเคย
หากแต่ต้องนั่งมองรูปของเธอผ่านนิตยสาร
แล้วพาตัวเองเข้าสู่จินตนาการอันซ่านใจ โดยที่ไม่กล้าเปิดเผยเรื่องน่าอายเช่นนี้ให้ใครได้ล่วงรู้
ทิโมธีจึงต้องทำทุกวิถีทางเพื่อดึงเธอให้กลับมาอยู่ข้างกาย
เพียงเพราะต้องการสลัดตัวเองให้หลุดจากคำว่า ‘ไอ้โรคจิต’
ซึ่งเขาไม่อาจเดินเข้าไปปรึกษาเรื่องน่าอายเช่นนี้กับจิตแพทย์!!
จึงบีบบังคับเธอทุกทาง ดักหน้าล้อมหลัง โดยไม่สนใจว่าวิธีการนั้น
จะทำร้ายจิตใจและทำให้หัวใจของเธอบอบช้ำมากเพียงใด
แต่เธอกลับตอบโต้เขาด้วยวิธีการอันแยบยลจนทำให้เขาแทบบ้าตาย
ด้วยการประกาศต่อโลกอย่างชัดแจ้งว่าเธอคือซิงเกิลมัมที่ไม่ต้องการเอ่ยถึงพ่อของลูก!
...แล้วแบดบอยหนุ่มผู้ถูกเลี้ยงให้เติบโตขึ้นมา
ท่ามกลางอคติต่อคู่ชีวิตและทะเบียนสมรส
จะดึงเธอกลับเข้าสู่อ้อมกอดได้อย่างไร
เมื่อเธอคือผู้หญิงโลภมากที่กล้าเรียกร้องทั้งสองสิ่งนั้นจากเขา
ด้วยคำพูดที่ว่า...
“กับเรื่องของความรักแล้ว ฉันออกจะโลภมากเสียด้วยซ้ำ
เพราะไม่ได้อยากพิเศษเหนือผู้หญิงคนอื่น
แค่อยากให้รักฉันเหมือนที่ฉันรักคุณเท่านั้นเอง”
ใช่... ใช่... อย่างนั้นแหละนิก้า แม่สาวแสนซน”
ไม่เคยมีครั้งใดที่ ‘ทิโมธี แมคคินสัน’ วิศวกรมหาเศรษฐีผู้ร่ำรวยล้นฟ้า
จะถูกคู่ควงระดับซูเปอร์โมเดลแถวหน้าของโลกอย่าง ‘วทานิกา ซาฟินา’ ทำให้โมโหโทโสได้ถึงเพียงนี้
เพราะเพียงแค่ไม่กี่วันที่เขาไม่ได้นั่งอยู่ฟรอนต์โรว์ของรันเวย์เพื่อชื่นชมคู่ควงของตน
เธอกลับมีภาพหลุดจนเป็นข่าวฉาวโฉ่ไปทั่วโลกแล้วยังปากแข็ง แบล็กเมล์ความรู้สึกของเขาด้วยเหตุผลง่ายๆ
...มันเป็นเพียงเรื่องบังเอิญ!!
แล้วมีหรือที่แบดบอยไร้หัวใจ ผู้ไม่เคยแยแสกับความรู้สึกรักใคร่ใดๆ จะต้องเก็บเธอไว้ข้างกาย
ไม่เพียงแค่นางแบบสาวไม่กลับมาง้อขอคืนดี แต่เธอยังออกปากไล่ส่ง เป็นฝ่ายบอกตัดสัมพันธ์
ราวกับไม่เสียดายเลือดพรหมจรรย์ที่เขาเป็นผู้ทำลาย แถมควงผู้ชายเป็นข่าวใหญ่โตไม่เว้นแต่ละวัน!
การกระทำดังกล่าวมันเป็นการท้าทายแบดบอยไร้หัวใจอย่างเขายิ่งนัก
เธอคงไม่รู้เลยสินะ! ตลอดระยะเวลาที่แยกจากกัน เขาไม่สามารถกลับไปใช้ชีวิตเสเพลได้เช่นเคย
หากแต่ต้องนั่งมองรูปของเธอผ่านนิตยสาร
แล้วพาตัวเองเข้าสู่จินตนาการอันซ่านใจ โดยที่ไม่กล้าเปิดเผยเรื่องน่าอายเช่นนี้ให้ใครได้ล่วงรู้
ทิโมธีจึงต้องทำทุกวิถีทางเพื่อดึงเธอให้กลับมาอยู่ข้างกาย
เพียงเพราะต้องการสลัดตัวเองให้หลุดจากคำว่า ‘ไอ้โรคจิต’
ซึ่งเขาไม่อาจเดินเข้าไปปรึกษาเรื่องน่าอายเช่นนี้กับจิตแพทย์!!
จึงบีบบังคับเธอทุกทาง ดักหน้าล้อมหลัง โดยไม่สนใจว่าวิธีการนั้น
จะทำร้ายจิตใจและทำให้หัวใจของเธอบอบช้ำมากเพียงใด
แต่เธอกลับตอบโต้เขาด้วยวิธีการอันแยบยลจนทำให้เขาแทบบ้าตาย
ด้วยการประกาศต่อโลกอย่างชัดแจ้งว่าเธอคือซิงเกิลมัมที่ไม่ต้องการเอ่ยถึงพ่อของลูก!
...แล้วแบดบอยหนุ่มผู้ถูกเลี้ยงให้เติบโตขึ้นมา
ท่ามกลางอคติต่อคู่ชีวิตและทะเบียนสมรส
จะดึงเธอกลับเข้าสู่อ้อมกอดได้อย่างไร
เมื่อเธอคือผู้หญิงโลภมากที่กล้าเรียกร้องทั้งสองสิ่งนั้นจากเขา
ด้วยคำพูดที่ว่า...
“กับเรื่องของความรักแล้ว ฉันออกจะโลภมากเสียด้วยซ้ำ
เพราะไม่ได้อยากพิเศษเหนือผู้หญิงคนอื่น
แค่อยากให้รักฉันเหมือนที่ฉันรักคุณเท่านั้นเอง”
Tags: ทิโมธี - วทานิกา
ตอน: ตอนที่ 8 100%
ปัง!... ปัง!... ปัง!...
“เปิดประตูเดี๋ยวนี้นะนิก้า! ผมบอกว่าให้เปิดประตู!!”
วทานิกายืนอยู่หน้าประตูห้องบานใหญ่ที่ถูกตะโกนเรียกพร้อมทุบอย่างแรง จนกลัวว่าจะรบกวนเพื่อนข้างห้อง จึงข่มน้ำเสียงให้เป็นปกติตะโกนออกไปบอกคนข้างนอกทันที “กลับไปก่อนเถอะค่ะทิม คุยกันไปตอนนี้ก็ไม่มีประโยขน์ ฉันบอกคุณแล้วยังไงคะว่าขอเวลาอยู่คนเดียวสักพัก”
“ไม่! ผมบอกว่าให้เปิดประตู เราต้องคุยกันให้รู้เรื่อง อย่ามาทำเป็นโกรธกลบเกลื่อนความผิดของตัวเองหน่อยเลย” ทิโมธีตะโกนด้วยน้ำเสียงเข้ม ไม่สนใจว่าจะมีใครมาได้ยินหรือไปรบกวนคนอื่นเลยแม้แต่น้อย
วทานิกาแทบไม่เชื่อหูตัวเอง เมื่อได้ยินคำพูดเมื่อครู่นี้ที่ว่าตนทำเป็นโกรธกลบเกลื่อนความผิดของตัวเอง!! เฮอะ!... เหลือเชื่อจริงๆเลยผู้ชายคนนี้ หากต้องพบเจอะหน้ากันอีกครั้งในตอนนี้ คงห้ามใจตัวเองไม่ได้ มีหวังต้องปรี่เข้าไปทำร้ายร่างกายให้เขาได้รู้สึกเจ็บปวดดังเช่น หัวใจของตนที่กำลังซึมซับความรู้สึกนี้อยู่เป็นแน่ “กลับไปซะทิโมธี ถ้าคุณยังไม่หยุดส่งเสียงเอะอะโวยวาย ฉันจะเรียกตำรวจแล้วนะ!”
ทิโมธีแหนหน้าขึ้นฟ้าระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างไม่เกรงใจใคร “ไปเรียกมันมาทั้งลอนดอนผมยังไม่กลัวเลย ยังไงเสียวันนี้ผมต้องได้คุยกับคุณให้รู้เรื่องรู้ราว ไม่อย่างนั้นอย่ามาเรียกผมว่าทิโมธี ผมให้โอกาสคุณอีกครั้งจะเปิดประตูไหม?”
“ฉันบอกว่าให้กลับไปก่อนยังไงเล่า!! ทำไมพูดไม่รู้ฟังนะ” วทานิกาขึ้นเสียงเป็นครั้งแรกตั้งแต่รู้จักกันมา หากไม่สามารถหยุดความบ้าของคนข้างหลังประตูลงได้ เขายังย้ำถามด้วยน้ำเสียงเครียดมากกว่าเดิม ไม่มีการทุบประตูอีกแล้ว มีแต่เสียงที่ย้ำถามอีกครั้งราวกับคนหมดความอดทน
“ตกลงจะไม่เปิดใช่ไหม?”
วทานิกาขยับตัวขึ้นไปส่องตาแมวดูเมื่อจบคำถามนั้นและต้องอ้าปากค้าง เมื่อเห็นร่างสูงใหญ่ถอยหลังไปไม่กี่ก้าวพร้อมดึงอาวุธแห่งความตายสีแพลตินั่มออกมาจากบั้นเอว!!
“ผมรู้ว่าคุณแอบมองอยู่ ถ้าคิดว่าผมไม่กล้าก็ถอยออกไปไกลๆ หนึ่ง สอง...” ทิโมธีหยุดนับ เมื่อได้ยินเสียงกริ๊กปลดล็อกประตูจึงรีบเก็บปืนพร้อมเปิดประตูห้องเข้าไปอย่างแรง!! “ทำไมชอบให้ขู่เข็ญ นิก้า! หันมาคุยกับผมให้รู้เรื่องเดี๋ยวนี้นะ คุณก็รู้ว่าผมไม่ชอบให้ใครเดินหนีในขณะที่ยังคุยกันไม่รู้เรื่อง”
“อย่ามาแตะต้องตัวฉัน!” วทานิกาขยับตัวหนีมือใหญ่ราวกับถูกของร้อน “จะพูดอะไรก็รีบๆพูดมา ฉันเหนื่อย ฉันเพลีย ฉันอยากอาบน้ำ ฉันง่วง”
“ไอ้หน้าไหนมันสูบเรี่ยวแรงคุณไปหมดทั้งตัวแบบนี้ ถึงได้หน้าซีดเซียว เหนื่อยกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา ถามจริงๆเถอะ ไปทำงานอย่างเดียวจริงๆน่ะเหรอ??” ทิโมธีถามด้วยสีหน้าเอาเรื่อง
“พล่ามอะไรของคุณทิโมธี คุณเป็นคนทำให้ฉันต้องรู้สึกแย่ๆอย่างนี้ แล้วยังจะมาพูดราวกับว่าฉันเป็นคนทรยศคนนั้นเสียเองได้ยังไงกัน!??” วทานิกาโต้กลับด้วยสีหน้าที่ไม่ยอมเช่นกัน “ฉันไปทำงานกับดาเรียเหนื่อยแค่ไหนก็ทนได้ แต่ฉันหมดความอดทน ไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนเพราะสายตาของคนรอบข้างมองฉันยังกับฉันเป็นตัวประหลาด เป็นนังหน้าโง่ให้คุณสวมเขา!”
“ผมไม่เคยทรยศอะไรคุณ ทำไมไม่เชื่อที่ผมพูดว่าผมไม่ได้มีอะไรกับลีเดีย”
“แล้วทำไมต้องโกหก ทำไมไม่บอกมาตามตรงว่าคุณอยู่กับลีเดีย” วทานิกาถามข้อข้องใจของตนเอง
“ก็ผมเห็นว่ามันไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไร ถ้าเกิดว่าผมนอนกับเธอแล้วก็ว่าไปอย่าง”
“อย่ามาทำเบี่ยงเบนประเด็นหน่อยเลย ถ้าคุณนอนกับเธอแล้วคุณจะไม่ยอมบอกฉันแน่ เหมือนกับที่คุณสองคนจูบกันจนไฟแทบไหม้รถ! คุณยังไม่ยอมรับเลยว่าจูบกับเธอ ถ้าไม่มีภาพพวกนั้น ป่านนี้ฉันก็คงต้องเชื่อคุณคำโกหกของคุณต่อไปว่าลีเดียจูบคุณเอง คุณไม่ได้จูบเธอ” วทานิกาบอกด้วยความช้ำใจ
“อ่อ!... แปลว่าเชื่อภาพมากกว่าคำพูดของผมสินะ??” ทิโมธีถามด้วยน้ำเสียงข่มอารมณ์ ยืนจังก้า กอดอกมองผู้หญิงตรงหน้าที่ร้องไห้จนดวงตาบวมเป่ง
“ก็คุณพูดเองว่าภาพพวกนั้นมันไม่ใช่ภาพตัดต่อ”
“แล้วภาพที่คุณกำลังหัวร่อต่อกระซิกกับไอ้นักฟุตบอลที่เพิ่งรู้จักกันตอนถ่ายแบบแล้วหิ้วมันกลับอังกฤษมาด้วยนี่ ผมก็ต้องเชื่ออย่างที่ตาตัวเองเห็นสินะ” ทิโมธีถามกลับพร้อมจ้องมองใบหน้างดงามกำลังขมวดคิ้วมุ่นราวกับตนกำลังยกเมฆมาอ้าง
“พูดอะไรของคุณ ฉันกับรามอสเพิ่งรู้จักกันตอนถ่ายปกหนังสือ แล้วก็บังเอิญเจอกันบนเครื่องบิน...”
“บังเอิญได้นั่งคู่กัน บังเอิญว่าคุยกันอย่างถูกคอ บังเอิญว่ากระซิบกระซาบกัน บังเอิญว่าแลกเบอร์โทรศัพท์กัน สุดท้ายคงไม่บังเอิญเข้าห้องน้ำห้องเดียวกันหรอกนะ ถึงได้เหนื่อย เพลีย ง่วงมาขนาดนี้??”
เพียะ!!...
จบคำพูดของทิโมธี วทานิกาก็ปรี่เข้าไปสะบัดผ่ามือเข้าที่ใบหน้าคร้ามคมสุดแรงเกิด จ้องมองดวงตาลุกวาวที่ค่อยๆหันกลับมาจ้องมองตัวเองราวกับจะกินเลือดกินเนื้ออย่างไม่หลบสายตา! “อย่าคิดว่าทุกคนจะมักมากอย่างคุณนะ จิตใจคุณทำด้วยอะไรถึงได้หาความใส่ฉันเพื่อปัดความผิดของตัวเองแบบนี้?”
ทิโมธียิ้มเยาะที่มุมปาก กวาดสายตามองผู้หญิงที่เคยหลงเชื่อว่าเธอใสซื่ออย่างไม่คาดคิด “งั้นคนทั้งโลกคงว่างจัด หาความใส่คุณอยู่ล่ะมั้ง ว่างๆก็ไปเปิดโซเชียลเน็ตเวิร์กดูมั่งล่ะ เผื่อมันจะเตือนความจำได้มั่งว่าทำอะไรลงไปบ้าง ทวิสเตอร์ เฟสบุ๊กน่ะแชร์รูปคุณกับไอ้นักฟุตบอลที่คุณหิ้วมาให้ว่อนไปทั่วโลกแล้ว ทีนี้จะให้ผมเข้าใจว่าไงล่ะ?”
“จะเข้าใจว่าไง ก็คุณพูดเอง ตัดสินใจเชื่อไปแล้วนี่ว่าฉันกับรามอสเข้าห้องน้ำห้องเดียวกันไปแล้ว มันก็เหมือนๆกับที่คุณหิ้วลีเดียเข้าโรงแรมนั่นแหละ!!”
“วทานิกา คุณไม่มีสิทธิ์จะมาประชดผมแบบนี้นะ!!” ทิโมธีปรี่เข้าไปกระชากร่างระหงเข้ามาเขย่าจนหัวสั่นหัวคลอน “คงไปถึงไหนต่อไหนกับมันมาแล้วใช่ไหม ถึงได้แลกเบอร์กัน เรียกมันอย่างสนิทสนมแบบนี้ ห๊ะ?...”
“ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ ไอ้คนเส็งเคร็ง จิตใจต่ำช้า คิดได้แต่เรื่องอกุศล คุณไม่เคยคุยกับเพื่อนต่างเพศด้วยใจบริสุทธิ์เลยหรือไง ถึงมาใช้คำถามแบบนี้กับฉัน ถ้าคิดว่าฉันไวไฟขนาดนั้นก็ไม่ต้องมาคุยกันอีก เราจบกันแค่นี้!” วทานิกาโพล่งออกมาอย่างเหลืออดพร้อมรวบรวมแรงที่มีอยู่ในตัวสะบัดออกจากการเกาะกุมของผู้ชายร้ายกาจอย่างแรง “ออกไป! ไปให้พ้นหน้าฉัน อย่ามาให้ฉันเห็นหน้าอีก ฮือ...”
ทิโมธีตกใจเมื่อได้ยินเสียงร้องไห้คร่ำครวญของวทานิกา รีบทรุดตัวลงกับพื้นเมื่อเห็นร่างระหงของเธอทรุดกองอยู่กับพื้นอย่างหมดแรง “นิก้า...”
วทานิการีบปัดมือหนาออกจากร่างกายราวกับว่าขยะแขยงนักหนา “อย่ามาแตะต้องตัวฉัน ฉันเกลียดคุณ เกลียดคุณที่สุดได้ยินไหมทิโมธี ฮือ...” คำต่อว่าต่างๆนาๆพรั่งพรูออกมาพร้อมกับอาการดิ้นรนปัดป้องตัวเองจากการเกาะกุมของเขา ยื้อยุดฉุดกระชากกันอยู่นานจนเผลอซัดฝ่ามือเข้าที่ใบหน้าคร้ามคมอีกครั้งหนึ่ง!
ทิโมธีบดกรามจนแทบแหลกละเอียด ข่มอารมณ์โกรธ โมโหที่มีอยู่ในตัวไว้อย่างที่สุดเพราะตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยมีใครกล้าดีมาตบหน้าถึงสองครั้งติดๆเช่นนี้ “เอาไว้ให้คุณสงบอารมณ์ได้มากกว่านี้แล้วเราค่อยคุยกันอีกที”
วทานิกาเหลือบสายตาจากพื้นกระเบื้องมันเงาสีดำสนิทมองร่างสูงใหญ่ที่หมุนตัวเดินกลับหันตรงดิ่งไปยังหน้าประตู พร้อมกับกล่าวด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด “ฉันไม่มีอะไรจะคุยกับคุณ ต่อไปนี้เราจะเป็นคนแปลกหน้า เจอกันที่ไหนก็ไม่ต้องมาทักทาย ไปให้พ้นจากชีวิตของฉัน!!”
ทิโมธีชะงักการก้าวเดินเพียงชั่วครู่ เมื่อจบคำตัดขาดของเธอพร้อมเดินออกไปจากห้องอย่างรวดเร็วโดยไม่หันกลับมามองยังเสียงสะอื้นไห้ที่ดังไล่หลังมาเลย คำพูดตัดขาดของเธอทำให้แบดบอยหนุ่มผู้ไม่เคยแยแสกับผู้หญิงหน้าไหนรู้สึกว่าตัวเองไร้ค่า เธอเป็นผู้หญิงคนแรกในชีวิตที่ทำให้รู้สึกโมโห เจ็บแปลบขึ้นมาในใจเมื่อได้ยินว่าต่อไปในจะเป็นเพียงคนแปลกหน้าต่อกันเท่านั้น!
ดีล่ะ... เธอไม่ใช่ผู้หญิงคนเดียวที่หลงเหลืออยู่ในโลกใบนี้สักหน่อย ก็แค่เป็นฝ่ายถูกผู้หญิงบอกตัดความความสัมพันธ์เป็นครั้งแรก! เลยเกิดอาการสูญเสียความมั่นใจจนเกิดความโหวงเหวงในจิตใจขึ้นเท่านั้น!! ขอเวลาอีกสักสองสามวันพอได้เจอคนใหม่ก็คงขี้คร้านจะจำไม่ได้แม้กระทั่งชื่อของเธอ วทานิกา! ทิโมธีคิดในใจพร้อมกับบึ่งซุปเปอร์คาร์สุดหรูออกไปด้วยความเร็วตามอารมณ์โกรธที่เกิดขึ้น
ในขณะที่ร่างสูงใหญ่ของทิโมธีลับตา... ดาเรียซึ่งสังเกตการณ์อยู่ห้องข้างๆก็รีบวิ่งเข้ามาประคองเพื่อนสนิทที่ทรุดกองอยู่กับพื้นขึ้นมานั่งบนโซฟาด้วยความเห็นใจ เพียงแค่ประคองเพื่อนสนิทให้ลุกขึ้น ดาเรียก็ต้องรีบวิ่งตามร่างเพรียวระหงที่วิ่งไปโก่งคออาเจียนบนซิงค์ล้างจานอย่างเอาเป็นเอาตาย!
“ตายแล้วนิก้า ไหวไหม เป็นอะไรมากรึเปล่า??” ดาเรียถามพลางลูบแผ่นหลังบางด้วยความเป็นห่วง “ไปหาหมอไหมนิก้า?...”
วทานิกาเปิดน้ำล้างหน้าตัวเองพลางส่วยหน้าให้กับคำถามของดาเรีย พยุงตัวเองขึ้นมาจ้องมองใบหน้าของเพื่อนสนิทด้วยแววตาเจ็บปวด “มันจบแล้วดาเรีย... มันจบลงแล้ว ฉันกับเขาจบกันไปแล้ว... ฮือ...”
ดาเรียกอดวทานิกาไว้ในอ้อมแขน ลูบหลังลูบไหล่ด้วยอาการปลอบประโลม “ไม่หรอกน่า... แค่ตอนนี้ต่างคนต่างใช้อารมณ์ปะทะกันเท่านั้นเอง เอาไว้เย็นลงกว่านี้แล้วค่อยคุยกันใหม่ อย่าร้องเลยนะนิก้า...”
วทานิกาส่ายหน้า ปล่อยโฮ... ออกมาอย่างไม่อาย “เชื่อฉันสิว่ามันจบแล้ว! ฉันไม่อยากเป็นยัยโง่ ซื่อบื้อมีชีวิตอยู่กับคำหวานหูของเขาอีกต่อไปแล้ว ฉันน่าจะรู้ตั้งนานแล้วว่าตัวเองไม่ได้ดีพอที่จะหยุดพฤติกรรมของผู้ชายเสเพลอย่างเขาได้ ไม่มีวัน! ไม่มีวันทำได้เลย!!”
“โธ่นิก้า...” ดาเรียไม่รู้ว่าจะปลอบใจเพื่อนสนิทอย่างไรจึงได้แต่กระชับอ้อมแขนให้แน่นขึ้น
“เขาไม่เพียงไม่ยอมรับความผิด ยังปัดความผิดทั้งหมดมาให้ฉัน หาว่าฉันใจง่ายไปอ้าขาให้รามอสอีกด้วย ฮือ... ถ้าฉันยังคบกับเขาอีกต่อไป ฉันคงไม่เหลือคุณค่าอะไรในตัวเองอีกต่อไป” วทานิกาพูดพลางสบสายตากับดาเรีย
“เขาพูดอย่างงั้นจริงน่ะเหรอ?” ดาเรียดึงร่างของวทานิกาออกพร้อมถามด้วยน้ำเสียงไม่อยากจะเชื่อ
วทานิกาพยักหน้ารับพลางยกมือขึ้นป้ายน้ำตาออกจากใบหน้า “เขายอมรับว่าภาพที่จูบกับลีเดียเป็นภาพจริงแต่ไม่ยอมรับว่ามีอะไรกับลีเดีย แล้วถ้าเป็นเธอเธอจะเชื่อรึเปล่า? พอฉันบอกว่าฉันไม่เชื่อ เขาก็ยกเอาเรื่องรามอสมาพูด อ้างว่าในทวิสเตอร์ เฟสบุ๊กแชร์รูปของฉันกับรามอสให้ว่อนไปหมด ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเขาหาเรื่องตีตัวออกจากฉัน!”
ดาเรียถอนหายใจหนักๆ มองเพื่อนด้วยความรู้สึกเห็นใจนัก ความจริงแล้วก็ไม่เคยเห็นด้วยเลยแม้แต่น้อยในความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่ แต่ก็ไม่อยากเข้าไปก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวถึงแม้ว่าจะเป็นเพื่อนสนิทกันมานานก็ตาม พลางคิดในใจว่าสุดท้ายวันนี้ก็มาถึงจนได้! “งั้นก็ทำใจเถอะนะนิก้า... ใช่ว่าผู้ชายจะเหลืออยู่ในโลกนี้คนเดียวเมื่อไหร่ ดีแล้วที่เธอสลัดตัวหลุดออกมาจากความสัมพันธ์อันคลุมเครือนี้ได้”
“ใช่ว่าฉันไม่รู้ว่าวันนี้ต้องมาถึงนะดาเรีย แต่ฉันยังไม่ได้ทันตั้งตัวรับ มันเกิดขึ้นเร็วเกินไป และฉันก็เจ็บปวดหัวใจเหลือเกิน...”
“นิก้า... เวลาเกือบปีที่เธอคบกับทิโมธีไม่ได้ถือว่าเร็วไปนะ เพียงแค่ความสุขที่รายล้อมอยู่รอบตัวเธอมันทำให้เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วเท่านั้น แล้วเรื่องเจ็บปวดหัวใจมันก็เป็นเรื่องธรรมดาของคนอกหัก ใครบ้างเกิดมาบนโลกนี้ไม่เคยอกหัก?” ดาเรียปลอบพลางกระชับหัวไหล่บอบบางทั้งสองข้าง จ้องดวงตาสวยหวานด้วยความมั่นคง “มีทางเลือกอยู่สองทาง ทางแรกคือเดินกลับไปหาเขา ทำตัวอยู่ในข้อตกลงของเขาเงียบๆเหมือนเดิม ปิดหูปิดตาตัวเองรับเอาแต่ความสุขที่เขาหยิบยื่นให้ อีกทางคืออดทนต่อความเจ็บปวดนี้ไปไม่นาน เธอก็จะปลดแอกตัวเองออกจากภาพมายาที่เขาสร้างขึ้นมาเผาผลาญใจเธอให้มอดไหม้นี้ได้ สุดท้ายเธอจะเป็นอิสระ ไม่ต้องซ่อนตัวอยู่ในกรงรักของเขาอีกต่อไป!”
“ดาเรีย...” วทานิกาโผเข้าหาอ้อมกอดของเพื่อนสนิทอีกครั้งด้วยความรู้สึกหลากหลาย
“ก็แค่อกหักมันไม่ทำให้ถึงตายหรอกนะ แค่ไม่กี่วันเท่านั้น ท่องเอาไว้!” ดาเรียพูดพร้อมลูบแผ่นหลังบอบบางอย่างปลอบประโลม ให้กำลังใจอยู่สักพักก็ต้องปล่อยให้วทานิกาได้อยู่ตามลำพังตามคำร้องขอที่เธอเอื้อนเอ่ยออกมา...
วทานิการ้องไห้ให้กับความจริงในใจที่หลีกเลี่ยงมาตลอดหลายเดือนอยู่ตลอดทั้งคืน ภาพเวลาแห่งความสุข เสียงหัวเราะ ช่วงเวลาแห่งความทรงจำอันสวยงามตั้งแต่วันแรกที่ได้รู้จักกันย้อนเข้ามาในห้วงความคิดคำนึง จนถึงวันสุดท้ายที่เพิ่งจากกันด้วยความไม่เข้าใจพร้อมกับหยาดน้ำตาที่ไหลรินออกมาไม่ขาดสาย... บัดนี้น้ำตาเหือดแห้ง ดวงตาคู่หวานซึ่งบอบช้ำเพราะผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก เมื่อแสงแดดของเช้าวันใหม่ลอดผ่านเข้ามาในห้อง ความรู้สึกปวดร้าวกระบอกตาก็โจมตีเข้ามาจนยกมือขึ้นคลึงขมับทั้งสองข้างโดยไม่รู้ตัวว่ามีสายตาของดาเรียจ้องมองอยู่ด้วยความเป็นห่วง
“ร้องไห้จนไม่เหลือน้ำตาแล้วใช่ไหม คราวนี้ก็ลุกขึ้นมาทานอาหารเช้าได้แล้ว”
วทานิกาผงกหัวขึ้น หยีตามองตามเสียงที่ดังขึ้นพร้อมวางศีรษะลงบนหมอนใบใหญ่เช่นเดิม เมื่อสายตาไม่สามารถสู้แสงแดดในยามเช้าได้ “ดาเรีย... ฉันยังไม่หิวเลย”
“ไม่หิวก็ต้องกิน ฉันรู้ว่าเธออาจยังทำใจไม่ได้แต่รู้ดีว่าเธอคิดได้แล้วว่าจะจัดการกับตัวเองต่อไปยังไง แล้วถ้าไม่กินอะไรลงไปบ้าง ร่างกายมันจะรับไม่ไหวนะ ลุกขึ้นมาหน่อยเร็วเข้า...” ดาเรียกระตุ้นเพื่อนด้วยน้ำเสียงสดใส
“โอเค... แต่ขอพักสายตาสักชั่วโมงสองชั่วโมงได้ไหม ฉันปวดกระบอกตาเหลือเกิน” วทานิกาบอกทั้งที่ยังหลับตาอยู่บนเตียงกว้างเช่นเดิม “รับรองว่าฉันทานอาหารเช้าที่เธอทำมาหมดเกลี้ยงแน่”
ดาเรียยิ้มเมื่อเห็นมือเรียวของวทานิกาชูขึ้นส่งสัญญาณว่ายังสบายดีอยู่ แม้ตอนนี้สภาพร่างกายและจิตใจยังย่ำแย่ก็ตาม แต่เท่าที่รู้จักกันมาวทานิกาก็เป็นผู้หญิงที่มีหัวใจเด็ดเดี่ยว สู้โดยไม่ย่อท้อแม้ว่าจะล้มลุกคลุกคลานบ้างบางครั้งก็ตามที ซึ่งมันเป็นเรื่องธรรมดาของชีวิตคนที่ต้องพบเจออุปสรรคบ้าง “งั้นฉันจะออกไปซุปเปอร์มาร์เกตซื้อของมาทำกินกัน เย็นนี้เราจะฉลองให้กับความโสด ไม่เมาไม่เลิกรา โอเค้?...”
“โอเค...” วทานิการับคำในทันทีทั้งที่ยังหลับตา มีเพียงเสียงหัวเราะที่ฟังได้ว่าไม่สดชื่นนักดังลอดออกมาจากลำคอระหง
“งั้นฉันวางอาหารเช้าไว้บนโต๊ะอาหารนะ ถ้าดีขึ้นก็อย่าลืมมากินให้หมดด้วย บ่ายๆเจอกัน”
วทานิกาพยักหน้ารับแล้วหลับตานิ่งดังเดิม ได้ยินเพียงเสียงปิดประตูที่ดังขึ้นเท่านั้นที่บ่งบอกให้รู้ว่าดาเรียออกไปข้างนอกแล้ว หากแต่พลิกตัวไปมาอยู่บนเตียงนานเป็นชั่วโมงก็ไม่ทำให้ร่างกายเข้าสู่การพักผ่อนอย่างแท้จริง
ในที่สุดก็ต้องถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่เพราะไม่สามารถข่มตาให้หลับลงได้จึงลุกขึ้นจากเตียงเดินตรงไปยังห้องน้ำ หวังว่าสายน้ำอุ่นจัดจะสามารถผ่อนคลายความเมื่อยล้า เรียกความสดชื่นขึ้นมาได้บ้าง แต่เมื่อได้เปลือยเปล่าอยู่หน้ากระจกเงาบานใหญ่ที่ใช้สำรวจรูปร่างตัวเองอยู่ทุกวันตามที่นางแบบเกือบทุกคนชอบทำ วทานิกาก็ต้องหลบสายตา ส่ายหน้าให้กับดวงตาบอบช้ำที่มีวงเขียวคล้ำรอบดวงตาอย่างเห็นได้ชัด
‘รู้ไหมว่าผมชอบ... เวลาที่ขาเรียวๆของนิก้าเกี่ยวเอวผม จิกปลายเท้าลงบนแผ่นหลังผม ใช่... ใช่... อย่างนั้นแหละนิก้า แม่สาวแสนซน’
จู่ๆคำพูดที่อยู่ในห้วงเสน่หาก็ผุดโพล่งขึ้นมาอย่างฉับพลัน ภาพลวงตาของร่างสูงใหญ่ เปลือยเปล่ามายืนซ้อนที่ด้านหลัง กกกอด เอาแผงอกแน่นหนั่น กล้ามเนื้อเรียบตึงคลอเคลียกับความเนียนนุ่มที่เขาชื่นชอบ วันเวลาแห่งความทรงจำที่ตกอยู่ในอ้อมกอดของกันและกันยังเด่นชัด รสเสน่หาอันอ่อนหวาน เร่าร้อนยังติดตาตรึงใจมิรู้ลืม ร่างกายที่เขาชื่นชม หลงใหลอย่างภูมิใจว่าเป็นเจ้าของคนแรก บัดนี้จะไม่มีภาพเหล่านั้นอีกแล้ว เขาจะไปกกกอดผู้หญิงคนอื่น มอบร่างกายแข็งแกร่งเธอเคยมอบให้ตน มอบให้คนอื่นเช่นกัน
วทานิกาสะบัดศีรษะแรงๆขับไล่ความรู้สึกรวดร้าวนั้นออกไปจากหัวสมอง มือบางรีบเปิดน้ำอุ่นจัด เงยหน้าขึ้นรับเอาสายน้ำที่ตกกระทบลงมาอยู่นาน พลางคิดหาวิธีทำลายความรู้สึกคิดถึงผู้ชายที่เคยรักให้มลายหายไปจากจิตใจ...
สามสิบนาทีต่อมา... หลังจากที่อาบน้ำแต่งตัวด้วยชุดผ้ายืดเบาสบายและจัดการกับอาการเช้าที่กลายมาเป็นมื้อเที่ยงเรียบร้อยแล้ว วทานิกาที่เดินไปหยิบนิยายซึ่งซื้อมาเก็บสะสมไว้และยังไม่มีโอกาสได้อ่านเลยสักครั้งเพราะทุกครั้งที่มีวันหยุดหรือว่างจากการทำงาน ทิโมธีก็จะขโมยเวลาอ่านหนังสือของตนไปเสียหมดพลางยิ้มเศร้าๆกับตัวเองว่า บัดนี้แล้วสินะ... หนังสือที่เรียงตัวอยู่อย่างเป็นระเบียบนี้จะถูกดึงออกมาจากชั้นแล้วส่งผ่านความสนุกสนานมาให้เจ้าของที่ทิ้งมันไว้เสียนาน
วทานิกาก้มลงเก็บแผ่นดิสก์ที่หล่นลงบนพื้นพร้อมเดินตรงไปยังมุมเครื่องเสียงชั้นดี จัดการสอดแผ่นดิสก์ซึ่งยังนึกไม่ออกว่าเป็นเพลงแนวไหนพร้อมกับเดินถือหนังสือมาทรุดตัวนั่งลงบนโซฟาเบดตัวใหญ่ เพลงไทยฟังสบายอารมณ์ก็ดังขึ้นในทันที อดแปลกใจตัวเองไม่ได้ว่ามีเพลงเพราะๆเหล่านี้เก็บไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ เพลงเก่าสมัยยังเป็นเด็กมัธยมซึ่งยังฟังดูร่วมสมัยก็บรรเลงเรื่อยมาเพลงแล้วเพลงเล่าจนเผลอยิ้มออกมาเมื่อสามารถร้องคลอตามได้เกือบทุกเพลง...
หากเนื้อหาอันกระแทกใจของเพลงที่กำลังดังอยู่ในขณะนี้ สามารถทำให้วทานิกาละสายตาจากหนังสือในมือ! สมองวกกลับไปคิดเรื่องของตัวเองอีกครั้ง
เฝ้ามองเรื่องราวบางอย่าง ที่ฉันต้องการคำตอบ
ก็มันสับสนในใจมานาน
ที่ทำเพื่อเธอทุกอย่างและเหมือนทุ่มเทจนหมดอย่างนี้
เธอจะชอบบ้างไหม
ไม่เคยได้ยินจากปาก อยากขอให้เธอเข้าใจ
ว่ามันทำร้ายใจฉันทุกวัน
ที่ยังสงสัยมานาน เธอนั้นต้องการอะไรจากฉันจึงเงียบเฉยอย่างนี้
บางเวลาก็เห็นเธอดีกับฉัน ยามที่เธอนั้นไม่มีใคร
แต่บางทีก็เหมือนไม่เคยใส่ใจ
อยากรู้ว่าเธอคิดยังไงกับฉัน
เคยรักฉันบ้างรึเปล่า หรือเป็นเพื่อนแค่ตอนเหงาใจ
เพราะฉันเองก็ยังไม่เคยเข้าใจในความรู้สึก
ว่าลึกๆเธอมีฉันอยู่บ้างไหม
เพลง เคยรักฉันบ้างไหม ; ศิลปิน XL STEP
‘เคยรักฉันบ้างไหมคะทิโมธี?’ วทานิกาเกิดคำถามนี้ขึ้นในใจและให้คำตอบกับตัวเองได้อย่างไม่ต้องเสียเวลาขบคิด
ไม่เคยรักกันเลยสินะ! เพราะช่วงเวลาสิบเอ็ดเดือนที่คบกันมา เขาไม่เคยเอื้อนเอ่ยคำรักออกมาสักครั้ง แม้แต่เวลาที่อยู่ในห้วงเสน่หา เขาก็ไม่เคยหลุดปากออกมาเลย ทุกครั้งที่เลียบคียงถามถึง เขาก็จะตอบไม่ตรงคำถามโดยหยิบเอาความซื่อสัตย์ที่ว่าคบผู้หญิงทีละคนมาวางไว้ตรงหน้า หยิบเอาคำหวานมาหว่านล้อมให้ได้ตายใจ หลงเชื่ออยู่กับโลกของความฝันที่เขาสร้างขึ้นจนยอมพลีกายให้เขาได้เชยชมอย่างเต็มอกเต็มใจ!
วทานิกาอยากหัวเราะให้กับความโง่งมของตัวเองนัก ที่หลงคิดว่าตัวเองมีดีพอจนสามารถหยุดผู้ชายที่ขึ้นชื่อว่าเสเพลที่สุดของโลกไว้ได้ สุดท้ายแล้วก็ได้คำตอบกับตัวเองว่า... ไม่มีใครสามารถหยุดเขาไว้ได้จริงๆ ที่เขาคบกับตนได้ยาวนานกว่าผู้หญิงทุกคน นั่นก็เป็นเพียงแค่ยังติดใจในเรือนร่างอันเต่งตึงของวัยสาวต่าวหาก!
คำสั่งสอนของมารดาก็ผุดขึ้นมาย้ำเตือนถึงความผิดอีกครั้ง คำสอนของแม่ที่เคยพูดไว้นั้นเป็นจริงทุกประการ จริงอยู่ว่าโลกเปลี่ยนไปแล้ว สมัยนี้ไม่มีผู้ชายคนไหนมองว่าเลือดพรหมจรรย์ของผู้หญิงเป็นเรื่องสำคัญอีกต่อไป แต่การรักนวลสงวนตัวก็เป็นวิธีการหนึ่งซึ่งพึงกระทำ เพื่อเพิ่มคุณค่าให้กับตนเอง เพื่อไม่ให้ใครตราหน้าได้ว่าเป็นผู้หญิงใจง่ายอย่างที่ทิโมธีลั่นปากไว้เมื่อวานนี้ เขาคงคิดว่าได้ตนมาเชยชมง่ายๆ ถึงได้คิดว่าจะง่ายกับผู้ชายทุกคนเช่นกัน ไม่อย่างนั้นคงไม่พูดจาดูถูกดูแคลนออกมาเช่นนั้น
‘แม่ขา... นิก้าพลาดไปแล้ว’ วทานิกาพร่ำขอโทษมารดาที่คอยไถ่ถามสาระทุกข์สุกดิบอยู่เสมอด้วยความเป็นห่วงในสัมพันธ์ของลูกสาวและแบดบอยมหาเศรษฐีซึ่งเป็นข่าวครึกโครมไปทั่วโลก และทุกครั้งที่เอ่ยถามวทานิกาก็จะเลี่ยงตอบจนท่านเบื่อที่จะที่ถามไปเอง แต่บัดนี้กลับอยากนอนกอดท่าน ร้องไห้ให้สาแก่ใจที่ไม่ทำตัวให้อยู่ในโอวาทของท่าน! วทานิกาไม่รู้ว่าตัวเองนั่งจมอยู่กับความผิดพลาดของตัวเองอยู่นานแค่ไหน จวบจนเมื่อเสียงเพลงฟังสบายเปลี่ยนเป็นเสียงเพลงเร้าใจ
ดาเรียส่ายหน้าเมื่อกลับเข้ามาพบว่าเพื่อนสาวยังนั่งอมทุกข์ เหม่อลอยจนไม่รู้ว่าตนยืนมองอยู่นานแล้วจึงคิดว่าต้องขจัดทุกอย่างที่เป็นเรื่องน่าเศร้าให้หมดไปจากห้องนี้ โดยเดินเข้ามาลากวทานิกาที่นั่งซึมอยู่บนเก้าอี้ให้ลุกขึ้นมาเต้น ปลดปล่อยความทุกข์ ทิ้งความเสียใจทั้งหลายออกไป จากนั้นสองสาวซุปเปอร์โมเดลที่คบกันมานานตั้งแต่เริ่มเรียนชั้นประถมก็ดื่ม... ร้อง... เต้น... เล่นสนุกกันหลายชั่วโมงจนหมดแรง สุดท้ายต้องนอนหลับพับอยู่บนโซฟาชุดใหญ่ในยามดึกสงัดของวันเดียวกัน!!
วทานิกาเก็บตัวอยู่เงียบๆในคอนโดมิเนียมสุดหรูราวสามวันเต็ม ตัดขาดจากข่าวสารที่รู้ดีแก่ใจว่ากำลังร้อนระอุมากกว่าเดิม เพราะต่างฝ่ายต่างมีมือที่สามเข้ามาแทรกในทันที นักข่าวเล่นงานว่าทิโมธีมีลีเดีย ในขณะที่เธอมีรามอส จนกลายเป็นรักสี่เศร้าซึ่งเป็นหัวข้อสนทนาอยู่ในขณะนี้
ดาเรียคอยอำนวยความสะดวกให้ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการจัดหาข้าวปลาอาหาร หาซีรี่ย์เรื่องยาวซึ่งเหมาะสำหรับการนั่งใจจดใจจ่ออยู่กับเนื้อเรื่องที่ชวนให้ติดตาม และตอนนี้ดาเรียยังอาสาเป็นผู้จัดการส่วนตัวเดินทางไปบอกกับเอเจนซี่ที่สังกัดอยู่ว่าต่อจากนี้ วทานิกาจะรับงานทุกอย่างที่ป้อนให้ด้วยความเต็มใจเพราะหวังว่าการทำงานหนักจะช่วยให้คลายความคิดถึงผู้ชายใจร้ายได้ ที่สำคัญดาเรียยังบอกว่าการทำงานหนักยังช่วยให้ตัวเลขของเงินฝากในบัญชีเพิ่มขึ้นอย่างน่าภูมิใจอีกด้วย
“เปิดประตูเดี๋ยวนี้นะนิก้า! ผมบอกว่าให้เปิดประตู!!”
วทานิกายืนอยู่หน้าประตูห้องบานใหญ่ที่ถูกตะโกนเรียกพร้อมทุบอย่างแรง จนกลัวว่าจะรบกวนเพื่อนข้างห้อง จึงข่มน้ำเสียงให้เป็นปกติตะโกนออกไปบอกคนข้างนอกทันที “กลับไปก่อนเถอะค่ะทิม คุยกันไปตอนนี้ก็ไม่มีประโยขน์ ฉันบอกคุณแล้วยังไงคะว่าขอเวลาอยู่คนเดียวสักพัก”
“ไม่! ผมบอกว่าให้เปิดประตู เราต้องคุยกันให้รู้เรื่อง อย่ามาทำเป็นโกรธกลบเกลื่อนความผิดของตัวเองหน่อยเลย” ทิโมธีตะโกนด้วยน้ำเสียงเข้ม ไม่สนใจว่าจะมีใครมาได้ยินหรือไปรบกวนคนอื่นเลยแม้แต่น้อย
วทานิกาแทบไม่เชื่อหูตัวเอง เมื่อได้ยินคำพูดเมื่อครู่นี้ที่ว่าตนทำเป็นโกรธกลบเกลื่อนความผิดของตัวเอง!! เฮอะ!... เหลือเชื่อจริงๆเลยผู้ชายคนนี้ หากต้องพบเจอะหน้ากันอีกครั้งในตอนนี้ คงห้ามใจตัวเองไม่ได้ มีหวังต้องปรี่เข้าไปทำร้ายร่างกายให้เขาได้รู้สึกเจ็บปวดดังเช่น หัวใจของตนที่กำลังซึมซับความรู้สึกนี้อยู่เป็นแน่ “กลับไปซะทิโมธี ถ้าคุณยังไม่หยุดส่งเสียงเอะอะโวยวาย ฉันจะเรียกตำรวจแล้วนะ!”
ทิโมธีแหนหน้าขึ้นฟ้าระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างไม่เกรงใจใคร “ไปเรียกมันมาทั้งลอนดอนผมยังไม่กลัวเลย ยังไงเสียวันนี้ผมต้องได้คุยกับคุณให้รู้เรื่องรู้ราว ไม่อย่างนั้นอย่ามาเรียกผมว่าทิโมธี ผมให้โอกาสคุณอีกครั้งจะเปิดประตูไหม?”
“ฉันบอกว่าให้กลับไปก่อนยังไงเล่า!! ทำไมพูดไม่รู้ฟังนะ” วทานิกาขึ้นเสียงเป็นครั้งแรกตั้งแต่รู้จักกันมา หากไม่สามารถหยุดความบ้าของคนข้างหลังประตูลงได้ เขายังย้ำถามด้วยน้ำเสียงเครียดมากกว่าเดิม ไม่มีการทุบประตูอีกแล้ว มีแต่เสียงที่ย้ำถามอีกครั้งราวกับคนหมดความอดทน
“ตกลงจะไม่เปิดใช่ไหม?”
วทานิกาขยับตัวขึ้นไปส่องตาแมวดูเมื่อจบคำถามนั้นและต้องอ้าปากค้าง เมื่อเห็นร่างสูงใหญ่ถอยหลังไปไม่กี่ก้าวพร้อมดึงอาวุธแห่งความตายสีแพลตินั่มออกมาจากบั้นเอว!!
“ผมรู้ว่าคุณแอบมองอยู่ ถ้าคิดว่าผมไม่กล้าก็ถอยออกไปไกลๆ หนึ่ง สอง...” ทิโมธีหยุดนับ เมื่อได้ยินเสียงกริ๊กปลดล็อกประตูจึงรีบเก็บปืนพร้อมเปิดประตูห้องเข้าไปอย่างแรง!! “ทำไมชอบให้ขู่เข็ญ นิก้า! หันมาคุยกับผมให้รู้เรื่องเดี๋ยวนี้นะ คุณก็รู้ว่าผมไม่ชอบให้ใครเดินหนีในขณะที่ยังคุยกันไม่รู้เรื่อง”
“อย่ามาแตะต้องตัวฉัน!” วทานิกาขยับตัวหนีมือใหญ่ราวกับถูกของร้อน “จะพูดอะไรก็รีบๆพูดมา ฉันเหนื่อย ฉันเพลีย ฉันอยากอาบน้ำ ฉันง่วง”
“ไอ้หน้าไหนมันสูบเรี่ยวแรงคุณไปหมดทั้งตัวแบบนี้ ถึงได้หน้าซีดเซียว เหนื่อยกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา ถามจริงๆเถอะ ไปทำงานอย่างเดียวจริงๆน่ะเหรอ??” ทิโมธีถามด้วยสีหน้าเอาเรื่อง
“พล่ามอะไรของคุณทิโมธี คุณเป็นคนทำให้ฉันต้องรู้สึกแย่ๆอย่างนี้ แล้วยังจะมาพูดราวกับว่าฉันเป็นคนทรยศคนนั้นเสียเองได้ยังไงกัน!??” วทานิกาโต้กลับด้วยสีหน้าที่ไม่ยอมเช่นกัน “ฉันไปทำงานกับดาเรียเหนื่อยแค่ไหนก็ทนได้ แต่ฉันหมดความอดทน ไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนเพราะสายตาของคนรอบข้างมองฉันยังกับฉันเป็นตัวประหลาด เป็นนังหน้าโง่ให้คุณสวมเขา!”
“ผมไม่เคยทรยศอะไรคุณ ทำไมไม่เชื่อที่ผมพูดว่าผมไม่ได้มีอะไรกับลีเดีย”
“แล้วทำไมต้องโกหก ทำไมไม่บอกมาตามตรงว่าคุณอยู่กับลีเดีย” วทานิกาถามข้อข้องใจของตนเอง
“ก็ผมเห็นว่ามันไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไร ถ้าเกิดว่าผมนอนกับเธอแล้วก็ว่าไปอย่าง”
“อย่ามาทำเบี่ยงเบนประเด็นหน่อยเลย ถ้าคุณนอนกับเธอแล้วคุณจะไม่ยอมบอกฉันแน่ เหมือนกับที่คุณสองคนจูบกันจนไฟแทบไหม้รถ! คุณยังไม่ยอมรับเลยว่าจูบกับเธอ ถ้าไม่มีภาพพวกนั้น ป่านนี้ฉันก็คงต้องเชื่อคุณคำโกหกของคุณต่อไปว่าลีเดียจูบคุณเอง คุณไม่ได้จูบเธอ” วทานิกาบอกด้วยความช้ำใจ
“อ่อ!... แปลว่าเชื่อภาพมากกว่าคำพูดของผมสินะ??” ทิโมธีถามด้วยน้ำเสียงข่มอารมณ์ ยืนจังก้า กอดอกมองผู้หญิงตรงหน้าที่ร้องไห้จนดวงตาบวมเป่ง
“ก็คุณพูดเองว่าภาพพวกนั้นมันไม่ใช่ภาพตัดต่อ”
“แล้วภาพที่คุณกำลังหัวร่อต่อกระซิกกับไอ้นักฟุตบอลที่เพิ่งรู้จักกันตอนถ่ายแบบแล้วหิ้วมันกลับอังกฤษมาด้วยนี่ ผมก็ต้องเชื่ออย่างที่ตาตัวเองเห็นสินะ” ทิโมธีถามกลับพร้อมจ้องมองใบหน้างดงามกำลังขมวดคิ้วมุ่นราวกับตนกำลังยกเมฆมาอ้าง
“พูดอะไรของคุณ ฉันกับรามอสเพิ่งรู้จักกันตอนถ่ายปกหนังสือ แล้วก็บังเอิญเจอกันบนเครื่องบิน...”
“บังเอิญได้นั่งคู่กัน บังเอิญว่าคุยกันอย่างถูกคอ บังเอิญว่ากระซิบกระซาบกัน บังเอิญว่าแลกเบอร์โทรศัพท์กัน สุดท้ายคงไม่บังเอิญเข้าห้องน้ำห้องเดียวกันหรอกนะ ถึงได้เหนื่อย เพลีย ง่วงมาขนาดนี้??”
เพียะ!!...
จบคำพูดของทิโมธี วทานิกาก็ปรี่เข้าไปสะบัดผ่ามือเข้าที่ใบหน้าคร้ามคมสุดแรงเกิด จ้องมองดวงตาลุกวาวที่ค่อยๆหันกลับมาจ้องมองตัวเองราวกับจะกินเลือดกินเนื้ออย่างไม่หลบสายตา! “อย่าคิดว่าทุกคนจะมักมากอย่างคุณนะ จิตใจคุณทำด้วยอะไรถึงได้หาความใส่ฉันเพื่อปัดความผิดของตัวเองแบบนี้?”
ทิโมธียิ้มเยาะที่มุมปาก กวาดสายตามองผู้หญิงที่เคยหลงเชื่อว่าเธอใสซื่ออย่างไม่คาดคิด “งั้นคนทั้งโลกคงว่างจัด หาความใส่คุณอยู่ล่ะมั้ง ว่างๆก็ไปเปิดโซเชียลเน็ตเวิร์กดูมั่งล่ะ เผื่อมันจะเตือนความจำได้มั่งว่าทำอะไรลงไปบ้าง ทวิสเตอร์ เฟสบุ๊กน่ะแชร์รูปคุณกับไอ้นักฟุตบอลที่คุณหิ้วมาให้ว่อนไปทั่วโลกแล้ว ทีนี้จะให้ผมเข้าใจว่าไงล่ะ?”
“จะเข้าใจว่าไง ก็คุณพูดเอง ตัดสินใจเชื่อไปแล้วนี่ว่าฉันกับรามอสเข้าห้องน้ำห้องเดียวกันไปแล้ว มันก็เหมือนๆกับที่คุณหิ้วลีเดียเข้าโรงแรมนั่นแหละ!!”
“วทานิกา คุณไม่มีสิทธิ์จะมาประชดผมแบบนี้นะ!!” ทิโมธีปรี่เข้าไปกระชากร่างระหงเข้ามาเขย่าจนหัวสั่นหัวคลอน “คงไปถึงไหนต่อไหนกับมันมาแล้วใช่ไหม ถึงได้แลกเบอร์กัน เรียกมันอย่างสนิทสนมแบบนี้ ห๊ะ?...”
“ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ ไอ้คนเส็งเคร็ง จิตใจต่ำช้า คิดได้แต่เรื่องอกุศล คุณไม่เคยคุยกับเพื่อนต่างเพศด้วยใจบริสุทธิ์เลยหรือไง ถึงมาใช้คำถามแบบนี้กับฉัน ถ้าคิดว่าฉันไวไฟขนาดนั้นก็ไม่ต้องมาคุยกันอีก เราจบกันแค่นี้!” วทานิกาโพล่งออกมาอย่างเหลืออดพร้อมรวบรวมแรงที่มีอยู่ในตัวสะบัดออกจากการเกาะกุมของผู้ชายร้ายกาจอย่างแรง “ออกไป! ไปให้พ้นหน้าฉัน อย่ามาให้ฉันเห็นหน้าอีก ฮือ...”
ทิโมธีตกใจเมื่อได้ยินเสียงร้องไห้คร่ำครวญของวทานิกา รีบทรุดตัวลงกับพื้นเมื่อเห็นร่างระหงของเธอทรุดกองอยู่กับพื้นอย่างหมดแรง “นิก้า...”
วทานิการีบปัดมือหนาออกจากร่างกายราวกับว่าขยะแขยงนักหนา “อย่ามาแตะต้องตัวฉัน ฉันเกลียดคุณ เกลียดคุณที่สุดได้ยินไหมทิโมธี ฮือ...” คำต่อว่าต่างๆนาๆพรั่งพรูออกมาพร้อมกับอาการดิ้นรนปัดป้องตัวเองจากการเกาะกุมของเขา ยื้อยุดฉุดกระชากกันอยู่นานจนเผลอซัดฝ่ามือเข้าที่ใบหน้าคร้ามคมอีกครั้งหนึ่ง!
ทิโมธีบดกรามจนแทบแหลกละเอียด ข่มอารมณ์โกรธ โมโหที่มีอยู่ในตัวไว้อย่างที่สุดเพราะตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยมีใครกล้าดีมาตบหน้าถึงสองครั้งติดๆเช่นนี้ “เอาไว้ให้คุณสงบอารมณ์ได้มากกว่านี้แล้วเราค่อยคุยกันอีกที”
วทานิกาเหลือบสายตาจากพื้นกระเบื้องมันเงาสีดำสนิทมองร่างสูงใหญ่ที่หมุนตัวเดินกลับหันตรงดิ่งไปยังหน้าประตู พร้อมกับกล่าวด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด “ฉันไม่มีอะไรจะคุยกับคุณ ต่อไปนี้เราจะเป็นคนแปลกหน้า เจอกันที่ไหนก็ไม่ต้องมาทักทาย ไปให้พ้นจากชีวิตของฉัน!!”
ทิโมธีชะงักการก้าวเดินเพียงชั่วครู่ เมื่อจบคำตัดขาดของเธอพร้อมเดินออกไปจากห้องอย่างรวดเร็วโดยไม่หันกลับมามองยังเสียงสะอื้นไห้ที่ดังไล่หลังมาเลย คำพูดตัดขาดของเธอทำให้แบดบอยหนุ่มผู้ไม่เคยแยแสกับผู้หญิงหน้าไหนรู้สึกว่าตัวเองไร้ค่า เธอเป็นผู้หญิงคนแรกในชีวิตที่ทำให้รู้สึกโมโห เจ็บแปลบขึ้นมาในใจเมื่อได้ยินว่าต่อไปในจะเป็นเพียงคนแปลกหน้าต่อกันเท่านั้น!
ดีล่ะ... เธอไม่ใช่ผู้หญิงคนเดียวที่หลงเหลืออยู่ในโลกใบนี้สักหน่อย ก็แค่เป็นฝ่ายถูกผู้หญิงบอกตัดความความสัมพันธ์เป็นครั้งแรก! เลยเกิดอาการสูญเสียความมั่นใจจนเกิดความโหวงเหวงในจิตใจขึ้นเท่านั้น!! ขอเวลาอีกสักสองสามวันพอได้เจอคนใหม่ก็คงขี้คร้านจะจำไม่ได้แม้กระทั่งชื่อของเธอ วทานิกา! ทิโมธีคิดในใจพร้อมกับบึ่งซุปเปอร์คาร์สุดหรูออกไปด้วยความเร็วตามอารมณ์โกรธที่เกิดขึ้น
ในขณะที่ร่างสูงใหญ่ของทิโมธีลับตา... ดาเรียซึ่งสังเกตการณ์อยู่ห้องข้างๆก็รีบวิ่งเข้ามาประคองเพื่อนสนิทที่ทรุดกองอยู่กับพื้นขึ้นมานั่งบนโซฟาด้วยความเห็นใจ เพียงแค่ประคองเพื่อนสนิทให้ลุกขึ้น ดาเรียก็ต้องรีบวิ่งตามร่างเพรียวระหงที่วิ่งไปโก่งคออาเจียนบนซิงค์ล้างจานอย่างเอาเป็นเอาตาย!
“ตายแล้วนิก้า ไหวไหม เป็นอะไรมากรึเปล่า??” ดาเรียถามพลางลูบแผ่นหลังบางด้วยความเป็นห่วง “ไปหาหมอไหมนิก้า?...”
วทานิกาเปิดน้ำล้างหน้าตัวเองพลางส่วยหน้าให้กับคำถามของดาเรีย พยุงตัวเองขึ้นมาจ้องมองใบหน้าของเพื่อนสนิทด้วยแววตาเจ็บปวด “มันจบแล้วดาเรีย... มันจบลงแล้ว ฉันกับเขาจบกันไปแล้ว... ฮือ...”
ดาเรียกอดวทานิกาไว้ในอ้อมแขน ลูบหลังลูบไหล่ด้วยอาการปลอบประโลม “ไม่หรอกน่า... แค่ตอนนี้ต่างคนต่างใช้อารมณ์ปะทะกันเท่านั้นเอง เอาไว้เย็นลงกว่านี้แล้วค่อยคุยกันใหม่ อย่าร้องเลยนะนิก้า...”
วทานิกาส่ายหน้า ปล่อยโฮ... ออกมาอย่างไม่อาย “เชื่อฉันสิว่ามันจบแล้ว! ฉันไม่อยากเป็นยัยโง่ ซื่อบื้อมีชีวิตอยู่กับคำหวานหูของเขาอีกต่อไปแล้ว ฉันน่าจะรู้ตั้งนานแล้วว่าตัวเองไม่ได้ดีพอที่จะหยุดพฤติกรรมของผู้ชายเสเพลอย่างเขาได้ ไม่มีวัน! ไม่มีวันทำได้เลย!!”
“โธ่นิก้า...” ดาเรียไม่รู้ว่าจะปลอบใจเพื่อนสนิทอย่างไรจึงได้แต่กระชับอ้อมแขนให้แน่นขึ้น
“เขาไม่เพียงไม่ยอมรับความผิด ยังปัดความผิดทั้งหมดมาให้ฉัน หาว่าฉันใจง่ายไปอ้าขาให้รามอสอีกด้วย ฮือ... ถ้าฉันยังคบกับเขาอีกต่อไป ฉันคงไม่เหลือคุณค่าอะไรในตัวเองอีกต่อไป” วทานิกาพูดพลางสบสายตากับดาเรีย
“เขาพูดอย่างงั้นจริงน่ะเหรอ?” ดาเรียดึงร่างของวทานิกาออกพร้อมถามด้วยน้ำเสียงไม่อยากจะเชื่อ
วทานิกาพยักหน้ารับพลางยกมือขึ้นป้ายน้ำตาออกจากใบหน้า “เขายอมรับว่าภาพที่จูบกับลีเดียเป็นภาพจริงแต่ไม่ยอมรับว่ามีอะไรกับลีเดีย แล้วถ้าเป็นเธอเธอจะเชื่อรึเปล่า? พอฉันบอกว่าฉันไม่เชื่อ เขาก็ยกเอาเรื่องรามอสมาพูด อ้างว่าในทวิสเตอร์ เฟสบุ๊กแชร์รูปของฉันกับรามอสให้ว่อนไปหมด ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเขาหาเรื่องตีตัวออกจากฉัน!”
ดาเรียถอนหายใจหนักๆ มองเพื่อนด้วยความรู้สึกเห็นใจนัก ความจริงแล้วก็ไม่เคยเห็นด้วยเลยแม้แต่น้อยในความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่ แต่ก็ไม่อยากเข้าไปก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวถึงแม้ว่าจะเป็นเพื่อนสนิทกันมานานก็ตาม พลางคิดในใจว่าสุดท้ายวันนี้ก็มาถึงจนได้! “งั้นก็ทำใจเถอะนะนิก้า... ใช่ว่าผู้ชายจะเหลืออยู่ในโลกนี้คนเดียวเมื่อไหร่ ดีแล้วที่เธอสลัดตัวหลุดออกมาจากความสัมพันธ์อันคลุมเครือนี้ได้”
“ใช่ว่าฉันไม่รู้ว่าวันนี้ต้องมาถึงนะดาเรีย แต่ฉันยังไม่ได้ทันตั้งตัวรับ มันเกิดขึ้นเร็วเกินไป และฉันก็เจ็บปวดหัวใจเหลือเกิน...”
“นิก้า... เวลาเกือบปีที่เธอคบกับทิโมธีไม่ได้ถือว่าเร็วไปนะ เพียงแค่ความสุขที่รายล้อมอยู่รอบตัวเธอมันทำให้เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วเท่านั้น แล้วเรื่องเจ็บปวดหัวใจมันก็เป็นเรื่องธรรมดาของคนอกหัก ใครบ้างเกิดมาบนโลกนี้ไม่เคยอกหัก?” ดาเรียปลอบพลางกระชับหัวไหล่บอบบางทั้งสองข้าง จ้องดวงตาสวยหวานด้วยความมั่นคง “มีทางเลือกอยู่สองทาง ทางแรกคือเดินกลับไปหาเขา ทำตัวอยู่ในข้อตกลงของเขาเงียบๆเหมือนเดิม ปิดหูปิดตาตัวเองรับเอาแต่ความสุขที่เขาหยิบยื่นให้ อีกทางคืออดทนต่อความเจ็บปวดนี้ไปไม่นาน เธอก็จะปลดแอกตัวเองออกจากภาพมายาที่เขาสร้างขึ้นมาเผาผลาญใจเธอให้มอดไหม้นี้ได้ สุดท้ายเธอจะเป็นอิสระ ไม่ต้องซ่อนตัวอยู่ในกรงรักของเขาอีกต่อไป!”
“ดาเรีย...” วทานิกาโผเข้าหาอ้อมกอดของเพื่อนสนิทอีกครั้งด้วยความรู้สึกหลากหลาย
“ก็แค่อกหักมันไม่ทำให้ถึงตายหรอกนะ แค่ไม่กี่วันเท่านั้น ท่องเอาไว้!” ดาเรียพูดพร้อมลูบแผ่นหลังบอบบางอย่างปลอบประโลม ให้กำลังใจอยู่สักพักก็ต้องปล่อยให้วทานิกาได้อยู่ตามลำพังตามคำร้องขอที่เธอเอื้อนเอ่ยออกมา...
วทานิการ้องไห้ให้กับความจริงในใจที่หลีกเลี่ยงมาตลอดหลายเดือนอยู่ตลอดทั้งคืน ภาพเวลาแห่งความสุข เสียงหัวเราะ ช่วงเวลาแห่งความทรงจำอันสวยงามตั้งแต่วันแรกที่ได้รู้จักกันย้อนเข้ามาในห้วงความคิดคำนึง จนถึงวันสุดท้ายที่เพิ่งจากกันด้วยความไม่เข้าใจพร้อมกับหยาดน้ำตาที่ไหลรินออกมาไม่ขาดสาย... บัดนี้น้ำตาเหือดแห้ง ดวงตาคู่หวานซึ่งบอบช้ำเพราะผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก เมื่อแสงแดดของเช้าวันใหม่ลอดผ่านเข้ามาในห้อง ความรู้สึกปวดร้าวกระบอกตาก็โจมตีเข้ามาจนยกมือขึ้นคลึงขมับทั้งสองข้างโดยไม่รู้ตัวว่ามีสายตาของดาเรียจ้องมองอยู่ด้วยความเป็นห่วง
“ร้องไห้จนไม่เหลือน้ำตาแล้วใช่ไหม คราวนี้ก็ลุกขึ้นมาทานอาหารเช้าได้แล้ว”
วทานิกาผงกหัวขึ้น หยีตามองตามเสียงที่ดังขึ้นพร้อมวางศีรษะลงบนหมอนใบใหญ่เช่นเดิม เมื่อสายตาไม่สามารถสู้แสงแดดในยามเช้าได้ “ดาเรีย... ฉันยังไม่หิวเลย”
“ไม่หิวก็ต้องกิน ฉันรู้ว่าเธออาจยังทำใจไม่ได้แต่รู้ดีว่าเธอคิดได้แล้วว่าจะจัดการกับตัวเองต่อไปยังไง แล้วถ้าไม่กินอะไรลงไปบ้าง ร่างกายมันจะรับไม่ไหวนะ ลุกขึ้นมาหน่อยเร็วเข้า...” ดาเรียกระตุ้นเพื่อนด้วยน้ำเสียงสดใส
“โอเค... แต่ขอพักสายตาสักชั่วโมงสองชั่วโมงได้ไหม ฉันปวดกระบอกตาเหลือเกิน” วทานิกาบอกทั้งที่ยังหลับตาอยู่บนเตียงกว้างเช่นเดิม “รับรองว่าฉันทานอาหารเช้าที่เธอทำมาหมดเกลี้ยงแน่”
ดาเรียยิ้มเมื่อเห็นมือเรียวของวทานิกาชูขึ้นส่งสัญญาณว่ายังสบายดีอยู่ แม้ตอนนี้สภาพร่างกายและจิตใจยังย่ำแย่ก็ตาม แต่เท่าที่รู้จักกันมาวทานิกาก็เป็นผู้หญิงที่มีหัวใจเด็ดเดี่ยว สู้โดยไม่ย่อท้อแม้ว่าจะล้มลุกคลุกคลานบ้างบางครั้งก็ตามที ซึ่งมันเป็นเรื่องธรรมดาของชีวิตคนที่ต้องพบเจออุปสรรคบ้าง “งั้นฉันจะออกไปซุปเปอร์มาร์เกตซื้อของมาทำกินกัน เย็นนี้เราจะฉลองให้กับความโสด ไม่เมาไม่เลิกรา โอเค้?...”
“โอเค...” วทานิการับคำในทันทีทั้งที่ยังหลับตา มีเพียงเสียงหัวเราะที่ฟังได้ว่าไม่สดชื่นนักดังลอดออกมาจากลำคอระหง
“งั้นฉันวางอาหารเช้าไว้บนโต๊ะอาหารนะ ถ้าดีขึ้นก็อย่าลืมมากินให้หมดด้วย บ่ายๆเจอกัน”
วทานิกาพยักหน้ารับแล้วหลับตานิ่งดังเดิม ได้ยินเพียงเสียงปิดประตูที่ดังขึ้นเท่านั้นที่บ่งบอกให้รู้ว่าดาเรียออกไปข้างนอกแล้ว หากแต่พลิกตัวไปมาอยู่บนเตียงนานเป็นชั่วโมงก็ไม่ทำให้ร่างกายเข้าสู่การพักผ่อนอย่างแท้จริง
ในที่สุดก็ต้องถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่เพราะไม่สามารถข่มตาให้หลับลงได้จึงลุกขึ้นจากเตียงเดินตรงไปยังห้องน้ำ หวังว่าสายน้ำอุ่นจัดจะสามารถผ่อนคลายความเมื่อยล้า เรียกความสดชื่นขึ้นมาได้บ้าง แต่เมื่อได้เปลือยเปล่าอยู่หน้ากระจกเงาบานใหญ่ที่ใช้สำรวจรูปร่างตัวเองอยู่ทุกวันตามที่นางแบบเกือบทุกคนชอบทำ วทานิกาก็ต้องหลบสายตา ส่ายหน้าให้กับดวงตาบอบช้ำที่มีวงเขียวคล้ำรอบดวงตาอย่างเห็นได้ชัด
‘รู้ไหมว่าผมชอบ... เวลาที่ขาเรียวๆของนิก้าเกี่ยวเอวผม จิกปลายเท้าลงบนแผ่นหลังผม ใช่... ใช่... อย่างนั้นแหละนิก้า แม่สาวแสนซน’
จู่ๆคำพูดที่อยู่ในห้วงเสน่หาก็ผุดโพล่งขึ้นมาอย่างฉับพลัน ภาพลวงตาของร่างสูงใหญ่ เปลือยเปล่ามายืนซ้อนที่ด้านหลัง กกกอด เอาแผงอกแน่นหนั่น กล้ามเนื้อเรียบตึงคลอเคลียกับความเนียนนุ่มที่เขาชื่นชอบ วันเวลาแห่งความทรงจำที่ตกอยู่ในอ้อมกอดของกันและกันยังเด่นชัด รสเสน่หาอันอ่อนหวาน เร่าร้อนยังติดตาตรึงใจมิรู้ลืม ร่างกายที่เขาชื่นชม หลงใหลอย่างภูมิใจว่าเป็นเจ้าของคนแรก บัดนี้จะไม่มีภาพเหล่านั้นอีกแล้ว เขาจะไปกกกอดผู้หญิงคนอื่น มอบร่างกายแข็งแกร่งเธอเคยมอบให้ตน มอบให้คนอื่นเช่นกัน
วทานิกาสะบัดศีรษะแรงๆขับไล่ความรู้สึกรวดร้าวนั้นออกไปจากหัวสมอง มือบางรีบเปิดน้ำอุ่นจัด เงยหน้าขึ้นรับเอาสายน้ำที่ตกกระทบลงมาอยู่นาน พลางคิดหาวิธีทำลายความรู้สึกคิดถึงผู้ชายที่เคยรักให้มลายหายไปจากจิตใจ...
สามสิบนาทีต่อมา... หลังจากที่อาบน้ำแต่งตัวด้วยชุดผ้ายืดเบาสบายและจัดการกับอาการเช้าที่กลายมาเป็นมื้อเที่ยงเรียบร้อยแล้ว วทานิกาที่เดินไปหยิบนิยายซึ่งซื้อมาเก็บสะสมไว้และยังไม่มีโอกาสได้อ่านเลยสักครั้งเพราะทุกครั้งที่มีวันหยุดหรือว่างจากการทำงาน ทิโมธีก็จะขโมยเวลาอ่านหนังสือของตนไปเสียหมดพลางยิ้มเศร้าๆกับตัวเองว่า บัดนี้แล้วสินะ... หนังสือที่เรียงตัวอยู่อย่างเป็นระเบียบนี้จะถูกดึงออกมาจากชั้นแล้วส่งผ่านความสนุกสนานมาให้เจ้าของที่ทิ้งมันไว้เสียนาน
วทานิกาก้มลงเก็บแผ่นดิสก์ที่หล่นลงบนพื้นพร้อมเดินตรงไปยังมุมเครื่องเสียงชั้นดี จัดการสอดแผ่นดิสก์ซึ่งยังนึกไม่ออกว่าเป็นเพลงแนวไหนพร้อมกับเดินถือหนังสือมาทรุดตัวนั่งลงบนโซฟาเบดตัวใหญ่ เพลงไทยฟังสบายอารมณ์ก็ดังขึ้นในทันที อดแปลกใจตัวเองไม่ได้ว่ามีเพลงเพราะๆเหล่านี้เก็บไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ เพลงเก่าสมัยยังเป็นเด็กมัธยมซึ่งยังฟังดูร่วมสมัยก็บรรเลงเรื่อยมาเพลงแล้วเพลงเล่าจนเผลอยิ้มออกมาเมื่อสามารถร้องคลอตามได้เกือบทุกเพลง...
หากเนื้อหาอันกระแทกใจของเพลงที่กำลังดังอยู่ในขณะนี้ สามารถทำให้วทานิกาละสายตาจากหนังสือในมือ! สมองวกกลับไปคิดเรื่องของตัวเองอีกครั้ง
เฝ้ามองเรื่องราวบางอย่าง ที่ฉันต้องการคำตอบ
ก็มันสับสนในใจมานาน
ที่ทำเพื่อเธอทุกอย่างและเหมือนทุ่มเทจนหมดอย่างนี้
เธอจะชอบบ้างไหม
ไม่เคยได้ยินจากปาก อยากขอให้เธอเข้าใจ
ว่ามันทำร้ายใจฉันทุกวัน
ที่ยังสงสัยมานาน เธอนั้นต้องการอะไรจากฉันจึงเงียบเฉยอย่างนี้
บางเวลาก็เห็นเธอดีกับฉัน ยามที่เธอนั้นไม่มีใคร
แต่บางทีก็เหมือนไม่เคยใส่ใจ
อยากรู้ว่าเธอคิดยังไงกับฉัน
เคยรักฉันบ้างรึเปล่า หรือเป็นเพื่อนแค่ตอนเหงาใจ
เพราะฉันเองก็ยังไม่เคยเข้าใจในความรู้สึก
ว่าลึกๆเธอมีฉันอยู่บ้างไหม
เพลง เคยรักฉันบ้างไหม ; ศิลปิน XL STEP
‘เคยรักฉันบ้างไหมคะทิโมธี?’ วทานิกาเกิดคำถามนี้ขึ้นในใจและให้คำตอบกับตัวเองได้อย่างไม่ต้องเสียเวลาขบคิด
ไม่เคยรักกันเลยสินะ! เพราะช่วงเวลาสิบเอ็ดเดือนที่คบกันมา เขาไม่เคยเอื้อนเอ่ยคำรักออกมาสักครั้ง แม้แต่เวลาที่อยู่ในห้วงเสน่หา เขาก็ไม่เคยหลุดปากออกมาเลย ทุกครั้งที่เลียบคียงถามถึง เขาก็จะตอบไม่ตรงคำถามโดยหยิบเอาความซื่อสัตย์ที่ว่าคบผู้หญิงทีละคนมาวางไว้ตรงหน้า หยิบเอาคำหวานมาหว่านล้อมให้ได้ตายใจ หลงเชื่ออยู่กับโลกของความฝันที่เขาสร้างขึ้นจนยอมพลีกายให้เขาได้เชยชมอย่างเต็มอกเต็มใจ!
วทานิกาอยากหัวเราะให้กับความโง่งมของตัวเองนัก ที่หลงคิดว่าตัวเองมีดีพอจนสามารถหยุดผู้ชายที่ขึ้นชื่อว่าเสเพลที่สุดของโลกไว้ได้ สุดท้ายแล้วก็ได้คำตอบกับตัวเองว่า... ไม่มีใครสามารถหยุดเขาไว้ได้จริงๆ ที่เขาคบกับตนได้ยาวนานกว่าผู้หญิงทุกคน นั่นก็เป็นเพียงแค่ยังติดใจในเรือนร่างอันเต่งตึงของวัยสาวต่าวหาก!
คำสั่งสอนของมารดาก็ผุดขึ้นมาย้ำเตือนถึงความผิดอีกครั้ง คำสอนของแม่ที่เคยพูดไว้นั้นเป็นจริงทุกประการ จริงอยู่ว่าโลกเปลี่ยนไปแล้ว สมัยนี้ไม่มีผู้ชายคนไหนมองว่าเลือดพรหมจรรย์ของผู้หญิงเป็นเรื่องสำคัญอีกต่อไป แต่การรักนวลสงวนตัวก็เป็นวิธีการหนึ่งซึ่งพึงกระทำ เพื่อเพิ่มคุณค่าให้กับตนเอง เพื่อไม่ให้ใครตราหน้าได้ว่าเป็นผู้หญิงใจง่ายอย่างที่ทิโมธีลั่นปากไว้เมื่อวานนี้ เขาคงคิดว่าได้ตนมาเชยชมง่ายๆ ถึงได้คิดว่าจะง่ายกับผู้ชายทุกคนเช่นกัน ไม่อย่างนั้นคงไม่พูดจาดูถูกดูแคลนออกมาเช่นนั้น
‘แม่ขา... นิก้าพลาดไปแล้ว’ วทานิกาพร่ำขอโทษมารดาที่คอยไถ่ถามสาระทุกข์สุกดิบอยู่เสมอด้วยความเป็นห่วงในสัมพันธ์ของลูกสาวและแบดบอยมหาเศรษฐีซึ่งเป็นข่าวครึกโครมไปทั่วโลก และทุกครั้งที่เอ่ยถามวทานิกาก็จะเลี่ยงตอบจนท่านเบื่อที่จะที่ถามไปเอง แต่บัดนี้กลับอยากนอนกอดท่าน ร้องไห้ให้สาแก่ใจที่ไม่ทำตัวให้อยู่ในโอวาทของท่าน! วทานิกาไม่รู้ว่าตัวเองนั่งจมอยู่กับความผิดพลาดของตัวเองอยู่นานแค่ไหน จวบจนเมื่อเสียงเพลงฟังสบายเปลี่ยนเป็นเสียงเพลงเร้าใจ
ดาเรียส่ายหน้าเมื่อกลับเข้ามาพบว่าเพื่อนสาวยังนั่งอมทุกข์ เหม่อลอยจนไม่รู้ว่าตนยืนมองอยู่นานแล้วจึงคิดว่าต้องขจัดทุกอย่างที่เป็นเรื่องน่าเศร้าให้หมดไปจากห้องนี้ โดยเดินเข้ามาลากวทานิกาที่นั่งซึมอยู่บนเก้าอี้ให้ลุกขึ้นมาเต้น ปลดปล่อยความทุกข์ ทิ้งความเสียใจทั้งหลายออกไป จากนั้นสองสาวซุปเปอร์โมเดลที่คบกันมานานตั้งแต่เริ่มเรียนชั้นประถมก็ดื่ม... ร้อง... เต้น... เล่นสนุกกันหลายชั่วโมงจนหมดแรง สุดท้ายต้องนอนหลับพับอยู่บนโซฟาชุดใหญ่ในยามดึกสงัดของวันเดียวกัน!!
วทานิกาเก็บตัวอยู่เงียบๆในคอนโดมิเนียมสุดหรูราวสามวันเต็ม ตัดขาดจากข่าวสารที่รู้ดีแก่ใจว่ากำลังร้อนระอุมากกว่าเดิม เพราะต่างฝ่ายต่างมีมือที่สามเข้ามาแทรกในทันที นักข่าวเล่นงานว่าทิโมธีมีลีเดีย ในขณะที่เธอมีรามอส จนกลายเป็นรักสี่เศร้าซึ่งเป็นหัวข้อสนทนาอยู่ในขณะนี้
ดาเรียคอยอำนวยความสะดวกให้ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการจัดหาข้าวปลาอาหาร หาซีรี่ย์เรื่องยาวซึ่งเหมาะสำหรับการนั่งใจจดใจจ่ออยู่กับเนื้อเรื่องที่ชวนให้ติดตาม และตอนนี้ดาเรียยังอาสาเป็นผู้จัดการส่วนตัวเดินทางไปบอกกับเอเจนซี่ที่สังกัดอยู่ว่าต่อจากนี้ วทานิกาจะรับงานทุกอย่างที่ป้อนให้ด้วยความเต็มใจเพราะหวังว่าการทำงานหนักจะช่วยให้คลายความคิดถึงผู้ชายใจร้ายได้ ที่สำคัญดาเรียยังบอกว่าการทำงานหนักยังช่วยให้ตัวเลขของเงินฝากในบัญชีเพิ่มขึ้นอย่างน่าภูมิใจอีกด้วย
ศิริพารา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 25 พ.ค. 2558, 09:44:05 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 25 พ.ค. 2558, 09:44:05 น.
จำนวนการเข้าชม : 984
<< ตอนที่ 7 100% | ตอนที่ 9 100% >> |