กลรัตติกาล
เรื่องต่อ ซ่อนใจไว้ใต้ดาว ชุดเสน่หาฆาตกรรม

หลงกลิ่นจันทน์ , ซ่อนใจไว้ใต้ดาว , กลรัตติกาล
Tags: กลรัตติกาล คีตา ณิชนิตา

ตอน: บทที่ ๒๒ กระจกเงา(๑)



บทที่ ๒๒

กระจกเงา



หลังการพูดคุยกันรัตติกาลยังคงนั่งเงียบอยู่ที่เดิม เธอมีสีหน้าเศร้าสร้อย ดวงตาแดงก่ำนั้นผ่านการร้องไห้จนสงบลงได้ ชายไทได้แต่มองด้วยความเป็นห่วง ก้มลงจ้องใบหน้าเปรอะเปื้อนคราบน้ำตานั้นแล้วส่งยิ้มให้

“เลิกร้องไห้ได้แล้ว ดูหน้าเปื้อนหมด เหมือนหมีแพนด้าไม่มีผิด ขอบตาดำเชียว” เขาบอก รัตติกาลเหลือบมองด้วยสายตาเข้ม

“อย่าล้อได้ไหม” เธอว่าทั้งหน้ามุ่ย

“ไม่ได้ล้อสักหน่อย ไปล้างหน้าแล้วออกไปกันเถอะ” ชายไทเสนอพร้อมทั้งลุกขึ้นจากเก้าอี้ไม้ รัตติกาลลุกตามก่อนจะเดินเข้ามากอดแขนเขาไว้ชายไทปลดมือหญิงสาวออกเบาๆ เหลียวมองไปรอบๆ

“คุณนี่ ถึงเนื้อถึงตัวอีกแล้วนะ มันไม่เหมาะเดี๋ยวคนอื่นก็เอาไปพูดอีก” ชายหนุ่มเป็นฝ่ายบ่นให้ รัตติกาลหน้ามุ่ยด้วยความขัดใจ ก้มหน้างุดเหมือนกำลังเศร้าสลดอีกครั้ง

“ฉันกำลังเสียใจอยู่นะ แล้วคืนก่อนคุณก็นอนเป็นเพื่อนฉัน นั่นมากกว่าที่ฉันกอดแขนคุณอีกนะ” เธอบอกเสียงเบา

“ก็มันในห้องส่วนตัว ตอนนี้มีงานเลี้ยงคนเยอะ” เขาอธิบายจ้องคนพูดน้ำเสียงน้อยอกน้อยใจอย่างระอา รัตติกาลยังคงก้มหน้าลง จมูกแดงเรื่อเหมือนกำลังจะร้องไห้อีกครั้ง คราวนี้ชายไทจึงขยับเข้ามาใกล้

“เฮ้อ...มาสิ” เขาสุดจะทนทานความต้องการของหญิงสาวได้ จนต้องเอ่ยอนุญาตให้เธอเข้ามาหา รัตติกาลยิ้มกว้างออกมาทันทีก่อนโผเข้ากอดเอวชายหนุ่มไว้ ซุกซบใบหน้ากับอกกว้างของเขา ปล่อยให้ความอบอุ่นนั้นซับน้ำตาให้

“ฉันดีใจนะที่ไม่ได้พลาดให้กับนายปุณ...แต่เสียใจที่เพิ่งรู้เรื่อง ตอนเกิดเหตุฉันอยู่บนเตียงตัวเองแต่เสื้อผ้าแทบไม่เหลือสักชิ้น แล้วยังเห็นเนกไทของนายปุณทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้าอีกต่างหาก ฉันไม่กล้าพูดให้พ่อฟังเพราะท่านรักนายปุณมาก หลายครั้งที่ฉันบอกว่านายปุณไม่ใช่คนดี ท่านก็ตวาดกลับว่า เขาดีกว่าฉันด้วยซ้ำ มันยิ่งทำให้ฉันเจ็บ”

“ท่านนายพลไม่รู้ เพราะภาพพจน์ของนายปุณดีต่อท่านตลอด เรื่องของเนื้อในจิตใจคนมันอ่านยาก ตอนนี้รู้แล้วก็ดีแล้ว”

รัตติกาลเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ความสูงของชายไทมากกว่าเธอไม่กี่เซนติเมตรก็จริงแต่การได้รู้สึกตัวเล็กกว่าทำให้เธออุ่นใจ ราวกับเป็นนกตัวเล็กๆ ซุกตัวในปีกอุ่นของแม่นก เธอจ้องใบหน้าอ่อนเยาว์ของเขาด้วยดวงตาเปล่งประกายวิบวับ แล้วยกมือขึ้นชี้นิ้วบนริมฝีปากตัวเองเหมือนบอกกล่าวให้เขาทำบางอย่าง ชายไทหน้าแดงทันทีเมื่อทราบความหมาย เขาเหลียวมองหาคนอื่นภายในบริเวณนั้นอย่างกังวล

“เดี๋ยวคนมาเห็น...” เขาพูดเสียงเบา ความจริงควรเป็นรัตติกาลที่ควรเขินอายไม่ใช่เขา

“วันก่อนฉันฝันด้วยนะ เกี่ยวกับสร้อยนี่...”รัตติกาลเปลี่ยนเรื่องแต่ยังคงมีแววหวานเจ้าเล่ห์ในดวงตาคู่นั้นอยู่ดี

“ฝันอะไรเหรอ” ชายไทถามประหลาดใจ ช่วงนี้เขามัวแต่วุ่นเรื่องรัตติกาลจนลืมคิดถึงเรื่องสร้อยไป หญิงสาวไม่ตอบแต่กลับชี้มาที่ริมฝีปากตัวเองอีกครั้ง เป็นข้อต่อรอง...ชายไทหลุดหัวเราะออกมา ก้มลงชิดริมฝีปากหญิงสาว จูบแบบแตะเบาๆ ทว่ารัตติกาลกลับเป็นฝ่ายจูบเขาแทน เหมือนไม่ได้ดั่งใจกับข้อแลกเปลี่ยนนั้นเลย

“คุณนี่...” ชายไทไม่มีคำพูดอะไรจะต่อว่าหญิงสาวอีก รัตติกาลทำให้เขาปั่นป่วนได้เสมอ

“ข้อแลกเปลี่ยนไม่น่าพอใจก็ต้องทำเอง” หญิงสาวบอกทั้งยิ้ม ชายไทหน้าแดงจนไปถึงใบหูด้วยซ้ำ ภาพนั้นทำให้เธอหัวเราะออกมา “คุณอายได้น่ารักมากเลย”

ชายหนุ่มขึงตาให้แล้วถอยหลังออกห่างจากรัตติกาล “กว่าจะได้แต่งงานผมคงเสียหายน่าดู”

เป็นครั้งแรกที่ชายไทกล่าวถึงเรื่องนี้ รัตติกาลยิ้มกว้างแล้วเกี่ยวแขนเขาไว้แม้อีกฝ่ายจะพยายามขยับตัวหนีก็ตาม “ฉันฝันว่า...มีผู้หญิงสองคนอยู่ด้วยกัน แต่งตัวเป็นชุดผ้าฝ้าย คนหนึ่งสวยหวานอีกคนสวยเปรี้ยวทีเดียว คนเปรี้ยวๆนี่แหละที่สวมสร้อย แล้วอยู่ๆ ก็มีผู้ชายคนหนึ่งเดินมา ความรู้สึกในฝันเหมือนฉันหลงรักเขา แต่เจ็บปวดในเวลาเดียวกัน ฉันไม่เข้าใจเลย”

ชายไทฟังด้วยทีท่าเฉยแต่ดวงตากลับกังวล คงเป็นเรื่องของยายเขา...แต่รัตติกาลรู้สึกแทนใคร ยายชมนาดหรือยายช้องนาง

“ก่อนตื่นมีเสียงหนึ่งดังขึ้นว่า...ความรักแท้จริงมันไม่มีหรอก ทำให้ฉันไม่เข้าใจ”

“สร้อยเส้นนี้กำลังกลืนคุณ...”

“หมายความว่ายังไงคะ”

“สร้อยทำให้คุณรู้สึกแทนเจ้าของเก่า เขาน่าจะสาปแช่งไว้ ทำให้คุณตกอยู่ในความรู้สึกของเขา เป็นตัวตายตัวแทน” ชายไทไม่ได้อธิบายเรื่องราวมากกว่านั้น เพราะไม่อยากให้หญิงสาวรู้สึกหนักใจไปด้วย เพียงเท่านี้หน้าเธอก็เสียจนซีดเซียวไปหมด เขาควรรีบจัดการเรื่องปุณณภพให้เร็วที่สุด จะได้สะสางเรื่องสร้อยรัตติกาลสักที



รถเก๋งสีดำคันหรูแล่นเข้ามาจอดในลานจอดรถของร้านกาแฟ ร่างสูงใหญ่ของปุณณภพก้าวลงจากรถ เขาปิดประตูแล้วเดินเข้าไปในร้านอาหารโดยไม่ได้สังเกตว่ามีรถเก๋งอีกคันจอดอยู่อีกฝั่งของถนน ชายไทและปวีร์นั่งอยู่ภายในรถ เฝ้าสังเกตการณ์อยู่ห่างๆ ตั้งแต่เช้าจนตอนนี้เวลาล่วงเลยไปถึงบ่ายแก่ๆ แล้ว

“ตั้งแต่เช้าก็ไม่เห็นอะไรแปลก เราเสียเวลากันหรือเปล่า ที่สำคัญทำไมฉันต้องมาเป็นเพื่อนแกด้วย” ปวีร์เอ่ยขึ้นทำลายความเงียบภายในรถหลังถูกดึงตัวมาจากที่นอน

“อย่างน้อยก็ได้เห็นว่าเขาติดต่อกับใครบ้าง กิจวัตรเป็นยังไงก็พอจะวิเคราะห์ได้ เขาเป็นผู้ต้องสงสัยอันดับหนึ่งของเรื่องนี้ ฉันอยากรู้ว่าเขาติดต่อกับใครบ้าง” ชายไทตอบเพื่อน พลางจ้องเป้าหมาย

“อืม...แล้วฉันละ”ปวีร์ยังเซ้าซี้ถาม เขาไม่คุ้นชินกับการตื่นเช้า เพราะส่วนใหญ่ทำงานในตอนกลางคืน

“เป็นเพื่อนฉันไง ก็มาด้วยกัน”คำตอบของด็อกเตอร์ทำให้ปวีร์กลอกตาไปมา แล้วจึงเอนตัวกับเบาะหลับตาลง

“ทำไมไม่ชวนอชิตะแทน ฉันงานยุ่งแล้วก็ทำงานกลางคืน กลางวันตาฝ้าฟางมองไม่เห็นอะไรหรอกนะ”

“อชิตะพูดมากเกินไป รู้อะไรก็แตกตื่น ถึงจะเป็นคนจริงใจแต่ฉันก็ต้องเลือกคนให้ถูกกับงาน อีกอย่างฉันให้อชิตะเป็นคนดูแลรัตติกาลแทน ช่วงนี้ไม่อยากปล่อยให้รัตติกาลอยู่คนเดียวมันอันตราย”

“อ้อ” ปวีร์รับคำในลำคอทำเหมือนเข้าใจทำเหมือนกำลังจะหลับ “ความจริงให้ฉันหาข่าวให้เร็วกว่ามานั่งตามเป็นโรคจิตแบบนี้นะ”

“อันนั้นเป็นแผนต่อไป วันนี้มาเป็นเพื่อนกันก่อน อย่างน้อยนายก็มีประสบการณ์ในการสะกดรอย”

“งานตำรวจ ก็ควรให้ตำรวจทำไม่ใช่เหรอ”

“ทำไมวันนี้นายพูดมากจังวะวีร์”ชายไทเริ่มหงุดหงิดกับเสียงของปวีร์

“แค่อยากบอกว่า ขั้นตอนมันผิดพลาด ตักเตือนไม่ได้เหมือนการเมืองไทยเลยหรือ”

“อย่าพาดพิงเรื่องนอกเหนือการควบคุม” ชายไทตอบเพื่อนทั้งหัวเราะออกมาด้วยความขบขัน ก่อนพูดต่อ“ความจริงหมวดจรินทร์กำลังสืบให้ รอดูว่านายปุณจะมีอะไรซุกซ่อนไว้อีก"

“คนเรามีความลับกันหมดนั่นแหละ ยิ่งอยู่สูงยิ่งเยอะ นายคนนี้ก็คงเก่งพอตัว เขาไม่ปล่อยให้เราได้หลักฐานหรอก แถมเป็นทนายความด้วย รู้กฎหมายดี อาวุธชั้นเลิศ” ปวีร์อธิบายพร้อมกับลืมตาขึ้นอีกครั้งดวงตาคู่นั้นเปล่งประกายความไม่พอใจออกมาเล็กน้อย

“นั่นสิแต่ฉันอยากเห็นกับตาว่านายปุณติดต่อกับพิรักษ์จริงๆ”

“ไว้ถ้าเจอจะถ่ายรูปไว้ให้ แต่ตอนนี้ฉันว่าคงไม่ได้เรื่องอะไรหรอก ดูท่าทางเหมือนรู้ตัวแล้วว่าถูกตาม”

“ทำไมละ” ชายไทสงสัย ปวีร์ผู้ที่ช่ำชองเรื่องสะกดรอยตามอาจเห็นความผิดปกติแล้วก็เป็นได้

“ปกติคนมีงานมีการทำ เขาไม่นั่งแช่ร้านกาแฟนานขนาดนี้หรอก เป็นสองชั่วโมงแล้ว ถ้ามีนัดก็ไม่น่าแปลก แต่นี่นั่งคนเดียว แล้วตั้งแต่เช้า สถานที่ๆ ไปล้วนห่างจากที่ทำงานของตัวเองอยู่มาก ไม่ใช่เรื่องควรทำ ยิ่งเป็นคนมีระเบียบรอบคอบต้องคิดแล้วว่า สถานที่กินข้าว ต้องไม่ห่างจากที่ทำงานตัวเอง เพื่อประหยัดเวลา ประหยัดเงิน นอกเสียจากมีนัดกับลูกค้า แต่นี่...เขาไม่ได้นัดใครเลย ไม่มีเพื่อน ไม่มีคนรู้จัก เหมือนเลี่ยงที่จะพบคนอื่น ฉันว่านายคนนี้รู้ตัวว่าเราติดตามเขาอยู่แน่ๆ” ปวีร์อธิบายเป็นข้อๆ อย่างละเอียด ชายไทพยักหน้าเห็นด้วย

แล้วปุณณภพรู้ได้อย่างไรว่าเขากำลังสะกดรอยตามอยู่...แล้วหากรู้จริงๆ ทำไมไม่เข้ามาหาเขาเลย แกล้งทำตัวเลื่อนลอยอย่างนี้ทำไม...

ดวงตาชายไทเบิกโพลงราวกับเพิ่งนึกบางอย่างอันสำคัญได้ "แย่แล้วละ เราถูกหลอก"

ปวีร์สบตากับเพื่อนโดยที่ไม่ต้องเอ่ยถามอะไร รีบเปลี่ยนเกียร์ เหยียบคันเร่งแล้วหมุนพวงมาลัยออกไปทันที



ภายในค่ายมวยอชิตะเหลียวหน้าหลังมองเหล่าลูกศิษย์ของพ่อมโนชาด้วยสีหน้าเกรงๆ สายตาหลายคู่จ้องมองเขาเหมือนไม่เป็นมิตรเท่าใดนัก แน่นอนว่าค่ายมวยทั้งค่ายคงพูดกันเรื่องที่เขาดวลเหล้ากับพ่อของมโนชา เขาเมาตั้งแต่แก้วที่หก จนถึงขั้นต้องให้ไปส่งที่บ้านตามนโยบายเมาไม่ขับทั้งยังเป็นแผนการหมายให้หญิงสาวไปส่งแต่แผนพลาดตรงพ่อของเธอไปด้วย!

“รอนานไหม” มโนชาเอ่ยถามเมื่อเร่งฝีเท้าออกมาถึงลานฝึกซ้อมของค่ายมวย อชิตะยิ้มเจื่อนๆ ส่งให้พร้อมเหลียวมองนักมวยรอบตัว

“ไม่นานเท่าไหร่ แค่ใกล้จะซีดตายแล้ว”

“อะไรกันแค่นี้กลัวเหรอ”มโนชาท้วงน้ำเสียงเหมือนกลั้นหัวเราะ

“เปล๊า ไม่ได้กลัวสักหน่อย แต่ก็ดูสิ ทุกคนมองฉันเหมือนอยากสูบเลือดออกจากตัวฉันกันทั้งนั้น” อชิตะตอบเสียงสูงแต่ปลายประโยคนั้นเหมือนกระซิบ

“แหม ทำเป็นไม่เคยถูกมอง”

“มันก็มองกันคนละแบบนะ ที่มองๆ ฉันน่ะ มีแต่ความชื่นชมแต่นี่...มองน่ากลั๊ว น่ากลัว”

“กลัวใครกินตับนายหรือไง”

“ไม่กินหรอก แต่คงดักตีหัว เพราะมารับลูกสาวเจ้าของค่ายมวยน่ะสิ”

“อ๋อ เรื่องนี้เอง”

“นี่เธอไม่รู้เลยเหรอ สมองช้าปะเนี่ย”

“ไม่ช้าแต่ไม่เข้าใจว่าจะกลัวอะไรมากกว่า เป็นฉันนะ ภูมิใจจะตาย จะมีใครกล้าหาญแหย่หนวดเสือได้ขนาดนี้บ้าง"

อชิตะหัวเราะ “นั่นสิ ควรภูมิใจที่จีบลูกสาวค่ายมวยได้” เขากระซิบบอกมโนชา

หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองคนตัวสูงพร้อมกับส่งยิ้มให้ แต่เป็นรอยยิ้มที่ดูเขินอายในที “รีบไปกันเถอะ ปล่อยให้รัตอยู่คนเดียวนานไม่ดี"

“นั่นสิ เดี๋ยวคุณชายท่านจะไม่พอใจ โทรศัพท์มาตามอีก อะไรของมันนักหนา”อชิตะบ่นให้เพื่อนที่คอยโทรศัพท์มากำชับให้รีบไปอยู่เป็นเพื่อนรัตติกาล ทั้งๆ ที่บ้านของหญิงสาวก็มีคนอยู่ด้วย ไม่ว่าจะเป็นคนรับใช้หรือแม่เลี้ยง เหมือนชายไทไม่ไว้ใจใครเลย มันน่าหงุดหงิดแต่ก็เห็นใจในคราวเดียวกัน เพราะเป็นครั้งแรกที่ด็อกเตอร์หนุ่มพูดจาย้ำคิดย้ำทำขนาดนี้ นั่นแสดงว่าเป็นห่วงรัตติกาลเอามากๆ

“เขาก็รักของเขาน่ะแหม...น่าอิจฉาจะตายไป”

“ผมก็รักของผมเหมือนกันนะ” อชิตะไม่ลืมหยอดคำหวาน มโนชาหัวเราะร่วนแต่ไม่ทันไร เสียงกระแอมจากผู้เป็นพ่อทำให้ทั้งคู่เงียบเสียงแล้วเดินออกไปจากบ้านอย่างเงียบๆ



ณิชนิตา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 26 พ.ค. 2558, 18:45:49 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 26 พ.ค. 2558, 18:45:49 น.

จำนวนการเข้าชม : 1226





<< บทที่ ๒๑ ผีหรือคน(๒)   บทที่ ๒๒ กระจกเงา(๒) >>
นักอ่านเหนียวหนึบ 26 พ.ค. 2558, 22:35:29 น.
อึ๋ยยยย รัดจังจะโดนอะไรอีกมั้ยยย


konhin 27 พ.ค. 2558, 08:09:45 น.
เปิดช่องว่างให้ศัตรูซะแล้ว


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account