ความลับ (ที่) ซ่อนเร้น .. หรือจะเป็น ความรัก!(?)
คำถาม .. ที่มีคำตอบ
แต่คำตอบ .. กลับยังคงมากมายด้วยคำถาม

เพราะนิยามในคำหนึ่งคำนั้น
แฝงเร้นซุกซ่อนไว้ซึ่งความลึกลับ
ความซับซ้อนชวนสับสน รอยยิ้มปนเปื้อนคราบน้ำตา
เล่ห์เสน่หาหวานล้ำ และพร้อมจะนำความเจ็บปวดมาให้ .. ได้ทุกเวลา

.. หากว่ามันคือ ความรักที่มากล้น จนกลายเป็น .. ความลับ ! ..
Tags: ความรัก ความลับ

ตอน: บทที่ ๖ .. ชะตากรรม หรือ ความบังเอิญ



ย่ำค่ำวันหยุดสุดท้ายของสัปดาห์ รวิรุจน์ตั้งใจพาแหวนวงออกมารับประทานอาหารข้างนอกที่ห้างสรรพสินค้า ในละแวกใกล้บ้านของเขาเพื่อความสะดวกในการเดินทาง

ชายหนุ่มให้มารดาตัดสินใจว่าจะเลือกรับประทานอาหารประเภทไหน แล้วก็มาลงตัวที่ร้านก๋วยเตี๋ยวเรือชื่อดังซึ่งขยายสาขามาเปิดในห้างหรูย่านกลางกรุง

อาจจะเพราะเป็นช่วงค่ำแหวนวงไม่สันทัดนักกับอาหารมื้อหนัก แต่ก็ไม่อยากขัดใจบุตรชายที่กระตือรือร้น อยากพาแม่ออกมาเปิดหูเปิดตาบ้าง

ซึ่งผู้เป็นมารดาคิดว่า อย่างน้อยถ้าไม่เน้นเรื่องปริมาณที่มากจนเกินไป จะเป็นก๋วยเตี๋ยวหรือเกาเหลาผักหลากชนิดที่มีน้ำซุปรสชาติดี ก็ยังพอจะอยู่ในความสนใจของเธอ

“แม่แน่ใจนะครับ ว่าไม่อยากลองอาหารแบบอื่น พวกสุกี้ ชาบู ซูชิ รึอะไรที่แม่ยังไม่เคยลอง”

รวิรุจน์ถามระหว่างหยุดยืนหน้าร้านรอบริกรนำทางไปยังโต๊ะด้านใน ชายหนุ่มไม่ได้คิดจะบังคับให้แหวนวงทำตามใจตนเอง เพียงแต่อยากอธิบายว่า ในสถานที่แบบนี้ยังมีร้านอื่นๆที่น่าทดลองใช้บริการไม่น้อย

“แม่อยากรู้นี่รุจน์ ว่าก๋วยเตี๋ยวของเขาจะแตกต่างจากที่แม่เคยกินตามร้านข้างนอกยังไง ถึงได้มาอยู่ในสถานที่ที่ดูดีมีระดับได้ แถมลูกค้าก็ออกจะล้นหลาม แสดงว่าต้องมีอะไรที่มากกว่าความอร่อย”

“ผมว่า ถ้าแม่ได้ไปทำงานด้านการตลาดกับใครก็ตามที่เป็นคู่แข่งอาร์อาร์เอส .. แม่จะเป็นบุคคลที่ประมาทไม่ได้ทีเดียว”

ได้ฟังบุตรชายหยิบยกเรื่องการเรื่องงานมาหยอกล้อ สำหรับเธอนั่นถือเป็นคำชม จึงได้แต่อมยิ้มไม่พูดอะไร พอดีกับที่บริกรของทางร้านเดินมาเชื้อเชิญว่าโต๊ะพร้อมแล้ว

รายการอาหารถูกนำมาวางตรงหน้า และบริกรก็พร้อมให้บริการ อีกทั้งยังแนะนำเมนูขึ้นชื่อ รวมถึงอาหารที่ไม่ว่าลูกค้าท่านใดมา มักไม่พลาดที่จะสั่งมาลิ้มลอง

“หนูจ๊ะ งั้นขอเป็นก๋วยเตี๋ยวหมูน้ำตกก็แล้วกันจ้ะ .. ลูกล่ะรุจน์”

“ก๋วยเตี๋ยวเรือโฟครับ .. ขอบคุณ”

รวิรุจน์คืนแผ่นรายการอาหารแก่บริกร หลังจากสั่งอาหารจานหลักและเครื่องดื่มเพียงเท่านี้ เขาคิดว่า หากมารดาต้องการสิ่งใดเพิ่มค่อยว่ากัน

ขณะที่แหวนวงรออาหาร เธอก็นั่งมองการตกแต่งภายในร้านไปเรื่อยๆ จึงหันมาอีกด้านหนึ่งของมุมที่นั่งอยู่ซึ่งเป็นกระจกใส ทำให้สามารถมองผู้คนที่เดินกันขวักไขว่ภายนอก บ้างเดินควงกันที่ดูก็ทำให้รู้ได้ทันทีว่าสถานภาพความสัมพันธ์ต่อกันนั้นเป็นเช่นไร

แต่สิ่งที่ดึงดูดความสนใจของหญิงสูงวัยจนต้องจับตามอง คือภาพเด็กหญิงวัยประถมคนหนึ่ง หน้าตาผิวพรรณน่ารักน่าเอ็นดู ที่ทำให้สตรีในวัย ๖๐ ปีถึงกับอมยิ้ม บอกให้รู้ว่าถูกใจไม่น้อย

“รุจน์ .. ดูแม่หนูคนนั้นสิ น่ารักจริง .. คงจะสัก ๑๐ ขวบได้ ..”

“ทำไมครับ .. แม่อย่าบอกนะ ว่าอยากมีหลาน”

ชายหนุ่มที่กำลังนั่งอ่านข้อความทางโทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟน เอ่ยกระเซ้าโดยที่ไม่ได้สนใจกับ ‘แม่หนูคนนั้น’ จนแม้แต่ได้รับค้อนวงใหญ่จากมารดา แต่ก็ยังไม่อาจทำให้เขารู้ตัว

แหวนวงส่ายหน้าระอาบุตรชายราวกับเขาเป็นเด็กน้อยไม่ต่างกัน ทว่า เมื่อเธอหันกลับไปมองเด็กหญิงคนนั้นอีกครั้ง ใจของเธอก็แทบหายวาบ เมื่อจู่ๆก็มีใครบางคนกึ่งเดินกึ่งวิ่งไม่ดูทางทำท่าจะชนแม่หนู และก็เป็นเช่นนั้นอย่างจัง

“ว้าย .. ตายแล้วลูก .. พ่อแม่เด็กคนนั้นไปอยู่ไหนนะ”

เสียงอุทานตกใจของมารดาปลุกให้รวิรุจน์ออกมาจากโลกการสื่อสารไร้สาย ชายหนุ่มหันไปยังทิศทางเดียวกับแหวนวง แล้วก็ต้องขมวดคิ้วหรี่ตาคมลงและเพ่งมองเหมือนไม่พอใจ

“เดี๋ยวผมมานะครับแม่ ..”

โดยไม่รอถ้อยคำซักถามใดๆ รวิรุจน์ผุดลุกขึ้นเคลื่อนตัวจากโต๊ะอาหาร รีบเดินดุ่มๆไปยังทางออกของร้านแล้วเลี้ยวไปยังตำแหน่งที่เขาเห็น ‘เด็กคนนั้น’ ล้มลงไปทันที





เด็กหญิงตรีวธูที่กำลังมึนงงกับการถูกชน แม้ไม่ได้รุนแรงแต่ก็ทำให้เธอเสียหลักล้มลง เพราะความตกใจเธอจึงยังนั่งแปะอยู่กับพื้นโดยไม่มีทีท่าจะลุกขึ้น ไม่สนใจแม้แต่สายตานับสิบคู่ที่มองมา

ในจังหวะนั้นเองรวิรุจน์ก็มาหยุดยืนตรงหน้า เขาก้มลงมองเด็กหญิงตัวน้อยก่อนจะย่อตัวลงนั่งยองบนส้นเท้าของตน

“มากับใครน่ะเรา .. ทำไมมาอยู่ตรงนี้คนเดียว”

เสียงทุ้มๆเหมือนจะนุ่มนวลคล้ายกับคนที่ตรีวธูสนิทสนมที่สุดในชีวิต แต่ดุกว่าเล็กน้อยในความรู้สึก เอ่ยขึ้นมาพร้อมกับเจ้าของประโยคนั้นนั่งจ้องเธอเขม็ง และเมื่อตรีวธูเงยหน้าขึ้นมองเขาชัดๆ เด็กหญิงก็เผยยิ้มกว้างอย่างดีใจเรียกชื่อด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น

“พี่รุจน์ .. พี่รุจน์จริงๆด้วย”

ความไร้เดียงสาของตรีวธูเอาชนะอคติในใจของรวิรุจน์จนได้สิน่า .. ให้ตายสิ

ชายหนุ่มก่นคำพูดไม่น่าฟังหากยังเก็บมันไว้ในใจได้ ก่อนจะยิ้มรับบางเบาทำให้ดูอ่อนโยนขึ้นเล็กน้อย แล้วค่อยยืดตัวเองลุกขึ้นจากท่านั่ง ก้มตัวเล็กน้อยยื่นมือหาเด็กหญิงให้เธอส่งมือมา

ตรีวธูก็ยื่นมือทั้งสองข้างมาจับมือของเขา และด้วยแรงดึงพอประมาณ เด็กหญิงก็ลุกขึ้นได้ในพริบตา

โดยไม่ทันตั้งตัวรวิรุจน์ก็ถูกตรีวธูโผเข้ากอดเอวแน่น ระดับศีรษะของเธอเลยบั้นเอวชายหนุ่มมาไม่ถึง ๑๐ เซนติเมตร

“เกรซดีใจจังค่ะ .. ที่ได้เจอพี่รุจน์ ทำไมพี่รุจน์ไม่แวะไปหาเกรซที่บ้านคุณพ่อบ้างล่ะคะ ช่วงปิดเทอมคราวที่แล้ว”

เด็กหญิงบอกความรู้สึกอย่างจริงใจและตรงไปตรงมา จนอีกฝ่ายทำได้เพียงยกสองมือแตะไหล่ของเธอแผ่วเบา ก่อนจะจับไหล่เล็กๆคู่นั้นแล้วดันออกจากตัว

รวิรุจน์ก้มลงมองสบตาตรีวธูเห็นแววบริสุทธ์สดใสเปี่ยมล้น จนต้องเผลอถอนใจ .. แต่เมื่อนึกอะไรได้เขาก็เหลียวซ้ายแลขวา ก่อนจะถามจริงจังแกมขุ่นมัวในน้ำเสียง

“แล้วเกรซมาทำอะไรที่นี่ .. พี่ .. เอ่อ ผู้ใหญ่ไปไหนหมด ทิ้งเกรซแบบนี้ได้ยังไง”

“คุณแม่ไม่ได้ทิ้งค่ะ อยู่ในร้านกาแฟตรงโน้น ..”

ตรีวธูบอกทิศทางจนรวิรุจน์ต้องมองตามอย่างช่วยไม่ได้ แล้วก็เห็นด้วยว่า ‘ผู้หญิงคนนั้น’ กำลังเร่งฝีเท้ามาทางนี้

ชายหนุ่มรีบหันกลับมาบอกเด็กหญิง และสั่งสอนด้วยความหวังดี .. เขาคิดว่า แค่ความหวังดี ไม่ใช่ความเป็นห่วงเป็นใยอะไรเลย

“เขามาแล้ว .. ถ้างั้น พี่ไปก่อนนะ แล้วทีหลังอย่ามายืนแบบนี้คนเดียว รู้มั้ย”

“พี่รุจน์คะ .. แล้ว .. ปิดเทอมนี้ พี่รุจน์จะไปหาคุณพ่อกับเกรซรึเปล่า”

แสงระยับจากดวงตาคู่สดใสกับคำอ้อนวอนทวงถามอย่างตั้งความหวัง ต่อให้พยายามแข็งใจที่จะใจแข็ง รวิรุจน์ก็ไม่อาจทำร้ายเด็กหญิงตัวน้อยคนนี้ อย่างการใช้ถ้อยคำรุนแรงไปได้ ถึงแม้ว่า เขาจะเกลียด ‘แม่’ ของเธอมากแค่ไหนก็ตาม

“ช่วงนี้พี่ยุ่งๆ .. ไว้พี่จะบอกอีกทีก็แล้วกัน .. นี่เบอร์โทร.พี่ ถ้าอยากคุยก็โทร.มาได้ .. เฉพาะเราเท่านั้นนะ”

ความสงสารทำให้รวิรุจน์หยิบนามบัตรจากกระเป๋าสตางค์ส่งให้ ตรีวธูรับมาอย่างดีใจจนยิ้มไม่หุบ ยิ่งกับคำสั่งของ ‘พี่รุจน์’ ด้วยล่ะก็ .. เธอสัญญาว่า จะทำตามที่เขาพูดอย่างเคร่งครัดทีเดียว

“ไปล่ะ .. อย่าบอกใครนะ .. ที่เราคุยกัน”

“ได้ค่ะ พี่รุจน์ .. เกรซสัญญา”

ชายหนุ่มสำทับความแล้วผละจากเด็กหญิงเดินตรงไปอีกทาง ก่อนจะเลี้ยวไปยังทิศที่ร้านก๋วยเตี๋ยวตั้งอยู่ เพราะเขาไม่ต้องการพบหน้า .. คนที่ทำให้ความเป็นครอบครัวของเขาต้องพังทลาย

ตรีวธู .. คือ ผลผลิตจากผู้หญิงคนนั้น .. ผู้หญิงที่ดูดีเพียงแค่เปลือกนอก แต่มารยาเกินกว่าพันเล่มเกวียน

เด็ก .. อย่างไรก็บริสุทธิ์ไร้เดียงสา แต่เพราะผู้หญิงไร้ยางอาย .. ถึงกับลงทุนสร้างชีวิตน้อยๆขึ้นมา เพื่อแต่งและแต้มความสกปรกหม่นมัวให้ แล้วใช้ประโยชน์ได้อย่างสูงสุดจริงๆ

รวิรุจน์ตะขิดตะขวงใจไม่น้อย กับสรรพนามแทนตัวเองเวลาได้พบและพูดคุยกับตรีวธู

เพราะเขาไม่เคยมั่นใจเลยว่า จริงๆแล้ว เด็กคนนี้ มีศักดิ์เป็นน้องสาว .. หรือหลานสาวกันแน่!

แต่สิ่งเดียวที่กล้ายืนยันความเข้าใจของตน คือการที่เขาได้เห็นกับตาว่า เมื่อ ๑๐ กว่าปีที่แล้ว ปารตีปั่นหัวผู้ชายสองคนในคราวเดียวกัน

ชายหนุ่มคงจะไม่รู้สึกรู้สาอะไร ถ้าทั้งสองคนนั้น ไม่ใช่พ่อและพี่ชายที่เขาเคยรักและนับถือสุดใจ





รวิรุจน์ก้าวเท้าเข้ามาในร้าน รีบเดินถึงโต๊ะที่นั่งก่อนจะทรุดกายลงราวกับตนเป็นหุ่นยนต์ที่ถูกป้อนข้อมูล ความนิ่งเฉยผิดปกติทำให้แหวงวงที่เฝ้ามองเหตุการณ์โดยตลอดเริ่มคลางแคลง

“มีอะไรรึเปล่ารุจน์ .. แล้วลูกรู้จักกับเด็กคนนั้นเหรอ แม่เห็นแม่หนูนั่นกอดรุจน์ ท่าทางดีอกดีใจเหลือเกิน”

“ครับ .. ก็นิดหน่อย .. ลูกของ .. คนรู้จักครับ”

ชายหนุ่มพึมพำตอบคำถาม หากแต่อาการเหม่อลอยแปลกๆของบุตรชายก็ไม่ได้เล็ดลอดสายตามารดาไปได้

“แปลกนะ .. ลูกของคนรู้จักของรุจน์คนนี้ คงสนิทกันมากทีเดียว”

แหวนวงเปรยเรียบๆยิ้มเย็น เพราะต้องยอมรับว่า ตอนที่จับตาเฝ้ามองทุกอิริยาบถของรวิรุจน์กับเด็กหญิง เธออดลุ้นอยู่ในใจเงียบๆไม่ได้

ก็เพราะท่าทางเอาเรื่องของบุตรชาย ที่ทำราวกับจะกินเลือดกินเนื้อขณะก้าวยาวๆออกไป แถมตั้งท่าจะดุเด็กตัวเล็กเข้าให้อีก

สตรีสูงวัยไม่ทราบหรอกว่า เด็กหญิงที่นั่งจุ้มปุ๊กหันหลังให้เธอมีสีหน้าอย่างไร ขณะต้องเผชิญอารมณ์บึ้งตึงปนหงุดหงิดของรวิรุจน์

แต่ปฏิกิริยาตอบสนองหลังจากชายหนุ่มยื่นมือช่วยดึงเด็กหญิง แล้วได้รับการกอดรัดก็เรียกรอยยิ้มถึงขั้นหลุดหัวเราะเบาๆออกมาได้

แหวนวงเห็นเหตุการณ์เพียงเท่านั้น บริกรก็นำอาหารและเครื่องดื่มที่สั่งไว้มาเสิร์ฟพอดี เธอจึงไม่ได้ทราบว่า มีอะไรเกิดขึ้นอีกบ้าง และไม่นานรวิรุจน์ก็เดินกลับมาถึงที่นี่ในสภาพอย่างที่เธออดสงสัยไม่ได้

ทว่า คำถามมีเพียงความเงียบเป็นคำตอบ จนผู้เป็นมารดาต้องลอบถอนหายใจ ลองบุตรชายปิดปากเงียบเสียแล้ว ก็ไม่มีอะไรมาง้างได้ นอกจากเขาจะยอมบอกเอง






ปารตี จิตตระการ สาวใหญ่ที่วัยล่วงเลยมาไม่น้อย หากแต่การแต่งกายและแต่งแต้มดวงหน้าอย่างประณีต สามารถช่วยให้เธอยังคงความสวยและดูดีไว้ได้อย่างไม่บกพร่อง

ความที่เป็นนักธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ บุคลิกภาพจึงเป็นเรื่องสำคัญต่อความน่าเชื่อถือ แต่บ่อยครั้งเธอก็อยากปล่อยตัวปล่อยใจ ให้เป็นไปตามวัยและสังขาร เพราะรู้สึกเหน็ดเหนื่อยกับหน้าที่การงาน จนแทบจะเข้าขั้นเบื่อหน่าย

สุดยอดแห่งความปรารถนาของเธอคือ การได้ไปอยู่ใกล้ๆคนรัก และปรนนิบัติเขาอย่างที่ใจต้องการ เท่านี้ชีวิตของเธอที่เหลืออยู่ก็ไม่ต้องการสิ่งใดอีกแล้ว

แต่ .. มันจะเป็นไปได้อย่างไร ในเมื่อ .. ตรีวธู คือแก้วตาดวงใจ ที่ปารตียอมทุ่มเทสร้างทุกสิ่งทุกอย่าง เพื่อให้แน่ใจว่า หากวันใดวันหนึ่งที่ลูกสาวจะไม่มี ‘แม่’ เธอก็ยังมีทรัพย์สมบัติเป็นหลักประกันชีวิตและอนาคต

กระทั่งเมื่อครู่ .. สาวใหญ่วัยงามได้รู้ซึ้งในบางเรื่องแล้วว่า ต่อให้มีสมบัติพัสถานท่วมตัวปานใด แต่หัวใจกลับต้องแตกสลายลงต่อหน้า .. เธอย่อมไม่อาจทนมีชีวิตอยู่ต่อไปได้

ปารตีจำได้แม่นยำ ผู้ชายคนนั้น .. ผู้ชายร่างสูงที่อยู่กับตรีวธูก่อนหน้านี้ เธอเห็นกับตาว่า เขากำลังพยายามผลักไหล่ลูกสาวตัวน้อย เพราะคงจะรู้สึกอึดอัดรำคาญที่ถูกกอดรัด แม้เขาจะไม่ได้ทำรุนแรง แต่เพราะสีหน้าสลดลงของตรีวธู ก็ไม่ต่างอะไรจากการที่เขามาทำร้ายเธอเช่นกัน

ช้าไปก้าวเดียวสำหรับการปกป้องชีวิตและจิตใจของปารตี คนๆนั้นก็ผละเดินหนีไป ทิ้งให้ตรีวธูได้แต่มองตามจนตาละห้อย

“เป็นอะไรรึเปล่าลูก .. เขา .. คุณรุจน์ทำอะไรหนูรึเปล่า”

ปารตีแทบจะถลาคว้าตัวตรีวธูมากอดไว้อย่างหวงแหน เธอเกรงว่าลูกสาวที่ดูบอบบางจะเป็นอันตราย จากบุคคลที่ไม่ว่าจะผ่านมานานแค่ไหน ก็ยังจงเกลียดจงชังผู้หญิงเช่นเธออยู่ร่ำไป

“ใครคะคุณแม่ .. เกรซไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย .. แค่โดนชนจนล้ม แล้วพี่รุจน์ ..อุ๊บ”

ตรีวธูตะปบริมฝีปากเล็กๆที่เผลอเจื้อยแจ้วเล่าความ แต่พอนึกขึ้นได้ว่าให้สัญญาอะไรกับ ‘คนสำคัญ’ อีกคนไว้ เด็กหญิงจึงไม่ยอมพูดอะไรอีก

“คุณรุจน์ทำไมลูก .. เขาทำอะไรลูกใช่มั้ย .. บอกแม่มาสิลูก .. เกรซ”

ปารตีทนไม่ได้ที่เห็นลูกสาวอ้ำอึ้งไม่ยอมพูดความจริง คิดไปในทางร้ายที่ตรีวธูอาจถูกรวิรุจน์ข่มขู่ และทำร้ายอย่างที่เห็น แม้จะไม่แน่ใจนักก็ตาม

ส่วนเด็กหญิงมองดูอาการกระวนกระวายของแม่ ก็พอจะรู้ว่าแม่เป็นห่วงเธอมาก แต่เด็กหญิงก็ยึดคำสอนของวิชชุ์วิธู พี่ชายคนโตว่า .. ถ้าเราให้สัญญากับใคร เราก็ต้องรักษาสัญญานั้น ให้ถึงที่สุด

ความลำบากใจอย่างไม่ควรจะเป็นสำหรับเด็กหญิงเช่นเธอ ก็เอ่อท้นจนกลายเป็นน้ำตาคลอเบ้า แต่อดทนฝืนกลั้นเอาไว้พลางพูดแผ่วเบา เสียงที่เคยใสสั่นเครือจับคำกระท่อนกระแท่น

“คุณแม่ขา เกรซ .. ไม่เป็นอะไร .. พี่รุจน์ก็ .. ไม่ได้ทำอะไร .. เกรซ.. อยากกลับบ้าน .. นะคะ .. คุณแม่”

ปารตีได้ยินเสียงขอร้องเป็นห้วงๆคล้ายสะอื้น เธอจึงรู้สึกตัวว่ากำลังคาดคั้นลูกสาวมากเกินไป สาวใหญ่ที่มีลูกเล็กจึงโอบปลอบขวัญ ประโลมด้วยคำพูดอ่อนโยน

“เกรซ .. แม่ขอโทษลูก .. ไม่เป็นไร หนูปลอดภัยก็ดีแล้ว .. เรากลับบ้านกันนะลูก”

สองแม่ลูกโอบกอดกันกลางห้างสรรพสินค้า บนชั้นที่มากมายไปด้วยร้านอาหารหลายหลาก ทว่า เมื่อเงยหน้าจากบ่าเล็กๆที่กอดซบ ดวงตาเฉี่ยวคมของเธอก็สบกับนัยน์ตากร้าวคู่หนึ่ง ที่พุ่งผ่านกระจกฝั่งตรงข้าม ส่งความรู้สึกชนิดที่ใครก็อ่านได้มายังเธอ จนต้องประสานสายตาตอบราวกับท้าทาย

ปารตีเองก็เกลียดที่สุดเช่นกัน .. กับการสื่อความหมายเชิงประณามหยามหยัน ของบุตรชายคนที่เธอรักและเทิดทูน

รวิรุจน์!





งานปาร์ตี้เล็กๆที่จัดขึ้นอย่างกะทันหันแต่เป็นกันเอง จบลงด้วยความประทับใจ ซึ่งคนที่ดูจะมีความสุขและอิ่มเอิบที่สุดเห็นจะไม่พ้นเจ้าภาพของงานอย่างพฤหัส

แม้ว่าจะสะดุดกับเหตุการณ์ชวนตระหนก เมื่อหญิงสาวที่เขาเรียกอย่างเอ็นดูว่า ‘คุณครูหนูพุด’ เกิดอาการซาบซึ้งจนรื้นน้ำตาให้เห็น ซึ่งชายผู้ผ่านเลยวัยเกษียณมาอย่างสง่างามก็รับฟังคำอธิบายต่อสิ่งที่เกิดกับเธอ และเชื่อว่าเป็นเช่นนั้นจริงๆ

งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา ฝ่ายเจ้าภาพทั้งพฤหัสและวิชชุ์วิธู เดินออกมาส่งเภตรากับองก์อัมพุทจนถึงหน้าประตูบ้าน และรอให้พวกเธอผ่านเข้าไปยังเคหสถานของตนพร้อมกับติดล็อคกุญแจเรียบร้อย จึงเดินกลับมายังบ้านของตัวเอง

แต่ว่า ตะกอนในใจเภตราที่ลอยฟุ้งมาตลอด นับแต่ก่อนงานเลี้ยงจะเริ่มต้น กับท่าทางบางอย่างของเพื่อนสาว ระหว่างมื้อค่ำบนโต๊ะอาหาร และยิ่งขุ่นข้องกับ ‘ความซาบซึ้งจนเกินกลั้น’ นั่นอีก ทำให้เธอต้องรอเวลาที่จะพูดคุยกันให้รู้เรื่อง .. และเข้าใจเสียที

เมื่อเข้ามาอยู่ในบ้านเภตราก็เริ่มต้นคำถาม เพราะคงไม่อาจทนเก็บไว้จนผ่านพ้นคืนนี้ไป .. ไม่ได้รู้เดี๋ยวนี้ เธอนอนไม่หลับแน่

“พุด .. แกเป็นอะไร .. ตั้งแต่เมื่อเย็นแล้ว”

“อะไร .. มีอะไรที่ไหนกัน .. เนี่ย ฉันอิ่มมาก และก็ง่วงด้วย .. แกลืมแล้วเหรอ พรุ่งนี้เราต้องไปโรงเรียนแต่เช้านะ”

องก์อัมพุทเข้าใจความคิดของเพื่อน จึงบ่ายเบี่ยงเลี่ยงหลบไม่ยอมตอบคำถาม หวังว่าจะปลีกตัวออกมาได้ แต่พอเอี้ยวตัวกำลังจะหันหลังให้เพื่อน เตรียมก้าวขึ้นบันได เภตราก็คว้าหมับเข้าที่แขนทันที

“เดี๋ยว .. แกยังไปไหนไม่ได้ .. ฉันไม่ให้แกนอน ถ้าแกยังไม่ตอบคำถามฉันตรงๆ”

“อาราย .. ก็มันไม่มีอะไรนี่นา จริงๆ”

หญิงสาวเอ่ยยานคางเหมือนกับว่าทนง่วงไม่ไหวแล้ว พลางทำตาหรี่ปรือเพื่อบดบังไม่ให้เพื่อจับอารมณ์ของเธอได้ ขณะเดียวกันก็ใช้มืออีกข้างที่ยังเป็นอิสระ ค่อยๆปลดค่อยๆแกะแขนของตัวเองออกจากการจับกุมทีละนิด .. ซึ่งมันไม่ได้ผลแม้แต่น้อย

“แกไม่ต้องมามารยาเลยยัยพุด .. อาการแบบนี้ มันไม่ปกติ .. หรือว่า แกมีอะไรกับคุณวิชชุ์ ..”

“เฮ้ย .. ไอ้เภา”

คำถามกำกวมของเภตราเรียกได้ว่า กระตุ้นประสาททุกขุมขนในร่างกายองก์อัมพุทให้ตื่นตัว และหันขวับมาตวาดเพื่อนลั่นห้อง ลืมอาการง่วงเหงาหาวนอนอย่างที่ ‘มารยา’ ไปเลย

“พูดงั้นได้ไง .. ฉันเสียหายนะ .. แล้วฉันก็เพิ่งพบกับเขา .. จะเป็นอย่างที่แกว่าได้ไง”

ปลายเสียงออดอ่อยลงไป เมื่อมันไม่ใช่ความจริงทั้งหมดว่า .. เธอเพิ่งเคยพบกับวิชชุ์วิธู

“นั่นไง .. แกกำลังปิดบังอะไรอยู่ .. มีอะไรที่ฉันควรรู้ แต่แกไม่ยอมบอกมั้ย .. ยัยคุณครูหนูพุด ..หืม”

เภตราตั้งท่าเค้นถามเอาความจริงจัง ทั้งที่เธอเพียงรู้สึกตงิดใจแค่ว่า ทำไมองก์อัมพุทถึงดูมีปฏิกิริยาต่อวิชชุ์วิธูก็เท่านั้น

ถ้าจะบอกว่า เป็นความสนใจเพศตรงข้ามเมื่อแรกเห็น มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลย วัยอย่างพวกเธอทำไมจะคุยกันแบบเปิดเผยไม่ได้ ในเมื่อสมัยมัธยม เภตราเองก็ยังเคยเผยความในใจเรื่องเมฆพัดให้องก์อัมพุทรู้อยู่ตลอดเวลา

หรือว่า .. เพื่อนของเธอมีความลับที่ปิดบังเอาไว้ .. จนไม่สามารถบอกให้ใครรู้ แม้แต่เพื่อนสนิทอย่างเธอ

“พุด .. แกเห็นฉันเป็นเพื่อนแกรึเปล่า .. แกกำลังปิดบังฉันอยู่จริงๆใช่มั้ย .. ใช่มั้ย”

สาวเจ้าของบ้านย้ำถาม ทำสุ้มเสียงสั่นเครือน้อยใจแถมสั่งน้ำตาออกมาคลอได้อีก .. ดูซิ ลงทุนดราม่าขนาดนี้ ยัยเพื่อนตัวดีจะว่ายังไง

“เภา .. ทำไมแกพูดอย่างงั้น .. แกเป็นเพื่อนรักคนเดียวของฉันนะ”

แต่คราวนี้คนที่เก็บกดกล้ำกลืนอาการน้อยใจ เสียใจ และความรู้สึกหลากหลายทั้งวันวาน และสดๆร้อนๆมาจาก ‘บ้านโน้น’ กลับมีน้ำตาหยดเผาะเสียเอง

ยิ่งได้ยินเภตราพูดตัดพ้อแกมต่อว่าประชดประชัน องก์อัมพุทก็ยิ่งทำอะไรไม่ถูก ความอัดอั้นตันใจที่บอกใครไม่ได้ โดยเฉพาะความรู้สึกที่ผ่านมาเนิ่นนาน และไม่คิดว่ามันจะมาออกฤทธิ์ออกรสแห่งความเจ็บร้าวทรมานให้ได้รู้ซึ้งเอาตอนนี้

“ฉันไม่ใช่อย่างแกนี่เภา ที่จะกล้าพูด กล้าบอกความรู้สึกของตัวเอง..”

และเมื่อจิตใจถูกบีบคั้นมากเข้า ความกดดันจากบรรยากาศงานปาร์ตี้ที่ดูเหมือนจะไม่มีอะไร กลับแฝงไว้ด้วยหนามคมรายรอบ .. ที่คอยสะกิดและทิ่มตำ

คนบางคนทำให้หัวใจของเธอพองโต .. อิ่มเอม ปลาบปลื้ม

แต่ไม่นาน .. เขาก็ใช้หนามนั้นกดลึกจนมันแตกสลายกลางอากาศ

คนใจร้าย!

องก์อัมพุทปล่อยโฮทิ้งตัวทรุดกายลงกับพื้นร้องไห้อย่างไม่อายใครอีกแล้ว ก็ในบ้านนี้มีแค่เธอกับเภตรา และเพื่อนของเธอก็อยากรู้ในสิ่งที่เธอสู้เก็บซ่อนหัวใจมานับสิบปี

“แกรู้มั้ย ฉันอิจฉาแกแค่ไหน ที่แกป่าวประกาศได้อย่างหน้าชื่นตาบาน ว่าแกชอบพี่ชายฉัน .. แกเคยรู้มั้ย ว่าฉันรู้สึกยังไง ตอนที่แกมาเล่าให้ฟัง ว่าแกบอกรักพี่พัด .. แล้วถูกปฏิเสธจนต้องมาร้องห่มร้องไห้กับฉัน .. รู้มั้ย ฉันอิจฉาแกที่สุด ที่มีโมเมนท์แบบนั้น .. ฮือออ เพื่อนบ้า .. ทำไมแกถึงกล้าทำอะไรๆ ที่ฉันไม่กล้าขนาดนี้ ..”

เภตราทำได้เพียงเบิกตากว้างตะลึงกับอากัปกิริยา และคำพร่ำพรรณนาถึงเรื่องน่าอายในอดีตของเธอ โดย ‘คุณครูหนูพุด’ ที่กลายสภาพเป็นแค่ ‘หนูพุด’ ไปเสียแล้ว

เป็นอันว่า ดราม่าที่เจ้าของโรงเรียนอนุบาลทุ่มทุนสร้าง ยังไม่ใหญ่เท่าของจริงที่ทรุดฮวบลงไปร้องไห้ร้องห่ม บอกให้รู้ว่าอัดอั้น เสียอกเสียใจมากมายหนักหนา ซึ่งเธอก็ยังไม่เข้าใจว่า มันเกี่ยวกับคำถามตรงไหน

“เฮ้ยๆ .. เดี๋ยวพุด ใจเย็น .. ฉันขอโทษ ฉันไม่ได้ตั้งใจ .. แค่อยากรู้นิดเดียวเอง ..”

“เฮอะ ... แกอยากรู้นิดเดียว แต่ฉันอยากระบาย ฉันอึดอัด .. ฉันทรมานใจ .. ฉันไม่รู้ว่ามันจะแย่ขนาดนี้ ฮืออ.. ทำไม .. ทำไมฉันต้องมาเจอกับเขาตอนนี้ด้วย .. ทั้งๆที่เราก็ต่างคนต่างแยกย้ายไปในทางของตัวเอง .. ฉันไม่ใช่นักเรียนของเขาอีกแล้ว ..”

เภตราฟังองก์อัมพุทคร่ำครวญถึงอะไรบางอย่าง และใครบางคน .. แม้ว่าจะฟังรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง แต่เธอก็พยายามตั้งใจฟัง ก่อนจะค่อยๆเขยิบเข้าไปหาและนั่งลงข้างๆ วาดวงแขนโอบไหล่ที่สั่นด้วยอาการสะอึกสะอื้นจนตัวโยน

“โอเค .. โอเค .. ฉันฟังอยู่ ฉันขอโทษ ที่ไม่เคยรู้ว่า แกเก็บกด .. เอ่อ .. แกทุกข์ใจขนาดนี้ .. มาเถอะ .. พูดออกมา พรุ่งนี้ แกจะได้เป็นคนใหม่ .. เป็นคุณครูหนูพุด ที่ไม่มีอะไรติดค้างคาใจ .. นะ ..”

“แกแน่ใจนะเภา .. ถ้าฉันพูด ทุกอย่างมันจะดีขึ้น .. ฉันจะไม่เป็นแบบนี้อีกแล้ว..ฮือ”

“ฉันเคยโกหกแกสักเรื่องมั้ย .. แม้แต่เรื่องที่ฉันอยากเป็นพี่สะใภ้แกน่ะ”

เภตราอยากจะเล่นมุกเพื่อให้เพื่อนอารมณ์ดี .. แต่มันไม่ใช่เวลา เพราะดูแล้วว่าองก์อัมพุทเก็บงำมันเอาไว้ จนถึงวันที่ความรู้สึกปะทุคุกรุ่น .. และระเบิดออกมาอย่างที่เป็นอยู่ข้างกายของเธอนี่

“แกเชื่อเรื่องโชคชะตามั้ย .. จะมีใครเป็นคนกำหนดเรื่องชะตาชีวิตของคนอื่นรึเปล่า .. ถ้ามี .. ฉันไปทำอะไรให้เขาจงเกลียดจงชังรึไง .. ถึงได้ทำให้ฉันต้องทรมานขนาดนี้ .. ฮือๆ”

“พุด .. แกเลิกพายเรือในอ่าง แล้วบอกมาเลย ว่ามันเรื่องอะไรกันแน่”

คนปลอบพยายามใจเย็นอย่างที่สุด คิดเสียว่ากำลังคุยกับ ‘หนูพุด’ นักเรียนตัวน้อยวัยอนุบาลของเธอ

คนฟังถอนสะอื้นเอนศีรษะอิงไหล่แต่น้ำตาก็ยังไม่หยุดไหล ราวกับต้องการจะปล่อยให้มันได้ทะลักทลายออกมาให้หมดจนหยดสุดท้าย แล้วตั้งคำถามด้วยน้ำเสียงเบาหวิวที่อีกฝ่ายได้ยินชัดเจน

“แกจำอาจารย์วิชชุ์วิธูไม่ได้เหรอ .. เภา”

“ใคร .. อาจารย์วิชชุ์วิธู .. ชื่อคล้ายคุณวิชชุ์เลย”

คำถามกลับแบบซื่อๆมีผลให้องก์อัมพุทถอนศีรษะจากไหล่เพื่อน เปลี่ยนมาจ้องหน้าเขม็งราวกับว่า สิ่งที่ได้ยินนั้นคือการล้อเล่นของเพื่อน ไม่หลงเหลืออาการสะอื้นไห้อยู่เลยนอกจากคราบน้ำตาเต็มหน้า

ทว่า สีหน้างุนงงและคิ้วขมวดมุ่นชวนฉงนนั้น ก็อธิบายได้เป็นอย่างดีในคำถามของเพื่อน จนอีกคนมึนงงไปด้วย

“เภา .. แก .. แกไม่รู้จักอาจารย์วิชชุ์วิธู .. อาจารย์บรรณารักษ์ห้องสมุดตอนสมัยม.ปลายเหรอ .. เป็นไปได้ไง”

“อาจารย์ห้องสมุด? .. เดี๋ยวนะ .. ที่มีช่วงหนึ่ง แกไปทำงานห้องสมุดน่ะเหรอ .. เฮ้ย”

เภตราทำหน้าเป๋อเหรออยู่ชั่วอึดใจ ขณะย้อนทบทวนถึงคืนวันสมัยวัยสาวแรกรุ่น ก่อนความทรงจำจะค่อยๆผุดพรายทีละน้อย กระทั่งถึงช่วงเหตุการณ์ที่อาจจะอยู่ในความหมายดังเพื่อนว่ามา

“อย่าบอกนะ .. ที่แกลงทุนไปทำงานห้องสมุด เพราะอาจารย์ที่แกบอก ไม่ใช่เพราะอยากบำเพ็ญประโยชน์”

“ถึงจะมีส่วน แต่ .. มันก็ .. ไม่ใช่ทั้งหมด .. นะ เภา”

องก์อัมพุทพยักหน้าหงอยๆพลางเอ่ยเสียงอ่อยแบ่งรับแบ่งสู้ และนั่นก็เป็นเรื่องน่าอายมาก .. มากเสียจนเธอไม่กล้าสบตาเพื่อน หรือพูดอะไรที่มันโจ่งแจ้งอย่างที่ใจต้องการออกมา

“แล้วคุณวิชชุ์ข้างบ้านฉัน ... ไปเกี่ยวอะไรกับอาจารย์ห้องสมุดล่ะ .. นี่แกอย่ามาอำฉันนะว่า คนที่ฉันเห็นมาหลายปี เป็นอาจารย์ที่โรงเรียนมาก่อน .. มันจะบังเอิญไปล่ะม้าง .. แล้วนี่อย่าบอกนะว่า ไปแอบรักเขาข้างเดียวข้าวเหนียวนึ่ง พอน้ำท่วมไม่ถึง .. แกก็ .. แห้ง .. แหง .. แก๋”

เภตราค่อยประมวลความคิดได้อย่างฉับไว หากก็ไม่ได้เชื่อถือในสิ่งที่กล่าวออกมาเลย ไม่ว่าจะตอนที่เธอลำดับเรื่องราวจนมาถึงปลายทาง แล้วปากก็ขยับคาดเดาไปเป็นฉากๆ กระทั่งหันมามององก์อัมพุทที่ตอนนี้ยอมเงยหน้าขึ้นมอง

พลันเธอก็ได้เห็นนัยน์ตาใสเจือแววโศกวับวามด้วยประกายหยดน้ำกลิ้งอยู่ในนั้น มันสื่อความในใจต่อเรื่องราวหนหลัง ที่เพื่อนสนิทอย่างเภตราไม่เคยเฉลียวใจจนบัดนี้

“โธ่เอ้ย .. ยัยพุด .. เรื่องจริงเหรอเนี่ย .. ตั้งแต่เมื่อไหร่ ..มันเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ ..แกถึงเป็นได้ขนาดนี้”

ทว่า คงไม่มีสิ่งใดจะบอกเล่าได้ดีไปกว่าหยาดน้ำใสจากหน่วยตา ที่เอ่อท้นจนทะลักแล้วร่วงอาบแก้ม อย่างที่เจ้าตัวก็ไม่รู้ว่า จะหยุดมันได้อย่างไร









*******************************************************






โปรดติดตามตอนต่อไป ...


ขอขอบคุณทุกท่านที่ติดตาม .. และขอบคุณท่าที่กดไลค์ฮะ


คุณปรางขวัญ .. อยากให้คนอ่านยิ้มๆ และมีความสุข ..
จะใช่ลูกลุงหัส .. จริงมั้ยนะ หุหุ



แรมรติ
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 4 มิ.ย. 2558, 08:30:16 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 4 มิ.ย. 2558, 08:30:16 น.

จำนวนการเข้าชม : 1371





<< บทที่ ๕ .. ห้วงเวลาที่ไม่เคยรู้   บทที่ ๗ .. หวง ห่วง และ ... >>
ปรางขวัญ 4 มิ.ย. 2558, 11:01:31 น.
สงสัยจะมีเงื่อนงำให้คนอ่านคิดอีกแล้ว ว่าจะเป็นลูกใคร
หนูพุดสู้ๆนะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account