เพลิงพญาล่ารัก (ปรับปรุง)
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: ตอน 10
สายฝนโปรยลงมาทั่วหุบเขาพญา แต่อีกด้านหนึ่งฟ้าโปร่งไม่มีแม้แต่เมฆฝน หินขับรถตามไอ้แมงเม่าที่บินรอดมาได้ ไม่ให้คลาดสายตา กระทั่งฟ้ามืดจึงได้เห็นมันขับรถเข้าไปในคฤหาสน์หลังหนึ่ง เขาจอดรถพลางตวัดสายตามองขอบรั้วที่มิดชิด แต่ยังมีช่องให้เห็นว่าไม่เกินความสามารถเขา จึงเปิดประตูรถออกมาเดินลัดเลาะไปตามกำแพงจนถึงที่ๆสามารถปีนขึ้นไปได้ ใช้เวลาไม่นานเขาก็โดดลงมาภายในคฤหาสน์ กวาดตามองพลางเดินไปยังคฤหาสน์โดยใช้ความมืดบังตัว
ขณะที่ไอ้แมงเม่าก็เดินเข้าหามาคนเป็นนายที่นั่งคอยมันอยู่ในห้องโถง ซึ่งก็จ้องหน้ามันทันทีที่เดินมายืนเจียมตัวอยู่ตรงหน้า รอยฟกซ้ำตามลำตัวและใบหน้านั้นบอกเขาทันทีว่าเกิดอะไรขึ้นกับมัน ความสมเพชเกิดขึ้นก่อนจะถามถึงเรื่องที่อยากรู้
“เจอหรือเปล่า”
“ไม่เจอครับ ไม่มีเลยสักหลุม”
“ขุดหมดหรือยัง”
“ยังครับเพราะเจอตอเสียก่อน”
“ไม่เจอก็ไม่ใช่หุบเขาพญาซิ แล้วไอ้พวกที่เหลือ”
“ฝั่งทั้งเป็น”
นายพลกฤษขบกรามเข้าหากันแน่น แล้วโบกมือไล่ให้มันออกไปโดยไม่สงสัยว่าทำไมมันถึงรอดมา เพราะรู้อยู่แล้วว่าคือการเย้ยหยัน จึงไม่ได้แค้นตามที่มันอยากให้เป็น เพราะสิ่งที่เขาต้องการคือความแน่ใจเท่านั้น จากนี้ไปเขาก็จะรอเวลาที่จะไปเหยียบมันคืน วันใดที่ไอ้หนอนบ่อนไส้ทำสำเร็จ วันนั้นเพลิงพญาจะต้องราบเป็นหน้ากลอง รอยยิ้มสาแก่ใจผุดขึ้นมาให้คนที่แอบมองอยู่เห็น แม้จะผิดคาดที่คนที่เห็นกลับไม่ใช่คนที่คิด แต่แค่นี้ทำให้รู้แล้วว่าใครสมคบกับใครอยู่บ้าง
หินเหยียดริมฝีปากออกหยันมันกลับไป แล้วถอยกลับออกมาก่อนที่คนของมันจะมาเห็นเข้า เขาเดินกลับมาที่รถ เปิดประตูเข้าไปนั่งแล้วขับกลับหุบเขาพญา
*******
ทั้งที่ดึกสงัดแต่เม็ดฝนยังตกลงมากระทบหลังคาเพิงหมาแหงน อสุนีบาตก็ยังดังคำรามมาเป็นระยะ พิมพ์ลดาหลับสนิทอยู่บนฟูกข้างนายแห่งหุบเขา แต่ในห้วงนิทรามีภาพที่เป็นดั่งความฝัน ชายหญิงหลายคนเข้ามานั่งในร้านอาหาร ทุกคนวางความสำเร็จจากการทุ่มเทมาสี่ปีลงบนโต๊ะ ประกาศนียบัตรแห่งความภาคภูมิที่พากเพียรกันมา แล้วหยิบแก้วเครื่องดื่มขึ้นมาดื่มฉลองกัน สีหน้าทุกคนยิ้มแย้ม พูดหยอกเย้าล้อเล่นรำลึกเวลาที่ผ่านมากันอย่างสนุก พร้อมลุกขึ้นเต้นรำขึ้นร้องเพลงยิ่งดึกก็ยิ่งสนุก แต่ความสุขมักจะผ่านไปเร็ว ทุกคนพากันเดินออกมาจากร้าน โบกมือลาแยกย้ายกันกลับ
รถยนต์คันหนึ่งวิ่งฝ่าสายฝนพร้อมฟ้าที่คำรามไม่หยุดหย่อน แต่ไม่ได้อยู่ในความสนใจของคนที่นั่งกันอยู่ในรถ ทั้งสี่คนยังคงพูดจาหยอกเล่นกัน กระทั่งได้จอดให้หญิงสาวคนหนึ่งลงมาท่ามกลางสายฝนที่ยังเทลงมาไม่ลืมหูลืมตา เธอส่งยิ้มพร้อมโบกมือลาเพื่อนที่ค่อยๆเลื่อนรถออกไป แล้วหันกลับมาข้ามถนน สิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น
เพลิงลืมตาตื่นขึ้นมาเมื่อรู้สึกถึงอาการกระสับกระส่ายของเมียมายาที่นอนอยู่ข้างๆ และเหมือนจะมีเสียงที่เขาฟังไม่ได้ศัพท์ดังออกมาด้วย ถ้าเขาฟังออกก็จะได้รู้ว่าเป็นเสียงกรีดร้องของคนที่ได้รับความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส แต่นั้นไม่สำคัญเท่ากับน้ำตาที่รินไหลตรงหางตา บอกให้เขารู้ว่าเธอคงฝันร้าย และคงร้ายมากถึงได้หวาดกลัวขนาดนี้ เขาจับมือที่ยกขึ้นมาเหมือนไขว่คว้าบางอย่าง แต่ถูกเธอดึงไปกอดไว้แน่น และขยับตัวมาซบกับไหล่เขา แล้วหลับใหลไปอีกครั้ง
เขาหลุบตาลงมองพลางคิดว่าเธอฝันถึงอะไร ถึงได้มีท่าทีหวาดกลัวขนาดนี้
ยามเช้าตรู่ แสงอาทิตย์เรืองรองขึ้นที่ขอบฟ้า ฝูงนกโผบินออกจากสู่ท้องฟ้าที่สดใสหลังฝนตก หยาดน้ำฝนที่คงค้างอยู่บนใบไม้ไหลรวมหยดลงมาบนพื้นดินให้ยิ่งชุ่มฉ่ำ ดวงตาที่ปิดสนิทมาตลอดทั้งคืนของพิมพ์ลดาลืมตื่นขึ้นมา สิ่งแรกที่เห็นคือปลายคางบึกบึนของคนที่เกลียดเธอ ก็รีบดูตัวเองพอเห็นว่านอนซบไหล่เขา ก็ตกใจรีบลุกขึ้นแต่ไม่อาจถอยห่างเมื่อยังติดอ้อมแขนเขาอยู่ และแก้มร้อนขึ้นเมื่อเขาลืมตาขึ้นมามอง
“ฉัน ฉัน” เสียงเธอตะกุกตะกักเมื่อไม่รู้จะพูดอะไร เพลิงก็ไม่ถามแต่ไม่ปล่อยเพราะจะดูว่าเธอจะทำยังไง “ขอโทษค่ะ”
“เรื่องอะไร”
น้ำเสียงนิ่งๆกับสีหน้าไร้ความรู้สึกแต่นัยน์ตาจ้องไม่วางตานั้นทำให้เธอขัดใจเป็นที่สุด ตวัดสายตาค้อนที่เขารู้แล้วยังจะถามยังจะให้เธอพูดออกมาอีก “ก็ ที่ฉันซบไหล่คุณ”
“แล้วยังไง”
“ก็ขอโทษแล้วไงค่ะ”
“ฉันปวดไหล่”
เธอทำหน้างงเพียงเล็กน้อยก็เข้าใจ แต่เธอจะทำยังไงให้เขาหาย จะให้นวดเธอก็ทำไม่เป็น จึงได้แต่มองหน้าเขาอย่างไม่รู้จะทำยังไงดี สุดท้ายเธอก็ทำในสิ่งที่แม้แต่ตัวเองก็คิดไม่ถึง นั่นคือก้มหน้าลงไปหอมแก้มเขาก่อนกระซิบบอกว่า “หายปวดนะคะ”
เพลิงเอียงหน้ามองจนแก้มเขาชนกับปลายจมูกและริมฝีปากเธออีกครั้ง ดวงตาทั้งคู่ประสานกันและต่างไม่รู้ว่ามองกันอยู่อย่างนั้นนานแค่ไหน แล้วเพลิงจะคลายอ้อมแขนออกจากตัวเธอแล้วลุกขึ้นเดินออกมานอกเพิง ส่วนพิมพ์ลดาก็ไม่รู้จะทำหน้ายังไงดี แล้วรีบเก็บที่นอนเรียบร้อยแล้วก็ตามเขาออกมา ขึ้นม้าไปเรือนเชิงผา
เธอหลบหน้าเขาเข้าไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนจะออกมาหาแม่นมทั้งสองคนที่ห้องครัว ที่กำลังเตรียมอาหารเช้าอยู่ อยากจะช่วยทั้งสองคนใจจะขาด แต่ยังติดคำสั่งเขาที่ห้ามเธอทำอะไรจึงได้แต่นั่งมอง นมสุกจึงไล่ให้เธอไปนั่งรอที่ศาลา แต่เธอไม่ยอมไป ทั้งสองนมจึงได้แต่สงสัยว่ามีอะไรเกิดขึ้นอีก เธอจึงไม่กล้าสู้หน้าป๊ะเพลิง กระทั่งกลิ่นอาหารหอมฟุ้งไปทั้งห้องครัว ก็ช่วยสองนมยกไปที่ศาลา
พิมพ์ลดาช่วยสองนมจัดโต๊ะโดยไม่มองหน้าคนที่นั่งอยู่เลย เรียบร้อยแล้วก็นั่งลงทานข้าวกับเขา โดยไม่รู้ว่าสายตาของเพลิงคอยวนเวียนอยู่ที่หน้าเธอ จนแม่นมสองคนยังสังเกตเห็น อิ่มแล้วเขาก็ลุกขึ้นเพื่อไปดูการฝึกฝีมือที่คุกทมิฬ เพียงเสียงฝีเท้าเจ้าพยัตวิ่งหายไป พิมพ์ลดาก็วางช้อน ผ่อนลมหายใจออกมาเบาๆ แล้วยิ้มเขินๆเมื่อเห็นสองนมมองอยู่
“เป็นอะไรคะหนูพิมพ์”
“เปล่าค่ะ”
“แต่เมื่อกี้นมเห็นป๊ะเพลิงมองหนูพิมพ์ไม่วางตาเชียว” นมสุกเริ่มหยอดน้ำลงหิน “และหนูพิมพ์ก็คอยหลบตาด้วย มีอะไรหรือเปล่า หรือป๊ะเพลิงทำอะไรหนูพิมพ์อีก”
“เปล่าค่ะ”
“แล้วทำไมหน้าแดงคะ”
“เปล่าสักหน่อย” เธอว่าพลางยกมือขึ้นแตะแก้มตัวเองโดยไม่รู้ว่าโดนลักไก่ นมสุกหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะบอกว่า
“ก็ไม่นะซิคะ ทำไมต้องร้อนตัวด้วย มีอะไร บอกนมมาเสียดีๆ”
ทั้งน้ำเสียงและท่าทางที่จ้องราวกับจะล้วงลึกลงไปในใจเธอนั้น ทำให้พิมพ์ลดาหน้าแดงที่หลงกลนมสุก แล้วลุกขึ้นเก็บจานไปเก็บที่ห้องครัว นมสดกับนมสุกหันมามองหน้ากัน อาการเคืองก่อนหน้านี้ลดน้อยลง เมื่อรู้สึกว่าเริ่มมีอะไรแปลกๆเกิดขึ้นกับทั้งสองคนแล้ว
พิมพ์ลดาปรับสีหน้าให้เป็นปรกติแล้ว ก็เดินออกมาที่ระเบียง มองฟ้าหลังฝนที่สดใสสวยงาม แต่ใจเธอกลับหดหู่เมื่อคิดถึงความฝันเมื่อคืน ฝันที่คล้ายกับคืนก่อน ความเศร้าอาดูรเจ็บปวดอ้างว้างยังคงค้างอยู่เหมือนมันเพิ่งเกิดขึ้นมา ที่สำคัญคือใบหน้าของหญิงสาวที่เธอฝันเห็น ช่างเหมือนกับเธอเหลือเกิน
‘ทำไมเหมือนกันขนาดนั้น มันเกิดอะไรขึ้น แล้วเกี่ยวข้องกับเธอยังไง’
เธอถามตัวเองแต่ก็หาคำตอบไม่ได้ จึงได้แต่นั่งเศร้าอยู่อย่างนั้น กระทั่งหางตาเหลือบเห็นบางอย่าง ขนสีขาวฟูกับสองหูที่ตั้งขึ้น ทำให้เธอยิ้มออกมา หันไปบอกแม่นมทั้งสองคนที่กำลังเดินมาหาพลางชี้ให้ดู “นมคะ ดูนั่นซิกระต่าย เห็นไหมคะ”
“เห็นค่ะ” นมสุกบอกพลางเดินมานั่งข้างๆเธอ “มันมาบ่อย บางวันมีถึงสามตัว”
“เหรอค่ะ ทำไมพิมพ์เพิ่งเห็น ใครเลี้ยงไว้เหรอคะหรือเป็นกระต่ายป่า”
“กระต่ายป่าค่ะ ไม่มีใครเลี้ยงไว้หรอก แต่ถ้าโผล่มา นมก็จะเอาผักเอาผลไม้ให้กิน”
“น่ารักจัง ดูมันมีความสุขมากเลยนะคะเพราะได้อยู่อย่างอิสระกับสิ่งที่ชอบ น่าอิจฉาจัง พิมพ์อยากเป็นอย่างมันบ้าง”
“หนูพิมพ์อยากไปจากที่นี่เหรอคะ”
“คะ” พิมพ์ลดาหันมามองนมสดอย่างงงๆ เพราะเธอพูดไปอย่างนั้นไม่ได้คิดอะไรมาก แต่คิดไม่ถึงว่าจะได้ยินคำถามแบบนี้ “ไปจากที่นี่ จะไปไหนคะ และจะไปได้ไง เมื่อพิมพ์ไม่รู้จักที่ไหนเลย”
“ถ้ารู้ก็จะไม่ไปใช่ไหมคะ”
เธอนิ่งไปกับคำถามของนมสด “หมายความว่ายังไงคะ” ถามไปแล้วเธอก็อยากได้คำตอบ แต่แม่นมสองคนกลับไม่พูดออกมา “นมเคยบอกว่าจะบอกเรื่องที่พิมพ์อยากจะรู้ แต่ทำไมไม่บอกละคะ”
“นมกลัวว่าหนูพิมพ์รู้แล้ว จะไปจากที่นี่นะซิคะ”
“พิมพ์แต่งงานกับนายของนมแล้ว จะไปได้ไง”
“งั้นก็อย่าเพิ่งรู้เลยนะคะ รอให้นมแน่ใจว่าหนูพิมพ์จะไม่มีวันไปจากที่นี่ แล้วจะบอก”
“อดีตของพิมพ์มันเลวร้ายมากเหรอคะ นมจึงไม่อยากบอก”
“ไม่ใช่หรอกค่ะ แต่บางอย่างก็ไม่ควรไปรื้อฟื้นขึ้นมา ปล่อยให้มันจางหายไป แล้วจดจำแต่สิ่งที่ดีกว่าดีกว่านะคะ”
พิมพ์ลดายิ้มเหมือนเข้าใจ แต่ใจจริงนั้นยิ่งสงสัยมากขึ้น ว่าอดีตของเธอมันเป็นยังไงกันแน่ หรือมันจะเลวร้ายพอๆกับความฝันทุกคนจึงไม่อยากให้เธอจดจำขึ้นมา
*******
เพลิงยืนอยู่บนหน้าผา สายตาเขาจับจ้องพญาอินทรีที่บินเล่นลมกลางท้องฟ้า แต่สมองเขาคิดถึงความอ่อนหวานของเมียมายา รอยอุ่นที่แก้มกับเสียงหวานๆของเธอยังรบกวนจิตใจเขาอยู่ แล้วเก็บความรู้สึกนี้ไว้ภายใต้สีหน้านิ่งขรึม บังคับเจ้าพยัตให้เดินลงจากหน้าผามุ่งสู่คุกทมิฬ เขาลงจากหลังมันเดินขึ้นไปบนเรือนของหิน ยืนตรงระเบียงดูการซ้อมฝีมือของผู้คุมกฎกับพวกทะเลทราย ซึ่งล้อมวงกันอยู่กลางลานคุก
การประลองครั้งนี้มีหมูป่าเป็นรางวัล อาวุธที่ใช้ตามชื่อของผู้คุมกฎคือ มีด ดาบ ขวาน และสุดท้ายคือมือเปล่า เสียงเชียร์เริ่มดังขึ้นเมื่อคู่แรกลงสนาม ทั้งสองคนจับมีดไว้แน่น แล้วปรี่เข้าหากัน ออกอาวุธโดยไม่มีการยั้ง การฝึกปรือมาอย่างดี ทำให้ไม่มีใครได้เปรียบเสียเปรียบ ผลัดกันรุกและรับแต่สุดท้ายคมมีดก็เฉี่ยวเข้าที่ต้นแขนมีด เขาจึงเป็นฝ่ายพ่ายแพ้
ดาบเป็นคนที่สอง เขาใช้ดาบฟาดฟันคู่ซ้อมอย่างหนักหน่วง พลิ้วไหวราวกับมันเป็นชีวิตเขาแต่ไม่ใช่ว่าจะล้มคนทะเลทรายได้ง่ายๆ เพราะเขาก็โต้ตอบว่องไวไม่แพ้กัน ไม่นานดาบจากอีกฝ่ายก็ร่วงจากมือ เขารักษาชื่อตัวเองไว้ได้ เสียงโห่ร้องดังขึ้นอย่างกึกก้อง เพราะเหมือนกับมันคือศักดิ์ศรีของคนคุก คนที่สามคือขวาน อาวุธที่ใช้คือความถนัด คู่ซ้อมก็ไม่ต่างกัน ทั้งชั้นเชิงและไหวพริบดึงศักยภาพทั้งคู่มาห้ำหั่นกันอย่างดุเดือด ไม่มีใครเพลี่ยงพล้ำให้แก่ใคร คู่นี้จึงเสมอกัน แต่ดูเหมือนกองเชียร์ยังไม่สะใจ ทั้งหมดจึงหันไปมองนายแห่งหุบเขา
“ป๊ะเพลิง ป๊ะเพลิง”
ทุกคนส่งเสียงเรียก พร้อมปรบมือเป็นจังหวะ เพลิงสบตาทุกคนแล้วเดินลงมาสู่สนาม ท่ามกลางเสียงโห่ร้องต้อนรับ หัวหน้าของพวกทะเลทรายก็เดินออกมาเป็นคู่ซ้อม แต่ก่อนจะลงมือมีเสียงต่อรองเรื่องรางวัลขึ้นมา “ถ้าชนะไม่มีผลใดๆ แต่ถ้าป๊ะเพลิงแพ้ต้องเพิ่มหมูป่าอีกหนึ่งตัว”
“ได้”
“เฮ” เสียงเฮดังสนั่น แล้วการซ้อมเหมือนจริงก็เกิดขึ้น
แววตาของทั้งสองคนนิ่งเพราะถูกฝึกมาจากที่เดียวกัน ชั้นเชิงนั้นไม่ได้ต่างกัน แต่สมองและความว่องไวถูกนำมาเชือดเฉือนกัน เพลิงตั้งรับก่อนจะโต้กลับไปบ้างแต่อีกฝ่ายก็ป้องกันได้ดี และรุกพลางหลบหมัดที่พุ่งตรงมาหากับเท้าที่ประสานได้อย่างว่องไว หนึ่งหมัดจึงฝากไว้บนหน้าอีกฝ่าย
“ฮู้”
เสียงกองเชียร์ไม่ค่อยชอบเท่าไร แล้วส่งเสียงเชียร์อีกฝ่ายเพื่อหมูป่าอีกตัว ขณะที่เพลิงรู้ว่าต้องมีการเอาคืน เขาระวัง หลบหมัดที่พุ่งเข้ามาหา หนึ่งสองหลบได้แต่สามเขาพลาด “เฮ” เสียงกองเชียร์ดังสนั่น ก่อนจะเงียบกริบ เมื่อป๊ะเพลิงเอาคืนอย่างทันควัน ล็อกมืออีกฝ่ายกระชากเข้ามาหา กระแทกด้วยเข่าแล้วหมุนตัวตวัดปลายเท้าเข้าที่หน้า หัวหน้าทะเลทรายเซไปหลายก้าวให้รู้ว่าเป็นผู้ปราชัย
ทุกคนปรบมือให้ป๊ะเพลิง แต่สีหน้าเสียดายหมูป่า เพลิงเลยต้องปลอบใจด้วยการประกาศยกหมูป่าให้อีกตัว เสียงเฮดังสนั่น แล้วแยกย้ายกันไปเตรียมดื่มกินกันในค่ำคืนนี้ เพลิงยกมือขึ้นเช็ดเลือดที่มุมปากพลางคิดว่าทำไมเขาถึงพลาด เพราะใจที่ไม่นิ่งพอ เขาให้คำตอบตัวเองแล้วคิดต่อว่าทำไมถึงไม่นิ่ง เพราะอะไร เพราะใคร สุดท้ายก็ได้ข้อสรุปว่าเพราะ...เธอ
เขาเก็บความรู้สึกไว้ เมื่อหันไปเห็นคนที่เดินมาหา หนึ่งนั้นคือปืนอีกหนึ่งคือหิน สายตาของทั้งคู่สบกับเขาก่อนจะหลุบมองที่มุมปากป๊ะเพลิง เพราะน้อยครั้งที่จะพลาดให้มีรอยเกิดขึ้นที่หน้า เพลิงรู้ทันสายตาที่มองมา แต่ไม่พูดอะไรนอกจากเดินนำขึ้นไปบนเรือน กระทั่งมานั่งบนเก้าอี้ตรงมุมระเบียง เสียงหินก็ดังขึ้น
“พลาดได้ไง”
“พูดเรื่องของนายมาดีกว่า”
“เพราะนายหญิงเหรอ”
“ตามไปตลบหลังพวกมันมา ได้อะไรมาบ้าง”
“เพราะการเปลี่ยนไปของเธอรบกวนใจนายใช่ไหม ถึงได้พลาด”
“อย่าให้ฉันต้องสั่งลงโทษนาย”
สีหน้าของหินเครียดขึ้นไม่ใช่เพราะกลัว แต่น้ำเสียงที่จริงจังของเพลิงเป็นคำตอบให้รู้ว่าใช่นั่นเอง แล้วตวัดสายตาไปมองปืนซึ่งไม่มีคำพูดใดๆออกมา จึงไม่พูดเรื่องนี้อีกนอกจากเล่าเรื่องที่ไปทำมาให้ฟัง ก่อนจะสรุปว่า “ผิดจากที่คาดไปนิดเมื่อไม่ใช่คนที่คิด แต่พวกมันคงร่วมมือกัน ไม่งั้นมันคงไม่ส่งคนเข้ามาที่นี่”
“มันชื่ออะไร”
“นายพลกฤษ เบื้องหน้าพ่อพระเบื้องหลังเน่าเฟะ นายอธิปคงขายแผนที่ให้ จึงส่งลูกน้องมาขุด ทั้งๆที่ไม่ได้อะไรไปนอกจากสูญเสียชีวิตถูกๆของลูกน้องมัน แต่ที่ฉันสงสัยมากกว่านั้นคือมันต้องการอะไร จึงเข้ามาขุดซ้ำแล้วซ้ำอีกและใครเป็นหนอนบอกทางให้มันเข้ามาได้ง่ายขนาดนี้”
“คิดว่าใครละ”
“นายก็รู้อยู่แล้ว”
“ตัดออกไปก่อน เพราะเธออยู่ในสายตาฉัน”
คำรับรองนี้ หินไม่รู้ว่าเพลิงรู้หรือเปล่าว่ามันหนักแน่นราวกับเชื่อใจเธอแล้ว แล้วคิดว่าใครกำลังชักน้ำเข้าลึกชักศึกเข้าบ้าน ปืนกันเพลิงก็คิดไม่ต่างกันเพราะเคยสงสัยกันมาแล้ว แต่ยังหาไม่เจอ
“ฝากหน่อยนะปืน” เสียงเพลิงดังขึ้น “ให้ผู้คุมกฎอีกสามคนคอยจับตาดูพวกที่ชอบออกไปนอกหุบเขาให้ดี ให้เงียบที่สุดด้วย ไม่งั้นมันจะรู้ตัวมุดดินหนีไปเสียก่อน อีกอย่างนายอาจจะต้องดูแลคุกทมิฬแทนหินชั่วคราว”
ปืนพยักหน้า แล้วเล่าเรื่องที่เขาไปสืบมา ซึ่งก็ไม่ต่างจากที่หินได้มาเลย จากนั้นก็เดินลงจากเรือนไป เหลือเพลิงกับหินที่ยังคุยกันอยู่ แต่พอเพลิงจะลุกไป เสียงหินก็ดังขึ้น “นายเชื่อใจเธอแล้วเหรอ ถึงรับรองออกมา”
เพลิงนิ่งไปนิด ก็บอกว่า “ฉันเชื่อตัวเอง”
“แสดงว่าใช่ งั้นคืนนี้นายก็ควรจะพาเธอมาร่วมงานด้วย”
“อย่าคิดแทนฉัน”
“นายทำให้ฉันคิดต่างหาก”
“งั้นนายก็คิดผิด”
พูดจบเพลิงก็เดินลงจากเรือนไปหาเจ้าพยัต เพื่อขี่มันไปตรวจรอบหุบเขา ปล่อยให้หินครุ่นคิดถึงความซับซ้อนในใจของเพลิง แล้วถอนหายใจออกมา เมื่อไม่เข้าใจว่าทำไมการกระทำมันช่างสวนทางกับจิตใจเหลือเกิน
******
พิมพ์ลดานั่งอยู่บนเก้าอี้ตรงระเบียงเรือนเชิงผา มองพระอาทิตย์อัสดงลงหลังเหลี่ยมเขาจนหายลับไป ก็มองความร่มรื่นของไพรป่าไปเรื่อยๆ แล้วหยุดสายตาไว้ที่นกตัวหนึ่ง ที่บินร่อนอยู่กลางเวหา ท่าทางมันเหมือนบินตามอะไรสักอย่าง จากที่เห็นไกลๆก็ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จนเห็นชัดว่ามันตัวใหญ่และมีขนสีน้ำตาลแซมขาว
“มองอะไรคะหนูพิมพ์”
เสียงนมสุกดังขึ้นพลางเดินเข้ามาหาพร้อมนมสด ที่ในมือมีปิ่นโตที่จะให้เธอถือไปเพิงหมาแหงน พิมพ์ลดาหันมายิ้มให้แม่นมทั้งสองคน ก่อนจะบอกว่า “มองนกตัวนั้นคะ” เธอชี้ให้ดู “มันบินมาใกล้เหมือนตามอะไรมา”
“อ๋อ เจ้าอินทรี” นมสดบอกพลางวางปิ่นโตไว้ใกล้ๆ “ป๊ะเพลิงคงกลับมาใกล้จะถึงแล้ว มันถึงบินอยู่แถวนี้”
“หมายความว่ามันเป็นนกที่เขาเลี้ยงไว้เหรอคะ”
“แต่เดิมนะท่านชีคเลี้ยงไว้ และฝึกให้คอยส่งข่าวระหว่างที่นี่กับทะเลทราย และคอยสอดส่องความผิดปรกติในหุบเขาพญา แต่หลังจากที่ท่านกลับไปอยู่ทะเลทราย มันก็กลายเป็นของป๊ะเพลิง” นมสดเป็นคนบอก
“ท่านชีค ใครคะ พิมพ์ไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน แล้วพิมพ์เคยเจอด้วยหรือเปล่า”
“ชีคอิมาอัลล์ บิล บิลาเราะห์ ท่านเป็นพ่อของป๊ะเพลิง หนูพิมพ์ก็เคยเจอในวันแต่งงานไงค่ะ”
คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันอย่างครุ่นคิด ก่อนจะบอกว่า “พิมพ์จำไม่ได้และนึกไม่ออกเลยค่ะ”
“ไม่ต้องนึกหรอกค่ะ ถึงไม่สูญเสียความทรงจำ ก็คงจะจำไม่ค่อยได้ เพราะเจอกันแค่ครั้งเดียว เช่นเดียวกับคุณพักตร์คุณแม่ของป๊ะเพลิง”
“แล้วพ่อกับแม่ของพิมพ์ละคะ”
แม่นมทั้งสองปิดปากเพราะไม่อยากพูดถึง และไม่ต้องทนอึดอัด เมื่อเห็นเพลิงควบเจ้าพยัตมาหยุดที่หน้าเรือนพอดี พิมพ์ลดาจึงรู้ว่าเวลาอิสระของเธอหมดลงแล้ว จึงลุกขึ้นหยิบปิ่นโตมาถือไว้เพื่อไปเพิงหมาแหงน แต่เพลิงเดินขึ้นมาบนเรือนเสียก่อน แม่นมทั้งสองเปิดยิ้มให้ แต่ยิ้มค้างอยู่แค่นั้น เพราะเห็นรอยช้ำที่มุมปากของเขา
“ต๊ายแล้วป๊ะเพลิง ไปโดนอะไรมา” เสียงนมสุกดังขึ้นมาพลางเดินมาดูใกล้ๆ “ใครมันเป็นหมาลอบกัดทำร้ายเอา บอกนมมา นมจะไปให้พวกคุกทมิฬจัดการ”
เสียงนั้นเป็นเดือดเป็นร้อนอย่างที่สุด แล้วดึงแขนเพลิงมานั่งที่เก้าอี้ตรงระเบียง มองแต่รอยช้ำจนไม่เห็นว่าเพลิงตวัดสายตาไปมองหน้าเมียมารยาที่มองอยู่เหมือนกัน ซึ่งพอรู้ว่าเขามองก็รีบเมินหลบไปมองอย่างอื่น แต่ไม่พ้นสายตาของนมสดที่เห็นเข้าพอดี แล้วเดินไปหยิบยามาให้
“บอกนมมานะคะว่าใครทำ คนนอกหรือคนใน” เสียงคาดคั้นดังมาอย่างต่อเนื่อง
“จะมีปัญญาอะไรไปจัดการ” เสียงถามเรียบๆดังออกมาเช่นเคย
“อย่าคิดว่านมแก่แล้วทำอะไรไม่ได้นะคะ ไอ้พวกคุมกฎพวกนั้นนะ นมสั่งให้ไปจัดการได้ ถ้าไม่ไปจะเผ่นกะบาลให้ยับเลย”
น้ำเสียงเข่นเขี้ยวอย่างจริงจังทำให้คิ้วเข้มเลิกขึ้นคล้ายจะขำ ก่อนจะบอกว่า “วัดฝีมือกับพวกทะเลทรายนิดหน่อย”
“ไม่หน่อยมั่งค่ะ ดูซิช้ำไปทั้งเยอะ แต่ทำไมถึงพลาดได้คะ เมื่อก่อนไม่เห็นจะพลาด”
คำพูดของนมสุกช่างตรงกับหัวหน้าคุกทมิฬเหลือเกิน แต่ไม่ได้ติดใจสงสัยมากนักเท่านั่นเอง แล้วหันไปรับยาจากมือนมสด แต่นางกลับจับมือพิมพ์ลดาให้รับแทน พร้อมกับบอกว่า “นมวางหม้อแกงลืมไว้บนเตา หนูพิมพ์ดูแลป๊ะเพลิงแทนนมหน่อยแล้วกัน” พูดจบนางก็จับแขนนมสุก ดึงให้ลุกตามไป แต่นมสุกขืนตัวไว้เพราะแน่ใจว่าไม่ได้ลืม กระทั่งโดนหยิกแขนนั่นแหละถึงจะถึงบางอ้อ
“เอ่อ ใช่ ข้าลืมไปสนิทเลย ไปไปรีบไป”
ว่าแล้วทั้งสองคนก็รีบเดินจากไป ขณะที่พิมพ์ลดาตามไปอย่างงงๆ แล้วหันมามองหน้าคมที่นิ่งเฉยเหมือนเคย ก็ชั่งใจว่าจะทำให้ดีหรือไม่ ถ้าไม่เขาก็คงหาว่าเธอเนรคุณ เพราะเคยช่วยเธอไว้ แต่ถ้าทำก็คงประเภททำดีแล้วไม่ได้ดีแน่นอน สรุปว่าเธอโดนทั้งขึ้นทั้งลง และจะโดนอีกสักครั้งก็คงไม่เป็นไร เพราะชินเสียแล้ว จึงลุกขึ้นไปนั่งใกล้ร่างสูง หยิบประคบไปแตะที่รอยช้ำตรงมุมปาก พยายามจะให้เบามือที่สุด แต่ความคิดร้ายๆที่แวบขึ้นมาบางครั้งก็ทำให้กดแรงไป
“คิดจะเอาคืนฉันหรือไง” เพลิงถามอย่างรู้ทัน แต่เธอทำหน้าไม่รู้เรื่องด้วย
“ฉันไม่กล้าหรอกค่ะ”
“แล้วที่ทำ”
“แค่ไม่เคย ก็อาจจะหนักมือไปบางแค่นั้นเอง” เธอบอกแล้วแอบยิ้ม จนต้องรีบกัดฟันกลัวเขาจับได้ แต่ไม่พ้นอยู่ดี
“ยิ้มอะไร”
พิมพ์ลดาเม้มริมฝีปากนิดๆ แล้วก็ตอบตรงๆ “แค่คิดว่าฉันน่าจะเอาประคบกระแทกปากคุณสักครั้งสองครั้งดูว่าจะเป็นยังไงเท่านั้นเอง”
“แล้วทำไมไม่ลอง”
“เพราะฉันรู้นะซิคะ ว่าผลลัพธ์มันจะเป็นยังไง จากที่ต้องตักน้ำใส่ตุ่ม ฉันอาจจะต้องเข็นครกขึ้นเขาแทนก็ได้”
เพลิงยิ้มอยู่ในใจ และไม่รู้ตัวว่าเขากำลังสนุกกับการได้นั่งคุยกับเธออยู่แบบนี้ “แล้วถ้าฉันไม่ทำอย่างที่เธอคิดละ เธอจะทำหรือเปล่า”
“ไม่ เพราะฉันเชื่อว่าไม่มีสัจจะในหมู่โจร และคนที่เกลียดฉันยิ่งกว่าไส้เดือนกิ้งกือ ไม่มีทางที่จะใจดี อย่างมากก็คงหลอกให้ตายใจแค่นั้นเอง” พูดจบเธอก็วางประคบไว้ในกระจาด แล้วบอกว่า “คุณควรไปอาบน้ำ ทานข้าวแล้วค่อยใส่ยาก่อนจะนอน วันสองวันปากคุณก็คงจะดีเหมือนเดิม” เสียงตอนท้ายนั้นแอบกัดเบาๆ แล้วจะลุกขึ้นไป
“แล้วไม่คิดว่าโจรจะกลับใจบ้างเหรอ”
เสียงที่ดังขึ้นทำให้พิมพ์ลดาต้องนั่งอยู่ที่เดิม แล้วตอบแบบนิ่มๆแต่เชือดเฉือนอยู่ลึกๆว่า “ไม่ เพราะมันก็เป็นแค่คำพูด ที่ใครจะปั้นแต่งให้สวยหรูยังไงก็ได้ แต่เนื้อลึกภายในจิตใจถ้าสกปรกยังไงมันก็สกปรกอย่างนั้น”
“เหมือนเธอซินะ ที่ปากหวานก้นเปรี้ยวไม่เคยเปลี่ยน”
“ก็อาจจะใช่ แต่คงไม่ใช่ฉันคนเดียว เพราะคุณก็กำลังเป็นอยู่เหมือนกัน”
“งั้นแสดงว่าที่ฉันจูบไป เธอจดจำได้หมดซินะ”
พิมพ์ลดาได้แต่งงว่ามันเกี่ยวอะไรกัน จึงเฉยเสียเพราะพูดไปก็เข้าตัวเปล่าๆ แต่เพลิงดูจะไม่หยุดเพราะสนุกกับการที่ได้หยิกแก้มหยอกเธอ “ทำไมไม่เถียงละ หรือว่าจริง”
“เปล่าเสียหน่อย”
ปากเธอก็พูดไปอย่างนั้น แต่แก้มกลับแดงขึ้นให้เพลิงมองเพลิน แม่นมทั้งสองคนที่ออกมาแอบมองอยู่ได้แต่ยิ้มปลื้ม ยิ่งเห็นป๊ะเพลิงยื่นหน้ามาใกล้แก้มหนูพิมพ์ก็คิดว่าเขาต้องจูบเธอแน่นอน จึงยกมือขึ้นปิดหน้ามองลอดนิ้วออกมาลุ้น แต่ไม่ได้เป็นอย่างที่คิด เมื่อเพลิงหยุดอารมณ์ไว้ แล้วลุกขึ้นยืนพร้อมดึงร่างอรชรให้ลุกตามลงจากเรือนไป แม่นมทั้งสองที่แอบมองอยู่รีบเดินออกมาบอกว่า
“ฟ้าเริ่มมืดแล้ว ไม่ต้องไปเพิงหมาแหงนหรอกป๊ะเพลิง ค้างที่นี่เถอะ”
“ฉันจะไปคุกทมิฬ” พูดจบเพลิงก็พาเธอลงจากเรือนไป แม่นมทั้งสอง
ไม่มีเสียงคัดค้านจากแม่นมทั้งสองคน ไม่มีอาการห่วงใยหญิงสาวย่างเคยเพราะรู้ว่าหลังการฝึกซ้อมฝีมือจะมีงานเลี้ยง ซึ่งทั้งคู่ดีใจที่ป๊ะเพลิงพาหนูพิมพ์ไป เพราะนั่นแสดงว่าเขายอมรับเธอมากขึ้น แต่พิมพ์ลดาไม่รู้จึงได้แต่หวั่นใจขณะก้าวตามเขาลงมาจากเรือน
********
เพลิงพาเธอมาขึ้นหลังเจ้าพยัต บังคับให้มันเดินตรงไปที่คุกทมิฬ ที่เธอพอจะรู้กิตติศักดิ์ว่าเป็นยังไงแม้จะไม่เคยเห็นกับตาและคิดว่าเธอทำผิดอะไรอีก เขาถึงพาไปที่นั้น แต่ก็ทำใจให้ยอมรับกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นเมื่อไม่มีทางเลือกใดที่ทำได้มากไปกว่านี้ สายลมยามค่ำ กับแสงจันทราดวงดาราที่ส่องประกายขึ้นมาช่วยคลายความวิตกในใจเธอได้บ้าง แต่เมื่อเจ้าพยัตวิ่งมาหยุดยืนหน้าคุกความหวั่นใจก็เริ่มกลับคืนมา
ผู้ชายหน้าเหี้ยมที่ยืนอยู่สองคน รีบก้มคำนับให้นายแห่งหุบเขา เพลิงพยักหน้าให้เพียงนิดก็ลงจากหลังเจ้าพยัตก่อนจะรับตัวเธอลงมา จับแขนดึงให้เดินเข้าไปข้างใน พิมพ์ลดาเดินตามพลางมองไปรอบ ๆและได้กลิ่นหอมจากการย่างอะไรสักอย่าง เป็นอันดับแรก ก็เห็นแสงไฟจากกองไฟกองใหญ่กลางลานกว้าง ชายฉกรรจ์หลายสิบคน จับกลุ่มดื่มกิน ยืนบ้างนั่งบ้างคละเคล้ากันอยู่รองกองไฟ เสียงเพลง เสียงพูดคุยดังมาเป็นระยะอย่างกับมีงานเลี้ยงอะไรสักอย่าง และห่างจากกองไฟที่ลุกโชน ก็จะเป็นเรือนไม้เป็นแถวเป็นแนว มีประตู มีไม้ตีระแนงราวกับเป็นคุมขังหรือว่านั้นคือคุกที่เขาพูดถึง
เพลิงปรายตามองใบหน้างามที่ดูจะหวั่นไหวเล็กน้อย แล้วเดินนำร่างอรชรไปใกล้ที่ขังพวกทำผิดคิดร้ายต่อหุบเขาของเขา ซึ่งเธอก็เดินตามไปโดยไม่รู้ว่ากำลังจะเผชิญกับอะไร แล้วก็ต้องตกใจ เมื่อจู่ๆก็มีมือยื่นออกมาจับแขนเธอไว้
“ขอน้ำ หิว หิว ช่วยด้วย”
เสียงร้องโหยหวนดังออกมา พิมพ์ลดาพยายามจะดึงมือกลับ แต่ยากเหลือเกินเพราะโดนจับไว้แน่น แสงโคมไฟที่ปักอยู่ตามเสาบวกกับแสงไฟที่กำลังลุกโชนทำให้เธอได้เห็นหน้าคนร้องขอ ตัวผอมโซ่ สกปรกและเต็มไปด้วยบาดแผล จากที่กลัวก็ให้รู้สึกสงสาร จึงหันไปมองร่างสูงเพื่อให้ช่วย แต่เขากลับนิ่งเฉยเหมือนเคย ก็หันหน้ากลับมามองอย่างเห็นใจ แล้วสะดุ้งสุดตัวมีเสียงห้าวเหี้ยมดังเล็ดลอดออกมา
“ปล่อย ปล่อยกูออกไป ปล่อย กูทรมาน กูจะฆ่ามึง”
เสียงโกรธแค้นนั้นน่ากลัวแล้วยังพยายามจะดึงตัวเธอเข้าไปหา และมีอีกหลายมือจากหลายคนที่พยายามไขว่คว้าตัวเธอพร้อมเสียงร้อง เสียงอาฆาต เสียงอ้อนวอน บางคนก็เขย่ากรงข่มขวัญ บางก็มองเธออย่างหื่นกระหายคล้ายจะฉีกออกเป็นชิ้นๆ พิมพ์ลดาถอยห่างอย่างสุดกลัว ผวาไปหาร่างสูงเหมือนลูกนกที่ตกจากรัง แต่ไม่มีท่าทีใดๆให้เธอเห็นนอกจากความเฉยเมยเหมือนที่ผ่านมา และทิ้งให้เธอยืนเดียวดายอยู่เพียงลำพัง ก็เข้าใจแล้วว่าเขาพามาที่นี่ทำไม คงอยากจะข่มขวัญอยากให้เธอได้เห็นถึงสิ่งที่เธอจะได้รับ ถ้าทำผิดคิดร้ายกับเขาและคนของเขานั่นเอง
สองขาเธอหนักอึ้ง เพราะไม่อยากจะเดินตามเขาไป ความโหดร้ายที่ได้เห็นทำให้เธอกลัวก็จริง แต่ความสงสารก็ยังมีอยู่ในใจเธอ จึงหันไปมองทุกคนที่ถูกขังอยู่และอยากจะรู้ว่าแต่ละคนทำผิดอะไรหนักหนาถึงได้ถูกทำร้ายทำโทษขนาดนี้ แล้วย้อนกลับมาคิดถึงตัวเองที่ยังไม่รู้เหมือนกันว่าทำผิดอะไร ทำไมเขาถึงได้ใจร้ายกับเธอนัก
“นายหญิง” พิมพ์ลดาหันไปมองหน้าคนเรียก ซึ่งก็คือนายหินหัวหน้าคุกทมิฬนั่นเอง “เชิญครับ” เขาบอกพร้อมกับรอให้เธอเดินไปด้วยกัน ซึ่งก็ลังเลเล็กน้อยก่อนจะเชิดหน้าขึ้นเดินตามไปพร้อมกับสบตาทุกคนที่มองมา กระทั่งเดินมายืนอยู่หน้าคนที่เกลียดเธอและทุกคนนั่งกันอยู่ หินก็ตบมือให้ทุกคนเงียบแล้วพูดขึ้น “คืนนี้นายหญิงพิมพ์ลดาจะมาร่วมงานเลี้ยงกับเราด้วย”
ทุกคนเงียบเหมือนกับเจอเรื่องประหลาด แล้วมีเสียงแทรกความเงียบขึ้นมา “งั้นก็ต้องดื่มกับเราด้วย”
“ใช่” หลายเสียงสนับสนุนออกมา แล้วหนึ่งในกลุ่มที่นั่งกันอยู่ก็เดินออกมายื่นแก้วน้ำเมาที่ฉุนเข้าจมูกกับเนื้อหมูป่าที่ย่างอยู่ข้างกองไฟ ให้เธอ พิมพ์ลดายกมือขึ้นรับพร้อมกับบอกว่า
“ขอบใจจ๊ะ”
“ดื่มเลย ดื่มเลย”
เสียงเชียร์ดังขึ้น เธอจึงปรายตาไปมองคนที่เกลียดเธอเพื่อหวังจะให้ขอความเห็นเพราะไม่อยากดื่มเมื่อไม่รู้ว่าน้ำที่ถืออยู่มีฤทธิ์มากแค่ไหน แต่ความหวังก็สูญเปล่าเหมือนเคย ความรู้สึกที่ก่อตัวขึ้นในใจถูกลบหาย เมื่อสิ่งที่เขาทำมาเหมือนมีใจนั้นคือการหลอกลวง จึงหยามหยันตัวเองอย่างสมเพช แล้วดื่มน้ำที่อยู่ในมือจนหมดแก้ว
ทุกคนตาค้างอย่างคาดไม่ถึงว่าเธอจะดื่ม เพราะที่ผ่านมาที่ทุกคนรู้คือนายหญิงถือตัว มองไม่เห็นหัวพวกเขา อย่าว่าแต่จะให้ดื่มเลย แม้เดินเฉียดเข้าไปใกล้ก็ทำท่ารังเกียจ แต่เวลานี้กลับผิดไปจากที่ผ่านมา ขณะที่พิมพ์ลดารู้สึกร้อนวาบไปทั้งตัว เหมือนมีอะไรไต่ไปตามเส้นเลือด แต่ทำเหมือนไม่มีอะไร แล้วส่งแก้วคืนคนที่ส่งให้มา ซึ่งยิ้มให้เธอเพียงเล็กน้อย แล้วรับแก้วกลับมานั่งที่เดิม
“สนุกกันใหญ่ ฉลองอะไรกันจ๊ะ”
ทุกคนหันไปมองคนพูด ซึ่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เดือนประดับนั่นเอง เธอเดินมายืนเคียงข้างพิมพ์ลดาเทียบให้ทุกคนได้เห็นความดูดีมีราคาของเธอเพราะอยู่ในชุดสวยหรูดูแพง ไม่ใช่ซอมซออยู่ในเสื้อกับกางเกงธรรมดา แล้วเชิดหน้าขึ้นโปรยยิ้มหวานให้ทุกคนแต่ยิ้มหยันให้พิมพ์ลดาแล้วเดินไปนั่งข้างเพลิง โดยไม่สนใจว่าใครจะสงสัยว่าเธอมาที่นี่ได้ไง ก็ไอ้ชาติเป็นหูเป็นตาให้เธออยู่ทั้งคน ทำไมเธอจะไม่รู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้าง
“ว่าไงจ๊ะ ฉลองอะไรกัน” เสียงเธอหวานราวกับนางงาม จึงมีเสียงตอบติดตลกมาว่า
“ประลองหมัดชนะป๊ะเพลิง”
“อุ้ย ตายแล้ว” เธอยกมือทาบอกราวกับตกใจหนักหนา แล้วหันมาเสียงอ่อนเสียงหวานกับเพลิงโดยไม่สนใจพิมพ์ลดาที่ยืนหัวโด่อยู่ “ได้ไงคะเพลิง เสียงหน้าแย่ อ่อนให้พวกเขาหรือเปล่า แล้วเจ็บไหมคะ” ว่าพลางก็ยกมือขึ้นแตะที่มุมปากเขา ก่อนจะเอาใจด้วยการหยิบไหเหล้ามารินใส่แก้วส่งให้เขาถึงมือ ซึ่งเพลิงก็รับมาดื่มด้วยสีหน้านิ่งๆ แต่เพียงแค่นี้เดือนประดับก็คิดว่าเธอชนะพิมพ์ลดาแล้ว แล้วทำตัวกลมกลืนไปกับทุกคน ยิ้มให้คนโน้นนิด ถามนี่หน่อยทักทายไปทั่ว
พิมพ์ลดาจึงรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นส่วนเกินของที่นี่ แต่ไม่คิดจะหันหลังกลับ เธอถอยไปนั่งข้างหิน หยิบไหเหล้ามารินใส่แก้ว ยกขึ้นดื่มเหมือนมันเป็นแค่น้ำเปล่าไม่ใช่น้ำเมา และไม่สนใจว่าคนเกลียดชังเธอจะอี้อ๋อกับผู้หญิงอีกคนแค่ไหน กับแก้มที่หอมกรุ่นก็เข้าปากชิ้นแล้วชิ้นเล่า กระทั่งความมึนเข้าครอบงำ แต่สติยังดีอยู่บ้างเล็กน้อย ไหน้ำเมากับกับแก้มที่วางอยู่ถูกหิ้วขึ้นมา ลุกขึ้นเดินไปที่คุมขัง
เพลิงจับตามองด้วยความนิ่งเฉยแต่หินรีบลุกเดินตามไปขวางโดยมีสายตาทุกคนมองตามไปอย่างงุนงงปนสงสัยว่าเธอจะทำอะไร
“นายหญิงอย่าครับ” หินห้ามเมื่อพอจะรู้ว่าเธอจะทำอะไร ผู้หญิงจะมีอะไรมากไปกว่าสงสาร พลางตวัดสายตามองไอ้พวกทำผิดที่เริ่มยื่นมือมาเขย่ากรงขังเร่งเร้าขึ้นมา
“ทำไม ในเมื่อพวกเขาก็เป็นคนเหมือนกัน”
“แต่จิตใจต่างกัน มันจึงอันตราย”
“ฉันรู้ว่าจะต้องทำยังไง”
พูดจบเธอก็เหวี่ยงไหให้หินถือ จังหวะที่เขายกมือขึ้นรับสิ่งที่คาดไม่ถึงก็เกิดขึ้น ปืนที่เหน็บอยู่ซอกเอวก็ถูกเธอดึงออกมา หินนิ่งไปเล็กน้อย ก็จ้องหญิงสาวราวกับพยัคฆ์ที่พร้อมจะปลิดชีวิตเหยื่อ เพราะอดีตที่เธอทำไว้ทำให้เขาพร้อมจะร้ายกับเธอ
พิมพ์ลดามองปืนในมือแล้วเดินเซนิดๆไปที่กรงขัง ยกปืนขึ้นเล็งไปข้างหน้าพร้อมเสียงพูดที่ดังขึ้น “ถอยออกไป” เธอสั่ง พวกที่อยู่ในกรงขังเริ่มปรายตามองหน้ากัน ส่งสัญญาณให้กันพลางถอยห่างอย่างว่าง่าย เธอจึงเดินไปเปิดประตูเพื่อเอาหมูย่างให้ แต่เปิดไม่ได้เพราะมีโซ่คล้องกุญแจไว้ ก็หันมาจะคุยกับหิน จังหวะนั้นเองที่หนึ่งในพวกทำผิดปรี่เข้ามาดึงตัวเธอไปล็อกคอ อีกคนก็รีบเข้ามาดึงแขนเอาปืนไปจ่อหัวเธอ
********
ขอบคุณที่ติดตามผลงานค่ะ
ขณะที่ไอ้แมงเม่าก็เดินเข้าหามาคนเป็นนายที่นั่งคอยมันอยู่ในห้องโถง ซึ่งก็จ้องหน้ามันทันทีที่เดินมายืนเจียมตัวอยู่ตรงหน้า รอยฟกซ้ำตามลำตัวและใบหน้านั้นบอกเขาทันทีว่าเกิดอะไรขึ้นกับมัน ความสมเพชเกิดขึ้นก่อนจะถามถึงเรื่องที่อยากรู้
“เจอหรือเปล่า”
“ไม่เจอครับ ไม่มีเลยสักหลุม”
“ขุดหมดหรือยัง”
“ยังครับเพราะเจอตอเสียก่อน”
“ไม่เจอก็ไม่ใช่หุบเขาพญาซิ แล้วไอ้พวกที่เหลือ”
“ฝั่งทั้งเป็น”
นายพลกฤษขบกรามเข้าหากันแน่น แล้วโบกมือไล่ให้มันออกไปโดยไม่สงสัยว่าทำไมมันถึงรอดมา เพราะรู้อยู่แล้วว่าคือการเย้ยหยัน จึงไม่ได้แค้นตามที่มันอยากให้เป็น เพราะสิ่งที่เขาต้องการคือความแน่ใจเท่านั้น จากนี้ไปเขาก็จะรอเวลาที่จะไปเหยียบมันคืน วันใดที่ไอ้หนอนบ่อนไส้ทำสำเร็จ วันนั้นเพลิงพญาจะต้องราบเป็นหน้ากลอง รอยยิ้มสาแก่ใจผุดขึ้นมาให้คนที่แอบมองอยู่เห็น แม้จะผิดคาดที่คนที่เห็นกลับไม่ใช่คนที่คิด แต่แค่นี้ทำให้รู้แล้วว่าใครสมคบกับใครอยู่บ้าง
หินเหยียดริมฝีปากออกหยันมันกลับไป แล้วถอยกลับออกมาก่อนที่คนของมันจะมาเห็นเข้า เขาเดินกลับมาที่รถ เปิดประตูเข้าไปนั่งแล้วขับกลับหุบเขาพญา
*******
ทั้งที่ดึกสงัดแต่เม็ดฝนยังตกลงมากระทบหลังคาเพิงหมาแหงน อสุนีบาตก็ยังดังคำรามมาเป็นระยะ พิมพ์ลดาหลับสนิทอยู่บนฟูกข้างนายแห่งหุบเขา แต่ในห้วงนิทรามีภาพที่เป็นดั่งความฝัน ชายหญิงหลายคนเข้ามานั่งในร้านอาหาร ทุกคนวางความสำเร็จจากการทุ่มเทมาสี่ปีลงบนโต๊ะ ประกาศนียบัตรแห่งความภาคภูมิที่พากเพียรกันมา แล้วหยิบแก้วเครื่องดื่มขึ้นมาดื่มฉลองกัน สีหน้าทุกคนยิ้มแย้ม พูดหยอกเย้าล้อเล่นรำลึกเวลาที่ผ่านมากันอย่างสนุก พร้อมลุกขึ้นเต้นรำขึ้นร้องเพลงยิ่งดึกก็ยิ่งสนุก แต่ความสุขมักจะผ่านไปเร็ว ทุกคนพากันเดินออกมาจากร้าน โบกมือลาแยกย้ายกันกลับ
รถยนต์คันหนึ่งวิ่งฝ่าสายฝนพร้อมฟ้าที่คำรามไม่หยุดหย่อน แต่ไม่ได้อยู่ในความสนใจของคนที่นั่งกันอยู่ในรถ ทั้งสี่คนยังคงพูดจาหยอกเล่นกัน กระทั่งได้จอดให้หญิงสาวคนหนึ่งลงมาท่ามกลางสายฝนที่ยังเทลงมาไม่ลืมหูลืมตา เธอส่งยิ้มพร้อมโบกมือลาเพื่อนที่ค่อยๆเลื่อนรถออกไป แล้วหันกลับมาข้ามถนน สิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น
เพลิงลืมตาตื่นขึ้นมาเมื่อรู้สึกถึงอาการกระสับกระส่ายของเมียมายาที่นอนอยู่ข้างๆ และเหมือนจะมีเสียงที่เขาฟังไม่ได้ศัพท์ดังออกมาด้วย ถ้าเขาฟังออกก็จะได้รู้ว่าเป็นเสียงกรีดร้องของคนที่ได้รับความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส แต่นั้นไม่สำคัญเท่ากับน้ำตาที่รินไหลตรงหางตา บอกให้เขารู้ว่าเธอคงฝันร้าย และคงร้ายมากถึงได้หวาดกลัวขนาดนี้ เขาจับมือที่ยกขึ้นมาเหมือนไขว่คว้าบางอย่าง แต่ถูกเธอดึงไปกอดไว้แน่น และขยับตัวมาซบกับไหล่เขา แล้วหลับใหลไปอีกครั้ง
เขาหลุบตาลงมองพลางคิดว่าเธอฝันถึงอะไร ถึงได้มีท่าทีหวาดกลัวขนาดนี้
ยามเช้าตรู่ แสงอาทิตย์เรืองรองขึ้นที่ขอบฟ้า ฝูงนกโผบินออกจากสู่ท้องฟ้าที่สดใสหลังฝนตก หยาดน้ำฝนที่คงค้างอยู่บนใบไม้ไหลรวมหยดลงมาบนพื้นดินให้ยิ่งชุ่มฉ่ำ ดวงตาที่ปิดสนิทมาตลอดทั้งคืนของพิมพ์ลดาลืมตื่นขึ้นมา สิ่งแรกที่เห็นคือปลายคางบึกบึนของคนที่เกลียดเธอ ก็รีบดูตัวเองพอเห็นว่านอนซบไหล่เขา ก็ตกใจรีบลุกขึ้นแต่ไม่อาจถอยห่างเมื่อยังติดอ้อมแขนเขาอยู่ และแก้มร้อนขึ้นเมื่อเขาลืมตาขึ้นมามอง
“ฉัน ฉัน” เสียงเธอตะกุกตะกักเมื่อไม่รู้จะพูดอะไร เพลิงก็ไม่ถามแต่ไม่ปล่อยเพราะจะดูว่าเธอจะทำยังไง “ขอโทษค่ะ”
“เรื่องอะไร”
น้ำเสียงนิ่งๆกับสีหน้าไร้ความรู้สึกแต่นัยน์ตาจ้องไม่วางตานั้นทำให้เธอขัดใจเป็นที่สุด ตวัดสายตาค้อนที่เขารู้แล้วยังจะถามยังจะให้เธอพูดออกมาอีก “ก็ ที่ฉันซบไหล่คุณ”
“แล้วยังไง”
“ก็ขอโทษแล้วไงค่ะ”
“ฉันปวดไหล่”
เธอทำหน้างงเพียงเล็กน้อยก็เข้าใจ แต่เธอจะทำยังไงให้เขาหาย จะให้นวดเธอก็ทำไม่เป็น จึงได้แต่มองหน้าเขาอย่างไม่รู้จะทำยังไงดี สุดท้ายเธอก็ทำในสิ่งที่แม้แต่ตัวเองก็คิดไม่ถึง นั่นคือก้มหน้าลงไปหอมแก้มเขาก่อนกระซิบบอกว่า “หายปวดนะคะ”
เพลิงเอียงหน้ามองจนแก้มเขาชนกับปลายจมูกและริมฝีปากเธออีกครั้ง ดวงตาทั้งคู่ประสานกันและต่างไม่รู้ว่ามองกันอยู่อย่างนั้นนานแค่ไหน แล้วเพลิงจะคลายอ้อมแขนออกจากตัวเธอแล้วลุกขึ้นเดินออกมานอกเพิง ส่วนพิมพ์ลดาก็ไม่รู้จะทำหน้ายังไงดี แล้วรีบเก็บที่นอนเรียบร้อยแล้วก็ตามเขาออกมา ขึ้นม้าไปเรือนเชิงผา
เธอหลบหน้าเขาเข้าไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนจะออกมาหาแม่นมทั้งสองคนที่ห้องครัว ที่กำลังเตรียมอาหารเช้าอยู่ อยากจะช่วยทั้งสองคนใจจะขาด แต่ยังติดคำสั่งเขาที่ห้ามเธอทำอะไรจึงได้แต่นั่งมอง นมสุกจึงไล่ให้เธอไปนั่งรอที่ศาลา แต่เธอไม่ยอมไป ทั้งสองนมจึงได้แต่สงสัยว่ามีอะไรเกิดขึ้นอีก เธอจึงไม่กล้าสู้หน้าป๊ะเพลิง กระทั่งกลิ่นอาหารหอมฟุ้งไปทั้งห้องครัว ก็ช่วยสองนมยกไปที่ศาลา
พิมพ์ลดาช่วยสองนมจัดโต๊ะโดยไม่มองหน้าคนที่นั่งอยู่เลย เรียบร้อยแล้วก็นั่งลงทานข้าวกับเขา โดยไม่รู้ว่าสายตาของเพลิงคอยวนเวียนอยู่ที่หน้าเธอ จนแม่นมสองคนยังสังเกตเห็น อิ่มแล้วเขาก็ลุกขึ้นเพื่อไปดูการฝึกฝีมือที่คุกทมิฬ เพียงเสียงฝีเท้าเจ้าพยัตวิ่งหายไป พิมพ์ลดาก็วางช้อน ผ่อนลมหายใจออกมาเบาๆ แล้วยิ้มเขินๆเมื่อเห็นสองนมมองอยู่
“เป็นอะไรคะหนูพิมพ์”
“เปล่าค่ะ”
“แต่เมื่อกี้นมเห็นป๊ะเพลิงมองหนูพิมพ์ไม่วางตาเชียว” นมสุกเริ่มหยอดน้ำลงหิน “และหนูพิมพ์ก็คอยหลบตาด้วย มีอะไรหรือเปล่า หรือป๊ะเพลิงทำอะไรหนูพิมพ์อีก”
“เปล่าค่ะ”
“แล้วทำไมหน้าแดงคะ”
“เปล่าสักหน่อย” เธอว่าพลางยกมือขึ้นแตะแก้มตัวเองโดยไม่รู้ว่าโดนลักไก่ นมสุกหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะบอกว่า
“ก็ไม่นะซิคะ ทำไมต้องร้อนตัวด้วย มีอะไร บอกนมมาเสียดีๆ”
ทั้งน้ำเสียงและท่าทางที่จ้องราวกับจะล้วงลึกลงไปในใจเธอนั้น ทำให้พิมพ์ลดาหน้าแดงที่หลงกลนมสุก แล้วลุกขึ้นเก็บจานไปเก็บที่ห้องครัว นมสดกับนมสุกหันมามองหน้ากัน อาการเคืองก่อนหน้านี้ลดน้อยลง เมื่อรู้สึกว่าเริ่มมีอะไรแปลกๆเกิดขึ้นกับทั้งสองคนแล้ว
พิมพ์ลดาปรับสีหน้าให้เป็นปรกติแล้ว ก็เดินออกมาที่ระเบียง มองฟ้าหลังฝนที่สดใสสวยงาม แต่ใจเธอกลับหดหู่เมื่อคิดถึงความฝันเมื่อคืน ฝันที่คล้ายกับคืนก่อน ความเศร้าอาดูรเจ็บปวดอ้างว้างยังคงค้างอยู่เหมือนมันเพิ่งเกิดขึ้นมา ที่สำคัญคือใบหน้าของหญิงสาวที่เธอฝันเห็น ช่างเหมือนกับเธอเหลือเกิน
‘ทำไมเหมือนกันขนาดนั้น มันเกิดอะไรขึ้น แล้วเกี่ยวข้องกับเธอยังไง’
เธอถามตัวเองแต่ก็หาคำตอบไม่ได้ จึงได้แต่นั่งเศร้าอยู่อย่างนั้น กระทั่งหางตาเหลือบเห็นบางอย่าง ขนสีขาวฟูกับสองหูที่ตั้งขึ้น ทำให้เธอยิ้มออกมา หันไปบอกแม่นมทั้งสองคนที่กำลังเดินมาหาพลางชี้ให้ดู “นมคะ ดูนั่นซิกระต่าย เห็นไหมคะ”
“เห็นค่ะ” นมสุกบอกพลางเดินมานั่งข้างๆเธอ “มันมาบ่อย บางวันมีถึงสามตัว”
“เหรอค่ะ ทำไมพิมพ์เพิ่งเห็น ใครเลี้ยงไว้เหรอคะหรือเป็นกระต่ายป่า”
“กระต่ายป่าค่ะ ไม่มีใครเลี้ยงไว้หรอก แต่ถ้าโผล่มา นมก็จะเอาผักเอาผลไม้ให้กิน”
“น่ารักจัง ดูมันมีความสุขมากเลยนะคะเพราะได้อยู่อย่างอิสระกับสิ่งที่ชอบ น่าอิจฉาจัง พิมพ์อยากเป็นอย่างมันบ้าง”
“หนูพิมพ์อยากไปจากที่นี่เหรอคะ”
“คะ” พิมพ์ลดาหันมามองนมสดอย่างงงๆ เพราะเธอพูดไปอย่างนั้นไม่ได้คิดอะไรมาก แต่คิดไม่ถึงว่าจะได้ยินคำถามแบบนี้ “ไปจากที่นี่ จะไปไหนคะ และจะไปได้ไง เมื่อพิมพ์ไม่รู้จักที่ไหนเลย”
“ถ้ารู้ก็จะไม่ไปใช่ไหมคะ”
เธอนิ่งไปกับคำถามของนมสด “หมายความว่ายังไงคะ” ถามไปแล้วเธอก็อยากได้คำตอบ แต่แม่นมสองคนกลับไม่พูดออกมา “นมเคยบอกว่าจะบอกเรื่องที่พิมพ์อยากจะรู้ แต่ทำไมไม่บอกละคะ”
“นมกลัวว่าหนูพิมพ์รู้แล้ว จะไปจากที่นี่นะซิคะ”
“พิมพ์แต่งงานกับนายของนมแล้ว จะไปได้ไง”
“งั้นก็อย่าเพิ่งรู้เลยนะคะ รอให้นมแน่ใจว่าหนูพิมพ์จะไม่มีวันไปจากที่นี่ แล้วจะบอก”
“อดีตของพิมพ์มันเลวร้ายมากเหรอคะ นมจึงไม่อยากบอก”
“ไม่ใช่หรอกค่ะ แต่บางอย่างก็ไม่ควรไปรื้อฟื้นขึ้นมา ปล่อยให้มันจางหายไป แล้วจดจำแต่สิ่งที่ดีกว่าดีกว่านะคะ”
พิมพ์ลดายิ้มเหมือนเข้าใจ แต่ใจจริงนั้นยิ่งสงสัยมากขึ้น ว่าอดีตของเธอมันเป็นยังไงกันแน่ หรือมันจะเลวร้ายพอๆกับความฝันทุกคนจึงไม่อยากให้เธอจดจำขึ้นมา
*******
เพลิงยืนอยู่บนหน้าผา สายตาเขาจับจ้องพญาอินทรีที่บินเล่นลมกลางท้องฟ้า แต่สมองเขาคิดถึงความอ่อนหวานของเมียมายา รอยอุ่นที่แก้มกับเสียงหวานๆของเธอยังรบกวนจิตใจเขาอยู่ แล้วเก็บความรู้สึกนี้ไว้ภายใต้สีหน้านิ่งขรึม บังคับเจ้าพยัตให้เดินลงจากหน้าผามุ่งสู่คุกทมิฬ เขาลงจากหลังมันเดินขึ้นไปบนเรือนของหิน ยืนตรงระเบียงดูการซ้อมฝีมือของผู้คุมกฎกับพวกทะเลทราย ซึ่งล้อมวงกันอยู่กลางลานคุก
การประลองครั้งนี้มีหมูป่าเป็นรางวัล อาวุธที่ใช้ตามชื่อของผู้คุมกฎคือ มีด ดาบ ขวาน และสุดท้ายคือมือเปล่า เสียงเชียร์เริ่มดังขึ้นเมื่อคู่แรกลงสนาม ทั้งสองคนจับมีดไว้แน่น แล้วปรี่เข้าหากัน ออกอาวุธโดยไม่มีการยั้ง การฝึกปรือมาอย่างดี ทำให้ไม่มีใครได้เปรียบเสียเปรียบ ผลัดกันรุกและรับแต่สุดท้ายคมมีดก็เฉี่ยวเข้าที่ต้นแขนมีด เขาจึงเป็นฝ่ายพ่ายแพ้
ดาบเป็นคนที่สอง เขาใช้ดาบฟาดฟันคู่ซ้อมอย่างหนักหน่วง พลิ้วไหวราวกับมันเป็นชีวิตเขาแต่ไม่ใช่ว่าจะล้มคนทะเลทรายได้ง่ายๆ เพราะเขาก็โต้ตอบว่องไวไม่แพ้กัน ไม่นานดาบจากอีกฝ่ายก็ร่วงจากมือ เขารักษาชื่อตัวเองไว้ได้ เสียงโห่ร้องดังขึ้นอย่างกึกก้อง เพราะเหมือนกับมันคือศักดิ์ศรีของคนคุก คนที่สามคือขวาน อาวุธที่ใช้คือความถนัด คู่ซ้อมก็ไม่ต่างกัน ทั้งชั้นเชิงและไหวพริบดึงศักยภาพทั้งคู่มาห้ำหั่นกันอย่างดุเดือด ไม่มีใครเพลี่ยงพล้ำให้แก่ใคร คู่นี้จึงเสมอกัน แต่ดูเหมือนกองเชียร์ยังไม่สะใจ ทั้งหมดจึงหันไปมองนายแห่งหุบเขา
“ป๊ะเพลิง ป๊ะเพลิง”
ทุกคนส่งเสียงเรียก พร้อมปรบมือเป็นจังหวะ เพลิงสบตาทุกคนแล้วเดินลงมาสู่สนาม ท่ามกลางเสียงโห่ร้องต้อนรับ หัวหน้าของพวกทะเลทรายก็เดินออกมาเป็นคู่ซ้อม แต่ก่อนจะลงมือมีเสียงต่อรองเรื่องรางวัลขึ้นมา “ถ้าชนะไม่มีผลใดๆ แต่ถ้าป๊ะเพลิงแพ้ต้องเพิ่มหมูป่าอีกหนึ่งตัว”
“ได้”
“เฮ” เสียงเฮดังสนั่น แล้วการซ้อมเหมือนจริงก็เกิดขึ้น
แววตาของทั้งสองคนนิ่งเพราะถูกฝึกมาจากที่เดียวกัน ชั้นเชิงนั้นไม่ได้ต่างกัน แต่สมองและความว่องไวถูกนำมาเชือดเฉือนกัน เพลิงตั้งรับก่อนจะโต้กลับไปบ้างแต่อีกฝ่ายก็ป้องกันได้ดี และรุกพลางหลบหมัดที่พุ่งตรงมาหากับเท้าที่ประสานได้อย่างว่องไว หนึ่งหมัดจึงฝากไว้บนหน้าอีกฝ่าย
“ฮู้”
เสียงกองเชียร์ไม่ค่อยชอบเท่าไร แล้วส่งเสียงเชียร์อีกฝ่ายเพื่อหมูป่าอีกตัว ขณะที่เพลิงรู้ว่าต้องมีการเอาคืน เขาระวัง หลบหมัดที่พุ่งเข้ามาหา หนึ่งสองหลบได้แต่สามเขาพลาด “เฮ” เสียงกองเชียร์ดังสนั่น ก่อนจะเงียบกริบ เมื่อป๊ะเพลิงเอาคืนอย่างทันควัน ล็อกมืออีกฝ่ายกระชากเข้ามาหา กระแทกด้วยเข่าแล้วหมุนตัวตวัดปลายเท้าเข้าที่หน้า หัวหน้าทะเลทรายเซไปหลายก้าวให้รู้ว่าเป็นผู้ปราชัย
ทุกคนปรบมือให้ป๊ะเพลิง แต่สีหน้าเสียดายหมูป่า เพลิงเลยต้องปลอบใจด้วยการประกาศยกหมูป่าให้อีกตัว เสียงเฮดังสนั่น แล้วแยกย้ายกันไปเตรียมดื่มกินกันในค่ำคืนนี้ เพลิงยกมือขึ้นเช็ดเลือดที่มุมปากพลางคิดว่าทำไมเขาถึงพลาด เพราะใจที่ไม่นิ่งพอ เขาให้คำตอบตัวเองแล้วคิดต่อว่าทำไมถึงไม่นิ่ง เพราะอะไร เพราะใคร สุดท้ายก็ได้ข้อสรุปว่าเพราะ...เธอ
เขาเก็บความรู้สึกไว้ เมื่อหันไปเห็นคนที่เดินมาหา หนึ่งนั้นคือปืนอีกหนึ่งคือหิน สายตาของทั้งคู่สบกับเขาก่อนจะหลุบมองที่มุมปากป๊ะเพลิง เพราะน้อยครั้งที่จะพลาดให้มีรอยเกิดขึ้นที่หน้า เพลิงรู้ทันสายตาที่มองมา แต่ไม่พูดอะไรนอกจากเดินนำขึ้นไปบนเรือน กระทั่งมานั่งบนเก้าอี้ตรงมุมระเบียง เสียงหินก็ดังขึ้น
“พลาดได้ไง”
“พูดเรื่องของนายมาดีกว่า”
“เพราะนายหญิงเหรอ”
“ตามไปตลบหลังพวกมันมา ได้อะไรมาบ้าง”
“เพราะการเปลี่ยนไปของเธอรบกวนใจนายใช่ไหม ถึงได้พลาด”
“อย่าให้ฉันต้องสั่งลงโทษนาย”
สีหน้าของหินเครียดขึ้นไม่ใช่เพราะกลัว แต่น้ำเสียงที่จริงจังของเพลิงเป็นคำตอบให้รู้ว่าใช่นั่นเอง แล้วตวัดสายตาไปมองปืนซึ่งไม่มีคำพูดใดๆออกมา จึงไม่พูดเรื่องนี้อีกนอกจากเล่าเรื่องที่ไปทำมาให้ฟัง ก่อนจะสรุปว่า “ผิดจากที่คาดไปนิดเมื่อไม่ใช่คนที่คิด แต่พวกมันคงร่วมมือกัน ไม่งั้นมันคงไม่ส่งคนเข้ามาที่นี่”
“มันชื่ออะไร”
“นายพลกฤษ เบื้องหน้าพ่อพระเบื้องหลังเน่าเฟะ นายอธิปคงขายแผนที่ให้ จึงส่งลูกน้องมาขุด ทั้งๆที่ไม่ได้อะไรไปนอกจากสูญเสียชีวิตถูกๆของลูกน้องมัน แต่ที่ฉันสงสัยมากกว่านั้นคือมันต้องการอะไร จึงเข้ามาขุดซ้ำแล้วซ้ำอีกและใครเป็นหนอนบอกทางให้มันเข้ามาได้ง่ายขนาดนี้”
“คิดว่าใครละ”
“นายก็รู้อยู่แล้ว”
“ตัดออกไปก่อน เพราะเธออยู่ในสายตาฉัน”
คำรับรองนี้ หินไม่รู้ว่าเพลิงรู้หรือเปล่าว่ามันหนักแน่นราวกับเชื่อใจเธอแล้ว แล้วคิดว่าใครกำลังชักน้ำเข้าลึกชักศึกเข้าบ้าน ปืนกันเพลิงก็คิดไม่ต่างกันเพราะเคยสงสัยกันมาแล้ว แต่ยังหาไม่เจอ
“ฝากหน่อยนะปืน” เสียงเพลิงดังขึ้น “ให้ผู้คุมกฎอีกสามคนคอยจับตาดูพวกที่ชอบออกไปนอกหุบเขาให้ดี ให้เงียบที่สุดด้วย ไม่งั้นมันจะรู้ตัวมุดดินหนีไปเสียก่อน อีกอย่างนายอาจจะต้องดูแลคุกทมิฬแทนหินชั่วคราว”
ปืนพยักหน้า แล้วเล่าเรื่องที่เขาไปสืบมา ซึ่งก็ไม่ต่างจากที่หินได้มาเลย จากนั้นก็เดินลงจากเรือนไป เหลือเพลิงกับหินที่ยังคุยกันอยู่ แต่พอเพลิงจะลุกไป เสียงหินก็ดังขึ้น “นายเชื่อใจเธอแล้วเหรอ ถึงรับรองออกมา”
เพลิงนิ่งไปนิด ก็บอกว่า “ฉันเชื่อตัวเอง”
“แสดงว่าใช่ งั้นคืนนี้นายก็ควรจะพาเธอมาร่วมงานด้วย”
“อย่าคิดแทนฉัน”
“นายทำให้ฉันคิดต่างหาก”
“งั้นนายก็คิดผิด”
พูดจบเพลิงก็เดินลงจากเรือนไปหาเจ้าพยัต เพื่อขี่มันไปตรวจรอบหุบเขา ปล่อยให้หินครุ่นคิดถึงความซับซ้อนในใจของเพลิง แล้วถอนหายใจออกมา เมื่อไม่เข้าใจว่าทำไมการกระทำมันช่างสวนทางกับจิตใจเหลือเกิน
******
พิมพ์ลดานั่งอยู่บนเก้าอี้ตรงระเบียงเรือนเชิงผา มองพระอาทิตย์อัสดงลงหลังเหลี่ยมเขาจนหายลับไป ก็มองความร่มรื่นของไพรป่าไปเรื่อยๆ แล้วหยุดสายตาไว้ที่นกตัวหนึ่ง ที่บินร่อนอยู่กลางเวหา ท่าทางมันเหมือนบินตามอะไรสักอย่าง จากที่เห็นไกลๆก็ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จนเห็นชัดว่ามันตัวใหญ่และมีขนสีน้ำตาลแซมขาว
“มองอะไรคะหนูพิมพ์”
เสียงนมสุกดังขึ้นพลางเดินเข้ามาหาพร้อมนมสด ที่ในมือมีปิ่นโตที่จะให้เธอถือไปเพิงหมาแหงน พิมพ์ลดาหันมายิ้มให้แม่นมทั้งสองคน ก่อนจะบอกว่า “มองนกตัวนั้นคะ” เธอชี้ให้ดู “มันบินมาใกล้เหมือนตามอะไรมา”
“อ๋อ เจ้าอินทรี” นมสดบอกพลางวางปิ่นโตไว้ใกล้ๆ “ป๊ะเพลิงคงกลับมาใกล้จะถึงแล้ว มันถึงบินอยู่แถวนี้”
“หมายความว่ามันเป็นนกที่เขาเลี้ยงไว้เหรอคะ”
“แต่เดิมนะท่านชีคเลี้ยงไว้ และฝึกให้คอยส่งข่าวระหว่างที่นี่กับทะเลทราย และคอยสอดส่องความผิดปรกติในหุบเขาพญา แต่หลังจากที่ท่านกลับไปอยู่ทะเลทราย มันก็กลายเป็นของป๊ะเพลิง” นมสดเป็นคนบอก
“ท่านชีค ใครคะ พิมพ์ไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน แล้วพิมพ์เคยเจอด้วยหรือเปล่า”
“ชีคอิมาอัลล์ บิล บิลาเราะห์ ท่านเป็นพ่อของป๊ะเพลิง หนูพิมพ์ก็เคยเจอในวันแต่งงานไงค่ะ”
คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันอย่างครุ่นคิด ก่อนจะบอกว่า “พิมพ์จำไม่ได้และนึกไม่ออกเลยค่ะ”
“ไม่ต้องนึกหรอกค่ะ ถึงไม่สูญเสียความทรงจำ ก็คงจะจำไม่ค่อยได้ เพราะเจอกันแค่ครั้งเดียว เช่นเดียวกับคุณพักตร์คุณแม่ของป๊ะเพลิง”
“แล้วพ่อกับแม่ของพิมพ์ละคะ”
แม่นมทั้งสองปิดปากเพราะไม่อยากพูดถึง และไม่ต้องทนอึดอัด เมื่อเห็นเพลิงควบเจ้าพยัตมาหยุดที่หน้าเรือนพอดี พิมพ์ลดาจึงรู้ว่าเวลาอิสระของเธอหมดลงแล้ว จึงลุกขึ้นหยิบปิ่นโตมาถือไว้เพื่อไปเพิงหมาแหงน แต่เพลิงเดินขึ้นมาบนเรือนเสียก่อน แม่นมทั้งสองเปิดยิ้มให้ แต่ยิ้มค้างอยู่แค่นั้น เพราะเห็นรอยช้ำที่มุมปากของเขา
“ต๊ายแล้วป๊ะเพลิง ไปโดนอะไรมา” เสียงนมสุกดังขึ้นมาพลางเดินมาดูใกล้ๆ “ใครมันเป็นหมาลอบกัดทำร้ายเอา บอกนมมา นมจะไปให้พวกคุกทมิฬจัดการ”
เสียงนั้นเป็นเดือดเป็นร้อนอย่างที่สุด แล้วดึงแขนเพลิงมานั่งที่เก้าอี้ตรงระเบียง มองแต่รอยช้ำจนไม่เห็นว่าเพลิงตวัดสายตาไปมองหน้าเมียมารยาที่มองอยู่เหมือนกัน ซึ่งพอรู้ว่าเขามองก็รีบเมินหลบไปมองอย่างอื่น แต่ไม่พ้นสายตาของนมสดที่เห็นเข้าพอดี แล้วเดินไปหยิบยามาให้
“บอกนมมานะคะว่าใครทำ คนนอกหรือคนใน” เสียงคาดคั้นดังมาอย่างต่อเนื่อง
“จะมีปัญญาอะไรไปจัดการ” เสียงถามเรียบๆดังออกมาเช่นเคย
“อย่าคิดว่านมแก่แล้วทำอะไรไม่ได้นะคะ ไอ้พวกคุมกฎพวกนั้นนะ นมสั่งให้ไปจัดการได้ ถ้าไม่ไปจะเผ่นกะบาลให้ยับเลย”
น้ำเสียงเข่นเขี้ยวอย่างจริงจังทำให้คิ้วเข้มเลิกขึ้นคล้ายจะขำ ก่อนจะบอกว่า “วัดฝีมือกับพวกทะเลทรายนิดหน่อย”
“ไม่หน่อยมั่งค่ะ ดูซิช้ำไปทั้งเยอะ แต่ทำไมถึงพลาดได้คะ เมื่อก่อนไม่เห็นจะพลาด”
คำพูดของนมสุกช่างตรงกับหัวหน้าคุกทมิฬเหลือเกิน แต่ไม่ได้ติดใจสงสัยมากนักเท่านั่นเอง แล้วหันไปรับยาจากมือนมสด แต่นางกลับจับมือพิมพ์ลดาให้รับแทน พร้อมกับบอกว่า “นมวางหม้อแกงลืมไว้บนเตา หนูพิมพ์ดูแลป๊ะเพลิงแทนนมหน่อยแล้วกัน” พูดจบนางก็จับแขนนมสุก ดึงให้ลุกตามไป แต่นมสุกขืนตัวไว้เพราะแน่ใจว่าไม่ได้ลืม กระทั่งโดนหยิกแขนนั่นแหละถึงจะถึงบางอ้อ
“เอ่อ ใช่ ข้าลืมไปสนิทเลย ไปไปรีบไป”
ว่าแล้วทั้งสองคนก็รีบเดินจากไป ขณะที่พิมพ์ลดาตามไปอย่างงงๆ แล้วหันมามองหน้าคมที่นิ่งเฉยเหมือนเคย ก็ชั่งใจว่าจะทำให้ดีหรือไม่ ถ้าไม่เขาก็คงหาว่าเธอเนรคุณ เพราะเคยช่วยเธอไว้ แต่ถ้าทำก็คงประเภททำดีแล้วไม่ได้ดีแน่นอน สรุปว่าเธอโดนทั้งขึ้นทั้งลง และจะโดนอีกสักครั้งก็คงไม่เป็นไร เพราะชินเสียแล้ว จึงลุกขึ้นไปนั่งใกล้ร่างสูง หยิบประคบไปแตะที่รอยช้ำตรงมุมปาก พยายามจะให้เบามือที่สุด แต่ความคิดร้ายๆที่แวบขึ้นมาบางครั้งก็ทำให้กดแรงไป
“คิดจะเอาคืนฉันหรือไง” เพลิงถามอย่างรู้ทัน แต่เธอทำหน้าไม่รู้เรื่องด้วย
“ฉันไม่กล้าหรอกค่ะ”
“แล้วที่ทำ”
“แค่ไม่เคย ก็อาจจะหนักมือไปบางแค่นั้นเอง” เธอบอกแล้วแอบยิ้ม จนต้องรีบกัดฟันกลัวเขาจับได้ แต่ไม่พ้นอยู่ดี
“ยิ้มอะไร”
พิมพ์ลดาเม้มริมฝีปากนิดๆ แล้วก็ตอบตรงๆ “แค่คิดว่าฉันน่าจะเอาประคบกระแทกปากคุณสักครั้งสองครั้งดูว่าจะเป็นยังไงเท่านั้นเอง”
“แล้วทำไมไม่ลอง”
“เพราะฉันรู้นะซิคะ ว่าผลลัพธ์มันจะเป็นยังไง จากที่ต้องตักน้ำใส่ตุ่ม ฉันอาจจะต้องเข็นครกขึ้นเขาแทนก็ได้”
เพลิงยิ้มอยู่ในใจ และไม่รู้ตัวว่าเขากำลังสนุกกับการได้นั่งคุยกับเธออยู่แบบนี้ “แล้วถ้าฉันไม่ทำอย่างที่เธอคิดละ เธอจะทำหรือเปล่า”
“ไม่ เพราะฉันเชื่อว่าไม่มีสัจจะในหมู่โจร และคนที่เกลียดฉันยิ่งกว่าไส้เดือนกิ้งกือ ไม่มีทางที่จะใจดี อย่างมากก็คงหลอกให้ตายใจแค่นั้นเอง” พูดจบเธอก็วางประคบไว้ในกระจาด แล้วบอกว่า “คุณควรไปอาบน้ำ ทานข้าวแล้วค่อยใส่ยาก่อนจะนอน วันสองวันปากคุณก็คงจะดีเหมือนเดิม” เสียงตอนท้ายนั้นแอบกัดเบาๆ แล้วจะลุกขึ้นไป
“แล้วไม่คิดว่าโจรจะกลับใจบ้างเหรอ”
เสียงที่ดังขึ้นทำให้พิมพ์ลดาต้องนั่งอยู่ที่เดิม แล้วตอบแบบนิ่มๆแต่เชือดเฉือนอยู่ลึกๆว่า “ไม่ เพราะมันก็เป็นแค่คำพูด ที่ใครจะปั้นแต่งให้สวยหรูยังไงก็ได้ แต่เนื้อลึกภายในจิตใจถ้าสกปรกยังไงมันก็สกปรกอย่างนั้น”
“เหมือนเธอซินะ ที่ปากหวานก้นเปรี้ยวไม่เคยเปลี่ยน”
“ก็อาจจะใช่ แต่คงไม่ใช่ฉันคนเดียว เพราะคุณก็กำลังเป็นอยู่เหมือนกัน”
“งั้นแสดงว่าที่ฉันจูบไป เธอจดจำได้หมดซินะ”
พิมพ์ลดาได้แต่งงว่ามันเกี่ยวอะไรกัน จึงเฉยเสียเพราะพูดไปก็เข้าตัวเปล่าๆ แต่เพลิงดูจะไม่หยุดเพราะสนุกกับการที่ได้หยิกแก้มหยอกเธอ “ทำไมไม่เถียงละ หรือว่าจริง”
“เปล่าเสียหน่อย”
ปากเธอก็พูดไปอย่างนั้น แต่แก้มกลับแดงขึ้นให้เพลิงมองเพลิน แม่นมทั้งสองคนที่ออกมาแอบมองอยู่ได้แต่ยิ้มปลื้ม ยิ่งเห็นป๊ะเพลิงยื่นหน้ามาใกล้แก้มหนูพิมพ์ก็คิดว่าเขาต้องจูบเธอแน่นอน จึงยกมือขึ้นปิดหน้ามองลอดนิ้วออกมาลุ้น แต่ไม่ได้เป็นอย่างที่คิด เมื่อเพลิงหยุดอารมณ์ไว้ แล้วลุกขึ้นยืนพร้อมดึงร่างอรชรให้ลุกตามลงจากเรือนไป แม่นมทั้งสองที่แอบมองอยู่รีบเดินออกมาบอกว่า
“ฟ้าเริ่มมืดแล้ว ไม่ต้องไปเพิงหมาแหงนหรอกป๊ะเพลิง ค้างที่นี่เถอะ”
“ฉันจะไปคุกทมิฬ” พูดจบเพลิงก็พาเธอลงจากเรือนไป แม่นมทั้งสอง
ไม่มีเสียงคัดค้านจากแม่นมทั้งสองคน ไม่มีอาการห่วงใยหญิงสาวย่างเคยเพราะรู้ว่าหลังการฝึกซ้อมฝีมือจะมีงานเลี้ยง ซึ่งทั้งคู่ดีใจที่ป๊ะเพลิงพาหนูพิมพ์ไป เพราะนั่นแสดงว่าเขายอมรับเธอมากขึ้น แต่พิมพ์ลดาไม่รู้จึงได้แต่หวั่นใจขณะก้าวตามเขาลงมาจากเรือน
********
เพลิงพาเธอมาขึ้นหลังเจ้าพยัต บังคับให้มันเดินตรงไปที่คุกทมิฬ ที่เธอพอจะรู้กิตติศักดิ์ว่าเป็นยังไงแม้จะไม่เคยเห็นกับตาและคิดว่าเธอทำผิดอะไรอีก เขาถึงพาไปที่นั้น แต่ก็ทำใจให้ยอมรับกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นเมื่อไม่มีทางเลือกใดที่ทำได้มากไปกว่านี้ สายลมยามค่ำ กับแสงจันทราดวงดาราที่ส่องประกายขึ้นมาช่วยคลายความวิตกในใจเธอได้บ้าง แต่เมื่อเจ้าพยัตวิ่งมาหยุดยืนหน้าคุกความหวั่นใจก็เริ่มกลับคืนมา
ผู้ชายหน้าเหี้ยมที่ยืนอยู่สองคน รีบก้มคำนับให้นายแห่งหุบเขา เพลิงพยักหน้าให้เพียงนิดก็ลงจากหลังเจ้าพยัตก่อนจะรับตัวเธอลงมา จับแขนดึงให้เดินเข้าไปข้างใน พิมพ์ลดาเดินตามพลางมองไปรอบ ๆและได้กลิ่นหอมจากการย่างอะไรสักอย่าง เป็นอันดับแรก ก็เห็นแสงไฟจากกองไฟกองใหญ่กลางลานกว้าง ชายฉกรรจ์หลายสิบคน จับกลุ่มดื่มกิน ยืนบ้างนั่งบ้างคละเคล้ากันอยู่รองกองไฟ เสียงเพลง เสียงพูดคุยดังมาเป็นระยะอย่างกับมีงานเลี้ยงอะไรสักอย่าง และห่างจากกองไฟที่ลุกโชน ก็จะเป็นเรือนไม้เป็นแถวเป็นแนว มีประตู มีไม้ตีระแนงราวกับเป็นคุมขังหรือว่านั้นคือคุกที่เขาพูดถึง
เพลิงปรายตามองใบหน้างามที่ดูจะหวั่นไหวเล็กน้อย แล้วเดินนำร่างอรชรไปใกล้ที่ขังพวกทำผิดคิดร้ายต่อหุบเขาของเขา ซึ่งเธอก็เดินตามไปโดยไม่รู้ว่ากำลังจะเผชิญกับอะไร แล้วก็ต้องตกใจ เมื่อจู่ๆก็มีมือยื่นออกมาจับแขนเธอไว้
“ขอน้ำ หิว หิว ช่วยด้วย”
เสียงร้องโหยหวนดังออกมา พิมพ์ลดาพยายามจะดึงมือกลับ แต่ยากเหลือเกินเพราะโดนจับไว้แน่น แสงโคมไฟที่ปักอยู่ตามเสาบวกกับแสงไฟที่กำลังลุกโชนทำให้เธอได้เห็นหน้าคนร้องขอ ตัวผอมโซ่ สกปรกและเต็มไปด้วยบาดแผล จากที่กลัวก็ให้รู้สึกสงสาร จึงหันไปมองร่างสูงเพื่อให้ช่วย แต่เขากลับนิ่งเฉยเหมือนเคย ก็หันหน้ากลับมามองอย่างเห็นใจ แล้วสะดุ้งสุดตัวมีเสียงห้าวเหี้ยมดังเล็ดลอดออกมา
“ปล่อย ปล่อยกูออกไป ปล่อย กูทรมาน กูจะฆ่ามึง”
เสียงโกรธแค้นนั้นน่ากลัวแล้วยังพยายามจะดึงตัวเธอเข้าไปหา และมีอีกหลายมือจากหลายคนที่พยายามไขว่คว้าตัวเธอพร้อมเสียงร้อง เสียงอาฆาต เสียงอ้อนวอน บางคนก็เขย่ากรงข่มขวัญ บางก็มองเธออย่างหื่นกระหายคล้ายจะฉีกออกเป็นชิ้นๆ พิมพ์ลดาถอยห่างอย่างสุดกลัว ผวาไปหาร่างสูงเหมือนลูกนกที่ตกจากรัง แต่ไม่มีท่าทีใดๆให้เธอเห็นนอกจากความเฉยเมยเหมือนที่ผ่านมา และทิ้งให้เธอยืนเดียวดายอยู่เพียงลำพัง ก็เข้าใจแล้วว่าเขาพามาที่นี่ทำไม คงอยากจะข่มขวัญอยากให้เธอได้เห็นถึงสิ่งที่เธอจะได้รับ ถ้าทำผิดคิดร้ายกับเขาและคนของเขานั่นเอง
สองขาเธอหนักอึ้ง เพราะไม่อยากจะเดินตามเขาไป ความโหดร้ายที่ได้เห็นทำให้เธอกลัวก็จริง แต่ความสงสารก็ยังมีอยู่ในใจเธอ จึงหันไปมองทุกคนที่ถูกขังอยู่และอยากจะรู้ว่าแต่ละคนทำผิดอะไรหนักหนาถึงได้ถูกทำร้ายทำโทษขนาดนี้ แล้วย้อนกลับมาคิดถึงตัวเองที่ยังไม่รู้เหมือนกันว่าทำผิดอะไร ทำไมเขาถึงได้ใจร้ายกับเธอนัก
“นายหญิง” พิมพ์ลดาหันไปมองหน้าคนเรียก ซึ่งก็คือนายหินหัวหน้าคุกทมิฬนั่นเอง “เชิญครับ” เขาบอกพร้อมกับรอให้เธอเดินไปด้วยกัน ซึ่งก็ลังเลเล็กน้อยก่อนจะเชิดหน้าขึ้นเดินตามไปพร้อมกับสบตาทุกคนที่มองมา กระทั่งเดินมายืนอยู่หน้าคนที่เกลียดเธอและทุกคนนั่งกันอยู่ หินก็ตบมือให้ทุกคนเงียบแล้วพูดขึ้น “คืนนี้นายหญิงพิมพ์ลดาจะมาร่วมงานเลี้ยงกับเราด้วย”
ทุกคนเงียบเหมือนกับเจอเรื่องประหลาด แล้วมีเสียงแทรกความเงียบขึ้นมา “งั้นก็ต้องดื่มกับเราด้วย”
“ใช่” หลายเสียงสนับสนุนออกมา แล้วหนึ่งในกลุ่มที่นั่งกันอยู่ก็เดินออกมายื่นแก้วน้ำเมาที่ฉุนเข้าจมูกกับเนื้อหมูป่าที่ย่างอยู่ข้างกองไฟ ให้เธอ พิมพ์ลดายกมือขึ้นรับพร้อมกับบอกว่า
“ขอบใจจ๊ะ”
“ดื่มเลย ดื่มเลย”
เสียงเชียร์ดังขึ้น เธอจึงปรายตาไปมองคนที่เกลียดเธอเพื่อหวังจะให้ขอความเห็นเพราะไม่อยากดื่มเมื่อไม่รู้ว่าน้ำที่ถืออยู่มีฤทธิ์มากแค่ไหน แต่ความหวังก็สูญเปล่าเหมือนเคย ความรู้สึกที่ก่อตัวขึ้นในใจถูกลบหาย เมื่อสิ่งที่เขาทำมาเหมือนมีใจนั้นคือการหลอกลวง จึงหยามหยันตัวเองอย่างสมเพช แล้วดื่มน้ำที่อยู่ในมือจนหมดแก้ว
ทุกคนตาค้างอย่างคาดไม่ถึงว่าเธอจะดื่ม เพราะที่ผ่านมาที่ทุกคนรู้คือนายหญิงถือตัว มองไม่เห็นหัวพวกเขา อย่าว่าแต่จะให้ดื่มเลย แม้เดินเฉียดเข้าไปใกล้ก็ทำท่ารังเกียจ แต่เวลานี้กลับผิดไปจากที่ผ่านมา ขณะที่พิมพ์ลดารู้สึกร้อนวาบไปทั้งตัว เหมือนมีอะไรไต่ไปตามเส้นเลือด แต่ทำเหมือนไม่มีอะไร แล้วส่งแก้วคืนคนที่ส่งให้มา ซึ่งยิ้มให้เธอเพียงเล็กน้อย แล้วรับแก้วกลับมานั่งที่เดิม
“สนุกกันใหญ่ ฉลองอะไรกันจ๊ะ”
ทุกคนหันไปมองคนพูด ซึ่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เดือนประดับนั่นเอง เธอเดินมายืนเคียงข้างพิมพ์ลดาเทียบให้ทุกคนได้เห็นความดูดีมีราคาของเธอเพราะอยู่ในชุดสวยหรูดูแพง ไม่ใช่ซอมซออยู่ในเสื้อกับกางเกงธรรมดา แล้วเชิดหน้าขึ้นโปรยยิ้มหวานให้ทุกคนแต่ยิ้มหยันให้พิมพ์ลดาแล้วเดินไปนั่งข้างเพลิง โดยไม่สนใจว่าใครจะสงสัยว่าเธอมาที่นี่ได้ไง ก็ไอ้ชาติเป็นหูเป็นตาให้เธออยู่ทั้งคน ทำไมเธอจะไม่รู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้าง
“ว่าไงจ๊ะ ฉลองอะไรกัน” เสียงเธอหวานราวกับนางงาม จึงมีเสียงตอบติดตลกมาว่า
“ประลองหมัดชนะป๊ะเพลิง”
“อุ้ย ตายแล้ว” เธอยกมือทาบอกราวกับตกใจหนักหนา แล้วหันมาเสียงอ่อนเสียงหวานกับเพลิงโดยไม่สนใจพิมพ์ลดาที่ยืนหัวโด่อยู่ “ได้ไงคะเพลิง เสียงหน้าแย่ อ่อนให้พวกเขาหรือเปล่า แล้วเจ็บไหมคะ” ว่าพลางก็ยกมือขึ้นแตะที่มุมปากเขา ก่อนจะเอาใจด้วยการหยิบไหเหล้ามารินใส่แก้วส่งให้เขาถึงมือ ซึ่งเพลิงก็รับมาดื่มด้วยสีหน้านิ่งๆ แต่เพียงแค่นี้เดือนประดับก็คิดว่าเธอชนะพิมพ์ลดาแล้ว แล้วทำตัวกลมกลืนไปกับทุกคน ยิ้มให้คนโน้นนิด ถามนี่หน่อยทักทายไปทั่ว
พิมพ์ลดาจึงรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นส่วนเกินของที่นี่ แต่ไม่คิดจะหันหลังกลับ เธอถอยไปนั่งข้างหิน หยิบไหเหล้ามารินใส่แก้ว ยกขึ้นดื่มเหมือนมันเป็นแค่น้ำเปล่าไม่ใช่น้ำเมา และไม่สนใจว่าคนเกลียดชังเธอจะอี้อ๋อกับผู้หญิงอีกคนแค่ไหน กับแก้มที่หอมกรุ่นก็เข้าปากชิ้นแล้วชิ้นเล่า กระทั่งความมึนเข้าครอบงำ แต่สติยังดีอยู่บ้างเล็กน้อย ไหน้ำเมากับกับแก้มที่วางอยู่ถูกหิ้วขึ้นมา ลุกขึ้นเดินไปที่คุมขัง
เพลิงจับตามองด้วยความนิ่งเฉยแต่หินรีบลุกเดินตามไปขวางโดยมีสายตาทุกคนมองตามไปอย่างงุนงงปนสงสัยว่าเธอจะทำอะไร
“นายหญิงอย่าครับ” หินห้ามเมื่อพอจะรู้ว่าเธอจะทำอะไร ผู้หญิงจะมีอะไรมากไปกว่าสงสาร พลางตวัดสายตามองไอ้พวกทำผิดที่เริ่มยื่นมือมาเขย่ากรงขังเร่งเร้าขึ้นมา
“ทำไม ในเมื่อพวกเขาก็เป็นคนเหมือนกัน”
“แต่จิตใจต่างกัน มันจึงอันตราย”
“ฉันรู้ว่าจะต้องทำยังไง”
พูดจบเธอก็เหวี่ยงไหให้หินถือ จังหวะที่เขายกมือขึ้นรับสิ่งที่คาดไม่ถึงก็เกิดขึ้น ปืนที่เหน็บอยู่ซอกเอวก็ถูกเธอดึงออกมา หินนิ่งไปเล็กน้อย ก็จ้องหญิงสาวราวกับพยัคฆ์ที่พร้อมจะปลิดชีวิตเหยื่อ เพราะอดีตที่เธอทำไว้ทำให้เขาพร้อมจะร้ายกับเธอ
พิมพ์ลดามองปืนในมือแล้วเดินเซนิดๆไปที่กรงขัง ยกปืนขึ้นเล็งไปข้างหน้าพร้อมเสียงพูดที่ดังขึ้น “ถอยออกไป” เธอสั่ง พวกที่อยู่ในกรงขังเริ่มปรายตามองหน้ากัน ส่งสัญญาณให้กันพลางถอยห่างอย่างว่าง่าย เธอจึงเดินไปเปิดประตูเพื่อเอาหมูย่างให้ แต่เปิดไม่ได้เพราะมีโซ่คล้องกุญแจไว้ ก็หันมาจะคุยกับหิน จังหวะนั้นเองที่หนึ่งในพวกทำผิดปรี่เข้ามาดึงตัวเธอไปล็อกคอ อีกคนก็รีบเข้ามาดึงแขนเอาปืนไปจ่อหัวเธอ
********
ขอบคุณที่ติดตามผลงานค่ะ
pream
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 11 มิ.ย. 2558, 17:43:21 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 11 มิ.ย. 2558, 17:43:21 น.
จำนวนการเข้าชม : 3139
<< ตอน 9 | ตอน 11 >> |
แว่นใส 11 มิ.ย. 2558, 22:01:42 น.
เป็นเรื่องล่ะ
เป็นเรื่องล่ะ
kaelek 11 มิ.ย. 2558, 22:03:03 น.
โอ้!! ใครจะช่วยล่ะงานนี้
โอ้!! ใครจะช่วยล่ะงานนี้
konhin 11 มิ.ย. 2558, 23:21:06 น.
เอ่อ นางเอกกำลังสงสารงู(คนคุก) แต่โดนงูแว้งกัดซะแล้ว
เอ่อ นางเอกกำลังสงสารงู(คนคุก) แต่โดนงูแว้งกัดซะแล้ว
Zephyr 13 มิ.ย. 2558, 10:31:10 น.
สมน้ำหน้าดีมั้ย
สมน้ำหน้าดีมั้ย
warap 15 มิ.ย. 2558, 10:37:08 น.
แก้คำผิดค่ะ "ปืนกันเพลิงก็คิดไม่ต่างกัน" แก้เป็น "ปืนกับเพลิง"
แก้คำผิดค่ะ "ปืนกันเพลิงก็คิดไม่ต่างกัน" แก้เป็น "ปืนกับเพลิง"