หยกวาดตะวัน
"ฉันชื่อวาดตะวัน มาจากในนิยาย นิยายบนโลกมนุษย์นี่แหละ!"
เสียงเล็กแหลมของสาวน้อยที่แฝงไว้ด้วยความมาดมั่นร่ำร้องซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่อย่างนั้น
ทำเอาชานนอยากจะเป็นบ้าตาย
ตอนนี้ชีวิตเขาวุ่นวายมากพออยู่แล้ว ไม่ว่าจะหน้าที่การงานหรือว่าคนรัก
เขาเพิ่งถูกแฟนสาวสลัดทิ้งมาหมาดๆ
แต่แล้วจู่ๆ วันดีคืนดีก็มีผู้หญิงร่างเล็กบอบบางแทบปลิวได้ตกลงมาในบ้านเขา
ซ้ำร้ายยังเอาแต่พร่ำเพ้อว่าตัวเองหลุดมาจากโลกในนิยาย
งานนี้ไม่รู้ว่าหล่อนหรือเขากันแน่ที่บ้า
...ทางเดียวที่ทำได้คือเขาต้องไล่หล่อนกลับไปในโลกนิยายอย่างนั้นเหรอ ?
เสียงเล็กแหลมของสาวน้อยที่แฝงไว้ด้วยความมาดมั่นร่ำร้องซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่อย่างนั้น
ทำเอาชานนอยากจะเป็นบ้าตาย
ตอนนี้ชีวิตเขาวุ่นวายมากพออยู่แล้ว ไม่ว่าจะหน้าที่การงานหรือว่าคนรัก
เขาเพิ่งถูกแฟนสาวสลัดทิ้งมาหมาดๆ
แต่แล้วจู่ๆ วันดีคืนดีก็มีผู้หญิงร่างเล็กบอบบางแทบปลิวได้ตกลงมาในบ้านเขา
ซ้ำร้ายยังเอาแต่พร่ำเพ้อว่าตัวเองหลุดมาจากโลกในนิยาย
งานนี้ไม่รู้ว่าหล่อนหรือเขากันแน่ที่บ้า
...ทางเดียวที่ทำได้คือเขาต้องไล่หล่อนกลับไปในโลกนิยายอย่างนั้นเหรอ ?
Tags: นักเขียน แฟนตาซี ปาฎิหารย์ ใสซื่อ เวทย์มนตร์
ตอน: บทที่ 8 (ครึ่งแรก)
บทที่ 8
"เกิดอะไรขึ้นครับพ่อ แล้วแม่ละครับ"
ชานนถามด้วยน้ำเสียงร้อนรน แทบจะพุ่งถลาเข้ามาในบ้านเสียเดี๋ยวนั้น ก่อนหน้านี้บิดามีอาการตื่นตระหนกโทรศัพท์มาบอกเขาว่ามารดาจู่ๆ ก็กรีดร้องเสียงดังลั่นเหมือนตกใจอะไรบางอย่าง ชานนเป็นห่วงเลยรีบพาวาดตะวันกลับมาบ้านทั้งที่ยังไม่ทันได้คุยกับเพ็ญจันทร์เลยด้วยซ้ำ
"ตานน!"
นงลักษณ์ซึ่งนั่งตัวสั่นเทาอยู่บนโซฟาห้องรับแขกทำท่าจะลุกมาโผกอดลูกชายทันทีที่เห็น หากชานนไวกว่าเข้ามานั่งเคียงข้างกอดมารดาไว้ในอ้อมแขน ขณะที่มีวาดตะวันตามมานั่งขนาบข้างนงลักษณ์อีกที
"แม่...เป็นอะไร ใครทำอะไรแม่"
"ชะ...ช่วยแม่ด้วยตานน แม่เจอปีศาจ ปีศาจมันอยู่หน้าบ้านเรา"
"ปีศาจ?" ลูกชายทวนคำอย่างไม่เชื่อหู ต้องหันหาบิดาเพื่อขอคำอธิบาย
ชัยพลนั้นเพิ่งปิดประตูรั้วเสร็จเดินกลับเข้ามาในบ้าน อาการหลอนของภรรยาที่หนักขึ้นทำให้ชัยพลมีสีหน้าไม่สู้ดีเท่าไหร่ ทรุดตัวลงนั่งบนโซฟาใกล้ๆ "แม่เราน่ะสิ เห็นเจ้าซาหริ่มมันกำลังวิ่งไล่แมลงสาบออกไปนอกบ้าน กลัวจะถูกรถชนเอาเลยตามไปคว้าตัวเข้าบ้าน แล้วอยู่ดีๆ แม่เขาก็กรีดร้องขึ้นมาเฉย พ่อถึงออกไปดูตอนนั้นนั่นแหละ แต่ก็ไม่เห็นมีอะไรเลยนะ"
"แล้วออมละครับทำอะไรอยู่ถึงได้ปล่อยให้เจ้าซาหริ่มวิ่งซนจนเกิดเรื่อง"
"รายนั้นขอออกไปทำงานที่บ้านเพื่อน รู้สึกเวลาไล่เลี่ยกับที่เราไปโรงพยาบาลเห็นจะได้"
"บ้าจริง!" ชานนถึงกับสบถออกมา เขาอดโมโหน้องสาวไม่ได้ที่ปล่อยให้บิดามารดาของเขาอยู่กันตามลำพัง
นงลักษณ์ยังคงมองไปทางซ้ายทีขวาทีลักษณะหวาดระแวง มือที่เหี่ยวย่นตามกาลเวลานั้นจับลูกชายไว้แน่น วาดตะวันเห็นแล้วสงสารสุดหัวใจเลยช่วยปลอบมารดาของชานนอีกแรง ระหว่างนั้นซาหริ่มเดินลิ้นห้อยมาหา บนหลังสุนัขตัวน้อยมีเจ้าออกัสเกาะอยู่อย่างกับเห็นเจ้าซาหริ่มเป็นม้าควบอย่างนั้น ตามมาด้วยกระโดดผลุงลงบนตักวาดตะวันอย่างคล่องแคล่ว
"ตอนที่ป้านงตกใจ เจ้าอยู่ด้วยรึเปล่า"
ออกัสพยักหน้า แล้วกระโดดเหยงๆ ชี้บุ้ยใบ้ไปที่หน้าบ้านสลับกับในบ้านไปมาให้วุ่น เจ้าซาหริ่มเองก็ร่วมด้วยเห่าโฮ่งๆ พยายามเล่าเหตุการณ์ให้วาดตะวันฟังเช่นกัน ตอนนั้นเองวาดตะวันถึงได้หน้าตาตื่นขึ้นมา
"วาดตะวัน! นั่นคุณจะไปไหน"
ชานนเลิกสนใจมารดาทันควัน เพราะไม่พูดพร่ำทำเพลงวาดตะวันก็ลุกออกไปนอกบ้าน ร้อนถึงเขาต้องลุกตามออกมา
วาดตะวันเปิดประตูรั้วมองไปตามถนนหน้าบ้าน
"ทำอะไรของคุณ อย่าบอกล่ะว่าจะมองหาแมลงสาบตัวที่ทำให้แม่ผมตกใจน่ะ" ชานนพูดล้อสาวเจ้าไปอย่างนั้น แล้วต้องแค่นหัวเราะให้กับความว่างเปล่าตรงหน้าที่ไร้ซึ่งผู้คนหรือสิ่งมีชีวิตใดๆ เดินป้วนเปี้ยนอยู่แถวนั้น
"คุณไม่ต้องคิดมากไปหรอก แม่ผมก็แค่ตาฝาดเลยหลอนไปเอง เดี๋ยวพวกเราช่วยกันปลอบแกสักพักก็คงดีขึ้น กลับเข้าไปในบ้านเถอะ"
"แต่เมื่อกี้เจ้าซาหริ่มกับเจ้าออกัสบอกฉันว่าวาโยส่งแมลงสาบมาตามดูฉันที่บ้านนาย"
จากที่ชานนจะหันหลังให้ ชะงักงัน
วาดตะวันกลัวชายหนุ่มตรงหน้าไม่เชื่อเลยยิ่งร้อนใจเล่าให้เขาฟังว่า "นายยังจำเรื่องที่เกิดขึ้นที่บ้านแม่หมอจันทรนิมิตได้ใช่มั้ย ที่มีกิ่งไม้จากไหนไม่รู้พุ่งเข้ามาหาออกัสน่ะ มันไม่ใช่อุบัติเหตุ แต่เป็นฝีมือของน้องสาวฉัน นี่ก็คงคอยสะกดรอยตามฉันอยู่ถึงได้ใช้ให้แมลงสาบแอบเข้ามาในบ้านนาย โชคยังดีที่เจ้าซาหริ่มเห็นเข้าเสียก่อน"
"นี่คุณกำลังจะบอกว่านอกจากคุณกับเพื่อนคุณที่หลุดมาจากโลกนิยายแล้ว ยังมีน้องสาวของคุณอีกเนี่ยนะ...ให้ตายสิ ผมต้องฝันร้ายอยู่แน่ๆ ใช่ บางทีเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นอยู่นี้มันอาจไม่ใช่เรื่องจริงก็ได้ ผมคงต้องกลับไปนอนสักตื่น"
ชานนเพ้อไม่ต่างจากคนช็อคจนเสียสติ ตั้งท่าจะกลับเข้าบ้านไปนอนลูกเดียว วาดตะวันเลยต้องดึงเขาไว้ นั่นแหละคนเพ้อถึงยอมหันกลับมา สาวตรงหน้าไม่พูดอะไรอีกนอกจากมองเขาตาละห้อย เจ้ากระรอกตัวน้อยที่อยู่บนไหล่วาดตะวันก็เช่นกัน ชานนคิดไม่ตกเลยกรอกตาขึ้นฟ้าอย่างสุดเซ็งชีวิต
"ตกลงแมลงสาบที่แม่ผมเห็นคือ...เอ่อ...ลูกสมุนของน้องสาวคุณจริงๆ เหรอ"
วาดตะวันพยักหน้า ถึงเขาจะทำหน้าปูเลี่ยนๆ ชอบกลแต่อย่างน้อยก็ยังดีกว่าหันหลังให้อย่างเมื่อครู่นี้
"เจ้าซาหริ่มเองก็ตกใจเหมือนกัน เพราะเกือบจับแมลงสาบตัวนั้นได้อยู่แล้ว แต่มันกลายร่างเป็นมนุษย์มีหนวด วิ่งหนีขึ้นรถที่จอดซุ่มอยู่แถวหน้าบ้านนายไปต่อหน้าต่อตา แม่นายบังเอิญเข้ามาเห็นตอนที่แมลงสาบกลายร่างพอดี แกก็เลยตกใจนึกว่าเป็นพวกภูตผีปีศาจ"
"แล้วคุณรู้ได้ยังไงว่าเป็นฝีมือน้องสาวคุณ"
"วาโยเป็นคนขับรถพามนุษย์แมลงสาบหนีไปค่ะ" วาดตะวันบอกเขาพลางทำความเข้าใจเจ้ากระรอกตัวน้อยบนไหล่ไปด้วย
"ออกัสจำแววตาของแมลงสาบตัวนั้นได้ มันเหมือนแววตาของนกฮูกตัวที่แอบตามฉันกับนายไปบ้านแม่หมอจันทรนิมิต"
ชานนยังจำภาพนกฮูกตัวนั้นที่บินหนีไปหลังจากเกิดเรื่องที่ระเบียงบ้านแม่หมอจันทรนิมิตได้ติดตาเลยมีสีหน้ากลุ้มใจหนักกว่าเก่า เขาไม่รู้ว่าเรื่องบ้าบอที่กำลังเผชิญอยู่ตอนนี้มันเรียกว่าอะไรด้วยซ้ำ ถ้าจะบอกว่าเป็นเรื่องไสยศาสตร์ อำนาจมนต์ดำ หรือเรื่องอัศจรรย์พันลึกอะไรก็แล้วแต่ ยังไงก็เป็นเรื่องที่เหนือธรรมชาติหาเหตุผลไม่ได้ในสายตาเขาอยู่ดี !
****************************
ชัยพลเป็นห่วงภรรยา บ่ายวันนั้นเขาจึงตัดสินใจจองตั๋วรถไฟเพื่อพานงลักษณ์กลับบ้านที่ตรังทันที ชานนนั้นพอรู้เรื่องก็ไม่คิดขัดแต่อย่างใด เพราะเขาก็ไม่สบายใจให้บุพการีทั้งสองอยู่ต่อเหมือนกัน ในช่วงเย็นก่อนถึงเวลารถไฟออกประมาณหนึ่งชั่วโมงลูกชายเลยอาสาขับรถไปส่งที่สถานีหัวลำโพง โดยมีวาดตะวันติดสอยห้อยตามไม่ห่าง ก่อนที่ทั้งเขาและหล่อนจะเลยไปหาแม่หมอจันทรนิมิตด้วยกันที่ร้านอาหารของพี่สาวเพื่อนมนชนก
"วันนี้แม่หมอมาดูดวงให้ร้านคุณโบว์ใช่มั้ยครับ" ชานนถามหญิงสาวเจ้าของร้านที่เข้ามาต้อนรับ
สาวผู้นั้นดูเหมือนไม่ได้แปลกใจในคำถามของเขากลับยิ้มกว้างอย่างเชื้อเชิญ ซึ่งผิดคาดเขามาก!
"แม่หมอรอพวกคุณอยู่แล้วค่ะ ตามโบว์มาทางนี้เลย" ว่าแล้วหล่อนก็เดินนำชานนกับวาดตะวันขึ้นบันไดร้านไปยังห้องสี่เหลี่ยมชั้นบนซึ่งเป็นพื้นที่ส่วนตัวของแม่หมอจันทรนิมิต
วาดตะวันเอาแต่กวาดตามองไปรอบกายอย่างสนใจ หล่อนเพิ่งเคยเข้ามาภายในร้านอาหารแห่งนี้เป็นครั้งแรก ผิดกับชานนที่ใจไปอยู่ที่แม่หมอจันทรนิมิตแล้ว เดิมทีนั้นเขาตั้งใจจะพาวาดตะวันกลับไปหาเพ็ญจันทร์ที่โรงพยาบาลอยู่หรอก แต่รินรดากลัวเพ็ญจันทร์ยังไม่แข็งแรงพอทั้งร่างกายและจิตใจที่จะพูดคุยเรื่องอดัมตอนนี้ จึงเหลือเพียงแค่แม่หมอจันทรนิมิตคนเดียวเท่านั้นที่น่าจะรู้เรื่องพิลึกพิลั่นเหล่านี้ดีที่สุดและช่วยหาทางออกให้กับเขาได้
"คุณทั้งสองคนมาแล้วค่ะแม่หมอ"
ได้ยินหญิงสาวเจ้าของร้านรายงานเช่นนั้น หญิงมีอายุในชุดยิปซีที่นั่งอยู่หลังโต๊ะกลางห้องจึงพยักหน้าช้าเป็นทำนองรับรู้ ปล่อยให้หญิงสาวเจ้าของร้านพาชานนกับวาดตะวันเข้ามาพบ
"แม่หมอรู้ได้ยังไงว่าพวกเราจะมา"
ชานนสงสัยเลยโพล่งถามออกมาเสียงห้วนไปนิดตามอารมณ์
แม่หมอจันทรนิมิตวางมาดประหนึ่งหมอดูผู้ทรงศีลตามเคย ก่อนหันไปยิ้มเยื้อนให้หญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างกายเขาวาดตะวันเลยเข้ามานั่งบนเก้าอี้หน้าโต๊ะแม่หมอ เป็นชานนที่มีอาการหงุดหงิดขึ้นมาไม่ค่อยเห็นด้วย เขาพอจะดูออกว่าแม่หมอจันทรนิมิตต้องการที่จะดูดวงให้วาดตะวันซึ่งเขามองว่ามันเสียเวลาโดยใช่เหตุ แต่ครั้นจะเอ่ยขัดก็ไม่อยากทำตัวเสียมารยาทไปมากกว่านี้เลยหันหลังให้หนีไปนั่งบนเก้าอี้ด้านหลังแทน
ภายใต้ความมืดสลัว มีเพียงแสงจันทร์สาดส่องเป็นลำแสงทอดยาวเข้ามาทางหน้าต่างผนวกกับแสงเทียนตามมุมห้อง ความเงียบค่อยๆ ปกคลุมทั่วบริเวณ ขณะที่แม่หมอจันทรนิมิตเอื้อมมือมาสัมผัสที่ข้อมือของวาดตะวัน หลับตากำหนดจิตเพ่งสมาธิไปที่เจ้าของข้อมือนั้น
"ถึงเวลาแล้วที่หนูควรจะได้รู้"
แม่หมอจันทรนิมิตเอ่ยพลางคลี่กลุ่มไพ่สี่เหลี่ยมจัตุรัสสีเลือดหมูบนโต๊ะตรงหน้าวาดตะวันออกเป็นรูปวงกลม
"หนูอยากรู้ว่าจะได้กลับโลกนิยายรึเปล่าน่ะค่ะ แล้วพอมีวิธีไหนบ้างที่ช่วยหนูได้"
ความต้องการนั้นเป็นไปตามความคาดหมายของแม่หมอจันทรนิมิตอยู่แล้วเลยให้วาดตะวันตั้งสมาธิ ใช้มือซ้ายเลือกไพ่จันทร์สีฝุ่นที่เห็นออกมาสามใบ ซึ่งจะบอกถึงภาพชะตาชีวิตของหล่อนในอนาคต
ชานนอดไม่ได้ลุกขึ้นมาดูด้วยอีกคน เขาเริ่มสนใจตั้งแต่ได้ยินคำถามของวาดตะวันแล้ว ทว่าภาพที่ปรากฏบนไพ่ใบแรกที่วาดตะวันเลือกออกมานั้นทำให้ชายหนุ่มนิ่วหน้า เขานึกว่าจะหน้าตาเหมือนไพ่ยิปซี ที่ไหนได้ไพ่แต่ละใบกลับมีแต่ภาพวาดสีฝุ่นสีขาวดำซึ่งยากที่จะเข้าใจ
"โชคชะตาของหนูถูกกำหนดขึ้นแล้วจริงๆ"
แม่หมอจันทรนิมิตพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบเหมือนเช่นทุกครั้ง แต่ไม่อาจซ่อนความวิตกกังวลในสิ่งที่เห็นได้
"มันหมายความว่ายังไงเหรอคะแม่หมอ" วาดตะวันสนใจอยากรู้
"ไพ่ใบแรกที่หนูเลือก เป็นภาพของนกเงือกสองตัวกำลังลิ้มรสอาหารของพวกมันซึ่งก็คือผักผลไม้ในป่า” แม่หมอเอื้อนเอ่ยบรรยายภาพที่ปรากฎด้วยสีฝุ่นตรงหน้า
“นกเหล่านี้ช่วยแพร่กระจายพันธุ์พืชให้เจริญงอกงามตามที่ต่างๆ บอกถึงการช่วยเหลือเกื้อกูล นั่นหมายความว่าหนูไม่ต้องเป็นกังวลไปว่าจะไม่ได้กลับโลกนิยาย มีคนพร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือหนูแน่นอน และจากจำนวนนกบ่งบอกชัดเจนว่ามีอยู่สองคนด้วยกันที่อาจเป็นที่พึ่งให้กับหนูได้ นกเงือกตัวแรก เปรียบดังมิตรสหาย แสดงว่าไม่ใช่ใครอื่นไกลแต่เป็นคนรอบตัวหนูนั่นเอง เขาคือมิตรแท้ของหนู ส่วนนกเงือกตัวที่สองเปรียบดั่ง...ผู้เป็นที่รัก"
คำว่า ‘ผู้เป็นที่รัก’ แม่หมอชำเลืองมองมาทางชานนเล็กน้อย ก่อนพลิกไพ่จันทร์สีฝุ่นใบที่สองและสามตามมา แต่แล้วแม่หมอกลับหน้าซีดเผือด
"มัวแต่พิลี้พิลัยอยู่นั่นเองแม่หมอ สรุปสักทีเถอะว่าเรื่องบ้าบอที่มันเกิดขึ้นอยู่ตอนนี้ ผมกับวาดตะวันจะต้องรับมือกับมันยังไงบ้าง"
นิสัยใจร้อนไม่เคยเปลี่ยนของชานนสร้างความไม่พอใจแก่แม่หมอจันทรนิมิต ตวัดสายตามามองเป็นเชิงตำหนิ
"ช่วงนี้หนูวาดตะวันต้องระวังตัวให้ดี"
แม่หมอสรุปห้วนๆ แค่นั้นก็หันไปคว้าย่ามสะพายของตัวเองที่แขวนไว้กับพนักเก้าอี้ด้านหลัง เดือดร้อนถึงชานนตั้งท่าจะโวยวายเพราะอุตส่าส์อดทนฟังอยู่ตั้งนาน แต่ไม่ทันไรแม่หมอจันทรนิมิตก็หันกลับมาอีกครั้ง หยิบหนังสือเล่มหนึ่งจากย่ามสะพายใบนั้นวางลงบนโต๊ะ
"ดิฉันรู้ว่าพวกคุณต้องมาที่นี่เลยนำหนังสือเล่มนี้ติดมาด้วย"
หนังสือที่ว่าถูกเลื่อนขนาบไปกับพื้นโต๊ะ ส่งให้ชายหนุ่มตรงหน้า
วาดตะวันนั้นยังค้างคาใจในคำทำนายเลยสนใจอยู่แต่ไพ่จันทร์สีฝุ่น ขณะที่ชานนหยิบหนังสือเล่มนั้นมาเปิดดู มันเป็นหนังสือปกแข็ง มีสีน้ำตาลเข้ม เล่มหนาและใหญ่ลักษณะคล้ายหนังสือโบราณ ชานนขมวดคิ้วมุ่นเมื่อเปิดหนังสือเล่มนั้นแล้วไม่เห็นมีตัวหนังสือใดเช่นเดียวกับหน้าปก แต่แล้วเพียงแค่ปลายนิ้วของเขาสัมผัสหน้ากระดาษแผ่นเหลืองกรอบนั้น จู่ๆ กลับมีตัวหนังสือค่อยๆ ปรากฎขึ้นทีละบรรทัดราวกับมีเวทย์มนตร์ซ่อนอยู่ภายใต้สัมผัสนั้นของเขา เผยให้เห็นรูปถ่ายพร้อมประวัติของใครไม่รู้เต็มหน้ากระดาษ รวมถึงหน้าอื่นๆ ด้วย
"หนังสือเล่มนี้รวบรวมรายชื่อคนทั่วโลกเอาไว้ เป็นกลุ่มคนที่ได้ถูกกำหนดไว้แล้วให้ต้องมีความเกี่ยวข้องกับตัวละครในโลกนิยาย ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง"
ชานนยังคงพลิกหน้าหนังสือไปเรื่อย ทว่าชายหนุ่มต้องอ้าปากค้างเมื่อเห็นรูปถ่ายตัวเองพร้อมประวัติยาวเหยียดหนึ่งหน้ากระดาษอยู่รวมกับกลุ่มคนเหล่านั้น !
"ดิฉันเข้าใจว่ามันอาจฟังดูเหลือเชื่อไปเสียหน่อย เพราะเหตุนี้ ในตอนแรกที่พวกคุณมาหาดิฉันที่บ้าน ดิฉันถึงยังไม่อยากบอกอะไร"
"ให้ตายสิ นี่มันเรื่องจริงเหรอเนี่ย"
ชานนทั้งสับสนและมึนงง ทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ตัวเดิม
แม่หมอจันทรนิมิตยังคงเล่าต่อว่าโดยปกติแล้วตัวละครทุกตัวจะดำเนินวิถีชีวิตไปตามที่ได้ถูกขีดเขียนไว้ แต่บนโลกเรามีนักเขียนนิยายตั้งมากมายที่แต่งเรื่องราวของตัวละครนั้นๆ ไม่จบ พวกเขาไม่รู้หรอกว่าตัวละครที่พวกเขาสร้างสรรค์จากจินตนาการนั้น จะมีตัวตนขึ้นมาจริงๆ ในโลกนิยาย มันเป็นอีกมิติหนึ่งที่ซ่อนอยู่ในโลกมนุษย์เรา พอตัวละครเหล่านั้นถูกปล่อยให้ค้างกลางคันครึ่งๆ กลางๆ นานวันเข้า ตัวละครก็จะค่อยๆ แกร่งกล้าขึ้น และที่อันตรายที่สุดคือการที่ตัวละครเริ่มมีวิถีชีวิตเป็นของตนเอง
ได้ยินแม่หมอเล่าแล้วชานนถึงกับนิ่งอึ้งไปไม่ถูก เขาอดที่จะสงสัยไม่ได้ว่าแม่หมอจันทรนิมิตรู้เรื่องพวกนี้ได้ยังไง แล้ว...แล้วใครที่อุตริทำหนังสือเล่มนี้ขึ้นมา มันเป็นไปได้ด้วยเหรอที่ตัวละครจะมีชีวิตขึ้นมา แล้วดันมาใช้ชีวิตปะปนอยู่กับผู้คนบนโลกมนุษย์!
วาดตะวันเป็นเพียงคนเดียวที่ไม่ได้แปลกใจกับเรื่องที่แม่หมอเล่า หล่อนลุกจากที่นั่งตามแม่หมอมาหยุดยืนหลังบานหน้าต่างเปิดโล่ง สนใจพระจันทร์สีเหลืองนวลบนท้องฟ้าเช่นกัน
"หนูจำคืนที่นั่งรถฟักทองหนีเข้าป่ามาได้ค่ะ คืนนั้นพระจันทร์กลมโต สวยเด่นมาก"
"ธรรมชาติมักมีเรื่องที่น่าพิศวงแอบแฝงอยู่เสมอจ้ะ" แม่หมอมีรอยยิ้มเย็นสงบให้สาวข้างกาย
“ดิฉันเชื่อในอำนาจของพระจันทร์ แสงของพระจันทร์จะมีพลังอำนาจมหาศาลยามที่พระจันทร์เต็มดวง พลังอำนาจนี้สามารถเชื่อมต่อโลกทั้งสอง ส่งผลให้ตัวละครบางตัวข้ามประตูมิติออกมาสู่โลกมนุษย์ได้ หนูวาดตะวันเองก็ตกอยู่ใต้อำนาจของแสงจันทร์เหมือนกันถึงได้มาอยู่บนโลกมนุษย์ ในขณะที่กำไลหยกเป็นเพียงแค่สื่อกลางเชื่อมโยงระหว่างคุณกับวาดตะวันเท่านั้น”
ชานนพยายามปะติดปะต่อสิ่งที่แม่หมอบอก
"ถ้าอย่างนั้นการที่ผมจะพาวาดตะวันกลับโลกนิยายได้ ต้องเป็นวันที่พระจันทร์เต็มดวงอย่างนั้นเหรอ"
"ไม่เชิงเสียทีเดียว" ว่าแล้วแม่หมอจันทรนิมิตก็กลับมาที่โต๊ะเพื่อพินิจพิเคราะห์ไพ่ของวาดตะวันอีกครั้ง
"อย่างที่ดิฉันเคยบอกพวกคุณไปแล้ว จุดจบของเรื่องนี้ขึ้นอยู่กับตัวพวกคุณเองด้วย เพราะทางเดียวที่จะส่งวาดตะวันกลับโลกนิยายได้ นิยายของวาดตะวันต้องถูกแต่งจนจบ แต่เท่าที่ดิฉันเห็นชะตาชีวิตของวาดตะวันผ่านไพ่จันทร์สีฝุ่นทั้งสามใบแล้ว...ท่าทางเรื่องจะไม่ง่ายอย่างที่พวกคุณคิด"
"เกิดอะไรขึ้นครับพ่อ แล้วแม่ละครับ"
ชานนถามด้วยน้ำเสียงร้อนรน แทบจะพุ่งถลาเข้ามาในบ้านเสียเดี๋ยวนั้น ก่อนหน้านี้บิดามีอาการตื่นตระหนกโทรศัพท์มาบอกเขาว่ามารดาจู่ๆ ก็กรีดร้องเสียงดังลั่นเหมือนตกใจอะไรบางอย่าง ชานนเป็นห่วงเลยรีบพาวาดตะวันกลับมาบ้านทั้งที่ยังไม่ทันได้คุยกับเพ็ญจันทร์เลยด้วยซ้ำ
"ตานน!"
นงลักษณ์ซึ่งนั่งตัวสั่นเทาอยู่บนโซฟาห้องรับแขกทำท่าจะลุกมาโผกอดลูกชายทันทีที่เห็น หากชานนไวกว่าเข้ามานั่งเคียงข้างกอดมารดาไว้ในอ้อมแขน ขณะที่มีวาดตะวันตามมานั่งขนาบข้างนงลักษณ์อีกที
"แม่...เป็นอะไร ใครทำอะไรแม่"
"ชะ...ช่วยแม่ด้วยตานน แม่เจอปีศาจ ปีศาจมันอยู่หน้าบ้านเรา"
"ปีศาจ?" ลูกชายทวนคำอย่างไม่เชื่อหู ต้องหันหาบิดาเพื่อขอคำอธิบาย
ชัยพลนั้นเพิ่งปิดประตูรั้วเสร็จเดินกลับเข้ามาในบ้าน อาการหลอนของภรรยาที่หนักขึ้นทำให้ชัยพลมีสีหน้าไม่สู้ดีเท่าไหร่ ทรุดตัวลงนั่งบนโซฟาใกล้ๆ "แม่เราน่ะสิ เห็นเจ้าซาหริ่มมันกำลังวิ่งไล่แมลงสาบออกไปนอกบ้าน กลัวจะถูกรถชนเอาเลยตามไปคว้าตัวเข้าบ้าน แล้วอยู่ดีๆ แม่เขาก็กรีดร้องขึ้นมาเฉย พ่อถึงออกไปดูตอนนั้นนั่นแหละ แต่ก็ไม่เห็นมีอะไรเลยนะ"
"แล้วออมละครับทำอะไรอยู่ถึงได้ปล่อยให้เจ้าซาหริ่มวิ่งซนจนเกิดเรื่อง"
"รายนั้นขอออกไปทำงานที่บ้านเพื่อน รู้สึกเวลาไล่เลี่ยกับที่เราไปโรงพยาบาลเห็นจะได้"
"บ้าจริง!" ชานนถึงกับสบถออกมา เขาอดโมโหน้องสาวไม่ได้ที่ปล่อยให้บิดามารดาของเขาอยู่กันตามลำพัง
นงลักษณ์ยังคงมองไปทางซ้ายทีขวาทีลักษณะหวาดระแวง มือที่เหี่ยวย่นตามกาลเวลานั้นจับลูกชายไว้แน่น วาดตะวันเห็นแล้วสงสารสุดหัวใจเลยช่วยปลอบมารดาของชานนอีกแรง ระหว่างนั้นซาหริ่มเดินลิ้นห้อยมาหา บนหลังสุนัขตัวน้อยมีเจ้าออกัสเกาะอยู่อย่างกับเห็นเจ้าซาหริ่มเป็นม้าควบอย่างนั้น ตามมาด้วยกระโดดผลุงลงบนตักวาดตะวันอย่างคล่องแคล่ว
"ตอนที่ป้านงตกใจ เจ้าอยู่ด้วยรึเปล่า"
ออกัสพยักหน้า แล้วกระโดดเหยงๆ ชี้บุ้ยใบ้ไปที่หน้าบ้านสลับกับในบ้านไปมาให้วุ่น เจ้าซาหริ่มเองก็ร่วมด้วยเห่าโฮ่งๆ พยายามเล่าเหตุการณ์ให้วาดตะวันฟังเช่นกัน ตอนนั้นเองวาดตะวันถึงได้หน้าตาตื่นขึ้นมา
"วาดตะวัน! นั่นคุณจะไปไหน"
ชานนเลิกสนใจมารดาทันควัน เพราะไม่พูดพร่ำทำเพลงวาดตะวันก็ลุกออกไปนอกบ้าน ร้อนถึงเขาต้องลุกตามออกมา
วาดตะวันเปิดประตูรั้วมองไปตามถนนหน้าบ้าน
"ทำอะไรของคุณ อย่าบอกล่ะว่าจะมองหาแมลงสาบตัวที่ทำให้แม่ผมตกใจน่ะ" ชานนพูดล้อสาวเจ้าไปอย่างนั้น แล้วต้องแค่นหัวเราะให้กับความว่างเปล่าตรงหน้าที่ไร้ซึ่งผู้คนหรือสิ่งมีชีวิตใดๆ เดินป้วนเปี้ยนอยู่แถวนั้น
"คุณไม่ต้องคิดมากไปหรอก แม่ผมก็แค่ตาฝาดเลยหลอนไปเอง เดี๋ยวพวกเราช่วยกันปลอบแกสักพักก็คงดีขึ้น กลับเข้าไปในบ้านเถอะ"
"แต่เมื่อกี้เจ้าซาหริ่มกับเจ้าออกัสบอกฉันว่าวาโยส่งแมลงสาบมาตามดูฉันที่บ้านนาย"
จากที่ชานนจะหันหลังให้ ชะงักงัน
วาดตะวันกลัวชายหนุ่มตรงหน้าไม่เชื่อเลยยิ่งร้อนใจเล่าให้เขาฟังว่า "นายยังจำเรื่องที่เกิดขึ้นที่บ้านแม่หมอจันทรนิมิตได้ใช่มั้ย ที่มีกิ่งไม้จากไหนไม่รู้พุ่งเข้ามาหาออกัสน่ะ มันไม่ใช่อุบัติเหตุ แต่เป็นฝีมือของน้องสาวฉัน นี่ก็คงคอยสะกดรอยตามฉันอยู่ถึงได้ใช้ให้แมลงสาบแอบเข้ามาในบ้านนาย โชคยังดีที่เจ้าซาหริ่มเห็นเข้าเสียก่อน"
"นี่คุณกำลังจะบอกว่านอกจากคุณกับเพื่อนคุณที่หลุดมาจากโลกนิยายแล้ว ยังมีน้องสาวของคุณอีกเนี่ยนะ...ให้ตายสิ ผมต้องฝันร้ายอยู่แน่ๆ ใช่ บางทีเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นอยู่นี้มันอาจไม่ใช่เรื่องจริงก็ได้ ผมคงต้องกลับไปนอนสักตื่น"
ชานนเพ้อไม่ต่างจากคนช็อคจนเสียสติ ตั้งท่าจะกลับเข้าบ้านไปนอนลูกเดียว วาดตะวันเลยต้องดึงเขาไว้ นั่นแหละคนเพ้อถึงยอมหันกลับมา สาวตรงหน้าไม่พูดอะไรอีกนอกจากมองเขาตาละห้อย เจ้ากระรอกตัวน้อยที่อยู่บนไหล่วาดตะวันก็เช่นกัน ชานนคิดไม่ตกเลยกรอกตาขึ้นฟ้าอย่างสุดเซ็งชีวิต
"ตกลงแมลงสาบที่แม่ผมเห็นคือ...เอ่อ...ลูกสมุนของน้องสาวคุณจริงๆ เหรอ"
วาดตะวันพยักหน้า ถึงเขาจะทำหน้าปูเลี่ยนๆ ชอบกลแต่อย่างน้อยก็ยังดีกว่าหันหลังให้อย่างเมื่อครู่นี้
"เจ้าซาหริ่มเองก็ตกใจเหมือนกัน เพราะเกือบจับแมลงสาบตัวนั้นได้อยู่แล้ว แต่มันกลายร่างเป็นมนุษย์มีหนวด วิ่งหนีขึ้นรถที่จอดซุ่มอยู่แถวหน้าบ้านนายไปต่อหน้าต่อตา แม่นายบังเอิญเข้ามาเห็นตอนที่แมลงสาบกลายร่างพอดี แกก็เลยตกใจนึกว่าเป็นพวกภูตผีปีศาจ"
"แล้วคุณรู้ได้ยังไงว่าเป็นฝีมือน้องสาวคุณ"
"วาโยเป็นคนขับรถพามนุษย์แมลงสาบหนีไปค่ะ" วาดตะวันบอกเขาพลางทำความเข้าใจเจ้ากระรอกตัวน้อยบนไหล่ไปด้วย
"ออกัสจำแววตาของแมลงสาบตัวนั้นได้ มันเหมือนแววตาของนกฮูกตัวที่แอบตามฉันกับนายไปบ้านแม่หมอจันทรนิมิต"
ชานนยังจำภาพนกฮูกตัวนั้นที่บินหนีไปหลังจากเกิดเรื่องที่ระเบียงบ้านแม่หมอจันทรนิมิตได้ติดตาเลยมีสีหน้ากลุ้มใจหนักกว่าเก่า เขาไม่รู้ว่าเรื่องบ้าบอที่กำลังเผชิญอยู่ตอนนี้มันเรียกว่าอะไรด้วยซ้ำ ถ้าจะบอกว่าเป็นเรื่องไสยศาสตร์ อำนาจมนต์ดำ หรือเรื่องอัศจรรย์พันลึกอะไรก็แล้วแต่ ยังไงก็เป็นเรื่องที่เหนือธรรมชาติหาเหตุผลไม่ได้ในสายตาเขาอยู่ดี !
****************************
ชัยพลเป็นห่วงภรรยา บ่ายวันนั้นเขาจึงตัดสินใจจองตั๋วรถไฟเพื่อพานงลักษณ์กลับบ้านที่ตรังทันที ชานนนั้นพอรู้เรื่องก็ไม่คิดขัดแต่อย่างใด เพราะเขาก็ไม่สบายใจให้บุพการีทั้งสองอยู่ต่อเหมือนกัน ในช่วงเย็นก่อนถึงเวลารถไฟออกประมาณหนึ่งชั่วโมงลูกชายเลยอาสาขับรถไปส่งที่สถานีหัวลำโพง โดยมีวาดตะวันติดสอยห้อยตามไม่ห่าง ก่อนที่ทั้งเขาและหล่อนจะเลยไปหาแม่หมอจันทรนิมิตด้วยกันที่ร้านอาหารของพี่สาวเพื่อนมนชนก
"วันนี้แม่หมอมาดูดวงให้ร้านคุณโบว์ใช่มั้ยครับ" ชานนถามหญิงสาวเจ้าของร้านที่เข้ามาต้อนรับ
สาวผู้นั้นดูเหมือนไม่ได้แปลกใจในคำถามของเขากลับยิ้มกว้างอย่างเชื้อเชิญ ซึ่งผิดคาดเขามาก!
"แม่หมอรอพวกคุณอยู่แล้วค่ะ ตามโบว์มาทางนี้เลย" ว่าแล้วหล่อนก็เดินนำชานนกับวาดตะวันขึ้นบันไดร้านไปยังห้องสี่เหลี่ยมชั้นบนซึ่งเป็นพื้นที่ส่วนตัวของแม่หมอจันทรนิมิต
วาดตะวันเอาแต่กวาดตามองไปรอบกายอย่างสนใจ หล่อนเพิ่งเคยเข้ามาภายในร้านอาหารแห่งนี้เป็นครั้งแรก ผิดกับชานนที่ใจไปอยู่ที่แม่หมอจันทรนิมิตแล้ว เดิมทีนั้นเขาตั้งใจจะพาวาดตะวันกลับไปหาเพ็ญจันทร์ที่โรงพยาบาลอยู่หรอก แต่รินรดากลัวเพ็ญจันทร์ยังไม่แข็งแรงพอทั้งร่างกายและจิตใจที่จะพูดคุยเรื่องอดัมตอนนี้ จึงเหลือเพียงแค่แม่หมอจันทรนิมิตคนเดียวเท่านั้นที่น่าจะรู้เรื่องพิลึกพิลั่นเหล่านี้ดีที่สุดและช่วยหาทางออกให้กับเขาได้
"คุณทั้งสองคนมาแล้วค่ะแม่หมอ"
ได้ยินหญิงสาวเจ้าของร้านรายงานเช่นนั้น หญิงมีอายุในชุดยิปซีที่นั่งอยู่หลังโต๊ะกลางห้องจึงพยักหน้าช้าเป็นทำนองรับรู้ ปล่อยให้หญิงสาวเจ้าของร้านพาชานนกับวาดตะวันเข้ามาพบ
"แม่หมอรู้ได้ยังไงว่าพวกเราจะมา"
ชานนสงสัยเลยโพล่งถามออกมาเสียงห้วนไปนิดตามอารมณ์
แม่หมอจันทรนิมิตวางมาดประหนึ่งหมอดูผู้ทรงศีลตามเคย ก่อนหันไปยิ้มเยื้อนให้หญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างกายเขาวาดตะวันเลยเข้ามานั่งบนเก้าอี้หน้าโต๊ะแม่หมอ เป็นชานนที่มีอาการหงุดหงิดขึ้นมาไม่ค่อยเห็นด้วย เขาพอจะดูออกว่าแม่หมอจันทรนิมิตต้องการที่จะดูดวงให้วาดตะวันซึ่งเขามองว่ามันเสียเวลาโดยใช่เหตุ แต่ครั้นจะเอ่ยขัดก็ไม่อยากทำตัวเสียมารยาทไปมากกว่านี้เลยหันหลังให้หนีไปนั่งบนเก้าอี้ด้านหลังแทน
ภายใต้ความมืดสลัว มีเพียงแสงจันทร์สาดส่องเป็นลำแสงทอดยาวเข้ามาทางหน้าต่างผนวกกับแสงเทียนตามมุมห้อง ความเงียบค่อยๆ ปกคลุมทั่วบริเวณ ขณะที่แม่หมอจันทรนิมิตเอื้อมมือมาสัมผัสที่ข้อมือของวาดตะวัน หลับตากำหนดจิตเพ่งสมาธิไปที่เจ้าของข้อมือนั้น
"ถึงเวลาแล้วที่หนูควรจะได้รู้"
แม่หมอจันทรนิมิตเอ่ยพลางคลี่กลุ่มไพ่สี่เหลี่ยมจัตุรัสสีเลือดหมูบนโต๊ะตรงหน้าวาดตะวันออกเป็นรูปวงกลม
"หนูอยากรู้ว่าจะได้กลับโลกนิยายรึเปล่าน่ะค่ะ แล้วพอมีวิธีไหนบ้างที่ช่วยหนูได้"
ความต้องการนั้นเป็นไปตามความคาดหมายของแม่หมอจันทรนิมิตอยู่แล้วเลยให้วาดตะวันตั้งสมาธิ ใช้มือซ้ายเลือกไพ่จันทร์สีฝุ่นที่เห็นออกมาสามใบ ซึ่งจะบอกถึงภาพชะตาชีวิตของหล่อนในอนาคต
ชานนอดไม่ได้ลุกขึ้นมาดูด้วยอีกคน เขาเริ่มสนใจตั้งแต่ได้ยินคำถามของวาดตะวันแล้ว ทว่าภาพที่ปรากฏบนไพ่ใบแรกที่วาดตะวันเลือกออกมานั้นทำให้ชายหนุ่มนิ่วหน้า เขานึกว่าจะหน้าตาเหมือนไพ่ยิปซี ที่ไหนได้ไพ่แต่ละใบกลับมีแต่ภาพวาดสีฝุ่นสีขาวดำซึ่งยากที่จะเข้าใจ
"โชคชะตาของหนูถูกกำหนดขึ้นแล้วจริงๆ"
แม่หมอจันทรนิมิตพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบเหมือนเช่นทุกครั้ง แต่ไม่อาจซ่อนความวิตกกังวลในสิ่งที่เห็นได้
"มันหมายความว่ายังไงเหรอคะแม่หมอ" วาดตะวันสนใจอยากรู้
"ไพ่ใบแรกที่หนูเลือก เป็นภาพของนกเงือกสองตัวกำลังลิ้มรสอาหารของพวกมันซึ่งก็คือผักผลไม้ในป่า” แม่หมอเอื้อนเอ่ยบรรยายภาพที่ปรากฎด้วยสีฝุ่นตรงหน้า
“นกเหล่านี้ช่วยแพร่กระจายพันธุ์พืชให้เจริญงอกงามตามที่ต่างๆ บอกถึงการช่วยเหลือเกื้อกูล นั่นหมายความว่าหนูไม่ต้องเป็นกังวลไปว่าจะไม่ได้กลับโลกนิยาย มีคนพร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือหนูแน่นอน และจากจำนวนนกบ่งบอกชัดเจนว่ามีอยู่สองคนด้วยกันที่อาจเป็นที่พึ่งให้กับหนูได้ นกเงือกตัวแรก เปรียบดังมิตรสหาย แสดงว่าไม่ใช่ใครอื่นไกลแต่เป็นคนรอบตัวหนูนั่นเอง เขาคือมิตรแท้ของหนู ส่วนนกเงือกตัวที่สองเปรียบดั่ง...ผู้เป็นที่รัก"
คำว่า ‘ผู้เป็นที่รัก’ แม่หมอชำเลืองมองมาทางชานนเล็กน้อย ก่อนพลิกไพ่จันทร์สีฝุ่นใบที่สองและสามตามมา แต่แล้วแม่หมอกลับหน้าซีดเผือด
"มัวแต่พิลี้พิลัยอยู่นั่นเองแม่หมอ สรุปสักทีเถอะว่าเรื่องบ้าบอที่มันเกิดขึ้นอยู่ตอนนี้ ผมกับวาดตะวันจะต้องรับมือกับมันยังไงบ้าง"
นิสัยใจร้อนไม่เคยเปลี่ยนของชานนสร้างความไม่พอใจแก่แม่หมอจันทรนิมิต ตวัดสายตามามองเป็นเชิงตำหนิ
"ช่วงนี้หนูวาดตะวันต้องระวังตัวให้ดี"
แม่หมอสรุปห้วนๆ แค่นั้นก็หันไปคว้าย่ามสะพายของตัวเองที่แขวนไว้กับพนักเก้าอี้ด้านหลัง เดือดร้อนถึงชานนตั้งท่าจะโวยวายเพราะอุตส่าส์อดทนฟังอยู่ตั้งนาน แต่ไม่ทันไรแม่หมอจันทรนิมิตก็หันกลับมาอีกครั้ง หยิบหนังสือเล่มหนึ่งจากย่ามสะพายใบนั้นวางลงบนโต๊ะ
"ดิฉันรู้ว่าพวกคุณต้องมาที่นี่เลยนำหนังสือเล่มนี้ติดมาด้วย"
หนังสือที่ว่าถูกเลื่อนขนาบไปกับพื้นโต๊ะ ส่งให้ชายหนุ่มตรงหน้า
วาดตะวันนั้นยังค้างคาใจในคำทำนายเลยสนใจอยู่แต่ไพ่จันทร์สีฝุ่น ขณะที่ชานนหยิบหนังสือเล่มนั้นมาเปิดดู มันเป็นหนังสือปกแข็ง มีสีน้ำตาลเข้ม เล่มหนาและใหญ่ลักษณะคล้ายหนังสือโบราณ ชานนขมวดคิ้วมุ่นเมื่อเปิดหนังสือเล่มนั้นแล้วไม่เห็นมีตัวหนังสือใดเช่นเดียวกับหน้าปก แต่แล้วเพียงแค่ปลายนิ้วของเขาสัมผัสหน้ากระดาษแผ่นเหลืองกรอบนั้น จู่ๆ กลับมีตัวหนังสือค่อยๆ ปรากฎขึ้นทีละบรรทัดราวกับมีเวทย์มนตร์ซ่อนอยู่ภายใต้สัมผัสนั้นของเขา เผยให้เห็นรูปถ่ายพร้อมประวัติของใครไม่รู้เต็มหน้ากระดาษ รวมถึงหน้าอื่นๆ ด้วย
"หนังสือเล่มนี้รวบรวมรายชื่อคนทั่วโลกเอาไว้ เป็นกลุ่มคนที่ได้ถูกกำหนดไว้แล้วให้ต้องมีความเกี่ยวข้องกับตัวละครในโลกนิยาย ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง"
ชานนยังคงพลิกหน้าหนังสือไปเรื่อย ทว่าชายหนุ่มต้องอ้าปากค้างเมื่อเห็นรูปถ่ายตัวเองพร้อมประวัติยาวเหยียดหนึ่งหน้ากระดาษอยู่รวมกับกลุ่มคนเหล่านั้น !
"ดิฉันเข้าใจว่ามันอาจฟังดูเหลือเชื่อไปเสียหน่อย เพราะเหตุนี้ ในตอนแรกที่พวกคุณมาหาดิฉันที่บ้าน ดิฉันถึงยังไม่อยากบอกอะไร"
"ให้ตายสิ นี่มันเรื่องจริงเหรอเนี่ย"
ชานนทั้งสับสนและมึนงง ทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ตัวเดิม
แม่หมอจันทรนิมิตยังคงเล่าต่อว่าโดยปกติแล้วตัวละครทุกตัวจะดำเนินวิถีชีวิตไปตามที่ได้ถูกขีดเขียนไว้ แต่บนโลกเรามีนักเขียนนิยายตั้งมากมายที่แต่งเรื่องราวของตัวละครนั้นๆ ไม่จบ พวกเขาไม่รู้หรอกว่าตัวละครที่พวกเขาสร้างสรรค์จากจินตนาการนั้น จะมีตัวตนขึ้นมาจริงๆ ในโลกนิยาย มันเป็นอีกมิติหนึ่งที่ซ่อนอยู่ในโลกมนุษย์เรา พอตัวละครเหล่านั้นถูกปล่อยให้ค้างกลางคันครึ่งๆ กลางๆ นานวันเข้า ตัวละครก็จะค่อยๆ แกร่งกล้าขึ้น และที่อันตรายที่สุดคือการที่ตัวละครเริ่มมีวิถีชีวิตเป็นของตนเอง
ได้ยินแม่หมอเล่าแล้วชานนถึงกับนิ่งอึ้งไปไม่ถูก เขาอดที่จะสงสัยไม่ได้ว่าแม่หมอจันทรนิมิตรู้เรื่องพวกนี้ได้ยังไง แล้ว...แล้วใครที่อุตริทำหนังสือเล่มนี้ขึ้นมา มันเป็นไปได้ด้วยเหรอที่ตัวละครจะมีชีวิตขึ้นมา แล้วดันมาใช้ชีวิตปะปนอยู่กับผู้คนบนโลกมนุษย์!
วาดตะวันเป็นเพียงคนเดียวที่ไม่ได้แปลกใจกับเรื่องที่แม่หมอเล่า หล่อนลุกจากที่นั่งตามแม่หมอมาหยุดยืนหลังบานหน้าต่างเปิดโล่ง สนใจพระจันทร์สีเหลืองนวลบนท้องฟ้าเช่นกัน
"หนูจำคืนที่นั่งรถฟักทองหนีเข้าป่ามาได้ค่ะ คืนนั้นพระจันทร์กลมโต สวยเด่นมาก"
"ธรรมชาติมักมีเรื่องที่น่าพิศวงแอบแฝงอยู่เสมอจ้ะ" แม่หมอมีรอยยิ้มเย็นสงบให้สาวข้างกาย
“ดิฉันเชื่อในอำนาจของพระจันทร์ แสงของพระจันทร์จะมีพลังอำนาจมหาศาลยามที่พระจันทร์เต็มดวง พลังอำนาจนี้สามารถเชื่อมต่อโลกทั้งสอง ส่งผลให้ตัวละครบางตัวข้ามประตูมิติออกมาสู่โลกมนุษย์ได้ หนูวาดตะวันเองก็ตกอยู่ใต้อำนาจของแสงจันทร์เหมือนกันถึงได้มาอยู่บนโลกมนุษย์ ในขณะที่กำไลหยกเป็นเพียงแค่สื่อกลางเชื่อมโยงระหว่างคุณกับวาดตะวันเท่านั้น”
ชานนพยายามปะติดปะต่อสิ่งที่แม่หมอบอก
"ถ้าอย่างนั้นการที่ผมจะพาวาดตะวันกลับโลกนิยายได้ ต้องเป็นวันที่พระจันทร์เต็มดวงอย่างนั้นเหรอ"
"ไม่เชิงเสียทีเดียว" ว่าแล้วแม่หมอจันทรนิมิตก็กลับมาที่โต๊ะเพื่อพินิจพิเคราะห์ไพ่ของวาดตะวันอีกครั้ง
"อย่างที่ดิฉันเคยบอกพวกคุณไปแล้ว จุดจบของเรื่องนี้ขึ้นอยู่กับตัวพวกคุณเองด้วย เพราะทางเดียวที่จะส่งวาดตะวันกลับโลกนิยายได้ นิยายของวาดตะวันต้องถูกแต่งจนจบ แต่เท่าที่ดิฉันเห็นชะตาชีวิตของวาดตะวันผ่านไพ่จันทร์สีฝุ่นทั้งสามใบแล้ว...ท่าทางเรื่องจะไม่ง่ายอย่างที่พวกคุณคิด"

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 28 พ.ค. 2558, 12:33:31 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 28 พ.ค. 2558, 12:33:31 น.
จำนวนการเข้าชม : 1014
<< บทที่ 7 (ครึ่งหลัง) | บทที่ 8 (ครึ่งหลัง) >> |

Zephyr 28 พ.ค. 2558, 20:11:58 น.
คนแต่งเรื่องของวาดตะวัน นอนพะงาบอยู่ รพ สินะ
คนแต่งเรื่องของวาดตะวัน นอนพะงาบอยู่ รพ สินะ

สรัน 29 พ.ค. 2558, 12:30:36 น.
อุ๊บส์ ไม่บอก อิอิ
อุ๊บส์ ไม่บอก อิอิ