แก้วขวัญวันรัก "ประกาศิตรักแก้วกัลยา"
เป็นเรื่องราวต่อยอดมาจาก แก้วขวัญวันรัก
โดยเรานำเรื่องราวของนางเอกทั้งสี่แบ่งพาสเป็นเรืองของตัวเองประกอบไปด้วย
"ประกาสิตรักแก้วกัลยา"
"พันธนาการรักขวัญชีวัน"
"ละลายรักวันวิวาห์"
"กลบ่วงรักรักจิรา"
โดยเรื่องแรกของ แก้วขวัญวันรักที่นำมาให้ได้อ่านกันคือ "ประกาศิตรักแก้วกัลยา"
แก้วกัลยาพี่สาวของโตของบ้านสิทธิทรัพย์อาภา
เมื่อถูกกดดันให้คลุมถุงชนกับเจษฎา เธอจึงต้องหาทางดิ้นให้พ้นบ่วงนี้
เธอจึงออกปากท้าอากง ว่าจะหาสามีที่ดีมาโชว์ให้ได้
แก้วกัลยาเลือก "เพทาย" ประธานหนุ่มแห่งวินัสมีเดีย
ผู้ชายที่สมบูรณ์แบบ ผู้ชายที่เธออยากจะเอาชนะใจ
ผู้ชายที่ติดอยู่ในความทรงจำของเธอมาตลอดเจ็ดปี
แก้วกัลยาจะพิชิตใจเพทายได้หรือไม่ติดตามได้ใน "ประกาศิตรักแก้วกัลยา"
โดยเรานำเรื่องราวของนางเอกทั้งสี่แบ่งพาสเป็นเรืองของตัวเองประกอบไปด้วย
"ประกาสิตรักแก้วกัลยา"
"พันธนาการรักขวัญชีวัน"
"ละลายรักวันวิวาห์"
"กลบ่วงรักรักจิรา"
โดยเรื่องแรกของ แก้วขวัญวันรักที่นำมาให้ได้อ่านกันคือ "ประกาศิตรักแก้วกัลยา"
แก้วกัลยาพี่สาวของโตของบ้านสิทธิทรัพย์อาภา
เมื่อถูกกดดันให้คลุมถุงชนกับเจษฎา เธอจึงต้องหาทางดิ้นให้พ้นบ่วงนี้
เธอจึงออกปากท้าอากง ว่าจะหาสามีที่ดีมาโชว์ให้ได้
แก้วกัลยาเลือก "เพทาย" ประธานหนุ่มแห่งวินัสมีเดีย
ผู้ชายที่สมบูรณ์แบบ ผู้ชายที่เธออยากจะเอาชนะใจ
ผู้ชายที่ติดอยู่ในความทรงจำของเธอมาตลอดเจ็ดปี
แก้วกัลยาจะพิชิตใจเพทายได้หรือไม่ติดตามได้ใน "ประกาศิตรักแก้วกัลยา"
Tags: แก้วกัลยา เพทาย ความรัก เดิมพัน
ตอน: ตอนที่ 4 ปองรักปองร้าย
4
ปองรักปองร้าย
แก้วกัลยาขึ้นไปที่ตึกวีนัส มีเดียด้วยท่าทีเพลียสุด ๆ เธอกำลังคิดว่าเธอคิดผิดหรือเปล่าที่จะเอาชนะใจเพทายด้วยวินาทีนี้ แทนที่จะได้เข้าใกล้ เขากลับผลักภาระงานล้นตัวให้กับเธอแทน และวัน ๆ เขาก็ประชุมจนไม่มีเวลาให้เธอได้เข้าไปทำคะแนน เธอวางแผนพลาดลืมลางแผนป้องกันเหตุการณ์นี้ล่วงหน้า เธอทำงานแค่ตำแหน่งผู้ช่วยชั่วคราวทำงานมากกว่าเลขาส่วนตัวเขาเสียอีก นี่เจตนาเขาต้องการให้เธอยอมแพ้ เรื่องอะไรเธอไม่ยอมเสียหรอก วันนี้โชคดีที่เพทายมีประชุมแต่เช้าเรื่องโปรเจ็คใหม่ของคีตภัทร นักร้องเบอร์หนึ่งของค่าย นอกจากโปรเจ็คใหม่ ยังประชุมเรื่องคอนเสิร์ตใหญ่เต็มตัวคอนเสิร์ตแรกของคีตภัทร หลังจากเข้าวงจรนักร้องมาได้สามปี แต่ยังไม่ได้มีคอนเสิร์ตใหญ่เป็นของตัวเอง และปีนี้ยังเป็นปีพิเศษของวีนัส ปีนี้เป็นปีที่บริษัทวีนัส มีเดีย มีอายุครบรอบสามสิบปี เป็นปีที่พิเศษดังนั้นงานของผู้บริหารจึงเยอะมาก และเขายังช่วยเผื่อแผ่มาให้เธอ เมื่อเธอเสนอตัวเข้ามาช่วย อาจจะเรียกว่าใช้ก็ได้
“คุณแก้วคะ” มินตราเลขาของเพทายเอ่ยเรียกแก้วกัลยาที่วันนี้เข้าบริษัทสายกว่าทุกวัน มินตรามองใบหน้าสวยใสที่ตอนนี้มันหมองลงต่างจากวันแรก แต่เธอก็ยังคงความสวยด้วยสไตล์การแต่งตัวที่เป็นเอกลักษณ์ ดูเซ็กซี่แต่ไม่โป๊ เปิดในที่ควรเปิด ปิดในที่ควรปิด แม้จะดูเชิ่ด ๆ แต่ก็เป็นคนน่ารัก เธอเองก็พอรู้ข่าวสังคม ภาพลักษณ์ร้าย ๆ ทำให้เธอเกร็งในช่วงแรก ๆ แต่พอรู้จักก็รู้ว่าแก้วกัลยาแค่เป็นคนช่างติ แต่ก็ไม่มีอะไรน่ากลัวอย่างที่คิด
“มีอะไร” ดวงตาของแก้วกัลยาปรือแทบจะปิดหันไปสบกับมินตรา เลขาสาวลุคเชยเหมือนคุณป้า แต่งตัวปิดตั้งแต่คอยันปลายเท้า ผมถูกมัดรวบเก็บขึ้นเก็บไม่มีหลุดมาสักเส้น ใบหน้ากลม ๆ ไร้เครื่องสำอางมีกะกระจายอยู่ที่แก้มสีขาวซีด ดวงตากลม ๆ ซ่อนอยู่หลังแว่นคุณป้าแสนเชย ปากสีซีดทาเพียงลิปมันไม่ให้ปากแห้งเท่านั้น มองยังไงผู้หญิงคนนี้ควรจะไปสมัครเป็นครูมากกว่าจะมาเป็นเลขาส่วนตัวผู้บริหารบริษัท
“ท่านประธานฝากของให้คุณแก้วค่ะ” แก้วกัลยามองสมุดหนังสีน้ำตาลที่มีจดหมายแนบมาด้วย แก้วกัลยามองอย่างระแวง รู้สึกเหมือนกำลังโดยแกล้ง แต่ก็รับมาและเดินไปนั่งโต๊ะที่ของตัวเองที่ตั้งอยู่ตรงข้ามกับมินตรา แก้วกัลยาแกะซองจดหมายออก ตัวอักษรหวัด ๆ แต่เป็นระเบียบแบบนี้ลายมือของเพทายแน่นอน เขาลงทุนเขียนสั่งการเองเลยหรอ
‘ผู้จัดการส่วนตัวของคีตะไม่อยู่สองอาทิตย์ ตั้งแต่วันนี้คุณไปดูแลคีตะในฐานะผู้จัดการส่วนตัว คุณแค่จัดการควบคุมดูแลคีตะให้ไปตามงานในตารางที่ผู้จัดการของคีตะได้จัดไว้ให้แล้ว ห้ามรับงานอีเว้นท์เพิ่ม มีอะไรโทรถามคุณจีน่า ผู้จัดการส่วนตัวของคีตะ’
“นี่มันอะไร ฉันจะไปพบคุณเพชร”
“ไม่ได้นะคะ ไม่ได้ คือ...ว่า...”
“ฉันต้องการพบคุณเพชร ฉันจะขึ้นไปคุยกับเขาให้รู้เรื่อง นี่มันเกินไปไหม เขาแกล้งฉันอยู่ชัด ๆ ตั้งแต่ทำงานฉันยังไม่ได้เจอหน้าเขาเลยนะ แล้วนี่ยังโยนฉันไปไกลเขาอีก” แก้วกัลยาทำท่าจะเดินออกไปแต่ก็ชะงักเท้าไว้และหันไปมองหน้ามินตราที่มีพิรุธจนผิดสังเกต เธอรีบหมุนตัวเดินไปหน้าประตูห้องทำงานของผู้บริหาร แต่มินตรากลับไม่ยอมรีบเดินมาขวางแก้วกัลยาไว้ในทันที
“เธอมาขวางฉันทำไม” มินตราไม่กล้าเอ่ย และกลับใบหน้ายิ่งตื่นตนก เผยพิรุธออกมาให้เห็นมากขึ้นเรื่อย ๆ จนสังเกตเห็นได้ชัด
“ถอยไปมินตรา ท่านประธานของเธอไม่ได้ประชุมใช่ไหม ฉันถาม ใช่ไหม มินตรา” มินตราทำหน้าไม่ถูก และจังหวะที่กำลังหาทางแก้ตัว แก้วกัลยาก็เดินอ้อมหลังเธอและผลักประตูที่ไม่ได้ล็อคเข้าไป และเป็นอย่างที่แก้วกัลยาคิด เพทายไม่ได้ประชุม เขานั่งคุยอยู่กับดารินทิพย์ด้วยท่าทีสนิทสนม นี่เขาตั้งใจไม่บอกเธอว่าการประชุมถูกเลื่อนออกไปเป็นวันพรุ่งนี้ เพราะต้องการนัดดารินทิพย์มาคุยปรับความเข้าใจกับเหตุการณ์เมื่อครั้งก่อน แก้วกัลยาคิดได้อย่างนั้นก็โกรธแทบควันออกหู
“คุณแก้ว!!!” ดารินทิพย์ทำสีหน้าระคนปนแปลกใจที่เห็นแก้วกัลยายืนอยู่ แก้วกัลยายิ้มทักทายและหันไปมองผู้ชายที่กล้างัดข้อกับเธอ
“ดิฉันต้องการคุยกับคุณเพชร...เรื่องงาน...เป็นการส่วนตัว” แก้วกัลยาพูดพลางปรายตามองดารินทิพย์ ซึ่งเธอต้องการพูดคำว่าส่วนตัวเพื่อไล่ดารินทิพย์ออกไป เพทายมองแก้วกัลยาอย่างไม่ค่อยพอใจ เขากำลังจะเอ่ยปากรั้งดารินทิพย์ไว้ แต่ดารินทิพย์เผลอหันไปสบตากับแก้วกัลยาที่ตอนนี้กำลังถลึงตาใส่เธออยู่ ดารินทิพย์รีบเก็บของลุกขึ้น
“คือ...เอาไว้ค่อยคุยกันอีกทีนะคะพี่เพชร ดาว่าดากลับก่อนดีกว่า พี่เพชรจะได้คุยเรื่องงานกับคุณแก้ว” ดารินทิพย์พูดจบก็เดินออกไป ระหว่างที่เดินออกไปเธอต้องเดินสวนกับแก้วกัลยาที่หน้าประตู ขาทั้งสองข้างหยุดชะงักลง เมื่อแก้วกัลยาหันมาพูดประโชคหนึ่งกับเธอ
“ถ้ายังอยากมีที่ยืนบนสังคมอย่างสวยงาม ถอยออกไปจากเกมนี้ซะ อย่ามายุ่งกับคุณเพชร อย่าให้ฉันต้องแฉเธอเลยดาหวัน เพราะฉันไม่อยากทำร้ายเธอหรอก” ดารินทิพย์หันสบตากับแก้วกัลยาในทันที เธอมองเห็นประกายบางอย่างที่แก้วกัลยาดูมั่นใจมาก และเธอก็รีบเดินออกไป
“คุณพูดอะไรกับน้องดา” แก้วกัลยาชักสีหน้ากับสรรพนามที่ใช้เรียกคุณหนูหน้าหวานแสนเปราะบาง
“ฉันไม่อยากคุยเรื่องผู้หญิงคนอื่นกับคุณ”
“น้องดาไม่ใช่คนอื่น”
“หรอคะ” แก้วกัลยายิ้ม แต่เหมือนนึกขึ้นได้ว่าจุดประสงค์ที่เธอมาที่นี่เพื่อมาคุยเรื่องงาน “ฉันมีเรื่องจะถามคุณ นี่มันอะไรคะ” แก้วกัลยาวางสมุดบันทึกและจดหมายลงบนโต๊ะ
“ก็งานคุณไง”
“ฉันไม่ทำ คุณใช้ฉันมากไปแล้วนะคะ ฉันตกลงกับคุณแล้วว่าฉันต้องทำให้คุณชอบฉัน แต่คุณเล่นเขี่ยฉันออกห่างตลอดเวลา แล้วฉันจะมีโอกาสแทะ...เอ่อ...ทำคะแนนได้ยังไงคะ” แก้วกัลยาเอ่ย
“นั่นมันเรื่องของคุณ คุณบอกเองว่าจะมาทำงานกับผม ผมก็ให้คุณทำแล้วคุณจะเอายังไงอีก”
“แต่...”
“ถ้าไม่ทำก็ออกไป เรื่องสัญญาที่ตกลงกันไว้ก็ถือว่าเป็นโมฆะ เชิญออกไปได้แล้วครับผมจะทำงาน” แก้วกัลยาแย้มยิ้มที่มุมปากและเดินมาที่หน้าเก้าอี้ตั้งใจหมุนเก้าอี้ให้หันมาหาตนก่อนจะวางมือซ้ายเท้าไว้ที่พนักพิงหลัง เพทายทำท่าจะลุกขึ้นหนี แต่แก้วกัลยาก็ใช้มืออีกข้างผลักเขาให้กลับลงไปนั่ง มือเรียวสวยวางทาบลงที่อกของเขาและลูบเบา ๆ
“คุณ...คุณจะทำอะไรผม”
“นั่นสิทำอะไรดีนะ ในเมื่อคุณอยากเขี่ยฉันออกห่างจากคุณถึงสองอาทิตย์ ฉันใช้วิธีลัดดีไหมนะ” เพทายขมวดคิ้วและมองผู้หญิงไฟแรงสูงตรงหน้าอย่างหวาดระแวง
“วิธีลัดอะไร”
“ก็จับคุณปล้ำ ทีนี้ก็จบแล้ว ถึงคุณไม่รับผิดชอบ คุณน้าก็ต้องให้คุณรับผิดชอบ คุณป้าคงไม่เชื่อหรอกว่าฉันจะกล้าปล้ำคุณ คนทั้งบริษัทก็เชียร์ฉันทั้งนั้น ให้ช่วยยืนยัน คิดสิว่าคุณป้าจะเชื่อใคร” แก้วกัลยาพูดและยิ้มเมื่อเห็นสีหน้าที่ตกตะลึงกับคำพูดของเธอ แก้วกัลยาพยายามกลั้นหัวเราะเอาไว้
“มันไม่ตลกนะคุณ”
“โธ่ที่รัก ทำเป็นไม่เคยไปได้ มามะให้เค้าหอมแก้มที่รักหน่อยดีกว่า” แก้วกัลยาทำท่าจะก้มหน้าลงไป เพทายดันเก้าอี้ถอยหลังไปทันที แก้วกัลยาที่ทรงตัวไม่ได้เพราะเพทายเลื่อนเก้าอี้ในจังหวะที่เธอไม่ได้ตั้งตัว มือที่วางอยู่จึงไถลออก ร่างบางของแก้วกัลยาที่เมื่อครู่กำลังจะแกล้งเขาถลาเข้าไปหาเขาในทันที ดวงหน้าหวานที่เมื่อครู่เลื่อนเข้าไปหาใบหน้าหล่อเหลาของเขาพุ่งเข้าชนกับหน้าเขาเต็ม ๆ ริมฝีปากสีแดงอวบได้รูปประทับเข้าที่ริมฝีปากของหนุ่มหล่อ ใบหน้าหวานที่ไม่ได้เตรียมการตั้งรับกับเหตุการณ์ตรงหน้าตื่นตะลึงตาม เธอถอยตัวกลับไปยืนใบหน้าเห็นชัดว่าทำอะไรไม่ถูก
“ฉัน...ฉันตกลงทำงานที่คุณสั่ง ฉัน...ไปนะ”
“คุณแก้ว...”
“ฉันสรุปแฟ้มเอกสารให้คุณแล้ว ขอตัวนะคะ” แล้วแก้วกัลยาก็เดินออกไป เพทายที่ตกใจแต่มองปฏิกิริยาของผู้หญิงใจกล้าด้วยสายตาขบขัน ผู้หญิงที่ท่าทางมั่นใจ ชอบแทะโลมเขาทั้งคำพูดและการกระทำ แต่แค่ถลาเข้ามาจุมพิตเขาเพียงปากแตะ ๆ กลับเขินอาย เขายิ้มออกและส่ายหน้ากับท่าทีแปลกใหม่ของแก้วกัลยาที่ไม่เคยพบ
แก้วกัลยาเปิดประตูวิ่งหน้าตื่นออกมา มินตราหันมองแก้วกัลยาด้วยความแปลกใจกับท่าทีที่ไม่เคยพบเจอ แก้วกัลยาเดินเหม่อมานั่งแหมะลงที่เก้าอี้ของตนเองและลูบริมฝีปากเบา ๆ อาการตกใจค้างยังคงอยู่ เกิดมาในชีวิตผู้ชายที่เคยออกเดทกับเธอ เคยคบกันแค่จับมือกันเธอก็ไม่ยอมแล้ว แม้เธอจะไปเรียนเมืองนอกมานาน เรื่องแบบนี้พบเห็น และมีเพื่อนถ่ายถอดประสบการณ์ให้ฟังอยู่บ่อยครั้ง แต่เธอก็ไม่เคยลองภาคปฏิบัติ แม้นี่จะเป็นเพียงการแตะปากยังไม่ได้จูบอย่างลึกซึ้ง แต่เพทายก็ขโมยจูบที่เธอจะเก็บไว้มอบให้เจ้าบ่าวของเธอในอนาคตไปแล้ว เขาต้องรับผิดชอบ เขาต้องเป็นแฟน เขาต้องเป็นของเธอเท่านั่น เพราะนี่ถือว่าเขาตีตราจองเธอแล้ว อย่าหวังว่าเธอจะปล่อยเขาไปง่าย ๆ
“คุณแก้วคะ คุณแก้ว คุณแก้ว!!!” แก้วกัลยาสะดุ้งและหันกลับไปมองมินตรา
“เป็นอะไรหรือเปล่าคะ” แก้วกัลยาส่ายหน้า
“เปล่านี่ เอ่อ...ฉันขอตัวนะ มีธุระต้องทำ อ่อ...มินตรา ถ้าเกิดมีผู้หญิงมาหาคุณเพชร โทรรายงานฉันด้วย ต่อให้เป็นยัยดาหวันนั่นก็โทรมานะ”
“เอ่อ...ถึงจะไม่ค่อยเข้าใจ แต่ก็ได้ค่ะ” แก้วกัลยายิ้มอย่างพอใจ และถือกระเป๋าเดินลงจากตึกไป แก้วกัลยามองสมุดตารางงานของคีตภัทร โชคดีที่ผู้จัดการของคีตภัทรรับงานช่วงสองอาทิตย์ไม่เยอะ เพื่อให้คีตภัทรได้มีเวลามาซ้อมเตรียมตัวสำหรับคอนเสิร์ตแรกของเขาที่กำลังจะเกิดขึ้น วันนี้คีตภัทรมีถ่ายโฆษณา มีโน้ตที่เขียนตัวปากกาแดงว่าให้เธอไปรับคีตภัทรออกมา ซึ้งในสมุดตารางงานมีเบอร์ของคีตภัทรและที่อยู่พร้อม สองอาทิตย์นี้เธอต้องกลายเป็นผู้จัดการดารา อีกอย่างที่เธอยอมออกห่างจากเพทายง่าย ๆ เพราะเธอต้องการเวลาหลบไปทำใจ เหตุการณ์เมื่อครู่ยังทำให้เธอตกใจไม่หาย เธอไม่อยากหลุดท่าทีที่ดูอ่อนไหวออกมาให้เสียเซลล์
“กรี๊ด!!!” เสียงกรีดร้องดังไปทั่วบ้าน แก้วกัลยาที่พึ่งอาบน้ำเสร็จหยิบเสื้อคลุมและเปิดประตูห้องวิ่งออกมา เช่นเดียวกับวันวิวาห์ที่ตกใจไม่แพ้กันที่อยู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงกรีดร้องอย่างบ้าคลั่งดังมาจากห้องตรงข้าม แก้วกัลยาหันมองหน้าวันวิวาห์และรีบวิ่งไปพลักประตูให้เปิดออก โชคดีที่พวกเธอมีกฎในบ้านว่าถ้าอยู่บ้านห้ามล็อคประตูห้องนอน กันว่าถ้ามีเหตุฉุกเฉินจะได้วิ่งเข้าไปช่วยทันไม่ต้องมาพังประตูแบบในละคร ดังนั้นแก้วกัลยาจึงเปิดประตูเข้าไปได้ง่าย ๆ และภาพที่ปรากฏตรงหน้าคือรักจิรากำลังระบายโทสะด้วยการขยำตุ๊กตาเน่าที่เป็นตุ๊กตาตัวโปรดที่รักจิราตั้งชื่อให้ว่า ตัวบวม และดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่ได้สนใจบุคคลสองคนที่ยืนอยู่หน้าประตูห้องและมองหน้ากันด้วยสีหน้างุนงงสุด ๆ
“ไอ้บ้า ฉันเกลียดแก นี่แน่ะ นี่แน่ะ ไปตายซะ สิ่งผิดพลาดที่สุดของฉันคือไปคบกับเธอ และฉันยอมผิดพลาดแค่ครั้งเดียว คิดว่าฉันอยากคบกับนายหรือไง ไอ้ชีกอ ไอหัวงู ไอ้ ไอ้ ไอ้ กรี๊ด!!!!” รักจิรากรี๊ดอีกครั้งขึ้นมาอีกครั้ง สองสาวที่ยืนอยู่หน้าประตูรีบเอามืออุดหู ปกติจะไม่เห็นรักจิรากรีดร้องดีดดิ้นแบบนี้ แสดงว่ามีบางอย่างไม่ปกติเกิดขึ้น
“แกเป็นบ้าอะไรไอ้รัก ชาวบ้านชาวช่องเขาแตกตื่นกันหมดแล้ว ร้องยังกะโดนขมขื่น เดี๋ยวตำรวจก็แห่มากันหรอก” รักจิราหอบอย่างเหนื่อยอ่อนหลังจากใช้พลังงานหมดไปตั้งแต่เช้า ดวงตาสวยแกร่งมองไปที่ญาติผู้พี่ทั้งสองที่กำลังจ้องมองเธอราวกับเจอตัวประหลาด
“ตัวมาตั้งแต่เมื่อไหร่เจ๊แก้ว เจ๊วัน”
“ก็มาทันเห็นแกเป็นบ้านั้นแหละ ตกลงหายบ้าหรือยัง” รักจิราเดินไปดันพี่สาวทั้งสองออกจากห้อง และปิดประตูห้องเลือกที่จะไม่ตอบคำถาม เพราะตั้งแต้รักจิราเริ่มทำงานหน้าที่ใหม่ รักจิรายังไม่เคยเล่าให้แก้วกัลยาฟังเลยว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่วันวิวาห์พอจะรู้จากการสบถอุทานบ่อย ๆ ของรักจิรายามเหม่อ หรือหงุดหงิด วันวิวาห์คิดว่าเจ้านายใหม่ของรักจิราอาจจะเป็นอัสนี เพราะไม่มีใครที่ไหนสามารถทำให้รักจิราหงุดหงิดงุ่นง่านใจจนเหมือนคนบ้าได้อย่างนี้
หลังจากสภาพจิตใจเริ่มเป็นปกติลง รักจิราก็เดินหน้าบึ้งลงจากห้อง เช้านี้แก้วกัลยาเป็นคนไปซื้อข้าวต้มจากตลาดที่หน้าซอยทางเข้าหมู่บ้าน เพราะน้ำเต้าหู ชา กาแฟ ไม่สามารถให้พลังงานในการทำงานใหม่ของเธอได้ เธอพึ่งรู้ว่าการเป็นผู้จัดการส่วนตัวศิลปินมันไม่ได้ง่ายเลย โดยเฉพาะศิลปินชื่อดังอย่างคีตภัทร คีตภัทรถูกสั่งห้ามไม่ให้ขับรถเองหนึ่งเดือน หลังจากขับรถผิดกฎจราจร (ผ่าไฟแดง) โชคดีที่ข่าวปิดเงียบลงได้ ไม่อย่างนั้นคงได้ลงหน้าหนึ่ง คนเป็นดารานี่ทำอะไรผิดเล็กน้อยไม่ได้เลยจริง ๆ แค่ผ่าไฟแดงก็ลงหน้าหนึ่งแล้ว และจากเหตุการณ์นั้นทำให้เธอต้องเป็นผู้ไปรับไปส่งคีตภัทรในช่วงที่รถโดนบริษัทยึดไว้ แก้วกัลยาคิดไว้แล้วว่าหน้าที่ผู้จัดการส่วนตัวต้องไม่ธรรมดา เพราะเธอต้องคอยเคลียร์คิว ที่สำคัญการที่คีตภัทรจะต้องให้สัมภาษณ์หรือออกรายการเธอต้องตรวจสอบคำถามเหล่านั้นก่อน เพื่อกันคำถามที่ไม่เหมาะสม ที่ทางต้นสังกัดไม่อนุญาตให้ตอบ และยังมีอีกมากมายที่เธอต้องรับผิดชอบในฐานะผู้จัดการส่วนตัว
เคร้ง!!!
แก้วกัลยาที่เหม่อลอยสะดุ้งอย่างตกใจเมื่ออยู่ ๆ รักจิราวางแก้วน้ำกระแทกเสียงดังใบหน้าบูดบึ้งอีกครั้ง และขยับปากเหมือนเข่นเขี้ยวใครในใจ แต่มันออกมาทางสีหน้าท่าทางเสียหมด
“ไอ้บ้าเอ๊ย!!!”
“ไอ้รักแกเป็นบ้าอะไรตั้งแต่เช้าแล้ว ไม่สิตั้งแต่สองสามวันก่อนแล้ว กลับมาถึงก็ตะโกนเสียงดังยังกับคนบ้า ทำเสียงปึงปังในห้อง และเช้านี้แกยังไม่พาลทำให้บรรยากาศที่ไม่ดีอยู่แล้วยิ่งแย่อีก” แก้วกัลยาเอ่ย เธอเองก็สังเกตเห็นว่าสองสามวันก่อนหลังจากกลับมาจากทำงานในช่วงค่ำ ๆ รักจิราก็มีท่าทีแปลกไป แต่ยังไม่บ้าคลั่งเท่าวันนี้
“ไม่มี แค่ไปเจอคนบ้า ๆ ปากหมา ปากเสีย น่าแค้นที่เค้าไม่ต่อยมันให้แรง ๆ เอาให้กินข้าวไม่ได้สักสามสี่วัน หงุดหงิด น่าโมโห” รักจิราไม่พูดเปล่า ดวงตาเริ่มลุกเป็นไฟอีกครั้ง มือกำช้อนแน่นจนช้อนที่กำอยู่บิดงอ
“คนบ้า ๆ ที่ว่า ใช่สายฟ้าไหม” รักจิราหันไปมองวันวิวาห์ที่อ่านใจเธอออก ใบหน้าสวยดูตกใจ
“ตัวรู้ได้ไงเจ๊วัน”
“อาการแกเคยเป็นแบบนี้บ่อยหรอไง เคยกรีดร้องเป็นคนบ้าหรือไง นอกจากเรื่องไอ้สายฟ้า แกไม่เคยเป็น ถ้าอย่างนั้นก็เป็นอย่างที่วันบอกสินะ แกเจอกับไอ้สายฟ้ามา พรหมลิขิต อุบ..แค่ก แค่ก” รักจิราตักข่าวต้มยัดใส่ปากของแก้วกัลยาทันทีที่แก้วกัลยาตั้งใจจะล้อเธอ
“ไม่ใช่สักหน่อย ก็แค่เจอคนบ้ามันพูดจากวนโมโห ตัวไม่ต้องมาสนเค้าหรอกเจ๊แก้ว เค้าว่าตัวนั่นแหละไปถึงไหนแล้ว ช่วงนี้ดูยุ่ง ๆ” แก้วกัลยาทำหน้าไม่รู้ไม่สนคำถาม และจะไม่ตอบด้วย ถ้าเกิดเล่าว่าตอนนี้แผนเธอที่วางไว้กำลังจะแห้ว มีหวังเสียหน้า โดยรักจิราทับถมแน่
“เอ่อ...จริงสิ พวกเราไม่ได้ไปกินข้าวนอกบ้านนานแล้วนะ ครั้งสุดท้ายก็สามสี่เดือนก่อน เราไปกินข้าวนอกบ้านไหม วันนี้ฉันเสร็จงานแล้ว ว่าไงวัน” แก้วกัลยาถามความเห็นสมาชิกทั้งสองของบ้าน วันวิวาห์พยักหน้ารับ เพราะตัวเองยังไงก็ได้อยู่แล้ว แต่เหลืออีกคนที่ยังนั่งหน้าหักหน้างอเป็นปลาทู
“รัก รัก ไอ้รัก” ไม่ตะโกนเปล่ามือเรียวยังยื่นไปหยิกแขนรักจิรา
“โอ๊ย!!! ตัวทำอะไรเจ๊แก้ว” รักจิราร้องเสียหลงเมื่อโดยกระทำทั้งที่ไม่ได้ตั้งตัว
“ฉันถามแล้วแกไม่ตอบ มัวแต่ทำหน้าหักอยู่นั่นแหละ ตกลงว่าวันนี้จะไปกินข้าวนอกบ้านไหม” รักจิราพยักหน้า
“เอาสิ ช่วงนี้เซ็ง ๆ ไปข้างนอกบ้างอาจจะช่วยให้เค้าอารมณ์ดีขึ้น จะไปกี่โมงล่ะ จะไปร้านไหน”
“สักสองทุ่มละกัน นั่งกินริมแม่น้ำจะได้ได้บรรยากาศ ไปร้านประจำพวกเรานั่นแหละ น่าเสียดายที่ขวัญไม่อยู่ ถ้าอย่างนั้นวันให้ไอ้รักยืมรถละกัน จะได้มีรถขับไป ส่วนวันไปกับฉัน เดี๋ยวขากลับจะแวะไปรับที่โรงพยาบาล จะได้ไม่ยุ่งยาก” วันวิวาห์พยักหน้าหยิบกุญแจรถของตัวเองให้กับรักจิรา
“งั้นฉันไปก่อนนะเจอกันที่ร้าน” แก้วกัลยาลุกขึ้นเดินออกพร้อมกับวันวิวาห์
“วัน เดี๋ยวขอแวะไปรับคนก่อนได้ไหม พอดีมันเป็นทางผ่าน แล้วจะแวะไปส่ง” วันวิวาห์พยักหน้าและหยิบไอแพดขึ้นมาเปิดดูข่าวเช้านี้ รถขับมาจอดลงที่หน้าคอนโดแห่งหนึ่งที่อยู่ไม่ห่างจากหมู่บ้านของพวกเธอสักเท่าไหร่ ประตูหลังเปิดออกพร้อมกับผู้ชายสองคนที่แก้วกัลยาต้องมารับเดินก้าวขึ้นมาคนหนึ่งคือหนุ่มหน้าหวานละมุน มองมุมไหนก็ต้องบอกว่าสวยมากกว่าหล่อ ประกายแสงบางอย่างประกายออกมา บ่งบอกว่าเขาเป็นผู้ชายที่มีออร่าเหมือนเทวดา เขาดูนุ่มนวล ใจดี รอยยิ้มของเขาไม่ต่างจากแสงอาทิตย์ยามเช้าที่อบอุ่น ละมุนละไม และน่าเข้าใกล้ เขาคือคีตภัทรน้องร้องหนุ่มเบอร์หนึ่งของค่ายที่กำลังฮอตฮิตคิวเต็มตลอดปี คนในวงการต่างพากันรักและชื่นชมเขา เขาเป็นคนดีมาก ซึ่งมันไม่ใช่แค่การสร้างภาพให้ดูดี แต่มันคือเนื้อแท้ หลังจากได้ทำงานมาร่วมสัปดาห์ แก้วกัลยาก็ค้นพบว่าผู้ชายคนนี้เป็นคนดีมาก ไม่หยิ่ง ไม่ถือตัว ซึ่งทำให้เธอสนิทกับนักร้องคนนี้อย่างรวดเร็ว
ส่วนอีกคนที่ตามขึ้นมานั้นคือนักร้องหนุ่มที่มีลุคต่างกันสิ้นเชิง ถ้าบอกว่าคีตภัทรเป็นแองเจิ้ล ผู้ชายคนนี้ก็คือเดวิล เพราะเขามีลุคแบดบอยสุด ๆ นิสัยนั้นต่างจากคีตภัทรโดยสิ้นเชิง เขาดูเป็นคนค่อนข้างอารมณ์ร้อน มาดกวน ปากร้าย เขาคือภีมะ เขาเป็นอีกหนึ่งซุปเปอร์สตาร์ที่ดังไม่แพ้คีตภัทร ด้วยลุคแบดบอยร้องเพลงร็อค เอาใจสาว ๆ ที่ชอบหนุ่มแนวนี้ไปได้เต็ม ๆ และเห็นแบบนี้เขาก็ยังอายุพึ่งจะยี่ต้น ๆ เท่านั้นแต่กลับมาถึงจุดที่หลาย ๆ คนใฝ่ฝันได้อย่างรวดเร็ว และมันก็อันตรายสำหรับพวกเขา เพราะยิ่งสูงมันก็ยิ่งหนาว
ทางค่ายตั้งใจปั้นสองหนุ่มสองสไตล์ที่อายุห่างกันไม่กี่ปี ในเวลาไล่ ๆ กัน คีตภัทรถูกเก็บตัวนานถึงห้าปีก่อนจะปล่อยซิงเกิ้ลแรกให้ออกสู่สายตาทุกคน หลังจากปล่อยคีตภัทรได้หนึ่งปี ก็ปล่อยตัวภีมะที่เก็บตัวอยู่กับค่ายนานร่วมสี่ปี หลังจากมาประกวดในโครงการของค่ายแต่ไม่ได้รับตำแหน่งใด ๆ แต่ทางค่ายเห็นพรสวรรค์ว่าต้องมีอนาคตไกลในวงการเพลงนี้แน่นอน
“คิดว่าจะสายซะแล้วสองหนุ่ม” แก้วกัลยาเอ่ย คีตภัทรยิ้มและเดินขึ้นไปนั่งข้างหลัง ภีมะก็ตามเข้ามา ภีมะยิ้มกวน ๆ ยกมือขึ้นไหว้อย่างนอบน้อมสุด ๆ
“หวัดดีปะ...”
“ฉันจะตบปากนาย” แก้วกัลยาเอ่ย
“ผมไม่สายทุกวันหรอกครับคุณแก้ว”
“ฉันไม่ได้ห่วงนายจะสาย แต่ห่วงใครบางคนมากกว่า” แก้วกัลยาปรายตาไปมองภีมะที่ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้
“แล้ว...” เขามองผู้หญิงอีกคนที่นั่งอยู่ข้างแก้วกัลยา ซึ่งสายตาดูสนใจ แม้จะไม่ได้วิบวับจนสังเกตได้ แต่แก้วกัลยาสังเกตเห็นสายตาของคีตภัทรที่แสดงความใคร่รู้ผ่านกระจกหลังมา แก้วกัลยายิ้มและหันไปสะกิดเรียกวันวิวาห์ที่ก้มหน้าอ่านบทความวิชาการที่น่าสนใจในไอแพด วันวิวาห์เงยหน้าขึ้นจากไอแพดมองคนที่สะกิดเรียก
“วัน ฉันมีคนจะแนะนำให้รู้จัก” วันวิวาห์พยักหน้า และหันไปมองผู้ชายที่นั่งอยู่เบาะหลัง ดวงตาคู่สวยของวันวิวาห์ฉายแววบางอย่างออกมาเหมือนเคยรู้จักหนึ่งในผู้ชายสองคนนี้
“นี่คีตะ นักร้องที่ฉันต้องดูแล ส่วนนั่นภีม มีคนฝากมา”
“โห่เจ๊...”
“อย่ามาโห่ พี่แก้ม ลาคลอด ฉันถึงต้องมารับสองจ๊อบ เพราะยังไม่มีใครว่างดูแลตัวป่วนอย่างนาย ดูแลคีตะคนเดียวก็ยุ่งพอแล้วยังต้องมาเหนื่อยกับนายอีก ดีที่สองวันนี้คิวนายตรงกับคีตะไม่อย่างนั้นบอสใหญ่นายต้องแยกร่างฉันไปแล้วล่ะ” แก้วกัลยาเอ่ยบ่นเหมือนคับแค้นใจ
“บ่นอะไรของเจ๊เนี่ย พวกผมอยากรู้จักพี่สาวคนสวยมากกว่าฟังเจ๊บ่น”
“ย่ะ...คีตะนี่วันวิวาห์เป็นลูกพี่ลูกน้องของฉัน” แก้วกัลยาตั้งใจไม่พูดชื่อภีมะคล้ายหมั้นไส้ คีตภัทรที่นั่งอยู่ข้าง ๆ กำลังมองวันวิวาห์และส่งยิ้มหวานชวนมองไปให้
“เราเคยเจอกันแล้วครับ ผมเคยไปโรงพยาบาลที่คุณวันรักษาอยู่หลายครั้ง”
“จริงสิ นายเป็นลูกชายเจ้าของโรงพยาบาลวรรณเวศย์นี่นา แล้วนายไปทำอะไรที่โรงพยาบาล วันน่าจะอยู่ตึกศูนย์หัวใจ นายไม่ได้เป็นโรคหัวใจนี่”
“ไปเยี่ยมคนสิครับ”
“คนไข้หรือคุณหมอครับพี่คีตะ” ภีมะเอ่ยถาม แต่คีตภัทรไม่ตอบ ซึ่งวันวิวาห์เองก็ไม่สนใจเช่นกันและหันกลับไปสนใจไอแพด คีตภัทรเองก็มองวันวิวาห์และยิ้มนิด ๆ ก่อนจะหันไปสนใจภีมะที่ชวนคุยระหว่างทาง
“ถึงแล้ววัน” แก้วกัลยาเอ่ยขึ้น วันวิวาห์หันกลับมาสนใจภาพข้างหน้ากำลังจะเปิดประตูลง ประตูกลับถูกดึงเปิดออกเสียก่อนด้วยฝีมือของคีตภัทรที่เดินลงจากรถไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ วันวิวาห์จึงเดินลงจากรถ เธอมองผู้ชายที่มีรอยยิ้มดุจแสงอาทิตย์เขาเป็นผู้ชายที่มีออร่าของความมีชีวิตชีวา รอบ ๆ กายเขาดูเหมือนจะมีแต่ความสุขตลอดเวลาจนน่าอิจฉา
“ครั้งนี้ถือว่าเรารู้จักกันแล้วนะครับคุณวัน” เขาเอ่ย วันวิวาห์มองเขาและกำลังจะเดินไป แต่เขาก็เรียกเธอไว้ก่อน
“คุณวันครับ” วันวิวาห์ยังคงแสดงท่าทีเฉยเมย เขายื่นผ้าเช็ดหน้าผืนสีขาวปากลายดอกไม้ที่มุมผ้าเช็ดหน้าปีกอักษรย่อ ...W.S... เอาไว้ มันคือตัวย่อชื่อและนามสกุลของเจ้าของผ้า
“ผมยังไม่ได้คืนของให้คุณเลยผมอยากมาคืนกับมือ ผมซักให้เรียบร้อยแล้ว รับรองสะอาดครับ” วันวิวาห์มองผ้าเช็ดหน้าในมือของเขาที่ยืนมาให้สลับกับมองหน้าเขาไปมา และเอ่ยขึ้น
“เก็บไว้เถอะค่ะ เผื่อคุณหัวแตกอีก” และวันวิวาห์ก็เดินเข้าไปในโรงพยาบาล รอยยิ้มยังคงปรากฏ เขาไม่เคยเจอผู้หญิงที่เย็นชา แสดงท่าทีเว้นระยะห่างกับเขาขนาดนี้ คีตภัทรมองผ้าเช็ดหน้าและเก็บใส่กระเป๋าเสื้อไว้ตามเดิมและเดินขึ้นรถนั่งที่ตำแหน่งข้างคนขับแทนวันวิวาห์ กลิ่นหอมอ่อน ๆ จากน้ำหอมของเธอยังอวลอยู่บางเบา
“ไม่ค่อยออกนอกหน้าเลยนะพี่คีตะ” ภีมะเอ่ย
“ฉันก็ไม่ได้ทำอะไรนี่”
“นี่ไม่ได้ทำอะไรหรอ ปกติพี่สนใจใครยากจะตาย พี่มีอะไรไม่ได้เล่าให้ผมฟังบ้างหรือเปล่า ไปรู้จักคุณวันเขาเมื่อไหร่กัน เดี๋ยวนี้มีความลับกับพี่กับน้องเหรอ” ภีมะแสร้งทำน้ำเสียงน้อยใจ แต่แก้วกัลยารู้ว่าไอ้หมอนี่มันเสแสร้ง ภาพลักษณ์ที่บริษัทปั้นทำให้ภีมะดูมีเสน่ห์ อยู่ต่อหน้าคนอื่นภีมะจะมีลุคแบดบอย ชอบกัดแต่ขาดความเป็นเด็กแบบที่เห็น แต่เมื่ออยู่กับคนรู้จักสนิทสนม เขาจะดูเด็กลงตามอายุ แต่ก็เป็นเด็กอารมณ์ร้อนที่เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย ไม่พอใจก็โวยวาย ดังนั้นผู้จัดการส่วนตัวของเขาจึงต้องเป็นแก้มนิ่ม ผู้หญิงที่โหดที่สุดสามารถคุมภีมะได้อยู่มัด
“เยอะไปแล้วภีม เรื่องส่วนตัวของเขา ยุ่งเรื่องคนอื่น เอาเวลาที่พูดมาก ๆ เก็บเสียงไว้ร้องเพลงดีกว่า ช่วงนี้ได้ยินว่าฟอร์มตกนี่ แถมโดดซ้อมบ่อย ๆ ทะเลาะกับแฟนหรือไง” ภีมะถึงกับเงียบเสียงทันทีเหมือนพูดไม่ออก ตอบไม่ได้
“วันน่ะ ใจร้ายมากนะ ผู้ชายอกหัก นั่งช้ำใจแอบไปซดน้ำใบบัวบกเพราะวันกันมานักต่อนักแล้ว คิดดี ๆ นะ ที่จะชอบวัน” แก้วกัลยาเอ่ยลอย ๆ ส่วนคีตภัทรก็ยังคงยิ้มและเหม่อนั่งคิดอะไรเงียบ ๆ จนรถจอดลง เหมือนจะนึกบางอย่างได้
“เรื่องแบร์เป็นยังไงบ้างครับ” คำถามของคีตภัทรทำให้แก้วกัลยาที่กำลังจะเปิดประตูลงจากรถหยุดชะงัก แบร์ บัณฑิตา คลาวด์ ชัยวัฒนา นักร้องลูกครึ่งสาวหน้าใสที่กำลังมีชื่อเสียงไม่แพ้กัน นักร้องสาวที่มีภาพลักษณ์ดีมาตลอดแต่กลับตกเป็นประเด็นว่าเข้าไปข้องเกี่ยวกับยาเสพติด และตอนนี้ข่าวของบัณฑิตากำลังกลายเป็นข่าวคึกโครม ซึ่งแก้วกัลยาก็เข้าใจว่าทำไมคีตภัทรถึงถามถึง สองคนเป็นเพื่อนกันตั้งแต่ช่วงมาเก็บตัวเป็นนักร้องใหม่ ๆ ทำให้สนิทกับมากเคยมีข่าวว่าแอบกิ๊กกันอยู่ช่วงหนึ่งแต่ก็ศาลงเมื่อแบร์มีแฟนเป็นต้นเป็นตน และเมื่อคืนก่อนก็เกิดเรื่องขึ้นกับบัณฑิตาคีตภัทรก็อดเป็นห่วงไม่ได้ ทางต้นสังกัดสั่งห้ามไม่ให้สัมภาษณ์ใด ๆ
“เมื่อวานฉันโทรไปคุยกับคุณเพชรมาแล้ว ตอนนี้แบร์รักษาตัวอยู่โรงพยาบาลยังให้ปากคำอะไรไม่ได้ เพราะร่างกายได้รับสารเสพย์ติดเกินขนาด ทำให้ช็อคไม่ได้สติ”
“แล้วเมื่อคืนมันเกิดอะไรขึ้นครับ” ภีมะเป็นคนถามบ้าง
“ฉันเองก็ไม่รู้แน่ชัด แต่ที่มินเล่าให้ฟังเห็นว่า เมื่อคืนหลังจากเสร็จงานเจ๊ลูกพีชบอกว่าให้แบร์กลับบ้านเอง เพราะมีธุระด่วน รู้อีกทีแบร์ก็อยู่ในข่าวทีวีแล้ว เห็นว่าแบร์ไปผับที่เขากำลังมั่วยากันอยู่ ตำรวจไปเจอน้องแบร์ในห้องน้ำ น้องแบร์มีสภาพแย่มาก และผลตรวจฉี่ของน้องแบร์ยังเป็นสีม่วง”
“ผมไม่อยากจะเชื่อ”
“ใช่ ไม่อยากจะเชื่อ ตอนนี้ต้นสังกัดกำลังวุ่นวายกันใหญ่เลย คิดว่าอีกไม่กี่วันก็คงจะแถลงข่าวใหญ่อีกครั้ง ตอนนี้พวกนายก็อาจจะโดนเพ่งเล็งไปด้วย ระวังตัวหน่อย นายไม่เท่าไหร่หรอกคีตะ แต่ภีม นายชอบไปไหนมาไหนคนเดียว ระวังไว้บ้าง มันคืออนาคตของนายเชียวนะ” แก้วกัลยาเอ่ย
“ผมรู้แล้วน่า” แก้วกัลยาทำหน้าคิดหนัก พลางนึกไปถึงเพทายที่เธอพึ่งโทรคุยด้วยเมื่อคืนหลังรู้เรื่องจากมินตราที่โทรมาตอนตีสาม เธอเองก็รีบต่อสายหาเพทาย ตอนแรกเธอคิดว่าเขาจะไม่รับ แต่ปรากฏว่าเขารับ เธอคุยกับเขาสักพักก่อนจะวางสายไป
งานวันนี้เป็นไปอย่างยากลำบาก เพราะนักข่าวพากันมาดักรอสัมภาษณ์คีตภัทรที่เป็นเพื่อนที่ใกล้ชิดกับบัณฑิตาที่สุด แต่ทางบริษัทโทรมาสั่งแล้วว่างดการให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับบัณฑิตา วันนี้คีตภัทรมีงานหลายที่ เธอต้องหาทางเลี่ยงนักข่าว การทำงานก็เป็นไปอย่างทุลักทุเล เพราะนักข่าวพยายามจะขอเข้ามาในกองถ่าย และคืนนี้งานขึ้นคอนเสิร์ตเป็นงานสุดท้ายของวันก่อนที่แก้วกัลยาจะต้องพาคีตภัทรไปส่ง
แก้วกัลยามองคีตภัทรที่ร้องเพลงอยู่บนเวที คีตภัทรเป็นนักร้องหนุ่มที่มีเสน่ห์มากไม่ใช่แค่หน้าตาที่หวานเหมือนผู้หญิง แต่เสียงร้องที่เป็นเอกลักษณ์ฟังแล้วตรึงใจ เธอไม่แปลกใจที่เขาจะกลายเป็นขวัญใจมหาชนในระยะเวลาอันรวดเร็ว บวกกับนิสัยที่นอบน้อม เขายกมือไหว้ตั้งแต่คนยกฉากไปจนถึงเจ้าของงาน ตอนแรกเขาก็ยกมือไหว้เธอ แต่เธอสั่งห้ามไว้แม้เธอจะอายุมากกว่าเขาสี่ปี แต่เธอก็ไม่พิสมัยให้ใครมายกมือไหว้ราวกับเธอเป็นผู้สูงอายุ แต่สุดท้ายรวมแล้วเธอก็รู้ว่าการกระทำของเขามันออกมาจากใจล้วน ๆ พอมองเห็นใบหน้ายิ้มราวแสงอาทิตย์ทำให้เธอนึกถึงใบหน้าของญาติผู้น้องอย่างวันวิวาห์ขึ้นมา อยากให้วันวิวาห์ยิ้มให้ได้ครึ่งของคีตภัทรบ้าง
“คุณแก้วครับมีคนฝากของมาให้คุณคีตะครับ” แก้วกัลยาหันไปมองทีมงานคนหนึ่งที่เดินถือกล้องพัสดุสีขาวมาให้เธอ แก้วกัลยารับไว้ และมองกล่องในมือสลับกับนักร้องหนุ่ม ช่วงนี้เธอรู้สึกว่าที่บริษัทเกิดเรื่องบ่อย ๆ อย่างน้อยก่อนของจะไปถึงมือคีตภัทรเธอควรจะตรวจสอบก่อน แก้วกัลยาลองเอาหูแนบกล่อง เมื่อไม่มีเสียงอะไรแปลก ๆ แก้วกัลยาจึงเปิดกล่องออก ภายในกล่องไม่ได้มีอะไรนอกจากกระดาษแผ่นหนึ่งที่พับไว้ แก้วกัลยาวางกล่องลงที่เก้าอี้ และเปิดกระดาษออกดู ภายในกล้องมีรูปภาพการทำงานของคีตภัทรในวันนี้ตั้งแต่เช้าจนเย็น แก้วกัลยาขมวดคิ้วและหยิบกระดาษแผ่นสีขาวที่พันครึ่งแผ่นหนึ่งขึ้นมาเปิดอ่าน
...คำเตือนครั้งสุดท้าย ยกเลิกงานทั้งหมดซะ...
แก้วกัลยายืนนิ่งมองข้อความที่พิมพ์จากคอมพิวเตอร์ ก่อนจะกดโทรศัพท์โทรหาเพทาย แต่เพทายกลับปิดเครื่อง แก้วกัลยาทำหน้าคิดหนัก เธอไม่รู้ว่าข้อความนี้เป็นแค่คนโรคจิตส่งมาขู่เล่น ๆ หรือมีคนคิดจะปองร้ายจริง ๆ เพราะจดหมายแบบนี้เธอได้รับมาสามฉบับแล้ว และเธอก็เป็นคนเก็บไว้ เธอลองโทรไปปรึกษาเพทาย เพทายกลับบอกว่าอาจจะเป็นพวกแฟนคลับโรคจิต เพราะแต่ก่อนก็มีคนส่งข้อความประมาณนี้มา ทำให้พวกเขาแตกตื่นหาจัดเตรียมหาบอดี้การ์ดล้อมตัวคีตภัทรยิ่งกว่านายกเสียอีก แต่สุดท้ายก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เธอเถียงเขาพักใหญ่ว่าบอกว่าต้องการบอดี้การ์ดอย่างน้อยสองคนก็ยังดี แต่สุดท้ายก็เธอก็แพ้เขา เพราะเขาตัดสายเธอทิ้งไป แม้เพทายจะบอกว่าเป็นเรื่องปกติ แต่ลางสังหรณ์บางอย่างของเธอกำลังบอกเธอว่านี่มันไม่ใช่เรื่องปกติ
“เหนื่อยมาก นักข่าวพวกนี้ไม่มีอะไรทำกันหรือไงนะ คนไม่ให้ข่าวก็ยังตามกันอยู่นั่นแหละ” แก้วกัลยาเอ่ยหลังจากกันตัวคีตภัทรออกมาจนถึงรถได้สำเร็จ ใบหน้าของแก้วกัลยากำลังเก็บกั้นอารมณ์ที่พวยพุ่งไว้อย่างรุนแรง
“ก็มันอาชีพเขานี่ครับ”
“แต่นั่นมันเกือบทำให้กองถ่ายทำงานไม่ได้ แถมมาดักหน้าทางเข้างานคอนเสิร์ตจนนายเกือบขึ้นเวทีไม่ทันอีก มันน่าโมโหนัก นี่ถ้าฉันไม่เห็นแก่ว่านายเป็นนักร้องดังล่ะก็ ฉันวีนแตกไปแล้ว” คีตภัทรมองและยิ้มกับท่าทีของแก้วกัลยา ตอนนักข่าวรุมล้อมเขาแก้วกัลยาเผ่นแนบไปรอที่รถแล้ว กว่าเขาจะออกมาได้ต้องมีบรรดาสตาร์ฟช่วยกันพวกนักข่าวไว้ ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ได้มานั่งอยู่บนรถแบบนี้
“โชคดีที่วันนี้งานของนายหมดแค่ตอนหนึ่งทุ่ม ไม่เหมือนสองวันก่อนที่เลิกเกือบตีสอง ไม่อย่างนั้นฉันได้ตายก่อนแน่ จริงสิ ตั้งแต่เช้านายกินข้าวไปแค่นิดเดียวเอง ไปกินข้าวด้วยกันไหม” เขาทำหน้าไม่มั่นใจ ยิ่งนักข่าวจับตาอยู่ก็ไม่อยากจะไปไหน
“วันก็ไปด้วยนะ” พอได้ยินว่าวันวิวาห์ไปด้วยจากที่กำลังจะปฏิเสธ เขารีบตอบรับในทันที
“ไปครับ แต่ว่าถ้าผมไปคนต้องจำได้แน่”
“เดี๋ยวก่อนถึงฉันแปลงโฉมให้ รับรองไม่มีใครจำได้ นี่เกือบจะหนึ่งทุ่มแล้ว เดี๋ยวเราแวะไปรับภีมะก่อน เห็นว่าถ่ายรายการเสร็จแล้ว จะได้แวะไปรับวันต่อเลย”
“ครับ คุณวันเธอเป็นอย่างนี้ตั้งแต่เด็กแล้วหรอครับ” แก้วกัลยาขมวดคิ้วกับคำถาม
“แบบไหน”
“เข้าถึงยาก”
“ก็ตั้งแต่จำความได้ นอกจากครอบครัว คนที่สนิทกับวันจริง ๆ มีไม่มาก ขนาดพวกเราบางครั้งยังรู้สึกเลยว่าวันกันพวกเราออกจากปัญหาส่วนตัว อย่าพยายามทำความเข้าใจวัน เพราะนายจะไม่มีวันเข้าใจ ถ้าถามว่าโลกนี้ใครเป็นผู้หญิงที่เข้าใจยากที่สุดก็ต้องเป็นวันนั่นแหละ บอกเลยนะ ถ้าคิดจะจีบเล่น ๆ อย่าเลย มันเสียเวลา”
“ผมยังไม่บอกเลยนะครับว่าจะจีบ แต่ผมแค่รู้สึกว่าคุณวัน เธอดู...น่าสงสาร”
“น่าสงสารหรอ...อาจจะจริง พวกฉันสี่พี่น้องเป็นพวกน่าสงสาร” แก้วกัลยาอยู่ในภวังค์ความคิดของตนเอง ไม่ใช่แค่วันวิวาห์หรอก พวกเธอทั้งสี่ล้วนมีปมที่แก้ไม่ได้ และพวกเธอที่กำลังทำตัวเข้มแข็งอยู่ ก็คือพวกน่าสงสาร ตัวเธอเองกำลังค้นหาความสมบูรณ์แบบในชีวิต ความสมบูรณ์ที่มันขาดหายไปจากพ่อแม่ความทรงจำในวันวานที่คล้ายจะลืมเลือนไปย้อนกลับเข้ามา
“คุณแก้วครับ” แก้วกัลยาได้สติกลับมามองถนนตรงหน้าอีกครั้ง โชคดีข้างหน้าตอนนี้ไม่มีรถ ไม่อย่างนั้นคงได้มีอุบัติเหตุแน่ แก้วกัลยากำลังหันไปถามคีตภัทรว่าเรียกทำไม จนเธอมองตวัดตาขึ้นมองกระจกและเห็นความผิดปกติบางอย่าง รถมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งกำลังขับตามรถของเธอมาตั้งแต่ออกมาจากงานคอนเสิร์ตแล้ว ซึ้งตอนแรกเธอก็ไม่ได้สังเกตสงสัยอะไร เธอคิดว่าเธอคิดไปเองด้วยซ้ำ แต่นี่ถนนตอนนี้รถมีอยู่น้อยมาก เรียกว่าโล่งเลยก็ว่าได้ แต่ทำไมมอเตอร์ไซค์คันนั้นไม่ยอมขับแซงไป เอาแต่ขับตามหลังมาก
“ที่นายเรียกฉัน ใช่นั่นหรือเปล่า”
“ผมสังเกตเห็นได้สักพักแล้วครับ คุณแก้วคิดว่าเป็นคนร้าย หรือนักข่าว”
“ไม่รู้สิ แต่ที่แน่ ๆ คงไม่ใช่คนดี เพราะในมือไอ้คนซ้อนท้ายมันถือปืนด้วย” แก้วกัลยาพูดและเริ่มเหยียบคันเร่ง เพื่อขับหนีเมื่อเห็นว่าคนข้างหลังยกปืนขึ้นมา และโชคร้ายคงเป็นของเธอและคีตภัทร ถนนสายนี้เป็นถนนเขตเลี่ยงชานเมือง และเป็นช่วงที่เรียกว่ารถน้อยมาก ทางที่ดีต้องรีบขับหนีให้พ้นจากถนนเส้นนี้ไปในเขตที่มีรถวิ่งเยอะ พวกมันน่าจะไม่กล้าลงมือ
หลังจากขับรถทิ้งระยะห่างมาได้สักพักจนเริ่มเข้าสู่เขตตัวเมือง สองข้างทางเริ่มปรากฏร้านรวงที่เปิดขายอยู่ตามฟุตบาท แสงไฟสองข้างทางสว่างโล่งแจ้งคงไม่มีใครกล้ายิงอะไรสุ่มสี่สุ่มห้าให้คนเห็นเหตุการณ์โทรเรียกตำรวจหรอก แต่เหมือนแก้วกัลยาจะพลาด และเธอคิดผิด
ปัง!!!
เสียงปืนดังขึ้นพร้อมกับลูกกระสุนที่พุ่งเข้าใส่กระจกรถ แน่นอนว่าเธอรอบคอบพอที่จะเลือกรถที่มันกันกระสุนได้ แต่ถ้ามันจ่อยิงไปเรื่อย ๆ กระจกที่กันกระสุนได้มันก็แตกได้เหมือนกัน
แก้วกัลยาพยายามขับหนีการไล่ล่าของคนร้าย และข้อความในจดหมายขู่ก็แล่นเข้ามาในความคิด ไม่ต้องคิดอะไรอีกแล้ว ไอ้คนร้ายที่ว่ามันเริ่มลงมือตามที่ได้ขู่แล้ว แก้วกัลยาพยายามขับรถเพื่อสลัดหนีให้พ้น เกิดมาชีวิตหนึ่งไม่คิดว่าจะได้ขับรถวิ่งหนีกระสุนแบบนี้
“นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย คีตะนายโทรหาคุณเพชรเดี๋ยวนี้เลย” คีตภัทรพยักหน้า มือกำลังกดหาเบอร์ของคีตภัทร
“กรี๊ด!!!” แก้วกัลยากรีดร้องเสียงดัง คีตภัทรจึงเงยหน้าขึ้นจากโทรศัพท์มองภาพตรงหน้า เมื่อเห็นรถตู้กำลังขับเลี้ยวออกมาจากแยกข้างหน้า แก้วกัลยาพยายามเหยียบเบรก และลดความเร็ว แต่เบรกกับไม่ทำงาน เสี้ยววินาทีก่อนที่รถจะพุ่งเข้าชนรถตู้คันนั้น แก้วกัลยาตัดสินใจหักหัวรถออก รถจึงพุ่งเข้าชนต้นไม้ข้างทาง ระบบเซฟตี้ทำงาน แต่ผลจากแรงอัดกระแทกก็ทำให้แก้วกัลยาและคีตภัทรสลบไป
...ติดตามตอนต่อไป...
บรรยากาศเงียบ แต่ก็ไม่ลืมเอาตอนมาฝาก ยังไงก็ฝากติดตามกันด้วยค่ะ
พบกันตอนต่อไปค่ะ
ปองรักปองร้าย
แก้วกัลยาขึ้นไปที่ตึกวีนัส มีเดียด้วยท่าทีเพลียสุด ๆ เธอกำลังคิดว่าเธอคิดผิดหรือเปล่าที่จะเอาชนะใจเพทายด้วยวินาทีนี้ แทนที่จะได้เข้าใกล้ เขากลับผลักภาระงานล้นตัวให้กับเธอแทน และวัน ๆ เขาก็ประชุมจนไม่มีเวลาให้เธอได้เข้าไปทำคะแนน เธอวางแผนพลาดลืมลางแผนป้องกันเหตุการณ์นี้ล่วงหน้า เธอทำงานแค่ตำแหน่งผู้ช่วยชั่วคราวทำงานมากกว่าเลขาส่วนตัวเขาเสียอีก นี่เจตนาเขาต้องการให้เธอยอมแพ้ เรื่องอะไรเธอไม่ยอมเสียหรอก วันนี้โชคดีที่เพทายมีประชุมแต่เช้าเรื่องโปรเจ็คใหม่ของคีตภัทร นักร้องเบอร์หนึ่งของค่าย นอกจากโปรเจ็คใหม่ ยังประชุมเรื่องคอนเสิร์ตใหญ่เต็มตัวคอนเสิร์ตแรกของคีตภัทร หลังจากเข้าวงจรนักร้องมาได้สามปี แต่ยังไม่ได้มีคอนเสิร์ตใหญ่เป็นของตัวเอง และปีนี้ยังเป็นปีพิเศษของวีนัส ปีนี้เป็นปีที่บริษัทวีนัส มีเดีย มีอายุครบรอบสามสิบปี เป็นปีที่พิเศษดังนั้นงานของผู้บริหารจึงเยอะมาก และเขายังช่วยเผื่อแผ่มาให้เธอ เมื่อเธอเสนอตัวเข้ามาช่วย อาจจะเรียกว่าใช้ก็ได้
“คุณแก้วคะ” มินตราเลขาของเพทายเอ่ยเรียกแก้วกัลยาที่วันนี้เข้าบริษัทสายกว่าทุกวัน มินตรามองใบหน้าสวยใสที่ตอนนี้มันหมองลงต่างจากวันแรก แต่เธอก็ยังคงความสวยด้วยสไตล์การแต่งตัวที่เป็นเอกลักษณ์ ดูเซ็กซี่แต่ไม่โป๊ เปิดในที่ควรเปิด ปิดในที่ควรปิด แม้จะดูเชิ่ด ๆ แต่ก็เป็นคนน่ารัก เธอเองก็พอรู้ข่าวสังคม ภาพลักษณ์ร้าย ๆ ทำให้เธอเกร็งในช่วงแรก ๆ แต่พอรู้จักก็รู้ว่าแก้วกัลยาแค่เป็นคนช่างติ แต่ก็ไม่มีอะไรน่ากลัวอย่างที่คิด
“มีอะไร” ดวงตาของแก้วกัลยาปรือแทบจะปิดหันไปสบกับมินตรา เลขาสาวลุคเชยเหมือนคุณป้า แต่งตัวปิดตั้งแต่คอยันปลายเท้า ผมถูกมัดรวบเก็บขึ้นเก็บไม่มีหลุดมาสักเส้น ใบหน้ากลม ๆ ไร้เครื่องสำอางมีกะกระจายอยู่ที่แก้มสีขาวซีด ดวงตากลม ๆ ซ่อนอยู่หลังแว่นคุณป้าแสนเชย ปากสีซีดทาเพียงลิปมันไม่ให้ปากแห้งเท่านั้น มองยังไงผู้หญิงคนนี้ควรจะไปสมัครเป็นครูมากกว่าจะมาเป็นเลขาส่วนตัวผู้บริหารบริษัท
“ท่านประธานฝากของให้คุณแก้วค่ะ” แก้วกัลยามองสมุดหนังสีน้ำตาลที่มีจดหมายแนบมาด้วย แก้วกัลยามองอย่างระแวง รู้สึกเหมือนกำลังโดยแกล้ง แต่ก็รับมาและเดินไปนั่งโต๊ะที่ของตัวเองที่ตั้งอยู่ตรงข้ามกับมินตรา แก้วกัลยาแกะซองจดหมายออก ตัวอักษรหวัด ๆ แต่เป็นระเบียบแบบนี้ลายมือของเพทายแน่นอน เขาลงทุนเขียนสั่งการเองเลยหรอ
‘ผู้จัดการส่วนตัวของคีตะไม่อยู่สองอาทิตย์ ตั้งแต่วันนี้คุณไปดูแลคีตะในฐานะผู้จัดการส่วนตัว คุณแค่จัดการควบคุมดูแลคีตะให้ไปตามงานในตารางที่ผู้จัดการของคีตะได้จัดไว้ให้แล้ว ห้ามรับงานอีเว้นท์เพิ่ม มีอะไรโทรถามคุณจีน่า ผู้จัดการส่วนตัวของคีตะ’
“นี่มันอะไร ฉันจะไปพบคุณเพชร”
“ไม่ได้นะคะ ไม่ได้ คือ...ว่า...”
“ฉันต้องการพบคุณเพชร ฉันจะขึ้นไปคุยกับเขาให้รู้เรื่อง นี่มันเกินไปไหม เขาแกล้งฉันอยู่ชัด ๆ ตั้งแต่ทำงานฉันยังไม่ได้เจอหน้าเขาเลยนะ แล้วนี่ยังโยนฉันไปไกลเขาอีก” แก้วกัลยาทำท่าจะเดินออกไปแต่ก็ชะงักเท้าไว้และหันไปมองหน้ามินตราที่มีพิรุธจนผิดสังเกต เธอรีบหมุนตัวเดินไปหน้าประตูห้องทำงานของผู้บริหาร แต่มินตรากลับไม่ยอมรีบเดินมาขวางแก้วกัลยาไว้ในทันที
“เธอมาขวางฉันทำไม” มินตราไม่กล้าเอ่ย และกลับใบหน้ายิ่งตื่นตนก เผยพิรุธออกมาให้เห็นมากขึ้นเรื่อย ๆ จนสังเกตเห็นได้ชัด
“ถอยไปมินตรา ท่านประธานของเธอไม่ได้ประชุมใช่ไหม ฉันถาม ใช่ไหม มินตรา” มินตราทำหน้าไม่ถูก และจังหวะที่กำลังหาทางแก้ตัว แก้วกัลยาก็เดินอ้อมหลังเธอและผลักประตูที่ไม่ได้ล็อคเข้าไป และเป็นอย่างที่แก้วกัลยาคิด เพทายไม่ได้ประชุม เขานั่งคุยอยู่กับดารินทิพย์ด้วยท่าทีสนิทสนม นี่เขาตั้งใจไม่บอกเธอว่าการประชุมถูกเลื่อนออกไปเป็นวันพรุ่งนี้ เพราะต้องการนัดดารินทิพย์มาคุยปรับความเข้าใจกับเหตุการณ์เมื่อครั้งก่อน แก้วกัลยาคิดได้อย่างนั้นก็โกรธแทบควันออกหู
“คุณแก้ว!!!” ดารินทิพย์ทำสีหน้าระคนปนแปลกใจที่เห็นแก้วกัลยายืนอยู่ แก้วกัลยายิ้มทักทายและหันไปมองผู้ชายที่กล้างัดข้อกับเธอ
“ดิฉันต้องการคุยกับคุณเพชร...เรื่องงาน...เป็นการส่วนตัว” แก้วกัลยาพูดพลางปรายตามองดารินทิพย์ ซึ่งเธอต้องการพูดคำว่าส่วนตัวเพื่อไล่ดารินทิพย์ออกไป เพทายมองแก้วกัลยาอย่างไม่ค่อยพอใจ เขากำลังจะเอ่ยปากรั้งดารินทิพย์ไว้ แต่ดารินทิพย์เผลอหันไปสบตากับแก้วกัลยาที่ตอนนี้กำลังถลึงตาใส่เธออยู่ ดารินทิพย์รีบเก็บของลุกขึ้น
“คือ...เอาไว้ค่อยคุยกันอีกทีนะคะพี่เพชร ดาว่าดากลับก่อนดีกว่า พี่เพชรจะได้คุยเรื่องงานกับคุณแก้ว” ดารินทิพย์พูดจบก็เดินออกไป ระหว่างที่เดินออกไปเธอต้องเดินสวนกับแก้วกัลยาที่หน้าประตู ขาทั้งสองข้างหยุดชะงักลง เมื่อแก้วกัลยาหันมาพูดประโชคหนึ่งกับเธอ
“ถ้ายังอยากมีที่ยืนบนสังคมอย่างสวยงาม ถอยออกไปจากเกมนี้ซะ อย่ามายุ่งกับคุณเพชร อย่าให้ฉันต้องแฉเธอเลยดาหวัน เพราะฉันไม่อยากทำร้ายเธอหรอก” ดารินทิพย์หันสบตากับแก้วกัลยาในทันที เธอมองเห็นประกายบางอย่างที่แก้วกัลยาดูมั่นใจมาก และเธอก็รีบเดินออกไป
“คุณพูดอะไรกับน้องดา” แก้วกัลยาชักสีหน้ากับสรรพนามที่ใช้เรียกคุณหนูหน้าหวานแสนเปราะบาง
“ฉันไม่อยากคุยเรื่องผู้หญิงคนอื่นกับคุณ”
“น้องดาไม่ใช่คนอื่น”
“หรอคะ” แก้วกัลยายิ้ม แต่เหมือนนึกขึ้นได้ว่าจุดประสงค์ที่เธอมาที่นี่เพื่อมาคุยเรื่องงาน “ฉันมีเรื่องจะถามคุณ นี่มันอะไรคะ” แก้วกัลยาวางสมุดบันทึกและจดหมายลงบนโต๊ะ
“ก็งานคุณไง”
“ฉันไม่ทำ คุณใช้ฉันมากไปแล้วนะคะ ฉันตกลงกับคุณแล้วว่าฉันต้องทำให้คุณชอบฉัน แต่คุณเล่นเขี่ยฉันออกห่างตลอดเวลา แล้วฉันจะมีโอกาสแทะ...เอ่อ...ทำคะแนนได้ยังไงคะ” แก้วกัลยาเอ่ย
“นั่นมันเรื่องของคุณ คุณบอกเองว่าจะมาทำงานกับผม ผมก็ให้คุณทำแล้วคุณจะเอายังไงอีก”
“แต่...”
“ถ้าไม่ทำก็ออกไป เรื่องสัญญาที่ตกลงกันไว้ก็ถือว่าเป็นโมฆะ เชิญออกไปได้แล้วครับผมจะทำงาน” แก้วกัลยาแย้มยิ้มที่มุมปากและเดินมาที่หน้าเก้าอี้ตั้งใจหมุนเก้าอี้ให้หันมาหาตนก่อนจะวางมือซ้ายเท้าไว้ที่พนักพิงหลัง เพทายทำท่าจะลุกขึ้นหนี แต่แก้วกัลยาก็ใช้มืออีกข้างผลักเขาให้กลับลงไปนั่ง มือเรียวสวยวางทาบลงที่อกของเขาและลูบเบา ๆ
“คุณ...คุณจะทำอะไรผม”
“นั่นสิทำอะไรดีนะ ในเมื่อคุณอยากเขี่ยฉันออกห่างจากคุณถึงสองอาทิตย์ ฉันใช้วิธีลัดดีไหมนะ” เพทายขมวดคิ้วและมองผู้หญิงไฟแรงสูงตรงหน้าอย่างหวาดระแวง
“วิธีลัดอะไร”
“ก็จับคุณปล้ำ ทีนี้ก็จบแล้ว ถึงคุณไม่รับผิดชอบ คุณน้าก็ต้องให้คุณรับผิดชอบ คุณป้าคงไม่เชื่อหรอกว่าฉันจะกล้าปล้ำคุณ คนทั้งบริษัทก็เชียร์ฉันทั้งนั้น ให้ช่วยยืนยัน คิดสิว่าคุณป้าจะเชื่อใคร” แก้วกัลยาพูดและยิ้มเมื่อเห็นสีหน้าที่ตกตะลึงกับคำพูดของเธอ แก้วกัลยาพยายามกลั้นหัวเราะเอาไว้
“มันไม่ตลกนะคุณ”
“โธ่ที่รัก ทำเป็นไม่เคยไปได้ มามะให้เค้าหอมแก้มที่รักหน่อยดีกว่า” แก้วกัลยาทำท่าจะก้มหน้าลงไป เพทายดันเก้าอี้ถอยหลังไปทันที แก้วกัลยาที่ทรงตัวไม่ได้เพราะเพทายเลื่อนเก้าอี้ในจังหวะที่เธอไม่ได้ตั้งตัว มือที่วางอยู่จึงไถลออก ร่างบางของแก้วกัลยาที่เมื่อครู่กำลังจะแกล้งเขาถลาเข้าไปหาเขาในทันที ดวงหน้าหวานที่เมื่อครู่เลื่อนเข้าไปหาใบหน้าหล่อเหลาของเขาพุ่งเข้าชนกับหน้าเขาเต็ม ๆ ริมฝีปากสีแดงอวบได้รูปประทับเข้าที่ริมฝีปากของหนุ่มหล่อ ใบหน้าหวานที่ไม่ได้เตรียมการตั้งรับกับเหตุการณ์ตรงหน้าตื่นตะลึงตาม เธอถอยตัวกลับไปยืนใบหน้าเห็นชัดว่าทำอะไรไม่ถูก
“ฉัน...ฉันตกลงทำงานที่คุณสั่ง ฉัน...ไปนะ”
“คุณแก้ว...”
“ฉันสรุปแฟ้มเอกสารให้คุณแล้ว ขอตัวนะคะ” แล้วแก้วกัลยาก็เดินออกไป เพทายที่ตกใจแต่มองปฏิกิริยาของผู้หญิงใจกล้าด้วยสายตาขบขัน ผู้หญิงที่ท่าทางมั่นใจ ชอบแทะโลมเขาทั้งคำพูดและการกระทำ แต่แค่ถลาเข้ามาจุมพิตเขาเพียงปากแตะ ๆ กลับเขินอาย เขายิ้มออกและส่ายหน้ากับท่าทีแปลกใหม่ของแก้วกัลยาที่ไม่เคยพบ
แก้วกัลยาเปิดประตูวิ่งหน้าตื่นออกมา มินตราหันมองแก้วกัลยาด้วยความแปลกใจกับท่าทีที่ไม่เคยพบเจอ แก้วกัลยาเดินเหม่อมานั่งแหมะลงที่เก้าอี้ของตนเองและลูบริมฝีปากเบา ๆ อาการตกใจค้างยังคงอยู่ เกิดมาในชีวิตผู้ชายที่เคยออกเดทกับเธอ เคยคบกันแค่จับมือกันเธอก็ไม่ยอมแล้ว แม้เธอจะไปเรียนเมืองนอกมานาน เรื่องแบบนี้พบเห็น และมีเพื่อนถ่ายถอดประสบการณ์ให้ฟังอยู่บ่อยครั้ง แต่เธอก็ไม่เคยลองภาคปฏิบัติ แม้นี่จะเป็นเพียงการแตะปากยังไม่ได้จูบอย่างลึกซึ้ง แต่เพทายก็ขโมยจูบที่เธอจะเก็บไว้มอบให้เจ้าบ่าวของเธอในอนาคตไปแล้ว เขาต้องรับผิดชอบ เขาต้องเป็นแฟน เขาต้องเป็นของเธอเท่านั่น เพราะนี่ถือว่าเขาตีตราจองเธอแล้ว อย่าหวังว่าเธอจะปล่อยเขาไปง่าย ๆ
“คุณแก้วคะ คุณแก้ว คุณแก้ว!!!” แก้วกัลยาสะดุ้งและหันกลับไปมองมินตรา
“เป็นอะไรหรือเปล่าคะ” แก้วกัลยาส่ายหน้า
“เปล่านี่ เอ่อ...ฉันขอตัวนะ มีธุระต้องทำ อ่อ...มินตรา ถ้าเกิดมีผู้หญิงมาหาคุณเพชร โทรรายงานฉันด้วย ต่อให้เป็นยัยดาหวันนั่นก็โทรมานะ”
“เอ่อ...ถึงจะไม่ค่อยเข้าใจ แต่ก็ได้ค่ะ” แก้วกัลยายิ้มอย่างพอใจ และถือกระเป๋าเดินลงจากตึกไป แก้วกัลยามองสมุดตารางงานของคีตภัทร โชคดีที่ผู้จัดการของคีตภัทรรับงานช่วงสองอาทิตย์ไม่เยอะ เพื่อให้คีตภัทรได้มีเวลามาซ้อมเตรียมตัวสำหรับคอนเสิร์ตแรกของเขาที่กำลังจะเกิดขึ้น วันนี้คีตภัทรมีถ่ายโฆษณา มีโน้ตที่เขียนตัวปากกาแดงว่าให้เธอไปรับคีตภัทรออกมา ซึ้งในสมุดตารางงานมีเบอร์ของคีตภัทรและที่อยู่พร้อม สองอาทิตย์นี้เธอต้องกลายเป็นผู้จัดการดารา อีกอย่างที่เธอยอมออกห่างจากเพทายง่าย ๆ เพราะเธอต้องการเวลาหลบไปทำใจ เหตุการณ์เมื่อครู่ยังทำให้เธอตกใจไม่หาย เธอไม่อยากหลุดท่าทีที่ดูอ่อนไหวออกมาให้เสียเซลล์
“กรี๊ด!!!” เสียงกรีดร้องดังไปทั่วบ้าน แก้วกัลยาที่พึ่งอาบน้ำเสร็จหยิบเสื้อคลุมและเปิดประตูห้องวิ่งออกมา เช่นเดียวกับวันวิวาห์ที่ตกใจไม่แพ้กันที่อยู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงกรีดร้องอย่างบ้าคลั่งดังมาจากห้องตรงข้าม แก้วกัลยาหันมองหน้าวันวิวาห์และรีบวิ่งไปพลักประตูให้เปิดออก โชคดีที่พวกเธอมีกฎในบ้านว่าถ้าอยู่บ้านห้ามล็อคประตูห้องนอน กันว่าถ้ามีเหตุฉุกเฉินจะได้วิ่งเข้าไปช่วยทันไม่ต้องมาพังประตูแบบในละคร ดังนั้นแก้วกัลยาจึงเปิดประตูเข้าไปได้ง่าย ๆ และภาพที่ปรากฏตรงหน้าคือรักจิรากำลังระบายโทสะด้วยการขยำตุ๊กตาเน่าที่เป็นตุ๊กตาตัวโปรดที่รักจิราตั้งชื่อให้ว่า ตัวบวม และดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่ได้สนใจบุคคลสองคนที่ยืนอยู่หน้าประตูห้องและมองหน้ากันด้วยสีหน้างุนงงสุด ๆ
“ไอ้บ้า ฉันเกลียดแก นี่แน่ะ นี่แน่ะ ไปตายซะ สิ่งผิดพลาดที่สุดของฉันคือไปคบกับเธอ และฉันยอมผิดพลาดแค่ครั้งเดียว คิดว่าฉันอยากคบกับนายหรือไง ไอ้ชีกอ ไอหัวงู ไอ้ ไอ้ ไอ้ กรี๊ด!!!!” รักจิรากรี๊ดอีกครั้งขึ้นมาอีกครั้ง สองสาวที่ยืนอยู่หน้าประตูรีบเอามืออุดหู ปกติจะไม่เห็นรักจิรากรีดร้องดีดดิ้นแบบนี้ แสดงว่ามีบางอย่างไม่ปกติเกิดขึ้น
“แกเป็นบ้าอะไรไอ้รัก ชาวบ้านชาวช่องเขาแตกตื่นกันหมดแล้ว ร้องยังกะโดนขมขื่น เดี๋ยวตำรวจก็แห่มากันหรอก” รักจิราหอบอย่างเหนื่อยอ่อนหลังจากใช้พลังงานหมดไปตั้งแต่เช้า ดวงตาสวยแกร่งมองไปที่ญาติผู้พี่ทั้งสองที่กำลังจ้องมองเธอราวกับเจอตัวประหลาด
“ตัวมาตั้งแต่เมื่อไหร่เจ๊แก้ว เจ๊วัน”
“ก็มาทันเห็นแกเป็นบ้านั้นแหละ ตกลงหายบ้าหรือยัง” รักจิราเดินไปดันพี่สาวทั้งสองออกจากห้อง และปิดประตูห้องเลือกที่จะไม่ตอบคำถาม เพราะตั้งแต้รักจิราเริ่มทำงานหน้าที่ใหม่ รักจิรายังไม่เคยเล่าให้แก้วกัลยาฟังเลยว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่วันวิวาห์พอจะรู้จากการสบถอุทานบ่อย ๆ ของรักจิรายามเหม่อ หรือหงุดหงิด วันวิวาห์คิดว่าเจ้านายใหม่ของรักจิราอาจจะเป็นอัสนี เพราะไม่มีใครที่ไหนสามารถทำให้รักจิราหงุดหงิดงุ่นง่านใจจนเหมือนคนบ้าได้อย่างนี้
หลังจากสภาพจิตใจเริ่มเป็นปกติลง รักจิราก็เดินหน้าบึ้งลงจากห้อง เช้านี้แก้วกัลยาเป็นคนไปซื้อข้าวต้มจากตลาดที่หน้าซอยทางเข้าหมู่บ้าน เพราะน้ำเต้าหู ชา กาแฟ ไม่สามารถให้พลังงานในการทำงานใหม่ของเธอได้ เธอพึ่งรู้ว่าการเป็นผู้จัดการส่วนตัวศิลปินมันไม่ได้ง่ายเลย โดยเฉพาะศิลปินชื่อดังอย่างคีตภัทร คีตภัทรถูกสั่งห้ามไม่ให้ขับรถเองหนึ่งเดือน หลังจากขับรถผิดกฎจราจร (ผ่าไฟแดง) โชคดีที่ข่าวปิดเงียบลงได้ ไม่อย่างนั้นคงได้ลงหน้าหนึ่ง คนเป็นดารานี่ทำอะไรผิดเล็กน้อยไม่ได้เลยจริง ๆ แค่ผ่าไฟแดงก็ลงหน้าหนึ่งแล้ว และจากเหตุการณ์นั้นทำให้เธอต้องเป็นผู้ไปรับไปส่งคีตภัทรในช่วงที่รถโดนบริษัทยึดไว้ แก้วกัลยาคิดไว้แล้วว่าหน้าที่ผู้จัดการส่วนตัวต้องไม่ธรรมดา เพราะเธอต้องคอยเคลียร์คิว ที่สำคัญการที่คีตภัทรจะต้องให้สัมภาษณ์หรือออกรายการเธอต้องตรวจสอบคำถามเหล่านั้นก่อน เพื่อกันคำถามที่ไม่เหมาะสม ที่ทางต้นสังกัดไม่อนุญาตให้ตอบ และยังมีอีกมากมายที่เธอต้องรับผิดชอบในฐานะผู้จัดการส่วนตัว
เคร้ง!!!
แก้วกัลยาที่เหม่อลอยสะดุ้งอย่างตกใจเมื่ออยู่ ๆ รักจิราวางแก้วน้ำกระแทกเสียงดังใบหน้าบูดบึ้งอีกครั้ง และขยับปากเหมือนเข่นเขี้ยวใครในใจ แต่มันออกมาทางสีหน้าท่าทางเสียหมด
“ไอ้บ้าเอ๊ย!!!”
“ไอ้รักแกเป็นบ้าอะไรตั้งแต่เช้าแล้ว ไม่สิตั้งแต่สองสามวันก่อนแล้ว กลับมาถึงก็ตะโกนเสียงดังยังกับคนบ้า ทำเสียงปึงปังในห้อง และเช้านี้แกยังไม่พาลทำให้บรรยากาศที่ไม่ดีอยู่แล้วยิ่งแย่อีก” แก้วกัลยาเอ่ย เธอเองก็สังเกตเห็นว่าสองสามวันก่อนหลังจากกลับมาจากทำงานในช่วงค่ำ ๆ รักจิราก็มีท่าทีแปลกไป แต่ยังไม่บ้าคลั่งเท่าวันนี้
“ไม่มี แค่ไปเจอคนบ้า ๆ ปากหมา ปากเสีย น่าแค้นที่เค้าไม่ต่อยมันให้แรง ๆ เอาให้กินข้าวไม่ได้สักสามสี่วัน หงุดหงิด น่าโมโห” รักจิราไม่พูดเปล่า ดวงตาเริ่มลุกเป็นไฟอีกครั้ง มือกำช้อนแน่นจนช้อนที่กำอยู่บิดงอ
“คนบ้า ๆ ที่ว่า ใช่สายฟ้าไหม” รักจิราหันไปมองวันวิวาห์ที่อ่านใจเธอออก ใบหน้าสวยดูตกใจ
“ตัวรู้ได้ไงเจ๊วัน”
“อาการแกเคยเป็นแบบนี้บ่อยหรอไง เคยกรีดร้องเป็นคนบ้าหรือไง นอกจากเรื่องไอ้สายฟ้า แกไม่เคยเป็น ถ้าอย่างนั้นก็เป็นอย่างที่วันบอกสินะ แกเจอกับไอ้สายฟ้ามา พรหมลิขิต อุบ..แค่ก แค่ก” รักจิราตักข่าวต้มยัดใส่ปากของแก้วกัลยาทันทีที่แก้วกัลยาตั้งใจจะล้อเธอ
“ไม่ใช่สักหน่อย ก็แค่เจอคนบ้ามันพูดจากวนโมโห ตัวไม่ต้องมาสนเค้าหรอกเจ๊แก้ว เค้าว่าตัวนั่นแหละไปถึงไหนแล้ว ช่วงนี้ดูยุ่ง ๆ” แก้วกัลยาทำหน้าไม่รู้ไม่สนคำถาม และจะไม่ตอบด้วย ถ้าเกิดเล่าว่าตอนนี้แผนเธอที่วางไว้กำลังจะแห้ว มีหวังเสียหน้า โดยรักจิราทับถมแน่
“เอ่อ...จริงสิ พวกเราไม่ได้ไปกินข้าวนอกบ้านนานแล้วนะ ครั้งสุดท้ายก็สามสี่เดือนก่อน เราไปกินข้าวนอกบ้านไหม วันนี้ฉันเสร็จงานแล้ว ว่าไงวัน” แก้วกัลยาถามความเห็นสมาชิกทั้งสองของบ้าน วันวิวาห์พยักหน้ารับ เพราะตัวเองยังไงก็ได้อยู่แล้ว แต่เหลืออีกคนที่ยังนั่งหน้าหักหน้างอเป็นปลาทู
“รัก รัก ไอ้รัก” ไม่ตะโกนเปล่ามือเรียวยังยื่นไปหยิกแขนรักจิรา
“โอ๊ย!!! ตัวทำอะไรเจ๊แก้ว” รักจิราร้องเสียหลงเมื่อโดยกระทำทั้งที่ไม่ได้ตั้งตัว
“ฉันถามแล้วแกไม่ตอบ มัวแต่ทำหน้าหักอยู่นั่นแหละ ตกลงว่าวันนี้จะไปกินข้าวนอกบ้านไหม” รักจิราพยักหน้า
“เอาสิ ช่วงนี้เซ็ง ๆ ไปข้างนอกบ้างอาจจะช่วยให้เค้าอารมณ์ดีขึ้น จะไปกี่โมงล่ะ จะไปร้านไหน”
“สักสองทุ่มละกัน นั่งกินริมแม่น้ำจะได้ได้บรรยากาศ ไปร้านประจำพวกเรานั่นแหละ น่าเสียดายที่ขวัญไม่อยู่ ถ้าอย่างนั้นวันให้ไอ้รักยืมรถละกัน จะได้มีรถขับไป ส่วนวันไปกับฉัน เดี๋ยวขากลับจะแวะไปรับที่โรงพยาบาล จะได้ไม่ยุ่งยาก” วันวิวาห์พยักหน้าหยิบกุญแจรถของตัวเองให้กับรักจิรา
“งั้นฉันไปก่อนนะเจอกันที่ร้าน” แก้วกัลยาลุกขึ้นเดินออกพร้อมกับวันวิวาห์
“วัน เดี๋ยวขอแวะไปรับคนก่อนได้ไหม พอดีมันเป็นทางผ่าน แล้วจะแวะไปส่ง” วันวิวาห์พยักหน้าและหยิบไอแพดขึ้นมาเปิดดูข่าวเช้านี้ รถขับมาจอดลงที่หน้าคอนโดแห่งหนึ่งที่อยู่ไม่ห่างจากหมู่บ้านของพวกเธอสักเท่าไหร่ ประตูหลังเปิดออกพร้อมกับผู้ชายสองคนที่แก้วกัลยาต้องมารับเดินก้าวขึ้นมาคนหนึ่งคือหนุ่มหน้าหวานละมุน มองมุมไหนก็ต้องบอกว่าสวยมากกว่าหล่อ ประกายแสงบางอย่างประกายออกมา บ่งบอกว่าเขาเป็นผู้ชายที่มีออร่าเหมือนเทวดา เขาดูนุ่มนวล ใจดี รอยยิ้มของเขาไม่ต่างจากแสงอาทิตย์ยามเช้าที่อบอุ่น ละมุนละไม และน่าเข้าใกล้ เขาคือคีตภัทรน้องร้องหนุ่มเบอร์หนึ่งของค่ายที่กำลังฮอตฮิตคิวเต็มตลอดปี คนในวงการต่างพากันรักและชื่นชมเขา เขาเป็นคนดีมาก ซึ่งมันไม่ใช่แค่การสร้างภาพให้ดูดี แต่มันคือเนื้อแท้ หลังจากได้ทำงานมาร่วมสัปดาห์ แก้วกัลยาก็ค้นพบว่าผู้ชายคนนี้เป็นคนดีมาก ไม่หยิ่ง ไม่ถือตัว ซึ่งทำให้เธอสนิทกับนักร้องคนนี้อย่างรวดเร็ว
ส่วนอีกคนที่ตามขึ้นมานั้นคือนักร้องหนุ่มที่มีลุคต่างกันสิ้นเชิง ถ้าบอกว่าคีตภัทรเป็นแองเจิ้ล ผู้ชายคนนี้ก็คือเดวิล เพราะเขามีลุคแบดบอยสุด ๆ นิสัยนั้นต่างจากคีตภัทรโดยสิ้นเชิง เขาดูเป็นคนค่อนข้างอารมณ์ร้อน มาดกวน ปากร้าย เขาคือภีมะ เขาเป็นอีกหนึ่งซุปเปอร์สตาร์ที่ดังไม่แพ้คีตภัทร ด้วยลุคแบดบอยร้องเพลงร็อค เอาใจสาว ๆ ที่ชอบหนุ่มแนวนี้ไปได้เต็ม ๆ และเห็นแบบนี้เขาก็ยังอายุพึ่งจะยี่ต้น ๆ เท่านั้นแต่กลับมาถึงจุดที่หลาย ๆ คนใฝ่ฝันได้อย่างรวดเร็ว และมันก็อันตรายสำหรับพวกเขา เพราะยิ่งสูงมันก็ยิ่งหนาว
ทางค่ายตั้งใจปั้นสองหนุ่มสองสไตล์ที่อายุห่างกันไม่กี่ปี ในเวลาไล่ ๆ กัน คีตภัทรถูกเก็บตัวนานถึงห้าปีก่อนจะปล่อยซิงเกิ้ลแรกให้ออกสู่สายตาทุกคน หลังจากปล่อยคีตภัทรได้หนึ่งปี ก็ปล่อยตัวภีมะที่เก็บตัวอยู่กับค่ายนานร่วมสี่ปี หลังจากมาประกวดในโครงการของค่ายแต่ไม่ได้รับตำแหน่งใด ๆ แต่ทางค่ายเห็นพรสวรรค์ว่าต้องมีอนาคตไกลในวงการเพลงนี้แน่นอน
“คิดว่าจะสายซะแล้วสองหนุ่ม” แก้วกัลยาเอ่ย คีตภัทรยิ้มและเดินขึ้นไปนั่งข้างหลัง ภีมะก็ตามเข้ามา ภีมะยิ้มกวน ๆ ยกมือขึ้นไหว้อย่างนอบน้อมสุด ๆ
“หวัดดีปะ...”
“ฉันจะตบปากนาย” แก้วกัลยาเอ่ย
“ผมไม่สายทุกวันหรอกครับคุณแก้ว”
“ฉันไม่ได้ห่วงนายจะสาย แต่ห่วงใครบางคนมากกว่า” แก้วกัลยาปรายตาไปมองภีมะที่ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้
“แล้ว...” เขามองผู้หญิงอีกคนที่นั่งอยู่ข้างแก้วกัลยา ซึ่งสายตาดูสนใจ แม้จะไม่ได้วิบวับจนสังเกตได้ แต่แก้วกัลยาสังเกตเห็นสายตาของคีตภัทรที่แสดงความใคร่รู้ผ่านกระจกหลังมา แก้วกัลยายิ้มและหันไปสะกิดเรียกวันวิวาห์ที่ก้มหน้าอ่านบทความวิชาการที่น่าสนใจในไอแพด วันวิวาห์เงยหน้าขึ้นจากไอแพดมองคนที่สะกิดเรียก
“วัน ฉันมีคนจะแนะนำให้รู้จัก” วันวิวาห์พยักหน้า และหันไปมองผู้ชายที่นั่งอยู่เบาะหลัง ดวงตาคู่สวยของวันวิวาห์ฉายแววบางอย่างออกมาเหมือนเคยรู้จักหนึ่งในผู้ชายสองคนนี้
“นี่คีตะ นักร้องที่ฉันต้องดูแล ส่วนนั่นภีม มีคนฝากมา”
“โห่เจ๊...”
“อย่ามาโห่ พี่แก้ม ลาคลอด ฉันถึงต้องมารับสองจ๊อบ เพราะยังไม่มีใครว่างดูแลตัวป่วนอย่างนาย ดูแลคีตะคนเดียวก็ยุ่งพอแล้วยังต้องมาเหนื่อยกับนายอีก ดีที่สองวันนี้คิวนายตรงกับคีตะไม่อย่างนั้นบอสใหญ่นายต้องแยกร่างฉันไปแล้วล่ะ” แก้วกัลยาเอ่ยบ่นเหมือนคับแค้นใจ
“บ่นอะไรของเจ๊เนี่ย พวกผมอยากรู้จักพี่สาวคนสวยมากกว่าฟังเจ๊บ่น”
“ย่ะ...คีตะนี่วันวิวาห์เป็นลูกพี่ลูกน้องของฉัน” แก้วกัลยาตั้งใจไม่พูดชื่อภีมะคล้ายหมั้นไส้ คีตภัทรที่นั่งอยู่ข้าง ๆ กำลังมองวันวิวาห์และส่งยิ้มหวานชวนมองไปให้
“เราเคยเจอกันแล้วครับ ผมเคยไปโรงพยาบาลที่คุณวันรักษาอยู่หลายครั้ง”
“จริงสิ นายเป็นลูกชายเจ้าของโรงพยาบาลวรรณเวศย์นี่นา แล้วนายไปทำอะไรที่โรงพยาบาล วันน่าจะอยู่ตึกศูนย์หัวใจ นายไม่ได้เป็นโรคหัวใจนี่”
“ไปเยี่ยมคนสิครับ”
“คนไข้หรือคุณหมอครับพี่คีตะ” ภีมะเอ่ยถาม แต่คีตภัทรไม่ตอบ ซึ่งวันวิวาห์เองก็ไม่สนใจเช่นกันและหันกลับไปสนใจไอแพด คีตภัทรเองก็มองวันวิวาห์และยิ้มนิด ๆ ก่อนจะหันไปสนใจภีมะที่ชวนคุยระหว่างทาง
“ถึงแล้ววัน” แก้วกัลยาเอ่ยขึ้น วันวิวาห์หันกลับมาสนใจภาพข้างหน้ากำลังจะเปิดประตูลง ประตูกลับถูกดึงเปิดออกเสียก่อนด้วยฝีมือของคีตภัทรที่เดินลงจากรถไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ วันวิวาห์จึงเดินลงจากรถ เธอมองผู้ชายที่มีรอยยิ้มดุจแสงอาทิตย์เขาเป็นผู้ชายที่มีออร่าของความมีชีวิตชีวา รอบ ๆ กายเขาดูเหมือนจะมีแต่ความสุขตลอดเวลาจนน่าอิจฉา
“ครั้งนี้ถือว่าเรารู้จักกันแล้วนะครับคุณวัน” เขาเอ่ย วันวิวาห์มองเขาและกำลังจะเดินไป แต่เขาก็เรียกเธอไว้ก่อน
“คุณวันครับ” วันวิวาห์ยังคงแสดงท่าทีเฉยเมย เขายื่นผ้าเช็ดหน้าผืนสีขาวปากลายดอกไม้ที่มุมผ้าเช็ดหน้าปีกอักษรย่อ ...W.S... เอาไว้ มันคือตัวย่อชื่อและนามสกุลของเจ้าของผ้า
“ผมยังไม่ได้คืนของให้คุณเลยผมอยากมาคืนกับมือ ผมซักให้เรียบร้อยแล้ว รับรองสะอาดครับ” วันวิวาห์มองผ้าเช็ดหน้าในมือของเขาที่ยืนมาให้สลับกับมองหน้าเขาไปมา และเอ่ยขึ้น
“เก็บไว้เถอะค่ะ เผื่อคุณหัวแตกอีก” และวันวิวาห์ก็เดินเข้าไปในโรงพยาบาล รอยยิ้มยังคงปรากฏ เขาไม่เคยเจอผู้หญิงที่เย็นชา แสดงท่าทีเว้นระยะห่างกับเขาขนาดนี้ คีตภัทรมองผ้าเช็ดหน้าและเก็บใส่กระเป๋าเสื้อไว้ตามเดิมและเดินขึ้นรถนั่งที่ตำแหน่งข้างคนขับแทนวันวิวาห์ กลิ่นหอมอ่อน ๆ จากน้ำหอมของเธอยังอวลอยู่บางเบา
“ไม่ค่อยออกนอกหน้าเลยนะพี่คีตะ” ภีมะเอ่ย
“ฉันก็ไม่ได้ทำอะไรนี่”
“นี่ไม่ได้ทำอะไรหรอ ปกติพี่สนใจใครยากจะตาย พี่มีอะไรไม่ได้เล่าให้ผมฟังบ้างหรือเปล่า ไปรู้จักคุณวันเขาเมื่อไหร่กัน เดี๋ยวนี้มีความลับกับพี่กับน้องเหรอ” ภีมะแสร้งทำน้ำเสียงน้อยใจ แต่แก้วกัลยารู้ว่าไอ้หมอนี่มันเสแสร้ง ภาพลักษณ์ที่บริษัทปั้นทำให้ภีมะดูมีเสน่ห์ อยู่ต่อหน้าคนอื่นภีมะจะมีลุคแบดบอย ชอบกัดแต่ขาดความเป็นเด็กแบบที่เห็น แต่เมื่ออยู่กับคนรู้จักสนิทสนม เขาจะดูเด็กลงตามอายุ แต่ก็เป็นเด็กอารมณ์ร้อนที่เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย ไม่พอใจก็โวยวาย ดังนั้นผู้จัดการส่วนตัวของเขาจึงต้องเป็นแก้มนิ่ม ผู้หญิงที่โหดที่สุดสามารถคุมภีมะได้อยู่มัด
“เยอะไปแล้วภีม เรื่องส่วนตัวของเขา ยุ่งเรื่องคนอื่น เอาเวลาที่พูดมาก ๆ เก็บเสียงไว้ร้องเพลงดีกว่า ช่วงนี้ได้ยินว่าฟอร์มตกนี่ แถมโดดซ้อมบ่อย ๆ ทะเลาะกับแฟนหรือไง” ภีมะถึงกับเงียบเสียงทันทีเหมือนพูดไม่ออก ตอบไม่ได้
“วันน่ะ ใจร้ายมากนะ ผู้ชายอกหัก นั่งช้ำใจแอบไปซดน้ำใบบัวบกเพราะวันกันมานักต่อนักแล้ว คิดดี ๆ นะ ที่จะชอบวัน” แก้วกัลยาเอ่ยลอย ๆ ส่วนคีตภัทรก็ยังคงยิ้มและเหม่อนั่งคิดอะไรเงียบ ๆ จนรถจอดลง เหมือนจะนึกบางอย่างได้
“เรื่องแบร์เป็นยังไงบ้างครับ” คำถามของคีตภัทรทำให้แก้วกัลยาที่กำลังจะเปิดประตูลงจากรถหยุดชะงัก แบร์ บัณฑิตา คลาวด์ ชัยวัฒนา นักร้องลูกครึ่งสาวหน้าใสที่กำลังมีชื่อเสียงไม่แพ้กัน นักร้องสาวที่มีภาพลักษณ์ดีมาตลอดแต่กลับตกเป็นประเด็นว่าเข้าไปข้องเกี่ยวกับยาเสพติด และตอนนี้ข่าวของบัณฑิตากำลังกลายเป็นข่าวคึกโครม ซึ่งแก้วกัลยาก็เข้าใจว่าทำไมคีตภัทรถึงถามถึง สองคนเป็นเพื่อนกันตั้งแต่ช่วงมาเก็บตัวเป็นนักร้องใหม่ ๆ ทำให้สนิทกับมากเคยมีข่าวว่าแอบกิ๊กกันอยู่ช่วงหนึ่งแต่ก็ศาลงเมื่อแบร์มีแฟนเป็นต้นเป็นตน และเมื่อคืนก่อนก็เกิดเรื่องขึ้นกับบัณฑิตาคีตภัทรก็อดเป็นห่วงไม่ได้ ทางต้นสังกัดสั่งห้ามไม่ให้สัมภาษณ์ใด ๆ
“เมื่อวานฉันโทรไปคุยกับคุณเพชรมาแล้ว ตอนนี้แบร์รักษาตัวอยู่โรงพยาบาลยังให้ปากคำอะไรไม่ได้ เพราะร่างกายได้รับสารเสพย์ติดเกินขนาด ทำให้ช็อคไม่ได้สติ”
“แล้วเมื่อคืนมันเกิดอะไรขึ้นครับ” ภีมะเป็นคนถามบ้าง
“ฉันเองก็ไม่รู้แน่ชัด แต่ที่มินเล่าให้ฟังเห็นว่า เมื่อคืนหลังจากเสร็จงานเจ๊ลูกพีชบอกว่าให้แบร์กลับบ้านเอง เพราะมีธุระด่วน รู้อีกทีแบร์ก็อยู่ในข่าวทีวีแล้ว เห็นว่าแบร์ไปผับที่เขากำลังมั่วยากันอยู่ ตำรวจไปเจอน้องแบร์ในห้องน้ำ น้องแบร์มีสภาพแย่มาก และผลตรวจฉี่ของน้องแบร์ยังเป็นสีม่วง”
“ผมไม่อยากจะเชื่อ”
“ใช่ ไม่อยากจะเชื่อ ตอนนี้ต้นสังกัดกำลังวุ่นวายกันใหญ่เลย คิดว่าอีกไม่กี่วันก็คงจะแถลงข่าวใหญ่อีกครั้ง ตอนนี้พวกนายก็อาจจะโดนเพ่งเล็งไปด้วย ระวังตัวหน่อย นายไม่เท่าไหร่หรอกคีตะ แต่ภีม นายชอบไปไหนมาไหนคนเดียว ระวังไว้บ้าง มันคืออนาคตของนายเชียวนะ” แก้วกัลยาเอ่ย
“ผมรู้แล้วน่า” แก้วกัลยาทำหน้าคิดหนัก พลางนึกไปถึงเพทายที่เธอพึ่งโทรคุยด้วยเมื่อคืนหลังรู้เรื่องจากมินตราที่โทรมาตอนตีสาม เธอเองก็รีบต่อสายหาเพทาย ตอนแรกเธอคิดว่าเขาจะไม่รับ แต่ปรากฏว่าเขารับ เธอคุยกับเขาสักพักก่อนจะวางสายไป
งานวันนี้เป็นไปอย่างยากลำบาก เพราะนักข่าวพากันมาดักรอสัมภาษณ์คีตภัทรที่เป็นเพื่อนที่ใกล้ชิดกับบัณฑิตาที่สุด แต่ทางบริษัทโทรมาสั่งแล้วว่างดการให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับบัณฑิตา วันนี้คีตภัทรมีงานหลายที่ เธอต้องหาทางเลี่ยงนักข่าว การทำงานก็เป็นไปอย่างทุลักทุเล เพราะนักข่าวพยายามจะขอเข้ามาในกองถ่าย และคืนนี้งานขึ้นคอนเสิร์ตเป็นงานสุดท้ายของวันก่อนที่แก้วกัลยาจะต้องพาคีตภัทรไปส่ง
แก้วกัลยามองคีตภัทรที่ร้องเพลงอยู่บนเวที คีตภัทรเป็นนักร้องหนุ่มที่มีเสน่ห์มากไม่ใช่แค่หน้าตาที่หวานเหมือนผู้หญิง แต่เสียงร้องที่เป็นเอกลักษณ์ฟังแล้วตรึงใจ เธอไม่แปลกใจที่เขาจะกลายเป็นขวัญใจมหาชนในระยะเวลาอันรวดเร็ว บวกกับนิสัยที่นอบน้อม เขายกมือไหว้ตั้งแต่คนยกฉากไปจนถึงเจ้าของงาน ตอนแรกเขาก็ยกมือไหว้เธอ แต่เธอสั่งห้ามไว้แม้เธอจะอายุมากกว่าเขาสี่ปี แต่เธอก็ไม่พิสมัยให้ใครมายกมือไหว้ราวกับเธอเป็นผู้สูงอายุ แต่สุดท้ายรวมแล้วเธอก็รู้ว่าการกระทำของเขามันออกมาจากใจล้วน ๆ พอมองเห็นใบหน้ายิ้มราวแสงอาทิตย์ทำให้เธอนึกถึงใบหน้าของญาติผู้น้องอย่างวันวิวาห์ขึ้นมา อยากให้วันวิวาห์ยิ้มให้ได้ครึ่งของคีตภัทรบ้าง
“คุณแก้วครับมีคนฝากของมาให้คุณคีตะครับ” แก้วกัลยาหันไปมองทีมงานคนหนึ่งที่เดินถือกล้องพัสดุสีขาวมาให้เธอ แก้วกัลยารับไว้ และมองกล่องในมือสลับกับนักร้องหนุ่ม ช่วงนี้เธอรู้สึกว่าที่บริษัทเกิดเรื่องบ่อย ๆ อย่างน้อยก่อนของจะไปถึงมือคีตภัทรเธอควรจะตรวจสอบก่อน แก้วกัลยาลองเอาหูแนบกล่อง เมื่อไม่มีเสียงอะไรแปลก ๆ แก้วกัลยาจึงเปิดกล่องออก ภายในกล่องไม่ได้มีอะไรนอกจากกระดาษแผ่นหนึ่งที่พับไว้ แก้วกัลยาวางกล่องลงที่เก้าอี้ และเปิดกระดาษออกดู ภายในกล้องมีรูปภาพการทำงานของคีตภัทรในวันนี้ตั้งแต่เช้าจนเย็น แก้วกัลยาขมวดคิ้วและหยิบกระดาษแผ่นสีขาวที่พันครึ่งแผ่นหนึ่งขึ้นมาเปิดอ่าน
...คำเตือนครั้งสุดท้าย ยกเลิกงานทั้งหมดซะ...
แก้วกัลยายืนนิ่งมองข้อความที่พิมพ์จากคอมพิวเตอร์ ก่อนจะกดโทรศัพท์โทรหาเพทาย แต่เพทายกลับปิดเครื่อง แก้วกัลยาทำหน้าคิดหนัก เธอไม่รู้ว่าข้อความนี้เป็นแค่คนโรคจิตส่งมาขู่เล่น ๆ หรือมีคนคิดจะปองร้ายจริง ๆ เพราะจดหมายแบบนี้เธอได้รับมาสามฉบับแล้ว และเธอก็เป็นคนเก็บไว้ เธอลองโทรไปปรึกษาเพทาย เพทายกลับบอกว่าอาจจะเป็นพวกแฟนคลับโรคจิต เพราะแต่ก่อนก็มีคนส่งข้อความประมาณนี้มา ทำให้พวกเขาแตกตื่นหาจัดเตรียมหาบอดี้การ์ดล้อมตัวคีตภัทรยิ่งกว่านายกเสียอีก แต่สุดท้ายก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เธอเถียงเขาพักใหญ่ว่าบอกว่าต้องการบอดี้การ์ดอย่างน้อยสองคนก็ยังดี แต่สุดท้ายก็เธอก็แพ้เขา เพราะเขาตัดสายเธอทิ้งไป แม้เพทายจะบอกว่าเป็นเรื่องปกติ แต่ลางสังหรณ์บางอย่างของเธอกำลังบอกเธอว่านี่มันไม่ใช่เรื่องปกติ
“เหนื่อยมาก นักข่าวพวกนี้ไม่มีอะไรทำกันหรือไงนะ คนไม่ให้ข่าวก็ยังตามกันอยู่นั่นแหละ” แก้วกัลยาเอ่ยหลังจากกันตัวคีตภัทรออกมาจนถึงรถได้สำเร็จ ใบหน้าของแก้วกัลยากำลังเก็บกั้นอารมณ์ที่พวยพุ่งไว้อย่างรุนแรง
“ก็มันอาชีพเขานี่ครับ”
“แต่นั่นมันเกือบทำให้กองถ่ายทำงานไม่ได้ แถมมาดักหน้าทางเข้างานคอนเสิร์ตจนนายเกือบขึ้นเวทีไม่ทันอีก มันน่าโมโหนัก นี่ถ้าฉันไม่เห็นแก่ว่านายเป็นนักร้องดังล่ะก็ ฉันวีนแตกไปแล้ว” คีตภัทรมองและยิ้มกับท่าทีของแก้วกัลยา ตอนนักข่าวรุมล้อมเขาแก้วกัลยาเผ่นแนบไปรอที่รถแล้ว กว่าเขาจะออกมาได้ต้องมีบรรดาสตาร์ฟช่วยกันพวกนักข่าวไว้ ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ได้มานั่งอยู่บนรถแบบนี้
“โชคดีที่วันนี้งานของนายหมดแค่ตอนหนึ่งทุ่ม ไม่เหมือนสองวันก่อนที่เลิกเกือบตีสอง ไม่อย่างนั้นฉันได้ตายก่อนแน่ จริงสิ ตั้งแต่เช้านายกินข้าวไปแค่นิดเดียวเอง ไปกินข้าวด้วยกันไหม” เขาทำหน้าไม่มั่นใจ ยิ่งนักข่าวจับตาอยู่ก็ไม่อยากจะไปไหน
“วันก็ไปด้วยนะ” พอได้ยินว่าวันวิวาห์ไปด้วยจากที่กำลังจะปฏิเสธ เขารีบตอบรับในทันที
“ไปครับ แต่ว่าถ้าผมไปคนต้องจำได้แน่”
“เดี๋ยวก่อนถึงฉันแปลงโฉมให้ รับรองไม่มีใครจำได้ นี่เกือบจะหนึ่งทุ่มแล้ว เดี๋ยวเราแวะไปรับภีมะก่อน เห็นว่าถ่ายรายการเสร็จแล้ว จะได้แวะไปรับวันต่อเลย”
“ครับ คุณวันเธอเป็นอย่างนี้ตั้งแต่เด็กแล้วหรอครับ” แก้วกัลยาขมวดคิ้วกับคำถาม
“แบบไหน”
“เข้าถึงยาก”
“ก็ตั้งแต่จำความได้ นอกจากครอบครัว คนที่สนิทกับวันจริง ๆ มีไม่มาก ขนาดพวกเราบางครั้งยังรู้สึกเลยว่าวันกันพวกเราออกจากปัญหาส่วนตัว อย่าพยายามทำความเข้าใจวัน เพราะนายจะไม่มีวันเข้าใจ ถ้าถามว่าโลกนี้ใครเป็นผู้หญิงที่เข้าใจยากที่สุดก็ต้องเป็นวันนั่นแหละ บอกเลยนะ ถ้าคิดจะจีบเล่น ๆ อย่าเลย มันเสียเวลา”
“ผมยังไม่บอกเลยนะครับว่าจะจีบ แต่ผมแค่รู้สึกว่าคุณวัน เธอดู...น่าสงสาร”
“น่าสงสารหรอ...อาจจะจริง พวกฉันสี่พี่น้องเป็นพวกน่าสงสาร” แก้วกัลยาอยู่ในภวังค์ความคิดของตนเอง ไม่ใช่แค่วันวิวาห์หรอก พวกเธอทั้งสี่ล้วนมีปมที่แก้ไม่ได้ และพวกเธอที่กำลังทำตัวเข้มแข็งอยู่ ก็คือพวกน่าสงสาร ตัวเธอเองกำลังค้นหาความสมบูรณ์แบบในชีวิต ความสมบูรณ์ที่มันขาดหายไปจากพ่อแม่ความทรงจำในวันวานที่คล้ายจะลืมเลือนไปย้อนกลับเข้ามา
“คุณแก้วครับ” แก้วกัลยาได้สติกลับมามองถนนตรงหน้าอีกครั้ง โชคดีข้างหน้าตอนนี้ไม่มีรถ ไม่อย่างนั้นคงได้มีอุบัติเหตุแน่ แก้วกัลยากำลังหันไปถามคีตภัทรว่าเรียกทำไม จนเธอมองตวัดตาขึ้นมองกระจกและเห็นความผิดปกติบางอย่าง รถมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งกำลังขับตามรถของเธอมาตั้งแต่ออกมาจากงานคอนเสิร์ตแล้ว ซึ้งตอนแรกเธอก็ไม่ได้สังเกตสงสัยอะไร เธอคิดว่าเธอคิดไปเองด้วยซ้ำ แต่นี่ถนนตอนนี้รถมีอยู่น้อยมาก เรียกว่าโล่งเลยก็ว่าได้ แต่ทำไมมอเตอร์ไซค์คันนั้นไม่ยอมขับแซงไป เอาแต่ขับตามหลังมาก
“ที่นายเรียกฉัน ใช่นั่นหรือเปล่า”
“ผมสังเกตเห็นได้สักพักแล้วครับ คุณแก้วคิดว่าเป็นคนร้าย หรือนักข่าว”
“ไม่รู้สิ แต่ที่แน่ ๆ คงไม่ใช่คนดี เพราะในมือไอ้คนซ้อนท้ายมันถือปืนด้วย” แก้วกัลยาพูดและเริ่มเหยียบคันเร่ง เพื่อขับหนีเมื่อเห็นว่าคนข้างหลังยกปืนขึ้นมา และโชคร้ายคงเป็นของเธอและคีตภัทร ถนนสายนี้เป็นถนนเขตเลี่ยงชานเมือง และเป็นช่วงที่เรียกว่ารถน้อยมาก ทางที่ดีต้องรีบขับหนีให้พ้นจากถนนเส้นนี้ไปในเขตที่มีรถวิ่งเยอะ พวกมันน่าจะไม่กล้าลงมือ
หลังจากขับรถทิ้งระยะห่างมาได้สักพักจนเริ่มเข้าสู่เขตตัวเมือง สองข้างทางเริ่มปรากฏร้านรวงที่เปิดขายอยู่ตามฟุตบาท แสงไฟสองข้างทางสว่างโล่งแจ้งคงไม่มีใครกล้ายิงอะไรสุ่มสี่สุ่มห้าให้คนเห็นเหตุการณ์โทรเรียกตำรวจหรอก แต่เหมือนแก้วกัลยาจะพลาด และเธอคิดผิด
ปัง!!!
เสียงปืนดังขึ้นพร้อมกับลูกกระสุนที่พุ่งเข้าใส่กระจกรถ แน่นอนว่าเธอรอบคอบพอที่จะเลือกรถที่มันกันกระสุนได้ แต่ถ้ามันจ่อยิงไปเรื่อย ๆ กระจกที่กันกระสุนได้มันก็แตกได้เหมือนกัน
แก้วกัลยาพยายามขับหนีการไล่ล่าของคนร้าย และข้อความในจดหมายขู่ก็แล่นเข้ามาในความคิด ไม่ต้องคิดอะไรอีกแล้ว ไอ้คนร้ายที่ว่ามันเริ่มลงมือตามที่ได้ขู่แล้ว แก้วกัลยาพยายามขับรถเพื่อสลัดหนีให้พ้น เกิดมาชีวิตหนึ่งไม่คิดว่าจะได้ขับรถวิ่งหนีกระสุนแบบนี้
“นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย คีตะนายโทรหาคุณเพชรเดี๋ยวนี้เลย” คีตภัทรพยักหน้า มือกำลังกดหาเบอร์ของคีตภัทร
“กรี๊ด!!!” แก้วกัลยากรีดร้องเสียงดัง คีตภัทรจึงเงยหน้าขึ้นจากโทรศัพท์มองภาพตรงหน้า เมื่อเห็นรถตู้กำลังขับเลี้ยวออกมาจากแยกข้างหน้า แก้วกัลยาพยายามเหยียบเบรก และลดความเร็ว แต่เบรกกับไม่ทำงาน เสี้ยววินาทีก่อนที่รถจะพุ่งเข้าชนรถตู้คันนั้น แก้วกัลยาตัดสินใจหักหัวรถออก รถจึงพุ่งเข้าชนต้นไม้ข้างทาง ระบบเซฟตี้ทำงาน แต่ผลจากแรงอัดกระแทกก็ทำให้แก้วกัลยาและคีตภัทรสลบไป
...ติดตามตอนต่อไป...
บรรยากาศเงียบ แต่ก็ไม่ลืมเอาตอนมาฝาก ยังไงก็ฝากติดตามกันด้วยค่ะ
พบกันตอนต่อไปค่ะ
พัชรีพร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 28 พ.ค. 2558, 13:01:01 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 28 มิ.ย. 2558, 13:05:19 น.
จำนวนการเข้าชม : 884
<< ตอนที่ 3 ผู้หญิงเจ้าแผนการ | ตอนที่ 5 คุณต้องรับผิดชอบ >> |