กว่าหัวใจจะเจอรัก
คำโปรย กว่าหัวใจจะเจอรัก

หนึ่งคน...ยโสเอาแต่ใจ เคยชินต่อการที่ใครต่อใครยอมศิโรราบ จนไม่ยอมแม้แต่จะฟังเสียงหัวใจของตัวเอง
หนึ่งคน...อวดดื้อถือดี พยายามต่อต้านทุกวิถีทางทั้งที่หัวใจร่ำร้องว่าไม่ต้องการ
หนึ่งคน...ภายนอกสุภาพอ่อนโยน แต่ข้างในซุกซ่อนความเอาแต่ใจกระทั่งยอมทำทุกอย่างเพื่อให้ได้สิ่งที่ตัวเองต้องการ
หนึ่งคน...หัวอ่อนว่าง่าย หากในใจกลับเข้มแข็งและไม่ยอมแพ้ ถึงแม้หัวใจจะถูกใครบางคนฉกฉวยยึดเอาไปแล้วก็ตาม

...ในเมื่อไม่ยอมฟังเสียงหัวใจ ไม่ยอมทำในสิ่งที่หัวใจร่ำร้อง แล้วอย่างนี้เมื่อไรหัวใจทุกดวงจึงจะค้นพบรักแท้ที่จริง ๆ แล้วอยู่ใกล้แค่มือเอื้อม...

Tags: พี่จิน พี่ธันว์ น้องส้ม น้องแก้ม ปากแข็ง ทิฐิ

ตอน: บทที่ 16 และ 17

บทที่ 16


สามวันหลังจากนั้น เช้าวันรุ่งขึ้นเจ้านายของน้องส้มก็ขับรถมาจอดที่หน้าประตูบ้านของหญิงสาวเมื่อเวลาเดินมาถึงหกโมงครึ่ง

“เร็ว ๆ ส้ม พี่จินมารับแล้ว”

คุณณัชชาออกปากเร่งลูกสาวเมื่อมองออกไปด้านนอกแล้วเห็นว่าหน้าประตูรั้วมีรถยนต์ของจินตเมธจอดอยู่ ยอมรับว่าตื่นเต้นแทนลูกสาวไม่น้อยกับการเริ่มต้นทำงานเป็นวันแรกของณัฐวรา จนวันนี้ต้องลุกขึ้นมาเตรียมอาหารเช้าให้ตั้งแต่ยังไม่ตีห้า

“แม่คะ ช่วยดูให้หน่อย ส้มแต่งแบบนี้ดีแล้วใช่ไหมคะ”

คุณณัชชาอดยิ้มไม่ได้ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าณัฐวราเองก็ตื่นเต้นไม่น้อย คนเป็นแม่พินิจลูกสาวซึ่งอยู่ในชุดเดรสผ้าชีฟองสีดำพิมพ์ลายดอกไม้สีน้ำตาลแดงที่เสริมด้วยผ้าผูกเอวสีดำรับกับชายกระโปรงที่เป็นแถบสีดำ ก่อนมองไปที่เรือนผมยาวสลวยของหญิงสาวที่วันนี้ถูกปล่อยลงเคลียร์ไหล่โดยมีการบิดผมเป็นเกลียวจากด้านข้างศีรษะทั้งสองไปบรรจบตรงกลางด้านหลังเผยให้เห็นใบหูทั้งสองข้างที่ตอนนี้มีต่างหูรูปหัวใจประดับอยู่ ก่อนออกปากชม

“วันนี้ลูกสาวแม่สวยมากจ๊ะ”

คนถูกชมยิ้มหน้าแดงนิด ๆ ก่อนยกมือไหว้มารดาและรับพรที่ท่านให้ จากนั้นจึงเดินออกไปเพื่อสมทบกับคนที่รอเธออยู่ที่หน้าประตูรั้ว

พี่จินยิ้มนิด ๆ เมื่อเห็นหน้าคนในหัวใจที่กำลังเดินเข้ามาหา อดคิดไม่ได้ว่าวันนี้น้องส้มสวยน่ารักกว่าทุกวันที่ผ่านมา รอยยิ้มยิ่งเปิดกว้างเมื่อเห็นว่าหญิงสาวใส่ต่างหูที่เขาซื้อให้

“สวย”

น้องส้มหน้าแดงนิด ๆ เมื่อเข้ามาใกล้พี่จินแล้วได้ยินคำพูดนั้นเต็มหู กำลังจะยิ้มก็ได้ยินคำพูดต่อมา

“ต่างหูสวยดีนะ”

ที่แท้ก็หมายถึงต่างหู

น้องส้มเผลอตัวค้อนใส่พี่จินอย่างเคืองนิด ๆ โทษฐานที่ทำให้เธอใจเต้นไปแวบหนึ่งเพราะหลงคิดว่าเขาชมเธอ กำลังจะเดินผ่านชายหนุ่มไปเพื่อเปิดประตูด้านข้างคนขับ ก็ได้ยินเขาพูดขึ้นมาอีก

“แต่...คนใส่สวยกว่า”

ถึงตอนนี้น้องส้มก็ไม่กล้าหันไปมองเพราะรู้จากผิวหน้าร้อนผ่าวของตัวเองว่าขืนหันไปคงได้ขายหน้าแน่ แต่ก็ยังไม่อาจห้ามรอยยิ้มของตัวเองได้จนต้องซ่อนเอาไว้ภายใต้ใบหน้าที่ก้มต่ำลงนิด ๆ ทำให้ไม่ทันเห็นและไม่ได้ยินว่าคนที่ออกปากชมเมื่อครู่กำลังหัวเราะเบา ๆ ราวกับนึกขำบางอย่าง

เรื่องที่เช้าวันนี้พนักงานคนใหม่มาพร้อมกับผู้บริหารของบริษัทแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็วจนทำให้น้องส้มแทบทำตัวไม่ถูกเมื่อตกเป็นเป้าสายตาและหัวข้อซุบซิบสนทนาของเพื่อนร่วมงาน ในขณะที่พี่จินทำเหมือนไม่รู้หรือไม่สนใจเมื่อทำให้เกิดข้อกังขามากขึ้นด้วยการโทร. ตามพนักงานบัญชีคนใหม่ให้ออกไปทานอาหารกลางวันด้วยกันเมื่อเวลาใกล้เที่ยง

“ส้มไปทานกับคนในแผนกได้ค่ะ”

หญิงสาวบอกโดยทำเป็นไม่เห็นสายตาที่เหลือบมองมาของเพื่อนร่วมงานสูงวัยกว่าอีกสองคนที่นั่งอยู่ไม่ไกลนัก รู้โดยไม่ต้องให้ใครบอกว่าสองคนนั้นคงกำลังเงี่ยหูฟังเต็มที่

“แต่นี่เป็นคำสั่ง!”

น้องส้มได้แต่นั่งนิ่งแม้อีกปลายสายจะยุติการสนทนาไปแล้วก็ตาม เริ่มหงุดหงิดขึ้นมานิด ๆ กับนิสัยชอบบังคับของพี่จินแม้พยายามบอกกับตัวเองว่าอีกฝ่ายคงไม่มีวันเลิกนิสัยเสียแบบนี้ แต่เธอก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะทนต่อความเอาแต่ใจของเขาไปได้อีกนานแค่ไหน

ยิ่งตอนนี้เขาเหมือนจะชอบออกคำสั่งกับเธอมากขึ้นทุกที

น้องส้มถอนหายใจออกมาในจังหวะที่เพื่อนร่วมงานคนหนึ่งโฉบเข้ามาใกล้โต๊ะทำงาน

“กลางวันนี้ไปทานข้าวด้วยกันนะส้ม”

ณัฐวราหันไปยิ้มให้กับรุ้งตะวัน บุญรักษา เพื่อนร่วมงานวัยเดียวกันที่เพิ่งเข้ามาทำงานก่อนหน้าเธอได้ไม่นาน ยอมรับว่าถูกชะตากับหญิงสาวคนนี้มากกว่าเพื่อนร่วมงานวัยสามสิบกว่าอีกสองคนที่ดูเหมือนชอบสนใจเรื่องของชาวบ้านมากกว่าหน้าที่ความรับผิดชอบของตนเอง

“ขอโทษด้วยนะรุ้ง ส้มคงไปด้วยไม่ได้เพราะมีนัดแล้ว”

“ไม่เป็นไร ไว้วันหลังก็ได้”

รุ้งตะวันบอกยิ้ม ๆ แม้นึกเสียดายหน่อย ๆ เพราะอยากไปทานอาหารกับเพื่อนร่วมงานคนใหม่ที่เธออยากผูกมิตรเป็นพิเศษ นึกดีใจและขอบคุณฟ้าเบื้องบนที่ส่งณัฐวราเข้ามาทำงานที่นี่ทำให้เธอเริ่มมีกำลังใจอยากอยู่ทำงานต่อ หลังจากก่อนหน้านี้เคยนึกอยากลาออกเพราะทนต่อความอึดอัดและแรงกดดันจากเพื่อนร่วมงานรุ่นพี่สองคนที่ทำงานมานานแล้วแทบไม่ไหวจากนิสัยชอบซุบซิบนินทาและไม่ชอบหรือไม่เคยเห็นใครดีในสายตาแม้แต่สักคน

ณัฐวราได้แต่นึกเสียดายเมื่อมองตามแผ่นหลังของเพื่อนร่วมงานที่กำลังเดินกลับไปโต๊ะทำงาน ก่อนที่ความหงุดหงิดจะหวนกลับมาอีกครั้งเมื่อนึกถึงคนนิสัยเสีย

ความหงุดหงิดนั้นยังคงไม่จางหายแม้กระทั่งเวลาเดินมาถึงเที่ยงเศษ เมื่อณัฐวราเดินไปหาจินตเมธในห้องทำงานของเขาซึ่งเมื่อเช้าชายหนุ่มพาเธอเข้าไปนั่งรอฝ่ายบุคคลที่จะมาพาเธอเข้าไปแนะนำตัวในแผนกตามคำสั่งของเขา

จินตเมธนิ่วหน้าเมื่อคนที่เขาเฝ้ารอเดินเข้ามาในห้องด้วยสีหน้าติดบึ้งนิด ๆ ทำให้เริ่มหงุดหงิดขึ้นมาบ้างเมื่อเห็นว่าคนที่มาช้านอกจากไม่มีทีท่าว่าสำนึกตัวแล้วยังทำเหมือนไม่พอใจใส่เขาอีก

“ทำไมมาช้า!”

ประโยคแรกที่เจอรวมกับน้ำเสียงกระด้างที่ได้ยินทำให้น้องส้มยิ่งคอแข็งจากความรู้สึกต่อต้าน

“ส้มมีงานต้องทำค่ะ ไม่ได้นั่งเล่นว่าง ๆ ไปวัน ๆ”

พี่จินนิ่งไปเมื่อเริ่มรู้สึกถึงความหัวเสียของน้องส้ม หลังจากขยับเข้าไปใกล้แล้วนิ่งมองอาการหน้าคว่ำเม้มปากแน่นของอีกฝ่ายครู่หนึ่ง ชายหนุ่มจึงตั้งคำถามด้วยน้ำเสียงอ่อนลงจากเดิม

“งานยุ่งมากเหรอ”

ความหงุดหงิดในหัวใจของน้องส้มเริ่มบรรเทาลงตามระดับน้ำเสียงของพี่จิน แต่ใช่ว่าจางหายไปเลยทีเดียว

“เปล่าค่ะ”

พี่จินนิ่วหน้าเมื่อเริ่มร้อนใจและกังวลกับท่าทีปั้นปึ่งของน้องส้ม สิ่งที่คิดออกในตอนนั้นมีเพียง

“หรือมีใครมาพูดหรือทำอะไรให้ไม่พอใจ บอกมาเดี๋ยวพี่จัดการให้”

น้องส้มทั้งฉิวทั้งขันกับท่าทางราวอันธพาลใหญ่ของพี่จิน แต่อาจด้วยความร้อนใจที่เห็นในแววตาคมเข้มของเขาทำให้หญิงสาวยอมบอกออกไปตามตรง

“พี่จิน”

จินตเมธงงไปเป็นครู่เมื่ออีกฝ่ายเรียกเขาแล้วก็เอาแต่มองมาเงียบ ๆ ก่อนตั้งคำถามอย่างค้างคาใจ

“เรียกพี่ทำไม”

“ส้มไม่ได้เรียก ส้มตอบคำถามของพี่จินต่างหาก”

ต้องใช้เวลาอีกครู่พี่จินจึงค่อยเข้าใจ กระนั้นชายหนุ่มก็ไม่วายตั้งคำถาม

“พี่ทำอะไร”

คำถามของพี่จินที่ราวกับไม่เข้าใจอย่างแท้จริงทำให้น้องส้มอึ้งงันเพราะไม่รู้จะตอบเช่นไร ก่อนถอนหายใจแล้วตัดสินใจบอกออกไปแค่เพียง

“ไม่มีอะไรค่ะ”

แต่ดูเหมือนนั่นจะทำให้พี่จินไม่พอใจนักเมื่อดูจากการขมวดคิ้วฉับแล้วคาดคั้นเสียงเข้ม

“บอกมา!”

ถึงตอนนี้ความพยายามอดทนของน้องส้มก็สิ้นสุดลงเช่นกัน ดวงตาคู่สวยวาบขึ้นสอดรับกับพายุอารมณ์ที่กำลังก่อตัว

“ก็เพราะพี่จินชอบเป็นแบบนี้ไงส้มถึงได้เกลียดนัก!”

ถึงคราวพี่จินตาลุกวาบบ้างจากความปั่นป่วนของมรสุมที่เริ่มตั้งเค้าในหัวใจ ชายหนุ่มคว้าข้อมือเล็กเอาไว้ในวินาทีที่เห็นหญิงสาวหันหลังแล้วทำท่าจะเดินหนี

“เป็นบ้าอะไร! อยู่ ๆ มาบอกว่าเกลียดแล้วจะมาเดินหนีไปแบบนี้ คิดว่าตัวเองเป็นใคร สำคัญมากแค่ไหน พี่ถึงจะต้องแคร์!”

“งั้นก็ไม่ต้องมายุ่งกับส้ม ปล่อย!”

เสียงตวาดและความพยายามจะสะบัดมือออกจากการเกาะกุมของเขาทำให้วินาทีนั้นพี่จินไม่หยุดคิดหรือยับยั้งชั่งใจใด ๆ ทั้งสิ้นเมื่อกระชากร่างเล็กเข้ามาแล้วมอบจูบรุนแรงให้ราวกับจะลงโทษที่กล้าทำอวดดีกับเขา

น้องส้มน้ำตาซึมไม่ใช่เพราะความเจ็บทางกายที่ได้รับแต่ความปวดร้าวในหัวใจจากความใจร้ายของพี่จินต่างหากที่ทำให้เธอเสียใจอย่างบอกไม่ถูก กระทั่งไม่ต่อต้านไม่ขัดขืนได้แต่ฝืนตัวเองให้ยืนนิ่งจนกระทั่งพี่จินดูเหมือนพอใจแล้ว

แต่จริง ๆ แล้วพี่จินไม่พอใจเลย ตรงกันข้ามชายหนุ่มกลับปวดใจเมื่อเห็นผลของการขาดสติและเผลอทำตามอารมณ์ตัวเอง ชายหนุ่มปล่อยมือจากการพันธนาการแล้วเปลี่ยนมากำมือตัวเองแน่นเพราะความปั่นป่วนจากคลื่นอารมณ์ที่กำลังโหมซัดอยู่ภายในใจขณะนิ่งมองคนที่เอาแต่เม้มริมฝีปากแน่นแต่ขณะเดียวกันก็ไม่หลบสายตาเขา

น้องส้มขบริมฝีปากที่กำลังสั่นระริกของตัวเองเอาไว้ขณะมองคนที่สร้างความเจ็บให้กับเธอทั้งทางกายและทางใจ ความรู้สึกดี ๆ ที่กำลังเริ่มก่อตัวเมื่อไม่นานมานี้เหมือนถูกพี่จินบดขยี้ด้วยฝ่าเท้าจากการกระทำป่าเถื่อนเมื่อครู่ ยิ่งเห็นอีกฝ่ายมองตอบกลับมานิ่ง ๆ ด้วยแววตาที่เธออ่านไม่ออก น้องส้มก็รู้สึกเหนื่อยกายเหนื่อยใจจนอยากหลบไปหามุมที่จะทำให้หัวใจของเธอเข้มแข็งขึ้น แต่เมื่อตัดสินใจหันหลังให้คนใจร้ายน้ำเสียงเว้าวอนอย่างคนรู้สึกผิดก็รั้งเธอเอาไว้ให้นิ่งงัน

“พี่ขอโทษ...”

ทั้งที่การกระทำป่าเถื่อนของเขาไม่สามารถเรียกน้ำตาของเธอได้ แต่ในวินาทีที่ได้ยินคำร้องขอด้วยน้ำเสียงเจือความเจ็บปวดของพี่จิน หยาดน้ำอุ่น ๆ กลับรื้นขึ้นมาในดวงตาของน้องส้มทีละน้อย

“พี่ยินดีให้น้องส้มทำร้าย จะทุบจะตีจะด่าว่าพี่ยังไงก็ได้ หรือจะโกรธจนไม่ยอมพูดกับพี่เป็นอาทิตย์ก็ไม่เป็นไร แต่...”

คำพูดที่เตรียมเอ่ยต่อจากนั้นสะดุดไปเล็กน้อยเมื่อถูกขัดจากความขมขื่นที่ก่อตัวเป็นก้อนแข็ง ๆ ขวางอยู่กลางลำคอ ต้องใช้เวลาครู่หนึ่งกว่าพี่จินจะทำลายอุปสรรคออกไปแล้วเอ่ยต่อ ถึงแม้เสียงที่เปล่งต่อจากนั้นจะแหบพร่าเหลือเกินเพราะความเจ็บปวดที่เกาะกินเนื้อใจ

“แต่...อย่าเกลียดกันเลยได้ไหม เพราะ...พี่คงทนไม่ได้จริง ๆ”

น้องส้มพูดไม่ออกเพราะยามนั้นหัวใจของเธอกำลังถ่ายทอดความรู้สึกออกมาแทน หญิงสาวปล่อยให้น้ำตาจากความเจ็บช้ำไหลรินในขณะที่ร่างกายก็สะท้านจากการฝืนข่มเสียงสะอื้น

พี่จินรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังถูกเฆี่ยนตีด้วยแส้ทุกครั้งที่เห็นร่างเล็ก ๆ ซึ่งยังคงหันหลังให้สะท้านขึ้นยามที่ข่มกลั้นเสียงสะอื้น กระทั่งมาถึงจุดที่ไม่อาจทนรับต่อความเจ็บปวดได้อีก

อ้อมกอดอบอุ่นจากคนที่สวมกอดเธอจากทางด้านหลังทำให้น้องส้มตัวแข็งขึ้นมาโดยอัตโนมัติ ใจหนึ่งอยากดิ้นรนไปให้พ้นจากคนใจร้ายคนนี้ แต่อีกใจ...ที่อาจเหนื่อยล้าเต็มทีทำให้ยืนนิ่งอยู่อย่างนั้นปล่อยให้คนเอาแต่ใจกอดเอาไว้ตามใจชอบ เสียงสะอื้นที่เพียรกักเก็บหลุดรอดออกมาในที่สุดเมื่อคนชอบเอาแต่ใจกดจุมพิตที่ข้างขมับอย่างอ่อนโยนราวกับจะขอไถ่โทษต่อความรุนแรงที่ทำเอาไว้ก่อนหน้านี้

“อย่าเกลียดพี่เลยนะ”

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะมุมอ่อนโยนในตัวพี่จิน ณ ตอนนี้ หรือเป็นเพราะที่แท้แล้วหัวใจของเธอไม่เข้มแข็งพอกันแน่ ท่ามกลางความขัดแย้งของอารมณ์ที่มีทั้งอยากผลักไสและอยากใช้เขาเป็นที่ซับน้ำตา น้องส้มก็ได้แต่ยืนร้องไห้ปราศจากเสียงอยู่แบบนั้นพร้อมกับการประจักษ์ชัดในหัวใจ

ไม่ว่าที่ผ่านมาเขาจะเคยใจร้ายกับเธอมากแค่ไหน และไม่ว่าเธอจะเพียรบอกกับตัวเองว่าเกลียดชังเขาสักกี่ครั้งกี่หน แต่จนแล้วจนรอดเธอก็ไม่เคยเกลียดเขาจริง ๆ สักที และไม่แน่ว่าบางที...ตลอดชีวิตนี้เธออาจไม่มีวันเกลียดเขาได้เลย

ในที่สุดอาหารกลางวันมื้อนั้นก็ถูกเปลี่ยนเป็นการออกคำสั่งให้เลขาคนสนิทออกไปซื้อมาให้ ในระหว่างที่คนทำผิดก็พยายามใช้ทุกวิถีทางเพื่องอนง้อขอโทษคนที่เอาแต่นั่งเงียบไม่พูดไม่จา

ถึงแม้ตอนนี้น้องส้มไม่ได้ร้องไห้แล้วแต่พี่จินก็ยังคงเสียใจไม่เลิกกับความผิดของตัวเอง ยิ่งหญิงสาวเอาแต่นั่งนิ่งไม่พูดไม่ว่าอะไรแม้แต่ครึ่งคำ ชายหนุ่มก็ปวดใจจนทนไม่ไหว

“พูดกับพี่สักคำได้ไหม”

หัวใจคนฟังสั่นไหว ไม่ใช่ไม่รู้สึกรู้สาต่อความพยายามเฝ้าพร่ำคำขอโทษของเขาแต่เพราะความรู้สึกแปลก ๆ ที่กำลังเกิดขึ้นในหัวใจตัวเอง อีกทั้งการกระทำที่เหมือนผิดวิสัยของอีกฝ่ายทำให้น้องส้มไม่รู้จะรับมือยังไง

เมื่อสิ่งที่ได้จากความพยายามไถ่โทษคือความเงียบงันที่เหมือนเป็นคำตอบอยู่ในตัว วินาทีนั้นความท้อแท้ที่ผุดแทรกขึ้นมาทำให้พี่จินต้องระบายออกด้วยการถอนหายใจพลางก้มหน้าลงต่ำโดยไม่รู้เลยว่าท่าทีที่ราวกับคนสิ้นหวังนั้นทำให้คนที่แอบปรายตามองรู้สึกหายใจขัด ๆ อย่างใจหายระคนนึกสงสาร

เกือบสิบนาทีแล้วที่พี่จินพยายามขอโทษและขอร้องให้เธอยกโทษให้ทั้งที่เขาไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้ โดยเฉพาะเมื่อนึกถึงความหยิ่งทะนงตัวของอีกฝ่ายน้องส้มก็แทบไม่อยากเชื่อว่าคนที่อยู่ตรงหน้าจะเป็นพี่จินคู่ปรับตัวร้ายในวัยเด็ก คนใจร้ายชอบเอาแต่ใจที่ชอบทำอะไรป่าเถื่อนคนนั้น แต่ขณะเดียวกันก็เป็นคนเดียวกันกับที่พยายามขอโทษเธอด้วยท่าทางสำนึกผิดเสียจนเธอใจไม่แข็งพอจะโกรธเขาได้อีก

“ต่อไป...อย่าทำแบบนี้กับส้มอีกได้ไหม”

พี่จินเงยหน้าขึ้นทันทีเมื่อได้ยินเสียงของคนที่ทำให้หัวใจของเขาว้าวุ่น รู้สึกราวหัวใจกำลังจะกลายเป็นวุ้นเมื่อสบกับดวงตาแดงเรื่อของน้องส้มที่กำลังมองมาหลังจากเอ่ยคำร้องขอที่บีบคั้นหัวใจของเขาเหลือเกิน

“พี่...”

แวบแรกชายหนุ่มเกือบตกปากรับคำ แต่เมื่อนึกถึงนิสัยเสียของตัวเอง นึกถึงความดื้อรั้นชอบพยศของหญิงสาว จินตเมธก็ไม่มั่นใจนักว่าเขาจะทำได้อย่างที่ลั่นปากไป ดังนั้นหลังจากใคร่ครวญชายหนุ่มจึงบอกในสิ่งที่เขามั่นใจมากกว่า

“พี่ไม่ตั้งใจจะทำร้ายน้องส้ม แต่...หลังจากนี้หากพี่ยังลืมตัวเผลอทำอะไรร้าย ๆ หรือพูดอะไรไม่ดีออกไปอีก พี่อยากให้น้องส้มรู้เอาไว้ ทั้งหมดที่พี่ทำลงไปไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจ มันไม่ได้เกิดมาจากความเกลียดชังเลยสักนิด”

“พี่จิน...”

“ขอโทษนะที่พี่ทำให้น้องส้มเสียใจ ยกโทษให้พี่นะครับ”

น้อยครั้งหรือจะเรียกว่าไม่เคยเลยก็ว่าได้ที่เธอจะได้ยินคำพูดทำนองนี้และน้ำเสียงอ่อนโยนถึงเพียงนี้จากเขา ดูเหมือนเวลานี้ผู้ชายใจร้ายที่ชอบเอาแต่ใจ แถมยังมีแต่น้ำคำเชือดเฉือนหัวใจครั้งแล้วครั้งเล่าจะหายสาบสูญไปแล้ว เหลือไว้เพียงผู้ชายคุ้นหน้าแต่ไม่คุ้นหัวใจที่มักทำให้จังหวะหัวใจของเธอเต้นไม่เป็นปกติได้เสมอ

รอยยิ้มจากกลีบปากที่กำลังสั่นระริกมีผลให้หัวใจที่เคยกระด้างไหวยวบราวกับเทียนไขที่กำลังหลอมละลาย รู้ได้ด้วยหัวใจแม้ปราศจากคำพูดว่าเขาได้รับการอภัยแล้ว ความปลอดโปร่งโล่งใจทำให้เกือบเผลอตัวดึงหญิงสาวเข้ามากอดแต่ถูกขัดเสียก่อนจากเสียงเคาะประตูห้องจากคนที่อยู่ด้านนอก

พี่จินลอบถอนหายใจเมื่อเลขาคนสนิทเปิดประตูห้องเข้ามาพร้อมกับถือถุงพลาสติกที่ใส่กล่องอาหาร ก่อนปลีกตัวจากไปอย่างรวดเร็วหลังทำหน้าที่ของตัวเองเสร็จเรียบร้อย

“เอาล่ะมาทานข้าวกันเถอะ”

น้องส้มฝืนยิ้มให้กับคำชักชวนของพี่จิน ก่อนรับกล่องอาหารมาจากมือของอีกฝ่ายแล้วก้มหน้าก้มตาจัดการกับอาหารของตัวเองโดยไม่กล้าปรายตามองไปทางไหนเพราะเกรงว่าอาจพบกับสายตาที่มีผลต่อจังหวะการเต้นของหัวใจตัวเอง

ในขณะที่พี่จินก็ต้องกักเก็บความรู้สึกของตัวเองเอาไว้แค่เพียงสายตาที่ได้แต่ลอบมองเพราะชนักในหัวใจจากความผิดที่ก่อเอาไว้

ดังนั้นตลอดมื้ออาหารนั้นจึงมีเพียงความเงียบงันที่เข้ามาทำหน้าที่เพราะต่างฝ่ายต่างพยายามเก็บงำความรู้สึกของตัวเองเอาไว้ในหัวใจ



บทที่ 17


หลังจากความขัดแย้งเล็ก ๆ ครั้งนั้นที่ทำให้ลืมตัวและทำตามอารมณ์ จินตเมธก็เริ่มระวังไม่เผลอปล่อยใจทำตามอารมณ์ของตัวเองอีก แต่ชายหนุ่มก็ยังคงรับหน้าที่สารถีด้วยอาสาไปรับน้องสาวร่วมหมู่บ้านในตอนเช้าและขับรถพามาส่งที่บ้านในตอนเย็นหากไม่ติดธุระที่ไหน ส่วนช่วงพักกลางวันพี่จินก็ให้อิสระน้องส้มด้วยการยอมให้เธอไปทานอาหารกลางวันกับเพื่อนร่วมงาน

ทว่าดูเหมือนความพยายามปรับปรุงตัวเองของพี่จินกลับทำให้ความสัมพันธ์ที่คาดหวังไว้ไม่พัฒนา ซึ่งอาจเพราะความพยายามมากเกินไปจนไม่เป็นตัวของตัวเองทำให้น้องส้มพลอยรู้สึกอึดอัดและทำตัวไม่ถูกกับพี่จินในมาดใหม่ไปด้วย

ทุกครั้งที่เจอกับพี่จินคนใหม่ที่ไม่ใช้อารมณ์ไม่เอาแต่ใจและไม่ออกคำสั่ง ทำให้น้องส้มรู้สึกเหมือนมีกระจกบาง ๆ คั่นกลางเอาไว้ระหว่างเธอและเขา ถึงได้เห็นหน้าได้พูดจาแต่ก็เหมือนว่าอยู่ห่างไกลคนละซีกโลกทั้งที่ความเป็นจริงอยู่ใกล้แค่มือเอื้อม

หากให้เลือกระหว่างพี่จินคนใหม่ที่ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นคนแปลกหน้าอย่างสิ้นเชิงกับพี่จินคนเดิมที่เธอรู้จักมาแทบตลอดชีวิต น้องส้มคงเลือกได้โดยไม่ต้องหยุดคิด...ว่าเธอขอเลือกพี่จินคนเดิม

ทั้งที่พี่จินคนเดิมทั้งยโสและร้ายกาจ แต่น่าแปลกที่เธอกลับถวิลหาพี่จินคนนั้นเหลือเกินและปรารถนาจะได้เขากลับคืนมา ถึงแม้พี่จินคนใหม่จะอ่อนโยนมากขึ้นและเป็นอย่างที่เคยนึกเคยหวังเอาไว้ แต่ขณะเดียวกันก็แลกกับการที่ทำให้เธอรู้สึกเหมือนมีบางอย่างในชีวิตที่ขาดหายไป

ความเรียบง่าย ถ้อยทีถ้อยอาศัย อ่อนโยนมีน้ำใจ แต่ไร้ซึ่งสีสันของชีวิตยังคงดำเนินไปท่ามกลางความอึมครึมในหัวใจทั้งสองดวง กระทั่งเวลาผ่านไปได้ราวสองเดือน

ราวสี่โมงเย็นของวันศุกร์ซึ่งเป็นวันทำงานสุดท้ายของสัปดาห์ น้องส้มก็ได้รับแจ้งจากพี่จินผ่านทางโทรศัพท์ว่าวันนี้ไม่สามารถไปส่งที่บ้านได้เพราะมีนัดต้องไปเลี้ยงฉลองวันคล้ายวันเกิดของเพื่อน

ตอนแรกน้องส้มไม่คิดอะไรกระทั่งเมื่อได้ยินคำเปรยที่เหมือนจงใจพูดให้เธอได้ยินจากอุไรพร หนึ่งในสองรุ่นพี่ร่วมแผนก

“ในที่สุดตัวจริงก็มาจนได้เน๊อะ หลังจากปล่อยให้ตัวสำรองลอยหน้าลอยตาอยู่นานแล้ว”

“นั่นสิ เห็นทีคราวนี้คุณน้ำผึ้งคงไม่กล้าหนีไปเที่ยวต่างประเทศอีกแล้วเพราะตอนนี้คงรู้แล้วล่ะว่ามีพวกชอบแอบกินทีเผลอคอยหวังจะงาบของของเธออยู่”

น้องส้มนิ่วหน้าเมื่อสะดุดหูกับชื่อที่หลุดจากปากของสุพัตราเมื่ออีกฝ่ายรีบขานรับอุไรพร ราวกับเกรงว่าคนอื่นจะไม่รู้ว่าทั้งสองเป็นคู่หูที่สนิทกันมาก

น้ำผึ้ง

ในขณะน้องส้มพยายามขบคิดว่าเธอเคยได้ยินชื่อนี้มาจากไหน พลันคำตอบก็ผุดออกมาจากคนที่ทำเสมือนเป็นผู้หวังดี

“จริง ๆ เมื่อก่อนคุณน้ำผึ้งเธอก็มาหาคุณจินตเมธที่นี่บ่อยอยู่นะ เพิ่งมาห่างไปช่วงหลังมานี้เห็นว่าเพราะเธอต้องช่วยกิจการของทางบ้านที่ทำเกี่ยวกับส่งออกเสื้อผ้าและระยะหลังที่ต้องเดินทางไปต่างประเทศบ่อยก็เพราะต้องไปเป็นตัวแทนเจรจาธุรกิจกับคู่ค้ารายใหม่ ไม่อย่างนั้นก็คงมาที่นี่เช้าถึงเย็นถึงเหมือนเมื่อก่อนนั่นล่ะ”

“นั่นน่ะสิ แต่หลังจากนี้ฉันว่า...ต่อให้ยุ่งแค่ไหนยังไงซะคุณน้ำผึ้งก็ต้องพยายามหาเวลามาที่นี่บ่อย ๆ จนได้ล่ะเพราะคงกลัวว่าหากเอาแต่ทำงาน แมวขโมยแถวนี้อาจคาบปลาทูของเธอไปเขมือบเอาก็ได้”

เสียงหัวเราะร่วนที่สอดประสานกันหลังจากนั้นบาดความรู้สึกคนรับฟังจนต้องหันไปมองด้วยแววตาวาววับ และอาจด้วยท่าทีเอาเรื่องของเด็กใหม่แต่เส้นใหญ่นั่นเองที่ทำให้สองสาวค่อย ๆ หยุดเสียงหัวเราะของตัวเอง ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกันกับที่ประตูห้องทำงานด้านในถูกเปิดออก

“อุไร รายงานสรุปค่าใช้จ่ายของเดือนที่แล้ว จะส่งให้ได้วันไหน”

คำถามของคุณนิ่มนวล ผู้จัดการบัญชีซึ่งเป็นหัวหน้างานโดยตรง ส่งผลให้อุไรพรหน้าเจื่อนทันที ก่อนบอกเสียงติดขัดเล็กน้อย

“เอ่อ...ขอเป็นวันพรุ่งนี้นะคะ”

ไม่มีคำพูดนอกจากการพยักหน้ารับรู้จากคนที่เป็นหัวหน้างาน ก่อนที่สาวใหญ่วัยสี่สิบปลายจะหันไปไล่เบี้ยกับลูกน้องอีกคน

“แล้วเธอล่ะสุ ประมาณการรายรับที่พี่ขอเอาไว้ตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้ว คิดว่าจะส่งให้ได้เมื่อไร”

สุพัตราหน้าจ๋อย ก่อนให้คำตอบด้วยน้ำเสียงที่แตกต่างจากการสุมหัวนินทาเมื่อครู่อย่างสิ้นเชิง

“ขอเวลาสุอีกนิดนะคะ แล้วจะรีบส่งให้ทันทีค่ะ”

“ถ้าอย่างนั้น พี่ขอเป็นอย่างช้าไม่เกินพรุ่งนี้ตอนเย็นนะ เพราะพี่ว่าพี่ให้เวลาเธอมามากแล้ว”

คำพูดนั้นแม้น้ำเสียงยังนุ่มนวลชวนฟัง แต่สำหรับคนที่ทำงานร่วมกันมานานและรู้นิสัยเป็นอย่างดีรู้ได้ทันทีว่านั่นคือคำเตือนจากคนที่เอาจริงและเฉียบขาดในการทำงานอย่างคุณนิ่มนวลซึ่งได้รับความไว้วางใจให้ดำรงตำแหน่งผู้จัดการบัญชีมาเป็นเวลาร่วมสิบปีแล้ว คนถูกตามงานทั้งสองคนต่างรีบแยกย้ายกลับไปโต๊ะทำงานของตัวเองเพื่อเร่งทำงานของตนให้ทันกำหนดที่ถูกขีดเส้นไว้ให้แล้ว

คุณนิ่มนวลส่ายหน้ากับตัวเองอย่างอ่อนใจระคนเบื่อหน่ายขณะมองตามลูกน้องที่ทำงานร่วมกันมานานหลายปีแต่ก็ยังไม่มีทีท่าจะพัฒนาตัวเองขึ้นแม้แต่น้อยไม่ว่าจะเรื่องงานหรือเรื่องส่วนตัว โดยเฉพาะเรื่องหลังที่ทำให้เธอต้องเสียลูกน้องหลายคนที่เคยหมายมั่นปั้นมือจะให้เป็นตัวแทน เพราะคนเหล่านั้นตัดสินใจชิงลาออกเพราะทนนิสัยของสองสาวไม่ไหว

“รุ้งกับส้ม ถ้าวันนี้ไม่มีธุระรีบไปไหน พี่อยากขอแรงช่วยพี่เก็บตัวเลขหน่อย พี่กลัวว่าจะไม่ทันปิดงบน่ะเพราะไม่สบายไปเกือบอาทิตย์งานก็เลยไม่คืบหน้าแถมตัวเลขก็มีหลายจุดที่ไม่ตรงอีก อ้อ! แต่ไม่ต้องกลัวว่าจะทำงานล่วงเวลาฟรีนะเพราะพี่จะเซ็นอนุมัติโอทีให้”

ยังไม่ทันที่สองสาวซึ่งถูกระบุตัวให้ช่วยงานจะทันได้พูดอะไร อีกสองสาวที่ก่อนหน้านั้นเพิ่งถูกไล่เบี้ยเรื่องงานก็รีบชิงพูดขึ้นมาอย่างพร้อมเพรียงราวกับนัดหมายกันเอาไว้

“แต่อุไรอยู่ไม่ได้นะคะ”

“สุต้องรีบกลับไปสอนการบ้านลูกค่ะ”

คุณนิ่มนวลเพียงแค่ปรายตามองคนที่เธอไม่ได้เอ่ยร้องขอ ก่อนพูดออกไปด้วยน้ำเสียงเนิบ ๆ แต่ทำให้คนฟังหน้าชา

“พี่ไม่เคยมีความคิดจะขอให้เธอสองคนอยู่ช่วยงานเลย เพราะรู้ว่าพูดไปก็ไร้ประโยชน์ อีกอย่าง...ลำพังแค่งานในหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายพวกเธอยังทำได้ไม่ดี พี่ก็คงไม่หวังจะให้เธอช่วยอะไรไปมากกว่านี้แล้วล่ะ”

ณัฐวราแทบกลั้นยิ้มไว้ไม่อยู่เมื่อเห็นรุ้งตะวันแอบปรบมือเบา ๆ ราวกับชอบใจนักหนากับคำพูดของหัวหน้าแผนกที่ทำให้สองรุ่นพี่ช่างนินทาถึงกับหน้าหงายจนไม่กล้าพูดอะไรออกมาอีก หากเมื่อเห็นอีกฝ่ายชูนิ้วหัวแม่มือมาให้ด้วยสีหน้ายิ้ม ๆ ยามมองไปทางคุณนิ่มนวลที่กำลังเดินกลับเข้าไปในห้องทำงานของตัวเอง เธอก็อดที่จะชูนิ้วหัวแม่มือขึ้นมาตอบกลับไปไม่ได้ก่อนที่ทั้งคู่จะยิ้มให้กันและกันด้วยความหมายที่มีเพียงคนที่เป็นเพื่อนกันเท่านั้นจึงจะเข้าใจ

การอยู่ทำงานล่วงเวลาเป็นครั้งแรกนั้นดำเนินมาได้ราวสองชั่วโมงก็ยุติลงเพราะคุณนิ่มนวลเห็นว่าเริ่มดึกแล้ว หัวหน้างานที่ทั้งสวยและใจดีอาสาไปส่งลูกน้องทั้งสองแต่ถูกณัฐวราปฏิเสธเพราะเห็นว่าเส้นทางผ่านของคุณนิ่มนวลกับบ้านของตนเป็นคนละทางกันไม่เหมือนกับรุ้งตะวันที่สามารถไปในทางเดียวกันได้

หลังแยกย้ายกับหัวหน้าและเพื่อนร่วมงาน น้องส้มก็เดินมาที่ป้ายหน้ารถเมล์ที่ซึ่งห่างออกจากหน้าบริษัทราวห้าสิบเมตร แสงจากโคมไฟข้างทางอีกทั้งรถยนต์ที่ยังคงแล่นกันเต็มท้องถนนทำให้ไม่รู้สึกถึงความน่ากลัวแม้จะเริ่มพลบค่ำแล้วก็ตาม แต่หลังจากเวลาผ่านไปราวยี่สิบนาทีรถเมล์ที่วิ่งผ่านเส้นทางกลับบ้านก็ยังไม่โผล่มาให้เห็นน้องส้มก็เริ่มใจไม่ดีนักเพราะเสียงฟ้าร้องที่คำรามแว่วมาแต่ไกล กำลังคิดจะโทร.ไปบอกมารดาว่าเธอกำลังจะกลับแล้วหลังจากที่โทร.หาแล้วครั้งหนึ่งเพื่อแจ้งว่าวันนี้จะอยู่ช่วยหัวหน้างาน เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นพอดี

น้องส้มยิ้มเมื่อหน้าจอปรากฏว่าเป็นมารดาของเธอโทร.เข้ามาหา หลังจากรับสายเจ้าตัวก็ชิงบอก

“ส้มกำลังจะกลับค่ะแม่ ตอนนี้รอรถอยู่ที่หน้าบริษัท”

หลังพูดคุยกันอีกสองสามคำมารดาของเธอก็ยอมวางสาย กำลังจะเอาโทรศัพท์เก็บในกระเป๋าเสียงฟ้าก็ร้องคำรามขึ้นมาอีกครั้งก่อนที่เม็ดฝนจะเริ่มตกลงมาเบา ๆ ในคราแรกและทวีความรุนแรงขึ้นภายในไม่กี่วินาที

ถึงป้ายรถเมล์จะมีหลังคาสำหรับป้องกันฝน แต่ในยามที่สายฝนมาพร้อมกับลมพายุรุนแรงเช่นนี้ก็ดูเหมือนแทบไม่ได้ช่วยป้องกันอะไรมากนัก น้องส้มได้แต่ยืนตัวสั่นสะท้านด้วยความหนาวเย็นท่ามกลางสายฝนที่ซัดเข้าหาตัวเพราะถูกลมพัดโหมกระหน่ำ เกือบสิบห้านาทีรถเมล์คันที่คอยจึงค่อยเคลื่อนมาให้เห็นถึงแม้ค่อนข้างสายเกินไปเมื่อดูจากเนื้อตัวที่เริ่มเปียกปอนของคนที่เฝ้ารอ

กว่าจะฝ่าการจราจรแล้วกลับมาถึงบ้านเวลาก็ล่วงเข้าเกือบสี่ทุ่ม แม้กายจะเหน็บหนาวแต่ทันทีที่ย่างเท้าเข้าสู่ตัวบ้านหัวใจก็พลันอุ่นเมื่อพบว่ามารดาของเธอยังคงเฝ้าคอยการกลับมาของเธอ

“ไป...รีบไปอาบน้ำสระผมซะ แล้วค่อยมาทานข้าวแม่จะไปอุ่นกับข้าวไว้ให้”

เมื่อเห็นสภาพเปียกปอนของลูกสาว คุณณัชชาก็เร่งออกปากด้วยความเป็นห่วง ก่อนกุลีกุจอเข้าไปในครัว

คืนนั้นกว่าน้องส้มจะได้ขึ้นนอนก็เป็นเวลาเกือบห้าทุ่ม หญิงสาวดำดิ่งสู่ห้วงนิทราทันทีที่ศีรษะแตะถึงหมอนซึ่งนั่นอาจเป็นเพราะฤทธิ์ยาที่ทานเข้าไปตามคำบอกของมารดาที่ต้องการกันเอาไว้แต่เนิ่น ๆ และหลับสนิทจวบจนกระทั่งเช้าวันรุ่งขึ้น

เช้าวันต่อมาซึ่งเป็นวันเสาร์ ความเป็นห่วงที่เมื่อวานต้องปล่อยให้น้องส้มกลับบ้านตามลำพังทำให้พี่จินเดินทางมาที่บ้านของหญิงสาวตั้งแต่สิบโมงเช้า

“น้องส้มไม่สบาย คงเพราะเมื่อคืนตากฝนกลับมา”

พี่จินอึ้งไปกับคำบอกของคุณณัชชา ก่อนบอกด้วยสุ้มเสียงแฝงความรู้สึกผิด

“ผมขอโทษครับที่ดูแลน้องไม่ดี”

“จินไม่จำเป็นต้องขอโทษเลยจ๊ะ น้องส้มไปถูกฝนมาไม่ได้เกี่ยวอะไรกับจินเลยสักนิด”

“แต่ถ้าเมื่อวานผมพาน้องส้มกลับบ้าน ก็คง...”

“ยายส้มโตแล้ว ดูแลตัวเองได้แล้ว ไม่ใช่เด็กตัวเล็ก ๆ ที่จินจะต้องมาคอยดูแล พูดถึงเรื่องนี้ก็ดีน้าว่าจะบอกจินเหมือนกัน ต่อไปไม่ต้องมารับมาส่งยายส้มหรอกให้ไปทำงานแล้วกลับบ้านเองเถอะจะได้ไม่ต้องรบกวนจินด้วย”

“แต่ผมไม่เคยคิดว่าเป็นการรบกวนเลยครับ ตรงกันข้ามผมอยากจะขออนุญาตคุณน้าด้วยซ้ำ ถ้าคุณน้าไม่รังเกียจผมขอเป็นคนคอยรับคอยส่งน้องส้มแบบนี้ได้ไหมครับ ถึงแม้วันไหนผมติดธุระก็อยากขอพาเธอไปด้วยนะครับ”

“ตาจิน...”

คุณณัชชาแทบพูดไม่ออกกับคำขอร้องตรงไปตรงมาและแววตาที่ฉายประกายมุ่งมั่นของจินตเมธ แม้นึกสงสัยและอยากรู้แต่ด้วยวัยและประสบการณ์ชีวิตที่ผ่านมาทำให้สุดท้ายตัดสินใจปล่อยวางและขอเป็นคนเฝ้าดูคนที่ริเริ่มจะปลูกต้นรักอยู่ห่าง ๆ ด้วยความตั้งใจว่าจะไม่ก้าวก่ายและไม่ขัดขวาง แต่จะปล่อยให้ต้นรักต้นนี้เติบโตเอาเองด้วยฝีมือของคนที่คิดจะปลูกมัน

“งั้น...น้าขอฝากน้องไว้ด้วยละกัน”

จินตเมธเริ่มหายใจออกหลังจากเผลอกลั้นลมหายใจเอาไว้ตลอดเวลาที่รอคอยคำตอบ รอยยิ้มผุดขึ้นบนใบหน้าคมสันก่อนตามด้วยน้ำเสียงระรัวที่เกิดจากความดีใจ

“ขอบคุณครับคุณน้า ผมจะไม่ทำให้คุณน้าต้องผิดหวัง”

ฟังแล้วคุณณัชชาก็อดหัวเราะไม่ได้เพราะนึกขำที่อีกฝ่ายทำราวกับกำลังขอลูกสาวเธอแต่งงานอย่างไรอย่างนั้น ทั้งคู่สนทนากันอีกเล็กน้อยก่อนที่ชายหนุ่มจะขอตัวกลับบ้านโดยบอกว่าจะมาเยี่ยมลูกสาวของเธอใหม่ในตอนเย็น

ราวบ่ายโมงเศษน้องส้มก็ตื่นขึ้นมาเป็นรอบที่สองของวันด้วยความรู้สึกดีขึ้นจากเมื่อเช้าที่ตื่นขึ้นมาด้วยอาการปวดหัวรุม ๆ และเจ็บคอจนถูกมารดาบังคับให้ทานข้าวและทานยาจากนั้นก็ผล็อยหลับไปอีกครั้ง ความเหนียวตัวทำให้หญิงสาวตัดสินใจอาบน้ำก่อนจะเดินลงไปชั้นล่าง ครั้นพบมารดาเธอก็ถูกซักถามอาการและบังคับให้ทานข้าวต้มและยาอีกครั้งก่อนที่คุณณัชชาจะยอมปล่อยให้เธอออกมาเดินเล่นที่สนามหน้าบ้าน

บรรยากาศค่อนข้างครึ้มที่บอกให้รู้ว่าอีกไม่นานฝนคงจะเทลงมาทำให้คนเพิ่งฟื้นไข้อดสูดอากาศเข้าปอดไม่ได้เพราะชอบกลิ่นธรรมชาติก่อนที่สายฝนจะพร่างพรม จากนั้นจึงค่อย ๆ เดินไปที่ศาลาไม้แล้วเอนตัวลงกึ่งนั่งกึ่งนอนพลางปิดเปลือกตาลงแล้วดื่มด่ำกับอากาศเย็นสบายที่กำลังพัดผ่าน อาจด้วยบรรยากาศเงียบสงบและอาการป่วยที่ยังไม่หายดีทำให้น้องส้มค่อย ๆ จมดิ่งสู่ห้วงนิทรากระทั่งไม่รับรู้ว่ามีใครคนหนึ่งกำลังยืนมองเธออยู่เงียบ ๆ หลังจากที่ก่อนหน้านี้เปิดประตูบ้านเข้ามาแล้วผ่านมาพบว่าคนที่ตั้งใจมาหากำลังนั่งหลับอยู่ตรงนี้

จินตเมธทั้งขำทั้งห่วงเมื่อคนป่วยที่ทำให้เขาเป็นห่วงจับใจกลับมาแอบหลับอยู่ตรงนี้แทนที่จะเป็นในห้องนอน ความรู้สึกพิเศษในหัวใจทำให้เอื้อมมือไปอังหน้าผากของหญิงสาวอย่างแผ่วเบาก่อนถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกเมื่อสัมผัสอุ่น ๆ ที่ได้บอกให้รู้ว่าอาการของอีกฝ่ายไม่ได้หนักหนาจนเกินไป

“น้องส้ม ตื่นเถอะ”

ความเป็นห่วงอยากให้หญิงสาวได้นอนสบาย ๆ ทำให้จินตเมธต้องจำใจปลุก แต่ดูเหมือนคนป่วยจมดิ่งอยู่ส่วนลึกสุดของนิทรากระทั่งว่าเรียกหลายครั้งหลายหนร่างเล็กก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะตื่นจนชายหนุ่มตัดสินใจ

พี่จินเพิ่งวางน้องส้มลงบนโซฟาก็เป็นจังหวะเดียวกับคุณณัชชาเดินผ่านมาเห็นพอดี

“มีอะไรจ๊ะจิน”

“ผมเห็นน้องส้มไปหลับอยู่บนศาลาไม้ครับ เรียกเท่าไรก็ไม่ตื่นเลยอุ้มมานอนตรงนี้แทนเพราะดูท่าฝนใกล้จะตกแล้ว”

“ขอบใจนะจ๊ะ งั้นน้าขอไปเก็บผ้าที่ตากไว้ก่อนละกัน”

พูดจบคุณณัชชาก็เดินไปทางด้านหลังบ้าน

จินตเมธมองคนป่วยที่ยังคงหลับสนิทบนโซฟายาวด้วยดวงตาบอกความรู้สึก ความอ่อนโยนท่วมท้นหัวใจเมื่อเอื้อมมือไปปัดเส้นผมที่ตกระข้างแก้มแล้วเฝ้ามองอยู่อย่างนั้นจนกระทั่ง

“พี่จิน”

พี่จินหันไปมองตามเสียงเรียกก่อนยิ้มให้สาวตัวเล็กที่กำลังก้าวเข้ามาหา

“พี่ส้มเป็นยังไงบ้างคะ ดีขึ้นแล้วหรือยัง เมื่อเช้าน้องแก้มมาครั้งหนึ่งแล้วเจอแต่คุณน้าท่านบอกว่าพี่ส้มไม่สบาย”

น้องสาวคนเล็กของกลุ่มพูดไปก็แตะหน้าแตะลำคอของพี่สาวที่รักไปด้วย ก่อนหันไปถามคนที่เธอเห็นเป็นพี่ชาย

“แล้วพี่จินล่ะคะมาเยี่ยมพี่ส้มเหมือนกันเหรอ”

พี่จินพยักหน้ารับกำลังจะเปิดปากพูดก็เหลือบไปเห็นใครคนหนึ่ง

“ธันว์”

น้องแก้มตัวแข็งทื่อเมื่อได้ยินชื่อที่หลุดจากปากพี่จิน รับรู้ได้ว่าใครคนนั้นยืนอยู่ไม่ไกลจากเธอนักแต่เธอก็ไม่กล้าหันกลับไปมอง

“รถเราเป็นอะไรไม่รู้ จู่ ๆ มันก็ดับไปเฉย ๆ แล้วฝนก็ทำท่าจะตกอีกก็เลยกะว่าจะขอเข้ามานั่งรอในนี้ก่อน”

ธันวาให้เหตุผลโดยไม่บอกความจริงว่าตอนที่เขากำลังขับรถผ่านแถวบ้านน้องส้มแต่เหลือบมาเห็นน้องแก้มกำลังเดินมาที่นี่ทำให้เปลี่ยนใจ ชายหนุ่มเดินมานั่งบนโซฟาเดี่ยวพลางมองเด็กสาวที่นั่งก้มหน้าอยู่ข้าง ๆ น้องส้ม ก่อนหันไปทางเพื่อนรักเมื่อได้ยินคำถาม

“แล้วนี่จะกลับมานอนบ้านใช่ไหม”

“ใช่ วันจันทร์นี้เป็นวันหยุดด้วยไม่อยากอยู่คอนโดฯ คนเดียวน่ะ”

ธันวาบอกทั้งที่จริงแล้วเหตุผลที่เขาตัดสินใจกลับบ้านหลังจากไม่ได้กลับมาร่วมเดือนเพราะชนักในหัวใจที่ทำไม่ดีไว้กับใครบางคน แต่ก็เพราะใครบางคนเช่นกันที่ทำให้เขาไม่อาจห้ามใจตัวเองจนต้องกลับมาเพราะอยากรู้

เธอโกรธเขามากหรือเปล่า

คดีเก่าเรื่องหอมแก้มยังไม่ทันหมดอายุ เขาก็ก่อคดีใหม่ที่ร้ายแรงยิ่งกว่า

หัวใจชายหนุ่มระทึกเมื่อหวนนึกถึงจูบบางเบาที่เขามอบให้กับน้องแก้ม ทุกวันนี้เขาก็ยังหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ว่าจูบนั้นเกิดจากอะไร

“ดูท่ายายส้มจะหลับลึกเพราะฤทธิ์ยา”

ความคิดของธันวายุติลงเมื่อได้ยินเสียงคุณณัชชาที่เดินเข้ามาพร้อมกับหอบเสื้อผ้าที่เก็บจากราวหลังบ้าน ชายหนุ่มหันไปยกมือไหว้เจ้าของบ้าน ในขณะที่น้องแก้มก็ทำไม่ต่างกัน

“จะมาเยี่ยมพี่ส้มใช่ไหมน้องแก้ม แต่ดูท่าพี่ส้มคงจะหลับยาวแล้วล่ะ” บอกน้องแก้มแล้วคุณณัชชาก็หันไปทักทายต่อกับธันวา “ไม่ได้เจอกันนานนะธันว์ กลับมานอนบ้านเหรอจ๊ะ”

หลังทักทายกันอีกเล็กน้อยคุณณัชชาก็หันไปมองลูกสาวแล้วตัดสินใจ

“จินจ๊ะ น้ารบกวนหน่อยเถอะช่วยอุ้มน้องส้มไปนอนบนห้องให้ที ดูท่าคงตื่นยากแล้วล่ะ”

จินตเมธรับคำ ในขณะที่คุณณัชชาหันไปบอกเพื่อนลูกสาว

“ธันว์กับน้องแก้มนั่งคุยกันไปก่อนนะ ขอน้าพายายส้มขึ้นไปนอนบนห้องก่อน”

สองหนุ่มสาวรับคำก่อนมองตามจินตเมธที่อุ้มณัฐวราแล้วเดินตามคุณณัชชาขึ้นบันไดไปยังชั้นบน

บรรยากาศรอบตัวที่มีแต่ความเงียบและการเอาแต่นิ่งมองเงียบ ๆ ของพี่ธันว์ทำให้น้องแก้มอึดอัดมากขึ้นเรื่อย ๆ

“อยากหนีใช่ไหม”

น้องแก้มสะดุ้งกับคำพูดแทงใจดำของพี่ธันว์ แต่เด็กสาวก็ยังนั่งก้มหน้าในขณะที่ชายหนุ่มเค้นเสียงหัวเราะเบา ๆ

“พี่มันน่ารังเกียจมากสินะ”

คราวนี้สาวน้อยยอมเงยหน้าขึ้นมามองอย่างตกใจ ก่อนละล่ำละลักบอก

“มะ...ไม่ค่ะ”

ธันวาใจชื้นขึ้นกับความอาทรที่เห็นในแววตาของเด็กสาว หัวใจเต้นแรงอย่างไม่มีเหตุผลจนเผลอยิ้มที่ไม่รู้ว่ามีผลต่อหัวใจของคนมอง

หัวใจของน้องแก้มเต้นระรัวจนเธออดกลัวไม่ได้ว่ามันกำลังจะทะลุออกมานอกอกยามเจอเข้ากับรอยยิ้มพิฆาตใจ ยิ่งสบกับแววตาพราวระยับของเขาเด็กสาวก็รู้สึกว่าหัวใจตัวเองกำลังถูกคุกคามจนสุดท้ายต้องตัดสินใจก้มหน้าลงอีกครั้งเพราะไม่กล้าสานสบกับดวงตาที่กำลังทอประกายแปลก

พี่ธันว์ยังคงยิ้มได้ถึงแม้ตอนนี้น้องแก้มจะกลับไปก้มหน้างุดลงอีกครั้ง วูบหนึ่งชายหนุ่มนึกอยากเชยคางเธอขึ้นมาแล้วตั้งคำถามที่ค้างคาใจเขาร่วมเดือน แต่ก็กลัวเหลือเกินว่านั่นจะยิ่งทำให้เขามีคดีติดตัวมากขึ้น

“ยังโกรธพี่หรือเปล่า”

คำถามนั้นทำให้น้องแก้มนึกออกถึงสิ่งที่เธอเคยพยายามจะลืม เด็กสาวปากสั่นน้ำตารื้นขึ้นอย่างหาสาเหตุไม่ได้จนเผลอก้มหน้าลงต่ำกว่าเดิมเพราะไม่อยากให้พี่ธันว์เห็นว่าเธอกำลังจะร้องไห้

ความนิ่งเงียบของสาวน้อยเหมือนเป็นคำตอบที่ธันวาเฝ้าค้นหามาร่วมเดือน...เธอโกรธเขาจริง ๆ ชายหนุ่มจุดยิ้มที่เหมือนหยันยามนึกถึงรอยจูบแผ่วเบาในครั้งนั้นที่บ้านของเขา

เป็นใครก็ต้องโกรธ

แม้แปลบปลาบในหัวใจแต่ชายหนุ่มก็ยอมรับด้วยใจยุติธรรม กระนั้นเศษเสี้ยวเล็ก ๆ ที่โหยหาน้องสาวที่น่ารักมาตลอดผลักดันให้ธันวายังเสี่ยงร้องขอ

“ถ้า...พี่ขอโทษ น้องแก้มจะยกโทษให้พี่ธันว์ได้ไหมครับ”

วินาทีนั้น ความรู้สึกของน้องสาวคนนี้สำคัญกับเขาเหลือเกินจนธันวาไม่คิดยอมแพ้

“เราอย่าโกรธกันเลยนะ”

ถึงตอนนี้น้องแก้มก็ห้ามน้ำตาไว้ไม่ได้แล้ว น้ำเสียงอ่อนโยนที่เพียรเว้าวอนของพี่ธันว์บีบหัวใจเด็กสาวจนต้องบอก

“น้องแก้ม...ไม่โกรธพี่ธันว์ ไม่เคยโกรธ...”

คำตอบที่ได้ทำให้หัวใจธันวาฟองฟูเหมือนกำลังได้รับของขวัญล้ำค่าที่เขารอคอยมาตลอดชีวิต ชายหนุ่มยิ้มกว้างกับความอบอุ่นที่กำลังแผ่ซ่านเต็มหัวใจในขณะที่ยื่นมือออกไปเชยคางเด็กสาวขึ้นมาแล้วยิ้มใส่ตาคนที่ยามนี้ใบหน้าเปรอะไปด้วยคราบน้ำตาก่อนบอกเสียงกลั้วหัวเราะ

“ขี้แงจริง ๆ น้องสาวของพี่คนนี้”

น้องแก้มหัวเราะตามเบา ๆ เมื่อเสียงหัวเราะของพี่ชายร่วมหมู่บ้านทำให้เธอห้ามใจตัวเองไม่ได้ ก่อนที่เสียงหัวเราะจะจางหายเมื่อพี่ชายร่วมโลกก้มหน้ามาซับน้ำตาให้ด้วยริมฝีปากอบอุ่น

ธันวาราวกับคนต้องมนต์ ชายหนุ่มเหมือนไม่รู้สึกตัวว่ากำลังทำอะไรอยู่เมื่อซับน้ำตาให้น้องสาวร่วมหมู่บ้านด้วยริมฝีปากอุ่นร้อนของตนเอง แต่กลับไม่จบเพียงแค่นั้น

น้องแก้มเบิกตากว้างเมื่อริมฝีปากของเธอถูกบดเคล้าจากคนที่เพิ่งซับน้ำตาให้เธอหมาด ๆ เด็กสาวลิ้มรสเค็มของน้ำตาตัวเองจากปลายลิ้นร้อนที่และเล็มกลีบปากของเธอในขณะที่ได้แต่นั่งนิ่งปล่อยให้พี่ธันว์บดเบียดปากของตัวเองอยู่แบบนั้น กระทั่ง...

ธันวาผงะตัวออกอย่างตกใจ ชายหนุ่มเหมือนคนที่กำลังช็อกไม่ต่างจากน้องแก้มที่เหมือนคนช็อกไปแล้วจากการกระทำของเขา

“ขอโทษ พี่...พี่ไม่ได้ตั้งใจ...”

ชายหนุ่มหลุดปากบอกอัตโนมัติ ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขา ทุกครั้งที่เข้าใกล้เธอเขาเหมือนคนที่ควบคุมตัวเองไม่ได้ ไม่เป็นตัวของตัวเอง

เขาเป็นอะไรไปแล้ว

ในขณะที่ธันวากำลังสับสนกับตัวเอง ชายหนุ่มไม่รู้เลยว่าเขาก็กำลังทำให้เด็กสาวสับสนด้วยเช่นกัน

ไม่ได้ตั้งใจ

น้องแก้มทวนคำอย่างชืดชาในใจ รู้สึกเจ็บอย่างบอกไม่ถูกเมื่อหวนนึกถึงจูบหนักหน่วงเมื่อครู่ที่เขาเพิ่งมอบให้กับเธอ

จูบที่ชัดเจนและเธอคงไม่มีวันลืม แต่นั่นกลับเป็นแค่สิ่งที่เขาไม่ได้ตั้งใจ

น้องแก้มรู้สึกเหมือนเธอกำลังอยู่ท่ามกลางเขาวงกต ไม่รู้ว่าทางออกที่แท้จริงอยู่ตรงไหนได้แต่สะเปะสะปะไปเรื่อยด้วยความหวาดกลัวและไม่เข้าใจ และความรู้สึกที่กำลังเกิดขึ้นในหัวใจนั่นเองที่ผลักดันให้ร่างเล็กค่อย ๆ ลุกขึ้นยืน

“แก้ม...กลับบ้านก่อนนะคะ”

พูดจบน้องแก้มก็วิ่งออกไปท่ามกลางสายฝนที่กำลังพร่างพรมเพราะความรู้สึกที่สุดจะทนอยู่ร่วมกับพี่ธันว์ได้อีก

ในขณะที่พี่ธันว์ก็เหมือนคนบื้อใบ้ไปแล้วเมื่อเอาแต่นั่งนิ่งเหมือนหุ่นอยู่แบบนั้นเพราะความว้าวุ้นในหัวใจ

ทำไมทุกครั้งที่อยู่ใกล้ เขาถึงห้ามใจตัวเองไม่ได้ ทำไมถึงจูบเธออีก ทำไม!

สารพัดคำถามวิ่งวนอยู่ในสมองแต่กลับไม่มีคำตอบไหนผุดออกมาให้เขาเข้าใจ กระทั่งในที่สุดชายหนุ่มจึงตัดสินใจ

เขาควรต้องไปพบจิตแพทย์ซะที


-----------------------------------------------------------------------------------------------


สวัสดีค่ะคราวนี้มาอัพสองตอนรวดแล้วก็พาพี่ธันว์มาส่งด้วยค่ะ ก่อนที่พันวลีจะพาไปหาหมอ ฮ่าาาาาา



ขอบคุณสำหรับคอมเม้นท์และ LIKE ที่มอบเป็นกำลังใจให้กันค่ะ



นักอ่านเหนียวหนึบ : พาพี่ธันว์มาส่งแล้วค่ะ...แหะ แหะ ช่วงหลัง ๆ เผ็ดซี๊ดจี๊ดจ๊าดดดมากเหรอคะ พันวลีไม่รู้ตัวเลยค่ะ ฮ่าาาา



Zephyr : ก็คงมีพี่จินคนเดียวล่ะค่ะที่มีวิธีการจีบน้องส้มแบบไม่เหมือนใคร แล้วก็เป็นตัวเองมั่ก ๆๆๆ ฮ่าาาาาา ตอนนี้น้องแก้มไม่ได้เป็นตัวประกอบแล้วค่ะเพราะพี่ธันว์มาประกบคู่แล้วน๊า



ปิ่นนลิน : เอาพี่ธันว์มาส่งให้แล้วนะคะ แต่ไม่รู้ว่าแบบนี้เรียกว่าจีบรึเปล่า ^__^





พันวลี
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 2 มิ.ย. 2558, 19:48:05 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 2 มิ.ย. 2558, 20:36:42 น.

จำนวนการเข้าชม : 1770





<< ตอนที่ 14   ตอนที่ 19 >>
ปิ่นนลิน 2 มิ.ย. 2558, 20:48:02 น.
จูบเขาไปตั้งหลายทีขนาดนั้น ยังหาคำตอบไม่เจออีกเหรอพ่อคุณ(ธันว์)
ไปให้หมอตรวจต่อมความรู้สึกด้วยน้า รู้สึกช้าเจรงๆๆ
อ่อ ลากเพื่อนซี้ พี่จินนี่ไปด้วยเด้อ รายนี้ก็ต้องบำบัดเช่นกัน เผื่อจะใจดีกับน้องส้มมากกว่านี้ อิอิ

พี่จินนี่ สบายไปละ แม่เปิดไฟเขียวให้ เย้ๆ^^


Zephyr 2 มิ.ย. 2558, 22:33:11 น.
อัลไลเนี่ยเฮีย
จูบไปหลายทีละยีงจะพี่ไม่ได้ตั้งใจ บร้าป่ะ
จิตใต้สำนึกสั่ง ทำตามสัญชาตญาณและหัวใจไม่ผ่านสมอง
นี่นะ มิได้ตั้งใจ เฮอะ
พี่จิน แม่ให้ทางสว่างโล่เรยยยยย
ได้อุ้มขึ้นห้องด้วยนะ กรี้ดๆๆๆๆ


นักอ่านเหนียวหนึบ 3 มิ.ย. 2558, 01:12:26 น.
โอ้ยยยยยย เคี้ยวปากมกันอีกคู่ล้าววว ซี้ดซ้าดอีกล้าววว 5555
พี่จินจะเก็กหล่อได้อีกนานแค่ไหนนะฮะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account