ความลับ (ที่) ซ่อนเร้น .. หรือจะเป็น ความรัก!(?)
คำถาม .. ที่มีคำตอบ
แต่คำตอบ .. กลับยังคงมากมายด้วยคำถาม

เพราะนิยามในคำหนึ่งคำนั้น
แฝงเร้นซุกซ่อนไว้ซึ่งความลึกลับ
ความซับซ้อนชวนสับสน รอยยิ้มปนเปื้อนคราบน้ำตา
เล่ห์เสน่หาหวานล้ำ และพร้อมจะนำความเจ็บปวดมาให้ .. ได้ทุกเวลา

.. หากว่ามันคือ ความรักที่มากล้น จนกลายเป็น .. ความลับ ! ..
Tags: ความรัก ความลับ

ตอน: บทที่ ๗ .. หวง ห่วง และ ...




องก์อัมพุทบอกกับตัวเองได้อย่างหนึ่งว่า หลังจากได้ระบายสิ่งที่ค้างคาในใจกับเภตรา ความรู้สึกอัดแน่นทั้งมวลที่เนิ่นนานมาก็ปลอดโปร่งโล่งสบาย ซึ่งเธอไม่เคยคิดเลยว่ามันจะเป็นแบบนี้

หลังจากเข้านอนคืนนั้นตลอดจนถึงเช้าวันใหม่หญิงสาวหลับอย่างสบายใจ แม้ตอนตื่นจะพบว่ารอบดวงตามีรอยช้ำและเปลือกตาบวมเล็กน้อย แต่เมื่อมองจ้องลึกที่นัยน์ตาของตนผ่านกระจก เธอกลับพบแววอันสดใสฉายชัดยิ่งกว่าเดิม

เธอยิ้มให้กับตัวเอง ตระหนักแน่แก่ใจว่า ความรู้สึกในอดีตจะเป็นความทรงจำที่สวยงาม และมันก็จะเป็นแค่เพียง .. ความทรงจำ เท่านั้น .. นับจากนี้

การเริ่มต้นในฐานะคุณครูอนุบาลจำเป็นขององก์อัมพุท ผ่านวันแรกไปอย่างทุลักทะเลพอสมควร หญิงสาวแทบจะลืมเหตุการณ์ในงานปาร์ตี้เมื่อวานไปเลย เพราะไม่คิดว่า การรับมือกับเด็กนักเรียนตัวน้อย จะทำให้ไม่มีเวลามาใส่ใจกับเรื่องอื่นๆได้อีก

องก์อัมพุทยอมรับว่าเด็กๆน่ารัก แต่ในความน่ารักก็ยังมีหลายสิ่งหลายอย่างที่เธอไม่เคยพบเจอ จนทำให้คนที่ประสบการณ์ความเป็นครูซึ่งมาจากศูนย์ ปวดเศียรเวียนเกล้าได้พอสมควร

พอเริ่มปรับตัวได้องก์อัมพุทกลับสนุกสนานไปกับงาน กับเด็กๆที่เธอต้องดูแล นักเรียนตัวน้อยในความรับผิดชอบของเธอมี ๑๕ คน แม้จะถือว่าไม่มากแต่สำหรับมือใหม่ถือว่าเป็นงานหนักไม่น้อย ยังดีที่มีพี่เลี้ยงผู้ช่วยอีกคนที่คอยแนะนำสิ่งต่างๆแก่เธอเป็นอย่างดี

ช่วงบ่ายสองโมงที่เด็กๆหลับกันหมด และพี่เลี้ยงผู้ช่วยบอกว่า ไม่ต้องห่วงทางนี้เธอจะรับหน้าที่เอง ทำให้องก์อัมพุทมีเวลาเป็นส่วนตัวบ้าง หญิงสาวจึงแวะมาที่ห้องทำงานของผู้อำนวยการโรงเรียนอนุบาลท่องนที

“เป็นไงบ้างพุด .. ฉันนึกว่าแกจะเปิดแน่บตั้งแต่ชั่วโมงแรกแล้วซะอีก”

“เกือบๆเหมือนกัน”

องก์อัมพุทตอบยิ้มๆกับคำถามของเภตรา ขณะหย่อนกายนั่งลงบนเก้าอี้รับรองในห้อง ‘ท่านผู้อำนวยการฯ’ แล้วเจ้าของห้องก็ลุกขึ้นจากที่ประจำ ตามมาสมทบเพื่อคุยกันอย่างเป็นการเป็นงาน

“พุด .. ถ้าไม่ไหวก็บอกนะ ฉันรู้ว่าแกอาจจะเกรงใจ ไม่กล้าปฏิเสธ แต่ที่ฉันให้แกลองดูก่อน เพื่อที่แกจะได้เข้าใจว่า งานดูแลเด็กที่ดูเหมือน ใครๆคิดจะทำก็ทำได้น่ะ จริงๆแล้วมันไม่ใช่ ..”

“ฉันรู้เภา .. และฉันก็ยอมรับอย่างที่แกพูด ถ้าไม่มีคุณนิ่มคอยแนะนำ ฉันก็คงไปไม่เป็นเหมือนกัน”

หญิงสาวเอ่ยถึงพี่เลี้ยงผู้ช่วยของเธอ ที่ดูแลทั้งคุณครูคนใหม่และเด็กๆในเวลาเดียวกัน ซึ่งทำได้อย่างมีประสิทธิภาพจนเป็นเหตุให้สงสัยว่า ทำไมจึงไม่ได้รับการยกระดับเป็นคุณครูเสียเลย แล้วเธอก็ได้ทราบเหตุผลในนาทีต่อมา

“พี่นิ่มเป็นคนเก่ง ที่สำคัญรักเด็กจริงๆ แต่เสียดายตรงที่สังคมนี้ยอมรับและรับรองเฉพาะคนที่วุฒิการศึกษา ไม่ใช่ความสามารถที่แท้จริง ซึ่งโรงเรียนฉันก็ปฏิเสธเรื่องแบบนี้ไม่ได้เหมือนกัน เพราะมันเป็นความน่าเชื่อถือต่อผู้ปกครอง ว่าเรามีบุคลากรที่เต็มเปี่ยมทั้งการศึกษา และความสามารถจนทำให้เขาจะไว้วางใจฝากลูกหลานกับเราได้หรือเปล่า”

“อืม ฉันก็พอจะเข้าใจนะ .. แต่มันอดสงสัยไม่ได้น่ะ เด็กเล็กๆต้องการความรักความเอาใจใส่ ถ้าต้องเลือกจริงๆ แกจะรู้ได้ไง ว่าคนที่มีทุกอย่างเพียบพร้อมเรื่องคุณวุฒิ จะมีจิตใจอ่อนโยนและเหมาะสมในการดูแลเด็กๆ”

เภตราอมยิ้มกับความสงสัยนั้น หากไม่ทันได้เฉลยเสียงเพลงจากโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ราวต้องการขัดจังหวะการสนทนาของสองสาวอย่างตั้งใจ

องก์อัมพุทเข้าใจด้วยตัวเองว่า วันนี้เพื่อนของเธอ ไม่ใช่เภตราคนเดิมเพราะตำแหน่งหัวโขนที่สวมใส่ ทำให้หญิงสาวเอ่ยขอตัว และออกจากห้องทำงานของผู้อำนวยการโรงเรียนอนุบาลท่องนที โดยที่เจ้าของสถานที่พยักยิ้มส่งให้ ไม่ได้ห้ามหรือทักท้วงใดๆ





เสียงเพลงยังคงบรรเลงต่อเนื่องอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย รอว่าเมื่อไรเจ้าของอุปกรณ์สื่อสารรูปร่างเพรียวบางจะรับสายเสียที ซึ่งพอคล้อยหลังคุณครูอนุบาลจำเป็นออกไป เภตราจึงรีบยกโทรศัพท์ขึ้นมารับพร้อมชะเง้อมองรอบทิศทาง ราวกับไม่อยากให้มีใครรู้เห็นการกระทำและบทสนทนาของเธอ

“โอ๊ย .. พี่พัด ทำไมจำเพาะเจาะจงต้องโทร.มาตอนกำลังคุยงานคะ .. นกรู้จริงๆเหมือนจะแกล้งกันเลย”

“พี่ว่างตอนไหน พี่ก็โทร.ตอนนั้นล่ะ .. ทำไม คุยกับผู้ชายที่ไหนอยู่หรือไง ถึงกับปลีกตัวคุยกับพี่ไม่ได้เชียว”

เภตราอยากจะหัวเราะดังๆ นี่ถ้าไม่ติดว่ากำลังอยู่ในสถานะหรือตำแหน่งหน้าที่การงานสำคัญ เธอคงทำไปแล้ว โดยเฉพาะคำถามเสียงเขียวที่พอได้ฟังก็รู้ทันทีว่า อีกฝ่ายต้องกำลังหงุดหงิด แถมยังประชดประชันด้วยอารมณ์คล้ายจะหึงหวงปนๆมาในคำพูดชวนหาเรื่อง ฐานที่ถูกปล่อยให้รอสายนาน

“แหม ถ้าได้คุยกับผู้ชายก็ดีสิ คงจะไม่ได้มารับสายพี่พัดแล้วล่ะ .. เพราะอาจเพลินจนไม่ได้ยิน”

“ให้มันจริง .. ปากเก่งๆแบบนี้ อย่าให้พี่เจอนะ .. หึหึ”

“แหม .. เภางี้กลั๊ว กลัว ค่ะ .. ว่าแต่ เมื่อไหร่จะเจอล่ะคะ .. กว่าจะได้ออกมาจากป่า สงสัยว่าคงจะกินเก้ง กวางจนเกลี้ยงแล้วล่ะมั้ง ดีไม่ดีจะติดใจเอาเสียด้วยสิ”

เภตราต่อปากต่อคำอย่างนึกสนุกกับคำขู่ของเมฆพัด ก่อนจะต้องเป็นฝ่ายเงียบเสียเอง เพราะไม้ตายที่ทำให้เธอถึงกับใจสั่นหวั่นไหวได้ทุกคราว ด้วยคำพูดนุ่มๆกับเสียงทุ้มแ่ผ่วเบาเชิงกระเซ้ากระซิบรับรู้กันสองคน

“มีชะนีโตเต็มวัยรอให้กินอยู่ พี่จะต้องสนใจมังสวิรัติใบเขียว กับเก้งกวางแถวนี้ทำไม .. จริงมั้ย”

“บ้า .. พี่พัด ตั้งแต่เข้าป่าเข้าเขานี่ นิสัยชักจะดิบเถื่อนตามแหล่งที่อยู่ขึ้นทุกทีแล้วนะ”

เพราะเข้าใจในความหมายสื่อความนัย แม้คนพูดจะไม่ได้มาอยู่ตรงนี้ น้ำเสียงของเขาก็ทำเอาเภตราร้อนผ่าวไปทั้งใบหน้า จนต้องแก้อาการกระดากอายด้วยคำที่เมฆพัดต้องขำจนปล่อยเสียงหัวเราะให้ได้ยิน

“โอเคๆ .. เฮ้อ .. สบายใจแล้วว่าเภาสบายดี .. คิดถึงพี่บ้างไหม .. หืม”

เภตราอยากจะลงไปกลิ้งเกลือกกับพื้นจะเป็นจะตายเสียจริง เวลาได้ยินชายหนุ่มที่เธอปักใจถามด้วยสุ้มเสียงอ่อนโยน ผิดกับคำหยอกล้อเมื่อครู่ที่ทำให้ต้องกล่าวหาว่าเขาเป็นคนเถื่อน .. ผู้ชายคนนี้ทำให้เธอตามอารมณ์ของเขาไม่เคยทันเลย

“พี่พัด .. ไม่ต้องมาหยอดเภาเลย ตัวเองหักอกเค้า .. ยังจะมาพูดให้ความหวังอีก”

“พี่ไม่อยากหลอกเด็กนี่ .. เราคุยกันแล้ว .. ไม่ใช่หรือเภา”

“อ๋อ พอโตเป็นสาว .. หลอกได้แล้วสิ .. ชิ”

เภตราบอกออกไปอย่างหมั่นไส้ ไม่รู้ว่าเมฆพัดกำลังคิดอะไรอยู่จึงได้กล้าพูดแบบนั้นออกมา แต่เพราะตอนนี้เธอมีเรื่องต้องบอกเขา และดีใจมากที่เขาติดต่อมาในเวลาที่เธอต้องการคำปรึกษาเสมอ

“พี่พัดคะ .. หยุดเรื่องเก้งกวางบ่างชะนีก่อนนะคะ วันนี้เภาดีใจที่พี่โทร. กำลังกลุ้มเรื่องยัยพุดอยู่เลย ถามจริงๆนะคะ ตอนที่พี่ยังไม่เข้าป่ายัยพุดมีอะไรผิดปกติบ้างมั้ยคะ .. หรือว่าเท่าที่ได้เจอกันน่ะค่ะ”

“มีปัญหาอะไรงั้นเหรอ .. ก่อนพี่มาทำงานก็เห็นปกติดี แต่ดูท่าทางเหนื่อยๆเนือยๆ เหมือนตอนก่อนจะย้ายมาอยู่ที่ทงานใหม่นะ .. มีอะไรเภา .. พุดเป็นอะไร”

หญิงสาวได้ฟังแล้วก็ถอนใจ แม้แต่พี่ชายของเพื่อนยังไม่ระแคะระคาย แต่จะว่าไปก็คงไม่ต่างกันในเรื่องที่เธอกับเมฆพัดติดต่อกัน โดยที่องก์อัมพุทไม่รู้เรื่องรู้ราวเลย

เภตราไม่กล้าบอกองก์อัมพุท เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับพี่ชายของเพื่อน เพราะสิ่งที่บอกเล่าถ่ายทอดให้เพื่อนฟังและรับรู้ คือสิ่งที่เคยเกิดขึ้นจริง และยังคงเป็นเช่นนั้นสำหรับเพื่อนของเธอ ..

เธอหลงรักเมฆพัด .. พอบอกความในใจก็ถูกเมฆพัดปฏิเสธ

ตอนนั้น .. กว่าจะผ่านช่วงเวลาเสียใจ และก้าวเดินไปข้างหน้า .. ช่างนานนัก

หากตอนนี้ .. เป็นเมฆพัดเอง ที่กลับมาวนเวียนอยู่กับเธอ

เภตราไม่กล้าคิดเข้าข้างตัวเอง .. แต่ก็ไม่เคยห้ามใจตัวเองได้เช่นกัน

หญิงสาวดึงตัวเองกลับมา เรื่องที่พูดค้างไว้มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันเลย แต่ครั้นจะบอกรายละเอียดก็ยากจะอธิบาย

“เภาไม่แน่ใจค่ะ แต่คิดว่ายัยพุดคงไม่เป็นอะไรแล้ว”

น้ำเสียงกังวลและห่วงใยของเภตราที่มีต่อองก์อัมพุท เมฆพัดสัมผัสได้เป็นอย่างดี แม้ตัวเขาจะอยู่ไกล แต่อย่างน้อยน้องสาวของเขาก็ยังมีคนที่ไว้ใจได้ คอยส่งข่าวคราวให้รู้ และแน่นอนว่านอกจากองก์อัมพุทที่ไว้ใจเภตรา เขาก็เป็นอีกคนที่มอบความเชื่อมั่นตลอดจนไว้วางใจให้เภตรา .. เช่นกัน

“พี่ฝากพุดด้วยนะเภา .. พี่รู้ว่า เราน่ะรักเพื่อน .. เหมือนที่พี่รัก ..”

เมฆพัดบอกได้เพียงเท่านี้ ก็มีเสียงขานชื่อของเขาแทรกมาให้เภตราได้รับทราบไปด้วยว่า ‘หมดเวลา’ ในการติดต่อสื่อสารลงแล้ว และสัญญาณก็ขาดหายไปแทบจะทันทีโดยที่หญิงสาวไม่ได้เอ่ยคำลาแต่อย่างใด นอกจากบอกกับตนเองหวังว่า คำพูดเหล่านี้จะล่องลอยไปถึงเขา

“ดูแลตัวเองนะคะ .. พี่พัด .. เภาเป็นห่วงพี่พัด .. เสมอ”






องก์อัมพุทเลิกงานพร้อมกับเภตรา สองสาวแวะซูเปอร์มาร์เก็ตจับจ่ายซื้อผักสดและอื่นๆ เพื่อนำมาประกอบอาหารในมื้อเย็น

ระหว่างทางทั้งคู่ต่างคนต่างเงียบในภวังค์ของตน กระทั่งถึงทางเข้าหมู่บ้าน ‘ตระการจิต’ อะไรบางอย่างก็กระตุ้นความอยากรู้จนองก์อัมพุทต้องถามออกมา

“เภา .. แกว่าหมู่บ้านนี้เป็นของใครนะ”

“ตระการจิต .. น่ะเหรอ .. อืม แกจะอยากรู้ไปทำไม”

เภตราย้อนถามให้แน่ใจก่อนว่า สิ่งที่เพื่อนอยากรู้นั้น หากได้รู้จะเป็นประโยชน์หรือไม่ เพราะมันเกี่ยวโยงไปถึง ‘อดีตอาจารย์มัธยม’ คนนั้น .. คนที่เธอเพิ่งได้รู้เมื่อคืนว่า เป็นคนๆเดียวที่ทำให้องก์อัมพุทสูญเสียความเป็นตัวเองได้อย่างไม่น่าเชื่อ

“ฉันแค่สงสัย .. แต่ถ้าแกไม่อยากบอกก็ไม่เป็นไร”

“ไม่ใช่เรื่องอยากบอก ไม่บอก .. ฉันก็แค่กำลังสงสัยเหมือนแกนั่นล่ะว่า .. ทำไมโลกนี้มันถึงได้มีเรื่องพิลึกพิลั่นจนเกินไป”

เภตราพูดพลางยักไหล่ต่ออะไรก็ตามที่มันทำให้เป็นไปเช่นนั้น ก่อนจะค่อยๆเล่าขณะขับเคลื่อนรถเข้ามาในหมู่บ้าน อีกไม่ไกลก็จะถึงบ้านของเธอแล้ว

“ตอนพ่อกับแม่ย้ายมาอยู่ที่นี่ ฉันเรียนใกล้จบแล้ว ช่วงนั้นก็ได้แต่ไปๆมาๆ ยังไม่รู้หรอกว่าอะไรยังไงกัน จนได้มารับช่วงดูแลโรงเรียนนั่นล่ะ ถึงรู้ว่า ลุงหัสเป็นคนแนะนำหมู่บ้านนี้ให้พ่อกับแม่ คงเพราะมันสะดวกสบายหลายอย่าง แล้วที่สำคัญคือมีคนรู้จักอยู่ใกล้ๆ พ่อแม่เลยตกลงซื้อ แถมสบายใจเสียอีก
ถ้าจะไม่อยู่บ้าน อย่างน้อยก็มีลุงหัสเป็นหูเป็นตา .. คอยรายงาน เอ้ย ดูแลฉันให้น่ะ”

“ถึงว่า .. ดูแกสนิทกับคุณลุงพฤหัสจัง .. แล้ว? ..”

“วันหนึ่ง ฉันก็ได้เจอพี่รตี .. คุณปารตี จิตตระการ .. คุณแม่ของน้องเกรซไง .. จำได้มั้ย”

เภตราหันมาถามย้ำความจำกับองก์อัมพุท ซึ่งก็ได้รับการพยักหน้าตอบกลับมา เธอจึงเล่าต่อไปว่า

“นั่นล่ะ .. เจ้าของหมู่บ้าน .. พี่รตีไปๆมาๆบ้านลุงหัส ตอนนั้นอาจจะเพราะน้องเกรซยังเล็ก คุณวิชชุ์เลยคอยเทียวไปเทียวมารับส่งไม่ขาด จนฉันคิดว่า พวกเขาเป็นสามีภรรยา .. เป็นครอบครัวพ่อแม่ลูกกัน ..”

“แล้วไม่ใช่หรือไงล่ะ ..”

องก์อัมพุทเลิกคิ้วถามถึงความสัมพันธ์อันกำกวม ชวนให้คิดและเข้าใจได้ไม่ยากในสิ่งที่ตาเห็น แม้แต่คนเล่าเองก็ออกปากไม่ต่างกัน

“ตอนนั้น ฉันก็คิดแบบนั้นจริงๆ .. ยังแอบนินทาในใจเลย คุณวิชชุ์นี่ออกจะดูดี แต่ทำม้าย .. เลือกแฟนแก่จัง จะว่าจับเจ้าของหมู่บ้าน ก็คงจะไม่ใช่ .. เพราะถ้าเป็นอย่างงั้น ก็ไม่เห็นว่าพี่รตีจะต้องมาคอยเอาอกเอาใจลุงหัสเลย ..”

“เอ๊ะ .. ยังไง .. แกอย่าบอกนะว่า ..”

คนเริ่มต้นให้เพื่อนเล่าเรื่องหันขวับมาทันที แต่คำตอบคงต้องรอไปอีกสักหน่อย เพราะตอนนี้เภตราขับรถมาถึงหน้าประตูรั้วของบ้านแล้ว

องก์อัมพุทจึงเลือกที่จะเงียบ รอให้ประตูอัตโนมัติเปิดออกอย่างพยายามใจเย็นที่สุด แม้ว่าในใจจะลุ้นระทึกกับความสัมพันธ์ของวิชชุ์วิธูและปารตี .. ผู้หญิงคนนั้น ที่เธอเคยเจอเมื่อ ๑๐ กว่าปีก่อน และล่าสุดเมื่อ ๒ วันที่แล้ว

เภตราขับเคลื่อนรถยนต์เข้ามาจอดแล้วดับเครื่อง เปิดกระโปรงท้ายเพื่อให้เพื่อนขนข้าวของลงก่อนที่ตนเองจะตามมาช่วย หลังเดินไปเปิดบ้านรอ
ข้าวของทุกอย่างถูกวางลงบนโต๊ะไว้อย่างนั้น สองสาวตกลงกันว่าจะขึ้นไปทำธุระส่วนตัวกันก่อน แล้วค่อยลงมาจัดการของพวกนี้ทีหลัง






ตอนที่วิชชุ์วิธูเห็นยานพาหนะของเพื่อนบ้านแล่นเข้ามา ชายหนุ่มกำลังคุยโทรศัพท์กับปารตีอยู่พอดี เขาอดไม่ได้ที่จะมองตามรถคันนั้น ก่อนที่คู่สนทนาปลายสายจะเปลี่ยนมาเป็นเด็กหญิงตรีวธู ซึ่งเขาย่อมต้องให้ความสนใจต่อเธอกว่าใคร .. ในนาทีนี้

“พิ่วิชชุ์ต้องเชื่อเกรซนะคะ .. พี่รุจน์ไม่ได้ทำอะไรจริงๆ พี่รุจน์มาช่วยเกรซ .. แต่คุณแม่ไม่ยอมเชื่อเกรซเลย”

“แล้วเกรซไปเจอรุจน์ .. พี่เขาได้ยังไง”

“เกรซไม่รู้ค่ะ .. รู้ตัวก็ตอนลงไปนั่งกับพื้น พี่รุจน์ก็มาแล้ว”

วิชชุ์วิธูฟังเด็กหญิงเล่าก็อดยิ้มไม่ได้ คงจะเป็นความบังเอิญจริงๆ และเมื่อคิดดูดีๆก็ไม่แปลกอะไรนักหากตรีวธูจะได้พบกับรวิรุจน์ เพราะบ้านของแหวนวง มารดาของเขาอยู่ไม่ไกลจากห้างสรรพสินค้า ซึ่งเป็นทางผ่านไปยังสำนักงานโครงการหมู่บ้านจัดสรรของปารตี

แต่เหตุการณ์ที่ทำให้ทั้งปารตีและรวิรุจน์ได้พบกัน ดูจะเป็นสถานการณ์ที่ไม่ค่อยสู้ดีนัก เพราะชายหนุ่มเข้าใจได้ทันทีว่า แต่ละฝ่ายพร้อมยังมองอีกคนในแง่ลบไม่ต่างจากวันวานนับสิบปี

เหมือนที่ปารตีโทรศัพท์มาเล่าถึงเหตุการณ์เมื่อวาน ด้วยความหวั่นวิตกว่า รวิรุจน์จะทำอะไรไม่ดีกับลูกสาวคนเดียวของตน

แม้วิชชุ์วิธูจะยืนยันหนักแน่นว่า รู้จักนิสัยของน้องชายอย่างรวิรุจน์เป็นอย่างดี เขามั่นใจที่สุดว่า ถึงรวิรุจน์จะไม่ชอบปารตี แต่ไม่มีวันทำร้ายตรีวธู ที่ถือว่าเป็นน้องสาวร่วมสายเลือดแน่นอน

ทว่า อคติที่มีต่อกันของคนสองคน มันคงเป็นเรื่องยากที่จะแก้ไขให้ดีได้ในเวลาอันสั้น แล้วยิ่งเป็นอคติที่เกิดจากความไม่เข้าใจ .. และเวลาที่ถูกปล่อยทิ้ง ยังเป็นตัวช่วยเพิ่มระยะความห่างให้มากขึ้นตามไปด้วย

เหมือนกับที่รวิรุจน์จงใจทิ้งระยะห่างจากบิดาและพี่ชาย โดยการเลือกที่จะกลับไปใช้นามสกุลเดิมของมารดา นับแต่วันที่พฤหัสหย่าขาดจากแหวนวง .. เปลี่ยนจาก นภมณฑล เป็น เธียรทวีป

“พี่วิชชุ์คะ .. พี่วิชชุ์เชื่อเกรซนะคะ และจะไม่ว่าอะไรพี่รุจน์ด้วย .. ใช่มั้ยคะ”

น้ำเสียงใสออดอ้อนอ่อนเบา เกรงว่าพี่ชายคนโตจะไม่เชื่อคำพูดของเธอ ทำให้ชายหนุ่มยิ้มกับโทรศัพท์ราวกับจะส่งผ่านไปถึงเป็นการปลอบโยนน้องน้อยของบ้าน

“พี่ไม่ว่าใครทั้งนั้น ทั้งน้องเกรซ ทั้งพี่รุจน์ .. ดีมั้ย”

“เย่ .. พี่วิชชุ์ใจดีที่สุดในโลกเลยค่ะ .. เกรซรักพี่วิชชุ์ที่สุดเลย”

วิชชุ์วิธูหัวเราะเบาๆกับคำยกยอของตรีวธู เด็กอ่านง่ายและบริสุทธิ์สดใส ต่างจากผู้ใหญ่ที่สลับซับซ้อนไปหมด ไม่ว่าจะเป็นการกระทำ คำพูด หรือแม้แต่ความคิด .. นั่นอาจจะรวมตัวของเขาเข้าไปด้วย

โทรศัพท์ถูกส่งกลับมายังปารตีผู้เป็นเจ้าของ สาวใหญ่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ให้คนทางนี้ได้ยิน บอกเป็นนัยว่ากำลังเหนื่อยเหลือเกิน

“แล้วคุณวิชชุ์จะกลับมาช่วยงานพี่เมื่อไหร่คะ .. ตอนนี้ผู้รับเหมาเขาอยากเข้ามาคุยรายละเอียด พี่นัดในส่วนของพี่แล้ว แต่ไม่กล้ารับปากเขาในส่วนที่คุณวิชชุ์รับผิดชอบ”

“เอาไว้ผมจะติดต่อเขาเองครับ ช่วงนี้ผมอาจจะขออยู่กับพ่อสักพัก .. คุณรตีจะว่าอะไรมั้ย”

“คุณหัสเป็นอะไรหรือเปล่าคะ .. ทำไมเมื่อกลางวันคุยกัน ไม่เห็นบอกพี่เลย อย่าทำให้พี่เป็นห่วงอีกคนสิ .. เฮ้อ ทั้งพ่อทั้งลูกเลย”

ปารตีแอบบ่นจนคนฟังได้แต่ยิ้มโดยที่คนเป็นห่วงไม่ได้เห็น วิชชุ์วิธูจึงเปรยขรึมๆไม่ให้อีกฝ่ายจับได้ว่าเขาอยู่ในอารมณ์ใด

“พ่อไม่ได้เป็นอะไรครับ แถมดูท่าจะสดชื่นกระชุ่มกระชวยกว่าเก่า ตั้งแต่มีสาวๆมาคุย มากินข้าวด้วย ..”

“อะไรนะคะ คุณวิชชุ์ว่าไงนะ .. สาวที่ไหน เท่าที่พี่รู้พี่เห็นก็มีแต่น้องเภา .. หรือว่า .. ผู้หญิงคนนั้น ..”

สาวใหญ่ถามเสียงสูงเจือขุ่นเขียวเคล้าอารมณ์ แม้จะใช้เหตุผลแล้ว แต่ดูเหมือนว่าความรู้สึกหึงหวงมันไม่เข้าใครออกใคร จนชายหนุ่มต้องรีบเฉลย เพราะเกรงว่าจะสร้างความไม่สบายใจแก่กัน มากเกินกว่าจะเห็นเป็นเรื่องขำขันล้อกันเล่น

“ใจเย็นครับ .. พ่อผมอาสาสอนวิชาคุณครูให้เพื่อนคุณเภาน่ะครับ ไม่มีอะไร คุณรตีสบายใจได้”

“แล้วที่ว่า มากินข้าวล่ะคะ .. ทำไมคุณหัสไม่บอกพี่ .. ทำตัวไม่น่าไว้ใจเลย คุณพ่อคุณลูกคู่นี้”

ปารตีลงท้ายต่างจากความหมายเดิมในคำว่าพ่อกับลูก ซึ่งประโยคหลังครั้งที่สอง เธอตั้งใจพูดกับวิชชุ์วิธูโดยตรง เพราะพอจะจำหญิงสาวแปลกหน้าข้างบ้าน ที่เธอเคยส่งยิ้มทักทายให้เมื่อวันก่อนได้แล้ว คำบางคำจึงแปรเปลี่ยนเป็นหยอกเย้าวิชชุ์วิธู เพราะเหมือนจะจับน้ำเสียงแปลกแปร่งแม้จะเจือจางอ่อนเบา ทว่า มันแฝงความรู้สึกบางอย่างซ่อนไว้ในนั้น

“เอาเถอะค่ะ ถือว่าพี่อนุญาตให้พักร้อน จนกว่าจะสบายใจ .. แล้วอย่าลืมมารับเกรซนะคะ น้องจะสอบเสร็จวันพฤหัสพอดี .. ต้องส่งสปายไปเฝ้าคุณพ่อกับคุณพี่ชายเสียแล้วงานนี้”

วิชชุ์วิธูถึงกับหลุดหัวเราะออกมาให้ปารตีได้ยิน แต่ดวงตาคู่คมฉายประกายระยับกลับมองผ่านกระจก มุ่งตรงไปยังบ้านหลังนั้น ราวกับจะมองให้มันทะลุจนเห็นความเคลื่อนไหวของใครบางคนที่นั่น

หากคำที่ตอบกลับมานั้นแผ่วเบา .. เบาเสียจนอีกฝ่ายไม่ได้ยิน

“มันสายไปแล้วครับ .. สายเกินกว่าจะเริ่มต้นได้ใหม่แล้ว”






ในห้องทำงานกึ่งห้องหนังสือของเภตรา องก์อัมพุทอิงหมอนเอนกึ่งนั่งกึ่งนอน อ่านคู่มือการเรียนการสอนสำหรับปฐมวัยเพิ่มเติม นอกเหนือจากนี้ก็ทบทวนภาคปฏิบัติของตนที่ได้ลงมือจริงเมื่อช่วงวันที่ผ่านมา หลังมื้อเย็นที่ตั้งใจว่าจะทำมากมาย แต่กลับจบลงที่อาหารญี่ปุ่นอันเลิศหรู .. บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปคนละชาม!

ส่วนเจ้าของบ้านก็ตรวจงานเอกสารและรายงานต่างๆที่ถูกส่งมา เพื่อดำเนินการให้แล้วเสร็จก่อนจะปิดภาคเรียนในสุดสัปดาห์นี้ ก่อนจะเงยหน้าจากงานมองไปยังเพื่อนสาว ตรองอยู่ครู่หนึ่งจึงตัดสินใจเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง

“เป็นไงบ้างพุด ..”

“สนุกดี .. ไม่ยาก แต่ก็ไม่ง่าย .. พอไหว”

เภตรานิ่วหน้าเล็กน้อย ดูเหมือนว่าองก์อัมพุทจะเข้าใจคลาดเคลื่อนกับคำถามของตน คิดแล้วก็ย้ำถามออกไปใหม่

“ฉันหมายถึง อาการฟูมฟายเขื่อนแตกของแก .. เรื่องงานน่ะฉันไม่ห่วงหรอก พี่นิ่มชมแกเปาะขนาดนั้น”

“หืม .. อ้าว ฉันก็นึกว่าแกถามเรื่องงานสิ .. แล้วพี่นิ่มมาชมฉันทำไม ไม่เห็นจะรู้เรื่องเลย”

“เอ๊า .. แก ฉันทำงานก็ต้องมีสาย มีสปายบ้างไรบ้างสิ ไม่งั้นเกิดคดีแอบถ่ายทำร้ายเด็ก อนุบาลของฉันก็ซวยสิจ๊ะ .. แม่คู๊ณ”

เจ้าของโรงเรียนเกริ่นแกมยกตัวอย่างข่าวที่เป็นเรื่องแย่ๆในแวดวงปฐมวัย ซึ่งพากันสร้างชื่อเสียแก่สถานรับเลี้ยง รวมถึงสถานแรกรับวัยอนุบาลให้ติดลบในสายตาผู้ปกครอง ยามที่มีข่าวไม่พึงประสงค์ออกมา ก่อนตบท้ายเสียงสูงปรี๊ดจนเพื่อนขำอย่างอดไม่ได้

“จ้ะ .. แม่คนรอบคอบ .. เพิ่งรู้นะเนี่ยว่าคุณนิ่มเป็นสายคอยรายงานความประพฤติให้แก .. ฉันคงต้องระวังตัวอีกหน่อยล่ะ”

“แกอย่ามาเฉๆไฉๆ .. ฉันถาม แกยังไม่ตอบ .. พี่ เอ่อ มีคนเป็นห่วงก็เล่นตัวจริงๆ”

เภตราเกือบหลุดชื่อของใครคนหนึ่งออกมา ดีว่ากลับลำได้ทัน เธอคิดไม่ออกเลยว่า องก์อัมพุทจะมีปฏิกิริยาเช่นไร หากรู้ว่าเพื่อนสนิทแอบติดต่อกับพี่ชายตัวเอง โดยไม่ยอมบอกเล่าอะไรให้รับรู้เลย ผิดจากเมื่อก่อนตอนที่ยังเป็นวัยรุ่น

เพราะอะไรกัน .. ความกล้าที่เคยมี .. มันหายไปไหนหมด

“สบายดี .. ฉันไม่เป็นอะไรแล้ว .. ขอบใจแกมากนะเภา .. ถ้าฉันรู้ว่าถ้ากล้าพูดกล้าบอกแล้วจะไม่เป็นแบบนี้ ฉันบอกแกนานแล้ว”

คำๆนั้นย้อนกลับมาทิ่มแทงใจคนฟังจนสะอึกโดยที่คนพูดไม่รู้ตัว การนั่งในตำแหน่งที่ไกลกันจึงทำให้องก์อัมพุทไม่ทันได้เห็นสีหน้าของเภตราว่ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกแค่ไหน

“ว่าแต่ .. แกจะไม่เล่าต่อเหรอ .. ยังไม่จบเลยนะ เรื่องที่ฉันอยากรู้น่ะ”

องก์อัมพุททวงถามอย่างใจเย็น .. ตั้งแต่ยุติการสนทนานับแต่เข้าบ้าน เธอพยายามทำเป็นไม่สนใจเรื่องของใครคนนั้น พยายามทำเป็นไม่ใส่ใจซึ่ง .. มันก็เป็นได้แค่ความพยายาม ทั้งที่มันตรงกันข้ามกับความเป็นจริง

ความรู้ใหม่ยิ่งทำให้ความคิดเตลิดไปไกล อาจมีบางอย่างที่ผิดไปจากการคาดเดา และถ้าเป็นเช่นนั้น .. ถ้าคิดจะมีความหวังอีกครั้ง .. เธอจะผิดไหม แต่ความยับยั้งชั่งใจก็ยังมีอยู่มาก

“ถึงไหนแล้วล่ะ ..”

เภตราแกล้งประวิงเวลาเพื่อทดสอบว่า เพื่อนไม่ได้ใส่ใจกับเธอมากจนจับพิรุธได้ และไม่นานคำตอบที่ได้ก็ทำให้เธอวางใจได้สนิท

“แกพูดทำนองว่า คุณรตีไม่ใช่แฟนอาจารย์ เอ่อ คุณวิชชุ์ แต่เป็นคุณลุงหัส .. ต่างหาก”

“อ่อ .. นั่นล่ะ .. ตอนนั้นฉันยังอ่อนต่อโลกนี่ เลยงงๆว่า ครอบครัวนี้ ใครผัวใครเมียใครกันแน่ .. เฮ้ย อย่าทำสายตางั้นดิ แหม .. เรื่องแบบนี้คำว่าผัวๆเมียๆนี่ล่ะ ตรงสุดแล้ว”

เภตราเว้าวอนตอนที่องก์อัมพุทขึงตาใส่ กับคำที่ใช้อย่างตรงไปตรงมา เพื่อเรียกความสัมพันธ์ในครอบครัวแบบไทยแท้ ถึงแม้มันไม่ใช่คำหยาบ และเป็นคำเรียกที่ธรรมดาสามัญ หากแต่ก็ชวนขัดเขินในความรู้สึกของหญิงสาวมากมายนัก

แล้วสาวเจ้าของบ้านก็พูดไปขำไปกับอาการขำจนเขินของเพื่อน ก่อนอีกฝ่ายจะยอมรับและหัวเราะออกมาเบาๆ

“น่าๆ .. เราคุยกันแค่นี้ แกก็อย่าซีเรียสไปเลยพุด .. เรื่องชาวบ้านเขาก็ต้องเมาท์มอยหรอยแซ่บแบบนี้ล่ะ”

“ย่ะ .. ฉันจะหัดฟังเสียงเมาท์มอยหอยสังข์ระฆังแตกของแก .. ยัยเภา”

คนฟังค้อนปะหลับปะเหลือกแอบค่อนขอดคนเล่าเรื่องขณะรอ ซึ่งเภตราก็กำลังนึกถึงเมื่อแรกที่ได้รับรู้เรื่องราวของครอบครัวข้างบ้าน ตลอดจนการให้ความสนิทสนมกับเด็กหญิงตรีวธู ยามที่เธอมาอยู่บ้านพฤหัส สลับกันอยู่กับปารตีที่กรุงเทพฯ

“ตอนแรกฉันก็สงสัย ว่าจริงๆแล้วน้องเกรซเป็นลูกใครกันแน่ ระหว่างลุงหัสกับคุณวิชชุ์ แต่พอน้องเขาเรียก ‘พี่วิชชุ์’ เท่านั้นล่ะ .. บางอ้อเลยแก”

“แค่นั้นน่ะนะ .. มันพิสูจน์ได้เลยเหรอ .. มันไม่น่าเชื่อเลย”

“แล้วแกจะให้คิดยังไง น้องเกรซเรียกลุงหัสคุณพ่อ เรียกพี่รตีว่าคุณแม่ .. แล้วยังเรียกคุณวิชชุ์ติดปาก ‘พี่วิด .. พี่วิด’ ฉันฟังแล้วยอมรับนะว่ามึน .. เพราะมันอดคำนวณอายุความต่างคนในครอบครัวนี้ไม่ได้ .. ว่าเขาไปเจอกัน แล้วมาเป็นครอบครัวเดียวกันได้ยังไง”

องก์อัมพุทคล้อยตามการตั้งข้อสังเกตของเภตรา ถ้าจะว่าไปหากย้อนกลับไปเมื่อช่วงมัธยม ที่เธอได้พบกับปารตี .. ใช่ เธอมั่นใจว่าเป็นปารตีคนเดียวกันกับในตอนนี้

ปารตีเมื่อ ๑๐ กว่าปีก่อน เป็นผู้หญิงที่มีบุคลิกมาดมั่น สวยจัดคนหนึ่งในสายตาขององก์อัมพุท และเด็กสาวอย่างเธอยังอดคิดไม่ได้ว่า ผู้หญิงคนนี้อาจจะเป็น ‘คนพิเศษ’ ของอาจารย์วิชชุ์วิธู

ถ้าหาก .. ถ้าหากว่า .. จริงๆแล้วมันเป็นเช่นนั้น แต่มีเหตุการณ์อะไรมาทำให้เปลี่ยนแปลงไป .. จนสถานะและความสัมพันธ์กลายกลับแล้วแปรผันอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบันล่ะ ..

ใครจะกล้าออกมายืนยันความจริง .. ในความจริงที่ยากจะมีใครยอมรับ และเข้าใจ

แม้แต่องก์อัมพุทก็ไม่กล้าตั้งความหวัง .. ถ้าหากวิชชุ์วิธูยังไม่มีใคร .. หากเขาไร้ซึ่งพันธะใดๆ

แต่ความหวังที่ตั้งอยู่เพียงบนความเชื่อของตน มันก็ไม่ต่างจากไม้หลักที่ปักดินโคลน ได้แต่รอวันโยกคลอนแล้วล้มพังพาบลงไม่เหลือดี

ความผิดหวังและเสียใจ จึงเป็นความรู้สึกที่เธอไม่ต้องการให้มันกลับมา .. อีกแล้ว








****************************************************************







โปรดติดตามตอนต่อไป ...

ขอขอบคุณทุกท่านที่ติดตาม .. และขอบคุณท่านที่กดไลค์ฮะ...

คุณปรางขวัญ .. บางที อาจจะไม่มีอะไรเลยก็ได้ เพียงแต่เหตุผลของแต่ละคน .. ต่างกันไป



แรมรติ
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 11 มิ.ย. 2558, 22:56:03 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 11 มิ.ย. 2558, 22:56:03 น.

จำนวนการเข้าชม : 1206





<< บทที่ ๖ .. ชะตากรรม หรือ ความบังเอิญ   บทที่ ๘ .. เมื่อเวลานั้นมาถึง >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account