กำราบรักจอมเผด็จการ
'กฎของเราคือห้ามรัก' ชัคไม่คิดว่าจะพาอันนามาสู่อันตราย ร่วมมือกันเพื่อหาคนร้ายคือทางออกเดียวที่เธอจะออกไปจากวังวนของมาเฟียอย่างเขาได้
Tags: ความรัก อดีต ซาบซึ้ง

ตอน: ตอนที่ 3 ครึ่งแรก

นาวินถอนใจเดินไปเดินมาอยู่หน้าหอพักของอันนา ธีรานั่งอยู่ใกล้ๆ โทรหาเพื่อนไปด้วย จนเวลาล่วงเกือบชั่วโมงยังคงไร้วี่แวว ยุงหน้าหอพักค่อนข้างชุมเลยต้องย้ายมานั่งรอกันในรถแทน เกือบเที่ยงคืนแล้ว เสียงถอนดังสลับกันเป็นพักๆ ทุกครั้งที่เห็นแสงไฟหน้ารถจะพากันมองอย่างมีความหวัง แต่ก็ผิดหวังครั้งแล้วครั้งเล่า
“ไปแจ้งความกันดีไหมมด ขืนรอต่อไปวินคงบ้าก่อนแน่ๆ”
“มันยังไม่ครบ 24 ชั่วโมงเลยนะวิน เรารอต่อไปอีกนิดแล้วกัน ยัยน้ำไม่ใช่คนเหลวไหล บางทีอาจจะเจอคนรู้จักแล้วคุยเพลินก็ได้” ที่บอกไปธีราไม่แน่ใจเลยสักนิด
“แล้วถ้าไม่ใช่ล่ะ”
“คงต้องให้ลุงเมศของวินช่วยน่ะสิ”
นาวินไม่รอช้ารีบโทรหาลุงซึ่งเป็นตำรวจที่กว้างขวางมีลูกน้องพอสมควร ถึงตอนนี้จะยังไม่เกิดอะไรขึ้น แต่บอกไว้ก่อนเนิ่นๆ จะได้อุ่นใจ แค่ไม่กี่นาทีอันนาหายไปไหนกันแน่ เขาไม่น่าออกมาก่อนเลย

สายตาคมปรายมองร่างเพรียวบางที่ยังคงหลับใหลทั้งๆ ที่คิดว่าอีกประเดี๋ยวคงลืมตาขึ้นมาแล้วหาเหตุอ้างของการทำให้ชาญหลงเชื่อจนถูกพามาที่นี่ ความคิดเหล่านั้นผิดเมื่ออันนาไม่ได้ทำอะไร เปลือกตาบอบบางยังคงปิดสนิท แม้ว่าเขาจะจงใจกระแอมเสียงดังให้ได้ยิน หากเธอไม่ใช้ผู้หญิงกล้าบ้าบิ่น ประสาทแข็งจนไม่กลัว คงมีคำตอบเดียวว่าเธอไม่รู้สิ่งใดนอกจากความลับที่เก็บงำไว้ภายใต้ดวงตาที่ปิดสนิทนั่นเอง
ความสนใจในงานถูกแทนที่ด้วยความสงสัย ชัคเดินมาใกล้ๆ แล้วนั่งเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม แพขนตาแนบกับเปลือกตาล่าง มือทั้งสองข้างกดไว้หลวมๆ ผมยาวสยายล้อมกรอบใบหน้าไม่ได้ดูสวยเด่น แต่น่าจดจำเมื่อเธอกลายเป็นผู้หญิงที่น่าสงสัย หากจริงดังที่ชาญบอกไว้ก็ยิ่งแปลกว่าเหตุใดลิลลาถึงทำแบบนั้น
สูทตัวหนาห่มลงบนร่างที่นอนขด อย่างน้อยเธอเคยแสดงให้เห็นถึงน้ำใจ แม้ว่าจะยังเคลือบแคลงว่าจริงใจหรือเป็นแผนการ เขาควรเรียกตัวหมอมาที่นี่ โทรศัพท์ถูกหยิบขึ้นทว่ายังไม่ทันได้กดโทรออกเพราะร่างเพรียวขยับ
“ฟื้นแล้วก็กลับไปได้”
สายตางุนงงเป็นสิ่งแรกที่ชัคเห็นจากอันนา เธอยันตัวเองลุกขึ้นมานั่งมองไปรอบตัวราวกับคนหลงทางก่อนจะมองตรงมาที่เขาเขม็งด้วยความตกใจระคนกลัว ก่อนจะสะบัดหน้าแรงๆ ทำแบบนั้นแล้วจะช่วยให้เขาไม่ได้นั่งอยู่ตรงนี้อย่างนั้นหรือ
“คุณ...อย่าเข้ามานะ” อันนาเวียนหัว สภาพห้องไม่เหมือนผับของนาวินเลยสักนิด ความกลัวกระแทกเข้าสู่หัวใจที่ร้อนผ่าว ร่างอ่อนแรงกระถดหนี แต่พอนึกได้ว่าอย่าทำแบบนี้ก็เชิดหน้าหาทางออกไปจากที่นี่
“ฉันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง...คะ”
แทนคำตอบที่ควรได้ ผู้ชายคนนั้นกลับกอดอกมอง อันนาไม่รอคำตอบเมื่อคว้าแจกันเนื้อใสใกล้มือมา ตอนนี้มีอะไรป้องกันตัวเองได้ก็ต้องใช้ให้หมด อยู่ดีๆ เธอจะมาอยู่ที่นี่ได้เองไหมล่ะ ถ้าไม่ถูกพามา แต่ทำไมไม่รู้ตัวเลย
“จะทำอะไร จะขว้างแจกันใบนั้นใส่ผมงั้นหรือ”
“ก็...ไม่แน่”
เสียงหัวเราะคำรามเบาๆ เหมือนสัตว์ร้ายที่พร้อมกระชากกัดคอเหยื่อให้ตาย อันนากำแจกันไว้มั่น ถ้าเขากระโจนเข้ามาเธอจะฟาดให้เต็มแรง ดวงตาวาววามไหววูบราวกับล่วงรู้ความคิด
“ถ้าฟื้นแล้วก็กลับไปเสียที การมาของคุณทำให้เกิดความยุ่งยากพอแล้ว”
ชัคลุกขึ้นยืนมองอย่างสงสารกึ่งไม่พอใจ เดินช้าๆ ไปมองวิวเบื้องล่างผ่านกระจกหนาหลังโต๊ะทำงาน หากเขาต้องพบใครสักคนไม่จำเป็นต้องมาในสภาพสลบไสล
ปลายเท้าเปล่าเปลือยเลื่อนมาวางบนพื้นพรม รองเท้าหล่นอยู่ใกล้ๆ อันนารีบสวมแล้วลุกขึ้น รู้สึกว่าตัวหนักเพราะมีเสื้อสูทคลุมอยู่ที่ไหล่ เธอถอดออกแล้ววางลงบนโซฟา
“ขอบคุณที่ห่มเสื้อให้ค่ะ”
“ไม่เป็นไร ของที่มีใครใช้ต่อ ผมไม่รับคืน ดึกป่านนี้แล้ว ใส่ชุดที่เปิดเผยแบบนั้น คิดว่าเหมาะสมแล้วหรือ ถ้าจะเก่ง ควรรู้ว่ามีดีให้เก่งหรือยัง” ชัคตอบ ไม่หันมามองด้วยซ้ำ เมื่อเงาของอันนาสะท้อนเลือนรางที่กระจกตรงหน้า
อันนาหยิบเสื้อสูทมาใส่อีกรอบถึงสายเดี่ยวจะไม่ได้โป๊อะไรเพราะผมยาวช่วยปิดไว้ แต่ถ้านั่งแท็กซี่กลับหอก็ไม่ควร หญิงสาวขยับขาก้าวไปที่ประตู แต่ความคลางแคลงใจทำให้ต้องหันมาแล้วถามออกไปอย่างที่คิด
“แล้วทำไมฉันถึงมาอยู่ที่นี่ ฉันไม่น่าละเมอเดินเข้ามาอยู่ในห้องของคุณได้หรอกนะคะ”
“เป็นคำตอบที่คุณควรไปหาเอง เชิญออกไปได้แล้ว”
เรียวปากบางเม้มปิดอย่างโมโห ทำไมเธอถึงไม่มีสิทธิ์รู้เรื่องของตัวเอง คนอะไรจะหันหน้ามาคุยดีๆ ไม่ได้หรือไง อันนาต่อว่าอยู่ใจ ป่วยการทำเรื่องที่เสียเปรียบ หญิงสาวก้าวออกไป หมายใจอย่างมุ่งมั่นจะไม่ยอมให้ตัวเองต้องมาที่นี่อีก ว่าแต่เจอกันมาสองครั้งแล้วยังไม่รู้เลยว่าเขาเป็นใคร ชื่ออะไร คราวก่อนถึงเธอไม่ช่วยเขาน่าจะหาทางรอดได้เอง ท่าทางน่ากลัวชะมัด

ถนนด้านหน้าตึก Prime ไม่เปลี่ยวอย่างที่กังวล อันนากระชับเสื้อสูทให้แน่น ทั้งหนาวและกลัวนิดๆ รถยังแล่นส่วนกันไปมา แต่ไม่มากนัก เธอเดินไปตรงป้ายรถเมล์ที่สว่างดูน่าจะปลอดภัยพอแล้วรอเรียกรถแท็กซี่ รออยู่นานไม่น้อยกว่าจะมีรถแท็กซี่ผ่านมาสักคัน แต่ก็ไม่เกินความพยายาม
เมื่อตกลงเส้นทางกันได้อันนาจึงเปิดประตูกำลังจะก้าวเข้าไปนั่ง แต่ประตูกลับถูกตรึงไว้ด้วยคนที่เพิ่งไล่เปิดเปิงมา พอมองไปข้างหลังก็เห็นรถอีกคันจอดอยู่เปิดไฟหน้าแยงตา เธอมองแทนถามว่าเขาจะขวางไม่ให้เข้าไปในรถแท็กซี่ทำไมอีก ชัคมองเฉยรอจนอีกฝ่ายหลบตาไปก่อน ความพอใจบิดโค้งเป็นรอยยิ้มหยันที่มุมปาก
“กระเป๋าของคุณอยู่กับผม”
“ก็คืนฉันมาสิคะ” จริงๆ เสียด้วยขี้ลืมอะไรอย่างนี้ มือบางยื่นมือออกไปรอรับ แต่เขากลับไม่ส่งกระเป๋ามาให้เสียนี่ แถมยังมองมาเหมือนเธอทำให้เกิดเรื่องยุ่งยาก
“ไปที่รถ ผมไม่อยากเป็นหนี้ใคร”
“แต่ฉันไม่ไว้ใจคุณ” ไม่พูดเปล่าอันนายังเข้าไปนั่งรถแท็กซี่ให้รู้ว่าอย่างไรก็ไม่ไป
“ก็ได้” ชัคเข้ามานั่งในรถแท็กซี่แล้วปิดประตูเรียบร้อย “ออกรถได้แล้ว”
คนขับเบี่ยงเลนพารถออกไปทันที อันนาไม่มีโอกาสเปิดประตูออกไปด้วยซ้ำ ทำได้เพียงขยับตัวเองให้ห่างจากเขาให้มากที่สุด จู่ๆ บัตรใบหนึ่งก็วางให้ที่ตักพร้อมกับกระเป๋า เธอยิ่งงง
“ทำอะไรน่ะคุณ”
คำถามนี้ไม่ได้ยากเกินจะตอบ แต่ทำไมเธอถูกจ้องหน้า(อีกแล้ว) รู้หรอกว่ามันเป็นบัตรเครดิต แต่ให้มาทำไม อย่าบอกนะว่าเขาคิดเรื่องบ้าๆ อยู่
“รับไปจะได้ชดใช้เงินที่คุณให้ผมมา เอาบัตรนี่ไปกดซื้อของอะไรก็ได้จนกว่าจะพอใจ แล้วค่อยหักบัตรทิ้ง ผมไม่ชอบติดหนี้ใครนานๆ”
“แค่ร้อยบาทฉันไม่เอามาเป็นบุญคุณหรอกค่ะ”
บัตรเครดิตถูกส่งคืนให้ แต่เขากลับไม่รับ อันนาเลยว่างไว้ข้างๆ ตัว สุดแท้แต่ว่าจะเก็บไปหรือปล่อยทิ้งไว้ตรงนี้ เธอไม่ใช่เจ้าของบัตรสักหน่อย ชัคมองเฉย ให้แล้วไม่คิดจะคืน บรรยากาศในรถแท็กซี่เงียบกริบ
อันนาคอยบอกทางจนกระทั่งมาถึงหอพัก หัวใจพลันอุ่นวาบเมื่อเห็นรถของนาวินจอดอยู่ หญิงสาวจ่ายเงินแล้วรีบเปิดประตูรถออกไป สายตาคมตวัดผ่านพร้อมๆ กับลงมาจากรถเช่นกัน
“หวังว่าเราจะไม่ต้องมาพบกันอีก”
ชัคเดินมาใกล้ อันนาถอยหลังจนหลังชิดรั้วเตี้ยๆ แววตานั้นช่างขำขันแล้วเป็นฝ่ายเดินจากไปยังรถที่ขับตามมา มีคนคอยเปิดประตูรถให้เสียด้วย เขาเป็นใครกัน อันนาไม่อยากเห็นใบหน้านั้นอีกจึงเดินเร็วๆไปหาเพื่อนที่พากันดีใจ
ธีราเข้ามากอดแล้วบ่นจนฟังแทบไม่ทัน รถสีดำมันปราบขับออกไปพอดี นาวินก็เห็นเช่นกัน ชายคนนั้นคุ้นๆ เหมือนกับเคยเห็นที่ไหนมาก่อน ถ้าเห็นนานอีกนิดคงจำได้ อันนานิ่วหน้าไม่รู้จะเล่ายังไงเพราะไม่รู้อะไรมากไปกว่าตื่นขึ้นมาแล้วเห็นหน้าชายคนนั้น
“หายไปไหนมายัยน้ำ พวกมดเป็นห่วงจนจะทึ่งผมตัวเองกันอยู่แล้ว ไปหาใครมางั้นเหรอ”
“เรื่องมันยาวน่ะ ขอเข้าห้องไปกินน้ำก่อนได้ไหม คอแห้งมากๆ”
“น้ำไม่เป็นอะไรแน่นะ” นาวินจับมือของเพื่อนไว้ด้วยความเป็นห่วง
มือบางดึงมือหนาออกแล้วเป็นฝ่ายตบไหล่นาวินเบาๆ
“ไม่เป็นอะไรจ้าวิน ขอโทษนะที่ทำให้เป็นห่วง ขับรถกลับบ้านดีๆ นะ”
นาวินพยักหน้า แต่ก็รอให้สองสาวเข้าไปในหอพักเรียบร้อยแล้วถึงได้ขับรถออกไป ธีราค้างห้องอันนาเพราะว่าดึกมากแล้วและต้องคุยเรื่องยาวๆ ของเพื่อนด้วย น่าตกใจระคนประหลาดใจไม่น้อยเมื่อชื่อตึกสามารถโยงไปถึงผู้ชายที่อันนาได้พบมาถึงสองครั้ง ชัค ธนเกียรติชัย ต้องการอะไรจากผู้หญิงธรรมดาๆ อย่างเธอกันแน่

สัมผัสแสนคุ้นเคยที่คอหายไปพบเพียงความว่างเปล่า อันนาลืมตาตื่นแม้ว่าเมื่อคืนกว่าจะได้นอนก็เกือบตีสองแล้ว ความกังวลทำให้เธอลุกขึ้นแล้วเดินไปท่ามกลางความสลัวรางมือควานหากระเป๋าที่จำได้ว่าถอดสร้อยคอที่สลักไม่ค่อยดีไว้ในนี้จะไปเปลี่ยนก็ไม่มีเวลา แต่กลับไม่พบจนแม้เทของทั้งหมดออกจากกระเป๋าก็ยังหมดหวัง เสียงกุกกักทำให้ธีราหรี่ตามองหาที่มาจึงเห็นเพื่อนนั่งอยู่ปลายเตียง นอกหน้าต่างยังไม่สว่างด้วยซ้ำ
“ตื่นมาหาอะไรแต่เช้าหรือยัยน้ำ ยังไม่ 6 โมงเลย”
อันนาหันมามองแล้วยิ้มอย่างเกรงใจ “ขอโทษที่ทำให้ตื่นนะ ไม่มีอะไรหรอก น้ำหาสร้อยของแม่น่ะ มดนอนต่อดีกว่านะ”
ธีราหลับตานอนต่อ อันนายังคงหาสร้อยต่อไปจนแน่ใจว่าคงไม่พบแล้วแน่ๆ ความเสียดายก่อเกิดกลางใจ ไม่ใช่เพราะมูลค่าของสร้อย แต่ความทรงจำที่ดีอยู่ในล็อคเก็ตซึ่งเป็นของเพียงอย่างเดียวที่แม่มอบให้เธอไว้ก่อนตาย สมบัติอะไรไม่สำคัญเท่าของสำคัญทางใจ
กลิ่นกาแฟหอมๆ ช่วยปลุกธีราได้ดี อันนาทำอาหารเช้าง่ายๆ สำหรับสองคนอย่างขนมปังปิ้งกับไส้กรอก คนกินง่ายเลยไม่บ่นสักคำ
“เป็นไงบ้าง หาสร้อยเจอไหม”
อันนาส่ายหน้าเสียดายไม่น้อย “ไม่เจอล่ะ ไม่รู้ไปตกหายที่ไหน เมื่อวานตอนอยู่ผับของวิน น้ำยังเปิดล็อคเก็ตออกมาดูอยู่เลยนะ สลักมันหลวมก็เลยเก็บใส่กระเป๋าไว้น่ะ บางทีอาจจะอยู่ที่ผับของวินละมั้ง เดี๋ยวน้ำโทรบอกให้วินช่วยหาให้แล้วกัน”
“คงไม่หายไปไหนหรอก เดี๋ยวก็เจอนะ” ขนมปังถูกจัดการหมดสองแผ่น ธีรากินน้ำแล้วก็นึกขึ้นได้ “เรื่องที่เราคุยกันเมื่อคืน มดว่ามันแปลกๆ”
“แปลกตรงไหน”
“ก็อยู่ดีๆ น้ำจะไปโผล่ในห้องทำงานจองคุณชัคได้ยังไงล่ะ ถ้าไม่มีใครพาตัวไป น้ำไม่รู้ตัวเลยจริงๆ เหรอ หรือรู้ตัวครั้งสุดท้ายตอนไหนก็ได้”
“ตอนที่บอกกับวินว่าอีก 5 นาทีเจอกันหลังจากนั้นน้ำก็ไม่รู้ตัวอีกเลยจนกระทั่งมาอยู่ในห้องทำงานของอีตาคุณชัคน่ะ คิดๆ แล้วก็แปลก วินบอกว่าผับนั้นเป็นของเขาเหมือนกันนี่นา” พอมานึกดูมันก็เลือนรางเหมือนถูกอุ้ม แต่ไม่รู้อีกนั่นแหละว่าใคร
“แล้วเขาจะวางยาน้ำ แล้วพาน้ำมาส่งที่หอให้หลักฐานมัดตัวเนี่ยนะ มันตงิดๆ เหมือนขาดอะไรไปสักอย่าง”
“หรือว่า...” ลิลลาหรือเปล่านะ
“หรือว่าอะไร”
“ไม่รู้สิ ช่างมันเถอะ วันนี้น้ำจะเก็บของ เดี๋ยวตอนบ่ายๆ จะไปจ่ายมัดจำห้องพักที่ใหม่ มดกลับบ้านไปพักก็ได้นะ น้ำเกรงใจจัง”
“ไม่เป็นไร อยู่ช่วยกันเนี่ยแหละ เอาไว้พาน้ำไปจ่ายมัดจำค่าห้องแล้วค่อยกลับบ้านแล้วกัน”
อันนายิ้มให้เพื่อนอย่างซาบซึ้งใจ “ขอบใจมากนะ ชีวิตน้ำมีเพื่อนไม่กี่คน มดเป็นเพื่อนที่ดีกับน้ำเสมอมา”
“ก็เหมือนกันนั่นแหละ บอกมาเลยว่าจะเก็บอะไรบ้าง”
ของที่ดูเหมือนไม่ได้มีมากมายอะไร แต่พอนำมาเรียงซ้อนแล้วเก็บลงกล่องที่อันนาไปขอซื้อจากร้านชำข้างล่างตึกถึงได้รู้ว่ามากเหมือนกัน แต่วันนี้เธอคงเก็บของเท่าที่เก็บได้ไป

แล้วจะมา up ต่อนะคะ



บรรพตี
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 11 มิ.ย. 2558, 10:01:03 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 11 มิ.ย. 2558, 10:01:03 น.

จำนวนการเข้าชม : 1177





<< ตอนที่ 2 ครึ่งหลัง   ตอนที่ 3 ครึ่งหลัง >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account