เพลิงพญาล่ารัก (ปรับปรุง)

Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอน 11

ตอน 11
พิมพ์ลดากลัวสุดหัวใจ แต่พวกมันหัวเราะกันอย่างสะใจ ยิ่งรู้ฐานะของเธอก็ยิ่งได้ใจว่ามันจะรอดแน่นอน สี่ผู้คุมกฎกับนักรบทะเลทราย ลุกขึ้นเดินมายืนข้างหินเตรียมพร้อมจะเล่นงานพวกมัน ก่อนจะเปิดทางให้เพลิงเดินเข้ามาโดยมีเดือนประดับเดินตามมายืนเคียงข้าง สีหน้าท่าทางขึงโกรธพิมพ์ลดาที่ก่อเรื่องขึ้นมา และภาวนาขอให้ไอ้คนเลวนั้นระเบิดสมองเธอให้ตายๆไปเสีย

“เปิดประตูให้พวกกู ไม่งั้นนายหญิงตาย” เสียงไอ้คนจ่อปืนที่หัวเธอต่อรองออกมา หินจึงเจรจากับมัน

“ปล่อยนายหญิงออกมา”

“ปล่อยกูง่ายกว่า”

“กูด้วย กูด้วย กูด้วย”

เสียงพวกมันดังต่อกันไปทอดๆ ไอ้คนที่จี้หัวเธออยู่จึงฮึกเหิมขึ้นมา แสยะยิ้มพลางมองมาที่เพลิงเพื่อให้ออกคำสั่ง แต่เขานิ่งเฉย จึงขยับปลายกระบอกปืนให้รู้ว่าเอาจริงๆ เพลิงยิ้มเย็นให้มัน แล้วเพียงแค่เห็นช่องโว่ เสียงปืนก็ดังขึ้น โดยที่ใครก็คาดไม่ถึง

“ปัง” ความไวนั้นเร็วเทียบเท่าการกะพริบตาเดียวเท่านั้น ร่างของไอ้คนที่จ่อปืนที่ขมับเธอ ก็ค่อยๆหงายหลังลงแน่นิ่ง ขณะที่พิมพ์ลดายังยืนตัวแข็งทื่อ ลมหายใจหายไปจากตัว ไม่รับรู้แม้กระทั่งมือที่มากระชากตัวออกไปยืนตรงหน้าป๊ะเพลิง

เดือนประดับแสนจะผิดหวัง โกรธจนระงับอารมณ์ไว้ไม่อยู่ เดินออกมายกมือขึ้นฟาดลงบนหน้าพิมพ์ลดา “เพี๊ยะ” ใบหน้างามหันไปตามแรงตบ และตบกลับมาทันทีเพราะเลือดนักสู้ที่มีอยู่ในตัว เดือนประดับสุดจะแค้นง้างมือขึ้นอีกครั้ง แต่ความหวังพังทลายเมื่อโดนยึดข้อมือเอาไว้เสียก่อน เธอหันขวับมามองอย่างไม่พอใจ แต่พอเห็นว่าคนจับเป็นป๊ะเพลิง ก็ลดท่าทีลงรีบกลบเกลื่อนบอกว่า

“มันน่าไหมละ ก่อเรื่องจนทุกคนหมดสนุกและมีคนมาตายอีก สิ้นคิดจริงๆ น่าจะลงโทษให้เข็ด”

เพลิงไม่พูดอะไร แต่สายตาน่ากลัวนั้นทำให้เดือนประดับต้องหุบปากเก็บคำ ลดมือลงมา แล้วสะบัดหน้าถอยไปยืนอยู่ข้างๆ รอฟังว่าเขาจะจัดการยังไงกับเรื่องที่เกิดขึ้น

“รู้ไหมที่ทำ ถ้าพวกมันหลุดออกมาจะเป็นยังไง” น้ำเสียงเย็นเฉียบและสายตาที่เย็นชา ทำให้สติของพิมพ์ลดาเริ่มจะกลับมา ความมึนที่ครอบงำอยู่หายเป็นปลิดทิ้ง สิ่งที่ทำลงไปก็วาบขึ้นมาพร้อมเสียงกระด้างที่เยือกเย็น “ไม่รู้หรือไงว่าพวกมันเป็นคนเลวที่ลักลอบเข้ามาเพื่อทำร้ายทำลายหุบเขาของฉัน หรือว่าจริงๆแล้วก็รู้อยู่แก่ใจ จึงต้องทำ”

“ฉันไม่รู้ความเลวร้ายที่พวกเขาทำ แต่ฉันแค่ยังมีความเป็นคนอยู่ ก็เลยจะเอาอาหารไปให้พวกเขาแค่นั้น ไม่ได้จะทำอย่างที่คุณกล่าวหา”

“งั้นฉันจะให้เธอได้รู้ว่าเวลาที่คนมันกลายเป็นสัตว์มันเป็นยังไง” พูดจบเขาก็ตวัดสายตาไปมองคนที่ถือกุญแจคุกอยู่ “ไปเปิดประตู”

“ป๊ะเพลิง” หินที่พอจะรู้ว่าเพลิงจะทำอะไรทักท้วงออกมา แต่เพลิงไม่สนใจ สายตาเขาแน่วแน่ จนปืนที่เป็นผู้ถือกุญแจต้องเดินไปเปิดประตูคุกที่เกิดเรื่องเมื่อกี้ คนที่อยู่ข้างในไม่มีใครกล้าออกมา เพราะรู้ดีว่าจะมีชะตากรรมเป็นยังไง

“เอาตัวเธอไป” เสียงเพลิงดังขึ้นราวมัจจุราช ดาบกับมีดจึงเดินเข้ามาจะพาตัวเธอไป แต่...

“ไม่ต้อง”

เสียงพิมพ์ลดากร้าวขณะสบตาคมที่มองอยู่อย่างไม่หวั่น แม้สีหน้าจะซีดบอกความกลัวก็ตาม แล้วเชิดหน้าขึ้นอย่างทระนง เดินตรงไปที่ประตูคุก ชีวิตเธอคงจะจบสิ้นลงจริงๆเสียที เมื่อกี้ที่เขากล้ายิง ทั้งๆที่ปืนจ่ออยู่ที่หัวเธอ ก็เหมือนเธอตายไปแล้ว ที่เขายังปราณีอยู่ก็แค่อยากให้เธอตายทั้งเป็นเท่านั้น

เธอเดินเข้ามาในคุก กลิ่นสาบสาง กลิ่นเหม็นอับลอยเข้ามาแตะจมูก แต่เธอก็ไม่หวั่น หลุบตามองคนที่นอนแน่นิ่งอยู่ ความเสียใจประดังขึ้นมา เมื่อคิดว่าชีวิตที่ต้องดับไปเพราะเธอเป็นต้นเหตุ ถ้าไม่ใช่เพราะความหวังดีของเธอ แต่กลายเป็นความหวังร้าย นายคนนี้ก็คงไม่ตาย

“อโหสิกรรมให้ฉันด้วยนะ กรรมที่ฉันเป็นต้นเหตุให้นายตาย กำลังตามติดฉันมาแล้ว อีกเดี๋ยวฉันก็คงจะตายไปด้วย”

พูดจบเธอก็หันซ้ายหันขวา เห็นเพียงเศษผ้าห่มเก่าๆ ก็เอามาคลุมหน้าให้ แล้วถอยห่างออกมายืนกอดตัวเองอยู่กลางคุกที่เย็นยะเยือก เพราะสายตาสามคู่ที่จ้องเธออยู่ คงแค้นเธอที่ทำให้เพื่อนมันต้องตาย ความหวาดกลัวเข้ามาครอบคลุมจิตใจ เพียงใครขยับตัว เธอก็สะดุ้ง หัวใจร่วงหล่นไปอยู่ที่ปลายเท้า

เพลิงหันหลังกลับไปนั่งดื่มต่อ ขณะที่เดือนประดับปรายตามองไปที่คุกอย่างสะใจเป็นที่สุด ยิ้มเย้ยโดยไม่สนใจว่าเธอจะเห็นหรือไม่ แล้วเดินตามไปนั่งเอาใจป๊ะเพลิง ส่วนคนอื่นๆก็กลับมานั่งดื่มกันไปเงียบๆ
********
เวลาเดินผ่านไปจนกองไฟเริ่มจะมอดลง พิมพ์ลดาทรุดตัวลงนั่งบนพื้นดินที่เย็นเฉียบ ชันเข่าขึ้นมากอดไว้ วางปลายคางบนเข่า หลุบตามองแค่ปลายเท้าตัวเอง ปล่อยความคิดให้ล่องลอยไป ซึ่งก็เห็นแต่อันตรายที่อยู่ตรงหน้า รอเพียงว่ามันจะเกิดขึ้นเมื่อไร และเมื่อนั้น... เธอปรายตามองคนที่นอนแน่นิ่งอยู่ แล้วอยากจะเป็นอย่างนั้น ดีกว่าต้องอยู่เจอกับความโหดร้ายในชีวิต ที่ผู้หญิงทุกคนหวาดกลัว นั่นคือการข่มขืน สิ่งนี้ใช่ไหมที่เขาอยากให้เธอได้เห็นว่าเวลาคนที่เป็นสัตว์มันเป็นยังไง

เธอหลับตาลงและกอดเข่าให้แน่นขึ้นอีก เมื่อคิดว่าสัตว์ที่ว่าโหดร้ายแท้จริงแล้ว ยังไม่เท่ากับจิตใจมนุษย์ที่ซ้อนอยู่จริงๆ

“นายหญิง” เสียงที่ดังขึ้นอย่างแผ่วเบา แต่ก็ยังทำให้เธอสะดุ้งเฮือก แล้วค่อยๆลืมตาขึ้นเลื่อนสายตาไปมองคนเรียก อย่างหวาดกลัว “เราเป็นคนของพ่อนายหญิง” ความงุนงงปรากฏขึ้นบนสีหน้าพร้อมกับความสงสัยเพราะเธอจำอะไรไม่ได้ แต่ทำเหมือนจำได้แล้วถามออกมา

“แล้วทำไมถึงโดนจับขังอย่างนี้ละ”

“พ่อของนายหญิงส่งพวกเรามาขุดหาน้ำสีดำ” มันโกหก ความจริงก็คือมันเป็นคนของนายพลกฤษที่ลักลอบเข้ามาขุดหาน้ำมัน แต่หวังให้เธอช่วยแม้จะยังมองไม่เห็นทาง ก็ต้องทำดีกับเธอไว้ดีกว่าทำร้ายแล้วตายอย่างไอ้คนที่นอนไร้ลมหายใจอยู่

“น้ำสีดำ” เธอทวนคำอย่างงงๆ เพราะไม่เข้าใจว่าหมายถึงอะไร

“ชื่อเรียกของน้ำมันนะนายหญิง”

“งั้นเหรอ” พิมพ์ลดารับรู้ทั้งๆที่ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไร ความสงสัยหลายอย่างประดังเข้ามา และเพิ่งได้ยินคนพูดถึงพ่อของเธอ ที่หน้าตาเป็นยังไงเธอก็จำไม่ได้

“นายหญิงช่วยพวกเราออกไปจากที่นี่ได้ไหม”

“จะช่วยได้ยังไง ในเมื่อฉันก็โดนขังอยู่เหมือนกัน ว่าแต่ช่วยเล่าเรื่องคุณพ่อของฉันให้ฟังหน่อยได้ไหม” แววตาของทั้งสามคนบอกความงง เธอจึงรีบหาเหตุผลมาบอกว่า “คือตั้งแต่ฉันมาอยู่ที่นี่ก็ไม่เคยได้ข่าวของคุณพ่อเลย จึงอยากรู้ว่าก่อนที่พวกนายจะโดนจับ หรือก่อนหน้านั้นท่านเป็นยังไงบ้าง กิจการ งานที่ทำอยู่ดีไหม”

“ท่านสบายดี การงานก็ดีครับนายหญิง แต่หลังจากที่ส่งพวกเรามาที่นี่ แล้วพวกเราไม่ได้กลับไป ที่ได้กลับไปก็เหมือนศพเดินได้ ท่านคงไม่สบายแล้วละ”

“ทำไม”

“นายหญิงไม่รู้เหรอครับ”
เธอส่ายหน้าว่าไม่ และรอให้ทั้งสามคนพูดออกมา “ที่จริงพวกเราก็ไม่รู้หรอก แต่ก็เดาได้ไม่ยาก เพราะป๊ะเพลิงไม่เคยปล่อยให้คนที่ล้ำเส้นล้ำแดนเข้ามาในหุบเขาพญาได้อยู่ดีมีสุข ต้องจองล้างจองผลาญ เอาคืนคนที่บุกรุกเข้ามาอย่างสาสม ยิ่งคนที่ลักลอบเข้ามาเพื่อขุดน้ำมัน ถ้าไม่ตาย ก็พิกลพิการ หรือบ้าใบ้ไปเลย” มันบอกอย่างที่เคยได้ยินและได้รู้มาจากนายพลกฤษ

พิมพ์ลดากะพริบตาอย่างไม่รู้จะทำอะไรมากไปกว่านั้น เพราะเธอก็กำลังถูกเขาลงโทษอยู่เหมือนกัน เพียงแต่เธอยังไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรผิดเท่านั้นเอง จากนั้นเธอก็ถามและรับฟังเรื่องเก่าๆของตัวเอง และได้รู้ว่าไม่มีแม่แล้ว ท่านตายตั้งแต่เธอยังเด็ก

กองไฟมอดดับไปแล้ว ทุกคนก็แยกย้ายกลับไปที่ของตัวเองและมาลากคนตายออกไปจากคุก เดือนประดับนั้นยังลังเลเพราะอยากจะอยู่กับป๊ะเพลิงให้ถึงนาทีสุดท้าย แต่ความเย็นชาที่เขามีให้ทำให้เธอสะบัดหน้ากลับไป ความจริงก็คือเธออยากกลับไปฉลองความสะใจที่ได้เห็นนังพิมพ์ลดาติดอยู่ในคุกทนทุกข์ทรมานอยู่กับไอ้พวกเลวๆ และไม่นานมันคงถูกปู้ยี้ปู้ยำจนไม่เหลืออะไรและอาจจะทนความอัปรีย์ไม่ได้จนถึงขั้นฆ่าตัวตายไปก็ได้ หึๆๆ เธอเดินหัวเราะอย่างสุขใจไปตลอดทาง

ขณะที่ด้านหลังนายแห่งหุบเขาก็เดินไปที่เจ้าพยัต มันส่งเสียงคล้ายจะถามหาใครอีกคนที่ขึ้นหลังมันบ่อยๆ เพลิงจึงยกมือลูบหน้ามันเบาๆ แล้วเอียงหน้าไปมองด้านหลังเมื่อรู้ว่าใครเดินตามมาและหยุดยืนอยู่ไม่ห่าง

“จะทิ้งเธอไว้อย่างนั้นเหรอ”

“ฉันไม่ได้ขังเธอไว้นี่ ประตูก็เปิดอยู่”

“แล้วถ้าเกิดอะไรขึ้นมา”

“คิดว่าจะเกิดอะไร”

ถามแล้วก็หันมาสบตากับหิน ยิ้มเยาะเพียงเล็กน้อย ก็เหวี่ยงตัวขึ้นนั่งบนหลังเจ้าพยัตบังคับให้วิ่งกลับเรือนเชิงผาทันที หินมองตามไปแล้วเลิกคิ้วขึ้น เมื่อได้คำตอบของคำถาม แล้วก็นึกขำ หันไปมองห้องขังเพียงครู่ ก็เดินไปหานายปืนผู้คุมกฎ สั่งให้ดูแลห้องนั้นอย่างให้คลาดสายตา และถ้าใครแตะต้องหญิงสาวขึ้นมาแม้แต่เพียงนิดเดียว ก็ส่งมันไปพบญาติที่ยมโลกได้เลย แล้วเดินกลับไปที่เรือนตัวเอง
**********
เช้าวันรุ่งขึ้นควันไฟก็คุกกรุ่นขึ้นที่เรือนเชิงผา นมสดกับนมสุกที่ยังไม่รู้เรื่องราวอะไร ตื่นขึ้นทำหน้าที่ของตัวเองตามปรกติอยู่ในห้องครัว แต่ไม่นานความสงสัยก็ก่อตัวขึ้น เมื่อสายจนตะวันโด่งแล้วยังไม่เห็นป๊ะเพลิงพาหนูพิมพ์มาที่เรือน หรือจะพาไปที่อื่นทั้งคู่คิดไปต่างๆนาๆ แต่ในความคิดไม่มีความเลวร้ายอยู่เพราะอยากให้ทั้งสองคนได้อยู่ด้วยกันอยู่แล้ว กระทั่งคนที่ไม่ชอบหน้ามาเย้ยหยันถึงเรือน ควันก็เลยกลายเป็นไฟขึ้นมาทันที

“ฉันจะมาขอทานข้าวด้วย เสร็จหรือยังจ๊ะ” เสียงคนมาเยือนยืนถามอยู่หน้าประตูห้องครัว นมสดชักสีหน้าใส่ก่อนตอบด้วยเสียงที่ไม่อยากจะพูดด้วย

“ยัง”

“อุ้ย ลืมไปว่าคนทำไม่อยู่”

ทั้งสองนมเริ่มสงสัยขึ้นมาทันที เพราะสีหน้าและน้ำเสียงของเดือนประดับนั้นดูจะสะใจยังไงพิกล และท่าทางอมพะนำราวกับซ่อนไว้นั่นอีกยิ่งน่าสงสัย “หล่อนหมายความยังไง”

“อ้าว ยังไม่รู้อะไรกันเหรอ” เดือนประดับทำหน้าเหรอหรา ก่อนจะยิ้มเย้ยแล้วค่อยๆพูดออกมา “ก็เมื่อคืนนี้ฉันกับป๊ะเพลิง...” เธอทำเสียงค้างไว้ให้คนฟังคิด และก็สมใจเมื่อเห็นท่าทีของสองนมกระวนกระวายขึ้นมา ก็บอกว่า “ดื่มกันมากไปหน่อย ก็เลยลืมไปว่าแม่นมทั้งสองคนไม่ได้ไปงานเลี้ยงที่คุกทมิฬด้วย จึงยังไม่รู้ใช่ไหมว่า...”

เธอทอดเสียงให้สองคนอยากรู้มากขึ้น แต่ยังไม่บอก ยกมือขึ้นมากรีดนิ้วดูเล็บ จนนมสุกแทบจะเข้าไปกระชากคอ ตบหน้าให้ตอบออกมา นมสดต้องยื่นมือมาจับแขนนมสุกเตือนให้นิ่งไว้ เดือนประดับที่แอบมองอยู่ยิ้มอย่างสะใจมากขึ้น และเมื่อรู้สึกว่าทรมานใจทั้งสองคนพอแล้วก็พูดออกมา

“นังพิมพ์ลดาโดนขังคุก”

“อะไรนะ!” เสียงทั้งสองคนตะโกนออกมาแต่หน้าตาบอกว่าไม่เชื่อ เดือนประดับจึงย้ำเสียงหวานปนหยันว่า

“เชื่อเถอะค่ะ แล้วรู้ไหมคะว่าโดนขังเรื่องอะไร ก็สาระแนทำเป็นแม่พระ อยากสงเคราะห์คนหิวโซ แย่งปืนนายหินเพื่อไปเปิดประตูให้พวกมัน จึงโดนจับเป็นตัวประกัน ป๊ะเพลิงโกรธจึงสั่งขัง และไม่ใช่โดนขังเดียวนะคะ โดนขังอยู่ในคุกเดียวกับไอ้พวกคนเลวๆพวกนั้น ลองคิดดูก็แล้วกันว่าจะโดนรุมทึ้งรุมโทรมจนยับเยินแค่ไหน”

“หุบปาก” เสียงนมสดกร้าวออกมา “แล้วไปให้พ้นเรือนนี้ก่อนที่หล่อนจะมีสภาพไม่ต่างกัน”

“โธ่ รับไม่ได้เหรอคะ น่าสมเพชจัง รักและเอ็นดูมันเข้าไปเถอะ ป่านนี้ถ้าไม่ติดสัดอยู่ในคุกก็คงเป็นศพไปแล้ว หึๆๆ” เดือนประดับหัวเราะอย่างสะใจแล้วเดินจากไป ทิ้งไฟให้สุมอยู่ในใจแม่นมทั้งสองคนจนอกแทบจะระเบิด

นมสุกสะบัดมือออกจากมือนมสด แล้วเดินออกไปจากห้องครัว นมสดมองตามไปก่อนจะเดินตามพลางร้องถาม “เอ็งจะไปไหนนังสุก”

“เอาปืน”

คุกทมิฬที่สงบมาตั้งแต่เช้าก็โกลาหลเมื่อแม่นมทั้งสองคนมาเหยียบ เรียกหาหัวหน้าคุก ผู้คุมกฎทุกคนที่อยู่ให้ออกมายืนเรียงหน้า อาละวาดใส่อย่างไม่ยั้ง นมสุกยกมือที่ถือปืนชี้กราดไปที่ทุกคน ถามหาหญิงสาวที่รักและเอ็นดู เพราะคิดว่าทุกคนทำไม่ถูก ยิ่งเจ็บใจเพราะถูกเย้ยหยันมาก็ยิ่งโกรธ “ใครขวางข้าจะยิงให้หมด” ทุกคนไม่ได้กลัว แต่เกรงใจ เมื่อทั้งสองคนนั้นเปรียบเหมือนแม่ของนายแห่งหุบเขา

ปืนเดินออกมารับหน้าแทนทุกคน แล้วบอกให้ใจเย็น พร้อมกับรับรองว่าหญิงสาวไม่ได้เป็นอะไรนั่นแหละ อารมณ์ทั้งสองคนจึงเย็นลง แต่เสียงยังกร้าวอยู่

“ทำไมถึงไม่ห้ามป๊ะเพลิง ปล่อยให้จับหนูพิมพ์ขังได้ยังไง”

“จะห้ามยังไงละแม่นม ป๊ะเพลิงจะได้ยิงโดยไม่ต้องถามเหมือนไอ้คนเมื่อคืน อีกอย่างไม่มีใครจับเธอขังเสียหน่อย เธอเดินเข้าไปเอง”

“งั้นเหรอ แล้วไม่กลัวว่าข้าจะยิงโดนไม่ต้องถามบ้างหรือไง” พูดจบนมสุกก็ยกปืนเล็งไปที่ผู้คุมกฎทั้งสี่ ดาบ ปืน มีด ขวาน ผงะกันเป็นแถว ไม่คิดว่าแม่เสือจะห่วงลูกกาขนาดนี้ “เล่ามาให้หมดนะว่ามันเกิดอะไรขึ้น ทำไมหนูพิมพ์ถึงโดนขัง ข้าอยากรู้ว่ามันจะตรงกับที่นังเดือนหงายเงิบพ่นพิษไว้หรือเปล่า”

ปืนกลืนน้ำลายลงคอเล็กน้อย แล้วเล่าให้ฟัง ซึ่งก็ไม่ต่างจากที่เดือนประดับพูดไว้จริงๆ แต่ถึงอย่างนั้นทั้งสองนมก็มองว่าป๊ะเพลิงทำเกินไป “หนูพิมพ์อยู่ไหน”

ปืนหันไปมองหิน ซึ่งยิ้มขำๆไว้ในสีหน้าแล้วเดินนำแม่นมทั้งสองไปที่ห้องที่หญิงสาวอยู่ ประตูคุกยังเปิดอยู่เหมือนเมื่อคืน ทั้งคู่หันมามองหน้ากันอย่างแปลกใจเล็กน้อย แต่ความสลัวภายในคุกทำให้ยังไม่เห็น จึงเรียกหา “หนูพิมพ์” เสียงที่เรียกทำให้พิมพ์ลดาที่นั่งกอดเข่าอยู่หันมามอง

“นม” เสียงเธอแผ่วเบามาให้ทั้งสองคนได้ยิน ซึ่งน้ำตาซึมด้วยความสงสาร ทั้งคู่รีบโผเข้ากอดเธอไว้เหมือนแม่ไก่ที่กางปีกปกป้องลูก แล้วพาเธอออกมา พิมพ์ลดาหรี่ตาให้ปรับรับแสงตะวันอยู่เพียงครู่ก็ลืมขึ้นเต็มตา ฝืนยิ้มให้กับสองนม ที่กวาดตามองไปทั่วตัวเธอ ไม่มีร่องรอยใดๆที่บอกว่าถูกทำร้าย นอกจากรอยยุงกัด ก็ใจชื่น แต่ก็ยังขัดใจกับรอยนิ้วบนแก้มและเกลียดนังเดือนหงายเงิบเข้ากระดูกดำ

“กลับเรือนเชิงผากันเถอะ” บอกพลางจับแขนเธอให้เดินตาม แต่...

“เดี๋ยวค่ะ” เธอขืนตัวไว้ แล้วกวาดตามองไปรอบคุกทมิฬ ไม่มีคนที่สั่งขังเธอ จึงดึงสายตากลับมามองหัวหน้าคุก “ปล่อยพวกเขาไปได้ไหมคะ”

“นายหญิงต้องพูดกับป๊ะเพลิง”

“แล้วถ้าฉันยินดีที่จะอยู่แทนพวกเขาละ” คำพูดของเธอนั้นทำให้สองนมตกใจ หินเองก็คิดไม่ถึงเช่นกัน แต่เขาก็บอกว่า

“ก็เหมือนกันครับ คนที่จะตัดสินใจได้ก็คือป๊ะเพลิง”

“แต่คุณเป็นคนดูแลที่นี่”

“แต่ก็ไม่ใช่เจ้าของ มีเพียงป๊ะเพลิง ผู้เป็นนายที่นี่เท่านั้นที่จะสั่งได้”

พิมพ์ลดาหันไปมองห้องขัง ความเห็นใจสงสารปรากฏขึ้นบนสีหน้าและแววตาของเธอ เมื่อคืนนี้หลังจากได้ฟังเรื่องของตัวเองแล้ว เธอก็ได้ฟังเรื่องของพวกเขาด้วย แต่ละคนมีครอบครัวที่ต้องดูแล ขณะที่เธอมีก็เหมือนไม่มีเพราะจำอะไรไม่ได้ ความรักความผูกพันที่คิดว่าจะได้รับจากใครสักคนก็เลือนลางจางหายไป จึงเหมือนตัวคนเดียว ที่สำคัญที่พวกเขาต้องมาถูกขัง ถูกทรมานอดมื้อกินมื้อก็มาจากคนเป็นพ่อของเธอ และคนที่ตายไปอีก เธอจึงไม่อยากให้ใครมารับเคราะห์กรรมแทนอีกแล้ว

“ไปค่ะ หนูพิมพ์”

นมสุกว่าพลางดันตัวเธอให้เดิน พิมพ์ลดาละล้าละลังไม่อยากจะไป และก่อนที่จะเดินไป เธอก็ขอร้องหินว่า “แค่ถูกกักขังก็ทรมานพอแล้ว ขอให้มีมนุษยธรรมให้พวกเขาบ้างได้ไหม กลางคืนมันหนาว อาหารการกินก็น่าจะให้พวกเขาดีๆบ้าง ถ้าเราดีกับเขา สักวันเขาก็จะดีกับเรา”

“เมื่อคืนนายหญิงก็เห็นแล้ว ว่าความเมตตามันใช้ไม่ได้กับคนพวกนี้”

“นั่นเป็นเพราะพวกเขาไม่รู้ ว่าฉันจะทำอะไร เช่นเดียวกัน เรายังฝึกสัตว์ที่ไม่มีภาษาไม่มีวัฒนธรรมหรืออะไรเทียบเท่าเรา ให้เชื่องได้ แล้วจะฝึกคนที่มีทุกอย่างเหมือนๆกับเราให้เป็นคนขึ้นมาบ้างไม่ได้เชียวเหรอ”

หินนิ่งไปนิดก่อนจะบอกว่า “แล้วจะคิดดูครับนายหญิง”

“ขอบใจที่ยังคิด ดีกว่าบางคนที่ไม่คิดอะไรเลย”

คำประชดนั้นทำให้หินยิ้มอยู่ในใจ แล้วมองตามร่างอรชรที่เดินตัวตรงนำหน้าสองนมไป พร้อมกับคิดว่าเธอเปลี่ยนไปจากคนเดิมจริงๆ ไม่มีมีการโวยวาย ฟูมฟาย หรือด่าทอใครสักคน ตั้งรับได้อย่างมีสติและทระนงด้วยศักดิ์ศรี น่านับถือ แล้วยิ้มออกมาเมื่อคิดว่าคำสุดท้ายที่เธอพูดนั้นฝากไปถึงใคร ผู้คุมกฎทั้งสี่คนก็ได้ยินเหมือนกัน

“จะทำตามที่นายหญิงว่าหรือเปล่า”

“ถ้าไม้แก่มันยังดัดได้ ก็ไม่เสียหายไม่ใช่เหรอ แต่ถ้าอันไหนดัดไม่ได้ก็แล้วแต่บุญแต่กรรมก็แล้วกัน”

พูดจบหินก็เดินไปที่ม้าของเขาเจ้าพยับหมอก เหวี่ยงตัวขึ้นนั่งบนหลังมัน แล้วควบออกไปจากคุกทมิฬ มุ่งตรงไปยังภูผาสูง ลัดเลาะไปตามเส้นทางขรุขระ จนมาถึงหน้าผา นายแห่งหุบเขายืนอยู่ที่นั้นจริงๆ ร่างสูงกำลังให้อาหารเจ้านกอินทรี เขามองพลางเหวี่ยงตัวลงจากหลังม้า ตบคอมันเบาๆ ก็เดินไปยืนข้างๆ

“เรียบร้อยดีไหม”

หินไม่ตอบรับแต่เล่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นให้ฟัง แม้แต่คำพูดที่ฝากมาก็บอกไม่มีเหลือ แล้วถามกลับว่า “คิดว่าเรียบไหมละ กลับไปถึงเรือนก็เตรียมรับมือกับแม่นมทั้งสองให้ดี ดูจะหลงรักลูกกามากเหลือเกิน ถึงขนาดเอาปืนมาขู่ทุกคน โชคดีที่ไม่ผิดไปจากแผนที่คิดไว้เท่าไร ไม่งั้นโชคร้ายคงมาเยือน”

มุมปากของเพลิงยกขึ้นยิ้มเพียงนิด ก่อนจะถาม “แล้วได้อะไรจากการเขียนเสือให้วัวกลัวบ้าง”

“ถ้าพูดโดยไม่มีอคติก็คิดว่าได้นายหญิงคนใหม่มา เธอกล้า เก่ง รักศักดิ์ศรี มีน้ำใจ น่านับถือจริงๆ แต่ถ้ามีอคติกับเรื่องเก่าในอดีต ก็เหมือนเดิม นั่นคือการเสแสร้งเพื่อประโยชน์ของตัวเองอย่างที่นายว่า”

“แล้วไอ้ห้องข้างๆ บอกอะไรมาบ้าง”

“เธอถามแต่เรื่องเก่าๆจากพวกมัน ส่วนเรื่องที่เราสงสัยว่าเธอจะให้ข่าวอะไรกับพวกมัน ไม่มีพูดถึง ที่สำคัญแม้แต่พวกนั้นเธอก็จำไม่ได้สักคน เพราะมันโกหกว่าเป็นคนของนายอธิป เธอก็ยังเชื่อ”

เพลิงปล่อยนกอินทรีให้บินขึ้นฟ้า ทอดสายตามองตามมันไป จนมันหายไปจากประสาทรับรู้ ก็หันมามองหน้าหิน ที่สบตาเขาเพียงครู่ ก็ถามว่า “พอจะเชื่อใจเธอได้หรือยัง หรือจะทดสอบดูใจกันอีก”

“แล้วนายคิดว่าไง”

“ถ้าให้ตอบโดยไม่คิดอะไร ก็ให้ผ่าน แต่ถ้าคิดให้ละเอียด คงต้องดูกันต่อไป แต่ฉันคิดยังไงไม่สำคัญเท่ากับใจของนาย ถ้ายอมรับเธอ ทุกคนก็ยอม”

“ใจของคนมันซับซ้อนนะหิน ภูเขาที่เราเห็นเรายังเดินไปดูได้ว่าเป็นยังไง แต่ใจของคนเราเดินเข้าไปดูไม่ได้ วันนี้อาจจะดี พรุ่งนี้อาจจะร้าย ไม่มีอะไรแน่นอน ภาระที่ฉันแบกไว้มันหนัก ถ้าตัดสินใจผิดพลาดเพียงครั้งเดียว ก็จะไม่มีหุบเขาพญาให้ลูกหลานได้อยู่ ฉะนั้นจะให้ฉันใช้หัวใจเพียงอย่างเดียวมาตัดสินไม่ได้ ฉันต้องใช้ทุกอย่าง เธอเองก็เช่นกัน ถ้าอยากให้ฉันเชื่อด้วยหัวใจทั้งหมด ก็ต้องพิสูจน์ทุกอย่างให้ฉันเห็น”

“แสดงว่านายยอมรับเธอมากขึ้น”

เพลิงไม่ตอบ หินก็คิดว่านั้นคือการยอมรับ และคงต้องรอดูอย่างที่เพลิงว่า ทั้งคู่คุยกันอีกหลายเรื่อง ก็เดินไปขึ้นหลังม้า ควบมันลงมาจากหน้าผา แยกกันกลับที่พักของตัวเอง ไม่นานเจ้าพยัตพานายแห่งหุบเขามาถึงเรือนเชิงผา เพียงก้าวขึ้นมาบนเรือน แม่นมทั้งสองคนก็ปรี่เข้ามา หน้าตาทั้งคู่นั้นไม่ต่างจากแม่เสือเลย

“ทำไมถึงได้ใจร้ายนักนะป๊ะเพลิง ทำกับหนูพิมพ์แบบนั้นได้ยังไง”

“ใช่ ขังเธอไว้กับคนเลวๆพวกนั้นได้ยังไง”

“ฉันไม่ได้ขังเธอ ประตูคุกก็เปิดอยู่ ทำไมไม่เดินออกมาละ” เพลิงว่าพลางยกมือขึ้นกอดอก มองแม่นมทั้งสองคนที่แผ่แม่เบี้ยขึ้นมาฉกเขายิ่งกว่าจงอางห่วงไข่ อย่างที่หินว่าไว้ไม่มีผิด

“ใครมันจะกล้า ถ้าออกมายิงเธอทิ้ง เหมือนไอ้คนนั้นจะทำยังไง” เสียงนมสุกขุ่นเคืองออกมา

“เธอบอกอย่างนั้นเหรอ”

“หนูพิมพ์ไม่พูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นสักคำ ดีนะที่พวกมันไม่ทำอะไร ถ้ามันกระทำชำเราเธอขึ้นมา จะทำยังไง

“มันไม่กล้าหรอก”

“เอาอะไรมารับประกัน” นมสดถามทันควัน เพลิงยิ้มเยาะที่มุมปากเพียงนิด ก็บอกว่า

“เพราะมันอยากได้ผลประโยชน์จากเธอไง”

แม่นมทั้งสองคนถึงกับเงียบ และรู้ได้ทันทีว่าสิ่งที่ป๊ะเพลิงทำไปนั้นเพื่อทดสอบเธอนั่นเอง เพลิงปล่อยให้ทั้งคู่ยืนคิดไป เขาเดินมานั่งที่เก้าอี้มุมระเบียง อาหารเช้าที่วางไว้บนโต๊ะมองก็รู้ว่าเป็นฝีมือใคร ขนาดอยู่ในนั้นทั้งคืน ออกมายังรับผิดชอบหน้าที่ตัวเองได้ดี มิน่าถึงได้หลงได้เอ็นดูหลงกันมากนัก

“ถึงอย่างนั้นก็ไว้ใจไม่ได้ เกิดพวกมันกลัดมันขึ้นมาจะทำยังไง” นมสุกเดินตามมาพูดอยู่ข้างๆ

“แล้วคิดว่าฉันจะปล่อยให้เรื่องมันเกิดขึ้นเหรอ”

“ใครจะไปรู้ใจป๊ะเพลิง ในเมื่อเกลียดเธอยังกับอะไรดี”

“แล้วไม่คิดว่าฉันจะเปลี่ยนไปอย่างที่หวังไว้บ้างเหรอ”

แม่นมทั้งสองคนอึ้งไป แต่สายตานั้นมองนายแห่งหุบเขาอย่างไม่ไว้ใจ ก่อนจะเดินมายืนข้างๆ พลางบอกว่า “อย่าหลอกให้คนแก่ดีใจนะป๊ะเพลิง”

เพลิงไม่ตอบ เขาหยิบช้อนมาตักข้าวกิน แต่สายตามองหาร่างอรชร ที่ตามปกติจะต้องนั่งทานข้าวพร้อมกับเขา แต่เช้านี้ไปไหน หรือว่าสำออยหลบไปแล้ว นมสดที่เห็นสายตานั้นเข้าจึงบอกว่า “หนูพิมพ์อยู่ที่เพิงหมาแหงนค่ะ”
*********
แสงแดดแผดร้อนขึ้นตามลำดับแต่สายลมช่วยปัดเป่าให้เบาบางลง และร่มรื่นด้วยร่มเงาของต้นไม้ที่แผ่กิ่งก้านออกมา พิมพ์ลดาปัดกวาดเช็ดถูเพิงจนเรียบร้อย ก็นั่งจมอยู่กับความคิดตัวเอง ความกลัวที่ต้องอยู่ในคุกยังติดอยู่ในใจแต่ไม่เสียใจที่ติดอยู่ในนั้น เพราะทำให้เธอรู้อะไรมากมาย แม้จะไม่รู้ว่าที่รู้ว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่เพราะความจำเสื่อมก็ตาม พอกลับมาถึงเรือนเชิงผาเธอก็อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้วก็ช่วยสองนมทำอาหารที่ค้างอยู่

ทั้งคู่ได้แต่มองเธออย่างสงสาร และหายามาทาให้ทั้งที่ตัวและที่แก้ม เธอขอบคุณด้วยความซาบซึ้ง แล้วก็ขอตัวมาที่นี่ หวังจะเจอคนที่สั่งขังเธอ เพราะมีเรื่องจะคุยกับเขา แต่ก็ไม่เจอ ก็คิดว่าจะทำยังไงต่อไป มือนุ่มกำผ้าขี้ริ้วที่ถือไว้แน่น และเพียงครู่เดียวที่เธอคิดออก

ร่างอรชรเดินออกมาจากเพิงหมาแหงน เดินไปตามทางเดินที่ขรุขระ เจอใครก็ถามหาคนที่เธออยากเจอไม่นานเธอก็มาถึงที่หมาย เรือนไม้ชั้นเดียว ด้านหน้ามีระเบียงวางเก้าอี้กับโต๊ะไม้ไว้ต้อนรับคนที่มาหา แล้วยังมีกระจาดสมุนไพรตากไว้ด้วย เธอชะเง้อมองขึ้นไปบนเรือน ประตูที่ปิดสนิทนั้นบอกให้รู้ว่าคนที่เธอมาหาอาจจะไม่อยู่ หรือว่าอยู่ข้างในก็ไม่รู้ได้

“หมอคะ” เธอลองเรียก แต่ก็เงียบไม่มีเสียงตอบ “หมอคะ” เสียงเธอดังขึ้นกว่าเดิม และแทบจะหมดหวังเมื่อรอแล้วก็ยังไม่มีเสียงตอบมา แล้วใจก็ชื่นขึ้นมาเมื่อเห็นหมอเดินออกมาจากหลังเรือน มือเปรอะเปื้อนดินเพราะไปขุดรากไม้มา
“นายหญิง” หมอกานต์เอ่ยขึ้นอย่างแปลกใจที่เห็นหญิงสาวมายืนอยู่หน้าเรือน ไม่แค่นั้นยังยกมือไหว้เขาจนแทบจะยกมือรับไหว้ไม่ทัน

“สวัสดีค่ะ”

“ครับ นายหญิงมาหาถึงที่นี่ มีอะไรหรือเปล่าครับ ที่จริงให้ใครมาตามผมไปพบก็ได้”

“พิมพ์มีเรื่องอยากจะมาขอร้องหมอ”

หมอกานต์เลิกคิ้วขึ้นอย่างแปลกใจ ก่อนจะเชิญให้เธอขึ้นไปคุยกันที่ระเบียง พร้อมบอกว่า “ผมกำลังขุดสมุนไพรอยู่ มืออาจจะเลอะไปหน่อย นายหญิงคงไม่ถือใช่ไหม”

“ไม่ค่ะ แค่เจอหมอพิมพ์ก็ดีใจแล้ว”

พูดจบเธอก็นั่งลงที่เก้าอี้ ตรงมุมระเบียง ที่มีต้นตะแบกแผ่กิ่งก้านออกมาให้ร่มเงาระหว่างรอหมอที่ขอตัวไปล้างมือและเอาของไปเก็บในเรือน ไม่นานก็ออกมาพร้อมขันน้ำใสแจ๋วมายื่นให้เธอ ซึ่งก็รับมาดื่มก่อนวางไว้บนโต๊ะ พร้อมๆกับคุณหมอที่นั่งลงบนเก้าอี้

“นายหญิงมีอะไรก็ว่ามาเลยครับ” หมอถามออกมา พิมพ์ลดานิ่งไปนิดก็บอกว่า

“เรื่องคนที่ถูกขังอยู่ในคุกทมิฬนะคะ พิมพ์อยากขอให้หมอไปรักษาพวกเขาบ้างได้ไหมคะ อาทิตย์ละสองครั้ง หรือสักครั้งก็ยังดี พวกเขาจะได้มีชีวิตที่ดีขึ้น”

“นายหญิงไปเจออะไรมาหรือครับ” หมอถามอย่างสงสัย เพราะยังไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน พิมพ์ลดาเม้มริมฝีปากเพียงนิด ก็บอกว่า

“ไม่ได้เจออะไรหรอกค่ะ แค่เห็นว่าพวกเขาอยู่กันน่าสงสาร คนที่ไม่สบายบาดเจ็บก็เยอะ ก็เลยอยากช่วย แต่พิมพ์ไม่มีค่ารักษาให้หมอนะคะ แต่ยินดีที่จะทำงานแลกกับการที่หมอไปรักษาพวกเขา”

หมอกานต์ยิ้มให้อย่างปราณี และซึ้งในน้ำใจของเธอที่ยอมลำบากเพื่อช่วยคนที่เลวๆ ผิดจากเมื่อก่อนที่เธอไม่เคยจะเหลียวแลหรือสนใจด้วยซ้ำไป บางครั้งเมื่อมีใครพูดถึง เขายังแอบเห็นเหยียดริมฝีปากหยามหยันด้วยซ้ำไป แต่วันนี้เธอกลับเปลี่ยนไป สิ่งที่เกิดขึ้นกับเธอมันเป็นปฏิหาริย์หรือยังไงกัน

“นายหญิงไม่ต้องทำถึงขนาดนั้นหรอกครับ เพราะปกติแล้วป๊ะเพลิงก็ให้หมอไปดูแลอยู่แล้ว เดือนละสองครั้ง”
“เหรอคะ”

“ครับ แต่นายหญิงทราบไหมครับ ว่าคนพวกนั้นเป็นใครมาจากไหน”

หมอถามและอ่านเอาจากสายตาเธอว่าไม่รู้ ถึงรู้ก็คงจะน้อยเหลือเกิน จึงเล่าให้ฟังทุกคำพูดไม่ได้ต่างจากที่ได้ยินจากนายหิน จากนั้นเธอก็เดินกลับมาที่เพิงหมาแหงน แต่ทุกถ้อยคำของหมอยังดังก้องอยู่ในหัว

‘คือคนที่ทำผิดกฎของหุบเขาพญา คือพวกที่มาบุกรุก ทำร้ายทำลายคนและของที่นี่ แม้แต่ต้นไม่ต้นเดียวที่ถูกตัดไป ป๊ะเพลิงก็ไม่เว้น แต่ไม่ได้ใจดำอำมหิตปล่อยให้พวกมันตายไปต่อหน้าต่อตา พวกที่เจ็บและสำนึกก็รักษากันไป แต่พวกที่ไม่ ก็ไม่ปราณีเช่นกัน’

‘แต่ไม่น่าลงโทษถึงขั้นเลือดตกยางออก ทำไมไม่พูดกันดีๆ หรือหาวิธีอื่นที่จะลงโทษกันมากกว่าจะมาฆ่าฟันกัน’

เธอแย้งหมอไป ซึ่งยิ้มให้เพียงนิด ก็บอกว่า ‘คนบางคนไม่ได้ประเสริฐอย่างที่ได้เกิดมาเป็นคนหรอกนายหญิง’

ความจริงข้อนี้เธอก็รู้ เพราะเป็นสัจธรรมที่รู้กันอยู่แก่ใจดี สองเท้าที่ก้าวเดินมาเรื่อยๆ หยุดนิ่งอยู่แค่ร่มไม้หน้าเพิง เมื่อเห็นร่างสูงยืนมองมา เธอสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วเชิดหน้าเดินมาเผชิญหน้ากับเขา สบตาคมที่มองอยู่อย่างไม่หวั่น ก็บอกว่า

“ฉันอยากขอร้องให้คุณปล่อยพวกเขาไปได้ไหม”

“ใครละ” เพลิงถามทั้งๆที่พอจะรู้มาจากหินแล้ว

“ไม่น่าเชื่อว่าคุณจะไม่รู้”

“แต่ก็ไม่น่าเชื่อถือเท่ากับที่รู้จากปากเธอ” เสียงย้อนกลับมาทันควัน ทำให้เธอต้องเม้มริมฝีปาก ก่อนจะพูดให้ฟังอย่างที่ต้องการ

“คนที่คุณขังไว้ไง”

“ถ้าฉันบอกว่าได้ แล้วเธอจะเอาอะไรมารับประกันว่าพวกมันจะไม่กลับมาทำชั่วหรือบุกรุกเข้ามาในเขตของฉันอีก”

“ชีวิตฉัน”

“แม่พระ” เสียงเพลิงหยันออกมา “เธอมีแค่ชีวิตเดียว แต่คนที่นี่มีเป็นร้อย เธอจะชดใช้ยังไง ถ้าหากว่าวันใดวันหนึ่งพวกมันบุกรุกเข้ามา แล้วทำร้ายคนของฉันตายไปคนแล้วคนเล่า และอาจจะร้ายถึงขั้นยิงฉันตายอีกคน เธอจะทำไง”

พิมพ์ลดาได้แต่เม้มริมฝีปาก เมื่อยังไม่ได้คิดไปถึงไปขึ้นนั้น เสียงเพลิงจึงเยาะออกมา “จะบอกว่าให้ใช้มนุษยธรรมอย่างที่เธอว่างั้นเหรอ เลิกโลกสวยแล้วยอมฟังสิ่งที่มันเป็นจริงดีกว่า เธอรู้ไหมว่าไอ้พวกที่เธอเห็นนะ มันลักลอบเข้ามาในแผ่นดินของฉันเพื่ออะไร จะบอกให้ว่าเพื่อขุดสมบัติ ใครขวางก็ทำร้าย เจอผู้หญิงก็ข่มขืน เจอผู้ชายก็ยิงทิ้ง ไม่เว้นแม้กระทั่งเด็กหรือคนแก่ เธอสงสารพวกมันที่มีครอบครัวดูแล แล้วทุกคนที่นี่ไม่มีหรือไง ความยุติธรรมที่เธอร่ำร้องหา จะช่วยอะไรพวกเขาได้ ถ้าเธอตอบฉันได้ ฉันก็จะปล่อยพวกมันไป”

“ถ้าพวกเขาสัญญา สาบาน หรือตั้งสัจจาวาจาละ”

“คิดโง่ๆ ตื่นจากความฝันแล้วอยู่กับความจริงเถอะพิมพ์ลดา แม้มันจะโหดร้าย แต่มันเป็นเรื่องจริงที่ว่าไม่มีสัจจะในใจของคนเลว และความจริงแรกที่เธอควรรู้ก็คือ ไอ้คนที่มันเป่าหูเธอมานะ มันไม่ได้เป็นคนของพ่อเธอหรอก มันเป็นลูกน้องของไอ้คนโลภ ถูกส่งเข้ามาเพื่ออะไรนั้นคิดว่าเธอคงรู้ดี”

พิมพ์ลดาอึ้งไปกับคำพูดของเขาแต่ยังไม่เชื่อหมดใจ เพราะเขาก็ร้ายกาจกับเธอไม่ต่างกัน ขณะที่เพลิงก็รอคำตอบเพื่อดูว่าความทรงจำของเธอจะกลับคืนมาหรือไม่ “น้ำมันงั้นเหรอ”

“จำได้แล้วซิ” เสียงเขาหยันแต่พิมพ์ลดาไม่ได้สนใจ เพราะเธออยากรู้อีกหลายอย่างที่ยังค้างอยู่ในใจ และหนึ่งในนั้นก็คือ
“แล้วพ่อฉันเกี่ยวข้องด้วยหรือเปล่า
*******
ขอบคุณที่ติดตามผลงานค่ะ



pream
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 29 มิ.ย. 2558, 16:06:00 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 29 มิ.ย. 2558, 16:06:00 น.

จำนวนการเข้าชม : 2948





<< ตอน 10   ตอน 12 >>
แว่นใส 29 มิ.ย. 2558, 19:29:38 น.
แกล้งกันเหรอ


Zephyr 29 มิ.ย. 2558, 22:31:00 น.
บางทีพิมพ์ก็แอบมีนิสัยน่าขัดใจนะ
จะใจดีผิดที่ผิดทางไปป่าว ดูโลกสวยมากอ่ะ


konhin 29 มิ.ย. 2558, 22:49:47 น.
ต้องบอกว่าหนูพิมพ์ไม่ได้เกิดมาในโลกแบบนี้เลยยังไม่เข้าใจเพราะไม่มีใครอธิบายให้ใครเข้าใจ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account