ความลับ (ที่) ซ่อนเร้น .. หรือจะเป็น ความรัก!(?)
คำถาม .. ที่มีคำตอบ
แต่คำตอบ .. กลับยังคงมากมายด้วยคำถาม

เพราะนิยามในคำหนึ่งคำนั้น
แฝงเร้นซุกซ่อนไว้ซึ่งความลึกลับ
ความซับซ้อนชวนสับสน รอยยิ้มปนเปื้อนคราบน้ำตา
เล่ห์เสน่หาหวานล้ำ และพร้อมจะนำความเจ็บปวดมาให้ .. ได้ทุกเวลา

.. หากว่ามันคือ ความรักที่มากล้น จนกลายเป็น .. ความลับ ! ..
Tags: ความรัก ความลับ

ตอน: บทที่ ๘ .. เมื่อเวลานั้นมาถึง




รวิรุจน์รวบรวมแฟ้มเอกสารที่จัดทำข้อมูลส่งเสริมการตลาด เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการประชุมในช่วงบ่าย แล้วก็เป็นอีกครั้งที่ชายหนุ่มลอบถอนหายใจระบายความเบื่อหน่ายออกมา ทั้งที่ภายในห้องนี้มีเขาครอบครองพื้นที่แต่เพียงผู้เดียว ซึ่งไม่จำเป็นเลยที่จะต้องระมัดระวังหรือแอบซ่อนความรู้สึกใดๆ

ตั้งแต่เช้าแรกต้นสัปดาห์ นับจากเมื่อวานเป็นวันที่รวิรุจน์ต้องเริ่มงานโดยปราศจากเงาของใครคนหนึ่ง ซึ่งมีผลต่อประสิทธิภาพในการทำงานของเขาได้อย่างไม่น่าเชื่อ

โดยปกติเวลาชายหนุ่มมาถึงออฟฟิศ อย่างแรกที่เขาจะต้องทำคือ มองหาตำแหน่งพาร์ทิชั่นที่กั้นแบ่งพื้นที่ทำงานอย่างเป็นสัดเป็นส่วนขององก์อัมพุท ทว่า มันกลับร้างเจ้าของ ถึงวันนี้ก็ปาเข้าไปสองวันแล้ว และเขาก็ทราบอยู่เต็มอกว่าเพราะอะไร

ความสดชื่นรื่นรมย์ที่เคยมีเคยเป็นพลันเหือดหายต่อหน้าต่อตา และมันจะต้องเป็นอย่างนี้ไปจนถึงสุดสัปดาห์ กว่าจะถึงวันจันทร์หน้ารวมแล้วก็อีกตั้ง ๕ วัน

แต่หน้าที่ความรับผิดชอบก็ยังคงเป็นแรงผลักดันให้รวิรุจน์ทำงานต่อไปได้ แม้จะรู้สึกห่อเหี่ยวแห้งแล้งในจิตใจปานใดก็ตาม



ผู้บริหารฝ่ายการตลาดของอาร์อาร์เอส รุ่งเรืองทรัพย์ค้าปลีก พยายามอย่างยิ่งยวดที่จะไม่ให้ตนเองคิดฟุ้งซ่าน นอกเหนือไปจากงานตรงหน้าที่จำเป็นต้องรีบอ่านรีบพิจารณา ถึงเศรษฐกิจจะค่อนข้างซบเซา แต่เครื่องอุปโภคบริโภคยังคงเป็นที่ต้องการของผู้ซื้อ แม้สภาพคล่องของการใช้จ่ายจะลดลง หากสินค้าก็ยังต้องส่งป้อนเข้าสู่ตลาดเสมอ เพราะคนเรานั้นต้องกินต้องใช้โดยอาศัยปัจจัยสี่เป็นพื้นฐาน

รวิรุจน์พอจะเพลิดเพลินกับงานอยู่บ้างจนถึงก่อนเวลาพักเที่ยง แต่แล้วโทรศัพท์มือถือส่วนตัวที่วางไว้ใกล้ๆ ก็สั่นจนเขารู้สึกได้ถึงแรงสะเทือน วินาทีต่อมาจึงได้ยินเสียงเพลงของสายเรียกเข้าคู่ตัวดังขึ้น

ชายหนุ่มขมวดหัวคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย กับหมายเลข ๑๐ หลักที่ปรากฏบนหน้าจอที่กำลังสว่างวูบวาบ นี่ไม่ใช่หมายเลขที่คุ้นเคยแถมติดต่อเข้ามายังเครื่องส่วนตัว ซึ่งเขาจะให้เบอร์โทรศัพท์เฉพาะคนในครอบครัวหรือเพื่อนสนิทเท่านั้น

อาจจะเป็นเพื่อนคนใดคนหนึ่ง ที่เปลี่ยนเบอร์ล่ะมั้ง .. นั่นคือสิ่งที่เขาคิดและน่าจะเป็นไปได้มากที่สุด

เหมือนกับว่ารวิรุจน์ต้องการทดสอบความอดทนของอีกฝ่าย เพราะนานเกือบๆนาทีกว่าที่เจ้าของเครื่องมือสื่อสารรูปทรงเพรียวบางสีดำขนาดเหมาะมือ จะสัมผัสหน้าจอเพื่อรับสายแล้วกรอกสุ้มเสียงเป็นการเป็นงานลงไป

"รวิรุจน์ครับ"

"พี่รุจน์ ... เบอร์นี้ คือพี่รุจน์ใช่มั้ยคะ"

เสียงเล็กๆสดใสขานชื่อของเขากลับมาอย่างกระตือรือร้นปนประหม่า ทำให้นึกออกทันทีถึงที่มาของหมายเลขที่ไม่รู้จักหรือคุ้นตาแม้แต่น้อย

"เกรซเหรอ .. โทร.หาพี่มีอะไรหรือเปล่า .. ไม่ไปโรงเรียนรึไงน่ะเรา"

"ค่ะ เกรซเอง .. ก็พี่รุจน์บอกนี่นา ว่าไม่ให้ใครรู้ เกรซก็เลยต้องแอบโทร.ที่โรงเรียนค่ะ .."

รวิรุจน์นิ่วหน้านิดหนึ่งกับคำตอบจากตรีวธูที่ได้จนเกือบจนครบถ้วน แต่ก็ยังติดใจสงสัยว่า ทำไม 'น้องสาวตัวน้อย' สามารถใช้โทรศัพท์ได้ในเวลานี้ หรือว่า เขาห่างเหินวงการศึกษามานานเกินไป จนไม่รู้ว่าระเบียบปฏิบัติและทุกสิ่งอย่างเปลี่ยนแปลงไปหมดแล้ว

เด็กหญิงคล้ายจะเดาใจพี่ชายอีกคนได้ จึงรีบพูดเสริมความกระจ่างแก่เขาโดยไม่รอช้า

"คุณครูให้คนทำข้อสอบเสร็จก่อน ออกมาทานข้าวได้ค่ะ เกรซทำเสร็จคนแรกเลยนะคะพี่รุจน์"

น้ำเสียงของตรีวธูไม่อาจปกปิดความภาคภูมิใจในตนเองได้ จนรวิรุจน์พลอยรับรู้ความรู้สึกนั้นไปด้วย จึงหัวเราะออกมาเบาๆกล่าวชมแกมล้อเลียน

"เก่งจัง ว่าแต่ทำเสร็จเร็ว เพราะทำไม่ได้หรือเปล่า .."

"มือชั้นนี้แล้วพี่รุจน์ .. มีพี่วิชชุ์ช่วยสอน ข้อสอบง่ายๆทำไมเกรซจะทำไม่ได้คะ"

อารมณ์สนุกที่ชายหนุ่มพอจะมีแบ่งปันเด็กหญิง เลือนหายไปชั่วขณะเมื่อได้ยินชื่อ 'พี่วิชชุ์' เพราะจู่ๆเขาก็รู้สึกได้ว่าข้อมือเกร็งและเผลอกำโทรศัพท์ในมือแน่น ลำตัวเหยียดตั้งตรงคอแข็งขึ้นมาดื้อๆ พร้อมกับกรามที่ขบกันแน่นจนเห็นเป็นแนวสองข้ามแก้ม แต่พอควบคุมมันได้ อาการเหล่านั้นก็ค่อยสงบและคลายตัวลงอย่างรวดเร็ว แล้วเปลี่ยนเป็นย้ำคำถามเดิมที่ยังไม่ได้คำตอบอีกข้อ

"เกรซมีอะไรเหรอ ถึงโทร.มา"

"อ๋อ .. เกรซจะโทร.มาชวนพี่รุจน์ไปหาคุณพ่อค่ะ วันพฤหัสฯนี้เกรซสอบเป็นวันสุดท้าย คุณครูบอกว่าถ้าผู้ปกครองมารับ ก็กลับได้เลย .. พี่รุจน์ .. ว่างมั้ยคะ"

ตรีวธูบอกเล่าอย่างร่าเริง เธอคิดแค่อยากให้ 'พี่รุจน์' มารับแล้วไปพบพฤหัสด้วยกัน จนลืมไปว่า ปารตีคงจะไม่ยินดีเท่าไรกับสิ่งที่กำลังกระทำไปโดยพละการ หากแต่การชักชวนในตอนท้ายน้ำเสียงนั้นก็เริ่มแกว่งและเบาลงอย่างคนไม่มั่นใจนัก

"พี่ทำงาน .."

คำสั้นๆที่รวิรุจน์เกริ่นช่วงต้นของประโยคออกไปตามตรงนั้น เขาไม่มีทางรู้เลยว่า คนฟังสีหน้าเจื่อนจ๋อยขนาดไหน

อันที่จริง นั่นยังไม่ใช่ใจความที่ครบถ้วนสมบูรณ์ เนื่องจากชายหนุ่มกำลังไล่ดูตารางงานบนปฏิทินในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ตรวจสอบวันและเวลาดังกล่าวว่า เขาพอจะปลีกตัวทำตามความต้องการของตรีวธูได้หรือไม่

แต่คำตอบคงช้าไปสำหรับเด็กหญิง เมื่อเธอเอ่ยแผ่วเบาเสียงเครือกึ่งเศร้าสร้อยมาถึงเขาเสียก่อน ไม่หลงเหลือความกระตือรือร้นก่อนหน้านี้อยู่เลย

"เกรซขอโทษค่ะ เกรซลืมไป ว่าพี่รุจน์ต้องทำงาน .. เกรซรอคุณแม่ก็ได้ค่ะ แต่กว่าจะได้ไปหาคุณพ่อ .. คงต้องรอจนกว่าคุณแม่จะทำงานเสร็จ"

ตรีวธูพูดไปตามใจคิดอย่างน้อยใจ แต่เธอก็ไม่รู้เช่นกันว่า ทุกคำที่กลั่นออกมานั้น มันได้ไปกระทบความรู้สึกของรวิรุจน์อย่างจัง ทำให้เกิดเป็นแรงขับต่ออคติที่มีทับถมมานานจนล้นในห้วงสำนึก

เห็นแก่ตัว .. ทำงานจนไม่เคยได้คิดถึงลูกเลยล่ะสิ ..

แล้วคำพูดที่จุดประกายคืนความสดใสให้กลับมาสู่เด็กหญิงก็พรั่งพรู จนชายหนุ่มนึกภาพอาการลิงโลดดีอกดีใต จากน้ำเสียงปลายสายได้ชัดเจน เพราะคำถามย้ำซ้ำแล้วซ้ำเล่าแกมตื่นเต้นหลังจากได้ฟังประโยคเหล่านี้

"พี่พูดแล้วหรือว่า .. พี่ไปรับเราไม่ได้น่ะ .. พี่เช็คตารางงานอยู่ เอาเป็นว่า เกรซบอกชื่อโรงเรียนมา .. จำได้มั้ยว่า โรงเรียนตัวเองอยู่แถวไหน .. พี่จะไปรอรับตอนเที่ยง .. เกรซสอบเสร็จเมื่อไหร่ เราจะไปหา 'คุณพ่อ' ด้วยกัน"

รวิรุจน์เน้นย้ำคำสุดท้าย ก่อนจะสอบถามจนเข้าใจตรงกันกับตรีวธู และเขาต้องยอมรับว่า ถึงแม้น้องสาวต่างมารดาจะยังเด็ก แต่ก็ฉลาดรู้เอาเรื่อง เพราะอย่างน้อยเธอก็จดจำสถานที่ตั้งของโรงเรียน จนสามารถให้ข้อมูลแก่เขาได้ มากพอที่จะคลำทางไปยังสถานที่แห่งนั้น

ชายหนุ่มวางสายของเด็กหญิงไปแล้ว อดคิดเล่นๆไม่ได้ว่า สมมติ .. ถ้าลูกสาวสุดรักของผู้หญิงคนที่เขาเกลียดชังหายตัวไป .. คนเห็นแก่ตัวพรรค์นั้นจะรู้สึกอย่างไร แล้วเป็นอย่างไรบ้างนะ ..

จะทำให้ร้อนเร่าทุรนทุราย .. เจียนขาดใจตาย .. ได้หรือเปล่า

รอยยิ้มแสยะเผยอขึ้นอย่างไม่น่าดูหากใครสักคนผ่านมาเห็นเข้า แต่เจ้าตัวกลับไม่สนใจว่า มันจะทำร้ายใบหน้าคมคายของตนให้หมองลงหรือไม่

ตอนนี้รวิรุจน์เฝ้ารอวันที่จะได้สร้างความปั่นป่วนแก่ 'ผู้หญิงคนนั้น' ด้วยใจกระหยิ่มลำพอง ทดแทนความเหนื่อยหน่ายในวันที่ไม่ได้เห็นหน้าคนพิเศษในหัวใจของเขา

ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่า ไม่มีอะไรมาทดแทนกันได้ .. แน่นอน





องก์อัมพุทปรับตัวให้เข้ากับเด็กเล็กๆจำนวน ๑๕ คนได้ในเวลาอันรวดเร็ว จนนิรามัยที่หญิงสาวเรียกติดปากว่า 'คุณนิ่ม' เอ่ยชมให้เภตราฟังไม่ขาดสาย ทุกครั้งที่ได้พบกันในพื้นที่บริเวณโรงเรียน

ในช่วงครึ่งวันของวันพุธกลางสัปดาห์ องก์อัมพุทจดจำชื่อนักเรียนตัวน้อยได้ครบหมดทุกคน แถมยังมีพยายามจดจำบุคลิก หรือลักษณะเฉพาะของเด็กแต่ละคนให้ได้ ทั้งๆที่นิรามัยบอกว่า เท่านี้ เธอก็ทำได้ดีเยี่ยมกว่าสมัยที่ตนเพิ่งมาเริ่มงานใหม่ๆแล้ว

"เหนื่อยมั้ยคะ คุณพุด"

"จะบอกว่าไม่ ก็คงพูดได้ไม่เต็มปาก แต่พุดว่าสนุกดีค่ะ .. เด็กๆมีอะไรที่ทำให้คาดไม่ถึงได้ตลอดเวลาเลย"

นิรามัยยิ้มแย้มกับคำตอบไร้การประดิษฐ์ขององก์อัมพุท เธอเคยเจอมานักต่อนักกับคนที่ปั้นแต่งคำตอบสวยหรู แต่จิตใจไม่ได้อ่อนโยนอย่างที่พูดเลยสักนิด นานๆทีจะได้พบคนแบบนี้ .. แบบที่เธอกล้าเรียกได้ว่า จริงใจ .. จริงๆ

"น่าเสียดายนะคะ ที่คุณพุดมาแทนคุณครูคนใหม่ของเราแค่อาทิตย์เดียว ถ้าได้คนที่ดูแลเด็กอย่างเข้าใจมาร่วมงานอีกคน ‘ท่องนที’ คงไม่เป็นรองใครแน่ๆ"

"ชมกันจนพุดอิ่มลูกยอแทนของหวานแล้วค่ะ .. เภา เอ่อ ผอ.ก็ชวนๆเหมือนกัน แต่พุดไม่มีวุฒิทางนี้ เลยไม่กล้ารับปากค่ะ"

องก์อัมพุทปฏิเสธกรายๆถึงเรื่องคุณสมบัติที่ยังขาดไป ขณะสนทนากับนิรามัยอย่างเป็นกันเอง ไม่น่าเชื่อเลยว่า เธอจะเข้ากันได้ดีกับคนที่เพิ่งรู้จักเพียงแค่ ๒-๓ วัน มากกว่าคนที่ทำงานร่วมกันมานานกว่า ๒-๓ ปีที่อาร์อาร์เอส รุ่งเรืองทรัพย์ค้าปลีกเสียอีก

"ต้องขอบคุณคุณเภา ที่เธอมองคนที่ความสามารถค่ะ พูดไปจะหาว่าพี่ยกหางตัวเองก็ยอม ดูสิ พี่จบมาแค่วุฒิปวส. ไม่ได้เรียนต่อเพราะต้องทำงานแบ่งเบาภาระครอบครัว ก็ได้ที่นี่ล่ะที่มองว่าเราจะทำอะไรได้ .. ทำแล้วต้องทำด้วยใจน่ะค่ะ .. พอเป็นแบบนั้น ทุกอย่างมันก็ดีสำหรับพี่จริงๆ"

นิรามัยแทนตัวเองอย่างให้ความคุ้นเคยไม่ต่างกัน และยังบอกเล่าเรื่องราวของตนอย่างไม่ปิดบัง ไร้ร่องรอยของความน้อยเนื้อต่ำใจเรื่องคุณวุฒิทางการศึกษา ในระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูงหรืออนุปริญญา ทั้งนี้ก็เพราะใจที่รักเด็ก .. รักในงานของเธอ

"พุดถือว่าโชคดีนะคะ .. ที่ได้คุณนิ่มคอยให้คำแนะนำ ไม่งั้นก็คงทำอะไรไม่ได้มาก"

"เรียกพี่เถอะค่ะ คุณพุด .. ไม่ต้องมาเกรงอกเกรงใจเรียกคุณกับพี่หรอก .. พี่อยู่ที่นี่มาหลายปี มองคนเก่าไปคนใหม่มาก็ไม่น้อย แต่เชื่อมั้ยคะ คุณครูเด็กเล็กแบบคุณพุดน่ะ นับคนได้เลย .."

"มิน่าล่ะ พอพุดเล่าว่า พี่นิ่มแนะนำงานทุกอย่างจนเข้าใจ และช่วยให้ทำงานง่ายขึ้น เภาก็พูดถึงพี่นิ่มให้ฟังว่า เป็นคนที่เภาชื่นชมยกย่องค่ะ"

องก์อัมพุทคล้อยตามคำขอโดยไม่ขัดข้อง และไม่ได้กล่าวเยินยอเกินความจริงเลย เพราะทุกคำที่บอกไปคือ คำพูดของเภตราทั้งสิ้น

หากแต่นิรามัยก็มีกิริยารับฟังแย้มรอยยิ้มน้อยๆ ไม่แสดงอาการปลื้มปริ่มยินดีจนเกินงาม ด้วยรู้ตัวเองเสมอว่า คำชมนั้นหากใครประสงค์ดีก็ดีไป หาไม่ .. มันก็เป็นบ่อเกิดแห่งคำติฉินนินทาได้ ไม่เว้นแม้ในสังคมโรงเรียนเล็กๆอย่างอนุบาลท่องนที

เมื่อเห็นว่าใกล้ได้เวลานอนช่วงบ่ายของเด็กเล็กๆ ทั้งคุณครูจำเป็นและพี่เลี้ยงผู้ช่วย ต่างก็ชวนกันไปเรียกนักเรียนในความดูแลทั้ง ๑๕ ชีวิต ว่าถึงกิจกรรมประจำวันหลังรับประทานอาหาร และปล่อยให้เล่นสนุกอย่างอิสระในสายตามาประมาณ ๑ ชั่วโมง

"วันนี้ .. คุณครูหนูพุดจะเล่านิทานเรื่องอะไรคะ"

หนึ่งในนักเรียนหญิงตัวน้อยถามขึ้นตามประส เมื่อตนปูที่นอนเสร็จก่อนใคร และแม้ว่าดวงตาเรียวเล็กจะหรี่ปรือ เด็กน้อยก็ยังทำหน้าที่เป็นตัวแทนเพื่อนๆที่กำลังจัดการพื้นที่ของแต่ละคน เพื่อให้ได้ฟังนิทานก่อนนอน

เด็ก .. หิวก็กิน เบื่อก็เล่น ง่วงก็นอน .. สนใจสิ่งใดก็มักทวงถามกันตรงๆ

‘คุณครูหนูพุด’ มองเจ้าของคำถามอย่างอ่อนโยนกับความไร้เดียงสานั้น และต้องอมยิ้มได้ทุกทีที่เด็กๆ เรียกขานเธอตามคำแนะนำตนเองในวันแรกด้วยชื่อนี้ ซึ่งเป็นที่จดจำติดหูติดปากของเด็กๆได้เป็นอย่างดี

"น้องมะระ อยากฟังเรื่องไหนคะ .. คุณครูหนูพุดจะได้คิดก่อนว่า คุณครูหนูพุดเคยอ่านมาหรือยัง"

เด็กหญิงมิรันดาทำท่าครุ่นคิดแล้วก็ยิ้มตาใส ราวกับหายง่วงในนาทีนั้น เอ่ยอย่างมั่นอกมั่นใจว่า นิทานที่เธออยากฟัง เพื่อนๆก็ต้องอยากฟังด้วย

"มะระอยากฟังกระต่ายกับเจ้าหญิงแคระทั้ง ๗ ค่ะ"

แต่คราวนี้ชื่อของนิทานที่ระบุ ทำเอาองก์อัมพุทถึงกับทำหน้าเหลอหลาสุดประมาณกับคำร้องขอนั่น พลางหันมาขอความช่วยเหลือทางนิรามัย ที่รีบซ่อนยิ้มแทบไม่ทันกับนิทานบันลือโลกหลายเรื่อง ซึ่งรวมเข้าไว้เป็นหนึ่งเดียว

"พี่ก็อยากฟังนิทานเรื่องที่น้องมะระบอก .. เหมือนกันค่ะ คุณครูหนูพุด"



เภตราไม่อาจสะกดกลั้นความขบขันกับนิทานเรื่องใหม่ล่าสุดของวงการได้ เธอจึงปลดปล่อยเสียงหัวเราะออกมาต่อหน้าต่อตา อย่างไม่เกรงใจคนที่นั่งหน้าบึ้งหน้างอ ซึ่งกำลังรายงานถึงสิ่งที่ได้ทำในวันนี้ให้ท่านผู้อำนวยการโรงเรียนอนุบาลท่องนทีฟัง จนตัวเองแทบจะกลายเป็นตัวตลกสำหรับเพื่อนไปแล้ว

"โอย .. ยัยคุณครูหนูพุด .. ฉันล่ะ .. ฮ่าๆ .. ขอเวลาขำแกแป๊บ .. นะ ฮ่าๆ"

"นี่พอเลยนะเภา แกไม่ต้องมาหัวเราะเยอะฉัน .. นี่ถ้าไม่ติดว่าเป็นหน้าที่ที่ต้องมารายงานแก ฉันไม่มีทางเล่าให้ใครฟังแน่"

"เอาน่า .. เดี๋ยวพี่นิ่มก็ต้องมาเล่าให้ฉันฟัง .. ดีไม่ดีมีคลิปเคลิปแอบถ่ายประกอบ ฉันคงได้ขำกว่านี้ .. จนขาดใจตายได้นะแก ฮ่าๆ"

แม้องก์อัมพุททำเป็นพูดเสียงเข้มเท่าที่จะทำได้ เพื่อกลบเกลื่อนอารมณ์ขันบรรเจิดในสิ่งที่ทำลงไปไม่ต่างจากที่เพื่อนกำลังเป็นอยู่ ยิ่งพอได้ยินคำขู่ก็ทำให้ไม่สามารถ 'วางฟอร์ม' ได้อีกต่อไป จากสีหน้าที่พยายามปั้นแสนยากเย็น ไม่นานก็หลุดเสียงหัวเราะไร้ความขุ่นมัวออกมา

"แกก็ .. น้องมะระขอมาแบบคุ้มสุดๆ ดีนะว่าฉันพอจะจับเรื่องนั้นมาผูกเรื่องนี้ แต่กว่าจะเล่าจบแทนที่เด็กๆจะง่วง .. ทำไมถึงนั่งมองฉันเล่ากันตาแป๋ว หัวเราะคิกคักได้ยังไงก็ไม่รู้"

"เออ เป็นฉันคงหลับลงหรอก .. คงไม่มีนิทานชาติไหนที่มันจะพิลึกพิลั่นได้เท่า .. กระต่ายกับเจ้าหญิงแคระทั้ง ๗ ของแกอีกแล้ว .. ว่าแต่ แกก็ช่างคิดได้นะ ฮ่าๆ .. ไว้กลับบ้านแกอย่าลืมเล่าให้ฉันฟังบ้างนะ .. อยากฟัง ฮ่าๆ"

ผู้อำนวยการอนุบาลยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดยั้งอารมณ์ขันลงได้ จนคุณครูจำเป็นต้องขึงตาปราม แม้ลึกๆก็ออกจะภูมิใจไม่น้อยกับนิทานด้นสด แต่ว่าคงไม่สามารถประกาศความรู้สึกได้ ไม่เช่นนั้นเธอก็อาจจะพลอยขำไม่เลิกไปด้วยอีกคน

"ไม่มีทาง .. ของดีมีครั้งเดียว"

"โอเคๆ .. เออ .. ว่าจะบอก วันนี้ฉันมีนัด .. งานต้องไปต่อ แกกลับบ้านคนเดียวก่อนนะ .. อาจจะดึกหน่อย ไม่ต้องรอ ปิดบ้านเข้านอนไปเลยก็ได้"

องก์อัมพุทเลิกคิ้วฉงนใจกับ 'งาน' ที่ดูจะกะทันหันของเภตรา แต่ครู่เดียวก็เลิกสนใจเพราะเข้าใจได้ว่า อีกฝ่ายคงลืมบอกเธอ ซึ่งอันที่จริงก็ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องมารายงาน เหมือนกับที่เธอต้องทำเพราะหน้าที่และความจำเป็นบังคับในการทำงาน

"อ๋อ ได้สิ .. มีดื่มมั้ย .. ถ้าแกเมา หรือกลับไม่ไหวโทร.มาบอกด้วยนะ ฉันจะไปรับ .."

"ไม่หรอก .. แกก็รู้ฉันถนัดเมาดิบ ไม่นิยมดื่มจริงเท่าไร .. ถ้าไม่มีใครมาท้าดวล หึหึ"

เภตราตอบเพื่อนอย่างหยอกเย้า แต่หางเสียงนั้น .. มีแต่ตัวเธอเองที่รู้ว่า .. ควรจะรับคำท้าดวลจากใคร

คนฟังระบายยิ้มพยักหน้าแทนคำตอบรับ ก่อนจะลุกขึ้นจากที่นั่งเมื่อหมดธุระในห้องผู้อำนวยการ นึกในใจว่า เย็นวันนี้จะทำอะไรดีระหว่างที่อยู่คนเดียว โดยไม่ได้นึกเฉลียวใจกับคำบอกเล่าที่ไม่ค่อยลื่นไหลของคนช่างพูดอย่าง .. เภตรา





องก์อัมพุทเพิ่งนึกขึ้นมาได้ตอนขับรถออกจากโรงเรียนอนุบาลท่องนทีว่า เมื่อเช้าเภตราบอกให้เธอขับรถมาเอง โดยต่างคนต่างใช้รถของตน ซึ่งก็ยังไม่ได้คิดอะไรมาก เพื่อนว่าอย่างไรก็ว่าตามกัน

แต่พอมีเวลาทบทวนหญิงสาวก็เริ่มจับพิรุธของเพื่อนรักได้ .. ไม่ปกติแน่ๆ

'หรือว่า .. จะเป็นนัดเดทกับหนุ่ม แล้วเอางานมาบังหน้า .. หนอยยัยเภา .. คอยดูเถอะ คืนนี้จะซักให้ขาวเลย ไหนว่า รักเดียวใจเดียวกับพี่ชายฉัน'

ความคิดที่โลดแล่นอย่างไม่จริงจัง กลับสร้างอารมณ์ครื้นเครงได้ไม่น้อย ทั้งที่ในความเป็นจริงก็รู้ทั้งรู้ว่า หญิงสาวที่สดใสและมั่นใจในตัวเองเช่นเภตรา ไม่น่าจะมาปักใจกับผู้ชายที่ตัดความหวังชนิดไม่เหลือเยื่อใยอย่างเมฆพัด .. พี่ชายคนเดียวของเธอเลย

องก์อัมพุทอยากรู้เหลือเกินว่า ผู้หญิงแบบไหนกันที่จะเอาชนะใจคนลึกลับแบบเมฆพัดได้

เหมือนกับที่หญิงสาวเองก็วนเวียนคำถามเดิมๆในภวังค์ของตน .. แล้วเธอล่ะ .. จะสามารถแทรกซึมเข้าไปอยู่ในหัวใจของใครสักคน .. ได้บ้างหรือเปล่าหนอ

ซึ่งจนแล้วจนรอดเธอก็ยังไม่เห็น หรือรู้สึกว่าใคร .. ที่จะทำให้เธอหวั่นไหวได้

นอกจาก ..





วิชชุ์วิธูกำลังก้มๆเงยๆอยู่ตรงริมรั้วซึ่งเป็นจุดกึ่งกลางระหว่างบ้านพฤหัสและเภตรา เมื่อองก์อัมพุทชะลอรถยนต์ของเธอมาจ่อในรัศมีประตูรั้วหน้าบ้าน

ใจหนึ่ง .. อยากรีบๆเปิดประตูรั้ว เข้าบ้านไปไวๆ ไม่อยากรับรู้ .. ไม่อยากเห็นหน้าเขา ให้ตัวเองต้องปวดใจ

อีกใจ .. กลับลังเลคิดไม่ตกว่าควรจะถามไถ่ดีไหม เพราะดูราวกับ เขากำลังค้นหาอะไรบางอย่างที่สำคัญ .. จนไม่อาจละทิ้งไปได้

เหมือนที่เธอ .. ก็ไม่อาจละสายตาจากเขาได้ .. เช่นกัน

ในเมื่อองก์อัมพุทได้ปลดปล่อยความรู้สึกของตนออกไปแล้ว อย่างที่เภตราปลอบใจ .. ในคืนนั้น

วันนี้ .. เธอจะต้องกลัวอะไรกับการเผชิญหน้า กับคนที่พอทำใจให้ยอมรับว่า เขาเป็นแค่ ‘อดีตรักแรกของเด็กสาววัยรุ่น .. คือความเพ้อฝันที่ไม่มีวันเป็นจริง’

หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าลึก .. เรียกความเชื่อมั่นของเธอ ให้เหมือนกับตลอดระยะเวลาในการทำงานที่ผ่านมา

พลันที่ตัดสินใจได้ เธอจึงเปิดประตูก้าวลงจากรถ เดินเข้าไปหาแล้วเริ่มต้นทักทาย .. ทำความรู้จักกันใหม่กับ .. ‘ผู้ชายตรงหน้า’ อีกครั้ง

“สวัสดีค่ะ .. คุณวิชชุ์ .. หาอะไรอยู่หรือคะ .. ให้พุด เอ่อ .. ให้ดิฉันช่วยมั้ยคะ”

วิชชุ์วิธูหยุดการค้นหา ‘บางสิ่ง’ ตั้งแต่เขาได้ยินเสียงเครื่องยนต์ใกล้ตัวเข้ามา กระทั่งยืดตัวยืนตรงหันมองรถคันสีครามหม่นที่จำได้ดีว่าเป็นของใคร และไม่คาดคิดว่าจะได้รับคำทักทายอย่างเป็นกันเอง ที่มาพร้อมการหยิบยื่นน้ำใจจาก .. เธอคนนี้

“สวัสดีครับ .. คุณ .. คุณครูหนูพุด”

น่าแปลก .. เพียงแค่เขาตอบรับคำและเรียกองก์อัมพุทแบบที่ ‘คุณลุงหัส’ เรียกนำทางไว้ เท่านี้ก็ดูเหมือนว่า อะไรๆมันช่างสว่างไสวสดใสในพริบตา

ทว่า อากัปกิริยามองซ้ายทีขวาทีของหญิงสาวช่างคุ้นเคยในสายตา พอๆกับคำพูดที่ซึมซาบในความรู้สึกของวิชชุ์วิธู เพราะมันทำให้เขาเห็นภาพจำเก่าๆเมื่อนานมา .. ในห้องสมุดของโรงเรียน ครั้งที่เขางานล้นมือแต่ขาดคนช่วยแบ่งเบา

องก์อัมพุท .. ยังคงเป็นองก์อัมพุท ที่อยู่ในความประทับใจเสมอไม่เคยเปลี่ยนไป .. แม้แต่นิดเดียว

“คุณวิชชุ์คะ .. ไม่เห็นมีอะไรเลย .. บอกหน่อยได้ไหมว่า คุณกำลังหาอะไรคะ”

โสตประสาทของวิชชุ์วิธูสัมผัสได้ถึงความใส่ใจให้ความช่วยเหลือ จนเขาเผยรอยยักยิ้มจางๆ องก์อัมพุทก็รับรู้ความรู้สึกอ่อนโยนนั้นได้ฉับพลัน แม้มันจะเบาบางเหลือเกิน

“แมวครับ .. ท่าทางจะเป็นลูกแมว ผมได้ยินเสียงร้องแว่วๆ ไม่แน่ใจว่ามาจากไหน เลยเดินเลาะมาเรื่อยๆ จนมาชัดเจนอยู่แถวนี้”

คำตอบจากน้ำเสียงทุ้มนุ่มนวล ที่องก์อัมพุทยังพอจดจำได้ ส่งต่อเรื่องราวให้เธอได้ทราบ หากแต่มีบางอย่างตรงไหนสักแห่งที่ผิดไปจากอาจารย์วิชชุ์วิธูในความทรงจำ .. เธอหลงลืมอะไรไปใช่ไหม ..

แล้ว .. มันคืออะไร?

“เอาอย่างนี้ .. เดี๋ยวพุด .. จะเข้าไปดูในบ้านให้ทั่วๆ ถ้าเจอจะออกมาบอกคุณวิชชุ์ .. ดีมั้ยคะ”

ด้วยเพราะหญิงสาวไม่อาจนิ่งดูดาย คำแทนตัวที่ใช้จึงมาจากความเคยชินมากกว่าเหตุผลอื่น และเลือกหยุดพักความคิดที่แสนสับสนส่วนตัวเอาไว้ แต่มีข้อเสนอเป็นทางเลือกเพื่อจะช่วยเหลือ ‘แมว’ ที่ชายหนุ่มเอ่ยถึง แถมลงทุนมาด้อมๆมองๆเลาะรั้วเพื่อนบ้านอย่างนี้

วิชชุ์วิธูก้มมองดวงหน้าที่ตกแต่งอ่อนบางแต่น่ามอง ผิวแก้มและปลายจมูกสะท้อนเงาดูเป็นมันเล็กน้อย บอกให้ทราบว่า เธอไม่ได้ใส่ใจกับหน้าตาที่ต้องปรุงแต่งก่อนเลิกงาน อย่างสาวออฟฟิศในสำนักงานโครงการหลายๆคน ที่คอยบรรจงแต่งเติมเพื่อให้สวยใสตลอดเวลา

ชายหนุ่มทอดสายตามองอยู่อย่างนั้น จนองก์อัมพุทที่สานสบตารอคำตอบรู้สึกว่า เวลาเหล่านี้เนิ่นนานเกินไป จนต้องกะพริบตาถี่ๆแล้วค่อยเสมองไปทางรถตัวเองสลับกับประตูรั้ว คล้ายส่งสัญญาณให้อีกฝ่ายรู้ตัวว่า เธอกำลังจะดำเนินการอย่างที่บอกเขาในนาทีต่อจากนี้

วิชชุ์วิธูเข้าใจสารที่องก์อัมพุทสื่อ แต่เขาก็ยังไม่บ่ายหน้าไปไหน นอกจากถอยห่างออกมายามที่หญิงสาวหันหลังกลับไปยังพาหนะสีหม่น พร้อมๆกับเปิดประตูรั้วด้วยรีโมทคอนโทรล ก่อนจะติดเครื่องแล้วขับผ่านเข้าไปในเขตลานจอดของบ้าน

องก์อัมพุทยังไม่กล้าดับเครื่องยนต์เมื่อถึงที่หมาย ฉะนั้น เรื่องที่จะเปิดประตูก้าวลงไปยืน .. ยิ่งไม่ต้องพูดถึง

หญิงสาวผลักคันเกียร์ให้อยู่ในตำแหน่งปลอดภัยขณะจอด .. อย่างยากลำบากกว่าที่คิด เพราะมือไม้ของเธอกำลังสั่นเทาและเย็นเฉียบ ซึ่งรับรู้ได้ก็ตอนที่รวบมือเข้าไว้ด้วยกัน

เธอไม่อาจหันกลับไปมองคนที่ยืนรอด้านนอกรั้วได้ .. จนกว่าจังหวะชีพจรและอัตราการเต้นของหัวใจจะสงบ .. เป็นปกติกว่านี้

เขา .. จะรู้บ้างไหมว่า สายตาของเขาที่ทอดมองเธอเห็น .. มันแฝงความอบอุ่นอ่อนโยนไว้มากมายเพียงใด

มากพอ .. จะกวนตะกอนความอ่อนไหวในอารมณ์ให้หวิวหวั่น ทั้งที่คิดว่าระงับยับยั้งมันไว้อย่างดี

แล้วอย่างนี้ .. เมื่อไร เธอจะหักใจ .. ลืมความรักของเธอ ที่เขาไม่เคยรู้ได้เสียที หรือว่า ต้องรอให้เวลานั้นมาถึง ..

เวลาที่ต้องเผยความรู้สึกอันค้างคา .. พร้อมๆกับน้ำตาและความเสียใจ .. เป็นครั้งสุดท้าย

เมื่อต้องยอมรับความจริงเสียทีว่า .. มันไม่มีทางเป็นไปได้สำหรับเธอ











*************************************************************







โปรดติดตามตอนต่อไป ...

ขอขอบคุณทุกท่านที่ติดตาม และขอขอบคุณท่านที่กดไลค์ฮะ



แรมรติ
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 17 มิ.ย. 2558, 22:40:43 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 17 มิ.ย. 2558, 22:40:43 น.

จำนวนการเข้าชม : 1137





<< บทที่ ๗ .. หวง ห่วง และ ...   บทที่ ๙ .. สายสัมพันธ์อันแน่นแฟ้น >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account