พันธกานต์สิเน่หา
งานเขียนนี้เคยตีพิมพ์ในนามปากกาทิตภากร ปัจจุบันต้นฉบับได้รับการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงเพื่อความสมบูรณ์ของเนื้อเรื่องและวางจำหน่ายในรูปแบบ e-book เท่านั้น!!
(เปิดให้ทดลองอ่านบางส่วน)
(เปิดให้ทดลองอ่านบางส่วน)
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: ตอนที่ 2
อันโตนิโอยืนหมุนซ้ายหมุนขวาสำรวจความเรียบร้อยของตัวเองผ่านกระจกบานใหญ่ภายในห้องนอน เขาตื่นเต้นกับคำเชื้อเชิญแสนธรรมดาของกอร์ดอนเสียนี่กระไร ทั้งที่อีกฝ่ายแค่เชิญไปร่วมรับประทานอาหารค่ำ ซึ่งปกติแล้วเวลาไปไหนมาไหน เขาก็ไม่เคยกระตือรือร้นอย่างนี้มาก่อน
แต่เวลานี้อันโตนิโอผู้มาดมั่นกลับไม่มีความมั่นใจในตัวเองเอาเสียเลย เขาพิถีพิถันในการเลือกเสื้อผ้านานนับชั่วโมง เพราะต้องการให้ตัวเองดูดีและเป็นที่ประทับใจกับผู้พบเห็นนับตั้งแต่วินาทีแรกที่ก้าวเข้าไปในคฤหาสน์แบรนเนต
อันโตนิโอมองเงาสะท้อนในกระจกแล้วขยับสูทสีเข้ม นึกขันตัวเองที่จู่ๆ ก็เกิดอาการประหม่าไม่ต่างจากคนเพิ่งหัดเข้าสังคมใหม่ๆ นั่นอาจจะเป็นเพราะค่ำคืนนี้บนโต๊ะอาหารในคฤหาสน์แบรนเนต นอกจากกอร์ดอนประมุขของบ้านยังมีหญิงสาวอีกคนที่จะมาร่วมรับประทานอาหารกับเขา และหล่อนก็เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เขาเกิดอาการเกร็งและว้าวุ่นใจไปหมด
หลายวันก่อนกอร์ดอนโทรมาปรึกษาเรื่องธุรกิจและนัดให้ไปพบที่คฤหาสน์แบรนเนต ขณะกำลังสนทนากันอยู่นั้นเอง สายตาอันโตนิโอที่ทอดยาวผ่านหน้าต่างห้องทำงานของกอร์ดอนก็สะดุดเข้ากับร่างอ้อนแอ้นในชุดกระโปรงลายดอกไม้สีหวานที่นั่งอ่านหนังสือใต้ร่มไม้
ความน่ารักสดใสในตัวหล่อนประหนึ่งดอกไม้แรกแย้มที่เผยอกลีบหยอกล้อตะวัน เพียงแค่เห็นแวบเดียว หัวใจเขาก็พลันชุ่มชื่นและสั่นไหวอย่างประหลาด ไม่อยากเชื่อเลยว่าผู้หญิงตัวเล็กๆ คนนั้นจะทำให้หนุ่มนักรักอย่างเขาหัวใจกระตุก ตกหลุมรักและอยากเป็นทาสหล่อนตั้งแต่แรกเห็น
“นั่นใครเหรอ?”
คำถามนั้นทำลายภวังค์กอร์ดอนให้เงยหน้าจากกองเอกสาร ครั้นพบว่าอันโตนิโอกำลังให้ความสนใจอะไรบางอย่างนอกหน้าต่างก็ลุกเดินไปหยุดยืนอยู่เบื้องหลัง พลางทอดสายตามองตาม
“อ๋อ...เพนนี น้องสาวผมเอง”
“ผมไม่เคยรู้มาก่อนว่าคุณก็มีน้องสาวด้วย” อันโตนิโอหันหน้ากลับมามอง เพียงแค่สบสายตา...กอร์ดอนก็อ่านความคิดของหุ้นส่วนหนุ่มออก นั่นอาจจะเป็นเพราะต่างฝ่ายต่างก็เป็นผู้ชายด้วยกันก็เป็นได้
“สนเหรอ?”
อันโตนิโอไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธในทันที แต่หันมองร่างบางในสวนสวยอีกครั้ง พลางครุ่นคิดคำตอบที่กอร์ดอนส่งคำถามมาหยั่งเชิง ก่อนจะละสายตามายืนล้วงกระเป๋าอิงไหล่กับขอบหน้าต่างในอิริยาบถสบายๆ
“เคยได้ยินคำนี้ไหม สมภารไม่กินไก่วัด”
“ตอบไม่สมกับเป็นคุณเลยนะอันโตนิโอ” กอร์ดอนหัวเราะในลำคอ ใช่ว่าจะไม่รู้ประวัติหุ้นส่วนหนุ่มนักรักคนนี้ แต่เขาไม่คิดว่าจะได้ยินคำพูดนั้นหลุดจากปากเสือผู้หญิงตัวฉกาจ ทั้งที่เขายื่นชิ้นเนื้อให้ตรงหน้า
“พอดีผมไม่อยากหาเรื่องใส่ตัว ก็เลยไม่นิยมยุ่งเกี่ยวกับญาติพี่น้องของคนที่ทำธุรกิจด้วยกัน”
“แล้วถ้าผมมีข้อเสนอดีๆ คุณจะรับไว้พิจารณาไหม”
“หมายความว่ายังไง?”
“ก็ไม่มีอะไรหรอก ผมก็แค่คิดว่าตำแหน่งประธานบริษัทแบรนเนตดูเหมาะสมกับคุณดี ถ้าคุณโอเค ผมจะได้ไม่ต้องยุ่งยากหาผู้ชายมาแต่งงานกับยัยเพนนี”
อันโตนิโอหรี่ตามอง คิดไม่ถึงว่าปีศาจร้ายในคราบนักบุญผู้ไม่เคยรู้จักคำว่าชั่วดีอย่างกอร์ดอนจะมีความคิดพิลึกพิลั่น หากหนึ่งในข้อเสนอนั้นไม่มีเพนนีมาเกี่ยวข้อง วันนั้นเขาคงปฏิเสธในทันที เพราะลำพังตัวเขาเองก็มีทรัพย์สินไม่ด้อยกว่าตระกูลแบรนเนต เรื่องผลประโยชน์ไม่ต้องพูดถึงเพราะไม่ใช่ประเด็นหลัก แต่ที่ต้องคิดหนัก เพราะไม่เข้าใจและใคร่รู้จุดประสงค์ของกอร์ดอน ทำไมหมอนั่นถึงกระตือรือร้นให้เขาแต่งงานกับเพนนี ซ้ำยังจัดโปรโมชั่นลดแหลกแจกแถมเหมือนอยากเร่ขาย ทั้งที่หล่อนก็อายุอานามไม่เท่าไหร่
หรือจะมีเบื้องลึกเบื้องหลังอะไรที่เขาไม่รู้...
ถ้าจะว่าไปแล้วตระกลูแบรนเนตก็ทำธุรกิจมานาน กิจการเจริญเติบโตมั่นคงและเป็นที่รู้จักกว้างขวาง เรื่องการเงินคงไม่ใช่ปัญหา จะมีก็แต่เรื่องกอร์ดอนไม่สันทัดการบริหารงาน คงเป็นเพราะเหตุผลนี้กระมังถึงได้ยื่นข้อเสนอให้เขาได้รับได้สิทธิ์ในการบริหารบริษัทซึ่งรับช่วงต่อมาจากบิดา หมอนั่นคงต้องการโยกย้ายถ่ายเทอำนาจที่มีอยู่ในมือให้ใครสักคน แต่ต้องเป็นคนในครอบครัวเท่านั้น!
แม้เหตุผลนี้จะฟังเข้าที แต่ไม่เข้าท่าในสายตาของอันโตนิโอ ถึงแม้เขาจะสนใจเพนนี แต่ก็ไม่อยากเป็นคนโง่ในสายตาใคร เขาต้องมั่นใจเสียก่อนว่าไม่ได้ถูกหลอกให้แต่งงานเพื่อปกปิดเรื่องเสียหายของน้องสาวหมอนั่น วันนั้นเขาถึงไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ แต่เลือกที่จะเบี่ยงประเด็นคล้ายจะประวิงเวลา เพราะอดระแวงไม่ได้
“รถพร้อมแล้วครับ เราจะไปกันเลยไหม?”
เสียงหนึ่งที่ดังขึ้นทำลายภวังค์อันโตนิโอที่กำลังคิดอะไรเพลินๆ ครั้นหันมองเห็นปีร์โลบอดี้การ์ดส่วนตัวยืนยิ้มโชว์ฟันขาวอยู่เบื้องหลังก็ท้วงเสียงเข้ม
“ไม่ใช่เรา แต่เป็นผมคนเดียวต่างหาก”
“อ้าว...ทำไมล่ะครับ” ปีร์โลหัวคิ้วขมวดมุ่นขึ้นมาทันที
“ผมอยากขับรถไปเองมากกว่า”
“จะดีเหรอครับ คุณก็ทราบว่ากอร์ดอนไม่ใช่คนตรงไปตรงมา ถ้าลองหมอนั่นพุ่งเป้ามาที่คุณแล้วละก็ คงไม่ยอมวางมือง่ายๆ แต่คงทำทุกวิถีทางให้คุณตกหลุมพรางจนได้”
“เรื่องนั้นผมทราบดี”
“คุณรู้ว่าเสี่ยง แล้วยังจะไปคนเดียวอีกเหรอครับ”
“ผมก็แค่ไปทานมื้อค่ำ เราอาจจะคุยเรื่องธุรกิจกันอีกนิดหน่อย ก็ไม่เห็นมีอะไรต้องกังวลเลยนี่นา”
“แต่...”
“ไม่เอาน่าปีร์โล ผมไม่ใช่เด็กอ่อนหัดที่ไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ไอ้แผนการตื้นๆ ของกอร์ดอนใช้กับผมไม่ได้หรอก ที่ผ่านมา...คุณก็เห็นว่าผมระวังตัวแค่ไหน” อันโตนิโอคุยโว
แม้เขาจะชื่นชอบการมีเซ็กซ์กับพวกสาวๆ ที่รายล้อมรอบตัว จนได้ชื่อว่าเป็นหนุ่มนักรักร้อนแรงที่สุดแห่งทศวรรษ แต่เขาก็ไว้ตัวและรักษาระยะห่างเพื่อคงความเป็นส่วนตัวบนพื้นฐานของความสนุกตามประสาผู้ชายที่รักชีวิตอิสระ ซึ่งแน่นอนว่าไร้ข้อผูกมัดและพันธนาการใดๆ
ถ้าเปรียบอันโตนิโอกับสายลม เขาก็เป็นทอร์นาโดลูกโตที่พร้อมจะถาโถมเข้าถล่มเมือง เยือกเย็น สุขุม อ่อนโยน แต่ก็ร้อนแรงในเวลาเดียวกัน เขาไม่เคยหยุดนิ่ง ไม่มีใครมัดใจเขาได้ ไม่ว่าผู้หญิงคนนั้นจะสวยเลิศเลอหรือร้อยเล่ห์มากมารยาแค่ไหน เพราะตราบใดที่หัวใจยังโหยหาอิสระ เขาก็ไม่คิดจะลงหลักปักฐานกับใคร
“ผมทราบครับ แต่คุณไม่ควรชะล่าใจ” ปีร์โลเตือน
เขาคงไม่กังวลใจ หากสองสามวันมานี้อันโตนิโอจะไม่สั่งให้ขับรถวนรอบคฤหาสน์แบรนเนต เพราะต้องการเห็นหน้าน้องสาวของกอร์ดอน ซึ่งปกติแล้วเจ้านายเขาไม่เคยให้ความสนใจผู้หญิงคนไหนเป็นพิเศษ ก็เกรงว่าอันโตนิโอจะพลาดท่าเสียที
“อย่าห่วงเลยน่า ไม่มีใครทำอะไรผมได้หรอก ถ้าผมไม่เต็มใจ” อันโตนิโอตบไหล่บอดี้การ์ดร่างยักษ์ ทิ้งคำพูดไว้แค่นั้นแล้วก้าวออกจากห้องไป ปล่อยให้คนมองตามได้แต่ทอดถอนใจ...
“เข้ามาสิ! จะมัวยืนทำอะไรอยู่”
น้ำเสียงเจือความหงุดหงิดที่หลุดจากปากกอร์ดอนประมุขของบ้านกับสายตาดุๆ ฉุดให้คนยืนเก้กังกำลังชั่งใจอย่างเพนนีต้องก้าวเข้าไปในห้องอาหาร แม้ใจหล่อนจะเต้นแรงและรัวจนจับจังหวะไม่ถูก ถึงกระนั้นก็บังคับปลายเท้าตัวเองไม่ให้สั่น ก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง
ครั้นเดินมาถึงโต๊ะอาหารก็หยุดสายตาไว้ที่ประมุขของบ้าน โดยไม่สนใจผู้มาเยือนอย่างอันโตนิโอที่จับตามองหล่อนทุกฝีก้าว แต่เขาก็ลุกขึ้นยืนเต็มความสูงเรียกร้องความสนใจจากหล่อน
“สวัสดีครับ ผมอันโตนิโอ เดล เปอริโก้”
เพนนีหันมอง ก็พบว่าอันโตนิโอกำลังสะกดหล่อนด้วยรอยยิ้มทรงเสน่ห์ และท่าทางองอาจผึ่งผายแลมั่นใจในตัวเองอย่างคนเจนสังคมที่ได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี
“ยินดีที่ได้รู้จักครับ”
เพนนีมองมือที่ยื่นมาทักทายตรงหน้าแล้วตวัดสายตาขึ้นสบกับนัยน์ตาคมเข้ม ครั้นเห็นเขากำลังสำรวจเครื่องหน้าหล่อน ไล่ไปตั้งแต่ดวงตา ปลายจมูกเชิดรั้น จนกระทั่งมาหยุดที่กลีบปากนวลนุ่ม จ้องมองเนิ่นนานราวกับต้องการลิ้มรสหวานละมุน หล่อนก็เม้มริมฝีปากเข้าหากันโดยอัตโนมัติ ลมหายใจเหมือนจะติดขัดขึ้นมา
“ไร้มารยาทเสียจริง! ไม่ได้ยินที่อันโตนิโอเขาทักทายหรือไง”
น้ำเสียงไม่เบานักของกอร์ดอนฉุดเพนนีให้หลุดจากภวังค์ ครั้นรู้ตัวว่ายืนจ้องอันโตนิโอจนเสียกริยาก็นึกกระดากอายจนหน้าแดงซ่าน ถึงกระนั้นก็ปกปิดความหวั่นไหว ด้วยการรักษาระดับน้ำเสียงให้เป็นปกติแล้วยื่นมือออกไปสัมผัสกับเขาตามธรรมเนียม
“พ...เพนนีค่ะ”
อันโตนิโอเผยยิ้มทรงเสน่ห์ เขาเคยชินกับการเห็นสาวๆ ออกอาการประหม่าเวลาอยู่ต่อหน้าจนเห็นเป็นเรื่องปกติ แต่สำหรับรายนี้...หล่อนน่ารักน่าใคร่ทำให้เขาหลงใหลตั้งแต่แรกเห็น นึกสนุกคิดจะรุกต่ออีกนิด มือที่กระชับมือเรียวก็รั้งขึ้นจรดริมฝีปาก แทนที่จะดึงมือกลับหลังจากทักทายกันตามธรรมเนียม
ทันทีที่ริมฝีปากของอันโตนิโอแตะแต้มลงบนหลังมือนุ่ม เพนนีก็รีบดึงมือกลับอย่างสุภาพ ร้อนวูบวาบไปทั้งตัว ราวกับริมฝีปากเขามีประจุไฟฟ้าพลังมหาศาลที่ส่งผ่านความร้อนมาสู่กายหล่อน แขนขาทำท่าจะหมดแรงเอาดื้อๆ จนต้องทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาหล่อนก็นั่งก้มหน้างุด ทำสมาธิจดจ่อกับจานอาหารตรงหน้า ราวกับมันเป็นสิ่งสำคัญที่สุดก็ว่าได้
“รู้จักกันไว้ก็ดีแล้ว ต่อไปจะได้...”
กอร์ดอนพร่ำพูดยาวเหยียด แต่เพนนีปล่อยให้คำพูดเหล่านั้นผ่านเข้าหู โดยไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่าพี่ชายตัวดีพูดว่าอะไร ถึงกระนั้นก็พยักหน้าตอบรับเป็นครั้งคราว ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมอง เพราะทุกครั้งที่ทำเช่นนั้น ก็จะพบว่าอันโตนิโอที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามส่งสายตาร้อนแรงมาที่หล่อนจนหนาวๆ ร้อนๆ ไปทั้งตัว
เพนนีได้แต่ภาวนาขอให้การรับประทานอาหารมื้อนี้จบลงเสียที หล่อนไม่อยากตกเป็นเป้าสายตา แต่ทุกนาทีกลับผ่านไปอย่างเชื่องช้า ราวกับพระเจ้ากลั่นแกล้งให้จมอยู่กับช่วงเวลาที่แสนอึดอัด และอีกนานทีเดียวกว่าอันโตนิโอจะขอตัวกลับ
“ผมหวังว่าเราคงจะได้พบกันอีก”
“เช่นกันค่ะ แต่ตอนนี้คุณควรจะรีบกลับดีกว่า ฝนตั้งเค้ามาแล้ว ไม่รู้พายุจะเข้าหรือเปล่า เดี๋ยวจะขับรถกลับลำบากนะคะ” เพนนียิ้มให้ตามมารยาท ดีใจนักหนาที่อันโตนิโอจะกลับไปเสียที หล่อนจะได้หายใจหายคอสะดวกขึ้น
“ครับ แล้วพบกันนะครับ”
อันโตนิโอโปรยยิ้มทรงเสน่ห์ พลางค้อมศีรษะลงเล็กน้อยอย่างให้เกียรติ ก้าวขึ้นรถคันหรูอย่างอารมณ์ดี เพราะคิดว่าเพนนีเป็นห่วง ก็วาดหวังว่าคืนนี้หล่อนจะเก็บเขาเอาไปนอนฝัน โดยไม่ได้เอะใจสักนิดว่าเจ้าของบ้านสาวออกปากไล่อย่างแยบยล
แต่เวลานี้อันโตนิโอผู้มาดมั่นกลับไม่มีความมั่นใจในตัวเองเอาเสียเลย เขาพิถีพิถันในการเลือกเสื้อผ้านานนับชั่วโมง เพราะต้องการให้ตัวเองดูดีและเป็นที่ประทับใจกับผู้พบเห็นนับตั้งแต่วินาทีแรกที่ก้าวเข้าไปในคฤหาสน์แบรนเนต
อันโตนิโอมองเงาสะท้อนในกระจกแล้วขยับสูทสีเข้ม นึกขันตัวเองที่จู่ๆ ก็เกิดอาการประหม่าไม่ต่างจากคนเพิ่งหัดเข้าสังคมใหม่ๆ นั่นอาจจะเป็นเพราะค่ำคืนนี้บนโต๊ะอาหารในคฤหาสน์แบรนเนต นอกจากกอร์ดอนประมุขของบ้านยังมีหญิงสาวอีกคนที่จะมาร่วมรับประทานอาหารกับเขา และหล่อนก็เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เขาเกิดอาการเกร็งและว้าวุ่นใจไปหมด
หลายวันก่อนกอร์ดอนโทรมาปรึกษาเรื่องธุรกิจและนัดให้ไปพบที่คฤหาสน์แบรนเนต ขณะกำลังสนทนากันอยู่นั้นเอง สายตาอันโตนิโอที่ทอดยาวผ่านหน้าต่างห้องทำงานของกอร์ดอนก็สะดุดเข้ากับร่างอ้อนแอ้นในชุดกระโปรงลายดอกไม้สีหวานที่นั่งอ่านหนังสือใต้ร่มไม้
ความน่ารักสดใสในตัวหล่อนประหนึ่งดอกไม้แรกแย้มที่เผยอกลีบหยอกล้อตะวัน เพียงแค่เห็นแวบเดียว หัวใจเขาก็พลันชุ่มชื่นและสั่นไหวอย่างประหลาด ไม่อยากเชื่อเลยว่าผู้หญิงตัวเล็กๆ คนนั้นจะทำให้หนุ่มนักรักอย่างเขาหัวใจกระตุก ตกหลุมรักและอยากเป็นทาสหล่อนตั้งแต่แรกเห็น
“นั่นใครเหรอ?”
คำถามนั้นทำลายภวังค์กอร์ดอนให้เงยหน้าจากกองเอกสาร ครั้นพบว่าอันโตนิโอกำลังให้ความสนใจอะไรบางอย่างนอกหน้าต่างก็ลุกเดินไปหยุดยืนอยู่เบื้องหลัง พลางทอดสายตามองตาม
“อ๋อ...เพนนี น้องสาวผมเอง”
“ผมไม่เคยรู้มาก่อนว่าคุณก็มีน้องสาวด้วย” อันโตนิโอหันหน้ากลับมามอง เพียงแค่สบสายตา...กอร์ดอนก็อ่านความคิดของหุ้นส่วนหนุ่มออก นั่นอาจจะเป็นเพราะต่างฝ่ายต่างก็เป็นผู้ชายด้วยกันก็เป็นได้
“สนเหรอ?”
อันโตนิโอไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธในทันที แต่หันมองร่างบางในสวนสวยอีกครั้ง พลางครุ่นคิดคำตอบที่กอร์ดอนส่งคำถามมาหยั่งเชิง ก่อนจะละสายตามายืนล้วงกระเป๋าอิงไหล่กับขอบหน้าต่างในอิริยาบถสบายๆ
“เคยได้ยินคำนี้ไหม สมภารไม่กินไก่วัด”
“ตอบไม่สมกับเป็นคุณเลยนะอันโตนิโอ” กอร์ดอนหัวเราะในลำคอ ใช่ว่าจะไม่รู้ประวัติหุ้นส่วนหนุ่มนักรักคนนี้ แต่เขาไม่คิดว่าจะได้ยินคำพูดนั้นหลุดจากปากเสือผู้หญิงตัวฉกาจ ทั้งที่เขายื่นชิ้นเนื้อให้ตรงหน้า
“พอดีผมไม่อยากหาเรื่องใส่ตัว ก็เลยไม่นิยมยุ่งเกี่ยวกับญาติพี่น้องของคนที่ทำธุรกิจด้วยกัน”
“แล้วถ้าผมมีข้อเสนอดีๆ คุณจะรับไว้พิจารณาไหม”
“หมายความว่ายังไง?”
“ก็ไม่มีอะไรหรอก ผมก็แค่คิดว่าตำแหน่งประธานบริษัทแบรนเนตดูเหมาะสมกับคุณดี ถ้าคุณโอเค ผมจะได้ไม่ต้องยุ่งยากหาผู้ชายมาแต่งงานกับยัยเพนนี”
อันโตนิโอหรี่ตามอง คิดไม่ถึงว่าปีศาจร้ายในคราบนักบุญผู้ไม่เคยรู้จักคำว่าชั่วดีอย่างกอร์ดอนจะมีความคิดพิลึกพิลั่น หากหนึ่งในข้อเสนอนั้นไม่มีเพนนีมาเกี่ยวข้อง วันนั้นเขาคงปฏิเสธในทันที เพราะลำพังตัวเขาเองก็มีทรัพย์สินไม่ด้อยกว่าตระกูลแบรนเนต เรื่องผลประโยชน์ไม่ต้องพูดถึงเพราะไม่ใช่ประเด็นหลัก แต่ที่ต้องคิดหนัก เพราะไม่เข้าใจและใคร่รู้จุดประสงค์ของกอร์ดอน ทำไมหมอนั่นถึงกระตือรือร้นให้เขาแต่งงานกับเพนนี ซ้ำยังจัดโปรโมชั่นลดแหลกแจกแถมเหมือนอยากเร่ขาย ทั้งที่หล่อนก็อายุอานามไม่เท่าไหร่
หรือจะมีเบื้องลึกเบื้องหลังอะไรที่เขาไม่รู้...
ถ้าจะว่าไปแล้วตระกลูแบรนเนตก็ทำธุรกิจมานาน กิจการเจริญเติบโตมั่นคงและเป็นที่รู้จักกว้างขวาง เรื่องการเงินคงไม่ใช่ปัญหา จะมีก็แต่เรื่องกอร์ดอนไม่สันทัดการบริหารงาน คงเป็นเพราะเหตุผลนี้กระมังถึงได้ยื่นข้อเสนอให้เขาได้รับได้สิทธิ์ในการบริหารบริษัทซึ่งรับช่วงต่อมาจากบิดา หมอนั่นคงต้องการโยกย้ายถ่ายเทอำนาจที่มีอยู่ในมือให้ใครสักคน แต่ต้องเป็นคนในครอบครัวเท่านั้น!
แม้เหตุผลนี้จะฟังเข้าที แต่ไม่เข้าท่าในสายตาของอันโตนิโอ ถึงแม้เขาจะสนใจเพนนี แต่ก็ไม่อยากเป็นคนโง่ในสายตาใคร เขาต้องมั่นใจเสียก่อนว่าไม่ได้ถูกหลอกให้แต่งงานเพื่อปกปิดเรื่องเสียหายของน้องสาวหมอนั่น วันนั้นเขาถึงไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ แต่เลือกที่จะเบี่ยงประเด็นคล้ายจะประวิงเวลา เพราะอดระแวงไม่ได้
“รถพร้อมแล้วครับ เราจะไปกันเลยไหม?”
เสียงหนึ่งที่ดังขึ้นทำลายภวังค์อันโตนิโอที่กำลังคิดอะไรเพลินๆ ครั้นหันมองเห็นปีร์โลบอดี้การ์ดส่วนตัวยืนยิ้มโชว์ฟันขาวอยู่เบื้องหลังก็ท้วงเสียงเข้ม
“ไม่ใช่เรา แต่เป็นผมคนเดียวต่างหาก”
“อ้าว...ทำไมล่ะครับ” ปีร์โลหัวคิ้วขมวดมุ่นขึ้นมาทันที
“ผมอยากขับรถไปเองมากกว่า”
“จะดีเหรอครับ คุณก็ทราบว่ากอร์ดอนไม่ใช่คนตรงไปตรงมา ถ้าลองหมอนั่นพุ่งเป้ามาที่คุณแล้วละก็ คงไม่ยอมวางมือง่ายๆ แต่คงทำทุกวิถีทางให้คุณตกหลุมพรางจนได้”
“เรื่องนั้นผมทราบดี”
“คุณรู้ว่าเสี่ยง แล้วยังจะไปคนเดียวอีกเหรอครับ”
“ผมก็แค่ไปทานมื้อค่ำ เราอาจจะคุยเรื่องธุรกิจกันอีกนิดหน่อย ก็ไม่เห็นมีอะไรต้องกังวลเลยนี่นา”
“แต่...”
“ไม่เอาน่าปีร์โล ผมไม่ใช่เด็กอ่อนหัดที่ไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ไอ้แผนการตื้นๆ ของกอร์ดอนใช้กับผมไม่ได้หรอก ที่ผ่านมา...คุณก็เห็นว่าผมระวังตัวแค่ไหน” อันโตนิโอคุยโว
แม้เขาจะชื่นชอบการมีเซ็กซ์กับพวกสาวๆ ที่รายล้อมรอบตัว จนได้ชื่อว่าเป็นหนุ่มนักรักร้อนแรงที่สุดแห่งทศวรรษ แต่เขาก็ไว้ตัวและรักษาระยะห่างเพื่อคงความเป็นส่วนตัวบนพื้นฐานของความสนุกตามประสาผู้ชายที่รักชีวิตอิสระ ซึ่งแน่นอนว่าไร้ข้อผูกมัดและพันธนาการใดๆ
ถ้าเปรียบอันโตนิโอกับสายลม เขาก็เป็นทอร์นาโดลูกโตที่พร้อมจะถาโถมเข้าถล่มเมือง เยือกเย็น สุขุม อ่อนโยน แต่ก็ร้อนแรงในเวลาเดียวกัน เขาไม่เคยหยุดนิ่ง ไม่มีใครมัดใจเขาได้ ไม่ว่าผู้หญิงคนนั้นจะสวยเลิศเลอหรือร้อยเล่ห์มากมารยาแค่ไหน เพราะตราบใดที่หัวใจยังโหยหาอิสระ เขาก็ไม่คิดจะลงหลักปักฐานกับใคร
“ผมทราบครับ แต่คุณไม่ควรชะล่าใจ” ปีร์โลเตือน
เขาคงไม่กังวลใจ หากสองสามวันมานี้อันโตนิโอจะไม่สั่งให้ขับรถวนรอบคฤหาสน์แบรนเนต เพราะต้องการเห็นหน้าน้องสาวของกอร์ดอน ซึ่งปกติแล้วเจ้านายเขาไม่เคยให้ความสนใจผู้หญิงคนไหนเป็นพิเศษ ก็เกรงว่าอันโตนิโอจะพลาดท่าเสียที
“อย่าห่วงเลยน่า ไม่มีใครทำอะไรผมได้หรอก ถ้าผมไม่เต็มใจ” อันโตนิโอตบไหล่บอดี้การ์ดร่างยักษ์ ทิ้งคำพูดไว้แค่นั้นแล้วก้าวออกจากห้องไป ปล่อยให้คนมองตามได้แต่ทอดถอนใจ...
“เข้ามาสิ! จะมัวยืนทำอะไรอยู่”
น้ำเสียงเจือความหงุดหงิดที่หลุดจากปากกอร์ดอนประมุขของบ้านกับสายตาดุๆ ฉุดให้คนยืนเก้กังกำลังชั่งใจอย่างเพนนีต้องก้าวเข้าไปในห้องอาหาร แม้ใจหล่อนจะเต้นแรงและรัวจนจับจังหวะไม่ถูก ถึงกระนั้นก็บังคับปลายเท้าตัวเองไม่ให้สั่น ก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง
ครั้นเดินมาถึงโต๊ะอาหารก็หยุดสายตาไว้ที่ประมุขของบ้าน โดยไม่สนใจผู้มาเยือนอย่างอันโตนิโอที่จับตามองหล่อนทุกฝีก้าว แต่เขาก็ลุกขึ้นยืนเต็มความสูงเรียกร้องความสนใจจากหล่อน
“สวัสดีครับ ผมอันโตนิโอ เดล เปอริโก้”
เพนนีหันมอง ก็พบว่าอันโตนิโอกำลังสะกดหล่อนด้วยรอยยิ้มทรงเสน่ห์ และท่าทางองอาจผึ่งผายแลมั่นใจในตัวเองอย่างคนเจนสังคมที่ได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี
“ยินดีที่ได้รู้จักครับ”
เพนนีมองมือที่ยื่นมาทักทายตรงหน้าแล้วตวัดสายตาขึ้นสบกับนัยน์ตาคมเข้ม ครั้นเห็นเขากำลังสำรวจเครื่องหน้าหล่อน ไล่ไปตั้งแต่ดวงตา ปลายจมูกเชิดรั้น จนกระทั่งมาหยุดที่กลีบปากนวลนุ่ม จ้องมองเนิ่นนานราวกับต้องการลิ้มรสหวานละมุน หล่อนก็เม้มริมฝีปากเข้าหากันโดยอัตโนมัติ ลมหายใจเหมือนจะติดขัดขึ้นมา
“ไร้มารยาทเสียจริง! ไม่ได้ยินที่อันโตนิโอเขาทักทายหรือไง”
น้ำเสียงไม่เบานักของกอร์ดอนฉุดเพนนีให้หลุดจากภวังค์ ครั้นรู้ตัวว่ายืนจ้องอันโตนิโอจนเสียกริยาก็นึกกระดากอายจนหน้าแดงซ่าน ถึงกระนั้นก็ปกปิดความหวั่นไหว ด้วยการรักษาระดับน้ำเสียงให้เป็นปกติแล้วยื่นมือออกไปสัมผัสกับเขาตามธรรมเนียม
“พ...เพนนีค่ะ”
อันโตนิโอเผยยิ้มทรงเสน่ห์ เขาเคยชินกับการเห็นสาวๆ ออกอาการประหม่าเวลาอยู่ต่อหน้าจนเห็นเป็นเรื่องปกติ แต่สำหรับรายนี้...หล่อนน่ารักน่าใคร่ทำให้เขาหลงใหลตั้งแต่แรกเห็น นึกสนุกคิดจะรุกต่ออีกนิด มือที่กระชับมือเรียวก็รั้งขึ้นจรดริมฝีปาก แทนที่จะดึงมือกลับหลังจากทักทายกันตามธรรมเนียม
ทันทีที่ริมฝีปากของอันโตนิโอแตะแต้มลงบนหลังมือนุ่ม เพนนีก็รีบดึงมือกลับอย่างสุภาพ ร้อนวูบวาบไปทั้งตัว ราวกับริมฝีปากเขามีประจุไฟฟ้าพลังมหาศาลที่ส่งผ่านความร้อนมาสู่กายหล่อน แขนขาทำท่าจะหมดแรงเอาดื้อๆ จนต้องทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาหล่อนก็นั่งก้มหน้างุด ทำสมาธิจดจ่อกับจานอาหารตรงหน้า ราวกับมันเป็นสิ่งสำคัญที่สุดก็ว่าได้
“รู้จักกันไว้ก็ดีแล้ว ต่อไปจะได้...”
กอร์ดอนพร่ำพูดยาวเหยียด แต่เพนนีปล่อยให้คำพูดเหล่านั้นผ่านเข้าหู โดยไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่าพี่ชายตัวดีพูดว่าอะไร ถึงกระนั้นก็พยักหน้าตอบรับเป็นครั้งคราว ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมอง เพราะทุกครั้งที่ทำเช่นนั้น ก็จะพบว่าอันโตนิโอที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามส่งสายตาร้อนแรงมาที่หล่อนจนหนาวๆ ร้อนๆ ไปทั้งตัว
เพนนีได้แต่ภาวนาขอให้การรับประทานอาหารมื้อนี้จบลงเสียที หล่อนไม่อยากตกเป็นเป้าสายตา แต่ทุกนาทีกลับผ่านไปอย่างเชื่องช้า ราวกับพระเจ้ากลั่นแกล้งให้จมอยู่กับช่วงเวลาที่แสนอึดอัด และอีกนานทีเดียวกว่าอันโตนิโอจะขอตัวกลับ
“ผมหวังว่าเราคงจะได้พบกันอีก”
“เช่นกันค่ะ แต่ตอนนี้คุณควรจะรีบกลับดีกว่า ฝนตั้งเค้ามาแล้ว ไม่รู้พายุจะเข้าหรือเปล่า เดี๋ยวจะขับรถกลับลำบากนะคะ” เพนนียิ้มให้ตามมารยาท ดีใจนักหนาที่อันโตนิโอจะกลับไปเสียที หล่อนจะได้หายใจหายคอสะดวกขึ้น
“ครับ แล้วพบกันนะครับ”
อันโตนิโอโปรยยิ้มทรงเสน่ห์ พลางค้อมศีรษะลงเล็กน้อยอย่างให้เกียรติ ก้าวขึ้นรถคันหรูอย่างอารมณ์ดี เพราะคิดว่าเพนนีเป็นห่วง ก็วาดหวังว่าคืนนี้หล่อนจะเก็บเขาเอาไปนอนฝัน โดยไม่ได้เอะใจสักนิดว่าเจ้าของบ้านสาวออกปากไล่อย่างแยบยล
กันต์ระพี
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 14 มิ.ย. 2558, 10:30:05 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 14 มิ.ย. 2558, 10:30:05 น.
จำนวนการเข้าชม : 1531
<< ตอนที่ 1 | ตอนที่ 3 >> |