พันธกานต์สิเน่หา
งานเขียนนี้เคยตีพิมพ์ในนามปากกาทิตภากร ปัจจุบันต้นฉบับได้รับการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงเพื่อความสมบูรณ์ของเนื้อเรื่องและวางจำหน่ายในรูปแบบ e-book เท่านั้น!!
(เปิดให้ทดลองอ่านบางส่วน)
(เปิดให้ทดลองอ่านบางส่วน)
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: ตอนที่ 3
คล้อยหลังรถคันหรู เพนนีก็ถอนหายใจออกมา เบื่อหน่ายที่ต้องปั้นหน้าต้อนรับแขกไม่พึงประสงค์ ครั้นละสายตาจากไฟท้ายรถที่เคลื่อนห่างออกไปก็เดินกลับเข้าไปในคฤหาสน์ แต่ก็ต้องชะงัก เมื่อเห็นพี่ชายตัวดียืนทำหน้ายักษ์ขวางทางอยู่
“แกมีปัญญาทำได้แค่นี้เองเหรอ มารยาหญิงน่ะมีไหม ทำไมไม่รู้จักงัดเอามาใช้เสียบ้าง นี่อะไร...เอาแต่นั่งบื้อเป็นนังใบ้ ไม่ได้เรื่อง!” กอร์ดอนกระชากแขนเรียวแล้วออกแรงบีบอย่างลืมตัว นึกโมโหน้องสาวที่ทำอะไรไม่ได้ดั่งใจ จนเจ้าตัวต้องหลุดเสียงประท้วงออกมา
“โอ๊ยย...ย! พี่กอร์ดอน เพนนีเจ็บนะ”
“เจ็บสิดี แกจะได้ฉลาดขึ้นมาบ้าง”
“แล้วเพนนีทำอะไรผิดล่ะ”
“นี่ยังไม่รู้ตัวอีกเหรอนังโง่ ให้ตายสิ! ทั้งที่ฉันสู้อุตส่าห์วางแผนมาอย่างดี แต่แกก็ทำมันพังหมด ถ้าอันโตนิโอปฏิเสธ ไม่แต่งงานเพราะความซื่อบื้อของแกในวันนี้ละก็ เป็นได้โดนดีแน่!”
“ก็ช่างปะไร เพนนีก็ไม่อยากแต่งงานกับเขาเสียหน่อย”
“จะอยากหรือไม่อยากก็ต้องแต่ง เพราะฉันจะไม่ยอมให้ตระกูลแบรนเนตเสียชื่อเพราะแกแน่!” กอร์ดอนตะคอกเกือบจะเป็นตวาด ทั้งที่ลึกๆ แล้วนั้น ทั้งรักทั้งหวงและเป็นห่วงน้องสาวคนนี้อย่างที่สุด แต่เขาแสดงออกไม่เป็น เพราะเป็นคนโผงผาง หยาบกระด้าง อีกทั้งยังเคยชินกับการออกคำสั่งและทุกคนต้องทำตาม
“แต่พี่กำลังเข้าใจผิดนะ เพนนีกับ...”
“หุบปาก! ฉันไม่อยากได้ยินชื่อไอ้สารเลวนั่น”
“แต่...”
“เงียบนะ!” กอร์ดอนตวาดกร้าว ไม่คิดจะฟังอะไรทั้งนั้น สถานการณ์ที่พาไปทำให้เข้าใจผิด คิดว่าเพนนีลักลอบมีสัมพันธ์สวาทกับโรเบิร์ต ซึ่งเป็นเรื่องที่เขารับไม่ได้ ไม่อยากให้ใครมาตราหน้าน้องสาวว่าทำเรื่องฉาวโฉ่ ก็คิดจะจับเพนนีใส่ตะกร้าล้างน้ำก่อนที่ท้องจะโตขึ้นมาประจานตัวหล่อนเอง
แม้กอร์ดอนจะหงุดหงิด อยากตำหนิด้วยถ้อยคำรุนแรง แต่พอหันมองคนสร้างปัญหามาให้เขาปวดหัวแล้วเห็นหล่อนทำตาแดงๆ เหมือนจะร้องไห้ก็พ่นลมหายใจออกมา นึกสงสารกึ่งเห็นใจ เขาไม่ควรซ้ำเติม เพราะหล่อนคงกลัดกลุ้มเรื่องของตัวเองมากพอแล้ว
“เข้าบ้านเถอะ พายุมาแล้ว เดี๋ยวจะไม่สบาย” กอร์ดอนคลายมือที่กำแขนเรียวแล้วเลื่อนขึ้นโอบไหล่ อารมณ์เย็นลงน้ำเสียงก็อ่อนลงตามไปด้วย แต่ในจังหวะทั้งสองจะพากันเข้าบ้าน เสียงเครื่องยนต์ก็ดังใกล้เข้ามาจนต้องหันมอง
อีตาบ้านั่นนี่ เขาจะกลับมาอีกทำไม...
เพนนีครุ่นคิดในใจ แต่ความสงสัยก็ถูกทำลายลง เมื่ออันโตนิโอก้าวลงจากรถ
“ขอโทษที พอดีผมมีปัญหาระหว่างทางนิดหน่อย คืนนี้คงต้องขอความช่วยเหลือจากคุณแล้วกอร์ดอน” อันโตนิโอยกสองแขนขึ้นให้ประมุขของบ้านดูสภาพเนื้อตัวที่ไม่ได้องอาจผึ่งผายเหมือนตอนมาเหยียบคฤหาสน์แบรนเนตในช่วงหัวค่ำ แต่เปรอะเปื้อนและเปียกมะลอกมะแลกไปทั้งตัว
เวลานี้อันโตนิโอไม่ได้สวมสูทเหมือนตอนขามา แต่ถอดโยนไว้หลังรถ เหลือเพียงเสื้อเชิ้ตแขนยาวที่ด้านหน้าปลดกระดุมเปิดกว้างเผยให้เห็นลำคอและแผงอกกำยำ แขนเสื้อทั้งสองม้วนขึ้นจนถึงข้อศอกเพื่อความสะดวกและถนัดต่องานที่ต้องใช้แรง
กอร์ดอนมองปราดเดียวก็เข้าใจทันที เนื่องจากเป็นคนพื้นที่จึงเข้าใจสภาพดินฟ้าอากาศที่คาดเดาไม่ได้ ที่นี่เวลาฝนตกฟ้าคะนองลมมักจะกระโชกแรงกว่าปกติ ต้นไม้ใหญ่สองข้างที่ต้านแรงลมไม่ไหวก็มักจะหักโค่นกีดขวางทางอยู่เป็นประจำ คนที่สัญจรไปมาต้องรอให้เจ้าหน้าที่ของรัฐนำรถยกมาลากต้นไม้ออกไปเสียก่อนถึงจะเดินทางได้ ซึ่งอันโตนิโอก็คงประสบกับเหตุการณ์ดังกล่าว เขาถึงขับรถย้อนกลับมาที่นี่
“ตามสบาย คฤหาสน์แบรนเนตยินดีต้อนรับ ผมรู้สึกเป็นเกียรติเสียด้วยซ้ำที่คุณจะมาพักกับเรา”
กอร์ดอนเผยยิ้มกว้าง พลางโอบไหล่อันโตนิโออย่างไม่นึกรังเกียจความเปรอะเปื้อนแล้วพาเดินเข้าไปในตัวคฤหาสน์ นึกขอบคุณสภาพดินฟ้าอากาศที่นำเหยื่อกลับมาติดกับ โดยปล่อยให้เพนนีส่งสายตามองตามอย่างนึกฉงน เพราะตามอารมณ์แปรปรวนของเขาไม่ทัน...
สามสิบนาทีให้หลัง เพนนีกำลังจะล้มตัวลงนอน แต่เสียงเคาะประตูรัวถี่ๆ ที่หน้าห้องก็ทำให้หล่อนต้องเดินไปเปิดประตู ก็พบว่ากอร์ดอนยืนประคองถาดเครื่องดื่มหลากหลายชนิดอย่างระมัดระวัง
“มีอะไรหรือเปล่าคะ?”
“เดี๋ยวแกเอาเครื่องดื่มพวกนี้ไปให้อันโตนิโอที่ห้องที” กอร์ดอนยื่นถาดเครื่องดื่มที่มีทั้งชา กาแฟ บรั่นดี และน้ำผลไม้ไปตรงหน้าน้องสาว แม้อีกฝ่ายจะรับมาถือไว้ แต่ก็ไม่วายถามอย่างนึกฉงน
“ทำไมต้องเป็นเพนนีด้วยละคะ สาวใช้ของเราก็มีตั้งหลายคน”
“ถ้าใช้พวกนั้น...เดี๋ยวเขาก็เอาไปพูดได้น่ะสิว่าเราไม่เต็มใจต้อนรับ”
“แต่...”
“อย่าเรื่องมากได้ไหม สั่งให้ทำอะไรก็ทำไปเถอะน่า” กอร์ดอนพ่นคำพูดออกมาอย่างหงุดหงิด หลังจากชักแม่น้ำทั้งห้าแล้วเห็นว่าน้องสาวก็ยังมีข้อโต้แย้ง
“ก็ได้ค่ะ”
“ดีแล้ว เดี๋ยวเอาไปให้เขาแล้วก็ไม่ต้องรีบกลับห้องนะ อยู่คุยกับเขาสักพัก เดี๋ยวเขาจะหาว่าเราสร้างภาพ เข้าใจไหม”
เพนนีพยักหน้าหงึกๆ ตอบรับแล้วลอบหายใจออกมา คร้านจะโต้เถียงกับกอร์ดอนก็ก้าวไปทางปีกซ้ายของตัวคฤหาสน์ อันเป็นห้องพักที่ใช้รับรองผู้มาเยือน แม้จะไม่ค่อยชอบใจนัก แต่ก็ไม่อยากขัดใจพี่ชาย...
อันโตนิโอนอนแช่น้ำอุ่นคลายความหนาวเหน็บได้สักพักก็คว้าเสื้อคลุมมาสวมใส่แล้วก้าวออกมาทรุดตัวลงนั่งบนเตียงกว้าง พลางฉวยโทรศัพท์มือถือบนโต๊ะตัวเล็กข้างเตียง ตั้งใจจะส่งข่าวบอกปีร์โลถึงสาเหตุที่ต้องมานอนค้างอ้างแรมที่คฤหาสน์แบรนเนต แต่ยังไม่ทันกดโทรออกก็ต้องชะงักและวางลงในจุดเดิม เมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้นที่หน้าห้องพัก
“เอ่อ...คือพี่กอร์ดอนให้เอาเครื่องดื่มมาให้คุณค่ะ”
เพนนียืนตัวแข็ง หน้าแดงซ่าน ใจเต้นโครมคราม เมื่อเห็นเจ้าของห้องที่เปิดประตูออกมาอยู่ในชุดล่อแหลม รอยแยกของเสื้อคลุมอาบน้ำที่มัดไว้อย่างหลวมๆ นั้นเผยให้เห็นแผงอกกำยำ ตลอดจนไรขนอ่อนที่ลู่ติดตัวก่อนจะหายเข้าไปในร่มผ้า ทำให้ต้องหลุบสายตาลงต่ำมองถาดเครื่องดื่มที่อยู่ในมือ
ใช่ว่าอันโตนิโอจะอ่านสายตาของเพนนีไม่ออก แต่เขาไม่คิดจะปกปิดหรือจัดเสื้อคลุมให้เข้าที่เข้าทาง ด้วยเห็นว่าการเผยสรีระเล็กๆ น้อยๆ ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร ถ้าเทียบกับการสวมกางเกงว่ายน้ำไปกระโดดน้ำตามสระ ซึ่งเปิดเปลือยเนื้อตัวมากกว่า
“ขอบคุณครับ”
อันโตนิโอยื่นมือไปรับถาดเครื่องดื่มมาถือไว้ ครั้นเห็นเพนนียังคงยืนก้มหน้านิ่งไม่ขยับไปไหนก็นึกฉงน
“มีอะไรหรือเปล่าครับ?”
“เอ่อ...คือ...” เพนนีอึดอัดใจไม่น้อย กับคำสั่งของกอร์ดอนที่ให้อยู่สนทนากับเขา ซึ่งหล่อนไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอย่างไรดี
“เข้ามาข้างในก่อนสิครับ เชิญครับ”
เพนนีช้อนตาขึ้นมองคนเชื้อเชิญ คำพูดของอันโตนิโอราวกับเสียงสวรรค์สำหรับหล่อน ทันทีที่เห็นเขาเปิดทางให้ก็รีบก้าวเข้าไปด้านใน อย่างน้อย...ก็ดีกว่าจะมายืนเก้กังทำอะไรไม่ถูกอยู่หน้าห้องพักเขา
ครั้นอันโตนิโอก้าวเข้ามาในห้องพักก็วางถาดเครื่องดื่มลงบนโต๊ะแล้วผายมือข้างหนึ่งไปที่โซฟาตัวยาวที่อยู่ถัดจากเตียงนอนไม่ไกลนัก ทันทีที่เพนนีนั่งลงตามคำเชิญ เขาก็ทรุดตัวลงนั่งด้านข้าง
“ถ้ามีเรื่องอะไรอยากปรึกษาหรือสอบถามก็ไม่ต้องเกรงใจนะครับ” อันโตนิโอเปิดบทสนทนาด้วยรอยยิ้ม เขาจับความว้าวุ่นใจได้จากท่าทางที่หวาดหวั่น
“เอ่อ...คือ...” เพนนีเริ่มต้นไม่ถูก ช่างเป็นเรื่องยากเย็นเสียนี่กระไรที่จะพูดอะไรออกมา ซึ่งหล่อนเองก็ไม่แน่ใจว่าตัดสินใจถูกหรือผิดกันแน่ที่ก้าวเข้ามาในห้องนี้ ครั้นจะบอกออกไปว่าหายใจไม่ทั่วท้องเพราะสายตาเขาก็ใช่ที่ หล่อนก็เลยกลบเกลื่อนความประหม่าด้วยการเบี่ยงประเด็น
“ดื่มอะไรก่อนสิคะ พี่กอร์ดอนเตรียมเครื่องดื่มมาให้คุณตั้งหลายอย่าง”
เพนนีฝืนยิ้ม ต่อสู้กับความกระดากอายด้วยการเลื่อนถาดเครื่องดื่มไปตรงหน้าอันโตนิโอ โดยหารู้ไม่ว่าอาการคะยั้นคะยอที่แสดงออกนั้นแลลุกลี้ลุกลนในสายตาเขา ซึ่งอันโตนิโอเองก็ไม่ไว้ใจกอร์ดอนเป็นทุนเดิม ความระแวงทำให้เขาเลื่อนถาดเครื่องดื่มกลับไป พลางเอ่ยปากเชิญชวน
“ถ้าอย่างนั้นก็ดื่มด้วยกันสิครับ เชิญครับ...เชิญคุณก่อน”
เพนนีจำต้องหยิบแก้วน้ำผลไม้มาถือไว้อย่างเสียไม่ได้ ครั้นเห็นอันโตนิโอยังมองมาไม่วางตา หล่อนก็ยกแก้วน้ำผลไม้ขึ้นดื่มแก้เก้อ
“แล้วคุณละคะ”
“อ๋อ ผมก็ชอบน้ำผลไม้เหมือนกันครับ” อันโตนิโอปดคำโต พลางฉวยแก้วน้ำผลไม้จากมือเพนนีที่เหลืออยู่เกือบครึ่งมาดื่มหน้าตาเฉย ไม่กล้าแตะต้องเครื่องดื่มชนิดอื่น เพราะไม่แน่ใจว่ากอร์ดอนจะคิดไม่ซื่อ ตลบหลังเขาด้วยการวิธีสกปรกหรือไม่ เขาถึงให้เพนนีเลือกเครื่องดื่มก่อน ยังไงเสียหุ้นส่วนเขาคงไม่กล้าวางยาน้องสาวตัวเอง
เพนนีไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรด้วยได้แต่มองการกระทำนั้นตาปริบๆ คิดไม่ถึงว่าอันโตนิโอจะทำเช่นนั้น ครั้นจะออกปากห้ามก็ไม่ทันเสียแล้ว เพราะเขายกแก้วน้ำผลไม้ขึ้นดื่มรวดเดียวหมด ซ้ำยังโชว์แก้วว่างเปล่าในมือให้ดูก่อนจะวางลง
“โอเค ผมดื่มเครื่องดื่มที่พี่คุณจัดมาให้แล้ว ตอนนี้ก็มาเข้าเรื่องของเรากันดีกว่า”
เพนนีหน้าเครียดขึ้นมาทันที หัวสมองกลับมาทำงานหนักอีกครั้ง เมื่อเห็นสายตาคมเข้มของอันโตนิโอมองมาราวกับจะค้นหาอะไรบางอย่าง ก่อนที่เขาจะทำลายความเงียบด้วยการตอกย้ำให้รับรู้ในความเป็นจริง
“กอร์ดอนบอกหรือยังครับว่าเขายื่นข้อเสนอให้ผมแต่งงานกับคุณ”
“ค่ะ ก็มีพูดถึงบ้าง” เพนนีมองมือตัวเอง ไม่กล้าสบตาอีกฝ่าย
“แล้วคุณคิดยังไงครับ”
“ฉันไม่มีสิทธิ์แสดงความคิดเห็นหรอกค่ะ ถ้าพี่กอร์ดอนตัดสินใจแล้ว ก็ไม่มีใครขัดเขาได้”
“เพราะอย่างนี้นี่เอง คุณได้หนีไปกับผู้ชายคนนั้น”
“คุณทราบ...” เพนนีเงยหน้าขึ้นมอง ดวงตาสั่นระริกฉายแววแปลกประหลาดใจวูบหนึ่งก่อนเจ้าตัวจะหลบสายตาลงต่ำอีกครั้ง อับอายกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
“พอดีว่าวันนั้นผมไปส่งเพื่อนที่สนามบินแล้วเห็นเข้าน่ะครับ” อันโตนิโอปดคำโต ทั้งที่ความจริงแล้วเขาอยากเห็นหน้าเพนนีถึงให้ปีร์โลขับรถวนรอบคฤหาสน์แบรนเนต จนกระทั่งหล่อนก้าวออกมาด้วยท่าทางร้อนรน เขาแปลกใจก็เลยตามไปจนประสบเหตุดังกล่าว
“เอ่อ...อย่าหาว่าผมละลาบละล้วงเลยนะ ไม่ทราบว่าผู้ชายคนนั้นเป็นคนรักของคุณหรือเปล่าครับ”
“เขาไม่ใช่คนรักของฉันหรอกค่ะ”
“อ้าว...แล้วทำไมคุณถึงได้ตัดสินใจหนีไปกับเขาล่ะ”
“ฉันไม่ได้คิดจะหนีจริงๆ หรอกค่ะ ก็แค่อยากหลบหน้าพี่กอร์ดอน ฉันก็เลยให้โรเบิร์ตช่วยพาไปพักที่บ้านพักตากอากาศของพ่อเขาในสก็อตแลนด์ คิดว่าจะอยู่ที่นั่นสักพัก แต่สุดท้ายเขาก็ต้องมาเจ็บตัวเพราะฉันจนได้” น้ำเสียงนั้นสลดหดหู่จนคนฟังยังจับความรู้สึกได้
“อย่าโทษตัวเองเลยครับ”
“ก็ฉันมันแย่จริงๆ นี่คะ ฉันอ่อนแอ ไม่กล้าต่อต้านพี่กอร์ดอน ทั้งที่ฉันไม่เห็นด้วยเลยเรื่องที่จะให้เราแต่งงานกัน” เพนนีหลุดปากบอกความรู้สึกออกไป ครั้นนึกขึ้นมาได้ก็ช้อนตาขึ้นมอง
“เอ่อ...คือในความคิดฉัน คนที่จะแต่งงานกันอย่างน้อยก็ต้องรักกันหรือไม่ก็ผูกพันกันมาก่อนน่ะค่ะ แต่นี่เรา...”
“ผมเข้าใจครับ และก็รู้ด้วยว่าคุณไม่เต็มใจแต่งงาน เอาเป็นว่า...ผมจะช่วยพูดกับพี่ชายคุณให้ก็แล้วกัน เผื่ออะไรจะดีขึ้น” อันโตนิโอวางมือลงบนมือเรียวพลางตบเบาๆ อยากให้อีกฝ่ายเบาใจ
อันโตนิโอเป็นคนฉลาด สุขุมรอบคอบ ไม่ว่าจะเรื่องงานหรือการดำเนินชีวิต ต่อให้เขาต้องการผู้หญิงตรงหน้าแทบขาดใจ ก็ไม่มีวันจะผลีผลามหรือข่มขู่ให้ยินยอม ด้วยเห็นว่าการเข้าถึงใจผู้หญิงสักคนนั้นไม่ใช่เรื่องยาก แต่ต้องรอจังหวะและโอกาส โดยเริ่มจากทำให้หล่อนไว้วางใจและมีความรู้สึกดีๆ ให้เขาก่อน
เพนนีมองคนตรงหน้าอย่างไม่เชื่อสายตา อดแปลกใจไม่ได้ ทั้งที่ก่อนหน้านี้คิดว่าอันโตนิโอเป็นนักแสวงหาผลประโยชน์ที่มีนิสัยละโมบโลภมาก ยังไงเสียเขาคงไม่ปล่อยให้หล่อนหลุดมือไปง่ายๆ แต่เวลานี้หล่อนเริ่มไม่แน่ใจ
“คุณจะช่วยฉันจริงๆ เหรอคะ”
“อืม...ทำใจให้สบายใจเถอะ ผมไม่ใช่คนที่ชอบฝืนใจใคร”
คำตอบนั้นทำให้เพนนีคลี่ยิ้ม อารามดีใจที่ไม่ต้องฝืนความรู้สึกของตัวเอง หล่อนเผลอเลื่อนมือไปกุมมือเขาแล้วออกแรงเขย่าเบาๆ
“ขอบคุณนะคะ ขอบคุณจริงๆ คุณเป็นคนใจดีและก็มีเหตุผลมากกว่าพี่กอร์ดอนเสียอีก”
“ผมดีใจนะที่คุณสบายใจขึ้น เอาเป็นว่าพรุ่งนี้เราค่อยมาปรึกษาเรื่องนี้กันอีกทีดีไหม นี่ก็ดึกมากแล้ว คุณกลับไปพักผ่อนเถอะ” อันโตนิโอไม่คิดจะเหนี่ยวรั้ง ด้วยเห็นว่าไม่มีความจำเป็นต้องรีบร้อน อย่างน้อยตอนนี้คำพูดของเขาก็ซื้อใจหล่อนได้มากกว่าครึ่ง
“ดีเหมือนกันค่ะ ฉันเองก็รบกวนคุณมานานแล้ว คุณจะได้พักผ่อนด้วย”
เพนนียิ้มเอียงอาย เพิ่งรู้ตัวว่ากุมมือเขาอย่างสนิทสนมก็ค่อยๆ คลายออกก่อนจะเลื่อนขึ้นปิดปากที่จู่ๆ ก็หาวหวอดจนต้องเอ่ยแก้เก้อออกมา
“ดูสิคะ...พอรู้ว่าจะได้กลับห้องไปนอนพัก ฉันก็รู้สึกง่วงขึ้นมาเลย”
อันโตนิโอมองอากัปกิริยาน่าเอ็นดูนั้น ไม่บ่อยนักที่เพนนีจะทำตาปรอยอย่างนี้ หล่อนช่างน่ารัก จนเขาไม่อยากให้กลับห้อง แต่อยากจะช้อนร่างบางไปนอนกล่อมบนเตียงกว้างเสียมากกว่า
อันโตนิโอครุ่นคิดเงียบๆ สายตายังจับจ้องท่าทางน่ารักนั้น มองเพลิน ไม่ได้ติดใจสงสัยอะไร จนกระทั่งเพนนีลุกขึ้นแล้วมีอาการเซซวนก็เข้าไปประคองไว้ พลางร้องถามด้วยความเป็นห่วง
“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ?”
“ฉันรู้สึกมึนๆ...” เพนนีสลัดศีรษะ พยายามปรือตาขึ้นมอง แต่เปลือกตาก็หนักอึ้งจนลืมไม่ขึ้น ซ้ำร่างกายก็ยังทิ้งน้ำหนักอย่างยากเกินจะทานทน จนทรุดฮวบลงพร้อมกับสติที่ดับวูบไป
“เพนนี เพนนี...ให้ตายสิ!”
อันโตนิโอตกใจไม่น้อย คิดว่าคนในอ้อมแขนเป็นลมก็รีบช้อนร่างพาเดินไปที่เตียง แต่ระหว่างทางเขาก็รับรู้ถึงสิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้นกับตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นร่างกายที่หนักอึ้งหรือนัยน์ตาที่พร่ามัว ล้วนแต่บอกว่าเขาพลาดท่าเสียทีกอร์ดอนเสียแล้ว
ถึงกระนั้นอันโตนิโอก็แข็งใจเดิน ในจังหวะวางคนในอ้อมแขนลงบนเตียงแล้วหันไปหยิบโทรศัพท์ ตั้งใจจะติดต่อขอความช่วยเหลือจากปีร์โล แต่สติสัมปชัญญะที่เหลืออยู่น้อยนิดก็พลันวูบดับไปเสียก่อน...
“แกมีปัญญาทำได้แค่นี้เองเหรอ มารยาหญิงน่ะมีไหม ทำไมไม่รู้จักงัดเอามาใช้เสียบ้าง นี่อะไร...เอาแต่นั่งบื้อเป็นนังใบ้ ไม่ได้เรื่อง!” กอร์ดอนกระชากแขนเรียวแล้วออกแรงบีบอย่างลืมตัว นึกโมโหน้องสาวที่ทำอะไรไม่ได้ดั่งใจ จนเจ้าตัวต้องหลุดเสียงประท้วงออกมา
“โอ๊ยย...ย! พี่กอร์ดอน เพนนีเจ็บนะ”
“เจ็บสิดี แกจะได้ฉลาดขึ้นมาบ้าง”
“แล้วเพนนีทำอะไรผิดล่ะ”
“นี่ยังไม่รู้ตัวอีกเหรอนังโง่ ให้ตายสิ! ทั้งที่ฉันสู้อุตส่าห์วางแผนมาอย่างดี แต่แกก็ทำมันพังหมด ถ้าอันโตนิโอปฏิเสธ ไม่แต่งงานเพราะความซื่อบื้อของแกในวันนี้ละก็ เป็นได้โดนดีแน่!”
“ก็ช่างปะไร เพนนีก็ไม่อยากแต่งงานกับเขาเสียหน่อย”
“จะอยากหรือไม่อยากก็ต้องแต่ง เพราะฉันจะไม่ยอมให้ตระกูลแบรนเนตเสียชื่อเพราะแกแน่!” กอร์ดอนตะคอกเกือบจะเป็นตวาด ทั้งที่ลึกๆ แล้วนั้น ทั้งรักทั้งหวงและเป็นห่วงน้องสาวคนนี้อย่างที่สุด แต่เขาแสดงออกไม่เป็น เพราะเป็นคนโผงผาง หยาบกระด้าง อีกทั้งยังเคยชินกับการออกคำสั่งและทุกคนต้องทำตาม
“แต่พี่กำลังเข้าใจผิดนะ เพนนีกับ...”
“หุบปาก! ฉันไม่อยากได้ยินชื่อไอ้สารเลวนั่น”
“แต่...”
“เงียบนะ!” กอร์ดอนตวาดกร้าว ไม่คิดจะฟังอะไรทั้งนั้น สถานการณ์ที่พาไปทำให้เข้าใจผิด คิดว่าเพนนีลักลอบมีสัมพันธ์สวาทกับโรเบิร์ต ซึ่งเป็นเรื่องที่เขารับไม่ได้ ไม่อยากให้ใครมาตราหน้าน้องสาวว่าทำเรื่องฉาวโฉ่ ก็คิดจะจับเพนนีใส่ตะกร้าล้างน้ำก่อนที่ท้องจะโตขึ้นมาประจานตัวหล่อนเอง
แม้กอร์ดอนจะหงุดหงิด อยากตำหนิด้วยถ้อยคำรุนแรง แต่พอหันมองคนสร้างปัญหามาให้เขาปวดหัวแล้วเห็นหล่อนทำตาแดงๆ เหมือนจะร้องไห้ก็พ่นลมหายใจออกมา นึกสงสารกึ่งเห็นใจ เขาไม่ควรซ้ำเติม เพราะหล่อนคงกลัดกลุ้มเรื่องของตัวเองมากพอแล้ว
“เข้าบ้านเถอะ พายุมาแล้ว เดี๋ยวจะไม่สบาย” กอร์ดอนคลายมือที่กำแขนเรียวแล้วเลื่อนขึ้นโอบไหล่ อารมณ์เย็นลงน้ำเสียงก็อ่อนลงตามไปด้วย แต่ในจังหวะทั้งสองจะพากันเข้าบ้าน เสียงเครื่องยนต์ก็ดังใกล้เข้ามาจนต้องหันมอง
อีตาบ้านั่นนี่ เขาจะกลับมาอีกทำไม...
เพนนีครุ่นคิดในใจ แต่ความสงสัยก็ถูกทำลายลง เมื่ออันโตนิโอก้าวลงจากรถ
“ขอโทษที พอดีผมมีปัญหาระหว่างทางนิดหน่อย คืนนี้คงต้องขอความช่วยเหลือจากคุณแล้วกอร์ดอน” อันโตนิโอยกสองแขนขึ้นให้ประมุขของบ้านดูสภาพเนื้อตัวที่ไม่ได้องอาจผึ่งผายเหมือนตอนมาเหยียบคฤหาสน์แบรนเนตในช่วงหัวค่ำ แต่เปรอะเปื้อนและเปียกมะลอกมะแลกไปทั้งตัว
เวลานี้อันโตนิโอไม่ได้สวมสูทเหมือนตอนขามา แต่ถอดโยนไว้หลังรถ เหลือเพียงเสื้อเชิ้ตแขนยาวที่ด้านหน้าปลดกระดุมเปิดกว้างเผยให้เห็นลำคอและแผงอกกำยำ แขนเสื้อทั้งสองม้วนขึ้นจนถึงข้อศอกเพื่อความสะดวกและถนัดต่องานที่ต้องใช้แรง
กอร์ดอนมองปราดเดียวก็เข้าใจทันที เนื่องจากเป็นคนพื้นที่จึงเข้าใจสภาพดินฟ้าอากาศที่คาดเดาไม่ได้ ที่นี่เวลาฝนตกฟ้าคะนองลมมักจะกระโชกแรงกว่าปกติ ต้นไม้ใหญ่สองข้างที่ต้านแรงลมไม่ไหวก็มักจะหักโค่นกีดขวางทางอยู่เป็นประจำ คนที่สัญจรไปมาต้องรอให้เจ้าหน้าที่ของรัฐนำรถยกมาลากต้นไม้ออกไปเสียก่อนถึงจะเดินทางได้ ซึ่งอันโตนิโอก็คงประสบกับเหตุการณ์ดังกล่าว เขาถึงขับรถย้อนกลับมาที่นี่
“ตามสบาย คฤหาสน์แบรนเนตยินดีต้อนรับ ผมรู้สึกเป็นเกียรติเสียด้วยซ้ำที่คุณจะมาพักกับเรา”
กอร์ดอนเผยยิ้มกว้าง พลางโอบไหล่อันโตนิโออย่างไม่นึกรังเกียจความเปรอะเปื้อนแล้วพาเดินเข้าไปในตัวคฤหาสน์ นึกขอบคุณสภาพดินฟ้าอากาศที่นำเหยื่อกลับมาติดกับ โดยปล่อยให้เพนนีส่งสายตามองตามอย่างนึกฉงน เพราะตามอารมณ์แปรปรวนของเขาไม่ทัน...
สามสิบนาทีให้หลัง เพนนีกำลังจะล้มตัวลงนอน แต่เสียงเคาะประตูรัวถี่ๆ ที่หน้าห้องก็ทำให้หล่อนต้องเดินไปเปิดประตู ก็พบว่ากอร์ดอนยืนประคองถาดเครื่องดื่มหลากหลายชนิดอย่างระมัดระวัง
“มีอะไรหรือเปล่าคะ?”
“เดี๋ยวแกเอาเครื่องดื่มพวกนี้ไปให้อันโตนิโอที่ห้องที” กอร์ดอนยื่นถาดเครื่องดื่มที่มีทั้งชา กาแฟ บรั่นดี และน้ำผลไม้ไปตรงหน้าน้องสาว แม้อีกฝ่ายจะรับมาถือไว้ แต่ก็ไม่วายถามอย่างนึกฉงน
“ทำไมต้องเป็นเพนนีด้วยละคะ สาวใช้ของเราก็มีตั้งหลายคน”
“ถ้าใช้พวกนั้น...เดี๋ยวเขาก็เอาไปพูดได้น่ะสิว่าเราไม่เต็มใจต้อนรับ”
“แต่...”
“อย่าเรื่องมากได้ไหม สั่งให้ทำอะไรก็ทำไปเถอะน่า” กอร์ดอนพ่นคำพูดออกมาอย่างหงุดหงิด หลังจากชักแม่น้ำทั้งห้าแล้วเห็นว่าน้องสาวก็ยังมีข้อโต้แย้ง
“ก็ได้ค่ะ”
“ดีแล้ว เดี๋ยวเอาไปให้เขาแล้วก็ไม่ต้องรีบกลับห้องนะ อยู่คุยกับเขาสักพัก เดี๋ยวเขาจะหาว่าเราสร้างภาพ เข้าใจไหม”
เพนนีพยักหน้าหงึกๆ ตอบรับแล้วลอบหายใจออกมา คร้านจะโต้เถียงกับกอร์ดอนก็ก้าวไปทางปีกซ้ายของตัวคฤหาสน์ อันเป็นห้องพักที่ใช้รับรองผู้มาเยือน แม้จะไม่ค่อยชอบใจนัก แต่ก็ไม่อยากขัดใจพี่ชาย...
อันโตนิโอนอนแช่น้ำอุ่นคลายความหนาวเหน็บได้สักพักก็คว้าเสื้อคลุมมาสวมใส่แล้วก้าวออกมาทรุดตัวลงนั่งบนเตียงกว้าง พลางฉวยโทรศัพท์มือถือบนโต๊ะตัวเล็กข้างเตียง ตั้งใจจะส่งข่าวบอกปีร์โลถึงสาเหตุที่ต้องมานอนค้างอ้างแรมที่คฤหาสน์แบรนเนต แต่ยังไม่ทันกดโทรออกก็ต้องชะงักและวางลงในจุดเดิม เมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้นที่หน้าห้องพัก
“เอ่อ...คือพี่กอร์ดอนให้เอาเครื่องดื่มมาให้คุณค่ะ”
เพนนียืนตัวแข็ง หน้าแดงซ่าน ใจเต้นโครมคราม เมื่อเห็นเจ้าของห้องที่เปิดประตูออกมาอยู่ในชุดล่อแหลม รอยแยกของเสื้อคลุมอาบน้ำที่มัดไว้อย่างหลวมๆ นั้นเผยให้เห็นแผงอกกำยำ ตลอดจนไรขนอ่อนที่ลู่ติดตัวก่อนจะหายเข้าไปในร่มผ้า ทำให้ต้องหลุบสายตาลงต่ำมองถาดเครื่องดื่มที่อยู่ในมือ
ใช่ว่าอันโตนิโอจะอ่านสายตาของเพนนีไม่ออก แต่เขาไม่คิดจะปกปิดหรือจัดเสื้อคลุมให้เข้าที่เข้าทาง ด้วยเห็นว่าการเผยสรีระเล็กๆ น้อยๆ ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร ถ้าเทียบกับการสวมกางเกงว่ายน้ำไปกระโดดน้ำตามสระ ซึ่งเปิดเปลือยเนื้อตัวมากกว่า
“ขอบคุณครับ”
อันโตนิโอยื่นมือไปรับถาดเครื่องดื่มมาถือไว้ ครั้นเห็นเพนนียังคงยืนก้มหน้านิ่งไม่ขยับไปไหนก็นึกฉงน
“มีอะไรหรือเปล่าครับ?”
“เอ่อ...คือ...” เพนนีอึดอัดใจไม่น้อย กับคำสั่งของกอร์ดอนที่ให้อยู่สนทนากับเขา ซึ่งหล่อนไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอย่างไรดี
“เข้ามาข้างในก่อนสิครับ เชิญครับ”
เพนนีช้อนตาขึ้นมองคนเชื้อเชิญ คำพูดของอันโตนิโอราวกับเสียงสวรรค์สำหรับหล่อน ทันทีที่เห็นเขาเปิดทางให้ก็รีบก้าวเข้าไปด้านใน อย่างน้อย...ก็ดีกว่าจะมายืนเก้กังทำอะไรไม่ถูกอยู่หน้าห้องพักเขา
ครั้นอันโตนิโอก้าวเข้ามาในห้องพักก็วางถาดเครื่องดื่มลงบนโต๊ะแล้วผายมือข้างหนึ่งไปที่โซฟาตัวยาวที่อยู่ถัดจากเตียงนอนไม่ไกลนัก ทันทีที่เพนนีนั่งลงตามคำเชิญ เขาก็ทรุดตัวลงนั่งด้านข้าง
“ถ้ามีเรื่องอะไรอยากปรึกษาหรือสอบถามก็ไม่ต้องเกรงใจนะครับ” อันโตนิโอเปิดบทสนทนาด้วยรอยยิ้ม เขาจับความว้าวุ่นใจได้จากท่าทางที่หวาดหวั่น
“เอ่อ...คือ...” เพนนีเริ่มต้นไม่ถูก ช่างเป็นเรื่องยากเย็นเสียนี่กระไรที่จะพูดอะไรออกมา ซึ่งหล่อนเองก็ไม่แน่ใจว่าตัดสินใจถูกหรือผิดกันแน่ที่ก้าวเข้ามาในห้องนี้ ครั้นจะบอกออกไปว่าหายใจไม่ทั่วท้องเพราะสายตาเขาก็ใช่ที่ หล่อนก็เลยกลบเกลื่อนความประหม่าด้วยการเบี่ยงประเด็น
“ดื่มอะไรก่อนสิคะ พี่กอร์ดอนเตรียมเครื่องดื่มมาให้คุณตั้งหลายอย่าง”
เพนนีฝืนยิ้ม ต่อสู้กับความกระดากอายด้วยการเลื่อนถาดเครื่องดื่มไปตรงหน้าอันโตนิโอ โดยหารู้ไม่ว่าอาการคะยั้นคะยอที่แสดงออกนั้นแลลุกลี้ลุกลนในสายตาเขา ซึ่งอันโตนิโอเองก็ไม่ไว้ใจกอร์ดอนเป็นทุนเดิม ความระแวงทำให้เขาเลื่อนถาดเครื่องดื่มกลับไป พลางเอ่ยปากเชิญชวน
“ถ้าอย่างนั้นก็ดื่มด้วยกันสิครับ เชิญครับ...เชิญคุณก่อน”
เพนนีจำต้องหยิบแก้วน้ำผลไม้มาถือไว้อย่างเสียไม่ได้ ครั้นเห็นอันโตนิโอยังมองมาไม่วางตา หล่อนก็ยกแก้วน้ำผลไม้ขึ้นดื่มแก้เก้อ
“แล้วคุณละคะ”
“อ๋อ ผมก็ชอบน้ำผลไม้เหมือนกันครับ” อันโตนิโอปดคำโต พลางฉวยแก้วน้ำผลไม้จากมือเพนนีที่เหลืออยู่เกือบครึ่งมาดื่มหน้าตาเฉย ไม่กล้าแตะต้องเครื่องดื่มชนิดอื่น เพราะไม่แน่ใจว่ากอร์ดอนจะคิดไม่ซื่อ ตลบหลังเขาด้วยการวิธีสกปรกหรือไม่ เขาถึงให้เพนนีเลือกเครื่องดื่มก่อน ยังไงเสียหุ้นส่วนเขาคงไม่กล้าวางยาน้องสาวตัวเอง
เพนนีไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรด้วยได้แต่มองการกระทำนั้นตาปริบๆ คิดไม่ถึงว่าอันโตนิโอจะทำเช่นนั้น ครั้นจะออกปากห้ามก็ไม่ทันเสียแล้ว เพราะเขายกแก้วน้ำผลไม้ขึ้นดื่มรวดเดียวหมด ซ้ำยังโชว์แก้วว่างเปล่าในมือให้ดูก่อนจะวางลง
“โอเค ผมดื่มเครื่องดื่มที่พี่คุณจัดมาให้แล้ว ตอนนี้ก็มาเข้าเรื่องของเรากันดีกว่า”
เพนนีหน้าเครียดขึ้นมาทันที หัวสมองกลับมาทำงานหนักอีกครั้ง เมื่อเห็นสายตาคมเข้มของอันโตนิโอมองมาราวกับจะค้นหาอะไรบางอย่าง ก่อนที่เขาจะทำลายความเงียบด้วยการตอกย้ำให้รับรู้ในความเป็นจริง
“กอร์ดอนบอกหรือยังครับว่าเขายื่นข้อเสนอให้ผมแต่งงานกับคุณ”
“ค่ะ ก็มีพูดถึงบ้าง” เพนนีมองมือตัวเอง ไม่กล้าสบตาอีกฝ่าย
“แล้วคุณคิดยังไงครับ”
“ฉันไม่มีสิทธิ์แสดงความคิดเห็นหรอกค่ะ ถ้าพี่กอร์ดอนตัดสินใจแล้ว ก็ไม่มีใครขัดเขาได้”
“เพราะอย่างนี้นี่เอง คุณได้หนีไปกับผู้ชายคนนั้น”
“คุณทราบ...” เพนนีเงยหน้าขึ้นมอง ดวงตาสั่นระริกฉายแววแปลกประหลาดใจวูบหนึ่งก่อนเจ้าตัวจะหลบสายตาลงต่ำอีกครั้ง อับอายกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
“พอดีว่าวันนั้นผมไปส่งเพื่อนที่สนามบินแล้วเห็นเข้าน่ะครับ” อันโตนิโอปดคำโต ทั้งที่ความจริงแล้วเขาอยากเห็นหน้าเพนนีถึงให้ปีร์โลขับรถวนรอบคฤหาสน์แบรนเนต จนกระทั่งหล่อนก้าวออกมาด้วยท่าทางร้อนรน เขาแปลกใจก็เลยตามไปจนประสบเหตุดังกล่าว
“เอ่อ...อย่าหาว่าผมละลาบละล้วงเลยนะ ไม่ทราบว่าผู้ชายคนนั้นเป็นคนรักของคุณหรือเปล่าครับ”
“เขาไม่ใช่คนรักของฉันหรอกค่ะ”
“อ้าว...แล้วทำไมคุณถึงได้ตัดสินใจหนีไปกับเขาล่ะ”
“ฉันไม่ได้คิดจะหนีจริงๆ หรอกค่ะ ก็แค่อยากหลบหน้าพี่กอร์ดอน ฉันก็เลยให้โรเบิร์ตช่วยพาไปพักที่บ้านพักตากอากาศของพ่อเขาในสก็อตแลนด์ คิดว่าจะอยู่ที่นั่นสักพัก แต่สุดท้ายเขาก็ต้องมาเจ็บตัวเพราะฉันจนได้” น้ำเสียงนั้นสลดหดหู่จนคนฟังยังจับความรู้สึกได้
“อย่าโทษตัวเองเลยครับ”
“ก็ฉันมันแย่จริงๆ นี่คะ ฉันอ่อนแอ ไม่กล้าต่อต้านพี่กอร์ดอน ทั้งที่ฉันไม่เห็นด้วยเลยเรื่องที่จะให้เราแต่งงานกัน” เพนนีหลุดปากบอกความรู้สึกออกไป ครั้นนึกขึ้นมาได้ก็ช้อนตาขึ้นมอง
“เอ่อ...คือในความคิดฉัน คนที่จะแต่งงานกันอย่างน้อยก็ต้องรักกันหรือไม่ก็ผูกพันกันมาก่อนน่ะค่ะ แต่นี่เรา...”
“ผมเข้าใจครับ และก็รู้ด้วยว่าคุณไม่เต็มใจแต่งงาน เอาเป็นว่า...ผมจะช่วยพูดกับพี่ชายคุณให้ก็แล้วกัน เผื่ออะไรจะดีขึ้น” อันโตนิโอวางมือลงบนมือเรียวพลางตบเบาๆ อยากให้อีกฝ่ายเบาใจ
อันโตนิโอเป็นคนฉลาด สุขุมรอบคอบ ไม่ว่าจะเรื่องงานหรือการดำเนินชีวิต ต่อให้เขาต้องการผู้หญิงตรงหน้าแทบขาดใจ ก็ไม่มีวันจะผลีผลามหรือข่มขู่ให้ยินยอม ด้วยเห็นว่าการเข้าถึงใจผู้หญิงสักคนนั้นไม่ใช่เรื่องยาก แต่ต้องรอจังหวะและโอกาส โดยเริ่มจากทำให้หล่อนไว้วางใจและมีความรู้สึกดีๆ ให้เขาก่อน
เพนนีมองคนตรงหน้าอย่างไม่เชื่อสายตา อดแปลกใจไม่ได้ ทั้งที่ก่อนหน้านี้คิดว่าอันโตนิโอเป็นนักแสวงหาผลประโยชน์ที่มีนิสัยละโมบโลภมาก ยังไงเสียเขาคงไม่ปล่อยให้หล่อนหลุดมือไปง่ายๆ แต่เวลานี้หล่อนเริ่มไม่แน่ใจ
“คุณจะช่วยฉันจริงๆ เหรอคะ”
“อืม...ทำใจให้สบายใจเถอะ ผมไม่ใช่คนที่ชอบฝืนใจใคร”
คำตอบนั้นทำให้เพนนีคลี่ยิ้ม อารามดีใจที่ไม่ต้องฝืนความรู้สึกของตัวเอง หล่อนเผลอเลื่อนมือไปกุมมือเขาแล้วออกแรงเขย่าเบาๆ
“ขอบคุณนะคะ ขอบคุณจริงๆ คุณเป็นคนใจดีและก็มีเหตุผลมากกว่าพี่กอร์ดอนเสียอีก”
“ผมดีใจนะที่คุณสบายใจขึ้น เอาเป็นว่าพรุ่งนี้เราค่อยมาปรึกษาเรื่องนี้กันอีกทีดีไหม นี่ก็ดึกมากแล้ว คุณกลับไปพักผ่อนเถอะ” อันโตนิโอไม่คิดจะเหนี่ยวรั้ง ด้วยเห็นว่าไม่มีความจำเป็นต้องรีบร้อน อย่างน้อยตอนนี้คำพูดของเขาก็ซื้อใจหล่อนได้มากกว่าครึ่ง
“ดีเหมือนกันค่ะ ฉันเองก็รบกวนคุณมานานแล้ว คุณจะได้พักผ่อนด้วย”
เพนนียิ้มเอียงอาย เพิ่งรู้ตัวว่ากุมมือเขาอย่างสนิทสนมก็ค่อยๆ คลายออกก่อนจะเลื่อนขึ้นปิดปากที่จู่ๆ ก็หาวหวอดจนต้องเอ่ยแก้เก้อออกมา
“ดูสิคะ...พอรู้ว่าจะได้กลับห้องไปนอนพัก ฉันก็รู้สึกง่วงขึ้นมาเลย”
อันโตนิโอมองอากัปกิริยาน่าเอ็นดูนั้น ไม่บ่อยนักที่เพนนีจะทำตาปรอยอย่างนี้ หล่อนช่างน่ารัก จนเขาไม่อยากให้กลับห้อง แต่อยากจะช้อนร่างบางไปนอนกล่อมบนเตียงกว้างเสียมากกว่า
อันโตนิโอครุ่นคิดเงียบๆ สายตายังจับจ้องท่าทางน่ารักนั้น มองเพลิน ไม่ได้ติดใจสงสัยอะไร จนกระทั่งเพนนีลุกขึ้นแล้วมีอาการเซซวนก็เข้าไปประคองไว้ พลางร้องถามด้วยความเป็นห่วง
“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ?”
“ฉันรู้สึกมึนๆ...” เพนนีสลัดศีรษะ พยายามปรือตาขึ้นมอง แต่เปลือกตาก็หนักอึ้งจนลืมไม่ขึ้น ซ้ำร่างกายก็ยังทิ้งน้ำหนักอย่างยากเกินจะทานทน จนทรุดฮวบลงพร้อมกับสติที่ดับวูบไป
“เพนนี เพนนี...ให้ตายสิ!”
อันโตนิโอตกใจไม่น้อย คิดว่าคนในอ้อมแขนเป็นลมก็รีบช้อนร่างพาเดินไปที่เตียง แต่ระหว่างทางเขาก็รับรู้ถึงสิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้นกับตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นร่างกายที่หนักอึ้งหรือนัยน์ตาที่พร่ามัว ล้วนแต่บอกว่าเขาพลาดท่าเสียทีกอร์ดอนเสียแล้ว
ถึงกระนั้นอันโตนิโอก็แข็งใจเดิน ในจังหวะวางคนในอ้อมแขนลงบนเตียงแล้วหันไปหยิบโทรศัพท์ ตั้งใจจะติดต่อขอความช่วยเหลือจากปีร์โล แต่สติสัมปชัญญะที่เหลืออยู่น้อยนิดก็พลันวูบดับไปเสียก่อน...
กันต์ระพี
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 16 มิ.ย. 2558, 20:51:13 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 16 มิ.ย. 2558, 20:51:13 น.
จำนวนการเข้าชม : 1467
<< ตอนที่ 2 | ตอนที่ 4 >> |