~ สายใย .. ไฟรัก ~
~ สายใย .. ไฟรัก ~


เส้นสายใย .. ใครกันหนอ .. ที่ทอถัก
เส้นสายรัก .. ใครจักสาน.. ขานคำขอ
เส้นทางเดิน .. ใครเหินห่าง .. ต่างเฝ้ารอ
ไฟรักพอ .. ต่อหัวใจ .. ให้อุ่นอิง




เธอ .. คือ เพื่อนสนิทของน้องสาวเพื่อนรัก

เขา .. คือ ผู้บริหารโรงแรมจอมเผด็จการ แต่กลับเป็นเพื่อนรักพี่ชายของเพื่อนสนิท

ทว่า ..

เธอ .. ในสายตาของเขา .. คือ คนอวดดี ยโส ที่ใช้เพื่อนเป็นทางผ่านไปสู่ความสำเร็จของตัวเอง

เขา .. ในสายตาของเธอ .. คือ ผู้ชายไร้เหตุผล เอาแต่ตนเองเป็นใหญ่

ที่สำคัญเหนืออื่นใด .. ทั้งเธอและเขา .. กำลังตกหลุมรักคนที่ไม่ควรจะรัก!




***************************
Tags: ความรัก ครอบครัว เพื่อน

ตอน: ใยเส้นที่ 7 .. นัดพบ




มัสลินเก็บเสื้อผ้าและของใช้ส่วนตัวลงกระเป๋าเป้ เพื่อเตรียมตัวเดินทางกลับเกือบหมดแล้ว เหลือเพียงชุดสำหรับที่จะใส่ในวันพรุ่งนี้กับของจำเป็นไม่กี่อย่าง ก่อนกวาดตามองรอบห้องว่ามีสิ่งใดตกค้างบ้างหรือไม่

หญิงสาวผ่อนลมหายใจเมื่อนึกถึงว่า อีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้าเธอก็จะได้กลับบ้านเสียที

บ้าน ที่เคยอบอุ่นและพร้อมหน้าพร้อมตาเมื่อนานมา .. แต่มันก็นานเสียจนการย้อนเวลารำลึกถึงกลายเป็นความเจ็บปวด

แม้ตอนนี้มันจะเป็นสิ่งแทนใจ เป็นมรดกตกทอดชิ้นสุดท้ายจากแม่ ทว่า .. ในความรู้สึกของมัสลิน มันช่างโดดเดี่ยวเดียวดายเหลือเกิน

มัสลินหลับตาสะบัดหน้า ๒-๓ ที ไม่ต้องการคิดอะไรที่จะก่อความหงุดหงิดแก่หัวใจตนเองอีก

เมื่อลืมตาก็อดนึกถึงศรตฤณไม่ได้ ตั้งแต่พบกันคราวนี้ดูเหมือนว่า คุณอาหนุ่มจะพยายามโน้มน้าวชักจูงให้เธอเลิกโกรธเคืองทอทิว ผู้เป็นลูกพี่ลูกน้องคนสนิทของเขาเสียเหลือเกิน ด้วยเหตุผลที่ว่า ถึงอย่างไรเขาก็เป็นพ่อของเธอ

มัสลินขบเม้มริมฝีปากแน่น .. ใครจะลืมสิ่งที่เขาทำกับแม่และเธอได้

ไม่มีทาง!

ความไม่สบายใจพอกพูนขึ้นจนทำให้หญิงสาวต้องลุกจากเตียง เดินมาเปิดประตูเพื่อออกไปรับลมทะเลนอกห้อง หวังว่าเสียงคลื่นและความมืดจะช่วยกลบเกลื่อนอารมณ์หมองหม่นนี้ได้

ข้อเท้าข้างซ้ายของมัสลินไม่เจ็บเท่าไรแล้ว การก้าวเดินเกือบเป็นปกติ แต่เจ้าตัวยังระมัดระวังอยู่ไม่น้อย ด้วยการพันแบนเดจหลังจากทาครีมนวดชนิดเย็นบางๆ เธอคิดว่าก่อนเดินทางกลับค่อยเอามันออก เพราะไม่เช่นนั้นคงไม่สะดวกนักหากจะใส่รองเท้าผ้าใบทั้งที่ยังพันผ้าไว้แบบนี้

หญิงสาวสวมรองเท้าแตะค่อยๆก้าวไปทางชายหาด สายตามุ่งตรงไปยังความมืดที่โรยตัวเบื้องหน้า ทิ้งห่างความสว่างจากแสงไฟฟ้าไว้แค่บริเวณโรงแรม และจุดต่างๆตามแนวห้องพัก

เพียงไม่กี่นาทีหัวหน้าสต๊าฟทัวร์ของวิริยา ไทยทัวร์ ที่ตกค้างอยู่บนเกาะตามลำพัง ก็ค่อยๆสาวเท้ามาถึงขั้นบันได ซึ่งมีพื้นทรายของชายหาดเทลาดรองรับ รอให้หญิงสาวที่มีเรื่องต้องคิดมากมายจนนอนไม่หลับก้าวลงไปย่ำเดิน





เกลียวคลื่นม้วนตัวทยอยซัดเข้าหาฝั่งระลอกแล้วระลอกเล่า พร้อมกับเสียงหนักเบาไล่ระดับราวเห่กล่อมผืนทรายให้หลับใหลก่อนจะกลืนกินตลอดแนว แล้วคืนกลับสู่ถิ่นที่มันมา เหลือไว้แต่พรายฟองสีขาวขุ่นและเศษซากทิ้งให้ดูต่างหน้า

น้ำทะเลเอ่อขึ้นมามากกว่าช่วงกลางวันจนพื้นที่ชายหาดหายไปกว่าครึ่ง ลมชื้นพัดพาละอองเย็นมากระทบผิวกายปราศจากความไออุ่น เพราะเวลาล่วงมาหลายชั่วโมงหลังตะวันลับลา

มัสลินยืนกอดอกนิ่งนานก่อนก้มลงมองพื้นทรายละเอียดครู่หนึ่ง ไม่นานก็ย่อตัวลงนั่งชันเข่าอย่างไม่กลัวว่ากางเกงขาสั้นจะเปียกหรือเปื้อน

แบนเดจถูกปลดม้วนอย่างดีแล้ววางไว้บนรองเท้าแตะ ขณะที่เจ้าของเดินเปลือยเท้าเข้าหาแนวคลื่น กระทั่งมายืนแช่ให้น้ำทะเลท่วมหน้าแข้ง

ความเย็นสบายทำให้มัสลินเผยยิ้มออกมา สายลมรำเพยผ่านหยอกเย้าเส้นผมจนปลิวสยาย แต่เธอก็ไม่ได้สนใจปล่อยให้มันพลิ้วไหวไปตามทิศทางที่ลมจะพัดพา

"นอนไม่หลับ หรือไม่อยากกลับ เพราะอาลัยอาวรณ์ใครรึเปล่า"

คำพูดจงใจกระทบกระเทียบเช่นนี้คงไม่มีใครอีกแล้ว และมัสลินรู้ดีว่าความสงบสบายใจที่เพิ่งได้รับไม่กี่นาที กำลังถูกทำลายจากคนๆเดียวที่ไม่พึงประสงค์

หญิงสาวยกแขนขึ้นกอดอกข่มอารมณ์เต็มที่ ทำหูทวนลมประหนึ่งว่าไม่ได้ยินเสียงใดๆนอกจากธรรมชาติรอบกาย

เพลิงกัลป์มุ่นหัวคิ้วขัดใจกับปฏิกิริยาที่ไร้การตอบสนอง คล้ายกับตนเองไม่ได้รับความสนใจ .. ไม่ได้อยู่ในสายตา ทั้งที่เขาเป็นถึงเจ้าของรู้ค รีสอร์ท แอนด์ สปา .. แห่งนี้

ถ้าไม่เป็นเพราะคืนนี้ชายหนุ่มมีธุระต้องไปตามที่นัดกับเจ้าของร้านลาลัลไว้ เขาก็คงจะไม่ได้เห็นว่าคนที่ใครๆต่างเป็นห่วง นึกสนุกลงมายืนแช่น้ำทะเลในเวลาที่ควรจะเข้านอน

ครั้นจะทำเป็นเมินเดินผ่านไปเสียเฉยๆ ขาเจ้ากรรมก็พาก้าวมาก่อนสติรั้งได้ทัน และแทนที่จะทำเพียงมองดูแล้วต่างคนต่างไป เพลิงกัลป์กลับต้องเป็นฝ่ายแทรกเสียงลอยตามลมออกไป

เมื่อเห็นมัสลินยังยืนนิ่งไม่รับรู้ ท่านประธานฯรู้คก็ยิ่งหงุดหงิด ความสงสัยต่อภาพเหตุการณ์ผุดขึ้นอย่างช่วยไมไ่ด้ รวมไปถึงบุคคลคนนั้นที่เขาไม่อยากจะเชื่อว่า ทั้งสองคนรู้จักกันได้อย่างไร และเมื่อใด

แต่สิ่งที่ได้ประสบพบเจอจนติดตาเพลิงกัลป์ คือ ความสนิทสนมระหว่างหญิงสาวตรงหน้า ที่กล้าซบไหล่ผู้ชายตอนกลางวันแสกๆ นั่นยิ่งทำให้เขาติดใจนับแต่ตอนนั้นจนถึงตอนนี้

"ถ้าจะมาเหม่อมองยืนทะเลคิดถึงใคร ก็หัดระวังตัวไว้บ้าง .. ค่ำมืดแล้ว อย่าให้ต้องเตือนกันบ่อย"

ความเงียบราวเฉยชาของมัสลินที่ไม่แม้แต่จะหันกลับมามอง ทำให้คนพูดถึงกับหน้าตึง .. และชายหนุ่มยังรู้สึกด้วยว่า เธอกำลังทำให้เขากลายเป็นอากาศธาตุ ไม่ได้สำคัญมากพอจะโต้ตอบสักคำ

เพลิงกัลป์เก็บความไม่พอใจนี้หันหลังเดินกลับไปตามทางที่มา โดยไม่ทันเฉลียวใจว่า เหตุใดมัสลินจึงนิ่งเงียบได้ขนาดนี้

กว่าที่หญิงสาวจะตั้งสติรวบรวมความกล้าหันมา เธอก็เห็นแค่แผ่นหลังกว้างสาวเท้ายาวๆก้าวห่างไปอย่างรวดเร็ว

"ว่างมากหรือไงนะ ถึงตามมาค่อนขอดกันอยู่ได้"

มัสลินพึมพำแผ่วเบาไล่หลังไม่ปรารถนาให้เขาได้ยิน หากจะผิดแผกไปบ้างก็คือ ความรู้สึกลึกๆที่แปลกแปร่งจากคำพูดร้าย .. เพราะมันเหมือนยังมีความห่วงใยเจือจานมาถึงเธอไม่มากก็น้อย

ก่อนจะมาฉุกคิดได้ว่า เพลิงกัลป์เข้าใจว่าเธอกำลังคิดถึงใคร?

แล้วทำไมต้องมายุ่มย่ามวุ่นวายกับเรื่องของเธอ .. ไม่รู้จักหยุดจักหย่อน .. ตลอดเวลาที่ผ่านมา

"ประสาท"

คำสุดท้ายที่หลุดลอดมา มัสลินเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่า จะหมายความไปถึงใครดี







แสงสลัวจากไฟหลายขนาดหลากสีสันที่ประดับร้านไม่ได้ให้ความสว่างเท่ากับความน่าสนใจ เพื่อดึงดูดลูกค้ายามราตรีที่นอกจากต้องการการพักผ่อนตามธรรมชาติ หาดทราย สายลม ท้องทะเลแล้ว ความเพลิดเพลินของเสียงเพลงและเครื่องดื่มก็เป็นอีกหนึ่งความบันเทิงที่หาได้ไม่ยากเช่นกัน

นักท่องเที่ยวหลากหลายเชื้อชาติ ต่างพึงพอใจกับจังหวะสนุกสนานที่ดีเจเลือกสรรเพลงมาเปิดให้ได้ขยับร่างกาย ซึ่งเป็นกิจกรรมระหว่างการพูดคุยสรวลเสเฮฮาและดื่มกิน

หนุ่มเดรดล็อคผู้ทำหน้าที่สร้างความคึกคักและครึกครื้นยามค่ำคืน ออกลีลาท่าทางได้ไม่แพ้หนุ่มสาวที่อยู่บนฟลอร์ด้านหน้า ก่อนที่จะเปลี่ยนเพลงมาเป็นจังหวะเบาๆสบายๆผ่อนคลาย จากความเร่าร้อนในทุกท่วงทำนองดนตรีเกือบครึ่งชั่วโมงที่ผ่านมา

เชดส์ คือ ชื่อที่ทุกคนต่างรู้จักในนามดีเจชื่อดังบนเกาะแห่งนี้ นอกจากการเป็นพ่อค้าขายของที่ระลึกในช่วงกลางวัน หลังจากตื่นนอน

คืนนี้ยังเป็นแค่งานปาร์ตี้ระดับธรรมดาในผับ 'สเนค อายส์' หากเป็นงานสำคัญอย่าง 'ฟูลมูน ปาร์ตี้' ที่ที่เชดส์จะต้องไปคือ เมอร์เมด บีช ชายหาดที่ใช้เป็นสถานที่จัดงาน ซึ่งถือเป็นแหล่งรวมนักเที่ยวจากทั้งเกาะก็ว่าได้

ขณะที่เลือกแผ่นเพลงสำหรับเปิดในช่วงถัดไป สายตาของเชดส์เหลือบมองไปยังด้านข้าง กระทั่งเขาเห็นแล้วว่า คนที่นัดไว้มานั่งรอในมุมประจำ

เมื่อจัดการในส่วนที่ต้องทำเรียบร้อยก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผู้ช่วยอีกคนดูแลแทน เชดส์ถือว่าเป็นการพักเบรคไปในตัว ก่อนจะละแท่นประจำตำแหน่งก้าวลงมาพร้อมบางสิ่งในมือ

"ไง .. สั่งไรรึยัง"

"ไม่ล่ะ วันนี้มาดูอย่างเดียว"

"แปลก .. อย่างน้อยนายก็ต้องดื่มสักขวดสองขวด เกิดไรขึ้นกับนาย .. ซายน์?"

เชดส์ยกมือเท้าสะเอวข้างหนึ่งยืนพูดกับอีกฝ่าย โดยที่ศรตฤณนั่งไขว่ห้างวางวงแขนบนพนักท่าทางสบายๆ สีหน้าไม่บอกอารมณ์ใดๆ

"แล้วนายหัวของนายล่ะ แน่ใจนะว่าจะไม่ระแคะระคายเรื่องที่เรา .. คุยกัน"

"ไม่หรอก .. รายนั้นขอแค่ไม่ให้ 'อะไรๆ' เข้าไปรุกล้ำในถิ่นก็พอ .. สะอาดพอใช้"

ศรตฤณเผยยิ้มบางเบาในเงาสลัว เสียงเพลงช้าๆคลอไปกับบรรยากาศ หนุ่มสาวหลายคู่ออกมาเต้นรำโอบซบกระชับกอดอยู่กลางฟลอร์เบื้องหน้า

"ไม่พาคุณงามมาด้วยล่ะ .."

"อย่ามาทำเป็นถามหน้าตาย .. หึหึ"

เชดส์ถึงกับหัวเราะเพราะสีหน้าขรึมเสียงเข้มของ 'ซายน์' ที่เขาเรียก ก่อนจะเอี้ยวตัวมาหยิบเบียร์ขวดเล็กจากถาดที่บริกรถือมาเสิร์ฟ ๒ ขวด วางลงบนโต๊ะที่เขากำลังทรุดตัวนั่งเก้าอี้ตรงข้ามคู่สนทนา

"ก็เห็นควงไปควงมา .. เป็นไงล่ะ"

"ดี .. แต่ยังไม่ถึงไหน"

สีหน้ากรุ้มกริ่มของเชดส์ที่ศรตฤณเห็น ดูก็รู้ว่าอีกฝ่ายตีความไปได้มากกว่าความนัยที่ต้องการสื่อ 'เฉพาะ' อย่างรู้กัน แต่เชดส์ทำท่าว่ามันมีอะไรมากกว่านั้น

"แค่ดีเองเหรอ .. อืม"

"แค่ .. นั้น"

ชายหนุ่มลูกครึ่งผู้มีรูปหน้าคมคายเน้นคำหนักแน่น เขาไม่อยากให้เชดส์คะนองปากพาดพิงไปถึงหญิงสาวที่ชื่อ 'งาม' ในทำนองนั้น แม้ว่ามันจะเป็นเรื่องจริงก็ตาม อย่างน้อยเขาก็ไม่ควรเป็นคนประเภท 'กินในที่ลับ ไขในที่แจ้ง' เพราะสิ่งที่เขากำลังทำใช่จะเรียกได้ว่าเป็นสุภาพบุรุษพอ

"แต่ฉันก็ยังไม่ไว้ใจนายหัวคนนั้นอยู่ดี นายก็รู้นี่เชดส์ คนที่ทำธุรกิจบนเกาะนี้ไม่มีใครขาวสะอาดสักคน"

"ฉันก็ไม่ได้บอกนี่ว่า เขาขาวสะอาดบริสุทธิ์ผุดผ่องเป็นยองใย .."

"พอๆ ไม่ต้องมาเล่นสำนวนกับฉัน"

"เผื่อนายลืมไง .. ไอ้เราก็หวังดี เห็นว่าไปอยู่เมืองนอกเมืองนา ฝรั่งส่งฝรั่งเศสตั้งเป็นสิบปี กลัวภาษาไทยจะไม่กระดิก"

หนุ่มเดรดล็อคแสร้งทำหน้าละห้อยที่ถูกปฏิเสธความหวังดี แต่มุมปากกลับยกยิ้มยียวนจนหนุ่มเสี้ยวไทยหรี่ตามองดุดันในที

"มองแบบนั้น ไว้ใช้กับคุณงามเถอะ ฉันไม่หลงเสน่ห์ดิบๆของนายหรอก"

"ถ้าหมดเรื่องพูดฉันก็จะกลับ .. จะได้มีเวลาทำตามคำแนะนำของนายนะ .. เชดส์"

ศรตฤณโต้ตอบเหมือนจะเชื่อฟัง หากการยักคิ้วแถมท้ายก็ทำให้เชดส์หลุดหัวเราะออกมา แต่ดูท่าดีเจคนดังของเกาะจะยังไม่หยุดยั่วแหย่ได้ง่ายๆ

"นี่จะยอมกันสักเรื่องไม่ได้เลยรึไงคร้าบ .. คุณศรตฤณ"

"แล้วคุณล่ะครับ .. คุณเชษฐ์"

ชื่อที่ศรตฤณใช้เรียกแก้ลำ ทำเอาเชดส์ต้องทำหน้าหวานอมขมกลืน หรือไม่ก็ .. กลืนไม่เข้า คายไม่ออก ถึงกับผวาลุกขึ้นใช้สองมือเท้ายันที่โต๊ะ ชะโงกหน้าเข้าหาคนเอ่ยชื่อของเขาออกมา ลดระดับเสียงลงเหลือแค่พอได้ยินกันสองคน

"เฮ้ย อย่าเรียกชื่อนี้อีกนะ ได้โปรด .. ขอเลย แล้วผมจะไม่เรียกคุณแบบนั้น .. โอเค๊"

เชดส์ขอร้องแสนสุภาพอย่างเข่นเขี้ยว เขาไม่อยากให้ใครล่วงรู้ตัวตนของเขา .. พอๆกับคนที่ทำท่าว่าถือความลับเหนือกว่า ทั้งๆที่ไม่ได้แตกต่างกันเท่าใดเลย

หนุ่มเดรดล็อคถอยกลับมานั่งอย่างเดิม หยิบของที่ติดมือมาเลื่อนส่งให้ศรตฤณ ซึ่งชายหนุ่มก็รับมาโดยไม่ถามหรือเปิดดู ก่อนลุกขึ้นยืนพร้อมกล่าวลา

"ขอบใจมากเชดส์ .. แล้วเจอกัน"

ดีเจหนุ่มส่ายหน้าช้าๆมองศรตฤณก้าวยาว ฝ่ากลุ่มหนุ่มสาวกลางฟลอร์ไปอย่างไม่สนใจ หรือเหลียวกลับมามอง แล้วเชดส์ก็ต้องถอนหายใจเฮือกใหญ่ระบายความหนักหน่วงภายใน ศีรษะเอนอิงเก้าอี้ท่าทางเหนื่อยล้า ดีว่าแสงไฟสลัวมากพอจะบดบังอิริยาบถเหล่านี้ได้





"ดีเจมาหลบมุมอะไรตรงนี้ล่ะ"

เสียงทุ้มทรงอำนาจแม้จะไม่ดังนัก แต่ก็กังวานจนคนถูกเรียกต้องเผยอเปลือกตามอง เมื่อเห็นชัดเจนว่าเป็นใคร เชดส์จึงเลื่อนตัวนั่งหลังพิงพนักทิ้งร่องรอยเหน็ดเหนื่อยไปสิ้น

"พักหน่อยน่ะ นายหัว .. วันนี้มาเที่ยวหรือครับ"

"อืม นัดกับคุณรี่ไว้ เดี๋ยวคงตามมา"

"โอ๊ะโอ .. มาแปลกอีกคนละ"

หนุ่มเดรดล็อคอุทานแล้วเปรยเบาๆ จนเพลิงกัลป์เลิกคิ้วเป็นคำถามว่าหมายถึงอะไร แต่ไม่ทันได้คำตอบ สรัลรีก็เดินเข้ามาสัมผัสต้นแขนของเขาจนเจ้าตัวต้องเหลียวไปมอง

"คุยอะไรกันคะหนุ่มๆ .. มารอรี่นานไหมคะคุณไฟ"

"สวัสดีครับคุณรี่ .. นายหัวเพิ่งมาถึง งั้น ฝากดูแลด้วยแล้วกันครับ ผมขอตัวไปทำงานก่อน .. สงสัย คืนนี้เพลงโสลว์ซบ .. ต้องมา"

เชดส์เอ่ยทักทายสาวเจ้าของร้านอาหารขึ้นชื่อบนเกาะลาลัล ทั้งยังได้ทีปลีกตัวออกมาจากการตอบคำถามที่เขาหลวมตัวปล่อยให้หลุดปาก เพราะไม่อยากพาดพิงถึงใครให้คนอื่นรู้ จึงยกเรื่องงานมาหลบเลี่ยง ซึ่งน่าจะเข้าท่าที่สุด

"แหม เชดส์ล่ะก็ .. งั้นรี่ขอ ๓ เพลงรวดเลยนะ คืนนี้จะขอคนอกว่างๆซบซะหน่อย"

"ผมว่า นายหัวก็ว่างนะครับคุณรี่ .."

เพลิงกัลป์เหลือบสายตาคมเข้มมาทางผู้หวังดี แน่นอนว่าเชดส์ก็รีบผละจากวงสนทนาไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน

มีเพียงสรัลรีที่ทำไม่รู้ไม่ชี้กับคำพูดของตน กับพ่อหนุ่มเดรดล็อคที่รู้จักกันมานานพอสมควร ในช่วงเวลาที่เธอเข้ามาดูแลร้านอาหารแทนบุพการี

"เชดส์เขาตลกดีนะคะคุณไฟ .. มาค่ะ วันนี้มาพักผ่อน อย่าทำหน้าซีเรียสแบบนั้นสิคะ"

"ดื่มอะไรดีครับ .. เดี๋ยวผมบริการคุณรี่เอง"

ชายหนุ่มเอ่ยถามหลังจากเงียบไประหว่างที่สรัลรีพูดคุยกับเชดส์ เขายังคาใจกับคำพูดของพ่อหนุ่มผมทรงเดรดล็อค แต่ที่สำคัญกว่านั้น .. เขาอยากได้รับการยืนยันว่า สายตาที่มองฝ่าแสงสลัวตอนเดินเข้ามาภายในผับ 'สเนค อายส์' ไม่ได้ฝ้าฟางจนมองเห็นใครเป็น 'ซายน์' ไป

คนที่เข้าไว้ใจ .. รู้จักกับผู้ชายที่เขาไม่ไว้ใจ ได้อย่างไร

"ค็อกเทลเบาๆก็แล้วกันค่ะ ไม่อยากตื่นมาแล้วแฮงค์"

"โอเคครับ .."

หญิงสาวในชุดรัดรูปสีแดงเลือดนกพยักหน้ารับ ก่อนเข้าไปนั่งแทนที่หลังจากดีเจลุกไปทำหน้าที่แล้ว อิริยาบถผ่อนคลายลงยามเฝ้ามองชายหนุ่มที่แอบชื่นชมเดินแทรกในฝูงชนนักเต้น รอเขากลับมาเทคแคร์บ้าง .. ด้วยรอยยิ้มละมุนพึงใจ







เวหาไม่อาจข่มตาให้หลับลงได้ เพราะเรื่องของรัศมิทัตที่ยังติดค้างคาใจ กับการกระทำของเขาที่เธอไม่สามารถคาดเดาได้เลยว่า มันจะเป็นไปในลักษณะนี้

นี่เธอกำลังจะยอมรับกับตัวเองแล้วใช่หรือไม่ว่า ความรู้สึกดีๆที่มีต่อหนุ่มสถาปนิกรุ่นน้อง คือ ความรัก

คำตอบมันช่างง่ายดายและรวดเร็วจนน่าตกใจ

ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?

แต่อีกฟากของความคิด พยายามยื้อยุดและยับยั้งว่า มันเป็นเพียงอารมณ์ชั่วขณะหนึ่ง ประสาคนสนิทกันแล้วถึงเวลาที่ต่างคนต้องห่างกันไป มันจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่อาจทำให้หวั่นไหวไปบ้าง

หญิงสาวหยุดทบทวน ใคร่ครวญไม่รู้เป็นรอบที่เท่าไหร่ก็ยังหาทางออกจากความเศร้า ที่มันหน่วงหนึบในโพรงอก จนเหมือนคนหายใจไม่ออก

ความเคยชินทำให้เธอเอื้อมมือคว้าโทรศัพท์ แล้วไล้ปลายนิ้วไปตามตัวเลขอย่างแคล่วคล่องโดยไม่ต้องเปิดหาจากรายชื่อ แต่แล้วก็ต้องชะงักงันเมื่อได้สติก่อนจะแตะเครื่องหมายพร้อมที่จะโทรไปอย่างใจคิด

'เธอจะโทรหาทัตทำไม .. ในเมื่อเขา .. ทำตามใจที่เธอต้องการไงล่ะฟ้า .. เขาไปจากเธอแล้ว .. ไปแล้ว'

ดวงตาฉาบแววหม่นมองโทรศัพท์ในมือ อยากให้คนที่อยู่ในคำนึงรับรู้และติดต่อกลับมาหาเธอ

ทันใดหน้าจออุปกรณ์สื่อสารก็เรืองแสงวูบวาบ พร้อมแรงสั่นสะเทือนเตือนให้เวหารับรู้ก่อนเสียงเพลงจะดังสมทบอีกทาง

ฟร้อนท์ ออฟฟิศ แมเนเจอร์ของรู้คถึงกับใจเต้น ก่อนที่จะค่อยสงบลงเมื่อปรากฏชื่อเพื่อนสนิท แทนที่จะเป็นคนที่เฝ้ารอ

หญิงสาวสะกดความรู้สึกอื้ออึงที่หนักอึ้งทั้งมวล รีบรับสายไม่ให้ศิราต้องรอนานจนสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น

“ว่าไงน้ำ .. โทร.มาซะดึกเลย ..”

“ฟ้า .. พรุ่งนี้น้ำจะบินไปกระบี่ไฟลท์บ่าย ฟ้าสะดวกมารับน้ำมั้ย หรือว่าจะให้นั่งลีมูซีนสนามบินไป”

เวหาผุดลุกจากที่นั่งอยู่บนเตียง ตระหนกกับคำบอกเล่ากะทันหัน เพราะที่คุยกันคือ ศิราจะเดินทางมาสัปดาห์หน้า และพวกเธอจะแวะพักผ่อนที่อ่าวนางกันก่อน

“เกิดอะไรขึ้นน้ำ .. มีอะไร .. คุณกรีเหรอ”

“อย่าเพิ่งถามเลยฟ้า .. พรุ่งนี้เจอกันนะ .. ถ้ายังไงก่อนเช็คอินน้ำจะโทรมาอีกที”

“ได้ๆ .. แล้วเจอกัน”

ความเร่งร้อนของศิราทำให้เวหาจำต้องวางเรื่องส่วนตัวไว้ก่อน เธอคาดเดาไม่ได้เลยว่า อะไรเป็นสาเหตุให้เพื่อนรักต้องเลื่อนการเดินทางเข้ามาเช่นนี้

แต่นั่นก็ไมได้เป็นปัญหาสำหรับคนที่เปรียบเหมือนเจ้าบ้านอย่างเธอเลย ถึงอย่างไรพรุ่งนี้เวหาก็ต้องไปส่งมัสลินแต่เช้า ให้ทันขึ้นแพขนานยนต์หรือเรือเฟอรี่เที่ยวแรกเพื่อไปขึ้นเครื่องที่สนามบินอยู่แล้ว

บางที .. เวหาอาจใช้โอกาสนี้ปรึกษาเรื่องของเธอ เป็นการแลกเปลี่ยนกับศิราบ้าง ก็คงจะทำให้ได้มุมมองจากประสบการณ์ที่ผ่านมาของเพื่อน เพื่อการตัดสินใจว่า เธอควรหาทางออกกับปัญหาของตนได้อย่างไร

ทว่า ความตั้งใจที่จะไปส่งรุ่นน้อง และรับเพื่อนของเวหา กลับต้องถูกส่งต่อเพราะสภาพร่างกายที่ไม่พร้อมของเธอเอง






เป้สะพายหลังหนึ่งใบของมัสลินที่ติดตัวมา ถูกนำไปใส่ไว้หลังรถขับเคลื่อนสี่ล้อหรือโฟร์วีล หาใช่รถเก๋งซีดานสีดำอย่างที่นัดกันไว้แต่แรก ซึ่งนิกรเป็นคนเดินมาบอกเรื่องนี้แทนเวหา ที่หัวหน้าโดยตำแหน่งฝากฝังไว้เพราะทั้งสองต่างรู้กันดีว่า .. ทำไม!

โชคไม่ดีที่เวหาเกิดจะมาปวดศีรษะและมีไข้ตอนค่อนรุ่งของวันนี้ แต่เพราะมีนัดสำคัญกับทั้งมัสลินและศิรา เธอจึงต้องฝืนลุกขึ้นต่อสายภายในไปถึงเพลิงกัลป์ เพื่อขอความช่วยเหลือจากพี่ชายของเธอ

ด้วยเหตุนี้เองที่ทำให้มัสลินไม่กล้าพูดอะไร นอกจากทำตามความตั้งใจของเวหา แม้ว่าสถานการณ์จะดูอิหลักอิเหลื่ออยู่ไม่น้อย

เวลาไม่ต่ำกว่า ๒ ชั่วโมงที่หญิงสาวต้องติดแหง็กอยู่กับคนที่เขาไม่เต็มใจจะอยู่ใกล้เธอสักนิด

ส่วนที่ทำให้มัสลินตัดสินใจว่า จะกลับวันนี้คือการได้พบกับศรตฤณ เนื่องจากอาหนุ่มของเธอทำเหมือนรับหน้าที่บางอย่างมาจากบิดา แต่เธอไม่ต้องการ จึงพานให้ไม่อยู่ในอารมณ์จะพูดคุยกับเขาอีก

หลานสาวจึงร่ำลาอาของเธอหลังจากเขามาส่งที่หน้าโรงแรมเมื่อวาน ซึ่งดูท่าว่าศรตฤณก็พอจะทำความเข้าใจได้ไม่ยาก

“จะไปกันรึยัง .. สายกว่านี้จะต้องรอคิวขึ้นแพนาน”

“ค่ะ”

เพลิงกัลป์เตือนเมื่อเห็นว่ามัสลินเดินกลับมาจากที่พักของเวหา ซึ่งเขาก็ได้รับคำตอบด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง และว่าง่ายกว่าที่เคย

ชายหนุ่มเก็บความเคลือบแคลงเอาไว้ และถ้าไม่ใช่เพราะคำขอร้องของน้องสาวว่า นอกจากจะไปส่งรุ่นน้องคนที่มองอย่างไรก็ ‘อวดดี’ คนนี้แล้ว เขายังได้รับการไหว้วานให้รอรับศิรา ฟร้อนท์ ออฟฟิศ แมเนเจอร์ของโรงแรมมณเฑียร สวีท โฮเทล ที่จะเดินทางมาถึงช่วงบ่ายด้วยเลยทีเดียว

เพลิงกัลป์จึงเต็มอกเต็มใจอย่างยิ่งยวด ที่จะรับภาระและหน้าที่ดูแลไปพร้อมๆกัน

อีกอย่าง .. ระหว่างเดินทางเขาอาจจะลองหาคำตอบในเรื่องที่กำลังสงสัยไปด้วย เพื่อไม่ให้เสียเที่ยว

มัสลินพยายามก้าวขึ้นรถอย่างค่อนข้างทุลักทะเลเล็กน้อย เพราะความสูงที่เกินพอดีกว่ารถทั่วไป จนเพลิงกัลป์ถึงกับส่ายหน้า ก่อนเดินเข้ามาประชิดแล้วถือวิสาสะจับเอวคอดกลมกลึงยกตัวราวกับไร้น้ำหนัก ส่งให้ขึ้นไปยังเบาะที่นั่งในพริบตา

เพียงเสี้ยววินาทีที่หญิงสาวตกใจตัวแข็งทื่อ ไม่ทันได้ระวังว่าจะมีใครอุกอาจทำแบบนี้ แถมเจ้าตัวก็ไม่มีโอกาสต่อต้าน หรือปฏิเสธความช่วยเหลือในครั้งนี้

มัสลินรู้สึกได้ถึงความร้อนจากอุ้งมือที่แทรกผ่านเนื้อผ้ามายังผิวกายช่วงบั้นเอวที่เขาจับ แต่แทนที่มันจะอยู่แค่ตรงบริเวณที่ถูกสัมผัส มันกลับมาผะผ่าวแถวใบหน้า โดยเฉพาะแก้มนวลจนเธอต้องเสมองไปทางกระจกด้านซ้าย เมื่อเจ้าของรถขึ้นมานั่งประจำตำแหน่งคนขับ

เป็นครั้งแรกที่เธอไม่กล้าสู้หน้าเขา .. จริงๆ





เพลิงกัลป์ขับรถมาถึงท่าแพขนานยนต์เที่ยวแรกพอดี ระหว่างทางก็ลอบสังเกตผู้โดยสารที่เอาแต่หันมองข้างทางด้านนอก จนเขาอดคิดไมได้ว่า เธอกำลังคิดอะไรอยู่

แต่พอถึงคิวที่จะต้องลงแพความสนใจต่างๆจึงค่อยลดลง เพราะต้องใช้สมาธิพอสมควร ในการที่จะขับเคลื่อนยานพาหนะให้ข้ามสะพาน แล้วไปจอดยังจุดที่คนดูแลกำหนดไว้

และเมื่อเรียบร้อยทั้งสองคนจึงลงจากรถเพื่อความปลอดภัย จนกว่าจะไปขึ้นฝั่งอีกครั้ง

เพลิงกัลป์เดินนำมัสลินมาหาที่นั่ง ส่วนเขาก็ยืนอยู่ไม่ห่างกันมากนัก แล้วความเงียบก็ถูกนำมาใช้เป็นฉากกั้น ไม่ให้ต่างฝ่ายต่างล่วงล้ำเขตแดนซึ่งกันเข้ามา

น่าแปลกใจไม่น้อยอยู่เหมือนกัน ที่วันนี้ชายหนุ่มไม่คิดจะหาเรื่อง .. ไม่สิ เขาไม่ได้หาเรื่องสักหน่อย แค่คนบางคนมักจะทำอะไรๆขัดหูขัดตาอยู่เสมอๆ

ก็อย่างตอนขึ้นรถเมื่อก่อนหน้านี้ ถ้าไม่ได้เขาช่วย สงสัย ‘ยัยเด็กดื้อ’ คงต้องหาบันไดมาปีนป่าย กว่าจะได้ขึ้นไปนั่ง

คิดแล้วเพลิงกัลป์ก็อดเผยอมุมปากยกขึ้นไม่ได้ แต่ว่ามันก็อยู่ได้ไม่ถึง ๓ วินาที เมื่อมีเสียงเพลงจากโทรศัพท์ดังขึ้นใกล้ตัว แล้วตามด้วยเสียงนุ่มๆหวานๆเอ่ยทักทายยามยกมันขึ้นมารับสาย

“สวัสดีทัต .. อืม .. กำลังจะกลับ .. จริงเหรอ งั้นมารับก็แล้วกัน แล้วจะเล่าให้ฟัง”

คราวนี้สีหน้าที่เคยผ่อนคลายกลับกลายเป็นบึ้งตึงทันที เพราะเพลิงกัลป์รู้ดีว่า ‘ทัต’ ที่มัสลินเอ่ยชื่อออกมา คือ รัศมิทัต ศิลป์รังสรรค์ ลูกชายหุ้นส่วนคนสำคัญของรู้ค และเป็นเพื่อนสนิทของพายพัด ซึ่งเขาเองก็เคยได้เจอะเจออีกบ่อยครั้ง หลังจากได้รับการแนะนำให้รู้จักกันเมื่อหลายปีก่อนเป็นต้นมา

นอกเหนือจากนี้พวกผู้ใหญ่ทั้งฝั่งคุณเวหน และเสี่ยชัยทัตยังหมายมั่นปั้นมือว่า ถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะดองเป็นทองแผ่นเดียวกัน

ความรู้สึกขุ่นเคืองจึงกลับมาเยือนเพลิงกัลป์อีกครั้ง แม้จะไม่ได้เห็นดีเห็นงามไปกับบิดา แต่เขาก็ไม่ได้คัดค้านหากสถาปนิกหนุ่มรุ่นน้องคนนั้น จะถูกวางตัวเป็นคู่หมายของน้องสาว

แล้วนี่อะไร .. รัศมิทัต คนที่เขาคิดว่ามีดีพอตัว และคิดว่ามีอนาคตพอที่จะเกี่ยวดองกันได้ ถ้าหนุ่มสาวในปกครองตกลงปลงใจคบหากันจริงจัง .. กลับมาติดต่อพูดคุยกับผู้หญิงที่ ..

เพลิงกัลป์ละไว้ในความเข้าใจของตนว่า มัสลินช่างขยันบริหารเสน่ห์เกินไปหรือเปล่า

เมื่อวานก็ซบไหล่คนหนึ่ง .. มาวันนี้ก็ฉอเลาะกับอีกคนหนึ่ง

จะให้เขามองมัสลินในแง่ดี .. เห็นจะไม่มีทาง










****************************************************







โปรดติดตามตอนต่อไป ...


ขอขอบคุณทุกการติดตามจากทุกท่านฮะ



แรมรติ
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 16 มิ.ย. 2558, 10:07:22 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 16 มิ.ย. 2558, 10:07:22 น.

จำนวนการเข้าชม : 1064





<< ใยเส้นที่ 6 .. สิ่งที่เห็น และเป็นไป   ใยเส้นที่ 8 .. ความคิด ที่สวนทาง >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account