กำราบรักจอมเผด็จการ
'กฎของเราคือห้ามรัก' ชัคไม่คิดว่าจะพาอันนามาสู่อันตราย ร่วมมือกันเพื่อหาคนร้ายคือทางออกเดียวที่เธอจะออกไปจากวังวนของมาเฟียอย่างเขาได้
Tags: ความรัก อดีต ซาบซึ้ง

ตอน: ตอนที่ 5 ครึ่งหลัง


อันนาออกมายืนรอรถเหมือนกับพนักงานคนอื่นๆ รถเมล์จอดหลังจากผ่านไปไม่กี่นาที ถ้าไม่นับช่วงเวลาที่ชัคเข้ามาในชีวิต วันนี้ก็เหมือนจะผ่านไปด้วยดี สายลมยามรถเล่นพัดใส่หน้า ไม่มีเพื่อนในยามหลังเลิกเรียน ไม่มีร้านไอติมที่ไปประจำด้วยกัน มีเพียงยามเย็นที่เดียวดาย
อันนาลงจากรถเมล์เร็วกว่าป้ายปลายทางแล้วเดินไปยังสวนสาธารณะ อยากมาสำรวจเผื่อว่าจะมาวิ่งออกกำลังกายเพราะห่างจากหอพักเพียงเดินไม่กี่นาทีเท่านั้น สองข้างทางเต็มไปด้วยต้นสนสูงใหญ่ มีสวยดอกไม้อยู่ไกลๆ หลายคนมาวิ่ง
อีกแล้ว...
ความสดชื่นสบายใจลดทอนลงเมื่ออันนารู้สึกว่ามีคนตาม ขาที่กำลังจะก้าวเปลี่ยนใจเป็นฝ่ายรอบ้าง เสียงเดินใกล้เข้ามา พอแน่ใจว่าไม่พลาดจึงหันไปเป็นชายสองคนใส่ชุดธรรมดาๆ เสื้อเชิ้ตกับกางเกงยีน ไม่ใช่สูทสีดำทั้งชุดอย่างที่เคยเห็น
“บอกคุณชัคด้วยว่าฉันไม่ทำอะไรให้เขาไม่พอใจหรอก เลิกตามได้แล้ว”
ชายทั้งสองมองหน้ากันแล้วยิ้มอย่างเป็นมิตร ความโกรธของอันนาค่อยๆ ลดลง ถ้าอย่างนี้น่าจะคุยได้บ้าง
“คุณชัคสั่งมาว่าถ้าคุณอยากให้เลิกตามก็ให้ไปกับพวกเรา มีคำถามที่คุณน่าจะตอบได้”
น่าแปลก วันนี้ที่เจอกันทำไมเขาไม่ถาม แต่ก็นั่นล่ะ ในบริษัทคงไม่สะดวกละมั้ง
“ก็ได้ ตอบแล้วนายของพวกคุณจะได้ไม่ส่งใครมาตามฉันอีก”
ชายคนหนึ่งเดินนำทางไปยังรถ ส่วนอีกคนเดินขนาบข้าง อันนาไม่ทันคิดถึงความผิดปกตินี้ ไม่เลยสักนิด แม้กระทั่งเข้าไปในรถแวนสีดำกระจกติดฟิล์มทึบ เธอถอนใจอย่างเบื่อหน่าย นิ่วหน้าเมื่อได้กลิ่นที่อวลอยู่ในรถ แต่มันบางเบาจนมองข้ามไปในนาทีนั้น
เสียงโทรศัพท์ดังพอดีระหว่างเดินทาง ยังไม่ทันได้กดรับ กลิ่นหอมเอียนที่คิดว่าเป็นน้ำหอมเริ่มฉุนขึ้นจนรู้สึกเวียนหัว ตาเริ่มพร่ามัว พยายามส่งเสียงร้อง แต่โลกได้ดับวูบลงในเวลาเพียงไม่กี่วินาที

แสงไฟนวลราวกับพระอาทิตย์ในยามเช้า ทว่าสมองที่มึนชาของอันนามั่นใจว่าเวลานี้ไม่ใช่ เธอสลบไปนานเท่าไหร่แล้ว กลิ่นหอมเอียนหายไป แต่กลิ่นเหม็นอับทำให้อาการเวียนหัวเข้ามาแทนที่
สายตาที่พร่าเลือนค่อยๆ ชัดขึ้นจนเห็นที่มาของแสงสว่าง หลอดไปยาวอยู่บนเพดานกลางห้องที่กว้างใหญ่คล้ายโกดัง มีกองลังรวมอยู่บนพาเลตไม้ เธอได้ยินเสียงเดินแต่ขยับตัวหันไปมองไม่ได้ เพิ่งรู้ตัวว่ามีเชือกเส้นใหญ่ตรึงร่างไว้กับเก้าอี้ ความกลัวจู่โจมเข้าสู่ใจ
ชัคจะทำอะไรกันแน่?!?
ไหนล่ะ เขาอยู่ที่ไหน อันนามองไปทั่วเท่าที่คอจะเอียงไปได้ ทว่ากลับพบชายเพียงคนเดียวในห้องที่กำลังเดินมาบังแสงไฟจนเกิดเป็นเงามองไม่ชัด ใบหน้าถูกซ่อนเร้นด้วยแว่นตาและผ้าปิดปาก
“ฟื้นแล้วเรอะ ขอโทษที่ต้องพาตัวมา”
อันนานิ่วหน้าฟัง ถึงรูปร่างจะสูงใหญ่เหมือนกัน แต่คนอย่างชัคไม่มีทางพูดคำขอโทษออกมา
“ไม่ใช่...แกไม่ใช่คุณชัค”
เสียงหัวเราะคำรามเบาพลางก้าวเข้าใกล้ “เสียใจงั้นรึ ถ้าคนของผมไม่บอกไปอย่างนั้น คุณคงไม่ยอมมาดีๆ น่ะสิ รักมันแล้วใช่ไหมล่ะ”
เก้าอี้ที่ตรึงร่างไว้กลายเป็นอุปสรรคเมื่อไม่สามารถหลีกหนีได้ อันนาตั้งสติแม้จะกลัวจนร่างสั่น หากจะฆ่าต้องมีเหตุผลที่นำไปสู่ทางออกสักอย่างสิ
“ตอบคำถามไม่กี่คำ แล้วคุณจะได้กลับไป”
นี่ไงล่ะเหตุผลที่เธอยังไม่ตาย พวกมันอยากรู้อะไร อันนาถอนใจพูดออกไปด้วยเสียงต่ำๆ ที่ไม่สั่นจนคนร้ายรับรู้ได้จะมีใครมาช่วยเธอบ้างไหม
“ฉันไม่แน่ใจว่าจะตอบคำถามของแกได้หรือเปล่า”
“ได้สิ วันนั้นคุณอยู่กับมัน”
“วันไหน” ‘มัน’ ที่ว่าคือชัคใช่ไหม ถ้าอย่างนั้นเธอกำลังเผชิญหน้าอยู่กับใคร ศัตรูของเขาหรือ
“วันที่คุณไปผับ แล้วนั่งรถออกไปกับไอ้ชัคยังไงล่ะ” ดวงตาคู่นั้นส่องประกายมั่นใจ
ร่างสูงแต่ไม่บึกบึนเดินเข้ามาใกล้อีกมือทั้งสองข้างจับบ่าของเหยื่อไว้ทั้งข้างอย่างคาดคั้น สมาธิของเธอพลันเลือนหาย ความกลัวยิ่งเพิ่มขึ้นไปอีก ช่างเหมือนในความฝันเหลือเกิน
“มันเป็นอะไร มันป่วยใกล้ตายแล้วใช่ไหม”
“ฉันไม่รู้”
“รู้สิ ก็คุณอยู่กับมัน”
ใช่แล้ว! อาการของชัคในคืนนั้น ความลับของเขาที่เธอดันไปรู้เข้า คนร้ายต้องการรู้ไปทำไม มันสำคัญมากนักหรือ ทำยังไงดี ถ้าบอกเธอจะมั่นใจได้ยังไงว่าจะไม่ตาย
“เขาปกติดี ไม่ได้เป็นอะไร ถ้าเขาเป็นอะไรจริงๆ ฉันคงไม่รู้หรอก ฉันกับเขาไม่ได้สนิทกับอย่างที่แกคิด”
ใบหน้าที่ถูกอำพรางไว้ส่ายไปมาไม่เชื่อ มือทั้งสองข้างบีบไหล่บางจนอันนานิ่วหน้าน้ำตาไหลรินด้วยความเจ็บระคนกลัวจนสติใกล้ถึงจุดที่ไม่อาจรับได้ เธออยากกรีดร้องให้ใครสักคนมาช่วย แต่มันจะมีประโยชน์อะไร เธอคงตายเพราะปืนที่วางอยู่บนโต๊ะห่างออกไป คงไม่มีใครมาช่วยทัน
“ปล่อยฉันไปเถอะนะ ถ้าฉันเป็นอะไร คนที่สวนสาธารณะต้องรู้ว่าคนของแกเป็นใคร หรือต่อให้แกฆ่าฉันก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรขึ้นมา”
ดวงตาเคียดแค้นเกลียดชังเปลี่ยนเป็นขบขันราวกับเธอพูดอะไรผิดไป
อันนาฉวยจังหวะที่คนร้ายเผลอถีบใส่ข้อพับจนล้มลง แล้วใช้ขาทั้งข้างยันให้เก้าอี้ถอยหลังไปแล้ววิ่ง แม้จะไม่ถนัด เพียงไม่กี่ก้าวก็สะดุดล้ม
ไม่นะ!
เธอควรมาตายเพราะความลับของชัคงั้นหรือ รอยยิ้มผุดขึ้นที่ดวงตาราวกับว่าการฆ่าเป็นเรื่องน่าหฤหรรษ์ ปืนที่วางอยู่ถูกหยิบมามาแล้วเล็ง น้ำตาแห่งความกลัวไหลออกมา
ปัง...?!?
อันนาหลับตาสะดุ้งสุดตัวยามนี้กระสุนคงเข้าสู่ร่างกายของเธอแล้วใช่ไหม ตรงไหนล่ะ แขน ขา หรือว่าลำตัว ทำไมไม่รู้สึกอะไรเลย ความตายควรเป็นแบบนี้ใช่ไหม แล้วทำไมเธอถึงยังได้ยินเสียงวิ่งรอบตัวไม่แน่ใจว่าใกล้เข้ามาหรือไกลห่างออกไป เสียงพูดทุ้มๆ ฟังไม่ออกเป็นคำ
แสงสว่างจ้าหายไปแล้ว อันนาหายใจรวยรินพยายามลืมตา แต่ทำไม่ได้ ต้องปล่อยให้มันเป็นไปกระมัง เรียวปากบางยิ้มให้ชะตากรรม เสียงปืนดังมากราวกับอยู่ในสนามรบ คราวนี้กระสุนจะเข้าไปอยู่ตรงไหนของร่างกายเธอนะ
พลันความอึดอัดกำลังกลายเปลี่ยนเป็นเบาสบายราวกับลอยขึ้นสู่อากาศ หญิงสาวรวบรวมพลังงานที่เหลืออยู่น้อยนิดฝืนลืมตา ทว่ากลับทำได้เพียงเห็นแสงสักอย่างจากช่องว่างของเปลือกตา
“ใคร...”
ใบหน้าของใครสักคนที่นึกไม่ออกก้มลงต่ำแล้วยิ้มให้ เธอยิ้มกลับไปเมื่อคิดว่าหากความตายสวยงามและอบอุ่นแบบนี้ก็ไม่น่ากลัวแล้ว
“ผมจะพาคุณกลับบ้าน”
อันนาพยักหน้ารู้สึกดีใจที่ได้ฟัง
...กลับบ้าน
บ้านที่ไหนหรือ บนท้องฟ้าหรือว่าบนผืนน้ำ หญิงสาวถอนใจยาวแล้วเข้าสู่ราตรีอันมืดมิดที่ล่องลอย หวังเหลือเกินว่า หากตื่นขึ้นมาในสภาพไร้ร่างจะพบพ่อ น้ำตาพลันไหลรินอาบแก้ม สัมผัสอุ่นเบาซึมซับความเย็นซ่านออกให้ อุ่นเหมือนได้กลับไปเป็นเด็กที่พ่อกอดอีกครั้ง

มีแสงไฟส่องผ่านกระจกเข้ามาหลายครั้ง ก่อนจะตามมาด้วยใครหลายคนที่ลงจากรถแล้วเดินเข้ามาในตึก แต่ไม่มีใครสักคนที่นาวินรอคอยจะได้พบมาตั้งแต่หัวค่ำ ผู้จัดการส่วนตัวกลับไปสักพักแล้ว แต่ดาราหนุ่มยังปักหลักรอเพราะความเป็นห่วงอันนา เวลาผ่านไปอีกเกือบชั่วโมง ความกังวลทำให้กระวนกระวายจนโทรหาธีรา บางทีอาจไม่มีอะไรมากไปกว่าสองคนนั้นอยู่ด้วยกัน
ธีรากดรับสายด้วยรอยยิ้ม ทว่าคำพูดแรกที่ได้ยินกลับทำให้ความดีใจเล็กๆ น้อยๆ หายไป
“มดได้คุยกับน้ำไหม วันนี้สองคนนัดกันหรือเปล่า”
“เปล่านี่ มีอะไรหรือ” ความน้อยใจย่อมน้อยกว่าความห่วงเพื่อนอยู่ดี
ประตูกระจกเปิดอีกครั้ง นาวินมองอย่างมีความหวังแต่ก็ไม่ใช่อันนาเช่นเดิม “จะสองทุ่มแล้วน้ำยังกลับไม่ถึงห้องพักเลย โทรไปก็ไม่รับสาย วินกลัวจะมีเรื่องอะไรระหว่างทางน่ะ”
“งั้นเดี๋ยวมดโทรตามน้ำแล้วกันนะ”
สายถูกกดวาง แต่เพียงไม่กี่นาทีธีราก็โทรกลับมาชักห่วงตามนาวินไปอีกคน
“ติดต่อไม่ได้เหมือนกัน รอที่นั่นนะวิน เดี๋ยวมดไปรอเป็นเพื่อน บางทีอาจจะเจอเพื่อนที่อื่นก็ได้”
ธีราคงคิดในทางที่ดีไว้ นาวินพยักหน้าคิดตามนั้นกดวางสายแล้วรอคอยต่อไป บางทีอาจเหมือนคราวก่อนก็ได้ ทำไมช่วงนี้อันนาติดต่อไม่ได้บ่อยเสียจริง

แล้วจะมา up ต่อถึงตอนที่ 15 นะคะ มีจำหน่ายในรูปแบบหนังสือและ e-book แล้วค่ะ



บรรพตี
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 16 มิ.ย. 2558, 11:11:56 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 16 มิ.ย. 2558, 11:11:56 น.

จำนวนการเข้าชม : 1189





<< ตอนที่ 5 ครึ่งแรก   ตอนที่ 6 ครึ่งแรก >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account