กำราบรักจอมเผด็จการ
'กฎของเราคือห้ามรัก' ชัคไม่คิดว่าจะพาอันนามาสู่อันตราย ร่วมมือกันเพื่อหาคนร้ายคือทางออกเดียวที่เธอจะออกไปจากวังวนของมาเฟียอย่างเขาได้
Tags: ความรัก อดีต ซาบซึ้ง

ตอน: ตอนที่ 6 ครึ่งหลัง

ความเพลียและสมองที่ขมึงตึงทำให้ร่างกายไม่อาจยอมรับการลืมตามองเพดานห้องจนหลับไปเองในที่สุด แม้ว่ายามหลับความฝันที่เหมือนจริงจะตามหลอกหลอนให้วิ่งหนีจนเหนื่อยล้าพอกัน อันนาตื่นนอนมาด้วยความรู้สึกไม่สบายตัวแขนและขาไม่มีแรง เธอลุกขึ้นนั่งเมื่อได้ยินเสียงกุกกัก ผู้หญิงที่นำกระเป๋ามาให้กำลังวางเสื้อผ้าของเธอไว้ที่โซฟา พอเห็นว่ามองอยู่ก็หันมายิ้มให้
“เสื้อผ้าของคุณค่ะ จะอาบน้ำเลยไหมคะ”
อันนาพยักหน้าพลางลงจากเตียงไปห้องที่ประตูเปิดอยู่ ห้องน้ำบ้านนี้ใหญ่กว่าห้องนอนของเธอด้วยซ้ำ เสื้อถูกหยิบตามมาให้รวมทั้งของใช้ต่างๆ ไม่ใช่เวลาสงสัยว่าทำไมทุกอย่างถึงเตรียมไว้ให้ ตอนนี้อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อแล้วออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุดดีกว่า
แม่บ้านพาอันนามายังห้องชั้นล่างที่อาหารกำลังลำเลียงมาจัดวาง เธอนั่งลงมองสิ่งรอบตัวเงียบๆ สัญญาณอันตรายไม่มีในตอนนี้ แต่ในทันทีที่ชัคก้าวเข้ามาในห้อง ความสบายใจอันน้อยนิดก็พลันหายไปแทนที่ด้วยความกลัวเพียงปรายตามองมาเท่านั้น
ชัคนั่งลงฝั่งตรงข้าม อันนามองเขม็งอยากรู้ว่าจะเกิดอะไรต่อไป หากจะตายคงตายไปแล้ว แต่เขาถ่วงเวลาเอาไว้ทำไม
“ไม่หิวหรือไง ถ้ากลัวจะมียาพิษก็นั่งลงแล้วกินชามนี้ของผมก็ได้ ส่วนชามของคุณผมจะกินแทนให้”
ชัคสลับชามข้าวต้ม เรียวคิ้วสวยยังคงขมวดมุ่น เขาไม่รู้ว่าต้องทำตัวอย่างไรไม่ให้คนรอบตัวเกร็งทั้งๆ ที่ไม่ได้ทำอะไรเลยด้วยซ้ำ
โทรศัพท์ใหม่เอี่ยมที่ราคาแพงลิบลิ่วเพราะเพิ่งออกใหม่และเป็นที่นิยมวางลงกลางโต๊ะระหว่างเราสองคน ชัคมองเฉยไม่ยื่นมือมาหยิบไป
“ฉันอยากได้โทรศัพท์เยินๆ เก่าๆ ของตัวเอง เครื่องนี้คุณเอาคืนไปเถอะ”
“ผมทิ้งไปแล้ว”
“อะไรนะ! นั่นมันโทรศัพท์ของฉัน คุณนี่มันเหลือจะทนจริงๆ เลย”
ชัคพยักหน้า คำว่า...เหลือจะทนก็ไม่เลวเท่าไหร่ “ถ้ามีแรงวีนแล้วคงมีแรงกินข้าวต้ม ถ้าอยากเอาคืนผมก็ใช้โทรศัพท์เครื่องใหม่ให้พังไปเร็วๆ เสียก็ได้นี่”
“ไม่รู้ค่าของเงิน” คำพูดลอยมาจงใจให้คนแถวๆ นี้ได้ยิน
“รู้สิ แต่พอดีว่าผมมีมากจนมันไม่ได้สำคัญไปกว่าชีวิตแล้วต่างหาก” ข้าวต้มคำแรกตักเข้าปาก แถมยังเคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อยเหมือนยั่ว
อีกฝ่ายยังมองเฉยๆ จนกระทั่งความหิวทำให้ต้องกิน ความพอใจปรากฏในสายตาที่จ้องมองมา
“อีกประเดี๋ยวตำรวจจะมาถึง คุณพร้อมไหม ถ้าไม่พร้อมผมจะเลื่อนนัดตำรวจออกไปก่อน”
คำว่าตำรวจราวกับเรียกพลังงานที่แอบซ่อนในร่างกาย อย่างน้อยมันก็ดีกว่าการอยู่กับชัคและคนของเขาล่ะน่า
“พร้อมมากค่ะ ให้ปากคำแล้วฉันจะกลับบ้าน”
“คำขอของคุณจะได้ตามนั้น” ชัคเห็นรอยยิ้มผุดพรายที่เรียวปากบางซึ่งเม้มปากทันทีเมื่อรู้ว่าถูกมอง “ไม่กินหมูเหรอ ผมจะได้กินแทน”
ชามข้าวถูกเลื่อนหนีเมื่อช้อนของชัคยื่นเข้ามาใกล้ สายตาวาววามค้อนใส่อย่างลืมตัว
“ไม่ให้ ฉันหิวมาก ถ้าไม่อยากถูกวีนก็กรุณาให้ฉันกินข้าวต้มเงียบๆ ตอนนี้เราไม่ได้อยู่ในออฟฟิศ คุณไม่ใช่เจ้านายของฉัน แล้วฉันก็ไม่ใช่พนักงานของคุณ”
ช้อนเลื่อนกลับมาที่เดิมแล้วกินเงียบๆ อย่างที่อันนาต้องการ ช่างเป็นความเพลินเพลินเมื่อได้รู้ว่าความหิวทำให้ลูกแมวกลายเป็นแมวป่าได้ในพริบตา รอยช้ำแดงจางๆ ชัดขึ้นตรงขมับ แต่รอยนูนที่เจ้าตัวคงไม่กล้าเดาว่ามาจากอะไรยุบลงไป สายตาเข้มเคร่งอ่อนลง ปลายกระบอกปืนกดที่ขมับของเธอตอนที่เขาไปถึงแล้วช่วยไว้ได้หวุดหวิด ความตายช่างใกล้แค่เอื้อมเหลือเกิน
“ยังเจ็บอยู่หรือเปล่า”
อันนาเงยหน้ามองเห็นสายตาของชัคพอดี รอยช้ำคงชัดจนเหมือนเธอถูกซ้อมมา น่าเศร้าชะมัด วันนี้คงต้องลางานสักวันกระมัง ไม่ควรเลยจริงๆ
“ไม่ค่อยเจ็บแล้วค่ะ มันเป็นรอยอะไรน่ะคุณ ฉันเอาหัวไปฟาดอะไรเข้าหรือเปล่า ทำไมถึงจำไม่ได้”
สายตาอ่อนโยนแลกลับมาเคร่งเครียดอีกครั้ง ดีแล้วที่อันนาจำไม่ได้ว่าเกิดอะไรในตอนนั้น
“คุณอาจจะไม่รู้ตัวว่าซุ่มซ่ามก็ได้”
อันนาพยักหน้าเพราะว่ามันเป็นอย่างนั้นมาตลอด เพียงแต่เธอรู้ตัวทุกครั้งที่ทำให้ตัวเองเจ็บ แต่ครั้งนี้กลับเลือนรางราวกับฝันแล้วจำอะไรไม่ได้ ช่างเถอะ แค่ไม่ตายและได้บอกเบาะแสตำรวจก็น่าดีใจได้แล้ว ชีวิตของเธอมีค่ามากกว่าเอาเวลาไปแค้นใครนานๆ

ตำรวจฟังเรื่องราวที่เกิดขึ้นจากอันนาในฐานะเป็นผู้เสียหาย ชัคนั่งอยู่อีกห้องรอให้ปากคำเพราะเป็นอีกผู้เสียหายเช่นกัน ไม่นานตำรวจก็กลับไปทำคดีต่อ ส่วนหมอยังอยู่ตรวจอาการคนเจ็บ สีหน้าของอันนาดีขึ้น แต่ยังดูเพลีย คนที่คิดว่าคงไปทำงานแล้ว แต่กลับยังรออยู่ หญิงสาวเดินตรงมาหาอย่างกับลูกแมวหลงทางในบ้านหลังใหญ่ที่ไม่รู้จะพึ่งพาใคร ทั้งกลัวและอุ่นใจระคนกัน
“ขอบใจ”
อันนาชะงักไม่คิดว่าจะได้ฟังคำพูดนี้
“ขอบใจที่ฉันไม่พูดถึงเรื่องที่เราเคยพบกันมาก่อนน่ะหรือคะ บอกตรงๆ นะ ฉันไม่ใช่คนดีถึงขนาดจะมาปกป้องใคร แต่เพราะคุณไม่ได้ทำอะไรมากไปทำหน้าดุ ขู่ให้กลัว เผด็จการเล็กๆ น้อยๆ ถือเสียว่าตอนนี้เราก็หายกัน ไม่ติดค้าง คุณทำงานของคุณ ฉันทำงานของฉัน ตกลงนะ”
“ถ้าคิดว่าผมขอบใจเรื่องนี้ก็คงรวมไปด้วยได้” สายตาคมตวัดมองซ่อนบางอย่างไว้ในน้ำเสียงอ่อนโยนขึ้น แต่คนฟังคงไม่รู้สึก
“อ้าว แล้วคุณขอบใจฉันเรื่องอะไรล่ะคะ”
นอกจากเรื่องนั้นแล้ว เขากับเธอมีอะไรให้ต้องขอบใจกันอีก หรือว่าเรื่องที่สุสาน ไม่น่าใช่หรอก เธอควรถูกต่อว่าที่ทำให้กลายเป็นเรื่องยุ่งยากมากกว่า
“ผมจะพาคุณกลับบ้าน”
ตอบไม่ตรงคำถามอีกแล้ว อันนาบ่นพึมอยู่ในใจ ผู้ชายอะไรชอบทำหน้าเรียบๆ หายใจเบาอีกนิด เธอคงคิดว่าอยู่กับแดร็กคิวล่า
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันกลับเองได้ ส่วนโทรศัพท์ ถ้าเจอเครื่องของฉันแล้ว ถึงมันจะพังยับก็เอามาคืนฉันเถอะ เครื่องนี้ถือว่ายืมไปใช้ก็พอ”
“ไม่เป็นไรเหมือนกันเพราะผมทิ้งไปแล้วจริงๆ ไม่ได้พูดเล่น” ถ้าบอกว่าถูกยิงพรุนเลยพังคนฟังคงสยองจนเป็นลมหรือเปล่าก็ไม่รู้ ทางที่ดีอย่างรู้ไปเลยดีกว่า
อันนารีบเข้าไปนั่งในรถที่เข้ามาจอดรับเมื่อเลี่ยงไม่ได้ก่อนจะพูดอะไรแย่ๆ ออกไป เธอเบี่ยงตัวให้ชิดกับประตูเหลือที่ว่างระหว่างกลางไว้มากจนนั่งได้อีกสองคนสบายๆ ชัคปรายตามองที่ว่าง ต้องทำอย่างไรให้เกิดความเป็นกันเองได้ในเวลาอันรวดเร็วเมื่อปัญหาของอันนาคงไม่จบลงภายในระยะเวลาเพียงไม่กี่วัน บอกความจริงทั้งหมดเธอคงกลัวจนใช้ชีวิตปกติไม่ได้เปล่าๆ
“ในฐานะเจ้านายผมสั่งให้คุณพักผ่อนจนกว่าแผลจะหายดีหรือแข็งแรงกว่านี้ เรื่องลางานผมจะดูแลให้”
หญิงสาวรีบยกมือห้าม หากการที่เธอไม่ทำงานวันนี้แล้วชัคเป็นคนโทรหรือไปบอกฝ่ายบุคคลคงเป็นเรื่องให้ชวนสงสัยแน่ๆ ไม่ล่ะ เธอไม่อยากทำงานแล้วต้องมาเป็นประเด็นสนทนาของใครต่อใคร
“พรุ่งนี้ฉันจะไปทำงานค่ะ ส่วนเรื่องลางาน เดี๋ยวฉันโทรไปหาพี่พริมเองดีกว่า มันคงไม่ดีเท่าไหร่ถ้าคุณจะโทรไปลางานให้ฉัน อย่าให้ใครรู้เลยดีกว่าเรารู้จักกัน”
เสียงหัวเราะกลายเป็นคำตอบแรกที่อันนาไม่คาดว่าจะได้ยินตั้งแต่พบกันครั้งแรกจนถึงตอนนี้ จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าริมฝีปากของชัคคลี่ออกเป็นรอยยิ้มได้ คนอะไรทำหน้าเหมือนแบกโลกได้ตลอดเวลา
“การรู้จักกับผมกลายเป็นเรื่องที่ต้องปิดบังเชียวหรือ”
อันนานิ่วหน้าคิดคำตอบที่ฟังดูดี “ถ้าฉันไม่ได้เป็นลูกจ้างของคุณคงไม่มีปัญหาหรอกค่ะ”
“ถ้างั้นเราเป็นเพื่อนกันดีไหมจะได้ไม่มีปัญหา”
เท่าที่จำได้เขาไม่เคยต้องขอใครเป็นเพื่อนมาก่อน ในโลกของธุรกิจ ‘เพื่อน’ มีมากมายจนบางครั้งอยากอยู่คนเดียวมากกว่า ทว่าสายตาที่มองมากลับเต็มไปด้วยความระแวง ทั้งที่เขาขอบใจที่เธอทำให้รู้สึกว่าการเริ่มรู้สึกวางใจใครสักคนได้ ไม่ได้เลวร้าย แต่ดีงามอย่างที่เธอได้ทำไปทั้งหมด
“เป็นเจ้านายกับลูกน้องน่าจะดีกว่า คุณกับฉันคงเป็นเพื่อนกันไม่ได้หรอกค่ะ”
“ทำไม” ชัคถามน้ำเสียงจริงจัง
อันนามองชัคจะบอกอย่างไรดีให้ไม่ถูกปล่อยกลางทาง นี่เขาไม่รู้หรือว่าไม่มีใครกล้าบอกกันแน่
“ถ้าฉันอยู่กับคนอื่นคงไม่ต้องกลัวตาย เหมือนเวลาที่อยู่กับคุณ ถึงคุณจะไม่ได้ฆ่าฉัน แต่คุณก็อันตรายเกินไป ชีวิตฉันของราบรื่นสวยงาม จนกระทั่งคุณเข้ามา”
เกิดความเงียบขึ้นชั่วครู่ อันนาลุ้นระทึกอยู่ในใจ เพียงคำพูดไม่กี่คำอาจทำให้ตกงานหรือตายได้
“ก็ไม่ได้อยากให้เป็นอย่างนั้น ผมจะทำให้คุณกลัวน้อยลงก็แล้วกัน”
ทำให้น่ากลัวน้อยลงงั้นหรือ ต้องทำยังไงล่ะ ในเมื่อเขาดูน่ากลัวในสายตาของใครต่อใครรวมทั้งเธอไปแล้ว หมดเรื่องจะพูดต่อ ความเงียบน่าพิสมัยกว่าคำพูดใดๆ รถเลี้ยวเข้าสู่ซอยเพียงไม่กี่เมตรก็ถึงปลายทาง
“ขอบคุณที่มาส่งนะคะ”
อันนายกมือไหว้ มันน่าจะดีกว่าสะบัดก้นลงไปเฉยๆ
คนถูกไหว้รับไหว้แทบไม่ทันพลางมองร่างเพรียวลงจากรถไปอย่างกับอยากทำแบบนั้นมาตั้งนานแล้ว อายุห่างกัน 10 ปี แก่มากเชียวหรือ แต่ทำไมเวลาอยู่กับเด็กนั่นเขากลับรู้สึกเท่าเทียม หน้าตาของอันนาแบบนี้ช่างละม้ายกับเด็กคนนั้น ตอนนี้คงอายุใกล้เคียงกันกระมัง

กุญแจห้องอยู่ในกระเป๋า แต่อันนายังไม่ทันได้ใช้งานเพราะลูกบิดหมุนได้โดยที่ไม่ต้องใช้กุญแจช่วย เธอล็อคห้องก่อนไปทำงานนี่นา ประตูถูกผลักออกไปเบาๆ อย่างระแวงระวัง แค่ไม่อยู่คืนเดียวจะซวยขนาดมีโจรเข้าเชียวหรือ
เสียงเดินเบากริบ ไม้เบสบอลที่ประตูถูกหยิบมากระชับไว้ในมือ ผ้าม่านพลิ้วเพราะกระจกบานเลื่อนเปิด อันนาจำได้ว่าไม่ได้เปิดทิ้งไว้ แล้วยิ่งเดินเข้าไปในห้องความระแวงก็แทนด้วยความประหลาดใจเมื่อเห็นนาวินนอนอยู่ที่โซฟา ธีรากำลังอ่านหนังสือ
“ยัยมด นายวิน ทำไมมานอนกันที่นี่ฮึ เตียงมีดีๆ ทำไมไม่ไปนอน”
นาวินกระโจนมาถึงตัวอันนาในพริบตาเดียวแล้วกอดเธอไว้ด้วยความดีใจ ธีราเข้ามากอดอีกคน ไม่ใช่วันเกิดใครสักหน่อย ธีราคลายกอดพร้อมกับสะกิดให้เพื่อนชายทำด้วยเหมือนกัน อันนาเห็นเพื่อนตาแดงๆ ก็ใจอ่อนยวบ ตลอดทั้งคืนที่เธอกลัวยังมีเพื่อนที่คอยห่วงใย
“กลับมาเสียที รู้ไหม มดกับวินขับรถตามหาน้ำมาทั้งคืน จนจะแจ้งตำรวจอยู่แล้วเนี่ย ไปไหนมาฮึ บอกมาให้หมดเลยนะ”
“ขมับไปโดนอะไรมา ใครทำอะไรน้ำ ไปหาหมอไหม เดี๋ยววินพาไป”
อันนายิ้มให้เพื่อนคลายความกังวลพลางเดินไปนั่งที่ปลายเตียง “อุบัติเหตุน่ะ หาหมอแล้ว ไม่ต้องทำหน้าเหมือนน้ำจะตายสิทั้งสองคนน่ะ”
“แล้วหายไปไหนมา โทรไปก็ไม่รับ” ธีราเดินมานั่งใกล้ๆ ทั้งห่วง ทั้งโมโหตัวเองที่ไม่เคยแก้ปัญหาได้สักที
นาวินนั่งลงหน้าเตียงง่ายๆ ผมยุ่งเหยิง หน้าเหมือนไม่ได้นอน แต่ประกายจากดวงตาเจิดจ้าดีใจที่อันนากลับมาอย่างปลอดภัย
“โทรศัพท์น้ำหายน่ะ เดี๋ยวเอาเบอร์ชั่วคราวไปก่อนนะ ไม่มีอะไรมากหรอก น้ำเจอคนบ้าทำร้ายเอาก็เลยเจ็บนิดหน่อย เพื่อนมาช่วยไว้ หมอตรวจแล้วบอกว่าไม่เป็นอะไร รอจนเช้าถึงได้กลับมาไงล่ะ”
“เพื่อนคนนี้ใครเหรอ วินรู้จักหรือเปล่า”
อันนาเสเดินไปที่ตู้เย็นหยิบน้ำมาออกเทใส่แก้ว ถ่วงเวลาไว้ชั่วครู่ จะตอบอย่างไรดี หากตอนนี้ไม่มีนาวินอยู่ด้วยเธอเล่าทุกอย่างให้ธีราฟังตามตรงไปแล้ว
“คิดว่าอาจจะรู้จักนะ ไม่มีอะไรน่าห่วงแล้วล่ะ เดี๋ยวขออาบน้ำแล้วนอนก่อนดีกว่า หมอให้ยามากินด้วย”
“ถ้างั้นวินไปซื้อของกินมาให้สองสาวผู้หิวโหยหน่อยสิ”
“ก็ได้ เดี๋ยววินมานะ” นาวินลุกขึ้นอย่างว่าง่ายไปหยิบกระเป๋าสตางค์กับแว่นตาแล้วออกไปจากห้อง
เมื่อเหลือกันแค่สองคนแล้ว ธีราหันมามองเพื่อนอย่างรู้ทัน “เล่ามาให้หมดเลยยัยน้ำ”
อันนากลับมานั่งที่ปลายเตียงแล้วเล่าทุกอย่างให้ธีราฟัง โดยตัดบางอย่างที่ดูเหมือนจะร้ายแรงมากออกไป เธอยังอยากทำงานตามที่ได้เรียนมา ไม่ใช่ต้องลาออกเพราะเจ้านายถูกจัดอยู่ในโหมด...อันตราย เล่าแล้วก็นึกได้ว่าต้องโทรไปลางาน งามล่ะ ไปทำงานได้สองวันก็หายหัวเสียแล้ว

แล้วจะมา up ต่อนะคะ มีจำหน่ายในรูปแบบหนังสือและ e-book แล้วค่ะ



บรรพตี
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 18 มิ.ย. 2558, 19:06:38 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 18 มิ.ย. 2558, 19:06:38 น.

จำนวนการเข้าชม : 1136





<< ตอนที่ 6 ครึ่งแรก   ตอนที่ 7 ครึ่งแรก >>
แว่นใส 18 มิ.ย. 2558, 19:39:16 น.
ดวงสมพงศ์กันดี


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account