Rainbow University สายรุ้งรักปักหัวใจนายต่างชาติ(1)
มหาวิทยาลัยสายรุ้งหรือRainbow University เป็นมหาลัยเอกชนชื่อดังของเมืองไทยที่ใครๆก็ต่างอยากมาเรียนกันทั้งนั้น เพราะที่นี่ผลิตบัณฑิตอย่างมีคุณภาพ และจะมีสิทธิประโยชน์ต่างๆเกินหยั่งถึง
ทำไมนะทำไม คนอย่างฉันจะต้องมาเจอเรื่องอะไรแบบนี้ด้วย อาจารย์นะอาจารย์ก็รู้อยู่ล้วว่าฉันน่ะมันเป็นคนที่มีความสามารถ(แน่ะ ชมตัวเองด้วย) ยังจะมาท้าทายฉันด้วยการให้โจทย์การแสดงวัฒนธรรมต่างประเทศ แถมยังต้องให้ไปหาคู่แสดงเองอีก ฉันเลยต้องไปพึ่งนักศึกษาที่เป็นเด็กแลกเปลี่ยนมาจากจีนอยู่คณะอื่น ปี3 ยังไม่พออีกนะฉันยังจะต้องมาแข่งกับยัยดาวคณะเน่านี่อีกด้วย เฮ้อ....ชีวิตหน๋อ...ชีวิต
ปล.บ่นโดย ยัยสุพรรณิการ์ นักศึกษาคณะศิลปศาสตร์ สาขานาฏศิลป์ ปี 2
Tags: รัก ฮาๆ ฟินๆจิกหมอนขาด

ตอน: ตอนที่ 5 คุณน้องกับคุณพี่

ก้ม เก็บ วาง ก้ม เก็บ วาง ก้ม เก็บ วาง นี่แหล่ะ วัฏจักรแห่งชีวิตของสุพรรณิการ์ นักศึกษาคณะศิลปะศาสตร์ สาขานาฏศิลป์ เฮ้ย...ฮุ้ย...ไม่รู้จะถอนหายใจยังไงแล้ว เหนื่อยก็เหนื่อย เมื่อยก็เมื่อย แต่จะทำยังไงได้ล่ะคะ เพื่อการงานการเรียนที่รุ่งกว่านี้ อิฉันต้องทนค่ะ
ไม่รู้ว่านานแค่ไหนแล้ว แต่สำหรับฉันมันเหมือนสัก 100 นาที ได้(ที่จริงแล้ว แค่ 10 นาทีเองนะ) ที่ฉันเอาแต่ก้มเก็บลูกบอลทั้งหลาย ที่เกลื่อนเต็มโรงยิม อีพวกที่เรียนนี่มันไม่มีมือกันรึไงวะ งานเลยตกมาหาฉันเลยเนี่ย อีตาคนที่ใช้งานฉันอีก ไม่มีงานอื่นแล้วไงเนี่ย
“เรียบร้อยรึยังครับน้อง” พูดถึงก็มาเลยนะ แหม...หายไปเล่นน้ำมารึไง เห็นรอยเปียกน้ำที่เสื้ออยู่ สนุกล่ะสิท่า(นางเอกเรื่องนี้พาลหาเรื่องทุกคน นิสัยไม่ดีเลย)
“ใกล้แล้ว ใกล้แล้ว” ฉันตอบส่งๆแบบรำคาญ แล้วก็เดินเก็บต่อไป แต่เอ๊ะ ฉันเห็นอะไรบางอย่างที่อีตาพี่จื่อเฉิงถือมา คล้ายๆไม้ถูพื้นเลยอะ
“เอามาทำอะไร นั่นน่ะ” ฉันถามพลางชี้ไปที่ไม้ถูนั่น อย่าบอกนะว่าจะให้ถูต่อ ไม่นะ
“ก็เอามาให้น้องถูพื้นไงครับ” รู้แล้วน่า ไม่ต้องบอกก็รู้ (ได้ข่าวเมื่อกี้แกถามเค้าไม่ใช่เหรอวะ)
“ถ้าฉันทำงานพวกนี้เรียบร้อยแล้ว คุณจะยอมเป็นคู่ให้ฉันใช่ไหม”
จื่อเฉิงไม่ยอมตอบอะไรฉัน เพราะเค้าเดินไปนุ๊นนนนนแล้ว คงจะได้ยินอะเนอะยัยณิการ์เอ้ยยย งานนี้จะคุ้มไหมวะเนี่ย
เค้าเดินกลับมาอีกครั้ง แต่คราวนี้มามือเปล่า แถมยังเดินมานั่งที่สแตนในโรงยิม หยิบโทรศัพท์ขี้นมาเล่นสลับกับมองฉันที่กำลังถูพื้นโรงยิมอย่างเมามันส์ วิ่งไปวิ่งมา เหนื่อยเหมือนกันนะ เวียนหัวด้วย ถูไปถูมา อ้าวเอี่ยมจนลื่นแล้ว พอเลยพอเลย อย่าเพลิน (มีการบอกกับตัวเองด้วย เยี่ยมนางเอกเรา)
“เรียบร้อยแล้วพี่ ฉันเอาผ้าถูไปซักแล้วนะ” เค้าพยักหน้าเล็กน้อย และก็หันไปสนใจโทรศัพท์ต่อ แหม...เล่นโทรศัพท์สบายใจเฉิ่มเชียวนะ น่าอิจฉา
ปึก!!!
โอ๊ย แหกเอ้ยยยยย เจ็บชะมัดเลย มัวแต่มองอิตาบ้านั่น จนเดินไปชนกับขอบประตูเฉยเลย เป็นเพราะอีตาพี่จื่อเฉิงนั่นแท้ๆ หัวเข่าฉันเขียวไหมเนี่ย (พาลจริงๆ)
หลังจากทำทุกอย่างเสร็จฉันก็ เดินกลับมาแบบ เจ็บๆ(หัวเข่า) มาหยุดอยู่ตรงหน้าคนที่กำลังเล่นโทรศัพท์อย่างสนุกสนาน
“มีอะไรครับ” ยังจะมีหน้ามาถามอีก เดี๋ยวปัด ต่อยให้หน้า(หล่อ) นี่บวมเลยดีไหม
“คุณยอมเป็นคู่ของฉันแล้วใช่มะ”
“นี่ก็บ่ายแล้ว น้องกินอะไรมารึยังครับ” คำพูดของฉันมันเคยเข้าหัวนายบ้างไหม ฉันถามคำถามนี้ไม่รู้กี่รอบแล้ว เคยคิดที่จะตอบฉัน แทนที่จะถามอย่างอื่นแทนไหม รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจจังเลย
ว่าแต่อีคำถามที่ถามมานั่นน่ะ คิดดีแล้วเหรอ ก็เห็นอยู่ว่าเลิกเรียนพร้อมกัน แล้วก็ตรงมานี่เลย ฉันคงจะวาร์ฟไปร้านค้าหาของกินแล้วก็วาร์ฟกลับมาใช่มะ หน้าฉันมันเหมือนคนกินข้าวแล้วหรือไง
“เงียบแบบนี้คงอิ่มแล้วแน่เลย ใช่ไหมครับ” ฉันควรที่จะต่อย หน้า(สวย)ของเค้าให้ความซื่อบื้อมันออกไปบ้างใช่ไหม ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลย
อีตาพี่จื่อเฉิง เตรียมตัวเก็บของใส่กระเป๋า และเดินมุ่งหน้าไปที่โรงอาหารทันที โดยไม่บอกไม่กล่าวหัวหลักหัวตอที่ยืนหัวโด่อยู่นี่สักคำ นายยังเห็นฉันเป็นคนอยู่บ้างไหม ฉันจะงอนแล้วนะ ว่าแต่ฉันจะงอนเค้าทำไม ไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย ฉันต่างหากที่ต้องง้อเค้า (สงสัยนางเอกจะหิวจนเพ้อเจ้อไปแล้ว)
ฉันรีบวิ่งตามเค้า เหมือนลูกสาวที่วิ่งตามพ่อเวลาที่ไปเที่ยว รอหน่อยก็คงไม่ทำให้หน้าตาหล่อ(สวย)ของนายลดลงหรอกมั้ง

“ไม่ต้องนั่งรอเป็นเพื่อนก็ได้นะครับ กลับบ้านไปก่อนเลย พี่ของกินข้าวก่อนนะครับ” สุภาพหรือเกินนะยะ เรียนภาษาไทยกับใครเนี่ย อยากจะรู้จริงๆเลย ไพเราะเสนาะหูยิ่งนัก
“ฉันจะนั่งรอคุณอยู่ตรงนี้แหล่ะ จนกว่าคุณจะยอมเป็นคู่แสดงของฉัน” คิดว่าฉันจะยอมกลับไปง่ายเหรอ ไม่มีทางหรอกย่ะ คนอย่างสุพรรณิการ์ ไม่มีวันท้อถอยอะไรง่ายๆอยู่แล้ว
“ก็แล้วแต่นะครับ” เค้าไม่พูดเปล่าตักข้าวคำโตๆใส่ปากหน้าตาเฉย นี่ฉันเองก็หิวเหมือนกันนะ ถ้าเที่ยงนี้ไม่มีอะไรตกถึงท้อง โรคกระเพราะต้องถามหาแน่ๆ
ฉันลุกขึ้นทันทีและเดินตรงไปยังร้านข้าวที่ยังเปิดอยู่ วู้ ร้านข้าวแต่มีแต่ผัดไท อะไรวะ ร้านข้าวแท้ๆ แต่ทำไมมีแต่ผัดไท เหลือยู่ร้านเดียวซะด้วย เอาก็เอาวะ พอซื้อเสร็จฉันก็เดินกลับมานั่งที่เดิม ตรงข้ามอีตาพี่จื่อเฉิง ที่ตอนนี้กินใกล้หมดแล้ว คนอะไรวะกินข้าวโคตรเร็วเลย
“นั่นอะไรเหรอครับ” เค้ามองมาที่จานของฉันพลางถามด้วยความสงสัยโดยแท้จริง
“ผัดไท” เค้าทำหน้าแบบงงสุดๆ คงไม่เคยกินล่ะสิ
“มันคืออะไรล่ะครับ” สงสัยจะไม่รู้จักจริงๆ ฉันจะบอกให้เอาบุญละกันเนอะชาวต่างชาติ
“เคยกินก๋วยเตี๋ยวไหม มันคล้ายๆกันนั่นแหล่ะ แค่ไม่มีน้ำ แบบว่า เอามาผัดใส่ซีอิ้วคล้ายๆผัดซีอิ้วนั่นแหล่ะ เข้าใจปะเนี่ย” ฉันอธิบายแล้วจริงๆนะ ขอร้องล่ะเข้าใจหน่อยเหอะ
“อ๋อ...เข้าใจแล้วครับ” อ้าวดันเข้าใจอีก จื่อเฉิง นายเป็นคนแรกเลยนะ ที่เข้าใจในสิ่งที่ฉันพูด ขนาดแม่ฉันแล้วก็ยัยอัญชันยังไม่เข้าใจ รู้สึกดีใจที่อย่างน้องก็มีคนบนโลกคนหนึ่งละที่เข้าใจฉัน
“^_^ จะให้ชิมดีเอาไหม” เค้าพยักหน้าทันดี เหมือนเด็กที่ดีใจมากตอนเวลาพ่อแม่ซื้อของเล่นให้ แหม...โซ้ยทันทีเลยนะ อร่อยใช่ไหมล่ะ
“อร่อยจังเลยนะ คุณน้อง” อ้อ เห็นมะว่ามันอร่อย เอ๊ะ! เมื่อกี้เค้าเรียกฉันว่าอะไรนะ คุณน้องใช่ไหม มันฟังดูแหม่งๆแปลกๆนะ
“เมื่อกี้คุณเรียกฉันว่าอะไรนะ”
“คุณน้องอะครับ ก็ครูที่สอนภาษาไทยของผมบอกว่า คุณเป็นคำที่ใช้เรียกผู้อื่นแบบสุภาพเวลาที่เราให้ความเคารพกับใครก็ใช้เรียกกับคนนั้นก็เหมือนกับที่ คุณน้องใช้คำว่าคุณแทนพี่ไงครับ” เค้าไม่ผิดเลยนะ ไม่ผิดเลยจริงๆ เรื่องนี้โทษใครไม่ได้เลย แต่ฉันว่า คุณน้องเนี่ยมันเป็นคำที่ ผู้หญิงใช้เรียกกันแบบสนิทสนมไม่ใช่เหรอ หรือไม่ก็พวกสาวปลอมอะไรแบบนั้น หืมถ้าหากใครมาได้ยินนะ คงคิดว่า อีตาพี่จื่อเฉิงเป็นแหง
ตอนนี้จานผัดไทของฉันไปอยู่กับอีตาพี่จื่อเฉิงเรียบร้อยแล้ว นี่ฉันกินได้ไม่กี่คำเองนะ หมอนี่เอาไปโซ้ยแบบไม่เกรงใจเลย ฉันแค่ยังอึ้งกับคำว่าคุณน้อง เผลอแป๊บเดียว ผัดไทหายเกลี้ยง ชิมนะคะชิม ชิมหมายถึงให้รับรู้รสชาติของมัน ไม่ใช่หมายถึงการยกให้กินหมดจาน
ซ่า...ซ่า...
อ้าว...งานงอกอีกแล้วคร๊าบ ฝนเจ้ากรรมดันมาตกอีก ไหน ยัยอัญชันรายงานเมื่อเช้าว่าท้องฟ้าแจ่มใสไง เดี๋ยวจะกลับไปด่ามันที่บ้าน ยังไงก็เถอะฉันก็ยังพกร่มมานี่หน่า เฮ้ย! ฉันจะเอาคืนให้เจ้าของที่แท้จริง แต่ก็ยังไม่ได้คืนซะที โธ่...เจ้าร่มคิตตี้จ๋า แกคงจะได้กลับไปหาเจ้าของแกช้าหน่อยแล้วล่ะ เพราะฉันจะใช้แกอยู่ อิอิ
“คุณน้องเดินทางกลับบ้านยังไงเหรอครับ” ไอ้นี่ก็สุภาพไม่เลิก ฟังไปฟังมาตลกเป็นบ้า
“ฉันขึ้นรถประจำทางตรงหน้ามหาวิทยาลัย” ฉันพูดพร้อมกับหยิบร่มขึ้นมากาง อีตาจื่อเฉิงมองมันเล็กน้อยเหมือนรู้ว่าฉันกำลังจะไปแล้ว
“ให้พี่เดินไปส่งนะครับ” เค้าแย่งร่มฉันไปโดยไม่รอคำตอบ แหม...วันหลังถ้าจะทำแบบนี้ไม่ต้องถามดีกว่าไหมคะคุณพี่ (เอากะเค้ามั้ง)
ฉันกับอีตาพี่จื่อเฉิงเดินลุยฝนกันไปภายใต้ร่มคิตตี้ ไม่คิดว่าสิ่งที่ฉันคิดไว้จะเป็นจริงได้ แต่มันตลกนิดหน่อยที่คนตัวสูงคนนั้นคือนักศึกษาแลกเปลี่ยนชาวต่างชาติผู้แสนสุภาพคนนี้ พูดแล้วก็ขำอีก
“พรุ่งนี้เจอกันที่ศาลเจ้า@@@@นะครับ” อยู่ๆก็พูดตกใจหมด
“ไปทำไมที่นั่นล่ะ” เค้าหันมามองหน้าฉันเหมือนอยากจะสื่ออะไรบางอย่าง ขอโทษนะคะคุณพี่เผอิญฉันไม่เข้าใจ ช่วยเอ่ยเป็นคำพูดหน่อยได้ไหมคะ (แกพูดในใจแล้วเค้าจะได้ยินไหม)
“ 9 โมงตรงนะครับ” ถามไปก็เท่านั้น ดีแล้วที่ฉันถามนิดหน่อย ไม่งั้นคงได้คุยกับอากาศอีกแน่
ฉันไม่ตอบอะไรเพียงแต่ก้าวขึ้นรถประจำทางที่มาจอดพอดี เค้าจะให้ฉันไปที่นั่นทำไมกัน สงสัย สงสัย อยากรู้ อยากรู้ ทำได้แค่มองเค้าผ่านหน้าต่างรถประจำทาง อีตาพี่จื่อเฉิง โบกมือบ๊ายบาย อย่างกับเด็กน้อย มองไปมองมาก็น่ารักเหมือนกันนะเนี่ยผู้ชายอะไรก็ไม่รู้ เฮ้ย!!!! นี่ฉันคิดอะไรอยู่เนี่ย เพ้อเจ้อจริงเลย (เมาน้ำฝนอีกแล้วคร๊าบท่าน)



Greek
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 21 มิ.ย. 2558, 10:39:44 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 21 มิ.ย. 2558, 10:39:44 น.

จำนวนการเข้าชม : 827





<< ตอนที่ 4 เรื่องบังเอิญหรือพรหมลิขิตหรือผีผลัก   ตอนที่ 6 นี่มันธุระหรือเดท >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account