โซ่พิสุทธิ์
มรสุมข่าวฉาวว่าซุกลูกเมียทำให้พระเอกหนุ่มอย่าง 'ธีธัช' ต้องหวนกลับไปหาอดีตคนรักอีกครั้งเพื่อขอความร่วมมือจากเธอกอบกู้ภาพลักษณ์คืนมา เขาหวังใช้ความน่ารักของลูกสาวเรียกคะแนนนิยมจากประชาชน
แต่ทุกอย่างกลับไม่เป็นดังคิด ยิ่งรับรู้ความจริง ธีธัชกลับไม่ต้องการแค่ภาพครอบครัวจอมปลอม แต่ต้องการมัทรีและลูกในชีวิตนับแต่นี้ไป
เธอบอกว่าความรักเหมือนดอกไม้ที่โรยรา แต่เขาคิดว่าความรักไม่ต่างจากดอกไม้ที่จะผลิบานได้ด้วยการรดน้ำใส่ปุ๋ยที่ชื่อความจริงใจอีกครั้งหนึ่ง
fb page : http://www.facebook.com/bhapimol.pimolbha
แต่ทุกอย่างกลับไม่เป็นดังคิด ยิ่งรับรู้ความจริง ธีธัชกลับไม่ต้องการแค่ภาพครอบครัวจอมปลอม แต่ต้องการมัทรีและลูกในชีวิตนับแต่นี้ไป
เธอบอกว่าความรักเหมือนดอกไม้ที่โรยรา แต่เขาคิดว่าความรักไม่ต่างจากดอกไม้ที่จะผลิบานได้ด้วยการรดน้ำใส่ปุ๋ยที่ชื่อความจริงใจอีกครั้งหนึ่ง
fb page : http://www.facebook.com/bhapimol.pimolbha
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: บทที่ ๖
๖
กว่าหกชั่วโมงแล้วที่มัทรีเก็บตัวอยู่แต่ในบ้าน เธอยอมเป็นลูกที่ใช้ไม่ได้ ปล่อยให้แม่ต้องเฝ้าร้านแทนและรับมือกับชายหนุ่มซึ่งไม่ยอมไปไหน เขาควรจะได้รู้ว่าบ้านหลังนี้ไม่ต้อนรับเขาอีก
หญิงสาวผล็อยหลับไปตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ เธอรู้สึกตัวตื่นเมื่อแม่ขึ้นมาตามให้ลงไปกินข้าวเย็น มองออกไปนอกหน้าต่างฟ้าก็มืดเสียแล้ว ไม่เห็นรถยุโรปคันใหญ่จอดเกะกะหน้าร้านเช่นตอนกลางวัน
มัทรีก้าวไปสวมกอดผู้เป็นแม่ เธอวางศีรษะซบบ่าท่านเหมือนที่ชอบทำ
"มัทขอโทษนะแม่"
อัมพรดันตัวลูกออก เธอกวาดตามองทั่วดวงหน้าผุดผาดอย่างค้นหาความรู้สึกที่แท้จริงของแก
"ทำไมมัททำแบบนี้ล่ะ วันก่อนมัทยังต้อนรับเขาดีนี่ลูก"
"มัทไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับเขาอีกแล้วแม่ เขาจะแถลงข่าวยังไงก็ช่าง ขอแค่อย่าเอามัทกับลูกไปเกี่ยวข้องด้วย"
"แต่ทำอย่างนี้คนจะยิ่งสงสัย เมื่อบ่ายลูกค้าก็ทักเพราะจำเขาได้ นี่ดีนะเป็นนายเด่น ลูกค้าประจำที่รับดอกไม้จากเรา เกิดเป็นคนอื่นจะไม่ยิ่งวุ่นวายหรือ มัทคงต้องตอบนักข่าวก็คราวนี้แหละ"
มัทรีถอนใจหงุดหงิด ทำไมนะ จากที่เคยคิดว่าตนรับมือได้ แต่พอเขาทำท่าจะก้าวเข้ามาในชีวิตเธออีกครั้งเข้าจริงๆ ทุกอย่างดูจะปั่นป่วนไปหมด
"เขาคงไม่มาแล้วแหละแม่ เจอพี่เด่นเข้าไป เขาคงรู้ว่าทำแบบนี้มีแต่เสี่ยงเป็นข่าวมากขึ้น" เธอตอบอย่างมั่นใจ "ไปกินข้าวเถอะจ้ะ มัทหิว"
อัมพรมองตามบุตรสาวที่ก้าวเร็วลงบันไดพลางโคลงศีรษะ นี่เธอยังพูดไม่จบเลย เจ้าตัวก็รีบลงไปเสียแล้ว
สตรีวัยกลางคนตามมาเห็นลูกกำลังคดข้าวใส่จาน กับข้าววันนี้มีเพียงแกงส้มผักรวมที่เหลือมาจากเมื่อวานเท่านั้น อัมพรก้าวตรงไปยังโต๊ะอาหารที่อยู่หลังเก้าอี้รับแขก กำลังจะพูดเรื่องที่ยังค้างคากับลูกก็พอดีกับที่มีเสียงน้ำไหลแรงอยู่นอกตัวบ้าน มัทรีหันขวับมาเลิกคิ้วประหลาดใจ
"ท่อแตกหรือเปล่านะแม่ มัทไปดูก่อน"
หญิงสาววางจานข้าวบนโต๊ะ เธอเปิดประตูหลังบ้านออกไปก็เห็นต้นเหตุที่ทำเอาเธอแทบสะดุดขาตัวเอง
ธีธัชซึ่งสวมผ้าขาวม้าผืนเดียวกำลังตักน้ำอาบอยู่ข้างโอ่ง รถยนต์ของเขาไม่ได้จอดขวางหน้าร้าน แต่มาจอดอยู่ข้างรถเธอนี่เอง
"มัท"
ชายหนุ่มยกขันปิดหน้าอกอย่างลืมตัว เมื่อเจ้าหล่อนหันหลังกลับเข้าบ้านเขาก็รีบจ้วงตักน้ำอาบ ก่อนสวมเสื้อผ้าที่แม่ของเธอนำมาให้ยืม
ธีธัชตามเข้าไปในบ้านหลังเปลี่ยนเสื้อผ้ามาสวมเสื้อยืดสีขาวกับกางเกงขาสั้นแล้วเรียบร้อย เขากอบเสื้อผ้าชุดเดิมของตนไว้กับอก ได้เข้ามาเห็นสองแม่ลูกยืนอยู่กลางบ้าน เขานึกขอบคุณที่ท่านกุมมือหญิงสาวไว้ ไม่เช่นนั้นมัทรีคงหนีขึ้นไปบนห้องอีกตามเคย
"พูดกันก่อน ที่ผ่านมาไม่ใช่เกิดปัญหาเพราะไม่ได้พูดจากันหรอกหรือ"
มัทรีเลิกคิ้วมองมารดาอย่างฉงน เมื่อก่อนท่านไม่เคยสนใจใยดีในตัวคนที่ทำให้ลูกต้องเสียใจ แต่เพียงวันนี้วันเดียว...แค่ไม่กี่ชั่วโมงก็ทำให้ท่านเปลี่ยนใจเชียวหรือ
อัมพรตบหลังมือลูกให้ใจเย็น ก่อนเธอจะขึ้นบันไดไปอยู่เป็นเพื่อนหลานข้างบน อนาคตแต่นี้ต่อไปจะเป็นอย่างไร เธอก็พร้อมอยู่เคียงข้างลูกหลานไม่เปลี่ยนแปลง แต่นั่นต้องมาจากการตัดสินใจอย่างรอบคอบของมัทรี ไม่ใช่ทิฐิมานะเช่นเมื่อกลางวัน
"พี่ขอโทษนะมัท" ชายหนุ่มเป็นฝ่ายทำลายความเงียบในบ้านหลังน้อย
"คุณเคยบอกแล้ว"
ธีธัชสั่นศีรษะ "ไม่ใช่เรื่องที่มัทท้อง แต่เป็นเรื่องที่พี่ยอมให้คนอื่นจูงจมูกตลอดมา"
มัทรีงันไปอย่างนึกไม่ถึงว่าจะได้ยินคำนี้ เขายอมรับแล้วหรือว่าเห็นค่าใครหรือสิ่งใดมากกว่าลูก แต่จะโทษคนอื่นทั้งหมดคงไม่ถูกต้องนัก ตัวเขาเองนั่นแหละที่เลือกจะทำอย่างที่แล้วมา
"มัท...พูดอะไรบ้างสิ"
หญิงสาวสูดลมหายใจลึก เธอไม่มีสิ่งใดจะพูด เช่นเดียวกับที่ไม่หลงเหลือความรู้สึกใดต่อเขาอีก
"มันผ่านไปแล้วค่ะ เราต่างก็ผ่านมันมาแล้ว ก็ให้มันผ่านไป คุณไม่ต้องรู้สึกผิดที่น้องปลายเป็นแบบนี้ คุณทำหน้าที่พ่อได้ดีกว่าคนเป็นพ่อบางครอบครัวเสียด้วยซ้ำ ฉันกับลูกมีความสุขดี คุณก็เห็นรอยยิ้มแกนี่คะ"
"แล้วรอยยิ้มมัทล่ะ"
มัทรีหลุดหัวเราะพรืด หากเสียงหัวเราะนั้นกรีดใจคนฟังชอบกล
"ลองถามโบ้กับหยกดูสิคะ ฉันไม่ได้ยิ้มต่อหน้าคุณ ไม่ได้หมายความว่าฉันจะไม่ยิ้มสักหน่อย"
ธีธัชเม้มปากอย่างข่มอารมณ์ความรู้สึกข้างใน เขารู้ว่าเธอหมายความว่าอย่างไร และถ้าความเจ็บปวดนี้คือสิ่งที่มัทรีเคยประสบ ก็ไม่มีข้อโต้แย้งใดที่เขาจะต้องแบกรับมันบ้างเสียที
ทว่าแทนที่เขาจะล่าถอย มัทรีกลับผิดคาดเมื่อชายหนุ่มนั่งลงยังโต๊ะกินข้าว ตักแกงส้มที่มีแต่ผักกินกับข้าวสวยที่เธอเตรียมไว้เหมือนมันเอร็ดอร่อยเต็มประดา
"มัทซื้อที่ไหน ขนาดมีแต่ผักยังอร่อย"
"ทำเอง" เธอตอบแกนๆ
เขาเบิกตาอย่างเหลือเชื่อ "ไม่รู้เลยว่ามัททำเป็น"
"เพิ่งทำเป็นเพราะมาอยู่บ้านนี่ล่ะค่ะ"
ธีธัชหน้าเสียอีกครั้ง เธอต้องออกจากงานมาอยู่แต่บ้านก็เพราะเขา อย่างนั้นสินะ
ชายหนุ่มเหลือบมองอดีตคนรักที่นั่งลงฝั่งตรงข้าม เธอเลื่อนจานซึ่งมีข้าวสวยพูนอีกใบไปใกล้ตัว ก่อนจะตักกินเงียบๆ ราวกับแขกไม่ได้รับเชิญอย่างเขามิได้นั่งอยู่ตรงนั้น
"มัท พี่ขอโทษ..." เมื่อเห็นอีกฝ่ายชะงักมือซึ่งตักข้าวเขาก็รีบเอ่ยสำทับออกไป "มัทคงคิดว่าคำขอโทษของพี่ไม่มีค่า แต่พี่จะพิสูจน์ด้วยการกระทำตั้งแต่นี้ไป มัทให้โอกาสพี่นะ"
"เพื่องานแถลงข่าวน่ะหรือคะ"
"เพื่อเราจะกลับมาเป็นครอบครัวเดียวกันอีกครั้ง" ธีธัชเอ่ยแก้
มัทรีมองสบแสงตาจริงจังด้วยความไม่เข้าใจ หัวใจที่แทบหยุดเต้นไปครั้งหนึ่งแล้ววูบไหว ขัดขืนคำสั่งของสมองที่ไม่ต้องการรู้สึกใดๆ
หญิงสาววางช้อนอิ่มตื้อเอาเดี๋ยวนั้น เธอยกเก็บทั้งถ้วยแกงและจานข้าวอีกสองใบ ไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะอิ่มแล้วหรือไม่ ร่างเพรียวก้าวไปดึงประตูเปิด แต่เมื่อธีธัชยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม น้ำเสียงที่เอ่ยจึงมีอารมณ์
"เชิญกลับไปได้แล้ว ฉันจะล็อกบ้านเสียที"
อากัปกิริยานั้นคือคำตอบว่าเธอไม่ให้โอกาส ชายหนุ่มเม้มปากแน่นอย่างเจ็บปวดใจ
"มัทเกลียดพี่ขนาดนี้เชียวเหรอ"
เธอไม่ตอบ แต่เอ่ยไล่อีกครั้งหนึ่ง "เชิญค่ะ"
ธีธัชไม่อยู่รอให้เธอออกปากไล่อีกครั้งหนึ่ง แต่ก่อนที่มัทรีจะปิดประตูตามหลังเขาก็ยื้อยุดบานประตูได้ทัน พระเอกหนุ่มฝืนยิ้มแจ่มใสพลางเอ่ยราวไม่มีเรื่องบาดหมาง
"พี่จะนอนในรถ ถ้ามัทจะไล่คงต้องแจ้งความเอาล่ะ"
"อย่ามาท้านะ"
"พี่ไม่ได้ท้า บางทีพี่ก็อยากทำอะไรโดยไม่ต้องคิดแบบนี้มานานแล้ว เจอกันพรุ่งนี้ครับ"
ธีธัชเป็นฝ่ายดึงประตูปิดเอง ได้ยินเสียงกดล็อกด้วยความไม่พอใจมาจากคนข้างใน ครั้นมองลอดผ่านหน้าต่างเหล็กดัดไปที่ครัวก็เห็นหญิงสาวกำลังกระแทกล้างจานชามอย่างหัวเสียเต็มที
รอยยิ้มที่ฝืนทำใจดีสู้เสือเลือนหายไปจากใบหน้า อดคิดไม่ได้ว่าการกระทำของตนที่ผ่านมาในอดีตเคยทำร้ายเธอสักเพียงไหนหนอ จากผู้หญิงสดใสจึงเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ทั้งใจแข็ง แข็งกระด้างต่อเขายิ่งนัก ไม่มีรอยยิ้มหน้าเป็นทว่าจริงใจที่เคยทำให้เขาหลงรักในตัวเธออีกเลย
.....................
มัทรีแง้มปิดประตูห้องนอนให้เบามือที่สุด เมื่อไฟในห้องดับลงไปแล้วแสดงว่าลูกน้อยของตนคงเข้าสู่ห้วงนิทรา และคืนนี้ยายของแกก็เป็นผู้กล่อมนอน
"ปลายหลับไปนานยังจ๊ะ" เธอกระซิบถามผู้เป็นแม่
แสงนวลจากไฟหัวเตียงส่องให้เห็นท่านกำลังพลิกอ่านแผ่นพับต่างๆ ที่มัทรีหยิบสะสมมาจากโรงพยาบาล
"สักพักแล้วลูก แล้วนี่...คุยกันรู้เรื่องหรือเปล่าฮึ"
หญิงสาวโคลงศีรษะ เธอนั่งพับขาขึ้นมายังปลายเตียง
"มัทเบื่อ ทำไมเขาต้องมายุ่งวุ่นวายกับเราตอนนี้ มัทกำลังมีความสุขดีแท้ๆ"
อัมพรขยับไปนั่งใกล้ลูกพลางลูบหลังลูบไหล่ปลอบโยน เธอจำน้ำเสียงทดท้อเจือความหงุดหงิดใจของแกได้ดี ไม่ต่างจากที่เด็กหญิงมัทรีเคยบ่นอิดออดเมื่อถูกคัดเลือกให้เป็นนางนพมาศของชั้นเรียน
'มัทเบื่อ ไม่อยากไปโรงเรียนเลยแม่ คอยดูนะ มัทจะแกล้งป่วยให้งานป่วนเลย'
มือหยาบกร้านกุมมือลูกไว้ เพราะเธอและสามีมีลูกตอนอายุมากแล้วจึงค่อนข้างตามใจแก และเพราะเหลืออยู่เพียงสองแม่ลูก กอปรกับเธออายุมากขึ้นทุกวัน อัมพรจึงอยากเห็นมัทรีมีคนที่วางใจช่วยดูแล แม้คนคนนั้นจะเคยทำผิดพลาดมาแล้วก็เถิด แต่วันนี้เองที่เขาเพิ่งขอโอกาสกับเธออย่างจริงใจ
"เมื่อกลางวัน ธีร์เขาขอโอกาสกับแม่พิสูจน์ตัวเองให้มัทเห็นว่าเขาไม่ได้ต้องการให้มัทไปงานแถลงข่าวเพื่อรักษาภาพพจน์เท่านั้น แต่เขาต้องการยอมรับกับสังคมว่ามัทและปลายคือครอบครัวของเขา"
อ้อ นี่เขามาประกาศนโยบายกับแม่ของเธอด้วยหรอกหรือ มัทรีถึงบางอ้อที่มารดาดูจะเปิดโอกาสให้ชายหนุ่มเหลือเกิน
"เขาเป็นนักแสดงนะแม่ เราไม่รู้หรอกว่าเขารู้สึกจริงหรือแกล้งทำ มัทเข็ดแล้วกับผู้ชายคนนี้"
นางอัมพรลอบถอนใจ เมื่อคิดในมุมของคนที่เคยเจ็บช้ำมาก่อนเธอก็เห็นใจลูกเป็นที่สุด หวนนึกถึงวันที่มัทรีนำพวงมาลัยมากราบแทบเท้าและสารภาพทั้งน้ำตาว่าแกท้อง หัวใจคนเป็นแม่ก็รวดร้าว หนำซ้ำเมื่อมองหาไม่เห็นผู้ชายคนที่จะรับผิดชอบ อัมพรก็เจ็บปวดที่ถูกย่ำยีหัวใจ
กว่าพวกตนจะผ่านช่วงเวลายากลำบากนั้นมาต้องใช้กำลังใจไปตั้งเท่าไร โดยเฉพาะมัทรี
"ไม่ว่าอย่างไรแม่ก็อยู่ข้างมัทเสมอ"
บุตรสาวยิ้มหวานให้มารดา เธอกางแขนพลางโถมตัวกอดท่านเหมือนเด็กน้อยในวันวาน
"มัทรักแม่จัง"
"ปากหวาน"
มือเหี่ยวย่นหนีบจมูกรั้นของลูกด้วยความหมั่นไส้ มัทรีแสร้งโอดครวญก่อนจะรีบยกมือปิดปากพลางหันมองลูกน้อยบนเตียง แต่เด็กหญิงปลายฟ้าก็ยังคงหลับสนิทเช่นเดิม
ชีวิตที่มีแค่แม่ซึ่งเป็นมิ่งขวัญกับลูกผู้เป็นแก้วตาดวงใจนั้นสงบสุขเหลือเกินแล้ว มัทรีไม่ต้องการใครเข้ามาเพิ่มเติม ยิ่งคนคนนั้นคือคนที่เลือกเดินจากไปแล้วครั้งหนึ่ง หากเปิดประตูใจรับเขาเข้ามาในชีวิตอีกครา ก็ไม่มีสิ่งใดรับประกันว่าเขาจะไม่ตักตวงพลังใจของเธอและเดินออกไปอีกหนหนึ่ง
....................
"อ้าวธีร์..."
น้ำเสียงแสดงความแปลกใจเรียกให้คนที่กำลังใช้ขันวักน้ำจากโอ่งมาล้างหน้าล้างตาหันมอง แล้วก็ได้เห็นหญิงชราก้าวออกมาจากประตูหลังบ้าน ท่านนิ่วหน้ามองเขาอยู่ที่กรอบประตู
"นึกว่ากลับไปแล้ว มัทไม่ได้บอก..."
อัมพรหยุดคำพูดไว้แค่นั้น เมื่อคืนเธอก็ไม่ได้ถามลูกเช่นกัน เพราะคิดว่าบุรุษผู้นี้คงล่าถอยกลับไปจากคำบอกเล่าของบุตรสาวตน
"แล้วนี่นอนที่ไหน ในรถน่ะหรือ ยุงไม่หามแย่"
"เกือบหามแล้วครับ ดีว่าผมตัวหนัก" เขาตอบแจ่มใส
พูดถึงยุงธีธัชก็คันยิบขึ้นมาตามผิวหนังทันที เขายกมือเกาแขนที่มีตุ่มแดง คันทั้งจากยุงและผดผื่นที่เห่อขึ้นมาเพราะอากาศร้อนอบอ้าว
แม้จะอยู่ข้างลูก หากอัมพรก็อดเห็นใจในความพยายามของอีกฝ่ายไม่ได้ กำลังจะเข้าไปหาเสื้อผ้าชุดเก่าของสามีมาให้ผลัดเปลี่ยนก็พอดีกับที่มัทรีลงบันไดมา
"แม่จ๋า ฝากดูน้องปลายทีนะ เดี๋ยวมัทรีบไปรีบมา"
ชายหนุ่มก้าวไปที่กรอบประตูทันทีที่ได้ยินเสียงใส ทันเห็นหญิงสาวในชุดเสื้อผ้าทอชาวเขากับกางเกงผ้าตัวโคร่งเตรียมพร้อมออกไปข้างนอก เขาจึงรีบเดินอ้อมไปหาเธอยังประตูหน้าบ้านโดยพลัน
"มัทจะไปไหน"
มัทรีก้มสวมรองเท้าหุ้มส้น เธอไม่ตอบคำถามแต่เดินผ่านเขาไปยังรถจักรยานยนต์คันเก่าที่จอดไว้แทน
"เดี๋ยวพี่ไปส่ง ขี่มอเตอร์ไซค์มันอันตรายนะ ข้างนอกนั่นมีแต่รถวิ่งเร็วๆ"
หญิงสาวบิดคันเร่งสตาร์ตเครื่องอย่างไม่สนใจ ปกติเจ้ามอเตอร์ไซค์คันนี้สตาร์ตติดยากอยู่แล้ว แต่เมื่อมาอยู่ต่อหน้าเขาเธอกลับหงุดหงิดและอับอาย อัมพรเห็นท่าไม่ดีจึงแทรกขึ้นมา
"ถ้ามันสตาร์ตไม่ติดก็เอารถไปไม่ดีกว่าหรือลูก"
มัทรีไม่ตอบหากลงน้ำหนักที่เท้าแรงขึ้น คราวนี้เครื่องยนต์จึงทำงาน เธอรีบบิดแฮนด์เร่งเครื่องไม่ให้ดับไปอีก
"ไปแล้วจ้ะแม่" เธอร้องบอกท่านอย่างอารมณ์ดีขึ้นบ้าง
"ระวังรถราด้วยล่ะ" อัมพรตะโกนไล่หลังไป
ธีธัชถอนใจหงุดหงิดที่มัทรีดูจะไม่รับรู้ความห่วงใยของเขา หรือว่าไปเขาก็ไม่เคยได้รู้การใช้ชีวิตของเธอ โลกของเขาและอดีตคนรักกว้างเพียงแค่ภายในตัวบ้านเขาเท่านั้น
"ไม่ต้องห่วงหรอก มัทมันเอาตัวรอดได้เสมอ เขาขี่อยู่แถวนี้ตั้งแต่มอปลายแล้วล่ะ"
ชายหนุ่มหันมองตามเสียงบอกเล่าก็ได้เห็นมารดาของมัทรียังคงยืนอยู่ข้างๆ หากประโยคเมื่อกี้มีขึ้นเพื่อความสบายใจของเขา ประโยคต่อมาก็ตอกย้ำในทีว่าเขาและบุตรสาวท่านอยู่คนละโลกกัน
"หนุ่มสาวสมัยนี้ก็อย่างนี้แหละนะ รู้จักกันแต่เพียงผิวเผิน เห็นแต่ด้านดีๆ ของกันก็คิดว่าเป็นความรัก รักง่ายก็หน่ายเร็ว"
"ไม่..." ธีธัชจะปฏิเสธ แต่เมื่อเห็นสายตาของท่านตวัดมองมา เขาก็ได้แต่กลืนคำพูดกลับลงไป
"ยัยมัทน่ะแม่พูดไม่ฟังหรอก ไม่ค่อยสนใจเสียงใครที่ไหน ก็เหมือนที่ธีร์เห็นเมื่อกี้ล่ะ ถ้าลงว่าไม่ชอบอะไรแล้วก็จะหนีไปให้ไกล ธีร์กลับไปเถอะนะ ไม่มีประโยชน์หรอก เสียการเสียงานเปล่าๆ"
ชายหนุ่มขบกรามแน่นพลางสั่นศีรษะ เขายอมถูกต่อว่า ถูกเมินเฉย แต่จะไม่ถอยกลับทั้งที่รู้สึกว่าตนยังไม่ได้พยายามอย่างเต็มที่เช่นนี้
"แต่แม่ให้โอกาสผมแล้วนี่ครับ"
"แม่ให้ แต่มัทล่ะ"
"ผมรู้ว่ามัทต้องอดทนมามาก เท่าที่ผมทำอยู่นี้เทียบไม่ได้หรอกครับ ผมจะอดทนรอวันที่มัทให้โอกาสผมให้ได้" เขาเอ่ยหนักแน่น ก่อนดวงตาจะอ่อนแสงลงเมื่อหลุบตามองสภาพตนเอง "ผมขอรบกวนแค่น้ำอาบเท่านั้น"
อัมพรโคลงศีรษะพร้อมกับยิ้มออกมาอย่างอ่อนอกอ่อนใจ ลำพังตัวเธอไม่มีปัญหาอยู่แล้ว
"เดี๋ยวแม่ขึ้นไปเอาชุดให้ อาบน้ำอาบท่าแล้วก็เจียวไข่กินเองได้ใช่ไหม แม่ต้องเช็ดตัวให้น้องปลาย"
"ได้ครับ ได้" ชายหนุ่มรีบตอบรับลิงโลด "แต่ว่าให้ผมช่วยเช็ดตัวลูกด้วยได้ไหมครับ"
หญิงชราอ่อนใจกับคนที่ได้คืบจะเอาศอก เธอเดินเข้าบ้านไปหยิบเสื้อผ้าเก่าเก็บของสามีมาให้เขาโดยไม่ได้เอ่ยอะไร
.......................
ธีธัชจ้วงตักน้ำอาบอย่างรีบเร่งเพื่อที่จะได้ตามขึ้นไปดูผู้สูงวัยเช็ดตัวให้บุตรสาวตน แต่เอาเข้าจริงแล้วเขากลับหยุดยืนอยู่หน้าห้องที่เปิดประตูแง้มไว้ มีไอเย็นผ่านออกมา ธีธัชลังเลใจที่จะได้สัมผัสลูกนั่นเอง
มือหนาค่อยผลักประตูเข้าไป แล้วก็ได้เห็นหญิงชราชะงักมือซึ่งซับผ้าชุบน้ำหมาดไปตามใบหน้าลูกน้อย ราวกั้นเตียงเด็กข้างหนึ่งถูกปลดลงเพื่อความสะดวก ชายหนุ่มก้าวไปยืนข้างท่านที่ด้านนั้น พร้อมกับที่ดวงตากลมโตของลูกมองสบมายังเขาเข้าพอดี
แขนซึ่งกางราบไปกับที่นอนไม่ไหวติง ขาสองข้างวางบนหมอนที่รองใต้เข่า ยิ่งมองใบหน้าไร้เดียงสาของแก ธีธัชก็อยากดึงสายระโยงระยางที่มาบดบังความสดใสนั้นออกให้หมด แต่ก็ทำไม่ได้... ลูกของเขามีชีวิตอยู่ได้ด้วยอุปกรณ์เหล่านั้น ไม่ใช่เพราะพ่ออย่างเขาเลย
แม้จะปิดเครื่องปรับอากาศและเปิดหน้าต่าง หากไอเย็นก็ยังคงอ้อยอิ่ง เขานำเสื้อตัวจิ๋วที่วางอยู่ปลายเตียงมาห่มหน้าอกลูกไว้อย่างกลัวแกจะหนาว ขณะผู้เป็นยายนำผ้าชุบกับน้ำในกะละมังบนโต๊ะหัวเตียง แล้วธีธัชก็ต้องแปลกใจเมื่อท่านส่งผ้าชุบน้ำหมาดมาให้เขาแทน
"เดี๋ยวธีร์เช็ดหลังลูกนะ แม่จะช่วยจับแกพลิก"
ชายหนุ่มมองหญิงชราพยายามพลิกตะแคงตัวลูกน้อยอย่างมึนงง แล้วก็ยิ่งทำอะไรไม่ถูกเมื่อได้ยินเสียงครืดคราดในลำคอลูก กลัวแกเจ็บ กลัวแกหายใจไม่ออก กลัวไปสารพัด ตรงข้ามกับท่าทีคุ้นเคยของผู้สูงวัย
"เช็ดหลังแน่ะธีร์ ทาแป้ง แล้วเอาเสื้อมาสอดใต้หลังลูก"
ธีธัชซับผ้าหมาดน้ำลงบนผิวอ่อนอย่างแผ่วเบาที่สุด แม้เมื่อทาแป้งไปบนผิวบอบบางของลูก มือไม้เขาก็สั่นเทา ด้วยเป็นครั้งแรกที่เขาได้สัมผัสใกล้ชิดแก
"เอ๋ น้องปลาย วันนี้ใครทาแป้งให้หนูเอ๋ย"
เสียงยายหยอกเย้าหลานแต่กลับทำให้คนเป็นพ่อน้ำตาคลอ เขาสอดเสื้อใต้แผนหลังของลูกน้อยอย่างงกๆ เงิ่นๆ เรียกสายตาของอัมพรให้หันมองก็เห็นปลายจมูกแดงเรื่อของชายหนุ่ม
"ทำอย่างนี้ค่ะ" เธอบอกเสียงอ่อนลง
หญิงชราสาธิตด้วยการสอดเสื้อไปใต้หลังของหลาน ก่อนจะพลิกแกนอนหงายและจับแขนลีบเล็กสอดเข้าไปในแขนเสื้อทีละข้าง ผูกเชือกด้านหน้าเสื้อก็เป็นอันแล้วเสร็จ
อัมพรยกกะละมังและผ้าขนหนูไปเก็บ ปล่อยให้สองพ่อลูกได้อยู่ด้วยกันลำพัง
ธีธัชเอื้อมมือสั่นเทาไปจับเท้าลูก ใบหน้าสดใสของแกพร่าเลือนไปด้วยหยาดน้ำตาของคนเป็นพ่อที่เอ่อท้นขึ้นมา เขาประคองเท้าเล็กของแกไว้ด้วยสองมือ โน้มตัวลงจุมพิตแนบเท้าของลูก พร้อมกับที่น้ำตาพรั่งพรูลงมา
ผู้สูงวัยออกจากห้องน้ำมาเห็นภาพนั้น แล้วท่านก็เลือกที่จะเดินออกจากห้องไปเงียบๆ เพื่อแอบเช็ดน้ำตา
...จบตอน...
ในที่สุดธีร์ก็ได้ทำหน้าที่พ่อสักทีนะคะ โชคดีที่ไม่สายไป
ขอเสียงคนเชียร์ธีร์หน่อยค่าาา
... กริบเชียว 5555
อ้อ ตอนหน้ามีคุณหมอมาแนะนำให้สาวๆ รู้จักด้วยค่ะ
กว่าหกชั่วโมงแล้วที่มัทรีเก็บตัวอยู่แต่ในบ้าน เธอยอมเป็นลูกที่ใช้ไม่ได้ ปล่อยให้แม่ต้องเฝ้าร้านแทนและรับมือกับชายหนุ่มซึ่งไม่ยอมไปไหน เขาควรจะได้รู้ว่าบ้านหลังนี้ไม่ต้อนรับเขาอีก
หญิงสาวผล็อยหลับไปตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ เธอรู้สึกตัวตื่นเมื่อแม่ขึ้นมาตามให้ลงไปกินข้าวเย็น มองออกไปนอกหน้าต่างฟ้าก็มืดเสียแล้ว ไม่เห็นรถยุโรปคันใหญ่จอดเกะกะหน้าร้านเช่นตอนกลางวัน
มัทรีก้าวไปสวมกอดผู้เป็นแม่ เธอวางศีรษะซบบ่าท่านเหมือนที่ชอบทำ
"มัทขอโทษนะแม่"
อัมพรดันตัวลูกออก เธอกวาดตามองทั่วดวงหน้าผุดผาดอย่างค้นหาความรู้สึกที่แท้จริงของแก
"ทำไมมัททำแบบนี้ล่ะ วันก่อนมัทยังต้อนรับเขาดีนี่ลูก"
"มัทไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับเขาอีกแล้วแม่ เขาจะแถลงข่าวยังไงก็ช่าง ขอแค่อย่าเอามัทกับลูกไปเกี่ยวข้องด้วย"
"แต่ทำอย่างนี้คนจะยิ่งสงสัย เมื่อบ่ายลูกค้าก็ทักเพราะจำเขาได้ นี่ดีนะเป็นนายเด่น ลูกค้าประจำที่รับดอกไม้จากเรา เกิดเป็นคนอื่นจะไม่ยิ่งวุ่นวายหรือ มัทคงต้องตอบนักข่าวก็คราวนี้แหละ"
มัทรีถอนใจหงุดหงิด ทำไมนะ จากที่เคยคิดว่าตนรับมือได้ แต่พอเขาทำท่าจะก้าวเข้ามาในชีวิตเธออีกครั้งเข้าจริงๆ ทุกอย่างดูจะปั่นป่วนไปหมด
"เขาคงไม่มาแล้วแหละแม่ เจอพี่เด่นเข้าไป เขาคงรู้ว่าทำแบบนี้มีแต่เสี่ยงเป็นข่าวมากขึ้น" เธอตอบอย่างมั่นใจ "ไปกินข้าวเถอะจ้ะ มัทหิว"
อัมพรมองตามบุตรสาวที่ก้าวเร็วลงบันไดพลางโคลงศีรษะ นี่เธอยังพูดไม่จบเลย เจ้าตัวก็รีบลงไปเสียแล้ว
สตรีวัยกลางคนตามมาเห็นลูกกำลังคดข้าวใส่จาน กับข้าววันนี้มีเพียงแกงส้มผักรวมที่เหลือมาจากเมื่อวานเท่านั้น อัมพรก้าวตรงไปยังโต๊ะอาหารที่อยู่หลังเก้าอี้รับแขก กำลังจะพูดเรื่องที่ยังค้างคากับลูกก็พอดีกับที่มีเสียงน้ำไหลแรงอยู่นอกตัวบ้าน มัทรีหันขวับมาเลิกคิ้วประหลาดใจ
"ท่อแตกหรือเปล่านะแม่ มัทไปดูก่อน"
หญิงสาววางจานข้าวบนโต๊ะ เธอเปิดประตูหลังบ้านออกไปก็เห็นต้นเหตุที่ทำเอาเธอแทบสะดุดขาตัวเอง
ธีธัชซึ่งสวมผ้าขาวม้าผืนเดียวกำลังตักน้ำอาบอยู่ข้างโอ่ง รถยนต์ของเขาไม่ได้จอดขวางหน้าร้าน แต่มาจอดอยู่ข้างรถเธอนี่เอง
"มัท"
ชายหนุ่มยกขันปิดหน้าอกอย่างลืมตัว เมื่อเจ้าหล่อนหันหลังกลับเข้าบ้านเขาก็รีบจ้วงตักน้ำอาบ ก่อนสวมเสื้อผ้าที่แม่ของเธอนำมาให้ยืม
ธีธัชตามเข้าไปในบ้านหลังเปลี่ยนเสื้อผ้ามาสวมเสื้อยืดสีขาวกับกางเกงขาสั้นแล้วเรียบร้อย เขากอบเสื้อผ้าชุดเดิมของตนไว้กับอก ได้เข้ามาเห็นสองแม่ลูกยืนอยู่กลางบ้าน เขานึกขอบคุณที่ท่านกุมมือหญิงสาวไว้ ไม่เช่นนั้นมัทรีคงหนีขึ้นไปบนห้องอีกตามเคย
"พูดกันก่อน ที่ผ่านมาไม่ใช่เกิดปัญหาเพราะไม่ได้พูดจากันหรอกหรือ"
มัทรีเลิกคิ้วมองมารดาอย่างฉงน เมื่อก่อนท่านไม่เคยสนใจใยดีในตัวคนที่ทำให้ลูกต้องเสียใจ แต่เพียงวันนี้วันเดียว...แค่ไม่กี่ชั่วโมงก็ทำให้ท่านเปลี่ยนใจเชียวหรือ
อัมพรตบหลังมือลูกให้ใจเย็น ก่อนเธอจะขึ้นบันไดไปอยู่เป็นเพื่อนหลานข้างบน อนาคตแต่นี้ต่อไปจะเป็นอย่างไร เธอก็พร้อมอยู่เคียงข้างลูกหลานไม่เปลี่ยนแปลง แต่นั่นต้องมาจากการตัดสินใจอย่างรอบคอบของมัทรี ไม่ใช่ทิฐิมานะเช่นเมื่อกลางวัน
"พี่ขอโทษนะมัท" ชายหนุ่มเป็นฝ่ายทำลายความเงียบในบ้านหลังน้อย
"คุณเคยบอกแล้ว"
ธีธัชสั่นศีรษะ "ไม่ใช่เรื่องที่มัทท้อง แต่เป็นเรื่องที่พี่ยอมให้คนอื่นจูงจมูกตลอดมา"
มัทรีงันไปอย่างนึกไม่ถึงว่าจะได้ยินคำนี้ เขายอมรับแล้วหรือว่าเห็นค่าใครหรือสิ่งใดมากกว่าลูก แต่จะโทษคนอื่นทั้งหมดคงไม่ถูกต้องนัก ตัวเขาเองนั่นแหละที่เลือกจะทำอย่างที่แล้วมา
"มัท...พูดอะไรบ้างสิ"
หญิงสาวสูดลมหายใจลึก เธอไม่มีสิ่งใดจะพูด เช่นเดียวกับที่ไม่หลงเหลือความรู้สึกใดต่อเขาอีก
"มันผ่านไปแล้วค่ะ เราต่างก็ผ่านมันมาแล้ว ก็ให้มันผ่านไป คุณไม่ต้องรู้สึกผิดที่น้องปลายเป็นแบบนี้ คุณทำหน้าที่พ่อได้ดีกว่าคนเป็นพ่อบางครอบครัวเสียด้วยซ้ำ ฉันกับลูกมีความสุขดี คุณก็เห็นรอยยิ้มแกนี่คะ"
"แล้วรอยยิ้มมัทล่ะ"
มัทรีหลุดหัวเราะพรืด หากเสียงหัวเราะนั้นกรีดใจคนฟังชอบกล
"ลองถามโบ้กับหยกดูสิคะ ฉันไม่ได้ยิ้มต่อหน้าคุณ ไม่ได้หมายความว่าฉันจะไม่ยิ้มสักหน่อย"
ธีธัชเม้มปากอย่างข่มอารมณ์ความรู้สึกข้างใน เขารู้ว่าเธอหมายความว่าอย่างไร และถ้าความเจ็บปวดนี้คือสิ่งที่มัทรีเคยประสบ ก็ไม่มีข้อโต้แย้งใดที่เขาจะต้องแบกรับมันบ้างเสียที
ทว่าแทนที่เขาจะล่าถอย มัทรีกลับผิดคาดเมื่อชายหนุ่มนั่งลงยังโต๊ะกินข้าว ตักแกงส้มที่มีแต่ผักกินกับข้าวสวยที่เธอเตรียมไว้เหมือนมันเอร็ดอร่อยเต็มประดา
"มัทซื้อที่ไหน ขนาดมีแต่ผักยังอร่อย"
"ทำเอง" เธอตอบแกนๆ
เขาเบิกตาอย่างเหลือเชื่อ "ไม่รู้เลยว่ามัททำเป็น"
"เพิ่งทำเป็นเพราะมาอยู่บ้านนี่ล่ะค่ะ"
ธีธัชหน้าเสียอีกครั้ง เธอต้องออกจากงานมาอยู่แต่บ้านก็เพราะเขา อย่างนั้นสินะ
ชายหนุ่มเหลือบมองอดีตคนรักที่นั่งลงฝั่งตรงข้าม เธอเลื่อนจานซึ่งมีข้าวสวยพูนอีกใบไปใกล้ตัว ก่อนจะตักกินเงียบๆ ราวกับแขกไม่ได้รับเชิญอย่างเขามิได้นั่งอยู่ตรงนั้น
"มัท พี่ขอโทษ..." เมื่อเห็นอีกฝ่ายชะงักมือซึ่งตักข้าวเขาก็รีบเอ่ยสำทับออกไป "มัทคงคิดว่าคำขอโทษของพี่ไม่มีค่า แต่พี่จะพิสูจน์ด้วยการกระทำตั้งแต่นี้ไป มัทให้โอกาสพี่นะ"
"เพื่องานแถลงข่าวน่ะหรือคะ"
"เพื่อเราจะกลับมาเป็นครอบครัวเดียวกันอีกครั้ง" ธีธัชเอ่ยแก้
มัทรีมองสบแสงตาจริงจังด้วยความไม่เข้าใจ หัวใจที่แทบหยุดเต้นไปครั้งหนึ่งแล้ววูบไหว ขัดขืนคำสั่งของสมองที่ไม่ต้องการรู้สึกใดๆ
หญิงสาววางช้อนอิ่มตื้อเอาเดี๋ยวนั้น เธอยกเก็บทั้งถ้วยแกงและจานข้าวอีกสองใบ ไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะอิ่มแล้วหรือไม่ ร่างเพรียวก้าวไปดึงประตูเปิด แต่เมื่อธีธัชยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม น้ำเสียงที่เอ่ยจึงมีอารมณ์
"เชิญกลับไปได้แล้ว ฉันจะล็อกบ้านเสียที"
อากัปกิริยานั้นคือคำตอบว่าเธอไม่ให้โอกาส ชายหนุ่มเม้มปากแน่นอย่างเจ็บปวดใจ
"มัทเกลียดพี่ขนาดนี้เชียวเหรอ"
เธอไม่ตอบ แต่เอ่ยไล่อีกครั้งหนึ่ง "เชิญค่ะ"
ธีธัชไม่อยู่รอให้เธอออกปากไล่อีกครั้งหนึ่ง แต่ก่อนที่มัทรีจะปิดประตูตามหลังเขาก็ยื้อยุดบานประตูได้ทัน พระเอกหนุ่มฝืนยิ้มแจ่มใสพลางเอ่ยราวไม่มีเรื่องบาดหมาง
"พี่จะนอนในรถ ถ้ามัทจะไล่คงต้องแจ้งความเอาล่ะ"
"อย่ามาท้านะ"
"พี่ไม่ได้ท้า บางทีพี่ก็อยากทำอะไรโดยไม่ต้องคิดแบบนี้มานานแล้ว เจอกันพรุ่งนี้ครับ"
ธีธัชเป็นฝ่ายดึงประตูปิดเอง ได้ยินเสียงกดล็อกด้วยความไม่พอใจมาจากคนข้างใน ครั้นมองลอดผ่านหน้าต่างเหล็กดัดไปที่ครัวก็เห็นหญิงสาวกำลังกระแทกล้างจานชามอย่างหัวเสียเต็มที
รอยยิ้มที่ฝืนทำใจดีสู้เสือเลือนหายไปจากใบหน้า อดคิดไม่ได้ว่าการกระทำของตนที่ผ่านมาในอดีตเคยทำร้ายเธอสักเพียงไหนหนอ จากผู้หญิงสดใสจึงเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ทั้งใจแข็ง แข็งกระด้างต่อเขายิ่งนัก ไม่มีรอยยิ้มหน้าเป็นทว่าจริงใจที่เคยทำให้เขาหลงรักในตัวเธออีกเลย
.....................
มัทรีแง้มปิดประตูห้องนอนให้เบามือที่สุด เมื่อไฟในห้องดับลงไปแล้วแสดงว่าลูกน้อยของตนคงเข้าสู่ห้วงนิทรา และคืนนี้ยายของแกก็เป็นผู้กล่อมนอน
"ปลายหลับไปนานยังจ๊ะ" เธอกระซิบถามผู้เป็นแม่
แสงนวลจากไฟหัวเตียงส่องให้เห็นท่านกำลังพลิกอ่านแผ่นพับต่างๆ ที่มัทรีหยิบสะสมมาจากโรงพยาบาล
"สักพักแล้วลูก แล้วนี่...คุยกันรู้เรื่องหรือเปล่าฮึ"
หญิงสาวโคลงศีรษะ เธอนั่งพับขาขึ้นมายังปลายเตียง
"มัทเบื่อ ทำไมเขาต้องมายุ่งวุ่นวายกับเราตอนนี้ มัทกำลังมีความสุขดีแท้ๆ"
อัมพรขยับไปนั่งใกล้ลูกพลางลูบหลังลูบไหล่ปลอบโยน เธอจำน้ำเสียงทดท้อเจือความหงุดหงิดใจของแกได้ดี ไม่ต่างจากที่เด็กหญิงมัทรีเคยบ่นอิดออดเมื่อถูกคัดเลือกให้เป็นนางนพมาศของชั้นเรียน
'มัทเบื่อ ไม่อยากไปโรงเรียนเลยแม่ คอยดูนะ มัทจะแกล้งป่วยให้งานป่วนเลย'
มือหยาบกร้านกุมมือลูกไว้ เพราะเธอและสามีมีลูกตอนอายุมากแล้วจึงค่อนข้างตามใจแก และเพราะเหลืออยู่เพียงสองแม่ลูก กอปรกับเธออายุมากขึ้นทุกวัน อัมพรจึงอยากเห็นมัทรีมีคนที่วางใจช่วยดูแล แม้คนคนนั้นจะเคยทำผิดพลาดมาแล้วก็เถิด แต่วันนี้เองที่เขาเพิ่งขอโอกาสกับเธออย่างจริงใจ
"เมื่อกลางวัน ธีร์เขาขอโอกาสกับแม่พิสูจน์ตัวเองให้มัทเห็นว่าเขาไม่ได้ต้องการให้มัทไปงานแถลงข่าวเพื่อรักษาภาพพจน์เท่านั้น แต่เขาต้องการยอมรับกับสังคมว่ามัทและปลายคือครอบครัวของเขา"
อ้อ นี่เขามาประกาศนโยบายกับแม่ของเธอด้วยหรอกหรือ มัทรีถึงบางอ้อที่มารดาดูจะเปิดโอกาสให้ชายหนุ่มเหลือเกิน
"เขาเป็นนักแสดงนะแม่ เราไม่รู้หรอกว่าเขารู้สึกจริงหรือแกล้งทำ มัทเข็ดแล้วกับผู้ชายคนนี้"
นางอัมพรลอบถอนใจ เมื่อคิดในมุมของคนที่เคยเจ็บช้ำมาก่อนเธอก็เห็นใจลูกเป็นที่สุด หวนนึกถึงวันที่มัทรีนำพวงมาลัยมากราบแทบเท้าและสารภาพทั้งน้ำตาว่าแกท้อง หัวใจคนเป็นแม่ก็รวดร้าว หนำซ้ำเมื่อมองหาไม่เห็นผู้ชายคนที่จะรับผิดชอบ อัมพรก็เจ็บปวดที่ถูกย่ำยีหัวใจ
กว่าพวกตนจะผ่านช่วงเวลายากลำบากนั้นมาต้องใช้กำลังใจไปตั้งเท่าไร โดยเฉพาะมัทรี
"ไม่ว่าอย่างไรแม่ก็อยู่ข้างมัทเสมอ"
บุตรสาวยิ้มหวานให้มารดา เธอกางแขนพลางโถมตัวกอดท่านเหมือนเด็กน้อยในวันวาน
"มัทรักแม่จัง"
"ปากหวาน"
มือเหี่ยวย่นหนีบจมูกรั้นของลูกด้วยความหมั่นไส้ มัทรีแสร้งโอดครวญก่อนจะรีบยกมือปิดปากพลางหันมองลูกน้อยบนเตียง แต่เด็กหญิงปลายฟ้าก็ยังคงหลับสนิทเช่นเดิม
ชีวิตที่มีแค่แม่ซึ่งเป็นมิ่งขวัญกับลูกผู้เป็นแก้วตาดวงใจนั้นสงบสุขเหลือเกินแล้ว มัทรีไม่ต้องการใครเข้ามาเพิ่มเติม ยิ่งคนคนนั้นคือคนที่เลือกเดินจากไปแล้วครั้งหนึ่ง หากเปิดประตูใจรับเขาเข้ามาในชีวิตอีกครา ก็ไม่มีสิ่งใดรับประกันว่าเขาจะไม่ตักตวงพลังใจของเธอและเดินออกไปอีกหนหนึ่ง
....................
"อ้าวธีร์..."
น้ำเสียงแสดงความแปลกใจเรียกให้คนที่กำลังใช้ขันวักน้ำจากโอ่งมาล้างหน้าล้างตาหันมอง แล้วก็ได้เห็นหญิงชราก้าวออกมาจากประตูหลังบ้าน ท่านนิ่วหน้ามองเขาอยู่ที่กรอบประตู
"นึกว่ากลับไปแล้ว มัทไม่ได้บอก..."
อัมพรหยุดคำพูดไว้แค่นั้น เมื่อคืนเธอก็ไม่ได้ถามลูกเช่นกัน เพราะคิดว่าบุรุษผู้นี้คงล่าถอยกลับไปจากคำบอกเล่าของบุตรสาวตน
"แล้วนี่นอนที่ไหน ในรถน่ะหรือ ยุงไม่หามแย่"
"เกือบหามแล้วครับ ดีว่าผมตัวหนัก" เขาตอบแจ่มใส
พูดถึงยุงธีธัชก็คันยิบขึ้นมาตามผิวหนังทันที เขายกมือเกาแขนที่มีตุ่มแดง คันทั้งจากยุงและผดผื่นที่เห่อขึ้นมาเพราะอากาศร้อนอบอ้าว
แม้จะอยู่ข้างลูก หากอัมพรก็อดเห็นใจในความพยายามของอีกฝ่ายไม่ได้ กำลังจะเข้าไปหาเสื้อผ้าชุดเก่าของสามีมาให้ผลัดเปลี่ยนก็พอดีกับที่มัทรีลงบันไดมา
"แม่จ๋า ฝากดูน้องปลายทีนะ เดี๋ยวมัทรีบไปรีบมา"
ชายหนุ่มก้าวไปที่กรอบประตูทันทีที่ได้ยินเสียงใส ทันเห็นหญิงสาวในชุดเสื้อผ้าทอชาวเขากับกางเกงผ้าตัวโคร่งเตรียมพร้อมออกไปข้างนอก เขาจึงรีบเดินอ้อมไปหาเธอยังประตูหน้าบ้านโดยพลัน
"มัทจะไปไหน"
มัทรีก้มสวมรองเท้าหุ้มส้น เธอไม่ตอบคำถามแต่เดินผ่านเขาไปยังรถจักรยานยนต์คันเก่าที่จอดไว้แทน
"เดี๋ยวพี่ไปส่ง ขี่มอเตอร์ไซค์มันอันตรายนะ ข้างนอกนั่นมีแต่รถวิ่งเร็วๆ"
หญิงสาวบิดคันเร่งสตาร์ตเครื่องอย่างไม่สนใจ ปกติเจ้ามอเตอร์ไซค์คันนี้สตาร์ตติดยากอยู่แล้ว แต่เมื่อมาอยู่ต่อหน้าเขาเธอกลับหงุดหงิดและอับอาย อัมพรเห็นท่าไม่ดีจึงแทรกขึ้นมา
"ถ้ามันสตาร์ตไม่ติดก็เอารถไปไม่ดีกว่าหรือลูก"
มัทรีไม่ตอบหากลงน้ำหนักที่เท้าแรงขึ้น คราวนี้เครื่องยนต์จึงทำงาน เธอรีบบิดแฮนด์เร่งเครื่องไม่ให้ดับไปอีก
"ไปแล้วจ้ะแม่" เธอร้องบอกท่านอย่างอารมณ์ดีขึ้นบ้าง
"ระวังรถราด้วยล่ะ" อัมพรตะโกนไล่หลังไป
ธีธัชถอนใจหงุดหงิดที่มัทรีดูจะไม่รับรู้ความห่วงใยของเขา หรือว่าไปเขาก็ไม่เคยได้รู้การใช้ชีวิตของเธอ โลกของเขาและอดีตคนรักกว้างเพียงแค่ภายในตัวบ้านเขาเท่านั้น
"ไม่ต้องห่วงหรอก มัทมันเอาตัวรอดได้เสมอ เขาขี่อยู่แถวนี้ตั้งแต่มอปลายแล้วล่ะ"
ชายหนุ่มหันมองตามเสียงบอกเล่าก็ได้เห็นมารดาของมัทรียังคงยืนอยู่ข้างๆ หากประโยคเมื่อกี้มีขึ้นเพื่อความสบายใจของเขา ประโยคต่อมาก็ตอกย้ำในทีว่าเขาและบุตรสาวท่านอยู่คนละโลกกัน
"หนุ่มสาวสมัยนี้ก็อย่างนี้แหละนะ รู้จักกันแต่เพียงผิวเผิน เห็นแต่ด้านดีๆ ของกันก็คิดว่าเป็นความรัก รักง่ายก็หน่ายเร็ว"
"ไม่..." ธีธัชจะปฏิเสธ แต่เมื่อเห็นสายตาของท่านตวัดมองมา เขาก็ได้แต่กลืนคำพูดกลับลงไป
"ยัยมัทน่ะแม่พูดไม่ฟังหรอก ไม่ค่อยสนใจเสียงใครที่ไหน ก็เหมือนที่ธีร์เห็นเมื่อกี้ล่ะ ถ้าลงว่าไม่ชอบอะไรแล้วก็จะหนีไปให้ไกล ธีร์กลับไปเถอะนะ ไม่มีประโยชน์หรอก เสียการเสียงานเปล่าๆ"
ชายหนุ่มขบกรามแน่นพลางสั่นศีรษะ เขายอมถูกต่อว่า ถูกเมินเฉย แต่จะไม่ถอยกลับทั้งที่รู้สึกว่าตนยังไม่ได้พยายามอย่างเต็มที่เช่นนี้
"แต่แม่ให้โอกาสผมแล้วนี่ครับ"
"แม่ให้ แต่มัทล่ะ"
"ผมรู้ว่ามัทต้องอดทนมามาก เท่าที่ผมทำอยู่นี้เทียบไม่ได้หรอกครับ ผมจะอดทนรอวันที่มัทให้โอกาสผมให้ได้" เขาเอ่ยหนักแน่น ก่อนดวงตาจะอ่อนแสงลงเมื่อหลุบตามองสภาพตนเอง "ผมขอรบกวนแค่น้ำอาบเท่านั้น"
อัมพรโคลงศีรษะพร้อมกับยิ้มออกมาอย่างอ่อนอกอ่อนใจ ลำพังตัวเธอไม่มีปัญหาอยู่แล้ว
"เดี๋ยวแม่ขึ้นไปเอาชุดให้ อาบน้ำอาบท่าแล้วก็เจียวไข่กินเองได้ใช่ไหม แม่ต้องเช็ดตัวให้น้องปลาย"
"ได้ครับ ได้" ชายหนุ่มรีบตอบรับลิงโลด "แต่ว่าให้ผมช่วยเช็ดตัวลูกด้วยได้ไหมครับ"
หญิงชราอ่อนใจกับคนที่ได้คืบจะเอาศอก เธอเดินเข้าบ้านไปหยิบเสื้อผ้าเก่าเก็บของสามีมาให้เขาโดยไม่ได้เอ่ยอะไร
.......................
ธีธัชจ้วงตักน้ำอาบอย่างรีบเร่งเพื่อที่จะได้ตามขึ้นไปดูผู้สูงวัยเช็ดตัวให้บุตรสาวตน แต่เอาเข้าจริงแล้วเขากลับหยุดยืนอยู่หน้าห้องที่เปิดประตูแง้มไว้ มีไอเย็นผ่านออกมา ธีธัชลังเลใจที่จะได้สัมผัสลูกนั่นเอง
มือหนาค่อยผลักประตูเข้าไป แล้วก็ได้เห็นหญิงชราชะงักมือซึ่งซับผ้าชุบน้ำหมาดไปตามใบหน้าลูกน้อย ราวกั้นเตียงเด็กข้างหนึ่งถูกปลดลงเพื่อความสะดวก ชายหนุ่มก้าวไปยืนข้างท่านที่ด้านนั้น พร้อมกับที่ดวงตากลมโตของลูกมองสบมายังเขาเข้าพอดี
แขนซึ่งกางราบไปกับที่นอนไม่ไหวติง ขาสองข้างวางบนหมอนที่รองใต้เข่า ยิ่งมองใบหน้าไร้เดียงสาของแก ธีธัชก็อยากดึงสายระโยงระยางที่มาบดบังความสดใสนั้นออกให้หมด แต่ก็ทำไม่ได้... ลูกของเขามีชีวิตอยู่ได้ด้วยอุปกรณ์เหล่านั้น ไม่ใช่เพราะพ่ออย่างเขาเลย
แม้จะปิดเครื่องปรับอากาศและเปิดหน้าต่าง หากไอเย็นก็ยังคงอ้อยอิ่ง เขานำเสื้อตัวจิ๋วที่วางอยู่ปลายเตียงมาห่มหน้าอกลูกไว้อย่างกลัวแกจะหนาว ขณะผู้เป็นยายนำผ้าชุบกับน้ำในกะละมังบนโต๊ะหัวเตียง แล้วธีธัชก็ต้องแปลกใจเมื่อท่านส่งผ้าชุบน้ำหมาดมาให้เขาแทน
"เดี๋ยวธีร์เช็ดหลังลูกนะ แม่จะช่วยจับแกพลิก"
ชายหนุ่มมองหญิงชราพยายามพลิกตะแคงตัวลูกน้อยอย่างมึนงง แล้วก็ยิ่งทำอะไรไม่ถูกเมื่อได้ยินเสียงครืดคราดในลำคอลูก กลัวแกเจ็บ กลัวแกหายใจไม่ออก กลัวไปสารพัด ตรงข้ามกับท่าทีคุ้นเคยของผู้สูงวัย
"เช็ดหลังแน่ะธีร์ ทาแป้ง แล้วเอาเสื้อมาสอดใต้หลังลูก"
ธีธัชซับผ้าหมาดน้ำลงบนผิวอ่อนอย่างแผ่วเบาที่สุด แม้เมื่อทาแป้งไปบนผิวบอบบางของลูก มือไม้เขาก็สั่นเทา ด้วยเป็นครั้งแรกที่เขาได้สัมผัสใกล้ชิดแก
"เอ๋ น้องปลาย วันนี้ใครทาแป้งให้หนูเอ๋ย"
เสียงยายหยอกเย้าหลานแต่กลับทำให้คนเป็นพ่อน้ำตาคลอ เขาสอดเสื้อใต้แผนหลังของลูกน้อยอย่างงกๆ เงิ่นๆ เรียกสายตาของอัมพรให้หันมองก็เห็นปลายจมูกแดงเรื่อของชายหนุ่ม
"ทำอย่างนี้ค่ะ" เธอบอกเสียงอ่อนลง
หญิงชราสาธิตด้วยการสอดเสื้อไปใต้หลังของหลาน ก่อนจะพลิกแกนอนหงายและจับแขนลีบเล็กสอดเข้าไปในแขนเสื้อทีละข้าง ผูกเชือกด้านหน้าเสื้อก็เป็นอันแล้วเสร็จ
อัมพรยกกะละมังและผ้าขนหนูไปเก็บ ปล่อยให้สองพ่อลูกได้อยู่ด้วยกันลำพัง
ธีธัชเอื้อมมือสั่นเทาไปจับเท้าลูก ใบหน้าสดใสของแกพร่าเลือนไปด้วยหยาดน้ำตาของคนเป็นพ่อที่เอ่อท้นขึ้นมา เขาประคองเท้าเล็กของแกไว้ด้วยสองมือ โน้มตัวลงจุมพิตแนบเท้าของลูก พร้อมกับที่น้ำตาพรั่งพรูลงมา
ผู้สูงวัยออกจากห้องน้ำมาเห็นภาพนั้น แล้วท่านก็เลือกที่จะเดินออกจากห้องไปเงียบๆ เพื่อแอบเช็ดน้ำตา
...จบตอน...
ในที่สุดธีร์ก็ได้ทำหน้าที่พ่อสักทีนะคะ โชคดีที่ไม่สายไป
ขอเสียงคนเชียร์ธีร์หน่อยค่าาา
... กริบเชียว 5555
อ้อ ตอนหน้ามีคุณหมอมาแนะนำให้สาวๆ รู้จักด้วยค่ะ
ภาพิมล_พิมลภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 25 มิ.ย. 2558, 15:41:00 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 25 มิ.ย. 2558, 15:41:00 น.
จำนวนการเข้าชม : 1581
<< บทที่ ๕ | บทที่ ๗ >> |
แว่นใส 25 มิ.ย. 2558, 22:14:58 น.
หนูน้อยจะหายป่วยไหมคะ
หนูน้อยจะหายป่วยไหมคะ
wanida 26 มิ.ย. 2558, 07:59:09 น.
ชอบค่ะ ให้พระเอกได้รับ บทเรียนบ้าง
ชอบค่ะ ให้พระเอกได้รับ บทเรียนบ้าง
ปอยอะนะ 26 มิ.ย. 2558, 09:51:40 น.
จบแบบน้ำตาซึม
จบแบบน้ำตาซึม
ปิ่นนลิน 26 มิ.ย. 2558, 10:52:16 น.
ธีร์เรียกคะแนนได้ละ เป็นพ่อที่ดูแลลูกบ้างไรบ้าง
แต่น้ำตาแค่นี้คงไม่เท่าที่มัทเสียไปหรอก พยายามเข้านายธีร์
ธีร์เรียกคะแนนได้ละ เป็นพ่อที่ดูแลลูกบ้างไรบ้าง
แต่น้ำตาแค่นี้คงไม่เท่าที่มัทเสียไปหรอก พยายามเข้านายธีร์
Kim 26 มิ.ย. 2558, 12:38:35 น.
น่าสงสารน้องปลายจังค่ะ
น่าสงสารน้องปลายจังค่ะ
ภาพิมล_พิมลภา 26 มิ.ย. 2558, 16:00:17 น.
คุณแว่นใส - ในความเป็นจริงแล้วไมาหายอ่าค่ะ
คุณwanida - เนอะ ธีร์ยังต้องพยายามอีกมากค่ะ
คุณปอยอะนะ - ดีใจที่คนอ่านอินตามนะคะ
คุณปิ่นนลิน - ใช่ค่า ธีร์ได้ทำแค่หน้าที่พ่อเท่านั้นนน
คุณKim - เป็นกำลังใจให้ด้วยนะคะ > <
คุณแว่นใส - ในความเป็นจริงแล้วไมาหายอ่าค่ะ
คุณwanida - เนอะ ธีร์ยังต้องพยายามอีกมากค่ะ
คุณปอยอะนะ - ดีใจที่คนอ่านอินตามนะคะ
คุณปิ่นนลิน - ใช่ค่า ธีร์ได้ทำแค่หน้าที่พ่อเท่านั้นนน
คุณKim - เป็นกำลังใจให้ด้วยนะคะ > <