กำราบรักจอมเผด็จการ
'กฎของเราคือห้ามรัก' ชัคไม่คิดว่าจะพาอันนามาสู่อันตราย ร่วมมือกันเพื่อหาคนร้ายคือทางออกเดียวที่เธอจะออกไปจากวังวนของมาเฟียอย่างเขาได้
Tags: ความรัก อดีต ซาบซึ้ง

ตอน: ตอนที่ 9 ครึ่งแรก

สายตาของชัคกำลังมองไปยังรถที่ขับเข้ามาจอด พ่อบ้านลงไปรับและช่วยเปิดประตูให้ภารดีกับลิลลา นี่เองหรือเหตุผลที่พ่อโทรให้เขารีบกลับมา แผนจับคู่ช่างน่าเบื่อหน่ายพอๆ กับคำถามที่ใครต่อใครมักเอ่ย...ดีขึ้นแล้วหรือยัง ทำใจได้แล้วใช่ไหม ทำไมถึงคิดว่าเขายังเสียใจ ในเมื่อความเสียใจมันอยู่เพียงวันเดียวเท่านั้น ที่เขาเป็นอยู่ในตอนนี้ไม่ใช่เพราะเสียใจจากความรัก
“วิธีนี้มันไม่ได้ผลหรอกครับพ่อ” ชัคเห็นรอยยิ้มของพ่อแล้วอดไม่ได้
“แต่มันก็น่าจะลองดูนี่หว่า ถ้าเจ้าคินว่างคงมาช่วยพ่ออีกแรง ไม่เห็นหรือว่าเชื่อพ่อแล้วดียังไง ปีหน้าพี่ของแกก็แต่งงานแล้ว”
ชัคไม่อยากจะเถียงเพราะภาคินได้ฤกษ์แต่งงานมาแล้วจริงๆ ผลงานการหาลูกสะใภ้ของคุณชรันตามเคย แต่ตัวเองกลับครองตัวเป็นพ่อหม้ายเหมือนลุงบูรไม่มีผิด
อาหารค่ำจงใจสร้างบรรยากาศให้เหมือนออกเดท บรรดาพ่อกับแม่พากันมานั่งฝั่งหนึ่ง ทำให้ลิลลากับชัคต้องนั่งเคียงกันในสวนสวย แสงไฟรวงเคล้าเพลงเบาๆ ที่ภาคินมาช่วยจัดให้ก่อนไปดูแลร้านของตัวเอง อาหารพร้อมแล้วที่โต๊ะ ลิลลาช่วยรินไวน์ให้ทุกคน แล้วยังตักอาหารให้ชรันและชัคอย่างเอาใจ
“ช่างจดช่างจำเชียวยัยหนูลิล ต่อไปอยู่ด้วยกัน ชัคจะได้ไม่ต้องมาบอกอะไรมากนะคะ มีคนรู้ใจแบบนี้แล้ว”
ชรันหัวเราะชอบใจเห็นด้วยกับภารดี ลิลลาเขินเอียงอาย อนาคตว่าที่ลูกสะใภ้ของคุณชรัน เจ้าของอีกคนของ Prime Corporation ก็ใกล้แค่เอื้อมสมใจตามที่แม่ต้องการ
“ถ้าเรื่องชอบอะไร ไม่ชอบอะไร เลขาของผมก็พอทราบครับคุณน้า” ชัคคลี่ริมฝีปาก
ชรันส่ายหน้าใส่ลูกชาย “พูดไม่ถนอมน้ำใจน้องเลยว่ะเจ้าชัค ดูสิหน้าเสียไปแล้วนั่น ไม่ต้องคิดมากนะหนูลิล ลูกชายลุงมันพูดเล่นน่ะ”
ลิลลาฝืนยิ้มแม้ว่าในใจเหลวเป็นน้ำไปแล้ว บรรยากาศชวนฝันโรแมนติกกลายเป็นอึมครึม แม้ภารดีกับชรันจะคุยกันให้อะไรๆ มันดีขึ้น แต่ชัคยังคงขมวดคิ้วอย่างกันใครบังคับให้มา จนอาหารถูกเก็บไป ของหวานเข้ามาแทน แต่เขาไม่มีอารมณ์อยากกินอะไรอีก
“เอาไว้คราวหน้านัดกินข้าวกันใหม่นะครับพ่อ วันนี้ผมคงทำเสียเรื่องแล้ว”
ชัคลุกขึ้นก้มหน้าลงให้แขกเป็นเชิงขอโทษแล้วเดินจากไปทันที ลิลลาหน้าเจื่อนเหวอ ภารตียังคงยิ้มเหมือนไม่ถือสาอะไร ทว่ายามมองเพื่อนเก่ากลับน้ำตาคลออย่างกับจะร้องไห้
“คุณชรันคะ...”
มือของชรันวางลงบนมือนุ่มในเชิงเพื่อนแล้วส่ายหน้ายิ้มๆ ให้รู้ว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
“อย่าเพิ่งไปขวางเลย ถ้าหนูลิลใช่สำหรับชัค เดี๋ยวก็รู้ตัวเอง ตอนนี้เร่งรัดไปหนูลิลจะเสียใจในอนาคตได้นะรดี” ชรันเตือน เขาไม่บังคับใจลูก ถ้าสุดท้ายเด็กสองคนไม่ได้รักกัน ก็เป็นเพื่อนกันไป
ภารตีถอนใจเบาๆ พยักหน้าเข้าใจแล้วลงมือทานของหวานพลางบอกให้ลูกสาวช่วยตักโน่นตักนี่ให้ชรัน การขอตัวไปของชัคกลายเป็นเรื่องเล็กน้อยไปในพริบตา เมื่อความโกรธถูกปิดเม้นไว้อย่างแนบเนียน

“มีคนอยู่แถวนี้บ้างรึเปล่า ได้ยินไหม มาเปิดประตูให้ที!”
อันนาไอโขลกๆ มือก็ช้ำเพราะทุบประตูให้มีเสียง แต่หลายชั่วโมงผ่านไปยังไม่มีใครมาร้องหาให้มีความหวังได้สักคน รอถึงเช้าจะมีใครรู้หรือเปล่าว่าเธอมาติดแหง็กในห้องนี้ ประตูบ้านี่ก็ต้องใส่รหัส ถ้าเป็นลูกบิดเธอพังไปแล้ว ยอมเสียค่าซื้อลูกบิดกับบานประตูใหม่ด้วยเอ้า
“ได้ยินไหม หิวน้ำ หิวข้าว ได้ยินบ้างไหม”
มือที่หายเจ็บตบบานประตูซ้ำๆ หูแนบฟังเผื่อ รปภ จะเดินมาตรวจแถวๆ นี้บ้าง แต่คงหวังผลยาก ตั้งหลายชั่วโมงแล้วยังไร้หวัง แต่...ไม่ใช่หนนี้ เธอได้ยินเสียงเดินจากรองเท้าหลายคู่ ความหวังเรืองรองราวกับแสงไฟ
“ช่วยด้วย มีคนติดอยู่ในนี้” อันนาส่งเสียงตะโกนลั่น
“ได้ยิน เดี๋ยวจะเปิดประตูให้”
บิงโก!!! มีเสียงคนตอบมาแล้ว
อันนาบอกขอบคุณลั่นแล้วถอยหลังรออย่างใจจดใจจ่อ ประตูกระชากเปิดออกอย่างรวดเร็ว หญิงสาววิ่งออกไปอย่างที่อยากเมื่อ 5 ชั่วโมงก่อน แสงไฟด้านนอกทำให้เห็นผู้มีพระคุณอย่างสุดซึ้ง แต่พอจำได้ว่าเป็นใคร องค์นางมารก็ลงประทับมองตาขวาง
“คุณใช่ไหมที่ล็อคประตูขังฉันไว้ในนั้น ฉันโมโหจนนึกคำด่าไม่ออกแล้วนะ ทำไมต้องแกล้งกันด้วย”
ชัคมองไปยังเงาสุดท้ายที่หลบเกือบไม่ทัน ผู้หญิงอะไรเร็วอย่างกับลิง ยังดีที่คนของเขาเร็วกว่า
“นี่คือคำพูดที่ผมควรได้รับหลังจากมาช่วยคุณให้ออกมาจากห้องมืดๆ อับๆ อย่างงั้นหรือ เสียเวลาจริงๆ ผมไม่เคยดีในสายตาคุณเลย”
อ้าว! อันนาขมวดคิ้วใส่ เธอไม่มีคู่แค้นที่ไหนนอกจากเขานี่ แล้วดูเถอะพอสะบัดบ๊อบใส่ก็เกินลิ่วๆ ไป อาการเกรียนใส่แบบนี้สงสัยไม่ใช่เขาหรอกมั้ง
“คุณไม่ได้ขังฉันไว้ในห้องจริงๆ หรือคะ”
ชัคหยุดแล้วหันมาคนรีบเดินเลยจมูกทิ่มอกเข้าเต็มรักแถมจะเซล้มเสียเอง คนถูกกล่าวหายังมีน้ำใจคว้าแขนไว้ให้ยืนตั้งหลักแล้วปล่อย เดี๋ยวจะถูกยัดข้อหาอะไรอีก อันนามองตาแป๋วก็เขายังค้างคำตอบอยู่นี่
“ไม่จริง ผมทำทุกอย่างนั้นแหละ”
ซะงั้น เดินหนีอีกแล้ว อันนาเดินเร็วๆ ไปดักหน้าแล้วยกมือไหว้เท่าที่แขนแข็งๆ จะทำได้ ตอนนี้รู้ตัวแล้วว่าใจร้อนเกินไป
“ฉันขอบคุณ แล้วก็...ขอโทษที่คิดร้ายๆ ใส่คุณไปแบบนั้น”
ชัคเลิกคิ้วกอดอกใส่ “ทีโกหกทำไมถึงเชื่อ พอพูดจริงกลับไม่เชื่อ”
“ไม่รู้สิ โมโหหิวละมั้ง แล้วงานก็ยังทำไม่เสร็จเพราะมาติดแหง็กอยู่ในห้องนั้น แล้วคุณตามหาฉันพบได้ยังไงล่ะคะ”
อันนาถามเรื่อยๆ ชักกังวล ถ้า รปภ มาเห็น มันคงเป็นเรื่องแปลกๆ ที่พนักงานดันมาอยู่กับเจ้านายในเวลาเที่ยงคืนพอดี บอกว่ามาทำงานใครจะไปเชื่อ
“ผมกลับมาทำงาน พอดีได้ยินเสียงคุณน่ะสิ” ชัคเดินช้าให้พอๆ กับคนโมโหหิว
“กลับมาทำงานตอนเที่ยงคืนเนี่ยนะ โห ทำงานจนตัวเป็นเกลียวแบบนี้นี่เองถึงได้รวยเอาๆ”
ชัคจงใจเฉยไม่ตอบไปมากกว่านั้น เบี่ยงตัวให้อันนาเดินขึ้นบันไดแล้วเขาเดินตามหลัง ฝนกำลังตกพรำๆ อากาศหนาว หญิงสาวมองหาทางที่จะเข้าไปในตึก แต่ให้ขึ้นไปคนเดียวคงไม่รอด ลิฟต์ก็ปิดไปหมดแล้ว ท้องเจ้ากรรมก็ดันมาส่งเสียงไม่รักษาหน้าอีก อย่าได้สงสัยว่าชัคได้ยินหรือเปล่า
“หิวไหม”
อันนายิ้มเขินๆ หัวเราะแก้อาย แม้ว่ามันจะช่วยไม่ได้เท่าไหร่
“ถ้าบอกว่าไม่หิว คุณคงไม่เชื่อหรอกเนอะ ไส้แทบขาดแล้วน่ะสิคุณ แค่ไม่เป็นลมยังมีแรงแหกปากร้องจนคุณได้ยินนี่ฉันก็คิดว่าตัวเองใกล้เป็นแรมโบ้แล้วล่ะ”
โชคดีที่เขาไม่หัวเราะเยาะใส่ ทำให้เธอยังพอยิ้มออก ตอนนี้หากเดินไปทางซ้ายจะเป็นลานจอดรถ แต่ถ้าไปทางขวาจะเจอบันไดที่พาไปชั้น 14 หอบแทบตายแน่ แต่มันจำเป็น ไม่มีกระเป๋าสตางค์จะกลับบ้านได้ยังไง
“กระเป๋าของฉันอยู่ที่โต๊ะทำงาน คุณไปเป็นเพื่อนฉันหน่อยได้ไหม”
“ป่านนี้ห้องคงล็อกไปหมดแล้ว ไปบอก รปภ ก็จะกลายเป็นเรื่องเอิกเกริกเปล่าๆ” ถ้าชาญได้ยินคงหัวเราะ
“ถ้างั้นฉันขอมยืมเงินคุณหน่อยได้ไหมคะ จะได้มีเงินจ่ายค่ารถกลับหอ”
เรื่องนี้เองหรือที่ทำให้เธอกังวล ชัคไม่ทันคิดเพราะหากเป็นเรื่องแค่นี้ทำไมเขาจะดูแลไม่ได้ มือหนายื่นมาจับแขนของอันนาไว้
“มาด้วยกันทางนี้”
ทางนี้ของเขาคือลานจอดรถ อันนายอมเดินตามไปดีๆ ขืนดึงดันไม่ไปด้วยคงถูกอุ้มจนไปด้วยกัน แขนยังเข้าเฝือกแบบนี้ต่อยใครถนัดได้เสียที่ไหน ชาญเปิดประตูรถไว้รอนาย แถมยังเผื่อมาถึงเธออีกด้วย น่าแปลกที่รถสีดำคล้ายๆ กันจอดอยู่ใกล้ๆ อีกสามคันกลับตามมาด้วย แต่เพียงไม่นานก็ขับแยกออกไป เขาไปไหนต้องพกคนเป็นกองร้อยหรือไง
อันนายกแขนอีกข้างมากอดอกเพราะแอร์ในรถเย็นอย่างกับอยู่ขั้วโลก แน่ล่ะ ใส่สูทเต็มยศแบบนี้คงสบายกำลังดี แต่เธอหนาวจะแย่
สูทสีดำตัวหนายื่นมาวางให้ตรงหน้าขา อันนาก้มหน้าแอบหัวเราะก่อนจะหยิบเสื้อส่งคืนให้เจ้าของที่ใจดีจนขนลุก บางทีคงเพราะแอร์
“ขอบคุณที่ให้เสื้อฉันอีกแล้ว แต่พอเถอะ ถ้ารับเสื้อคุณมาอีกคงไม่เหลือที่ในตู้ไว้แขวนเสื้อของตัวเองแล้วล่ะค่ะ”
“รับไปเถอะน่า หนาวไม่ใช่รึ ถ้าคุณใส่เสื้อแล้วผมจะพาไปหากินของอร่อยๆ ตบท้ายด้วยพาไปส่งถึงที่พัก ตกลงไหมล่ะ”
ชาญยิ้มให้ถนนหลอกล่อแบบนี้ไว้ใช้กับเด็กคงได้ผล แล้วอันนาอยู่ในข่ายยังเด็กหรือเปล่า ตอนโทรเรียกคนมาตามหาอันนาหลังจากรู้ว่าเธอหายไปนั้นอย่างกับจะรื้อตึก
“ใครไม่ตกลงก็บ้าแล้ว ทั้งเนื้อทั้งตัวฉันไม่มีตังสักบาท”
“คุณให้เงินผมไว้ร้อยบาท ลืมไปแล้วหรือไง” เขาไม่เคยลืมน้ำใจของอันนาในวันนั้น ถ้ารู้ว่าความเข้าใจผิดจะพาไปสู่อะไร เขาคงไม่สงสัยเธอจนกลายเป็นเรื่องราวระหว่างเราหรอก
“ฉันคงเหมือนคุณ ให้แล้วไม่ขอรับคืน แต่ถ้าจะมีน้ำใจให้กัน ก็โอเครับได้”
รอยยิ้มระบายที่ริมฝีปากหนา ราวกับใบไม้แห้งเพราะขาดน้ำกำลังฟื้นคืน แม้ไม่เขียวสดดังเดิมแต่ยังคงมีชีวิตต่อไปได้ ชัคหันมามองที่มาของหยดน้ำที่ไหลรินเข้าสู่ใจ เธอเป็นใครกันแน่หรืออันนา

อันนามั่นใจว่าเผลอหลับไปวูบเดียวเท่านั้นจริงๆ นะ ซอยที่ควรเห็นกลับไม่ใช่กลายเป็นทางเข้าหมู่บ้านที่คราวก่อนไม่รู้ตัวตอนขามา แต่ขากลับทำไมจะจำไม่ได้ล่ะ หญิงสาวหันไปมองชัคอย่างไม่พอใจระคนหวาดนิดๆ ครั้งแรกเข้าใจได้ว่า...จำเป็นแล้วคราวนี้เรียกว่าจำเป็นได้ตรงไหน เธอหิวข้าว อยากกลับบ้าน ไม่ใช่อยากมาทัวร์บ้านของเขาสักหน่อย
รถจอดตรงหน้าบ้าน เขาลงไปแล้ว แต่ยังมีแก่ใจกรุณาเปิดประตูให้ พอนั่งเฉยๆ ไม่ลงไปเลยถูกมองอยู่อย่างนั้น ถึงไม่สึกหรอ แต่ว่าเขินปนกลัวอย่างไรชอบกล
“ทำไมไม่ลงมาจากรถ หรือว่าไม่หิวแล้ว”
“หิวค่ะ แต่ทำไมฉันต้องมาที่นี่ด้วย การไว้ใจคุณคงกลายเป็นเรื่องผิดอีกแล้ว ถ้างั้นฉันกลับบ้านเองดีกว่า” อันนาลงจากรถแล้วจะเดินไปประตูหน้าบ้าน
ชัคกอดอกมองจนแน่ใจว่าไม่ใช่การเรียกร้องความสนใจจึงตามไปแล้วคว้าจับแขนเรียวรั้งให้เดินตามมา แม้ว่าเจ้าตัวจะไม่ให้ความร่วมมือเลย
“มาด้วยกันเถอะน่า จะตีสองแล้ว ผมไม่ใช่คนง่ายๆ อะไรก็กินได้”
“ลิ้นสูงเสียด้วย แต่มันก็ไม่ใช่เหตุผลที่ฉันควรเข้าไปในบ้านของคุณอยู่ดี”
ป่วยการพูดซ้ำ เขาไม่ชอบขอร้องใคร แต่บังคับล่ะก็ถนัดนักเชียว ร่างสูงย่อตัวลงแล้วกระหวัดอุ้มร่างเพรียวที่ไม่หนักแรง แต่ดิ้นอย่างกับเขาจะพาไปฆ่าอย่างไรอย่างนั้น ยิ่งดิ้นแรงกอดก็ยิ่งแน่น จนคนขัดขืนหอบเหนื่อยไปเอง ชาญเบือนหน้าไปทางอื่น ไม่อยากยิ้มกว้างให้นายรู้ตัว
“ถ้าไม่ได้บังคับใครจะอึดอัดหายใจไม่ออกหรือไงคะ” เสียงอันนาแผดลั่น
ชัคกลับก้มหน้าลงมามองเฉยๆ เหมือนไม่ได้ทำอะไรผิดแม้แต่นิดเดียว ด้วยความโกรธที่พุ่งปรี๊ด หญิงสาวรั้งคอของเขาไว้แล้วส่งเสียงเต็มพิกัดใส่
“กรี๊ด...”

แล้วจะมา up ต่อถึงตอนที่ 15 นะคะ มีจำหน่ายในรูปแบบหนังสือและ e-book แล้วค่ะ



บรรพตี
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 24 มิ.ย. 2558, 12:54:30 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 24 มิ.ย. 2558, 12:54:30 น.

จำนวนการเข้าชม : 1338





<< ตอนที่ 8 ครึ่งหลัง   ตอนที่ 9 ครึ่งหลัง >>
แว่นใส 24 มิ.ย. 2558, 16:36:44 น.
เหมาะสมกันมากเลยคู่นี้ อิอิอิ


kaelek 24 มิ.ย. 2558, 20:37:39 น.
555 อันนากรี๊ดไม่กลัวเค้าทิ้งลงพื้นเลยรึ?? คุณชัคคะ จะเอาอยู่รึคะ?


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account