โซ่พิสุทธิ์
มรสุมข่าวฉาวว่าซุกลูกเมียทำให้พระเอกหนุ่มอย่าง 'ธีธัช' ต้องหวนกลับไปหาอดีตคนรักอีกครั้งเพื่อขอความร่วมมือจากเธอกอบกู้ภาพลักษณ์คืนมา เขาหวังใช้ความน่ารักของลูกสาวเรียกคะแนนนิยมจากประชาชน

แต่ทุกอย่างกลับไม่เป็นดังคิด ยิ่งรับรู้ความจริง ธีธัชกลับไม่ต้องการแค่ภาพครอบครัวจอมปลอม แต่ต้องการมัทรีและลูกในชีวิตนับแต่นี้ไป

เธอบอกว่าความรักเหมือนดอกไม้ที่โรยรา แต่เขาคิดว่าความรักไม่ต่างจากดอกไม้ที่จะผลิบานได้ด้วยการรดน้ำใส่ปุ๋ยที่ชื่อความจริงใจอีกครั้งหนึ่ง

fb page : http://www.facebook.com/bhapimol.pimolbha
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ ๗



หญิงสาวซึ่งสวมเสื้อผ้าแปลกตาก้าวเดินอย่างรีบเร่งไปตามทางเดินเชื่อมต่อระหว่างอาคารของโรงพยาบาลซึ่งเป็นทั้งโรงเรียนแพทย์ ในมือเธอมีแผ่นพับที่มักหยิบติดมือทุกครั้งที่มาโรงพยาบาล จากคนที่ไม่เคยสนใจเรื่องโรคภัยไข้เจ็บ มาบัดนี้มัทรีกลับชอบหาความรู้เรื่องโรคต่างๆ ด้วยความสนใจ

เธอก้าวเดินไปด้วยพร้อมกับจะเก็บของใส่กระเป๋าสะพาย ทว่าด้วยความไม่ระวัง เจ้าแผ่นพับนั้นจึงลอยหวือไปตามลม

"อุ๊ย ขอบคุณค่ะ"

หญิงสาวรีบขอบคุณคนที่เก็บให้ แต่เมื่อเงยหน้ามองอีกฝ่าย รอยยิ้มกระจ่างใสจึงแย้มพรายแต่งแต้มใบหน้าทันที

"อ้าว คุณหมอ สวัสดีค่ะ"

มัทรียกมือไหว้แล้วก็ได้เห็นรอยยิ้มตอบมาของนายแพทย์เกื้อคุณ อายุรแพทย์ทางด้านพันธุกรรมศาสตร์ที่ดูแลบุตรสาวของตน

"น้องปลายล่ะครับ วันนี้มีตรวจกับหมอคนไหน"

"เปล่าค่ะ มัทมาเรียนทำอาหารปั่นที่คุณหมอทำนัดให้ไง"

"อ้อ"

เกื้อคุณหัวเราะในลำคอ เขาจำนัดของคนไข้ไม่ได้หรอก แต่จำสองแม่ลูกคู่นี้ได้ดี ตั้งแต่วันที่คนเป็นแม่ยังทำใจยอมรับเรื่องโรคของลูกไม่ได้ จนถึงวันที่หญิงสาวก้าวผ่านความเสียใจมาเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวที่เข้มแข็งที่สุดคนหนึ่งที่เขาเคยรู้จัก

"นี่คุณหมอตรวจเสร็จแล้วหรือคะ ยังไม่เที่ยงเลยวันนี้" มัทรีชวนคุยระหว่างเดินไปตามทางเดียวกัน

"อ๋อ เปล่าครับ วันนี้ผมไม่ได้ลงตรวจแต่มีประชุมในเมือง"

คนฟังยิ้มรับ ที่แท้เขากำลังจะเดินไปลานจอดรถเช่นเดียวกับเธอนี่เอง

"น้องปลายเป็นยังไงบ้าง เอ มีนัดกับหมออีกทีเดือนนี้ใช่ไหม"

"เดือนหน้าค่ะ" ผู้เป็นแม่ตอบอย่างจำนัดของลูกได้ดี "แกก็ไม่เป็นยังไงค่ะ ไม่เจ็บไม่ป่วยก็ดีแล้ว"

นายแพทย์หนุ่มพยักหน้า นั่นคือเรื่องเดียวที่เขาเป็นห่วงและเคยบอกเธอ

เดินมาจนสุดทางเดินซึ่งมีหลังคาบังแดดฝนจนถึงที่จอดรถจักรยานยนต์ มัทรีชะลอฝีเท้าพลางเอ่ยร่ำลากับคุณหมอของลูกตรงนั้น

"งั้นมัทขอตัวเลยนะคะ" เธอเอ่ยพลางวางมือบนเบาะรถจักรยานยนต์คันหนึ่งซึ่งจอดอยู่

เกื้อคุณหันมาเลิกคิ้วมองอย่างแปลกใจ ก่อนจะเกลื่อนสีหน้าแววตาของตนด้วยการยิ้มตอบเจ้าหล่อน

"ครับ พบกันเดือนหน้าทั้งคุณแม่คุณลูกนะครับ"

หญิงสาวยิ้มขัน เธอค้อมศีรษะอีกครั้งก่อนเขาจะผละไปอีกทาง

ทว่ามัทรีหารู้ไม่ว่าสายตาคู่หนึ่งฉายแววชื่นชม ภายหลังเธอขี่รถจักรยานยนต์ผ่านหน้ารถซึ่งจอดอยู่ของเขาไป นายแพทย์หนุ่มเอาใจช่วยให้ผู้หญิงคนนี้ก้าวผ่านความเจ็บปวดครั้งแล้วครั้งเล่าที่อาจเข้ามาในอนาคตให้จงได้

........................

อารมณ์ดีก่อนหน้านี้ไม่กี่นาทีพลันแปรเปลี่ยนเมื่อหญิงสาวกลับมาเห็นรถยนต์คันใหญ่ยังจอดอยู่ที่เดิม นี่เขาไม่มีงานมีการทำหรือไงนะ จึงได้ตามมายุ่งวุ่นวายกับพวกตนเช่นนี้

"แม่ นี่เขายังไม่ไปอีกเหรอ" เธอถามกับมารดาที่กำลังย้ายกระถางดอกไม้อยู่

"อยู่กับน้องปลายข้างบนน่ะ"

มัทรีทำเสียงจิ๊จ๊ะไม่พอใจ เธอกำลังจะรีบขึ้นไปดูลูก หากมารดาเรียกรั้งไว้เสียก่อน

"มัท แม่ไม่รู้ว่าระหว่างลูกกับธีร์จะเป็นยังไง แต่ธีร์เขารักน้องปลายมากนะลูก มัทเองก็ไม่ได้คิดจะขัดขวางพ่อลูกอยู่แล้วไม่ใช่หรือ"

ใช่ เธอคิดเช่นนั้นตลอดมา กระทั่งเขาก้าวเข้ามาในชีวิตพวกตนสองแม่ลูกเข้าจริง หญิงสาวกลับเสียศูนย์ เสียการควบคุมอารมณ์ความรู้สึกของตนเอง

เธอเดินกลับมานั่งยองข้างผู้เป็นแม่ สายตาเหม่อลอยทอดมองใบไม้ดอกไม้ที่วางเรียงรายเป็นแถวเป็นแนว เธอบิใบสีเหลืองของต้นวาสนาทิ้งไปพลาง

"มัทไปข้างนอกเดี๋ยวเดียว แม่เข้าข้างเขาอีกแล้ว"

อัมพรโคลงศีรษะขันท่าทางปึ่งงอนของลูก ก่อนแสงตาจะเศร้าลงเมื่อนึกถึงภาพที่เห็นพ่อกอดเท้าลูกร่ำไห้เมื่อเช้านี้

"เมื่อเช้าธีร์ช่วยแม่เช็ดตัวน้องปลายด้วย"

"นั่นไง..."

"ฟังก่อนสิมัท" ผู้เป็นแม่เอ่ยปราม "เขาร้องไห้ด้วยนะลูก มัทอาจคิดว่าเขาเป็นนักแสดง แต่แม่ดูออกว่าความรักลูกของเขามาจากใจจริงๆ คนเป็นพ่อเป็นแม่นะมัท...ถ้าไม่ถึงขั้นเดรัจฉานไม่มีใครไม่รักลูกตัวเองหรอก

"กว่าเราจะทำใจได้ที่น้องปลายเป็นแบบนี้ต้องเจ็บปวดแค่ไหน ธีร์ก็คงรู้สึกไม่ต่างกัน ยิ่งไม่มีใครอธิบายอะไรกับเขาเลยแบบนี้ เขาคงยิ่งทุกข์ใจ"

มัทรีก้มหน้าซ่อนน้ำตาซึ่งรื้นขึ้นมา แม่พูดถูกทุกคำ แต่เป็นเธอที่ทำใจรับเขาเข้ามาในชีวิตอีกครั้งไม่ได้เสียเอง เธอเคยเป็นผู้จัดการทุกอย่าง ตัดสินใจทุกสิ่งลำพัง มันยากที่จะต้องยอมรับฟังการตัดสินใจของคนเป็นพ่อด้วยอีกคน

"แม่กินข้าวยัง มัทเจียวไข่ให้นะ" เธอเสเปลี่ยนเรื่องด้วยน้ำเสียงสดใส

"แม่กินแล้ว ธีร์เจียวให้น่ะ"

บอกไม่ถูกว่าเธอหมั่นไส้หรือประหลาดใจมากกว่ากัน กระนั้นหญิงสาวก็ลุกเข้าไปในบ้าน นำกระเป๋าไปเก็บในห้องของตน

การกลับมาของเธอคงสร้างความตกอกตกใจให้ชายหนุ่มไม่น้อย เมื่อธีธัชรีบกระเด้งตัวลุกจากเตียงทันทีที่เธอเปิดประตูเข้าไป ในมือของเขายังคงถือแท็บเล็ตที่มีภาพการ์ตูนเคลื่อนไหวอยู่

"พี่...ขอโทษนะที่ไม่ได้ขอมัทก่อน"

"ไม่เป็นไรนี่คะ"

ธีธัชเลิกคิ้วแปลกใจในคำตอบง่ายๆ นั้น เขายืนเก้ๆ กังๆ อยู่กลางห้องขณะหญิงสาวเข้าไปล้างมือในห้องน้ำ ก่อนกลับออกมาหาลูกที่เตียง

มัทรีโน้มตัวเหนือราวกั้นเตียงไปฝังจมูกลงบนแก้มนุ่มของลูก แล้วมือเล็กก็เกี่ยวผมยาวของแม่ไว้จนเธอต้องก้มลงไปหอมแก้มแกอีกฟอดหนึ่ง

"หอมแกได้หรือ" คนเป็นพ่อเอ่ยถามอย่างตื่นเต้นยินดี "คือพี่...พี่ไม่กล้า"

"ได้ค่ะ แต่อย่าเอาหวัดมาติดลูกก็พอ"

เป็นอีกครั้งที่ชายหนุ่มประหลาดใจกับคำตอบง่ายๆ ที่เธอให้ ราวกับยกหินก้อนใหญ่ออกจากอก เมื่อแม่ของลูกไม่ได้พยายามขัดขวางเขาไม่ให้ยุ่งเกี่ยวกับลูกอีก

ธีธัชขยับเข้าไปใกล้เตียงมากขึ้น แล้วก็ได้เห็นลูกน้อยค่อยหลับตาพริ้มโดยมีมือของแม่ลูบไปมาบนหน้าอกแก เขารีบกดปิดแท็บเล็ตที่มีเสียงการ์ตูนดังออกมาอย่างรู้งาน

"มัท พี่อยากรู้..."

"เดี๋ยวค่อยคุยนะคะ" เธอตอบเสียงกระซิบ

ชายหนุ่มผงกศีรษะรับทราบ ยิ่งเมื่อดวงตากลมโตใกล้ปิดสนิท เขาก็ยิ่งสงสารลูกจับใจ แกไม่สามารถใช้ชีวิตได้ดังเด็กคนอื่น เพราะสายต่างๆ ที่ระโยงระยางยึดแกไว้กับเตียง จะตื่นหรือนอนหลับใหลก็ไม่ต่างกัน

มัทรีก้าวถอยจากเตียงเมื่อลูกน้อยหลับสนิทแล้ว เธอออกจากห้องมาจัดการชีวิตประจำวันของตน และถ้าแกตื่นก็รู้ได้จากเบบี้มอนิเตอร์อีกเครื่องที่ชั้นล่างซึ่งเชื่อมต่อกับเครื่องส่งสัญญาณปลายเตียง

....................


ธีธัชตามลงมาเห็นหญิงสาวตักแกงที่เหลือก้นหม้อราดกินกับข้าว แต่ยังไม่ทันเลื่อนเก้าอี้นั่งลงตรงข้ามเธอ เสียงลูกค้าจากหน้าร้านก็ดึงความสนใจของเจ้าหล่อนไป

มัทรีลุกออกไปช่วยมารดายกกระถางต้นไม้ทั้งที่ยังกินข้าวไม่หมด ขณะที่พระเอกหนุ่มทำได้เพียงมองอยู่จากกรอบประตู ลูกค้าคนนั้นแต่งตัวดีเหมือนมาจากกรุงเทพฯ แสดงว่ามีลูกค้าหลายระดับที่มาซื้อต้นไม้ดอกไม้จากร้านขายส่งข้างทางซึ่งคนอย่างเขาไม่เคยสนใจ

ธีธัชต้องถอยหลบเมื่อสายตาของลูกค้าสาวแลเลยมาทางตนพร้อมกับพูดจาบางอย่างกับคนรักที่มาด้วยกัน ดีที่มัทรีตามมาชี้ชวนดูไม้ดอกอื่นๆ กระนั้นก็ตวัดสายตาขุ่นเขียวมาทางเขาด้วยความไม่พอใจ

จวบจนลูกค้าคู่รักสองคนนั้นกลับไป ร่างเพรียวจึงเปิดก๊อกน้ำล้างมือก่อนก้าวอาดเข้ามาในบ้าน เธอน่าจะรู้ว่าใช่แต่ตัวเขาที่อาจสะดุดตา แต่รถแอสตันมาร์ตินที่จอดอยู่ข้างรถบุโรทั่งของเธอก็อาจสร้างความแปลกใจแก่แขกไปใครมาได้เช่นกัน

"มีผ้าคลุมรถหรือเปล่าคะ"

"ผ้าคลุมรถเหรอ" ธีธัชทวนคำอย่างงุนงง

"รถคุณมันเด่นเกินไป ใครผ่านไปมาก็ต้องมอง แล้วพวกเขาคงสงสัยว่าฉันไปเอาเงินซื้อรถคันนั้นมาจากไหน"

คนฟังถึงกับหน้าเหวอ ก่อนรอยยิ้มจะจุดยังมุมปาก...กว้างขึ้น...กว้างขึ้น... พร้อมกับหัวใจที่โลดแรงด้วยความยินดี

"หมายความว่าพี่อยู่ที่นี่ได้ใช่ไหม แค่หาผ้ามาคลุมรถซะ"

มัทรีเป็นฝ่ายงันไปบ้าง คิดย้อนไปแล้วก็ให้งุนงงว่ามีประโยคไหนของตนที่ทำให้เขาตีความไปเช่นนั้นได้ แต่ดูเหมือนผู้ชายคนนี้ถนัดตีขลุมให้ตัวเองมาแต่ไหนแต่ไร

"ฉันเคยบอกแล้ว คุณจะมาหาน้องปลายเมื่อไรก็ได้ ตราบที่เราไม่ได้ยุ่งเกี่ยว ไม่สร้างความเดือดร้อนให้กันก็พอค่ะ"

ชายหนุ่มฝืนยิ้มเข้าใจ เขาผงกศีรษะรับรู้ขอบเขตสถานะที่เธอขีดกั้นเขาไว้ ขืนก้าวล่วงเข้าไปในตอนนี้ก็คงถูกรั้วหนามอารมณ์ของเจ้าหล่อนผลักออกมาเท่านั้น แต่เขาจะค่อยหาทางเข้าไปให้จงได้

มัทรีทานข้าวที่อืดด้วยน้ำแกงจนหมด แต่เมื่อเปิดตู้เย็นรินน้ำดื่ม ธีธัชก็ถือโอกาสนำจานเปล่าไปล้างเสียเอง หนำซ้ำเขายังหันมาดักคอเธอด้วยการยื่นหน้าบุ้ยใบ้ว่ามีลูกค้ามาอีกราย

"มัทออกไปช่วยแม่ก่อน เสร็จแล้วค่อยมาพูดจาทำร้ายจิตใจพี่ก็ยังไม่สาย พี่น่ะชินแล้วเวลาโดนสื่อค่อนแคะ นี่มัทคนเดียว...จิ๊บๆ"

บ้า... หญิงสาวต่อว่าคนที่ยักคิ้วท้าทายในใจ เธอน่าจะรู้ว่านักแสดงอย่างเขาคงเปี่ยมล้นด้วยความมั่นใจเสมอ แต่สำหรับชาวบ้านอย่างพวกตน มัทรีเรียกว่าหน้าด้านเห็นจะเป็นคำที่ถูกต้องที่สุด

....................

เสียงหมุนลูกบิดประตูแผ่วเบาดึงสายตาของแม่ที่กำลังให้นมลูกทางสายยางให้หันมองต้นตอ แล้วเธอก็ได้เห็นผู้ซึ่งก้าวเข้ามาชะงักฝีเท้าอยู่หน้าประตูนั้น เขานิ่งงันขณะจ้องมองมา

มัทรีรอจนนมในกระบอกพลาสติกลดลงจนเกือบหมด ก่อนเธอจะปลดมันออกจากท่อซึ่งเป็นสายยางเล็กข้างแก้มของลูกน้อยพลางเช็ดทำความสะอาด เมื่อนั้นคนเป็นพ่อค่อยก้าวช้าไปใกล้เตียงมากขึ้น สมองเบลอไปหมดราวภาพที่เห็นคือค้อนทุบใส่ศีรษะเขา จนถึงเดี๋ยวนี้ธีธัชก็ไม่เข้าใจว่ามัทรียอมรับสภาพลูกที่เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร เขาไม่อาจนิ่งดูดายอย่างเธอ

"มัท"

เขาเรียกหลังหญิงสาวกลับออกมาจากห้องน้ำ เธอกำลังใช้ผ้าสะอาดเช็ดกระบอกให้อาหารที่เพิ่งล้างทำความสะอาด

"พาลูกไปรักษาเถอะนะ พาไปเมืองนอกก็ได้ พี่ยอมแลกทุกอย่าง" เสียงพร่าสะท้อนความเจ็บปวดใจของผู้เป็นพ่อออกมา

มัทรีหลุบตามองกระบอกพลาสติกในมือ ก่อนจะวางผึ่งไว้ยังถาดบนโต๊ะหัวเตียง เธอซาบซึ้งใจในความหวังดีของเขา แต่ธีธัชคงไม่รู้ว่าที่ไหนในโลกนี้ก็เหมือนๆ กัน ไม่มีหมอคนไหนจะรักษาลูกของเธอได้ ไม่มี...

"ขอแค่พาลูกไปรักษา พี่จะไม่มาให้มัทเห็นหน้าก็ได้ มัทจะให้พี่ทำยังไงก็ได้...นะมัท"

เขายอม... ถ้ามัทรีเกลียดเขาจนไม่อยากพบหน้า เขายินยอมจะหายไปจากชีวิตเธอ ขอแค่เขาได้มีโอกาสช่วยลูก ให้แกได้ใช้ชีวิตเป็นปกติอย่างเด็กคนอื่นบ้างก็เป็นความหวังสูงสุดของพ่อแล้ว

มัทรีเม้มปากข่มความเจ็บปวดใจ ใช่ว่าเธออยากให้แกเป็นอย่างนี้ ใช่ว่าเธอไม่พยายามทุกวิถีทางเพื่อลูกซึ่งเป็นแก้วตาดวงใจ วันที่หมอบอกอาการของลูกหน้าห้องฉุกเฉินวันนั้น คนเป็นแม่ถึงกับทรุดลงไปร่ำไห้ อ้อนวอนให้แพทย์พาลูกคนเดิมของเธอกลับมา

เธอทำทุกวิถีทางแล้ว ทั้งค้นหาจากอินเตอร์เน็ต ทั้งไปพบหมอชื่อดังในโรงพยาบาลต่างๆ แต่ทุกท่านล้วนมีคำตอบเดียวกันให้เธอ

"ไม่มีประโยชน์หรอกค่ะ คุณคิดว่าฉันไม่ได้พยายามหรือ คุณไม่รู้ด้วยซ้ำว่าแกเป็นอะไร"

"ก็บอกมาสิจะได้รู้!" ธีธัชลืมตัวตวาด

หญิงสาวสูดหายใจลึกอย่างข่มกลั้นความรู้สึกที่ถั่งโถมขึ้นมา เธอลูบอกปลอบขวัญลูกที่สะดุ้งตกใจ ครั้นตวัดสายตามองชายหนุ่มอีกครั้งก็เห็นเขาก้าวตรงมาข้างเตียงลูกพร้อมกับลูบเนื้อตัวเรียกขวัญแก

"พ่อขอโทษค่ะ พ่อขอโทษนะน้องปลาย" ผู้เป็นพ่อเอ่ยเสียงเครือ "มัท พี่ไม่ได้ตั้งใจ"

มัทรีโกรธเขาไม่ลง ยิ่งเมื่อมองสบดวงตาแดงเรื่อที่ฉายแววสับสน ละอาย เธอพยักหน้าก่อนจะเบือนหน้าหนีไปอีกทางเพื่อแอบซับน้ำตา

หญิงสาวกลืนก้อนสะอื้นกลับลงไป เธอหลับตานิ่งนาน รอให้อารมณ์ความรู้สึกเข้าที่เข้าทางดีแล้ว น้ำเสียงที่ใช้บอกเล่าต่อไปจึงซ่อนความเสียใจไว้ได้อย่างแนบเนียน

"น้องปลายเป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงค่ะ"

"เอแอลเอส* น่ะเหรอ" เขาถามกลับทันควัน "ไม่จริงน่ะ"

ตอนที่มีโครงการราดถังน้ำแข็งนั้นเขายังเป็นหนึ่งในคนมีชื่อเสียงที่ร่วมรณรงค์เพื่อผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงเอแอลเอสอยู่เลย โชคชะตาช่างเล่นตลกเหลือเกิน ลูกคือคนใกล้ตัวที่สุดแท้ๆ แต่เขากลับไม่รู้อะไรเลย

"ไม่ใช่ค่ะ ไม่ใช่เอแอลเอส"

มัทรีเดินอ้อมผ่านชายหนุ่มไปเปิดลิ้นชักของโต๊ะทำงานซึ่งตั้งอยู่ปลายเตียง เธอหยิบเอกสารซีร็อกส์ที่เย็บกึ่งกลางหน้าด้วยลวดเย็บกระดาษ นายแพทย์เกื้อคุณเคยมอบให้เธอไว้ ข้างในมีรายละเอียดถึงโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงชนิดต่างๆ

"แต่เป็นเอสเอ็มเอ** ลองดูที่หน้าสิบสองสิคะ"

ธีธัชเปิดหน้าตามที่บอก หากดวงตาเขาพร่าเลือนเกินกว่าจะอ่านเนื้อหาได้ มองเห็นแต่รูปขาวดำจากหมึกพิมพ์คือเด็กน้อยที่ใช้ชีวิตอยู่บนเตียงพร้อมท่อต่างๆ เช่นเดียวกับลูกของเขา

"มันเกิดจากอะไร" เขาถามด้วยน้ำเสียงขมขื่น หมดแรงทรุดตัวนั่งยังปลายเตียง "ตอนเกิด...แกยังปกติดีอยู่เลย แล้วทำไม..."

มัทรีนั่งลงยังขอบเตียงด้านข้าง คำถามเหล่านี้ล้วนเป็นคำถามเดียวกับที่เธอเคยคร่ำครวญถามมาแล้วทั้งสิ้น แล้วกระบอกตาก็ร้อนผ่าวขึ้นมา

"หมอบอกว่าเกิดจากพันธุกรรม"

"แต่บ้านพี่ไม่มีใครเป็น" ชายหนุ่มสวนกลับทันควัน

ยากเหลือเกินที่จะยอมรับว่าตัวเขาคือต้นเหตุให้ลูกเป็นเช่นนี้ คำพูดที่โพล่งออกมาจึงเหมือนโยนความผิดให้อีกฝ่ายกลายๆ ธีธัชเจ็บปวดเกินกว่าจะนึกถึงความรู้สึกของผู้ที่ร่วมให้ชีวิตแกเกิดมา

"บ้านมัทก็ไม่มี" มัทรีเอ่ยอย่างอ่อนแรงล้าไปทั้งใจ ลืมกระทั่งกลับไปใช้สรรพนามดังเดิม

"งั้นก็อาจไม่ใช่สิ หมออาจตรวจผิดก็ได้"

หญิงสาวโคลงศีรษะ เธอเคยปฏิเสธความจริงเช่นนี้ แต่ผลตรวจที่ออกมาคือเครื่องยืนยันอย่างดี ลูกได้รับความผิดปกติบนยีนเอสเอ็มเอ็นจากเธอหนึ่งรอย และอีกรอยก็คงมาจากพ่อของแกที่ไม่ได้ตรวจด้วยกัน

ธีธัชผุดลุกยืนพลางกำหนังสือในมือแน่น เขาสูดหายใจลึกอย่างเรียกความเข้มแข็งกลับมา เอาล่ะ ไม่ว่าอย่างไรก็แล้วแต่เขาจะต้องพูดจาปรึกษาเรื่องโรคนี้กับเพื่อนที่เป็นหมอให้ได้

มันต้องมีทางสิ ในวันที่มนุษย์ใช้ชีวิตในวงโคจรนอกโลกได้ กับเรื่องแค่นี้...ทำไมจึงจะเป็นไปไม่ได้เล่า

คืนนั้น มัทรียืนมองลงมาจากหน้าต่างห้องนอน เธอต้องปิดปากกลั้นเสียงสะอื้นเมื่อเห็นไฟท้ายของรถหรูแล่นจากไป เขาคงรู้ดีแล้วว่าหมดประโยชน์จะพยายามอีกต่อไป

...จบตอน...

*โรค ALS (Amyotrophic Lateral Sclerosis) เป็นโรคที่เกี่ยวข้องกับเซลล์ประสาทนำคำสั่งซึ่งทำหน้าที่ควบคุมการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อต่างๆ ในร่างกายตายหรือเสื่อมสภาพ
**โรค SMA (Spinal Muscular Atrophy) เป็นโรคที่เกิดจากเซลล์ประสาทไขสันหลังเสื่อม ส่งผลให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง ผู้ป่วยโรคนี้มีตั้งแต่ในทารกจนถึงผู้ใหญ่ แบ่งเป็น ๔ ไทป์ด้วยกันตามแต่ช่วงวัยของการแสดงอาการ ในที่นี้น้องปลายฟ้าเป็นโรค SMA type 1 เกิดในทารกอายุ ๐-๖ เดือน ส่วนใหญ่ผู้ป่วยมักมีอายุสั้นราวขวบปี

....................

ตอนนี้แพรวก็ได้ใส่เชิงอรรถเรื่องโรคไว้ด้วยนะคะ
หากใครสงสัยเพิ่มก็ถามได้ค่ะ แพรวจะได้รู้ด้วยว่าตัวเองเขียนได้เข้าใจไหม แหะๆ

แล้วก็ขอพื้นที่โฆษณานิสสสนุงนะคะ ว่าด้วยนิยายเล่มใหม่ของแพรวเองงงจากเพจ love by jamsai ค่า https://www.facebook.com/lovebyjamsai

"กระโจม...ทุ่งหญ้า...รถม้า...ใต้ฟ้าที่มีเพียงสองเรา...

เพื่อนๆ ลองทายสิคะ นี่เป็นส่วนหนึ่งของปกเรื่องอะไรเอ่ย...
เลิฟขอใบ้ให้ว่านี่เป็นผลงานเรื่องใหม่ล่าสุดของ ‘ภาพิมล’ ที่กำลังจะวางแผงในเดือนกรกฎาคมนี้ มีเพื่อนๆ คนไหนรู้บ้างน้า
เรามาลองเดากันเล่นๆ ไหมคะว่าเรื่องนี้จะเกี่ยวกับอะไร แต่เลิฟขอการันตีก่อนเลยว่าเรื่องนี้ สนุกมากกกกกกกกจ้า >< "



ภาพิมล_พิมลภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 29 มิ.ย. 2558, 16:31:32 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 29 มิ.ย. 2558, 16:31:32 น.

จำนวนการเข้าชม : 1494





<< บทที่ ๖   บทที่ ๘ + ตัวอย่างนิยายเล่มใหม่ค่า >>
กาซะลองพลัดถิ่น 30 มิ.ย. 2558, 00:24:10 น.
เพศแม่ หรือ ที่เรียกว่า ผู้หญิงส่วนมากมักจะเข้มแข็งเสมอ ...
เข้าใจมัท ที่ไม่อยากให้ผู้ชายที่เดินออกไปจากชีวิตเราแล้ว กลับเข้ามาอีก
แค่ให้มาทำหน้าที่ของ พ่อ ก็พอไหมคะมัท ....เรื่องนี้พระนางไม่ต้องคู่กันก็ได้มั๊ง คือ เกลียดผู้ชายแบบนายธีร์


konhin 30 มิ.ย. 2558, 03:34:34 น.
อ่านแล้วสงสารมัทมากๆ แม่พูดถูก "รู้จักกันแต่ผิวเผิน ... รักง่าย ก็หน่ายเร็ว" ต้องบอกว่าผิดทั้งคู่ในเรื่องความสัมพันธ์ที่ปล่อยให้เกิด เพียงแต่มัทได้รับผลกระทบทั้งหมดมาตั้งแต่ท้อง จนถึงตอนนี้
ธีขอโทษแบบยังไม่รับผิด โทษว่าปล่อยให้คนอื่นจูงจมูก ถ้ารักจริง ยึดมั่นจริง ใครก็พาเขวไม่ได้หรอก
เห็นด้วยนะ ว่าบางทีไม่จำเป็นต้องได้เป็นคู่กัน


ปิ่นนลิน 30 มิ.ย. 2558, 13:24:25 น.
สงสารน้องปลายจัง


ภาพิมล_พิมลภา 30 มิ.ย. 2558, 16:28:54 น.
คุณกาซะลองพลัดถิ่น - นี่ล่ะงานยากแพรวเลยค่ะ แหะๆ

คุณkonhin - ใช่ค่ะ เมื่อไรธีร์จะรู้ตัวจริงๆสักทีเนอะ

คุณปิ่นนลิน - น้องปลายโชคดีอยู่บ้างที่มีคนรักรอบตัวเยย


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account